ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ พร้อมเข้าซื้อขายใน SET 29 พ.ย. 59 มั่นใจนักลงทุนตอบรับดีจากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ชูจุดแข็งเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ที่สุดในไทย และรายใหญ่ของโลก ด้านผู้บริหารตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำธุรกิจถุงยางอนามัยในไทย และกลุ่ม CLMV
นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 โดยใช้ชื่อย่อ “TNR” ในการซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หลังจากก่อนหน้านี้ได้เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ให้แก่นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไปได้จองซื้อหุ้นเมื่อวันที่ 21-23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 16 บาท พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ TNR ถือเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ที่สุดในไทย และรายใหญ่ของโลก ด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 1,959 ล้านชิ้นต่อปี จากฐานการผลิต 2 แห่ง คือ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง มีกำลังการผลิตติดตั้ง 426 ล้านชิ้น และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี มีกำลังการผลิตติดตั้งอีก 1,533 ล้านชิ้น เพื่อรองรับธุรกิจที่แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ การผลิต และจำหน่ายถุงยางอนามัยภายใต้เครื่องหมายการค้า Onetouch ที่จำหน่ายผ่านผู้จัดจำหน่าย และตัวแทนจำหน่าย เพื่อกระจายสินค้าไปยังช่องทางต่างๆ ทั้งใน และต่างประเทศ อาทิ กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ประเทศอียิปต์ ฯลฯ
กลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ถุงยางอนามัย และเจลหล่อลื่น โดยบริษัทฯ เป็นผู้รับจ้างผลิตให้แก่บริษัทเอกชน และองค์กรเอกชน (NGOs) ทั้งใน และต่างประเทศกว่า 100 ประเทศ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลีย และแถบตะวันออกกลาง รวมถึงเป็นผู้รับจ้างผลิตถุงยางอนามัยให้กับ United Medical Devices ภายใต้เครื่องหมายการค้า PLAYBOY ทั่วโลก และยังเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) ที่ได้เข้าร่วมประมูลงานจากองค์กรภาครัฐ และองค์กรเอกชน (NGOs) ในไทย และต่างประเทศ เนื่องจากมีมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพสูง สอดรับกับหลักเกณฑ์ของธุรกิจการประมูล ซึ่งออเดอร์ในส่วนนี้จะเข้ามาเติมเต็มการใช้กำลังการผลิต และลดต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วย
หลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว บริษัทฯ มีเป้าหมายจะก้าวเป็นผู้นำธุรกิจผลิต และจำหน่ายถุงยางอนามัย และเจลหล่อลื่น ภายใต้เครื่องหมายการค้า “Onetouch” ในประเทศไทย และกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งส่งผลดีอัตรามาร์จิ้นที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต ส่วนการขยายตลาดในไทย บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ “Onetouch” เป็น 35% ของตลาดรวมภายในปี 2563 จากเดิมที่มีอยู่ 20.6% ของมูลค่าตลาดรวมในช่วงเดือนกันยายน 2557 ถึงเดือนสิงหาคม 2558
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนมุ่งกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศผ่านช่องทางร้านค้าสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) และร้านค้าแบบดั้งเดิม เช่น ร้านยี่ปั๊ว ร้านซาปั๊ว ร้านขายยา รวมถึงทำประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ในตราสินค้าให้มากขึ้น ขณะที่ตลาดต่างประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) จะเพิ่มตัวแทนจำหน่าย หรือผู้จัดจำหน่ายที่มีศักยภาพ และมีเครือข่ายร้านค้าเป็นจำนวนมาก เพื่อกระจายสินค้าได้อย่างทั่วถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ จะเร่งขยายตลาดผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Onetouch ไปสู่ประเทศใหม่ๆ โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย และทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตอีกด้วย
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2556-2558 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า 1,053.2 1,182.4 และ 1,302.2 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 96.5 108.6 และ 234 ล้านบาท เพิ่มขึ้นตามลำดับ ส่วนในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า 934.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 158.1 ล้านบาท
“เรามั่นใจในพื้นฐานธุรกิจของบริษัทฯ โดยนอกจากความเชี่ยวชาญในการผลิตถุงยางอนามัย และความพร้อมในด้านกำลังการผลิตแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย ซึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้เปิดตัวถุงยางอนามัยวันทัช ซีโร่ ซีโร่ ทรี (Onetouch 003) ที่เป็นถุงยางอนามัยผิวเรียบ แบบบาง 0.03-0.038 มิลลิเมตร ที่มีความบางที่สุดเท่าที่บริษัทฯ เคยผลิต เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักอายุ 18-45 ปี ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป และชื่นชอบถุงยางอนามัยที่บางพิเศษในราคาที่คุ้มค่า ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค” นายอมร กล่าว
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำน่าย และรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทั้งในเชิงปริมาณ และมูลค่า เนื่องจากสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และช่วยคุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ก็เป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาได้ยาก เนื่องจากถุงยางอนามัยถูกจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่จะต้องผลิตให้ได้ตามมาตรฐานต่างๆ โดยในการประมูลงานจากองค์กรภาครัฐ และองค์กรภาคเอกชนนั้น ส่วนใหญ่กำหนดว่า จะต้องทดสอบคุณสมบัติตามอายุของผลิตภัณฑ์เป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี
ทั้งนี้ TNR ถือเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ผลิตที่มีคุณภาพมาตลอด 22 ปี โดยโรงงานผลิตทั้ง 2 แห่งได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานทั้งใน และต่างประเทศ อาทิ มาตรฐาน ISO 9001 มาตรฐาน ISO 13485 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทฯ สามารถผลิต และจำหน่ายถุงยางอนามัยให้แก่ลูกค้าได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก