จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
2
ตอนแรกโกะเฮ คะโนวางแผนจัดงานลีลาศแฟนซีขึ้นที่รคคุเมคัน ความจริงเมื่อไม่นานมานี้เขาได้สร้างห้องลีลาศใหญ่โตจัดแต่งโอ่อ่างดงามอลังการทันสมัยขึ้นใหม่สำหรับจัดงานสังคมชั้นสูงเพิ่มเติมภายในบริเวณคฤหาสน์และได้จัดงานมาแล้วสองสามครั้ง แต่ก็คิดว่ายังด้อยไปไม่สมเกียรติบุคคลระดับรัฐมนตรีและทูตานุทูตที่เขาจะเชิญมาในงานสำคัญครั้งนี้ หลายคนได้ยินเข้าก็แนะนำให้จัดที่คฤหาสน์ของตนเองดีกว่า ในที่สุดเขาก็เห็นชอบด้วยเพราะคิดดูอีกทีห้องลีลาศของเขาไม่ใช่อาคารที่สร้างด้วยวัสดุถูก ๆ แม้ไม่อาจเผยอขึ้นไปเทียบบารมีกับรคคุเมคันอันทรงเกียรติของยุคสมัยก็ตาม
อะสึโกะภรรยาวัย 27 ปีของโกะเฮเป็นธิดาที่เกิดจากภรรยาคนรองของเจ้าครองนครที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่คนหนึ่ง และคงไม่จำเป็นต้องบอกว่านางไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของโอะริเอะ แม่แท้ ๆ ของโอะริเอะกับมันทะโรพี่ชายนั้นเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคร้าย มันทะโรเป็นนักเรียนนอกจบจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์และเพิ่งกลับมาญี่ปุ่นได้ไม่นาน ดังนั้นญาติพี่น้องคนวงในจึงเข้าใจกันว่า โกะเฮจัดงานงานลีลาศแฟนซีครั้งนี้เป็นงานต้อนรับการกลับจากนอกของมันทะโรพร้อมทั้งถือโอกาสเปิดตัวลูกชายในฐานะสุภาพบุรุษญี่ปุ่นคนหนึ่งต่อวงสังคมชั้นสูง ส่วนใหญ่เห็นว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวโดยแท้จึงไม่เหมาะที่จะไปจัดที่รคคุเมคันซึ่งเป็นสถานที่จัดงานสำคัญโดยเฉพาะด้านการทูตของรัฐ โกะเฮตริตรองแล้วเห็นจริงตามนั้นอีกทั้งตนเองยังมีจุดประสงค์ส่วนตัวแฝงอยู่ด้วยจึงตกลงใจจัดที่คฤหาสน์ของตน
เช้าวันงานอะสึโกะเรียกโอะริเอะมาหาที่ห้อง ปกติอะสึโกะเป็นคนตื่นกลางคืนและนอนกลางวันและกว่าจะตื่นอีกทีก็เลยเที่ยงไปแล้วจึงไม่เคยกินข้าวเช้ากับทุกคนในครอบครัวและไม่เคยออกไปยืนส่งสามีขึ้นรถไปทำงานด้วย
“โอะริเอะ งานเต้นรำคืนนี้หนูจะแต่งแฟนซีเป็นใครคะ” อะสึโกะถามลูกเลี้ยง
“ดิฉันไม่แต่งหรอก แฟนซีอะไรนั่นน่ะ”
“อ๋อ หนูกะจะสวมหน้ากากหรือคะ”
“ไม่ค่ะ ดิฉันเกลียดหน้ากาก เกลียดงานเต้นรำด้วย คืนนี้ดิฉันจะออกไปซ้อมขี่ม้ากับเพื่อน ๆ” หล่อนพูดเหมือนหาเรื่องตีรวนเพราะมันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร อะสึโกะผู้เป็นลูกสาวเจ้าครองนครที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีและความแกร่งกร้าวอยู่ในสายเลือดมีหรือจะยอมลงให้ ท่าทีเช่นนั้นของลูกเลี้ยงยิ่งทำให้หล่อนอยากลองดีมากขึ้น เธอทำตาเขียวทีเดียวขณะบอกว่า “ฉันเตรียมชุดแฟนซีไว้ให้หนูแล้ว เป็นชุดวีนัสลงสรงเหมือนในภาพวาดมีชื่อเสียงของฝรั่ง พอดีคุณมันทะโรเอาคนโทดินเผาติดตัวกลับมาจากเมืองนอก หนูก็ใส่ชุดยาวกรุยกรายมือกอดคนโทเอาไว้ทำเหมือนเทพธิดาวีนัสกำลังเดินหาที่สรงน้ำให้สบายเนื้อสบายตัว หนูจะต้องเยื้องย่างให้ดูอ่อนไหวเบาพริ้วดูเด่นเป็นสง่า และ...”
อะสึโกะหยุดแล้วจ้องโอะริเอะราวกับจะแทงให้ทะลุด้วยสายตา
“ถ้าท่านทูตชาเมรอสจับมือหนู...คือท่านทูตจะแต่งแฟนซีเป็นซุลต่านอิสลาม หนูต้องตามท่านไปที่สนามหญ้าใต้ต้นไม้ในสวนตามคำชวนของท่านนะคะ แล้วหยิบขวดวิสกี้ที่ใส่ไว้ในคนโทออกมาชวนเชิญให้ท่านทูตดื่ม”
มันจะต้องเป็นภาพที่ประหลาดสิ้นดีเมื่อเทพธิดาวีนัสในชุดบางเบายาวกรุยกรายกับซุลต่านที่ห่อหุ้มร่างกายเปลือยเปล่าด้วยชุดที่ดูเหมือนผ้าห่มนั่งดื่มวิสกี้กันอย่างสำราญบานใจบนสนามใต้ร่มไม้ ทำให้เห็นว่าคงมีการวางขั้นตอนไว้เป็นอย่างดี แบบที่ว่าพอสลักลึกลับซึ่งอาจเป็นเข็มหมุดเล็ก ๆ สักเล่มหนึ่งถูกปลดออก ทั้งสองก็จะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า
อะสึโกะไม่น่าใช่คนที่จะทำตามคำสั่งของโยะชิกิกับโกะเฮง่าย ๆ แต่ที่อยู่ ๆ ก็มาให้ความร่วมมือเช่นนี้ ก็คงเพราะความหรูตัวว่าเป็นถึงลูกสาวเจ้าครองนครนั่นเองที่ทำให้อยากวางอำนาจบ้างอะไรบ้างกับลูกเลี้ยง
“ดิฉันจะปล่อยงูเห่าออกมาจากคนโท คอยดูละกัน...แหวะ” โอะริเอะจ้องตาตอบแม่เลี้ยง แล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป
แต่ช้าก่อน ลูกสาวนักรบระดับเจ้าครองนครย่อมมีสัญชาติญาณการป้องกันภัยอันตรายอันฉับไวราวนางพญาราชสีห์สืบ สายเลือดมาหลายชั่วอายุคน อะสึโกะจัดบริวารเฝ้าระวังไว้โดยรอบ อีกทั้งหล่อนยังมีจิตวิญญาณของการเป็นคนที่ต้องเจาะลึกเข้าถึงความลับของใครก็ตามอยู่อย่างมั่นคงด้วย วันนั้นก็เช่นกันพี่เลี้ยงที่อะสึโกะไว้ใจได้กระจายตัวเฝ้าระวังอยู่ตามจุดสำคัญ ๆ ทั่วบ้าน แล้วอย่างนี้โอะริเอะจะหนีรอดไปได้อย่างไร
วันนั้นโกะเฮน่าจะรีบกลับจากทำงานเพื่อเตรียมตัวต้อนรับแขกที่ล้วนแต่เป็นคนสำคัญทั้งนั้น แต่รอแล้วรออีกก็ไม่กลับมาเสียที จนกระทั่งได้เวลาเริ่มงานและแขกที่ได้รับเชิญทะยอยมากันเกือบครึ่งแล้วนั่นแหละรถลากคันหนึ่งจึงวิ่งห้อมาส่งเขาลงที่ประตูรั้วด้านหลัง
“โอย โอย ข้าถูกผีหลอกเข้าแล้ว ก็หมอนั่นมันจะมีชีวิตอยู่มาได้ยังไง”
โกะเฮเช็ดเหงื่อพลางบ่นอะไรที่ไม่มีใครเข้าใจ แล้วรีบคดข้าวกินเข้าไปสามถ้วยก่อนเข้าห้องแต่งชุดแฟนซีเป็นคนหามเสลี่ยงพาคนขึ้นภูเขาฮาโกเน่แล้ววิ่งไปยังห้องจัดงานอย่างเร่งด่วน การเข้างานในสภาพเหงื่อท่วมตัวนั้นเป็นการปรากฏตัวที่สมบทบาทกรรมกรหามเสลี่ยงขึ้นเขามากทีเดียว แต่สำหรับโกะเฮมันไม่ใช่เวลาที่จะมาแสดงอวดอะไรเลยสักนิด
เพราะอะไรหรือ...การที่เจ้าภาพเข้างานช้าเป็นการเสียมารยาทต่อบรรดาแขกมากอยู่แล้วก็จริง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการปล่อยให้คู่แต่งแฟนซีของเขารอเก้ออยู่เป็นนาน บุคคลสำคัญผู้นั้นคือเซเง็น ฮะยะมิ ผู้ว่าการตำรวจแห่งชาติที่แต่งชุดแฟนซีเป็นคนหามเสลี่ยงขึ้นเขาคู่กับเขาซึ่งคงจะยืนเฝ้าเสลี่ยงแบบแขวนคอยโกะเฮอยู่อย่างกระวนกระวายว่าทำไมไม่มาสักที เซเง็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการตำรวจคนนี้เป็นนักดื่มชนิดหัวราน้ำ มีนิสัยขี้โมโหและไร้มารยาทอย่างที่สุดซึ่งเหมาะสำหรับปราบปรามพวกหัวโขมยมาก การเชิญมาเข้าสมาคมนานาชาติอย่างเช่นงานนี้เจ้าภาพต้องคอยระมัดระวังเป็นอย่างดีไม่ให้เขาก่อเหตุที่จะทำลายเกียรติภูมิของประเทศชาติ เจ้าตัวชอบไปงานสมาคมมากเสียด้วย โกะเฮรู้ดีว่าถ้าไปบอกว่านายไม่ควรไปงานสมาคมแบบนี้หรอกนะ เซเง็นจะต้องเสียใจอย่างไม่มีใดปานซ้ำคงทำท่าเหมือนจะตายเสียให้ได้ เขาจึงจำใจต้องเชิญมา
ตอนที่โกะเฮผลุนผลันมาถึงห้องจัดงานลีลาศนั้นเซเง็นไม่ได้ยืนคอยอยู่ตรงประตูทางเข้าสำหรับแขกอย่างที่เขาคิด แต่กลับไปยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าออกของหญิงรับใช้ที่ยกอาหารมาเสิร์ฟ วางเสลี่ยงแอบเอาไว้แล้วคอยฉกกับแกล้มจากถาดใส่ปากพลางดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์ พอเห็นโกะเฮ นายตำรวจใหญ่ก็ร้องทักดังลั่น
“เฮ้ย มาแล้ว มาแล้ว เอ็งแบกข้างหน้านะข้าแบกหลังเอง แต่เอ็งอย่ารับไอ้พวกจิ๊กกะโล่ขึ้นมานะ รับแต่สาวสวย ๆ เท่านั้นโว้ย ขืนรับไอ้พวกนั้นนขึ้นมาละก้อ ข้าถีบลงไปไม่รู้ด้วย” นั่นคือฤทธิ์เดชของผู้ว่าการตำรวจแห่งชาติ
คู่แฟนซีทั้งสองหามเสลี่ยงกันคนละด้านเดินเหยาะตามเสียงร้องให้จังหวะของเซเง็นเข้าไปในห้องเต้นรำ
นายกโยะชิกิยืนสงบนิ่งอย่างน่าเกรงขามอยู่ในชุดนักรบสวมเสื้อเกราะและหมวกครบครันมือหนึ่งถือพัดคู่มือแม่ทัพ แต่จริง ๆ แล้วทุกครั้งเมื่อมองไปทางท่านทูตชาเมรอส เขาจะกระวนกระวายจนแทบบังคับใจต่อไปไม่ไหวแล้วว่าโอะริเอะมัวทำอะไรอยู่ เมื่อไรจะปรากฏตัวออกมาเสียที
ชาเวรอสเองก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เท็นโรกุในชุดนักบวชศาสนาชินโตมองออกจึงเข้าไปชวนคุยและเกาะติดไม่ยอมห่างมาตั้งแต่เมื่อครู่เหมือนจงใจแกล้งกัน
ส่วนท่านทูตฟรังเก็นไม่ได้แต่งชุดแฟนซีแต่สวมหน้ากากกำลังเต้นรำอยู่บนฟลอร์กับอะสึโกะที่สวมแต่หน้ากากเหมือนกัน คันดะน่าจะมาในงานด้วยแต่มองไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าแต่งแฟนซีเป็นใคร
นายกโยะชิกิทนไม่ไหวจึงเรียกโกะเฮในชุดคนหามเสลี่ยงเอาไว้
“หนูโอะริเอะทำอะไรอยู่ ป่านนี้แล้วยังไม่เห็นออกมาเสียที”
“อะไรนะ อ้าวน่าจะมาแล้วนะ ลอดสายตาท่านไปรึเปล่า”
“บ้าน่า ผมจ้องจนตาจะถลนมาครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่เห็นหัวเลย เอ๊ะ...นี่คุณเป็นอะไรไปรึ” ท่านนายกทักเพราะเห็นโกะเฮเหงื่อซึมเต็มหน้าผากทั้งยังหายใจหอบด้วย แต่โกะเฮหัวเราะนิด ๆ บอกว่า
“ไม่มีอะไรหรอกท่าน หามเสลี่ยงวิ่งมากไปหน่อยเท่านั้นเอง เรื่องโอะริเอะผมจัดการเดี๋ยวนี้เลย”
โกะเฮเดินเข้าไปถามอะสึโกะที่กำลังเต้นรำอยู่กับท่านทูตฟรังเก็นแล้วเดินกลับมารายงานว่า
“เดี๋ยวก็คงจะมาครับ”
“งั้นเหรอ โล่งใจไปที”
โกะเฮดีใจที่จัดการได้เรียบร้อยจึงกลับไปนั่งประจำที่
พอดีกับโอะริเอะปรากฏตัวในชุดเทพธิดาวีนัสสรงน้ำอุ้มคนโทตามที่อะสึโกะแม่เลี้ยงของหล่อนสั่งไว้ โอะริโอะสวยเด่นเป็นสง่า ส่งสายตาพร้อมรอยยิ้มแจ่มใสให้แก่ผู้คนรอบข้างขณะเยื้องกายไปทางท่านทูตชาเมรอส พอเดินมาได้อีกราว 3 ก้าวจะถึงตัวท่านทูตเด็กสาวก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาโดนแขนซ้ายที่อุ้มคนโทอยู่ จึงมองไป
“ว้าย” โอะริเอะร้องเสียงแหลมเล็กขณะงอตัวลงไป สิ่งที่หล่อนเห็นคืองูที่เลื่อยจากคนโทออกมาพันแขนอยู่ตรงนั้นโอริเอะปล่อยคนโทลงไปแตกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่กับพื้นแล้วซวนเซล้มทับลงไป
ผู้คนกรูกันเข้ามาที่โอะริเอะ ท่านทูตชาเมรอสตรงเข้ามาประคองเด็กสาวเอาไว้ส่วนคนอื่น ๆ ช่วยกันกระทืบงูจนตายพร้อมสบถสาบานกันเสียงขรม ทันใดนั้นเอง
“เฮ้ย หมอ เรียกหมอเร็ว” เสียงก้องกังวานนั้นดังมาจากอีกมุมหนึ่งห่างออกไปจากกลุ่มคนที่กำลังรุมล้อมอยู่รอบโอะริเอะ
ทุกคนหันควับไปทางต้นเสียงก็เห็นนายตำรวจใหญ่ในชุดคนหามเสลี่ยงทิ้งเครื่องมือหากินยืนตะลึงอยู่ ส่วนชายในชุดพระธุดงค์สวมเสื้อคลุมดำวางขลุ่ยในมือไว้ทางหนึ่งกำลังเข้าไปประคองคนหามเสลี่ยงอีกคนหนึ่ง
โกะเฮ คะโนถูกฆาตกรรม ต่อหน้าต่อตาผู้ว่าการตำรวจแห่งชาติ
ยังดีที่เซเง็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการตำรวจยังไม่ลืมอาชีพที่แท้จริงของตน
“ทุกคน ขอให้อยู่ในความสงบ อยู่ในความสงบครับ”
เซเง็นสั่งเสียงดังกังวาน ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั่นแหละที่ตื่นเต้นวุ่นวายที่สุด เขาทำมือทำไม้กางแขนออกเหมือนกำลังพยายามสกัดกั้นกระแสน้ำในแม่น้ำสายใหญ่
“ขอให้ทุกคนอยู่กับที่ อยู่กับที่ ชั่วระยะหนึ่งครับ ขณะนี้เกิดเหตุฆาตกรรมที่อุกอาจมาก เราจะปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไปไม่ได้ ขอให้ทุกคนอยู่กับที่ กรุณาอยู่ในความสงบ อย่าเคลื่อนที่ไปไหนจนกว่าแพทย์กับนักสืบจะมาถึงนะครับ”
เคราะห์ยังดีที่คฤหาสน์คะโยตั้งอยู่ในตำบลอุชิโงะเมะยะไรมะชิ ซึ่งเป็นย่านที่นายตำรวจใหญ่จะหานักสืบคนอื่นไม่ได้นอกจากชินจูโร ยูกิ เพราะบ้านของสุภาพบุรุษนักสืบผู้นั้นอยู่ที่คะงุระซะกะใกล้ ๆ นี้เอง
เซเง็นรู้สึกเบาใจเป็นอันมากเมื่อรู้ว่าจ่าชิกะโซ ฟุรุตะผู้เฒ่าอยู่ในหน่วยตำรวจป้องกันภัยที่ถูกเกณฑ์มารักษาการที่คฤหาสน์คะโนครั้งนี้ด้วย
“ดีใจมากเลยที่นายอยู่ที่นี่ด้วย ช่วยวิ่งไปตามนักสืบชินจูโรที่คะงุระซะกะ มาด่วนจี๋เลย อ้าว...จะหันรีหันขวางอยู่ทำไม วิ่งไปเร้ว”
ชิกะโซโกยแน่บออกไปตามคำสั่งของนายตำรวจใหญ่ ความจริงแล้วอาจเรียกได้ว่าเขาเป็นตำรวจประจำตัวของชินจูโรด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุเขามีหน้าที่วิ่งไปตามนักสืบเอกผู้นี้
ชินจูโร ยูกิ เป็นหลานปู่ของแม่ทัพเอกและเป็นลูกชายคนสุดท้องของเสนาบดีผู้มีความสำคัญคนหนึ่งในรัฐบาลโชกุน โทะกุงะวะ เขาเป็นหนุ่มหัวนอกเดินทางไปศึกษาจากประเทศตะวันตกและกลับมาพร้อมกับวิชาความรู้แผนใหม่ มีความรอบรู้สารพัดเกินกว่าคนทั่วไปห้าคนรวมกัน
อิซุมิยะมะ โทระโนะซุเกะอยู่บ้านติดกับชินจูโรทางด้านขวา เขาเปิดสำนักสอนฟันดาบอยู่ในละแวกบ้าน และมีรายได้จากการรับจ้างสำนักงานตำรวจสอนศิลปะการฟันดาบให้แก่พวกตำรวจสายตรวจจับอีกทางหนึ่งด้วย
โทระโนะซุเกะเป็นคนประเภทที่พอชอบทำอะไรแล้วจะมุ่งมั่นทำอย่างหัวปักหัวปำ และสิ่งที่เขาชอบเป็นพิเศษก็คือการเป็นนักสืบ การครุ่นคิดเพื่อคลี่คลายคดีปริศนาลึกล้ำซับซ้อนนั้นเป็นความสุขอย่างไม่มีใดปานสำหรับเขา ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องฆาตกรรมเขาจะทิ้งงานการที่ทำอยู่แล้วรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุทันที พอไปถึงก็จะแหวกกลุ่มตำรวจสายตรวจจับที่เป็นลูกศิษย์ของเขาเข้าไปดูเหตุการณ์อยู่หน้าสุด ขั้นแรกโทระโนะซุเกะจะสูดหายใจเข้าปอดตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อจากนั้นจึงตั้งสมาธิใช้สมองมองสถานการณ์โดยรอบอย่างละเอียดอยู่เงียบ ๆ แต่สมองของเขาเป็นเหมือนตาเหล่และตาบอดสีผสมกันคือไม่ว่าจะมองอย่างไรรูปคดีก็ไม่ชัดเจนขึ้นมาสักที
ครั้นกลับมาถึงบ้านโทระโนะซุเกะก็จะเล่าเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นให้เพื่อนบ้านที่มาชุมนุมอยู่ฟังกันพร้อมทั้งสันนิษฐานรูปคดีหลายแง่มุมอย่างคนฉลาดเฉียบแหลม การทำเช่นนั้นเป็นความสุขที่สุดในชีวิตชายผู้นี้ แต่หลังจากที่ ชินจูโรกลับมาจากเมืองนอก ทุกครั้งที่ได้ฟังคำสันนิษฐานของโทระโนะซุเกะหนุ่มหัวนอกคนนี้จะต้องโต้แย้ง และเดาตัวฆาตกรตัวจริงถูกทุกครั้งไป โทระโนะซุเกะเสียหน้าแต่ก็อดไม่ได้ที่จะนับถือความสามารถของชินจูโรที่ไขปริศนาลึกลับซับซ้อนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นักสืบหนุ่มจับจุดที่หลายคนมองข้ามได้อย่างฉับไว และไม่ว่าคนร้ายจะใช้กลเม็ดเด็ดพรายลึกล้ำเพียงไรก็ไม่มีทางรอดมือเขาไปได้ ดังนั้นตั้งแต่ได้มาเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงและประจักษ์ในฝีมือกันเช่นนี้เวลาเกิดฆาตกรรมขึ้นคราวใด โทระโนะซุเกะเป็นต้องพาชินจูโรไปยังสถานที่เกิดเหตุด้วยเสมอ และไม่ว่าคดีนั้นจะลึกลับซ่อนเงื่อนยากเย็นแค่ไหนชินจูโรก็สามารถแก้ปมปริศนาจนลุล่วงทุกครั้งจนเป็นที่เลื่องลือกันทั่วไป
ชินจูโร ยูกิมีชื่อเสียงขจรขจายในนามของสุภาพบุรุษนักสืบรูปงามของญี่ปุ่นผู้ผ่านการศึกษาจากประเทศตะวันตก หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับลงข่าวกันเกรียวกราวจนเขากลายเป็นบุคคลยอดนิยมแห่งยุคสมัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติยื่นความจำนงขอให้เขามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกนักสืบ แต่ชินจูโรเป็นคนเกลียดการทำงานประจำที่ต้องอยู่กรอบระเบียบข้อบังคับจึงปฏิเสธขอเป็นแค่นักสืบรับจ้างเพราะชอบการสืบสวนเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่ได้รับแจ้งว่าเกิดคดีสำคัญเขาจะรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุแล้วใช้ความสามารถขั้นอัจฉริยะวินิจฉัยรหัสคดีได้เป็นฉาก ๆ ราวกับมีตาทิพย์ และผู้มีหน้าที่ตามตัวเขาก็คือจ่าชิกะโซ ฟุรุตะผู้เฒ่าคนนี้เอง
จะกล่าวถึงคนที่อาศัยอยู่ในบ้านด้านซ้ายของชินจูโร เขาคืออิงงะ ฮะนะโนะยะ นักเขียนนวนิยายเริงรมย์ที่ยังมีชื่อเสียงไม่มากนัก เมื่อพูดถึงนวนิยายเริงรมย์คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงนักเขียนชาวเอะโดะหรือไม่ก็ชาวโอซากา แต่ฮะนะโนะยะนั้นเดิมทีเป็นตำรวจลาดตะเวนอยู่ที่แคว้นอะสึมะทางใต้ ตอนเกิดการประจันบานระหว่างกองทัพรัฐบาลโชกุนกับกองกำลังฝ่ายปฏิรูปที่ย่านโทะบะและฟุชิมิในเกียวโตช่วงก่อนที่จะย่างเข้าสมัยเมจินั้น อิงงะเป็นนายกองทะลวงฟันสวมรองเท้าแตะฟางกวัดแกว่งดาบซามุไรโลดไล่ฝ่ายปฏิปักษ์ให้ต้องถอยร่นเข้าไปจนมุมอยู่ในวัดคังเอจิที่อุเอะโนะ
ไม่รู้ว่าเหตุผลกลใดชายผู้นี้จึงนิยมอ่านนวนิยายเหลือเกินทั้งยังชอบบรรยากาศของเมืองใหญ่มากด้วย เมื่อญี่ปุ่นย่างเข้าสู่สมัยเมจิซึ่งเป็นยุคเปิดประเทศรับอารยธรรมจากตะวันตก เพื่อนร่วมสังกัดของเขาส่วนใหญ่ยังรับราชการกันต่อไปใส่เครื่องแบบเดินกร่างไปทั่ว แต่ชายผู้นี้กลับมุ่งมั่นไปอีกทางหนึ่งคือสมัครเป็นลูกศิษย์ของนักเขียนนวนิยายเริงรมย์คนหนึ่งและร่ำเรียนฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจังจนพอที่จะเขียนนวนิยายเป็นเรื่องเป็นราวของตนเองได้ ทว่าผลงานของเขาถูกกีดกันจากวงวรรณกรรมของยุคสมัย ถูกมองว่าเป็นนักเขียนบ้านนอกมือสมัครเล่นบ้าง แนวคิดผสมปนเประหว่างพุทธศาสนากับศาสนาชินโตบ้าง สุดแต่จะสรรหาถ้อยคำมาตำหนิติเตียน แต่ก็ยังดีที่มีนักอ่านระดับคนลากรถและพวกสาวใช้เป็นแฟนกันอย่างเหนียวแน่น เลื่องลือกันว่าเป็นนักประพันธ์ที่เขียนเรื่องได้เก๋เท่กว่าคนอื่น ๆ
ชายผู้นี้เป็นอีกคนหนึ่งที่มุ่งมั่นอย่างเอาเป็นเอาตายกับสิ่งที่ชอบโดยเฉพาะการสืบสวนคลี่คลายปมปริศนาอยู่ในวงเดียวกับโทระโนะซุเกะ เขาจำฝีเท้าของจ่าชิกะโซได้ดี พอได้ยินฝีเท้าตำรวจผู้เฒ่าก้าวผ่านประตูรั้วบ้านของชินจูโรเขาก็จะรีบแต่งเนื้อแต่งตัวออกไปยืนคอยที่ประตูรั้ว และพอชินจูโรเดินออกมาก็จะกรากเข้าไปบอกว่า
“เราไปกันเถอะคุณ” พร้อมกับชำเลืองไปที่นาฬิกาพก “อือม์ คงต้องรีบกันหน่อยละ”
ราวกับมีคนมาขอความช่วยเหลือแล้วก็เดินดุ่ม ๆ ตามนักสืบหนุ่มไป ส่วนโทระโนะซุเกะพอเห็นคนทั้งสามออกจากบ้านก็ผลีผลามลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ให้เข้าที่ทะมัดทะแมง ตะโกนไล่หลังไปว่า
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ไม่รอกันเลยรึไง บ้าจริง” แล้วรีบใส่เกี๊ยะกวดตามไปติด ๆ ชินจูโรงามสง่าอยู่ในชุดสูททันสมัยตัดที่ปารีสถือไม้เท้าก้านเรียวเพรียว ส่วนฮะนะโนะยะซึ่งเป็นคนทันสมัยไม่น้อยหน้าใครอยู่ในชุดสากลดูดีไม่แพ้กันแถมยังใส่หมวกถือไม้เท้าและคาบซิการ์อันเป็นสัญลักษณ์ส่วนตัวเสียด้วย
ชายทั้งสามเดินตามจ่าชิกะโซมาถึงคฤหาสน์คะโนที่ตำบลยะไร
เซเง็น ฮะยะมิ ผู้ว่าการตำรวจแห่งชาติออกมาต้อนรับถึงประตูรั้วแล้วสัมผัสมือกับชินจูโรอย่างหนักแน่น
“ผมเห็นมีคุณคนเดียวที่พึ่งได้ในประเทศญี่ปุ่นอันกว้างใหญ่นี้ กรุณาช่วยหน่อยเถิดครับ”
(โปรดติมตามตอนต่อไป)