MBKET พร้อมก้าวขึ้นสู่ปีที่ 15 เร่งเดินหน้าธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถการให้บริการด้านการลงทุน และหลักทรัพย์ที่หลากหลาย ครอบคลุม 2 ธุรกิจหลักทั้งธุรกิจการซื้อขายหลักทรัพย์ และวาณิชธนกิจให้ก้าวไปด้วยกันอย่างมั่นคง มุ่งขยายฐานลูกค้า และรักษามาร์เกตแชร์ครบทุกกลุ่ม ตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ในปี 59
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่า เป้าหมายของกลุ่ม MBKET คือ การก้าวสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคอาเซียน จึงมีแผนเร่งพัฒนาธุรกิจให้หลากหลาย และครอบคลุมทั้งทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์ และวาณิชธนกิจ พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำในธุรกิจหลักทรัพย์ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด และได้รับการยอมรับในระดับสากล
ทั้งนี้ ในปี 58 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 3,969.18 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 1,019.23 ล้านบาท ถึงแม้ภาพรวมในปีที่ผ่านมาจะมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่ปรับตัวลง และระดับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว การลงทุนภายในประเทศของภาครัฐยังบางตา ตลอดจนความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ก็ถือได้ว่าภาพรวมรายได้ และการทำกำไรก็ยังเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของอุตสาหกรรม
ความสำเร็จหลักส่วนใหญ่มาจากรายได้ในสายงานธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 66% ดอกเบี้ยรับ 24% วาณิชธนกิจ 4% อื่นๆ 6% ตามลำดับ ปัจจุบันหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาดสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ประมาณ 8.65% สามารถคิดเป็นฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทฯ รวมทั้งสิ้นประมาณ 170,000 บัญชี โดยเป็นนักลงทุนที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอประมาณ 52% โดยบริษัทตั้งเป้าขยายฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปีนี้
ด้านสายงานวาณิชธนกิจ ที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาทางการเงิน และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็เดินหน้าไปได้ดีตั้งแต่ต้นปี โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเตรียมการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 5-7 บริษัท ในปี 59 เช่น กลุ่มธุรกิจออนไลน์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มกิจการเสริมความงาม กลุ่มกิจการโทรคมนาคม และกลุ่มธุรกิจจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น และมีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trust (REIT) อีกประมาณ 2-3 กอง โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท
ด้าน นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม MBKET กล่าวว่า ในด้านของธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศนั้นบริษัทมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้ารายย่อยออกไป โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของลูกค้ารายย่อยของบริษัทต่อลูกค้ารายย่อยทั้งหมดจาก 11.87% เป็น 13% ในปี 59 โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในด้านธุรกรรมออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น และขยายฐานลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10%
โดยในปี 58 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น 1.โปรแกรม Maybank Kim Eng LINE ครั้งแรกกับบริการถาม-ตอบข้อมูลด้านการลงทุนทันทีตลอด 24 ชั่วโมง 2.โปรแกรม eZy Trade ให้ลูกค้าสามารถตั้งคำสั่งซื้อขายแบบมีเงื่อนไข 4 คำสั่ง คือ Stop Order, Trailing Stop, Index Stop Order และ Grab Order 3.โปรแกรม Aspen ที่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายผ่านมือถือเป็นที่แรกของประเทศไทย 4.พัฒนาโปรแกรม KEiTrade ที่มีฟังก์ชัน Stock Radars ให้ใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีจุดเด่นด้านนวัตกรรมต่อการพัฒนาระบบเทรดให้รองรับการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตมากกว่า 10 ระบบ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน MBKET มีสาขาทั้งหมด 34 สาขาในกรุงเทพฯ และ 24 สาขาในต่างจังหวัด (ข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.พ.59) อีกทั้งยังมีแผนขยายสาขาตามความต้องการด้านการลงทุนในเขตพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องด้วยปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป สามารถเข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว
การเร่งขยายสาขาเพียงอย่างเดียวนั้นจึงยังไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้อย่างตรงจุด บริษัทจึงให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงระบบด้านเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย รวดเร็วมากขึ้น โดยการพัฒนาระบบ Internet Trading มุ่งเน้นการเชื่อมต่อที่รวดเร็วแต่มีเสถียรภาพ เพื่อรองรับธุรกรรมใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้าที่เทรดผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 54.15% และที่เหลือเทรดผ่านเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน (IC) อีก 45.85% และในอนาคต คาดว่าสัดส่วนลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนงานอีก 1-2 ปี ข้างหน้า เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น 1) Selling Agent ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้สนับสนุนการขาย และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งสิ้น 14 บลจ. รวมกว่า 1,000 กองทุน มีกองทุนทุกประเภท ทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนตราสารทุน กองทุนต่างประเทศ รวมไปถึง LTF และ RMF นอกจากนั้น บริษัทยังเข้าร่วมโครงการ Fund Service Platform ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการยกระดับ และพัฒนาอุตสาหกรรมกองทุนรวมเพื่อวางมาตรฐานกระบวนการทำงานของกองทุนรวม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และขยายช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมได้สะดวกยิ่งขึ้น
2) โปรแกรม IRESS โปรแกรมซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ที่รองรับการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมกว่า 30 ตลาดทั่วโลก พร้อมกันนั้น บริษัทยังมีบทวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศซึ่งได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเมย์แบงก์ที่มีทีมงานคุณภาพพร้อมคอยให้บริการ และผลิตบทวิเคราะห์ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ของกลุ่มเมย์แบงก์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายในปัจจุบัน 3) ต่อยอดโปรแกรม Algo Trading พัฒนาโปรแกรม eZy Trade ให้สามารถซื้อขายบนระบบ Settrade Streaming ผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้าได้ รวมถึงพัฒนาโปรแกรม eFin Auto Trade บนทุก Platform ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือทั้งระบบปฏิบัติการ ios และ Android เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าใช้บริการ 4) โปรแกรม LINE บริษัทมีแนวทางพัฒนาให้ลูกค้าสามารถส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านโปรแกรม LINE เพิ่มโอกาสในการซื้อขายหุ้น และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้แก่ลูกค้า