xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัสห้องปิดตาย จากแฟ้มสืบสวนคดีฆาตกรรมอำพรางยุคปฏิรูปเมจิ (ตอนที่ 2)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์

2

บาดแผลของโทเบเป็นแผลถูกแทงจากข้างหลังอย่างแรงทีเดียว ปลายดาบทะลุบริเวณตับออกมาราวนิ้วหนึ่ง ดาบที่ใช้แทงยังคาอยู่กับศพ ดาบสั้นซึ่งฆาตกรใช้เป็นอาวุธสังหารนั้นเป็นดาบคู่มือของโทเบ และเป็นดาบเล่มเดียวของตระกูลคะวะกิ สภาพของศพที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าบ่งชี้ว่า โทเบถูกใครสักคนปลิดชีวิตด้วยดาบสั้นของตนเอง ตอนที่พบศพนั้นเลือดไหลนองเป็นทะเลออกมาจากบาดแผลถูกแทง ส่วนสิ่งของที่เก็บไว้ในตู้เซฟนั้นไม่มีร่องรอยว่าถูกโจรกรรมแต่อย่างใด

พอโทระโนะซุเกะพึมพำขึ้นว่า “อย่างนี้ ตอนสองยามนายโทเบจะต้องถูกฆ่าแล้วแน่เลย น่าจะตายหลังพลบค่ำไม่นาน ตอนนั้นแหละที่มือมีดคงลอบเข้ามาแทงเขาข้างหลังด้วยดาบสั้น” ฮะนะโนะยะ ก็หัวเราะแล้วบอกว่า

“เรื่องนั้นมันก็สำคัญอยู่หรอก แต่ที่น่าประหลาดคือประตูห้องติดสลักกลอนจากข้างในไม่ใช่รึคุณ เราต้องใช้ดวงตาแห่งสมองเพ่งพิจารณาไปที่จุดนี้ต่างหาก”
สลักกลอนที่เป็นปริศนาลึกลับในคดีฆาตกรรม
โทระโนะซุเกะจ้องหน้าคู่ปรับของเขาเขม็ง...หนอยแน่ะทำมาพูดโอ่ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มองรูปคดีได้ไม่ลึกซึ้งสักเท่าไร ท่าทีเช่นนั้นของฮะนะโนะยะทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

นักสืบหนุ่มชินจูโรขอให้คนในครอบครัวช่วยกันยกบานประตูที่ถูกทลายเข้าไปให้ขึ้นมาเข้ารูปเข้ารอยตามเดิมแล้ว จึงเริ่มตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน สลักกลอนที่ขัดประตูไว้หลุดออกด้วยแรงกระแทกจากภายนอก ขณะที่ตัวรับสลักกลอนยังติดอยู่ดีกับบานประตู

ชินจูโรพบตะปูขนาดห้านิ้วตัวหนึ่งตกอยู่ห่างออกไปสองสามฟุต ตะปูดอกนั้นไม่คดงอและไม่มีร่องรอยขีดข่วน

“ตอนพวกเจ้าพังประตูเข้าไป สลักกลอนมันคงจะหลุดออกง่าย ๆ ซีนะ ตะปูห้านิ้วตัวนี้ถึงไม่มีรอยขีดข่วนอะไร ตัวรับสลักกลอนก็ยังอยู่ดีไม่บุบสลาย”

“อย่างนี้ก็แปลว่าประตูไม่ได้ใส่สลักกลอนแต่มีอะไรสักอย่างที่ทำให้ประตูติดขัดเปิดไม่ออก พอเปิดประตูไม่ออกก็เลยปลงใจเชื่อกันว่าประตูติดสลักกลอนอยู่ข้างใน อย่างนั้นหรือครับ”

นักดาบร่างใหญ่หัวเราะเมื่อได้ยินคนที่เขาหมิ่นว่าเป็นนักสืบบ้านนอกขยายขี้เท่อออกมา

“ที่ว่าอะไรสักอย่างของคุณน่ะมันอะไรถึงทำให้เปิดประตูไม่ออก ไหนลองบอกมาให้ตรงจุดเลยซิว่ามันอะไรกันแน่”

“มันก็คืออะไรที่ทำให้มันเป็นไปตามที่เจ้าฆาตกรต้องการน่ะซี”

โทระโนะซุเกะหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น

นักสืบรูปงามเรียกโอะชิโนะนางสาวใช้ที่เกิดความสงสัยเรื่องประตูปิดตายเป็นคนแรกเข้ามาสอบถาม นางคนนี้เป็นสาวอายุราวยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง มาอยู่กับครอบครัวนี้ได้ห้าปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้นางคุ้นเคยกับชีวิตเมืองหลวงที่นิฮนบะชิแห่งนครเอะโดะเป็นอย่างดี

“เจ้าลองดึงประตูบานนี้ดู พอดึงไม่ออกก็เข้าใจว่ามันติดสลักกลอนอยู่ข้างในอย่างนั้นใช่ไหม”

“เจ้าค่ะท่าน”

“ทำไมถึงเข้าใจว่าประตูติดสลักกลอนอยู่ล่ะฮึ”

“สลักกลอนมันอยู่ด้านโน้นของประตู บ่าวก็ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองหรอกเจ้าค่ะว่าประตูมันติดสลักกลอน แต่รู้ว่าประตูบานนี้ถ้าเราใส่สลักกลอนขัดไว้มันจะเปิดไม่ออก นอกจากนั้นก็ไม่มีกลไกอะไรอื่นที่จะมาทำให้มันเปิดไม่ออกหรอกเจ้าค่ะ”

“สลักกลอนประตูน่ะนะ ถึงจะถูกสับเอาไว้แต่ก็พอมีช่องแคบ ๆ ให้มองลอดเข้าไปเห็นว่าสลักกลอนติดอยู่รึเปล่า”

“ไม่ต้องทำอย่างงั้นก็รู้เจ้าค่ะ เพราะมันแน่อยู่แล้วว่าถ้าเปิดประตูไม่ออกก็แปลว่าติดสลักกลอนอยู่ข้างใน”

“เอาเถอะ ว่าแต่เจ้าเห็นนายผู้ชายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ฮึ”

“เมื่อคืนนายท่านสั่งบ่าวว่า คืนนี้นายคะซุเกะคงจะมาหา และถ้าเขามาให้พาขึ้นไปหาท่านที่โกดังเจ้าค่ะ ที่นี้พอเห็นหน้านายคะซุเกะ บ่าวก็เลยพาขึ้นไป”

“นายคะซุเกะคนนี้คือใคร”

“เขาเป็นหัวหน้าเสมียนทำงานอยู่ที่นี่จนถึงฤดูใบไม้ผลิปีนี้เจ้าค่ะ นายคะซุเกะออกไปเมื่อเดือนพฤษภา น่าจะเป็นเพราะถูกนายท่านด่าแล้วก็ไล่ออกไปนะเจ้าคะ”

“ถูกด่าเรื่องอะไรกันฮึ”
“ซุเอะฮิโระเท” ที่ชินจุคุ สร้างขึ้นเมื่อปี 1897 ในสมัยเมจิเป็นโรงมหรสพจัดแสดง “ระคุโงะ” การเล่าเรื่องขำขันศิลปะการแสดงดั้งเดิมของญี่ปุ่น มาจนทุกวันนี้
“คือเขาก็ซุบซิบกันไปต่าง ๆ นานา ละเจ้าค่ะ บางก็ว่านายคะซุเกะหลงรักคุณนายจนหัวปักหัวปำ บ้างก็ว่าชอบกินเหล้าเมาแล้วพาลเกเร แต่ไม่เป็นความจริงเลยนะเจ้าคะ นายคะซุเกะคนนี้เป็นเสมียนที่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างจะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในนิฮนบะชิ ดูเถิดนะเจ้าคะทำงานเป็นหัวหน้าเสมียนให้ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้มาสิบกว่าปี ถูกไล่ออกจะทำอะไรได้นอกจากอยู่อย่างยากจนเต็มทีได้แต่ค้าขายอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตามประสา ดูพวกหัวหน้าเสมียนบ้านอื่นเสียบ้าง แต่ละคนอยู่ดีกินดีกันทั้งนั้น หาเศษหาเลยเก็บหอมรอมริบเอาไว้ปรนเปรอหญิง มีแต่นายเสมียนคนซื่อของเราคนเดียวเท่านั้นแหละเจ้าค่ะที่เป็นคนซื่อสัตย์มีระเบียบวินัยอย่างที่เสมียนแถวนี้เทียบไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บ ถึงจะเที่ยวผู้หญิงบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ตามที ดูเหมือนนายท่านจะเสียใจเหมือนกันนะเจ้าคะเมื่อได้ข่าวว่านายคะซุเกะลำบากลำบนขนาดนั้น”

“ชูซะกุ ที่เป็นหัวหน้าเสมียนอยู่ตอนนี้ล่ะเป็นคนยังไง”

“เรื่องนี้บ่าวไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ”

นักสืบหนุ่มจับได้ว่าที่หล่อนไม่ชมคน ๆ นี้นั้น น่าจะแฝงความหมายเชิงลบอะไรสักอย่างเอาไว้

“นายคะซุเกะมาที่นี่กี่โมง”

“ราวสามทุ่มกว่า ๆ เจ้าค่ะ เงียบหายอยู่บนนั้นสามหรือสี่สิบนาทีแล้วจึงกลับออกไป ก่อนกลับนายคะซุเกะบอกบ่าวว่า นายท่านเรียกหาคุณนายกับคุณโยะชิโอะ เอ็งจงไปบอกให้สองคนนั่นขึ้นไปหาท่านที่โกดัง บ่าวก็ไปเรียนคุณนายกับคุณ โยะชิโอะตามนั้น คิดว่าสองคนนั่นคงขึ้นไปที่โกดังนะเจ้าคะ”

“เจ้าไม่ได้เป็นคนพาขึ้นไปใช่ไหม”

“แน่ซิเจ้าคะ ก็เขาผัวเมียกันจะต้องพาทำไม บ่าวไม่เห็นตอนที่คุณนายกับคุณโยะชิโอะขึ้นไปที่โกดังแต่ตอนกลับออกมาน่ะรู้เจ้าค่ะ คุณนายเข้ามาในครัวฉวยกระปุกสาเกขึ้นมาดื่มอั๊ก ๆ ไม่หยุดเข้าไปครึ่งค่อนกระปุก แล้วยังไง พอเมาได้ที่ก็อาละวาดเอะอะใหญ่โตเลยซิเจ้าคะ บ่าวเห็นกลับเข้าไปเอะอะในโกดัง คุณโยะชิโอะตามเข้าไปถกเถียงอะไรกันอยู่สักสิบยี่สิบนาทีเห็นจะได้ หลังจากนั้นบ่าวก็ไม่ได้สนใจอีกเจ้าค่ะ”

“มีอะไรอื่นที่เจ้าคิดว่าแปลกอีกไหม”

“จะว่าแปลกก็แปลกนะเจ้าค่ะ คือ สี่ห้าวันมานี่นายท่านไม่ออกมาจากโกดังเลย ปกติท่านจะไปรับประทานข้าวที่เรือนเล็กกับคุณนาย แต่สี่ห้าวันมานี่ท่านรับประทานคนเดียวบนโกดัง และเมื่อวานซืนนี้นะเจ้าคะ พอบ่าวยกอาหารเย็นไปที่โกดัง ก็ได้ยินนายท่านกำลังด่านายเสมียนเกรี้ยวกราด บ่าวจับคำได้แค่คำสองคำอย่างว่ามีเสมียนอย่างแกนี่ร้านต้องล่มจมแน่ อะไรทำนองนี้แหละเจ้าค่ะ”

การสอบปากคำนางโอะชิโนะสาวใช้เป็นคนแรกได้ผลเกินคาด ช่วยให้นักสืบเอกจับเค้าโครงความในของครอบครัว คะวะกิได้มากพอดู

ทว่า ยังมีข้อเคลือบแคลงอยู่อีกไม่น้อย ความคิดที่ว่าชูซะกุยังหนุ่มเกินไปที่จะเป็นหัวหน้าเสมียนก็ดูมีเหตุมีผล แต่การไล่คะซุเกะออกทั้ง ๆ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเสมียนมาสิบกว่าปีนั่นมันอะไรกัน ชินจูโรคิดว่าจุดนี้น่าจะมีข้อเท็จจริงอะไรแฝงอยู่จึงตกลงใจเริ่มสืบสาวตรงนี้เป็นปมแรก ก็พอดีจ่าชิกะโซขึ้นมารายงานว่า

“ท่านขอรับ ตำรวจนักสืบเก็บกระดาษนี้ได้จากถังผงในห้องของนางโอะมะกิขอรับ”

นักสืบรูปงามรับแผ่นกระดาษที่ถูกฉีกออกเป็นสี่ส่วนจากจ่าตำรวจผู้เฒ่ามาพิจารณา และเมื่อนำมาประกอบกันเป็นแผ่นอีกครั้งก็พบว่ามันคือเอกสารใบหย่า ลงวันที่ 5 ตุลาคม ซึ่งก็คือเมื่อวานนี้ และนั่นเองที่เป็นเหตุผลว่าทำไมนางจึงดื่มสาเกจนเมามายแล้วเข้าไปอาละวาดในโกดัง

แต่ชินจูโรตกลงใจว่าจะเก็บนางโอะมะกิเอาไว้ทีหลัง

“คุณจ่าชิกะโซครับ ช่วยไปตามนายชูซะกุหัวหน้าเสมียนมาให้ผมทีเถิด แล้วก็เรียกนายคะซุเกะหัวหน้าเสมียนคนก่อนที่ถูกไล่ออกไปมาที่นี่ด้วยนะครับ”

นักสืบเอกวางแผนสืบสวนจากภายนอกให้ได้ข้อเท็จจริงที่มีน้ำหนักเอาไว้ก่อนแล้วจึงรุกเข้าวงในเป็นขั้นสุดท้าย

*
“มันเซบะชิ” ปากทางเข้าสู่ย่านอะกิบะฮะระ เมื่อเกือบ 150 ปีที่ผ่านมา
ชูซะกุมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานของคะวะกิทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดหลักแหลม ความมีเสน่ห์ผูกใจผู้คนและที่สำคัญคือต้องรูปหล่อ เสมียนหนุ่มผู้นี้รูปงามไม่มีที่ติ ใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลายิ่งทำให้ผู้ได้พบเห็นเกิดความเอ็นดูหลงรักไปตาม ๆ กัน

ชินจูโรบอกให้เสมียนหนุ่มเข้ามานั่งตรงหน้าแล้วถามว่า

“เจ้าเห็นนายท่านครั้งสุดท้ายเมื่อไร”

“เมื่อคืนนี้กระผมขอลาไปเที่ยวตั้งแต่สองทุ่มขอรับ กระผมไม่ได้พบกับนายท่านเลยทั้งวัน ใต้เท้าคงทราบว่า เมื่อวานวันที่ 5 เป็นวันพระ และที่ศาลเจ้าซุยเท็งงูมีงานออกร้าน ถนนสายนี้มีชาวบ้านมาเที่ยวกันครึกครื้นคึกคักตลอดคืน เวลามีงาน ออกร้านวันพระของศาลเจ้าที่ตรงกับวันที่ 1 วันที่ 5 และก็วันที่ 15 ทุกเดือน ร้านเราจะเปิดขายไปจนถึงสองยาม แต่ลูกจ้างไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าร้านกันทุกคนหรอกขอรับ เราแบ่งกันหยุด สำหรับกระผมกับเจ้าโชและเจ้าบุน ขอลาหยุดวันที่ 5 ตั้งแต่สองทุ่ม และไปทำงานชดเชยเอาในวันที่ 15 ถึงสองยาม ผลัดให้อีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่เฝ้าร้านวันที่ 5 ออกไปเที่ยวบ้าง อย่างนี้แหละขอรับ”

งานออกร้านวันพระของศาลเจ้าซุยเท็งงูมีคนออกไปเที่ยวกันมากที่สุดในโตเกียวพอ ๆ กับงานศาลเจ้าโคะโตะฮิระที่ โทะระโนะมง คนสมัยนี้มีที่เที่ยวสนุกมากมายคงจะนึกภาพไม่ออกว่างานศาลเจ้าซุยเท็งงูและศาลเจ้าโคะโตะฮิระที่มีคนมาเที่ยวมากที่สุดในโตเกียวสมัยนั้นจะสักขนาดไหน แม้แต่งานวัดอะซะกุซะคันนนก็ยังสู้ไม่ได้

พอถึงวันงานที่ศาลเจ้าซุยเท็งงู ชาวบ้านจะแห่มาเที่ยวกันไม่ขาดสายตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดึกดื่น แล้วจะไม่ให้ถนนหนทางแถบนี้เอะอะจอแจไปตลอดทั้งวันได้อย่างไร คนโตเกียวนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะทุกคนย่อมไม่พลาดกันอยู่แล้ว ส่วนพวกชาวไร่ชาวนาแถบชานเมืองอีกมากมายนับไม่ถ้วนนั้นเล่า ต่างก็พากันใส่รองเท้าแตะถักฟางเดินเข้ามาเที่ยวอย่างไม่ย่อท้อกับระยะทางสามสิบสี่สิบกิโลเมตร กว่าจะถึงก็ได้เวลาที่ถนนจากศาลเจ้าซุยเท็งงูถึงนิงเงียวโจทั้งสายสว่างไสวราวกับกลางวันด้วยแสงของเทียนเล่มใหญ่น้อย ร้านแผงลอยขายของจิปาถะ โรงแสดงสัตว์ประหลาด และแผงลอยขายต้นไม้เรียงรายเบียดชิดติดกันอยู่สองฟากถนน แข่งกันร้องเรียกลูกค้าเสียงขรมถมเถ

วันที่ผู้คนคับคั่งเช่นนี้เป็นธรรมดาที่ร้านค้าย่านนิงเงียวโจจะต้องเปิดขายกันไปจนสองยามเที่ยงคืน แต่น่าสงสารพวกเสมียนหนุ่มน้อยที่ไม่มีโอกาสออกไปเที่ยวงานแสนสนุกทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่ตรงหน้า ดังนั้นการอนุญาตให้ลาเที่ยวตั้งแต่สองทุ่มโดยผลัดกันทีละครั้งนั้นจึงเป็นความกรุณาไม่น้อย แสดงว่าโทเบจะต้องเป็นเจ้าของร้านที่ใจป้ำคนหนึ่ง

“เจ้าเที่ยวสนุกตลอดคืนเลยละซี”

“เปล่าขอรับ กระผมอยู่ที่นี่มาสิบปีเที่ยวงานศาลเจ้าซุยเท็งงูมาจนเบื่อแล้ว กระผมไม่ไปเดินเตร่ไปเตร่มาให้เสียเวลาหรอกขอรับ คณะคะเนะโมะโตะมาเปิดการแสดงมหรสพตั้งแต่วันที่ 1 ถึง วันที่ 15 มี เอ็นโจ นักเล่าเรื่องขำขันฝีปากเอกแห่งยุคเป็นตัวชูโรง เห็นขึ้นป้ายไว้ว่าจะเล่าเรื่องตลก ๆ ของพวกฝรั่งเป็นชุดติดต่อกันตั้งสิบห้าวัน อย่างนี้ใครจะพลาดได้ล่ะขอรับ การแสดงของคณะคะเนะโมะโตะเดือนนี้เป็นรายการบันเทิงที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนก็ว่าได้ นักเล่าเรื่องขำขันที่มาร่วมรายการก็มีแต่ดัง ๆ ทั้งนั้น เอ็นโจ เอ็นโช เอ็นยู เอ็นทะโรที่ชอบเล่าเรื่องรถม้า และอีกหลายต่อหลายคน ส่วนรายการมายากลก็มีโชอิจิ คิเท็นไซนักเล่นกลแบบฝรั่งเก่งกาจที่สุด และนางผีเสื้อแสนกลโจโนะซุเกะ การแสดงอื่น ๆ ก็มีระบำน้ำพุ และอะไร ๆ อีกมากมายขอรับ รายการแสดงเด็ด ๆ เรียงเป็นตับ ยิ่งใหญ่อย่างชนิดที่ว่าจะจัดให้ใหญ่ยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้แล้วละขอรับ คิดว่าไม่แพ้คณะกายกรรมบนหลังม้าชาริเนที่ตอนนี้กำลังดังอยู่แถวอะคิฮะบะระแน่ขอรับ”

คณะกายกรรมบนหลังม้าชารีเนที่ว่านี้คือคณะนักกายกรรมต่างชาติ 20 กว่าคน นำโดยชาวอิตาลีชื่อนายชารีเน ที่เดินทางมาญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนสิงหาคม และเปิดการแสดงที่อะคิฮะบะระเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานกันกันไปทั่วนครหลวง

เสมียนหนุ่มทรงเสน่ห์เล่าพลางหัวเราะพลางอย่างสนุก

“กระผมติดตามดูรายการเดือนนี้ของคณะคะเนะโมะโตะมาตั้งแต่วันแรกเลยนะขอรับ ดารามากับครบชุดอย่างนี้สนุกอย่าบอกใครเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องตลกของพวกฝรั่งจากฝีปากของเอ็นโจ เราจะพลาดไม่ได้แม้แต่ตอนเดียวเลยนะขอรับ แต่น่าเสียดายวันที่ 15 ที่เป็นวันสุดท้ายของการแสดงตรงกับวันงานออกร้านของศาลเจ้า และกระผมต้องอยู่เวรเฝ้าร้านจนดึก ยังดีที่เอ็นโจเป็นดาราดวงเด่นที่สุดของคณะจึงได้รับเกียรติให้แสดงเป็นการปิดฉาก กระผมคิดว่าไปก่อนปิดร้านสักสามสิบนาทีก็คงทันขอรับ”

“คณะคะเนะโมะโตะที่เจ้าดูเมื่อคืน เลิกกี่ทุ่ม”

“ราว ๆ สองยามขอรับ ออกจากโรงแสดงกระผมแวะดื่มสาเกที่ร้านซุชิจอกหนึ่ง ระหว่างเดินกลับร้านก็พูดเล่นหยอกล้อกับพวกแผงลอยที่กำลังเก็บข้าวของกันมาเรื่อย ๆ ถึงร้านราวตีสองได้ขอรับ”

“โชเฮกับบุนโซไปด้วยรึ”

“เปล่าขอรับ เด็ก ๆ ชอบเที่ยวงานศาลเจ้ามากกว่าดูมหรสพ กระผมให้ค่าขนมไปคนละหนึ่งเยน เห็นว่าเอาไปรวมกับเงินที่ได้จากร้าน แล้วทำโก้เก๋ไปกินอาหารฝรั่งที่ร้านคิวยูเท หมดไปคนละตั้งหนึ่งเยนห้าสิบเซ็น เมื่อเช้าเห็นหน้ามุ่ยไปตาม ๆ กันเลยขอรับ”

“ออกไปเที่ยวกันตั้งแต่สองทุ่มอย่างนี้คงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ตอนที่เจ้ากลับมาตอนตีสองเห็นหรือได้ยินเสียงอะไรผิดปกติบ้างไหม”

“กระผมดื่มสาเกเข้าไปจอกหนึ่ง เลยนอนหลับไม่รู้เรื่องจนเช้าเลยละขอรับ”

“ได้ยินมาว่า เมื่อเย็นวันที่ 4 ตอนเวลาอาหารเย็น นายท่านเรียกให้เจ้ามาหาที่โกดัง ท่านมีธุระอะไรรึ”

“ใช่ขอรับ เรื่องมันออกจะพูดยากอยู่สักหน่อย แต่ไหน ๆ นายท่านก็สิ้นบุญไปแล้วกระผมจะบอกโดยไม่ปิดบังละขอรับ คือนายท่านสงสัยว่าคุณนายกับคุณโยะชิโอะหลานของท่านมีอะไรกัน และก็เคี่ยวเข็ญให้กระผมบอกมาอย่าได้ปกปิด กระผมลำบากใจเหลือเกินพยายามพูดเลี่ยงไปท่าโน้นท่านี้ ก็เลยโดนด่ายับ”

“คุณนายกับนายโยะชิโอะเขามีอะไรกันยังไงรึ”

“พวกกระผมไม่รู้หรอกขอรับ ใต้เท้าถามเจ้าตัวเองดีกว่า”

“ตอนตีสองที่เจ้ากลับมาน่ะ นายโยะชิโอะไม่อยู่แล้วรึ”

“กระผมนอนอยู่ทางด้านที่ใกล้กับพวกเสมียนเด็ก ๆ ส่วนคุณโยชิโอะนอนใกล้ไปทางเรือนเล็ก ค่อนข้างจะห่างกันอยู่ กระผมจึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยขอรับ”

การพบใบหย่าทำให้คิดได้ว่านางโอะมะกิกับนายโยะชิโอะมีอะไรกันจริง ถ้าเป็นเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์แบบนี้ละก้อนักสืบบ้านนอกสมัครเล่นถนัดนัก ฮะนะโนะยะเรียกหญิงรับใช้พร้อมทั้งเสมียนวัยรุ่นมาชุมนุมพร้อมเพรียงกันแล้วเริ่มซักถามทันที สาวใช้มีนางโอะชิโนะ นางโอะโทะมิ เสมียนวัยรุ่นมี ฮิโกะทะโร เซ็นกิจิ บุนโซ เป็นต้น นางสาวใช้สองคนนั้นช่างพูดเสียเหลือจนจับต้นชนปลายไม่ถูก เสมียนวัยรุ่นเสียอีกยังได้เรื่องได้ราวกว่า แต่ละคนเล่าเรื่องตามความเป็นจริงโดยไม่มีการแทรกคำวิพากษ์วิจารณ์ สรุปได้ว่าการมีอะไรกันระหว่างโอะมะกิกับนายโยะชิโอะนั้นมันชัดยิ่งกว่าชัดจนกลายเป็นอาหารปากของชาวบ้านละแวกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
กำลังโหลดความคิดเห็น