xs
xsm
sm
md
lg

เตือน! กลุ่มชายรักชาย เสี่ยงเอดส์สูง แนะ..ไม่ต้องอาย รีบตรวจไว้ ก่อนจะสายเกิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สรุปปัญหาเอดส์ประเทศไทย เผย..กลุ่มชายรักชายเสี่ยงสูงกว่าเพื่อน ไดเร็กเตอร์ยูเอ็น ออกปากเตือน “ไม่ต้องอาย หากต้องไปตรวจเช็ก” และปัจจุบันก็มายาต้านเอชไอวีช่วยดูแลป้องกันแล้ว

“โรคเอดส์” นับเป็นโรคที่ร้ายแรง นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทยมีจำนวนถึงหลักแสนคน ถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก กระทั่งทางภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันรณรงค์เพื่อที่จะควบคุมปัญหาดังกล่าว และก็เป็นที่น่ายินดี เมื่อในปัจจุบัน อัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเรื่อยๆ

“สตีฟ เคราช์” ไดเร็กเตอร์แห่งสหประชาชาติ หรือ “ยูเอ็น” ประจำสำนักงานในแถบเอเชียแปซิฟิก (Director Regional Support Team Asia and the Pacific) ซึ่งทำงานด้านการรณรงค์เรื่องโรคเอดส์มากว่า 30 ปี ระบุว่า “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะยุติปัญหาโรคเอดส์ให้ได้”

• ถามถึงสถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทย ณ ตอนนี้ หน่อยค่ะว่าเป็นอย่างไรบ้าง

สถิติที่เมืองไทย เมื่อ 30 ปีที่แล้ว การติดเชื้อ HIV จะติดเชื้อจากผู้หญิงบริการเยอะ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ปัจจุบันนี้จำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่ค่อนข้างลดลง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าดีทุกอย่าง แต่มันก็เปลี่ยนแปลงไป คนที่ติดเชื้อจะเป็นกลุ่มเฉพาะมากขึ้น เช่น กลุ่มชายรักชาย อันนี้คือสถานการณ์เมืองไทยตอนนี้ เรียกว่าดีขึ้นแต่ก็ยังมีปัญหาบางส่วน

เมื่อปี 1991 จะอยู่ที่ประมาณ 140,000 คนที่ได้รับการติดเชื้อใหม่จะเพิ่มขึ้นแบบนี้ทุกปีๆ แต่ในสมัยนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน จะค่อนข้างเปลี่ยนแปลงเยอะเพราะสมัยนั้นจะมีนโยบายว่าถ้าจะไปเที่ยวหญิงบริการจะต้องใช้ถุงยางอนามัยตลอด 100 เปอร์เซ็นต์ต์ ซึ่งสถิติการติดเชื้อก็จะน้อยลงๆ แต่ตอนนี้จะเป็นกลุ่มชายรักชายที่มีมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ต์ แต่สถิติโดยรวมจากแสนกว่าคนก็ลดลงมาอยู่ที่ 6,900 คน ถือว่าลดลงเยอะมากๆ ซึ่งตอนนี้ถือว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในเรื่องนี้เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกเลยครับ แต่ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เราดีขึ้นจริง แต่เราจะไม่หยุดอยู่แค่การควบคุมโรค เราต้องการที่จะยุติปัญหาโรคเอดส์เลย

• การยุติปัญหาโรคเอดส์ในที่นี้หมายถึงอะไรคะ

ตอนนี้ประเทศไทยกำลังรณรงค์การยุติปัญหาเอดส์ ซึ่งเรามีประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ต์ที่ได้ยา ARV แล้ว ยังเหลือ 35 เปอร์เซ็นต์ต์ ซึ่งเราจะหา 35 เปอร์เซ็นต์ต์นี้ได้ยังไง รัฐบาลก็ใช้ข้อมูลในการวางแผนว่า 35 เปอร์เซ็นต์ต์นี้คือใคร แล้วเราจะจัดบริการให้เข้าถึงคนพวกนี้ได้อย่างไร ตรงนี้เลยมีการจัดบริการโดยภาคเอกชน ภาคชุมชนของเขาเอง อย่างเช่นกลุ่มชายรักชายเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อเยอะ แต่เขาไม่กล้าที่จะเข้ามาหาเรา แต่เราจะจัดบริการโดยกลุ่มของเขาเอง เข้าไปหาเขา หรือว่าคนที่ใช้ยาเสพติด เราก็จะมีคนที่ทำงานที่เป็นผู้ใช้ยาไปหา ให้ไปคุยให้คนกลุ่มเหล่านี้มาตรวจเลือดนะ มากินยานะ เพราะถ้าได้รับยาปุ๊บ ไวรัสจะลดลงทันที ไม่ไปเผยแพร่สู่คนอื่นๆ เราถือว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญของประเทศไทยเลย ที่เราให้กลุ่มคนที่เป็นเพื่อนเขาไปหาเพื่อนเขามา ไปเอาความรู้ไปให้ ให้ชวนกันมาตรวจเลือด เพราะถ้ารู้เร็ว เชื้อก็จะลดลงได้ แล้วเราก็จะได้มีชีวิตที่ยาวนานขึ้น

• เห็นว่ามีกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้ ความเข้าใจในการป้องกันการติดเชื้อ HIV ในกลุ่มชายรักชายและบุคคลทั่วไป ไม่ทราบว่ามีการรณรงค์อย่างไรบ้าง

ผมจะบอกว่าเดี๋ยวนี้รัฐบาลไทยมีนโยบายที่ดีมาก คิดไปกว้างมาก คิดไปในหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหญิงบริการ ชายรักชาย บุคคลที่ใช้ยาเสพติด หรือผู้อพยพมาจากต่างประเทศก็สามารถช่วยได้ ไม่ว่าจะไปโรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลรัฐบาลก็สามารถใช้ได้ ตรงนี้ก็เป็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐบาล ภาคเอกชน องค์กรต่างๆ ที่ช่วยคนเหล่านี้ด้วย

นอกจากนี้แล้ว ในประเทศไทยยังมีสภากาชาดไทย ซึ่งมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุเป็นองค์อุปถัมป์อยู่ ทางสภากาชาดก็เก่งมากๆ เราโชคดีมากที่มีองค์กรแบบนี้ เพราะเขาจะมีวิธีการคิดว่าควรทำยังไง เช่น จะทำยังไงที่จะลดเชื้อ HIV จากแม่ไปสู่ลูก อย่างเมื่อ 5 เดือนก่อน องค์การอนามัยโลกบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ไม่มีการติดเชื้อ HIV หรือเรียกว่าติดน้อยมากๆ เลย น้อยกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ต์เลย แล้วจากแม่สู่ลูก ในอนาคตเราก็หวังว่าจะเป็น 0 เปอร์เซ็นต์ต์จริงๆ

อย่างโรงพยาบาลสภากาชาดไทยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์สภากาชาดไทยที่ช่วยเหลือคนจน คนต่างด้าวที่อยู่ในไทย หญิงบริการ กลุ่มชายรักชาย ผู้หญิงไทยที่ท้องมาจากต่างประเทศ เรียกว่าคนทุกกลุ่มที่สามารถเข้าถึงได้หมดเลย ทุกคนถือว่ามีสิทธิเท่าเทียมกัน ซึ่งเมื่อก่อนต้องบอกว่าไม่มียาฟรีแต่เดี๋ยวนี้ฟรี ดีมากๆ ครับ รัฐบาลไทยไม่ขี้อายด้วยเพราะรัฐบาลจะรับฟังทุกปัญหาว่าอะไรดี ไม่ดีอย่างไร ทำให้ดีขึ้นๆ ทุกปี

• ส่วนตัวแล้วคุณสตีฟทำงานด้านนี้มานานแล้วหรือยังคะ และการรณรงค์เรื่องโรคเอดส์สามารถเข้าถึงประชาชนและลดปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน

มทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์มา 30 ปีแล้วครับ ทำในตำแหน่ง Director Regional Support Team Asia and the Pacific ผมจะบอกว่าสถานการณ์ในโลกดีขึ้นเยอะ ก่อนหน้านี้ที่ไม่มียา ถ้าติดเชื้อแล้วจะต้องเสียชีวิตแน่นอน 99.99 เปอร์เซ็นต์ แต่ประมาณ 20 ปีที่แล้วมียาขึ้น ถึงยาจะไม่ค่อยเพอร์เฟ็คต์ แต่ก็ถือว่าดีขึ้นเยอะ ซึ่งถ้าเป็นยาดีเลยก็จะแพงมาก คนที่ไม่มีเงินก็ไม่สามารถเข้าถึง แต่เดี๋ยวนี้ที่เมืองไทยมีโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค หรือโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า สามารถรับยาได้ ซึ่งตอนนี้ที่เมืองไทยมีคนเข้าถึงยาประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนที่ติดเชื้อในเปอร์เซ็นต์เหล่านี้ที่เมืองไทยได้ยาฟรีจากรัฐบาล ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะประเทศอื่นไม่สามารถทำได้แบบนี้ แต่อาจจะไม่ได้สูงเท่ากัมพูชาเพราะกัมพูชา 75 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกัน ซึ่งถ้าเป็นคนไทย คนลาว คนพม่าหรือคนกัมพูชา รัฐบาลไทยสามารถช่วยได้ ถือว่าดีมากๆ อย่างที่ประเทศอื่นนโยบายจะไม่ใช่แบบนี้ แต่ที่เมืองไทยรัฐบาลไทยช่วยเยอะมากๆ

จริงๆ ประเด็นอยู่ตอนนี้คือ คนติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นคนกลุ่มชายรักชาย มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เป็นกลุ่มชายรักชาย สมัยนี้ยิ่งมีโซเชียลมีเดียเข้าถึงด้วย ทำให้เจอกันง่าย มีเพศสัมพันธ์กันง่ายซึ่งการใช้ถุงยางอนามัยมันสำคัญมากๆ หรืออย่างผู้หญิงที่เคยมีอาชีพขายบริการ แต่ไปแต่งงานมีสามี แต่สามีไม่รู้ หรือผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าสามีเป็นยังไง ตรงนี้ก็ต้องไปเช็คเลือดด้วย ไม่ต้องอาย ถ้ารู้จะได้กินยาทัน ซึ่งรัฐบาลให้ตรวจเลือดฟรีปีละสองครั้ง

ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีความเสี่ยง แต่อาจจะไม่รู้ว่าคู่ครองหรือแฟนมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไร วิธีการคือต้องพูดคุยกับคู่ของตัวเอง ให้เขาตระหนักถึงเรื่องนี้ด้วยจะดีที่สุด ให้คิดว่าถุงยางไม่ใช่เรื่องประหลาด ถุงยางไม่ใช่เรื่องน่าอาย ตรงนี้ก็จะช่วยได้ เพราะประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ได้เกิดจากที่ตัวเองติดเชื้อแต่เกิดจากแฟนติดเชื้อมาไม่ได้บอกเรา ซึ่งคนกลุ่มนี้เราหาตัวยากมากๆ เลย ตรงนี้ถือว่าเป็นข้อเสียเลยนะ ซึ่งเราก็สร้างองค์กรเอกชนใช้เครือข่ายเขาให้ความรู้เขา แล้วพาเขาออกมาจากที่เขาปิดตัวเอง ซึ่งเขาอาจจะคิดว่าตัวเองไม่มั่นคงไม่ปลอดภัย แต่เราจะบอกเขาว่าไม่เป็นไร ทุกคนเป็นเพื่อนกัน เพื่อจะดึงเขาออกมาให้ได้รับการดูแล

เท่าที่ผมทำงานมา จะสังเกตเห็นว่าบางคนขี้อาย ติดเชื้อแล้วแต่อาย กลัวเสียหน้า ไม่อยากกินยา ไม่อยากไปหาหมอ แต่จริงๆ ไม่ต้องอาย ถ้าอาย อาจจะเสียชีวิตได้ มีหลายคนมาหาหมอ ได้ยาไปกิน กินทุกวัน เช้า เย็น เขาก็แข็งแรงดี ต้องเลิกอายได้แล้ว ประเด็นสำคัญมากๆ เลยที่ผมทำงานตรงนี้แล้วมองเห็นคือสมัยก่อน คนเข้าไม่ถึงยา เพราะอาย บางคนอาจจะไม่อยากไปตรวจ ทั้งๆ ที่รัฐบาลมียาให้ฟรีเพราะยังอายและกลัว กลัวว่าตัวเองติดเชื้อแล้วคนอื่นจะรังเกียจ อันนี้ถือว่าเป็นอุปสรรคที่สำคัญตอนนี้เลย

ถ้าประเทศไทยสามารถก้าวข้ามไปได้ คนทุกคนมองว่าโรคเอดส์ก็เหมือนโรคปกติ เหมือนโรคเบาหวาน ความดันทั่วไป จะดีมากๆ ซึ่งหากใครมีเพศสัมพันธ์แล้วแนะนำว่าให้ไปตรวจเลือดปีละครั้งหรือสองครั้ง เหมือนเราไปตรวจโรคทั่วๆ ไป ตรวจสุขภาพประจำปีอะไรประมาณนี้ โดยรวมแล้วผมอยากให้ไม่ขี้อาย พูดคุยกับคู่ครอง เช็คเลือดบ่อยๆ

• อย่างสมัยก่อนอาจจะรณรงค์เรื่องการสวมถุงยางอนามัยเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอชไอวีขึ้นมา ซึ่งในที่นี้ถ้าคนรู้ว่ามียาต้านเชื้อเอชไอวีแล้วอาจจะทำให้การป้องกันหรือการใส่ถุงยางอนามัยน้อยลงหรือไม่อย่างไรคะ

ตรงนี้ต้องบอกเลยว่าในส่วนการมีเพศสัมพันธ์โดยใส่ถุงอนามัยช่วยได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถุงยางอนามัยจะช่วยเรื่องการตั้งครรภ์ด้วย ในกรณีที่คุณไม่อยากตั้งครรภ์ ซึ่งมันเป็นตัวช่วยที่ดีกว่าเยอะ จริงๆ เราไม่ควรกินยาอย่างเดียว เราควรใช้การป้องกันแบบผสมผสาน เพราะถุงยางอนามัยยังสามารถช่วยป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ได้ เราไม่อยากให้คนคิดว่ายาเป็นทุกอย่าง แต่พฤติกรรมต่างหากที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญ เพราะฉะนั้น พฤติกรรมบวกกับการกินยาดีที่สุด ไม่ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง พฤติกรรมต้องดี ปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัย แต่เราก็มีทางเลือกการกินยาด้วย ซึ่งใช้ควบคู่กันไปก็จะดี

• เห็นคุณสตีฟพูดถึงยาต้านไวรัสเอชไอวีบ่อยมาก ตรงนี้ไม่ทราบว่ายาตัวนี้มีประโยชน์อย่างไรบ้างคะ

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เราค้นพบวิจัยที่สำคัญที่มันเปลี่ยนรูปแบบการป้องกันโรคเอดส์ไปเลย เพราะเมื่อก่อน เราจะรู้จักแต่ยาต้านไวรัสซึ่งเราติดเชื้อแล้วเราจะกลายเป็นผู้ป่วย เราต้องกินยาเพื่อให้สุภาพเราดี แต่ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมามันมีการวิจัยบอกว่ามันมีประโยชน์มากว่านั้นอีก คือกินยาต้านไวรัสนี้แล้วมันจะช่วยไปกดไวรัสในกระแสเลือด นอกจากดีกับตัวเราแล้ว มันยังดีที่เราจะได้ไม่ต้องเอาเชื้อไวรัสนี้ไปให้กับแฟนเราด้วย อันนี้คือโลกเปลี่ยนไปเลย โรคเอดส์มันจะชะงักมากขึ้นด้วย เพราะเราสามารถไปป้องกันที่ต้นเหตุได้ ซึ่งทุกคนไม่ต้องไปกังวลกับการกินยาตัวนี้เลย เพราะมันดีทั้งต่อตัวเอง คนอื่นและต่อทั้งประเทศเลย

ทางด้านวิทยาศาสตร์เราจะมีความเชื่อว่าใช้ยา ARV คือใช้กับคนที่ติดเชื้อแล้ว แต่ตอนนี้วิวัฒนาการมันก้าวหน้ามากขึ้นไปอีกสำหรับคนที่มีภาวะเสี่ยงสูงถึงจะไม่ติดเชื้อ ณ ตอนนี้ ก็สามารถกินยาได้เพื่อเป็นการป้องกันเพราะยาแบบนี้เขารู้ว่าเขามีคู่นอนเยอะและเขามีโอกาสที่จะติดเชื้อก็สามารถกินไว้ก่อนได้ กินอย่างสม่ำเสมอ เขาก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อน้อยลง หรือว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ทั้งๆ ที่สามีหรือภรรยาเป็นเอชไอวี ซึ่งจะได้ไม่ต้องปิดบังกันอีก สามารถเปิดเผยได้

• คาดการณ์หรือมีเป้าหมายในอนาคตอย่างไรบ้าง

ปีที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จะอยู่ที่ 6,900 คน ปีหน้าเราก็อยากจะให้น้อยลงไปเรื่อยๆ อย่างเรื่องกลุ่มชายรักชาย เราทำงานด้านนี้กันมานานแล้ว แต่ผลยังไม่เป็นที่พอใจ ในปัจจุบันมีคนกินยา 65 เปอร์เซ็นต์ อนาคตเราอยากให้มี 100 เปอร์เซ็นต์ เมืองไทยวัยรุ่นอาจจะยังเข้าใจไม่มากซึ่งเราต้องเผยแพร่ให้วัยรุ่นมีความตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวมากขึ้น

ส่วนเป้าหมายการยุติปัญหาเรื่องเอดส์ในเมืองไทย เราตั้งเป้าว่าสิ้นปี ค.ศ.2030 อีก 13 ปีข้างหน้า เราต้องการให้น้อยกว่า 1,000 คน ถ้าน้อยกว่า 1,000 คนแสดงว่าเราควบคุมอยู่ เราเอาอยู่ ซึ่งอันนี้ในประเทศไทยนะครับ แต่ถ้าในเอเชีย เราอยากให้น้อยกว่า 90,000 คน ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ 300,000 คน ที่ติดเชื้อ อีก 4 ปีเราคาดว่าจะได้ตามเป้าหมายครับ

เรื่อง วรัญญา งามขำ
ภาพ : สันติ เต๊ะเปีย

กำลังโหลดความคิดเห็น