“สรยุทธ” โผล่! ใช้ไอจีโต้ 4 ข้อ แจง “อัยการสูงสุด” สั่งฟ้องเอกสารเท็จ อ้างได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรจากการถูกดำเนินคดีซ้ำซ้อน-ผิดกฎหมาย ขอพิสูจน์ตัวเองต่อสู้ต่อ โวย! ภาพถ่ายรายงานการสอบสวน สรุปคำให้การบริษัท ไร่ส้ม ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วันนี้ (2 มิ.ย.) มีรายงานว่า ภายหลังช่วงเช้า สำนักงานอัยการสูงสุดได้แถลงส่งสำนวนฟ้องเพิ่ม นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง และพวก ในฐานความผิดปลอมแปลง ใช้เอกสารสิทธิปลอม ซ่อนเร้นทำลาย ทำให้ อสมท เสียหาย 138 ล้านบาท ต่อมานายสรยุทธกับพวกได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมด ตีราคาประกันคนละ 300,000 บาท พร้อมนัดสอบคำให้การจำเลย และตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 29 ส.ค. 59 เวลา 09.00 น. โดยปฏิเสธที่จะชี้แจงใดๆ
โดยระหว่างที่ถูกนำตัวมาฟ้อง ทีมงานนายสรยุทธได้แจกเอกสารเกี่ยวกับคดีให้สื่อมวลชน สรุปว่า การกล่าวหา หรือฟ้องในความผิดร่วมกันปลอม และใช้เอกสารสิทธิ น่าจะขัดต่อประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) เพราะเป็นการดำเนินคดีซ้ำซ้อนกับคดีอาญาที่ศาลอาญามีคำพิพากษาไปแล้ว และในเรื่องดังกล่าว บมจ.อสมท ก็ได้ยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ไปเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2558 เป็นคดีหมายเลขดำ 8134/2558 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องว่าศาลจะรับฟ้องหรือไม่
ดังนั้น อัยการจึงไม่จำเป็นต้องฟ้องคดีเอง และเป็นที่น่าสงสัยว่า ภาพถ่ายรายงานการสอบสวนคดีอาญา ประกอบด้วย ความเห็นพนักงานสอบสวน สรุปคำให้การของตน บจก.ไร่ส้ม และพยานในคดี ถูกนำไปเผยแพร่โดยสื่อมวลชนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีการแสดงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมที่ไม่ถูกต้อง ทำให้สาธารณชนเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหม่ และชี้นำว่ามีการกระทำผิดอีก ทั้งนี้ สำหรับความผิดฐานเกี่ยวกับเอกสาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
ต่อมาช่วงเย็น มีรายงานว่า นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดังโพสต์ข้อความในไอจีส่วนตัว ระบุว่า ตามที่พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องบริษัท ไร่ส้ม จำกัด นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา น.ส.มณฑา ธีระเดช และ นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด ความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายให้แก่ผู้อื่น หรือประชาชนในวันนี้นั้น
“กระผม นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ขอชี้แจงว่า 1. คดีนี้พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ได้กล่าวหาผมและบุคคลอื่น ๆ ว่า กระทำผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ซึ่งข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาทั้งหมด เป็นเรื่องเดียวกันกับคดีของศาลอาญา หมายเลขดำที่ อ.313, อ.342/2558 ในเรื่องทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดที่เกี่ยวข้องกันของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้สนับสนุน
ซึ่งตามหลักกฎหมายอาญา การกระทำตามข้อกล่าวหาดังกล่าว หากจะเป็นความผิด ก็เป็นการกระทำความผิดเพียงกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ที่ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเป็่นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.595-596/2559
โดยข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน ล้วนปรากฏอยู่ในคำพิพากษาของศาลอาญาอย่างครบถ้วน ดังนั้น การมากล่าวหา หรือฟ้องในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชนแก่ผมและบุคคลอื่น ๆ อีก จึงเป็นการดำเนินคดีกับผมหลายครั้งจากการกระทำครั้งเดียว ซึ่งน่าจะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความทางอาญา มาตรา 39 (4) และทำให้ผมและบุคคลอื่น ๆ ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรจากการถูกดำเนินคดีซ้ำซ้อน
2. บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้กล่าวหาได้นำเรื่องนี้ไปยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2558 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8134/2558 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องว่าศาลจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาต่อไปหรือไม่ พนักงานอัยการจึงไม่จำเป็นต้องฟ้องคดีเองอีก และไม่มีประเด็นต้องกังวลเรื่องอายุความอีกต่อไป
3. สำหรับคดีที่ศาลอาญามีคำพิพากษาดังทราบอยู่แล้วนั้น ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ของผมและขอใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมในศาลสูงต่อไป
4. เป็นที่น่าสงสัยว่า ภาพถ่ายรายงานการสอบสวนคดีอาญาที่ 1596/2550 ประกอบด้วยหลักฐานทางคดี ความเห็นของพนักงานสอบสวน สรุปคำให้การของผม บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และพยานในคดีถูกนำออกไปเผยแพร่โดยสื่อมวลชนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีการแสดงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมที่ไม่ถูกต้อง ทำให้สาธารณชนเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหม่ และชี้นำว่ามีการทำความผิดอีก”