บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 15
ปานรุ้งเดินลิ่วๆ นำไปที่รถ มีธันวาเดินตาม ส่วนปานเทพกับวิภาวีรั้งท้าย วิภาวีมองปานรุ้งอย่างรู้ทันและสะใจว่า กำลังโกรธจัดที่เสียหน้า และคงอารมณ์เสียที่กำจัดตัวเองไม่ได้
วิภาวีแกล้งเซ ทำท่าจะเป็นลม “อุ๊ย”
ปานเทพประคองไว้ “เป็นอะไรรึเปล่าวิ”
ปานรุ้งเหลียวกลับมามอง วิภาวีออดอ้อนปานเทพ
“วิเวียนหัวน่ะค่ะ คลื่นไส้ สงสัยเป็นอาการแพ้ท้อง”
“งั้นไปหาหมออีกทีไหมวิ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวคุณพาวิกลับไปพักที่บ้านก็คงหาย เอ่อ...” วิภาวีเล่นไม่เลิกแกล้งทำทีเป็น
นึกได้ ถามกับปานรุ้งอย่างเกรงใจ “วิกลับไปอยู่บ้านสมุทรเทวาได้ใช่ไหมคะ นายแม่”
ปานเทพมองดุไม่พอใจที่วิภาวีจงใจหาเรื่องปานรุ้ง
“ถ้าคุณอยากกลับบ้านก็กลับ เดี๋ยวผมไปส่ง” แล้วรีบหันไปพูดกับปานรุ้งด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ผมพาวิกลับบ้านก่อนนะครับนายแม่ เดี๋ยวผมจะรีบกลับไปทำงานที่บริษัท”
ปานรุ้งยืนนิ่ง
ปานเทพประคองภรรยาเดินไปยังรถ วิภาวีแกล้งเดินซบออเซาะปานเทพผ่านหน้าปานรุ้งไป
“วิอยากกินหูฉลามจังเลยค่ะปานเทพ คุณพาวิไปกิน ก่อนกลับบ้านน้า”
ปานรุ้งมองวิภาวีตาขุ่น
“เมื่อวานวิภาวีบอกท้อง 2 เดือน แต่ผลตรวจกลับออกมาท้อง 3 เดือน คิดว่าฉันโง่รึไง ถ้าเดาไม่ผิด ชูนามคงเกี่ยวกับผลตรวจแน่ๆ”
“แล้วคุณหญิงจะทำยังไงดีครับ”
ปานรุ้งคิดบางอย่าง แล้วหยิบมือถือโทร.เข้าเบอร์บ้านสมุทรเทวา รอจนมีคนรับสาย
“น้อย”
น้อยอยู่ในห้องโถงกลาง กำลังคุยสายกับคุณหญิงปานรุ้ง
“เรียกช่างมาแอบติดกล้องในห้องคุณปานเทพเหรอคะ ได้ค่ะคุณหญิง เดี๋ยวน้อยรีบจัดการให้เลยค่ะ”
ปานรุ้งกดวางสาย คิดถึงชูนามและวิภาวีอย่างโกรธแค้น
“ฉันเคยถูกปลิงตัวผู้เกาะดูดเงินจนชีวิตฉันพังไปครั้งนึงแล้ว ฉันจะไม่ยอม ให้ฝูงปลิงทั้งตัวผู้ตัวเมียมาเกาะดูดเงินลูกฉันอีกคน”
แววตาปานรุ้งเป็นประกายวาววาบ
อีกฟาก รถแท็กซี่ขับมาอย่างเร็ว จอดลงตรงหน้ามหาวิทยาลัยอย่างแรง ปานวาดรีบร้อนลงรถ ลนลานเข้ามหาวิทยาลัยไป
“ขอให้คุณพ่อยังมาไม่ถึงทีเถอะ”
นายพลวาสุเทพยืนรอปานวาดอยู่ริมสนามฟุตบอล ปกรณ์ยืนข้างๆ ด้วยท่าทีเลิกลัก มองหาพี่สาวพลางพึมพำ
“พี่วาดหายไปไหนเนี่ย”
“ทำไมพี่วาดยังไม่มาอีก” วาสุเทพถามเสียงเข้ม
ปกรณ์รีบหาคำโกหกให้ “เมื่อกี้พี่วาดโทร.มาบอกว่ากำลังติวข้อสอบบทสุดท้ายอยู่
น่ะครับคุณพ่อ อีกแป๊บนึงก็เสร็จแล้ว”
ปานวาดวิ่งกระหืดกระหอบมาหาวาสุเทพและปกรณ์
“ขอโทษค่ะคุณพ่อที่วาดมาช้า พอดีวาดแวะเข้าห้องน้ำนานไปนิดนึง วาดโทร.บอกปกรณ์แล้ว จริงไหมปกรณ์”
ปานวาดขยิบตาให้น้องชาย ปกรณ์ทำหน้าเหยเก เพราะช่วยปานวาดโกหกไม่ทันแล้ว
“ไหนเมื่อกี้ปกรณ์ว่าวาดโทร.บอกกำลังติวข้อสอบบทสุดท้ายอยู่ไง”
ปานวาดกับปกรณ์ชะงัก มองหน้ากัน
“จะติวข้อสอบหรือเข้าห้องน้ำ ตกลงกันให้แน่ ว่าจะโกหกพ่อว่าอะไร”
นำเสียงบิดามีแววเคืองขุ่น ปานวาดรีบอธิบาย “วาดไม่ได้โกหกนะคะ...”
“ผมก็ไม่ได้โกหกนะครับคุณพ่อ เมื่อกี้พี่วาดโทร.มาบอกผมจริงๆ ว่ากำลังติวข้อสอบบทสุดท้ายอยู่”
“แต่วาดกลัวคุณพ่อรอนาน วาดเลยออกจากห้องมาก่อน แล้วพอดีปวดท้อง ถึงแวะเข้าห้องน้ำ ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ”
เสียงมือถือปานวาดดัง พอมองหน้าจอ พบว่าเป็นโดมโทร.มา ปานวาดเหลือบมองบิดานายพล
วาสุเทพมองปานวาด ปานวาดกดตัดสาย แล้วยิ้มแหยๆให้วาสุเทพ
“เพื่อนโทร.มาชวนวาดไปชมรมเชียร์ต่อ แต่วาดเหนื่อยแล้ว” คุณหนูผู้หัดโกหก เข้าไปคล้องแขนอ้อนบิดา “เรากลับบ้านกันเถอะค่ะคุณพ่อ”
วาสุเทพเดินเคียงลูกสาวไปด้วยสีหน้านิ่ง แอบเก็บความสงสัยไว้ในใจ
พอเห็นโดมเดินกลับเข้ามาในโถงบ้าน กติยารีบเข้ามาถาม
“โทร.หาหนูวาดรึยังโดม”
“โทร.แล้วครับคุณแม่ เขาไม่รับสาย คงอยู่กับพ่อเขาแล้ว”
“งั้นโดมส่งข้อความไปถามสิ ว่าหนูวาดโอเคไหม พ่อเขารู้รึเปล่าว่าลูกสาวแอบมาบ้านผู้ชาย
“ผมส่งข้อความไปแล้วครับ แต่วาดยังไม่ตอบ”
“หรือว่าหนูวาดโดนพ่อจับ โถ...หนูวาด ป่านนี้ไม่โดนดุแย่แล้วเหรอ แม่ผิดเองที่ชวนหนูวาดมาบ้าน ดูสิ เลยทำให้หนูวาดต้องมีปัญหา โดมต้องตามดูหนูวาดนะลูก แม่สังหรณ์ใจไม่ดีว่าเราอาจทำให้บ้านนั้นมีปัญหา”
กติยาพูดนิ่งๆ ทั้งทีในใจดีใจและอยากให้ครอบครัวปานรุ้งมีปัญหาทุกขณะจิต
ส่วนโดมฟังที่กติยาพูดเสี้ยมแล้ว ก็ยิ่งเป็นห่วงปานวาด ไม่รู้ตัวว่าได้ตกเป็นเครื่องมือบำบัดแค้นของมารดาไปแล้ว
รุ่งเช้า ปานรุ้ง วาสุเทพ ปานเทพ ปรก ปกรณ์ ปานวาดนั่งกันอยู่ที่โต๊ะเรียบร้อย รอน้อยและจำปีเสิร์ฟอาหารเช้า
ปกรณ์พูดล้อปานเทพ “ตกลงผมจะได้เป็นอาแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย”
“แต่พี่ไม่อยากเป็นอาตอนนี้ แก่” ปานวาดเบ้หน้า เซ็ง
ปรกปรามน้อง “วาด”
ปานวาดมองปรก แล้วมองปานเทพ หน้าจ๋อยไป
ปานรุ้งอารมณ์เสีย เริ่มหงุดหงิด “นี่น้อยไปไหน ป่านนี้ทำไมอาหารเช้ายัง ไม่มาเสิร์ฟอีก”
วิภาวีเดินนำจำปีเข้ามาในห้องทานอาหาร
“อาหารเช้ามาแล้วค่ะ วันนี้วิตื่นแต่เช้ามาเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนเองเลยนะคะ เสิร์ฟอาหารเช้าเลยจ้ะจำปี”
จำปีถือเหยือกใส่น้ำเต้าหู้ มาเทใส่ถ้วยซุปคุณหญิง ปานรุ้งผลักถ้วยน้ำเต้าหู้ออกจากตัว
“บ้านนี้ไม่กินน้ำเต้าหู้เป็นอาหารเช้า ไปเอาข้าวต้มมา”
น้อยถือโถข้าวต้มวิ่งเข้ามา
“มาแล้วค่ะ” น้อยกระแทกจำปีให้ถอย จงใจด่าจำปีกระทบวิภาวี “สมน้ำหน้า ฉันบอกแล้ว ว่าคุณหญิงไม่กินน้ำกากถั่วหรอก ข้าวต้มกุ้งค่ะคุณหญิง”
วิภาวีแกล้งตีหน้าซื่อ “อ้าว วิเห็นนายแม่กินอาหารคลีน ไม่ชอบอาหารปรุงแต่ง วิก็เลยสั่งเด็กให้เสิร์ฟอาหารที่กลั่นจากธรรมชาติล้วนๆ มาให้ ตกลงตอนนี้นายแม่ยอมรับอาหารปรุงแต่งแล้วใช่ไหมคะ”
“ฉันไม่ได้ยอมรับ แต่ยังไม่มีทางเลือกต่างหาก ถ้ามีทางเลือกอื่นที่ดี ฉันก็จะเขี่ยของปรุงแต่งทิ้งไป”
เห็นปานรุ้งยิ้มยั่ว วิภาวีแกล้งทำท่าจะอ้วก
“อุแหวะ ขอโทษนะคะ คนแพ้ท้อง ได้กลิ่นอะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะมีอาการคลื่นไส้ นายแม่มีลูกมาตั้งสี่คนแล้ว มีวิธีแก้แพ้ แนะนำวิไหมคะ”
ปานเทพไม่พอใจที่วิภาวีลามปาม พูดเสียงดุ “ถ้าคุณแพ้มาก ก็ขึ้นไปนอนซะ ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่”
วิภาวีมองปานเทพอย่างไม่พอใจ
“ก็ได้ค่ะ” วิภาวีหันไปสั่งจำปี “เอาอาหารเช้าขึ้นไปเสิร์ฟฉันบนห้องด้วยนะ”
วิภาวีเดินเชิดออกไป ปานรุ้งปรายตามองตามอย่างไม่พอใจ
ปานเทพชวนคุยเอาใจแม่ “นายแม่ครับ...”
แต่ปานรุ้งหันไปคุยกับปรก “ปรก อาทิตย์เคลียร์ตัวเองให้ว่างนะ เดี๋ยวแม่จะไปหาคุณนิรมล แม่ตัดสินใจแล้วว่า จะให้ปรกกับหนูนิชาหมั้นเช้าแล้วแต่งงานตอนเย็นเลย”
ปรกชะงักที่รู้ว่าปานรุ้งจะให้ตัวเองแต่งงานกับนิชาเลย
วาสุเทพทักท้วง “แต่งงานเลยเหรอรุ้ง ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ”
“รุ้งยอมรับว่าเร็ว แต่ปรกกับหนูนิชาก็รักกันอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องแต่งกันอยู่ดี” ปานรุ้งหันมาทางปรก “ส่วนฤกษ์ แม่จะยึดเอาฤกษ์สะดวก แม่รู้ว่าปรกไม่ถือเรื่องนี้อยู่แล้ว แม่ว่างอาทิตย์หน้า...หลังจากนั้น แม่จะยุ่งกับการเรื่องเปิดบริษัทเช่าเครื่องบินของคุณพ่อ”
ระหว่างนี้ปานเทพเหลือบมองปานรุ้ง แล้วมองวาสุเทพด้วยสายตาไม่พอใจ
“แม่อาจต้องบินไปยุโรปกับจีน งั้นเราก็จัดงานอาทิตย์หน้าแล้วกันนะ”
ปรกตกใจ “อาทิตย์หน้า”
“ใช่ เผื่อปรกจะได้ช่วยหนูนิชาดูแลโครงการคอนโดของปานเทพด้วย”
ปานเทพชะงัก ขัดขึ้นทันที “อ้าว ไหนตอนแรกนายแม่บอกให้ผมดูแลโครงการนี้คนเดียว”
“ใช่ แม่เคยพูด เพราะตอนนั้นชีวิตของปานเทพมีแค่แม่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ยังมีคนอื่นหวังจะเข้ามายุ่งกับปานเทพ” ปานรุ้งหมายถึงชูนามและวิภาวี “เพราะฉะนั้นให้ปรกช่วยดูแลด้วยดีกว่า”
ปานเทพกลืนความไม่พอใจ ความน้อยใจลงไปในอก เคี้ยวอย่างใจเย็น
สายวันนั้นปานเทพนัดเจอชูนาม เวลานี้พ่อลูกนั่งดื่มกาแฟอยู่ด้วยกัน แต่ดูท่ารสชาติกาแฟจะช่วยอะไรไม่ได้ ปานเทพกระแทกแก้วกาแฟลงบนโต๊ะอย่างแรง ด้วยความโมโห
“ตอนนี้ไม่ใช่แค่นายแม่จะยกบริษัทใหม่ให้คุณลุงวาสุเทพดูแล แต่นายแม่กำลังจะยกโครงการคอนโดของผมให้ปรกด้วย เราต้องทำอะไรกับวิสักอย่างนะครับคุณพ่อ ขืนวิยังอยู่ในบ้าน สักวันผมคงเหลือค่าเป็นแค่หมาตัวนึง”
“ใจเย็นๆ สิลูก พ่อบอกแล้วไงว่าถ้าพ่ออยู่ ทุกบาททุกสตางค์ต้องเป็นของปานเทพ”
“ทำยังไงล่ะครับพ่อ”
นวรัตน์เดินเข้ามายืนข้างหลังปานเทพ
“อาศัยพันธมิตรไงคะ”
ปานเทพชะงัก หันไปมองนวรัตน์อย่างงุนงง
“สวัสดีค่ะคุณปานเทพ ดิฉันนวรัตน์ CEO บริษัท ไทยแอร์ แอร์ไลน์”
พลางนวรัตน์ยื่นมือออกมาเช็คแฮนด์ ปานเทพค่อยๆ ยื่นมือไปจับตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ไทยแอร์ แอร์ไลน์” ปานเทพทวนชื่อ แล้วหันไปพูดเชิงถามกับชูนามด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “สายการบินคู่แข่งบริษัทนายแม่ นี่ครับ”
นวรัตน์ยิ้มหวาน “ฉันอาจจะเป็นคู่แข่งของแม่คุณ แต่ฉันไม่แข่งกับคุณ เพราะคุณเป็นลูกชายของเพื่อนฉัน”
ปานเทพมองนวรัตน์อย่างลังเลใจ แล้วมาหยุดสายตามองพ่อ
ปานเทพเดินคุยกับชูนาม ออกมาจากร้าน
“พ่อรู้จักคุณนวรัตน์ได้ยังไงครับ”
“พ่อรู้จักคุณนวรัตน์ตั้งแต่ปานเทพยังไม่เกิดเล้ย เราเคยเจอกันในบ่อนที่มาเก๊า ตอนนั้นคุณนวรัตน์กับสามีแก่ที่เป็นคนก่อตั้งสายการบินไทยแอร์ แอร์ไลน์ไปเล่นแล้วโดนโกง แล้วพ่อไปช่วย ก็เลยรู้จักกัน ตอนนี้สามีคุณนวรัตน์เสีย คุณนวรัตน์ดูแลสายการบินจนเป็นเจ้าตลาดสายการบินโลว์คอสต์ จนกระทั่งแม่ของลูกตั้งบริษัทมา ก็ทำให้บริษัทคุณนวรัตน์เจ๊งไปเยอะ แต่คุณนวรัตน์เก่ง กู้ตำแหน่งอันดับหนึ่งคืนมาได้ ถ้าปานเทพได้เรียนรู้งานจากคุณนวรัตน์ พ่อเชื่อว่า ปานเทพเขี่ยไอ้วาสุเทพได้ไม่ยาก ทหารแก่ๆ จะสู้พลังหนุ่มๆ ได้ยังไง” ชูนามเสี้ยม
“ถ้าผมอยู่ยุ่งกับคุณนวรัตน์ ก็เท่ากับผมอยู่ฝ่ายศัตรูของนายแม่”
“อย่าคิดอย่างนั้น ก็อย่างที่คุณนวรัตน์บอก คุณนวรัตน์อาจจะแข่งกับปานรุ้ง แต่คุณนวรัตน์ไม่ได้แข่งกับลูก ศัตรูของเราจริงๆ คือไอ้วาสุเทพกับพวกน้องๆ ต่างพ่อของลูกต่างหาก ถ้าปานเทพมีคุณนวรัตน์ช่วยหนุนหลัง ยังไงปานเทพก็ชนะไอ้พวกนั้นแน่ๆ คิดดูดีๆนะลูก”
ปานเทพมองชูนามด้วยสีหน้าเครียด
นวรัตน์นั่งดื่มกาแฟรอจนชูนามเดินกลับมานั่งด้วย
“ลูกชายคุณว่ายังไงบ้าง”
“ให้เวลาเขาหน่อย เขาถูกแม่ข่มไว้มาก ยังไม่กล้าตัดสินใจ”
“ก็ไม่แปลกหรอก ใครๆ ก็รู้ว่าบริษัทฉันกับบริษัทของปานรุ้ง ต่อหน้าสังคมก็ดูรักกัน คุยกันได้ แต่ลับหลัง ถ้าฉันล้มพีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ ได้ ฉันก็อยากล้ม”
“คุณได้ล้ม พีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ ได้ แน่ ผมนี่แหละ จะช่วยคุณเอง”
แววตากร้าวแข็งดุดันของชูนาม เต็มไปด้วยความมุ่งมาดวาดหวัง
ปานรุ้งกำลังตรวจเอกสารอย่าในห้องทำงาน ขณะธันวาเดินเข้ามา
“เธอมาพอดีเลยธันวา เดี๋ยวเลื่อนประชุมคอนเฟอเรนซ์ กับทางมาเลเซีย ไปก่อน
ธันวาเดินเข้ามาหน้าตาร้อนใจ “คุณหญิงครับ”
“ฉันรู้ว่ามันอาจจะเร็วไป แต่ยังไงสองคนนั้นก็รักกันอยู่แล้ว ก็แต่งกันไปเลยแล้วกัน โปรเจ็กต์คอนโดของปานเทพ จะได้ดำเนินการสักที ถึงปานเทพไม่ได้เป็นลูกเขยคุณนิรมล แต่หนูนิชาก็เป็นสะใภ้เรา”
“ผมว่าคุณหญิงอาจต้องทบทวนเรื่องลงทุนร่วมกับบริษัทคุณนิรมลอีกทีนะครับ”
ปานรุ้งเงยหน้ามองธันวา “มีอะไร”
“บริษัทของคุณนิรมลกำลังโดนฟ้องครับ”
ปานรุ้งชะงัก นิ่งงันไป
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 15 (ต่อ)
เลิกงานเย็นวันนี้ นิชาเดินตรงไปที่รถจะกลับบ้าน บ่นบ้าอย่างหงุดหงิด
“ผู้ชายอะไร แทนที่จะมาง้อ วันนี้หายหน้าไปทั้งวันเลย ไหนบอกว่าอยากสร้างโอกาสให้ตัวเองไง หรือว่าเมื่อคืนเราพูดความรู้สึกไม่ชัด ก็ชัดแล้วนะ หรือตานั่นซื่อบื้อเกินไป ต้องให้ฉันบอกรักเลยรึไง”
นิชาชะงัก เมื่อเห็นบางอย่างที่รถตัวเอง เป็นกล่องอาหารจากร้านดัง วางอยู่เต็มหน้ากระโปรงรถ หลังคารถ และแขวนอยู่เต็มรถไปหมด
“เฮ้ย อะไรเนี่ย”
ปรกโผล่มายืนข้างหลังนิชา
“ก็เมื่อวานคุณบอกว่าผมเอาแต่ซื้อของกินให้คนอื่น แต่ไม่ยอมให้คุณ วันนี้ผมเลยตระเวนซื้อเจ้าเด็ดทุกซอกทุกมุมในกรุงเทพฯ มาให้คุณ”
“ฉันพูดไปตั้งเยอะ คุณจำได้แค่ฉันอยากกินเนี่ยนะ” นิชาถอนใจเอือมๆ แล้วเดินผ่านปรกไปอย่างหงุดหงิด บ่นบ้าใส่ “ซื่อบื้อจริงๆ ด้วย”
พอนิชาเดินไปหยิบกล่องอาหารบนรถมา แล้วต้องชะงัก เพราะในกล่อง ไม่มีอาหาร
“ไม่เห็นมีอาหารในกล่องเลย”
ปรกตีหน้าตาย “อ้าว เหรอ” แล้วเดินไปหยิบกล่องอาหารมาเขย่า “เออ ไม่มีจริงๆ ด้วย”
“นี่คุณจะล้ออะไรฉันเล่นเนี่ย”
“คุณรู้ไหม ทำไมผมถึงเปิดไอจีแนะนำอาหาร”
นิชาพูดยียวน “ก็คุณมันเป็นพวกไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ ตัวคนเดียว เลยต้องคุยกับเพื่อนทางโซเชียล”
“นี่คำตอบหรือหลอกด่าผมกันแน่เนี่ย”
“ด่านี่แหละ ถอยไป ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว”
นิชาเปิดประตูจะขึ้นรถแล้ว ปรกรีบอธิบาย
“คุณเคยไหม เวลากินอะไรอร่อย เราจะคิดถึงคนๆ หนึ่ง แล้วอยากให้คนๆนั้นอยากมานั่งกินกับเรา ที่ผมเปิดไอจีแนะนำอาหาร เพราะรู้ว่าคุณชอบกินอาหาร”
นิชาอึ้ง นิ่งงันไป ปรกอธิบายต่อว่า
“ผมเปิดเพราะหวังว่าวันนึงคุณจะตามไอจีผม ผมถึงแกล้งซื้ออาหารไปให้คนในแผนกแทนที่จะให้คุณ เพื่อให้คุณสนใจ”
จากใบหน้าบูดบึ้งหงุดหงิด นิชาแอบยิ้ม แต่แกล้งพูดยียวน
“แล้วไง”
“ผมยอมรับว่าผมขี้ขลาด ผมไม่กล้าหวัง ไม่กล้าคิด ผมถึงไม่กล้าหาญพอจะบอกความจริงว่าผมเป็นน้องของพี่ปานเทพ เพราะผมไม่อยาก ยอมรับความจริงว่า ผมกำลังจะมีคุณเป็นพี่สะใภ้”
นิชาหันกลับมามองปรกช้าๆ
“แล้วตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นแล้ว คุณจะจับฉันใส่พานให้น้องชายคุณไหม”
ปรกโพล่งออกมา “ไม่”
นิชาแกล้งต่อ “แต่น้องชายคุณหล่อ ถ้าเปลี่ยนจากพี่ปานเทพเป็นปกรณ์ ฉันจะไม่ปฏิเสธ”
“แต่ครั้งนี้ผมคงต่อยหน้าน้อง”
“ฉันไม่เชื่อหรอก อย่างคุณ ถึงเวลาก็ปล่อยฉันให้คนอื่น”
“ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมมีซาลาเปากล่องนั้นเป็นตัวยืนยัน” เขาชี้ไปที่กล่องซาลาเปา ซึ่งเป็นกล่องกระดาษสีสวย
“ซาลาเปาเนี่ยนะ”
นิชาชะงักเมื่อหยิบกล่องซาลาเปามา เขย่ากล่องดู ได้ยินเสียงมีบางอย่างอยู่ในกล่อง นิชาค่อยๆ เปิดกล่องออก เห็นแหวนที่มีเพชรเม็ดเล็กๆ อยู่ในนั้น
นิชาเงยหน้ามองปรกที่เดินมาใกล้ๆ
“ซาลาเปากล่องนี้ จะยืนยันได้ไหมว่าผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปไหนอีก”
นิชายิ้มกว้างให้ปรก
ปรกเดินเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าเบิกบานมีความสุข พบว่าปานรุ้งนั่งรออยู่แล้วที่โซฟาในห้องโถง
“ไปไหนมา ทำไมไม่กลับมาทานอาหารเย็นที่บ้าน”
ปรกไหว้ขอโทษมารดา “ขอโทษครับนายแม่ พอดีผมพานิชาไปทานข้าวน่ะครับ แต่ผมโทร.มาบอกน้าน้อยให้ฝากบอกนายแม่แล้วนะครับ”
ปานรุ้งเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “ปรก อย่ายุ่งกับหนูนิชาอีก”
ปรกชะงัก “ทำไมครับ”
“คุณนิรมลกำลังโดนฟ้อง ถ้าเราไปเกี่ยวข้องกับเขาตอนนี้ เราจะมีปัญหา”
ปรกย้อนแย้ง “แต่นิชาไม่เกี่ยว”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว แม่ลูกกัน ถ้านิชาแต่งงานกับปรก ปรกจะทนเห็น เมียลำบากได้เหรอ สุดท้ายเราก็ต้องช่วย”
“แล้วมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกเหรอครับนายแม่ ต่อให้ตอนนี้ผมยังไม่ได้แต่งงานกับนิชา ถ้าเขาลำบากผมก็จะช่วย อย่างน้อยคุณน้านิรมลก็เพื่อนของนายแม่”
ปานรุ้งแม่ทำธุรกิจนะปรก ไม่ได้ทำสถานสงเคราะห์ บางเรื่องแม่ช่วยได้ แต่อันนี้เราจะเสียทั้งเงิน เสียทั้งเครดิต แม่กำลังจะเปิดบริษัทใหม่ แม่ไม่ยอมเอาชื่อเสียงไปเสี่ยงเด็ดขาด
ปรกมองปานรุ้งด้วยสายตาเจ็บปวด “งั้นความรู้สึกที่ผมมีกับนิชา มันก็เป็น เรื่องของธุรกิจของนายแม่ด้วยใช่ไหมครับ แม่ถึงอนุญาตให้ผมรักกับนิชาได้”
“ปรก ฟังแม่ สิ่งที่แม่ทำ แม่กำลังปกป้องครอบครัวของเรา บางทีที่นิชาเข้ามาในชีวิตปรก อาจเป็นเพราะเขาต้องการอะไรสักอย่าง เหมือนกับที่เขายอมหมั้นกับพี่ปานเทพ”
“มันไม่ใช่หรอกครับ ผมรู้จักนิชาดี” ปรกบอกอย่างมั่นใจ
“ครั้งหนึ่ง แม่ก็เคยคิดว่าแม่รู้จักคนๆ หนึ่งดี และเชื่อว่าเขาเข้ามาในชีวิตแม่ เพราะรัก แต่แล้วชีวิตแม่และสมบัติของคุณยายต้องพินาศ เพราะความโง่ที่เชื่อว่าความรักกับผลประโยชน์มัน มันคนละเรื่องกัน”
“ผมไม่เห็นด้วย”
“ถ้าปรกรักแม่ ปรกต้องทำตามที่แม่สั่ง เลิกกับนิชาซะ”
ปานรุ้งพูดจบ ก็เดินขึ้นบันไดไป ปรกมองตามคุณหญิงมารดาด้วยสายตาอันเจ็บปวด
ปานรุ้งเดินเข้ามาในห้อง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า
น้อยเคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้ามา
“ว่ายังไงน้อย”
“วันนี้คุณวิภาวีออกไปช็อปปิ้ง น้อยเลยให้ช่างแอบมาติดกล้องวงจรปิดเรียบร้อยแล้วค่ะ” น้อยยื่นมือถือให้ปานรุ้ง “นี่ค่ะ ช่างติดตั้งโปรแกรมให้ คุณหญิงดูภาพจากกล้องผ่านทางมือถือได้เลย”
ปานรุ้งมองในจอมือถือเห็นภาพวิภาวีนอนอยู่บนเตียงกับปานเทพ ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“เธอไปเตรียมน้ำมนต์ไว้ได้เลยน้อย เดี๋ยวเราจะได้ล้างเสนียดออกจากบ้านครั้งใหญ่แน่”
เวลาเดียวกันโดมยืนอยู่หน้ารั้วบ้านสมุทรเทวา กดมือถือโทร.หาปานวาด เขารอสายครู่ใหญ่ แต่ปานวาดก็ไม่รับโทรศัพท์
โดมกดโทรหาปานวาดอีก เดินรอสายวนอยู่หน้าบ้าน พร้อมกับชะเง้อมองไปทางห้องนอนปานวาดตลอดเวลา เป็นห่วงว่าปานวาดจะโดนดุไหม
โดมกดวางสายสีหน้าเป็นกังวลมากขึ้น เขามองไปที่ห้องปานวาด มองดูลาดเลา ก่อนตัดสินใจปีนรั้วบ้านสมุทรเทวาเข้าไป
ปานวาดเดินเข้าห้องมา ตรงไปยังมือถือที่วางชาร์จแบตอยู่ กดดูเห็นว่า โดมโทร.เข้ามาเป็น มิส คอลล์ 30 กว่าสาย ก็ตกใจว่าทำโดมถึงโทร.จิกขนาดนี้
ปานวาดกดโทร.กลับไปหาโดม แต่ได้ยินเหมือนเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่นอกระเบียงห้องนอนนั่นเอง ปานวาดชะงัก หันไปทางเสียง ค่อยๆ เดินไปเปิดม่านระเบียง มองหาแต่ก็ยังไม่เห็นใคร
ปานวาดยังได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังอยู่ ตัดสินใจเปิดประตูระเบียงออก
จู่ๆ โดมโผล่พรวดออกมาจากมุมหนึ่ง
ปานวาดตกใจ “ว้าย”
โดมถลันเข้าไปโอบเอวแล้วปิดปากปานวาดไม่ให้ร้อง
“ผมเอง”
พอปานวาดเห็นเป็นโดมก็ชะงักหยุดร้อง โดมค่อยๆ ปล่อยมือที่ปิดปากออกแล้ว แต่ยังไม่ปล่อยมือที่โอบเอวออก ปานวาดได้สติรีบดันตัวเองออกจากโดมทันที
“นายมาทำไมเนี่ย”
“ก็ผมโทร.หาคุณตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้ คุณก็ไม่ยอมรับสาย ส่งข้อความมา ก็ไม่ตอบกลับ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า หรือว่าเมื่อวานโดน พ่อแม่จับได้ว่าคุณหนีเรียน”
“ก็เกือบโดนจับได้ ดีที่ฉันแถจนรอดมา แต่มันก็ยังอยู่ในช่วงเสี่ยง ฉันเลยยังไม่โทร.กลับหานาย”
“อย่างน้อยก็ส่งข้อความตอบก็ได้ รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณขนาดไหน”
ปานวาดมองโดมที่ดูซีเรียสมากจนรู้สึกผิด “ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดว่านายจะห่วงฉันขนาดนี้”
“ผมก็ขอโทษที่แอบปีนเข้าห้องคุณแบบนี้ คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ผมไปละ”
มือถือโดมดังขึ้น ปานวาดตกใจ กลัวใครมาได้ยิน
“ว่าไง โอเค เดี๋ยวเจอกันที่สนามแข่ง แค่นี้นะ”
ปานวาดสนใจ “คืนนี้นายจะไปแข่งรถเหรอ”
“ใช่ ผมไปนะ”
โดมจะปีนลงทางระเบียงตามเดิม
“เดี๋ยว ตอนนี้ฝนตก สนามแข่งจะไม่ลื่นเหรอ”
โดมยิ้มกริ่ม “ห่วงผมเหรอ”
“ฉันเป็นพวกไม่ชอบติดหนี้ใคร เมื่อกี้นายห่วงฉัน ฉันก็แค่ห่วงตอบแทน”
โดมขำแกล้งหยอก “งั้นก็ห่วงเยอะๆ นะ เผื่อคืนนี้จะเห็นกันเป็นครั้งสุดท้าย”
“นี่ปากเหรอที่พูดน่ะ”
“ขอบคุณนะที่ห่วง สัญญาว่าจะรักษาชีวิตกลับมา ไปละ”
ปานวาดมองโดมที่กำลังปีนระเบียงห้องแล้วตัดสินใจ
“ฉันไปด้วย”
ปานวาดทำท่าจะปีนระเบียงตามโดม
ประตูห้องนอนปานวาดเปิดออกพอดี ปกรณ์เดินเข้ามา
“พี่วาด ผมขอยืม”
ปกรณ์ชะงักกึก เมื่อเห็นปานวาดกำลังจะปีนระเบียงลงไปกับโดม ก็ตกใจ
ปานวาดกับโดมกระโดดลงพื้น สองคนวิ่งแอบๆ มาตามเงามืดตรงที่ประตูรั้วบ้าน ปกรณ์วิ่งตามมาห้ามพี่สาว
“พี่วาด”
ปานวาดเอ็ดน้องชาย “เบาๆ สิ ปกรณ์ เดี๋ยวนายแม่ก็ได้ยินหรอก นายเข้าบ้านไปได้แล้ว
เดี๋ยวพี่มา”
“แล้วพี่วาดจะไปไหน”
“พี่จะออกไปหาเพื่อน”
“หาเพื่อนอะไรตอนนี้ แล้วยิ่งพี่แอบไปกับ” ปกรณ์มองโดม “ถ้านายแม่รู้”
เด็กสาวใจแตกรีบขัดขึ้น “นายก็อย่าให้นายแม่รู้สิ วันนี้นายเกือบทำให้พี่โดนคุณพ่อจับได้ ดังนั้นนายต้องช่วยพี่ปิดเรื่องนี้ตอบแทน เดี๋ยวพี่มา คอยเปิดประตูให้พี่ด้วย”
ปกรณ์หน้าเสีย “แต่พี่วาด...”
โดมพูดเตือน “ผมว่าคุณอย่าไปดีกว่า”
ปานวาดดันตัวโดมให้เดินไป “มาถึงขั้นนี้แล้ว รีบไปเถอะ”
ปานวาดดันตัวโดมออกประตูเล็กไป ปกรณ์มองพี่สาวที่หนีไปกับผู้ชายด้วยสีหน้าเครียดหนัก
“ซวยแล้วตู”
ปานวาดใส่หมวกกันน็อค ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของโดมเรียบร้อย ด้านข้างมีรถนักแข่งอีกคันรอเตรียมแข่งคู่กับโดม
โดมเอี้ยวตัวไปหาปานวาด เช็คหมวกกันน็อคมองยิ้มๆ “ครั้งนี้คุณคงรู้แล้วนะว่าต้องจับผมตรงไหน”
ปานวาดมองเขินๆ โดมปิดกระจกหมวกกันน็อคให้ กระชับถุงมือตัวเองให้แน่น แล้วปิดกระจกหมวกกันน็อคตัวเอง มือโดมบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์เตรียมพร้อม
สาวสวยหุ่นสะบึม อนงค์นางเดิม เดินนวยนาดถือผ้าเช็ดหน้าออกมายืนตรงกลางระหว่างรถโดมกับรถของนักแข่งอีกคนที่จุดปล่อยตัว มองหน้าโดมและนักแข่งอีกคน เป็นเชิงบอกว่าเตรียมพร้อมนะ
สาวสวยโยนผ้าขึ้นฟ้าสุดแรง ผ้าค่อยๆ ร่วงตกลงมาที่พื้น โดมและนักแข่งรถตบเกียร์เตรียมพร้อม ทันทีที่ผ้าตกลงพื้น โดมบิดคันเร่ง รถสองคนพุ่งทะยานออกไปไล่ๆ กัน
มือปานวาดจับอยู่ตรงหน้าอก หัวใจของโดม
อัฒจันทร์ข้างสนามมีผู้คนคอยเชียร์ ชะเง้อดูว่ารถของใครจะเข้าเส้นชัยก่อน
รถของโดมที่มีปานวาดซ้อนท้ายขี่นำเข้ามา รถนักแข่งอีกคนขี่ตามมาติดๆ แต่ก็ไม่ทันรถของโดม มือโดมบิดคันเร่งในจังหวะสุดท้าย พร้อมตบเกียร์ รถมอเตอร์ไซค์ของโดมพุ่งเข้าเส้นชัยอย่างงดงาม
ระหว่างนี้ มีช่างภาพคนหนึ่งกำลังกดถ่ายภาพโดมที่ขี่รถเข้าเส้นชัยไป
โดมจอดรถ กองเชียร์ที่เชียร์เขาเฮลั่น เข้าแสดงความยินดีกับโดม ตากล้องกดถ่ายรูปทุกระยะ แม้แต่โดมถอดหมวกออก
จนโดมถอดถุงมือออก หันไปปลดล็อคหมวกกันน็อค ถอดหมวกออกให้ปานวาดอย่างเบามือ ปานวาดยิ้มให้โดม
สาวสวยกรรมการ เดินนวยนาดเอารางวัลมาให้ โดมยิ้มรับมา แล้วมอบรางวัลให้ปานวาดสองคนยิ้มให้กันอย่างหวานชื่น
ช่างภาพยิ้ม กดชัตเตอร์ถ่ายรูปปานวาดและโดมที่ยิ้มให้กัน รัวๆ
เบื้องหน้าเป็นท้องทะเลอันเงียบสงบคลื่นซัดสาดดังซูซ่า ปานวาดยืนอยู่ริมหน้าผา มองทะเลอยู่นิ่งๆโดมเดินย่องเข้ามาด้านหลัง แล้วแกล้งผลักปานวาดเบาๆ
“แฮ่”
ปานวาดตกใจหันมาโวย “คุณนี่ ถ้าฉันตกลงไปจะทำยังไง”
“คุณตกลงไปก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะคุณมีห่วงยางอยู่สองข้างแก้มนี่ไง” โดมหยิกแก้มปานวาดหยอกเย้า
ปานวาดดึงมือออก แกล้งงอน เดินหนี โดมดึงมือปานวาดไว้
“ถ้าคุณตกลงไป ผมก็จะกระโดดลงไปกับคุณ”
“พูดเป็นลิเกมาก”
“ผมพูดจริงๆ นะ” เขาหันมาพูดสีหน้าท่าทีจริงจังมาก “วาด คุณรู้ใช่ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ...” ปานวาดชะงัก “ผมอาจจะเคยมีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วหลายคน แต่คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมพาเข้าบ้านได้ คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่แม่ผมสอนคุณทำอาหาร คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่แม่ผมคุยด้วยและยิ้มให้ แล้วคุณก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา”
ปานวาดอึ้งไม่คิดว่าโดมจะพูดแบบนี้ เด็กสาวใจแตกชะงักคิดถึงปานรุ้งว่าคงไม่ยอมง่ายๆ
“พูดน่ะง่าย แต่ถ้าคุณจะรักฉันจริง มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ”
“ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะรักกัน แต่กว่าจะเจอใครสักคนที่ทำให้เรารักมันยากกว่า ในเมื่อผมเจอคนๆนั้นแล้ว” โดมจับมือปานวาดขึ้นมากุมไว้ “ผมจะไม่มีวันปล่อยไป ให้โอกาสผมได้ไหมวาด”
ปานวาดก้มหน้าเขิน ไม่กล้าตอบ โดมช้อนหน้าปานวาดให้เงยขึ้น ปานวาดสบตากับโดม
โดมค่อยๆ เคลื่อนหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ๆ ปานวาด เหมือนกำลังจะจูบกัน
โดมเปลี่ยนใจ จากที่ตอนแรกจะจูบปาก เป็นจูบที่หน้าผากแทน ปานวาดสะเทิ้นเขินอาย
“พี่โดมรักน้องวาดนะครับ” โดม
ปานวาดตีเอา “ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่น้องนาย”
“เออ จริง ไม่ใช่น้อง แต่เป็น แฟน แล้วเนอะ”
“อี๋ ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่ายอมเป็นแฟนกับนาย”
“ปากคุณไม่พูด แต่หัวใจคุณบอก”
ปานวาดมองค้อน หมั่นไส้ โดมยิ้มชื่นกอดปานวาดไว้ในอ้อมกอด
สองคนยิ้มให้อย่างมีความสุข ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำผิดมหันต์
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 15 (ต่อ)
อีกฟากหนึ่ง ในขณะที่กติยากำลังสวดมนต์อยู่ในห้องพระนั้น ดรุณีเข้ามาหาลงนั่งข้างๆ กติยาหันมาถาม
“โดมกลับมารึยังคะแม่”
ดรุณีกระอึกกระอัก “เอ่อ ยังจ้ะ ยาอย่าเพิ่งโกรธนะ โดมคงมีงานติดพันเดี๋ยวก็คงมา”
กติยาเยื้อนยิ้มผิดจากทุกครั้ง “ยาไม่โกรธหรอกค่ะ เพราะยารู้ว่าลูกออกไปไหน แม่ไปนอนเถอะค่ะ ยาจะสวดมนต์ให้ยากับลูกสมหวังในสิ่งที่คิด”
กติยาหลับตาสวดมนต์ต่อ ดรุณีมองลูกสาวด้วยสีหน้าประหลาดใจนิดๆ แล้วลุกเดินออกไป
ทันทีที่ประตูปิดลง กติยาลืมตาโพลง นัยน์ตาแข็งกระด้าง ยิ้มร้ายกาจออกมา
ปานรุ้งนอนกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ วาสุเทพ จู่ๆ ก็สะดุ้งตื่นจากฝันร้าย
วาสุเทพพลอยตื่นตาม “ฝันร้ายอีกแล้วเหรอรุ้ง”
ปานรุ้งหอบหายใจ พยายามดึงสติกลับมา “รุ้งคงคิดเรื่องงานมากไป เดี๋ยวรุ้งลงไปหา
อะไรเย็นๆ ดื่มหน่อยนะคะ”
ปานรุ้งลุกเดินออกจากห้อง วาสุเทพมองตามด้วยความสงสาร
ปกรณ์นอนไม่หลับ เดินวนไปมาอยู่หน้าตึกใหญ่ เด็กหนุ่มชะเง้อคอมองไปทางริมรั้วว่าเมื่อไหร่พี่สาวจะมาสักที ปกรณ์หยิบมือถือมากดโทร.หา แต่ปานวาดไม่รับ ดูนาฬิกาก็ยิ่งเครียด
“โอ๊ย ไปส่งแค่ตรงนี้ของพี่วาดคือที่ไหนเนี่ย เชียงใหม่หรือไง จะตี 1 แล้วด้วย”
เสียงปานรุ้งดังขึ้น “ปกรณ์เหรอลูก”
ปกรณ์ชะงักกึก ค่อยๆ หันไปทางเสียง พบว่าปานรุ้งในชุดนอนเดินเข้ามาหา
“มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ยปกรณ์”
“เอ่อ พอดีผมนอนไม่หลับครับนายแม่ เลยลงมาเดินเล่น”
“เดินเล่น” ปกรณ์พยักหน้ารับ “มาเดินเล่นตอนนี้ เดี๋ยวโดนน้ำค้างก็ไม่สบายกันพอดี เข้าบ้านไปกับแม่มา” ปานรุ้งจะลากลูกชายคนเล็กเข้าไปในบ้าน
ปกรณ์ดึงรั้งไว้ “เดี๋ยวครับนายแม่ ถ้าผมเข้าบ้านไปกับนายแม่ นายแม่ต้องสัญญาก่อนว่านายแม่จะไปส่งผมเข้านอน”
ปานรุ้งชะงักมองฉงนว่าปกรณ์มาไม้ไหน “หือ”
ปกรณ์ออดอ้อน “คืนนี้ผมอยากนอนกอดนายแม่ครับ เผื่อมันจะทำให้ผมนอนหลับได้”
ปานรุ้งยิ้มขำสุขใจ “โตจะตายยังอยากนอนกอดแม่อีก”
ปกรณ์อ้อนใหญ่ “นะคร๊าบ”
ปานรุ้งยิ้ม พลางพยักหน้ารับ พาลูกชายเดินเข้าบ้านไป
ทันทีที่สองคนเดินเข้าประตูตึกใหญ่ไป เห็นมอเตอร์ไซค์ของโดมที่ปานวาดซ้อนท้ายก็ขี่เข้ามาจอดริมรั้ว โดมดับเครื่อง ถอดหมวกกันน็อคกับถุงมือตัวเองออก แล้วหันไปรับหมวกกันน็อคที่ปานวาดถอดส่งให้
ปานวาดรีบลงจากรถ จะเข้าบ้าน โดมรีบดึงมือไว้
“เดี๋ยววาด ครั้งหน้าถ้าผมมาบ้านวาด ผมจะไม่ปีนเข้าบ้านอีกแล้วนะ ผมอยากเดินเข้าบ้านวาดอย่างถูกต้อง”
ปานวาดชะงัก รู้ทันว่าโดมหมายถึงอะไร
“ครั้งหน้าฉันจะพานายเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน ไปนะ”
คุณหนูใจแตก ปีนรั้วบ้าน ท่าทีเริ่มคล่องขึ้น
โดมลงจากมอเตอร์ไซค์มาช่วยจับเอวปานวาดให้ปีนง่ายขึ้น
จู่ๆ วาสุเทพเดินโผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง
“พ่อว่าเปิดประตูเข้าบ้านดีๆ ก็ได้มั้ง”
ปานวาดแทบช็อค “คุณพ่อ”
ขณะเดียวกันวิภาวีเพิ่งตื่น เดินออกมาที่ระเบียงห้องนอน มองไปรอบๆ อาณาจักรสมุทรเทวาอันยิ่งใหญ่ แต่แล้วสายตาก็แลเห็นว่าที่หน้าบ้านยามนี้ มีวาสุเทพ ปานวาด และโดม ยืนคุยกันอยู่
วิภาวีเขม้นมองสามคนด้วยความสนใจ ต่อมอยากรู้อยากเห็นพลุ่งพล่านเต็มที่
ปานวาดยืนก้มหน้านิ่งอยู่ตรงหน้าวาสุเทพ โดมยืนอยู่ข้างๆ ด้วย
“ไปไหนมา”
ปานวาดนิ่งไม่กล้าตอบ
วาสุเทพเสียงเข้มขึ้น “วาด”
ปานวาดสะดุ้ง โดมรีบขยับเข้ามายืนบังปานวาด พร้อมจะปกป้องคนรัก วาสุเทพมองโดมนิ่งๆ
“ผมพาวาดไปแข่งรถที่พัทยามาครับ”
วาสุเทพมองจ้องหน้าโดมโดยไม่สังหรณ์ใจใดๆ
“เธอเป็นใคร ชื่ออะไร”
“ผมชื่อโดมครับ เป็นเพื่อนกับวาด”
“แล้วพ่อแม่เธออยู่ไหน ทำไมถึงปล่อยลูกให้มาปีนบ้านคนอื่นอย่างนี้ บอกฉันมาสิว่าพ่อแม่ชื่ออะไร”
“เอ่อ พ่อผมเสียแล้วครับ ส่วนแม่ผมชื่อ...”
ชื่อกติยาเกือบหลุดจากปากโดมรอมร่อ ปานวาดขัดขึ้นเสียก่อน
“โดมไม่ผิดหรอกค่ะ วาดเป็นคนโทร.ให้โดมมารับไปเอง”
วาสุเทพมองดุลูกสาว “อะไรนะปานวาด”
โดมท้วงปานวาด ”อย่าโกหกพ่อคุณอย่างนั้น ผมผิด ผมยอมรับผิดเอง”
วาสุเทพมองโดม “เธอรู้ไหมว่าที่เธอทำแบบนี้ ฉันสั่งให้คนจับเธอเข้าคุกข้อหาล่อลวงลูกสาวฉันได้เลยนะ”
“คุณพ่อคะ” สาวใจแตกรีบเข้าไปจับแขนบิดานายพล “อย่าทำถึงขนาดนี้เลยนะคะวาดผิดเอง โดมห้ามวาดแล้ว แต่วาดอยากไปดูเอง”
“ไม่ต้องออกรับแทนกันหรอกวาด เพราะวาดเองก็ผิด คิดบ้างไหมว่าถ้าเป็นอะไรไป จะทำยังไง พ่อแม่จะรู้สึกยังไง”
ปานวาดแทบจะร้องไห้
“ผมขอโทษครับที่ผมทำอะไรไม่คิด ถ้าท่านจะลงโทษ ผมก็พร้อมยอมรับโทษครับ”
“โดม”
วาสุเทพมองโดมที่ยอมรับผิดด้วยท่าทีจริงจัง
“วาด เข้าบ้านไป”
ปานวาดหันไปมองแฟนหนุ่ม โดมพยักหน้าให้ ปานวาดเดินเข้าบ้านไป แต่ก็เหลียวมามองโดมอย่างพะว้าพะวง
“ฉันไม่ได้ใจแคบที่จะไม่ให้วาดคบใคร ฉันรู้ว่าเด็กสมัยนี้ เมื่อถึงวัย มันหนีไม่พ้นที่จะมีเรื่องนี้ แต่ยังไงวาดก็เป็นลูกสาวของฉัน ฉันเลี้ยงเขามาอย่างมีเกียรติ ถึงเธอไม่ให้เกียรติฉัน เธอก็ควรให้เกียรติ ผู้หญิงที่เธอคบบ้าง”
“ผมขอโทษครับ”
“เมื่อกี้ฉันได้ยินที่เธอบอกกับวาดว่าครั้งหน้าจะเดินเข้าบ้านอย่างถูกต้อง ฉันจะรอดู”
โดมมองวาสุเทพอย่างเลื่อมใสโดยประหลาด
วาสุเทพมองอีกแวบหนึ่ง จึงเดินเข้าประตูเล็กไป
ปานวาดแอบดูโดมกับวาสุเทพอยู่ที่มุมหนึ่ง คุณหนูใจแตกยิ้มพรายที่บิดาเข้าใจ และยอมให้โอกาสโดม
ขณะที่ปานวาดเดินมาจะรีบเข้าห้องตัวเอง วิภาวีเดินออกจากห้องนอนปานเทพ ดักหน้าไว้
“ไปเที่ยวกับเพื่อนมาเหรอคะน้องวาด”
ปานวาดมองวิภาวีตาขวางเป็นเชิงตำหนิ “ยุ่งอะไรด้วย”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ ถอยไป”
ปานวาดเดินผ่านหน้าวิภาวีไปเลย วิภาวีมองตามด้วยสายตาไม่พอใจ
“ทำเป็นยโสเหมือนแม่ อยากจะเห็นน้ำหน้าแม่แกนัก มาดูถูกฉัน ถ้ารู้ว่าลูกตัวเองใจแตก จะเป็นยังไง”
วิภาวียิ้มร้ายเมื่อนึกถึงใบหน้าคุณหญิงแม่ผัวคู่ปรับ
ปกรณ์ตื่นแต่เช้า รีบเข้ามาปานวาด เวลานี้พี่กับน้องคุยกันอยู่บนเตียง เด็กหนุ่มรับฟังพี่สาวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“เมื่อคืนคุณพ่อเจอพี่กับพี่โดม แล้วคุณพ่อก็ยอมให้พี่วาดคบกับพี่โดมแล้วด้วยเหรอ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ที่คุณพ่อพูดก็คงหมายความว่า ถ้ามาครั้งหน้าก็ให้เข้ามาแบบถูกต้องเท่านั้น”
“พี่วาดมีคุณพ่อหนุนหลังแบบนี้ ก็ไม่ต้องกลัวนายแม่แล้วสิ”
“ปกรณ์ นายว่าคุณพ่อกลัวนายแม่ไหม”
ปกรณ์ตอบทันที “กลัว”
“แล้วมีเหรอพี่จะไม่กลัว” ปกรณ์หัวเราะขำมุกพี่สาว “แต่อย่างน้อยมันก็ทำอุ่นใจ เพราะถ้าพี่โดนนายแม่ว่า คุณพ่อก็คงจะช่วยพูดได้”
ปกรณ์คิดถึงเรื่องตัวเองกับวิรินทร์แล้วเครียด ปานวาดดูออก
“นายลองบอกเรื่องตัวเองกับแม่ค้าสาวกับคุณพ่อสิ”
“บอกทำไม ผมกับรินทร์เป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีอะไรสักหน่อย”
ปกรณ์คิดถึงเหตุการณ์ตอนขี่มอเตอร์ไซค์กับวิรินทร์ แล้วเบรกกะทันหันดัง จนหน้าอกวิรินทร์กระแทกหลังปกรณ์อย่างจัง แถมใบหน้ายังซบกับซอกคอของเขา
ปานวาดมองปกรณ์ที่นิ่งไปเฉยๆ ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เมื่อเห็นบางอย่าง
“ปกรณ์”
ปกรณ์มองปานวาดงงๆ “อะไรพี่วาด”
“นายเลือดกำเดาไหล”
ปานวาดรีบพาปกรณ์ที่ตอนนี้มีทิชชูอุดจมูก เข้ามาในห้องน้องชาย แต่ไม่วายแซว
“พอพูดถึงแม่ค้าคนนั้นแล้วเลือดกำเดาไหล แอบคิดอะไร ทะลึ่งปะเนี่ย”
“บ้าเหรอ เปล่าสักหน่อย”
“จะไปรู้เหรอ ขนาดเข้าห้องน้ำด้วยกัน ยังทำมาแล้วเลย นายอาจจะทำอย่างอื่นที่พี่คิดไม่ถึงอีกก็ได้”
“บอกแล้วไงว่าไม่มี”
“โอเคๆๆ ไม่มีก็ไม่มี งั้นนอนพักซะ พี่ไปนอนต่อล่ะ ง่วง”
ปานวาดเดินไป ปกรณ์เรียกไว้
“พี่วาด วันนี้พี่วาดมีซ้อมลีดใช่ไหม”
“ไม่มี”
“มีสิ ผมจำได้”
ปานวาดยิ้มล้อน้อง “นายจะไปหาแม่ค้าสาวล่ะสิ”
“เมื่อคืนผมเสี่ยงชีวิตพานายแม่ไปนอนเลยน้า”
“โอเค มีซ้อมก็มีซ้อม แต่ถึงแค่ 5 โมงนะ”
“ดิว”
ปรกเดินหน้าเครียดออกมาตรงไปที่รถ ปานเทพเดินตามมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
“ได้ข่าวว่านายแม่สั่งระงับเรื่องนายกับน้องนิชาเหรอ”
ปรกชะงักหยุดเดิน แล้วหันมามองปานเทพ
“ข่าวไปเร็วดีนะครับ”
ปานเทพเข้าไปกอดคอปลอบ “อย่าเสียใจไปเลย ผู้หญิงที่สวยกว่านิชามีเยอะแยะ
เดี๋ยวฉันช่วยหาให้”
ปรกจับมือของปานเทพออกจากไหล่ตัวเอง
“ผมไม่รบกวนพี่หรอกครับ ผมรู้ว่าตอนนี้ชีวิตพี่ก็วุ่นวายพออยู่แล้วไหนจะเรื่องเมีย ไหนจะเรื่องลูก เรื่องของผม ผมจัดการเอง”
ปรกเดินไปขึ้นรถเลย ปานเทพฉุน มองตามอย่างเข่นเขี้ยว
“คิดจะมาเป็นลูกรักแทนฉัน เฮอะ คงลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเองเป็นแค่ลูกคนขับรถ”
ส่วนปานรุ้งนั่งดูมือถือ เช็คภาพวิภาวีจากกล้องวงจรปิดในห้องนอนปานเทพ สักครู่วิภาวีเดินลงบันไดมา พอเห็นปานรุ้งก็ยิ้มกริ่ม แกล้งทำเป็นคลื่นไส้
“อุแหวะ” ร้องเรียกหาจำปี “จำปี จำปีอยู่ไหน เอาของเปรี้ยวให้ฉันทีสิ”
ปานรุ้งนั่งนิ่งไม่ใส่ใจแยแส แววตายิ้มเยาะกับการแสดงละครภาคเช้าของสะใภ้แสบ
วิภาวีเห็นปานรุ้งเงียบ จึงแกล้งทำเสียงซื่อทักทาย
“อ้าว นายแม่ยังไม่ไปทำงานอีกเหรอคะ วิเห็นปานเทพไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว หรือว่าคุณแม่ป่วย”
“เปล่า ฉันแค่รอคุยกับเธอ”
“คุยอะไรเหรอคะ”
“เธอจำได้ไหม วันงานหมั้นของปานเทพกับนิชา เธอบอกฉันว่าท้องกี่เดือน”
วิภาวีชะงัก พยายามคิด “3 เดือน แล้วไงคะ”
“แต่ฉันจำได้ว่าเธอบอก 2 เดือน”
วิภาวีตะแบง “นี่นายแม่ยังไม่เชื่อว่าวิท้องอีกเหรอคะ ทั้งๆ ที่นายแม่ก็เห็นผลตรวจกับตาแล้ว”
“ฉันความจำสั้น จำไม่ได้ว่าเธอพูดอะไรในงานหมั้น ฉันก็คงจะเชื่อผลตรวจนั่นไปแล้ว แต่บังเอิญฉันความจำดี และเทคโนโลยีที่ดี ทำให้ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ท้อง”
วิภาวีคุมสติ “ไม่จริง”
“งั้นเธอบอกฉันหน่อยสิ”
ปานรุ้งลุกมายืนตรงหน้าสะใภ้คู่ปรับ โชว์มือถือให้วิภาวีเห็นคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด ที่บันทึกไว้
วิภาวีเห็นภาพกล้องวงจรปิดเป็นบรรยากาศในห้องนอน ก็ตกใจ “นี่มัน”.
ปานรุ้งสวนขึ้นมา “คนท้องแบบไหน เล่นโยคะอย่างนี้ได้”
วิภาวีมองคลิปตัวเองเล่นโยคะดัดตัวตอนเช้า ซึ่งเป็นท่าดัดตัว ทำสะพานโค้ง ยืดตัวอย่างไม่ห่วงท้องตัวเอง พยายามตะแบงไป
“คนท้องสมัยนี้ เขาก็เล่นโยคะกันทั้งนั้นแหละค่ะ”
ปานรุ้งกดคลิปต่อไป “แล้วคนท้องที่ไหน กระโดดกระแทกท้องตัวเองได้อย่างนี้”
วิภาวีจ้องคลิปที่เธอกระโดดลงนอนบนเตียง แล้วเปิดทีวีดู อย่างมีความสุข
วิภาวีชักเครียด พยายามแก้ตัว “วิก็แค่...”
ปานรุ้งกดคลิปต่อไป ปิดจ๊อบเรียลลิตี้ศรีสะใภ้
“แล้วคนท้องที่ไหน มีประจำเดือน”
วิภาวีเห็นภาพคลิปตัวเองในชุดคลุมอาบน้ำ เดินออกจากห้องน้ำไปห้องแต่งตัว หยิบผ้าอนามัยจากในตู้เสื้อผ้า แล้วเดินเข้าไปหลังฉากแต่งตัว ทำท่าก้มๆ เหมือนกำลังใส่ผ้าอนามัย วิภาวีอึ้ง ตะลึงตะไลไปเลยรอบนี้
ปานรุ้งมองท่าทีสะใภ้แสบอย่างสะใจ
“ถึงกับอึ้งเลยเหรอวิภาวี ฉันบอกแล้วว่าอย่าเล่นกับฉัน กว่าฉันจะมีวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันไม่ยอมให้พวกปลิงอย่างเธอมาเกาะลูกฉัน เด็ดขาด ไปเก็บของ แล้วออกไปจากชีวิตของปานเทพซะ ไปซะดีๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาหลักฐานนี่ให้ปานเทพดู เขาจะได้รู้ว่าเธอมัน ตลบตะแลงขนาดไหน ไป”
ปานรุ้งพูดจบ เดินหนีขึ้นบันไดไป
วิภาวีมองตามไป สีหน้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ วิภาวีสติขาด วิ่งขึ้นบันไดตามไปแย่งมือถือจากปานรุ้งที่ถึงระเบียงพักตรงกลางของบันไดเวียน ปานรุ้งกับวิภาวีเปิดศึกยื้อแย่งมือถือกันบนบันไดนั้นอย่างน่าหวาดเสียว
“เอามือถือนั่นมานะนายแม่”
ปานรุ้งไม่ยอมให้มือถือ “ปล่อยนะวิภาวี”
วิภาวีพูดไปแย่งมือถือไป “ไม่ปล่อย วิไม่ยอมเลิกกับปานเทพ ยังไงวิต้องแต่งงานกับปานเทพ วิไม่ยอมเสียปานเทพไป เอามือถือมา”
วิภาวีพยายามยื้อแย่งมือถือจากปานรุ้ง ที่ยึดไว้ ไม่ยอมปล่อย อย่างสุดฤทธิ์
ปานรุ้งทนไม่ไหว ผลักวิภาวีให้ออกไปพ้นตัวเต็มแรง
เท้าวิภาวียืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงริมขั้นบันได สะใภ้แสบรู้ชะตา สีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ยื่นมือมาจะควานคว้าตัวปานรุ้งยึดไว้ แต่ไม่ทันแล้ว ร่างวิภาวีเสียหลัก กลิ้งหลุนๆ ลงไปตามขั้นบันไดอย่างแรง จนไปนอนกองกับพื้นสลบคาตีนบันไดในทันที
ปานรุ้งมองร่างวิภาวีอย่างตื่นตะลึง
“วิภาวี”
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 15 (ต่อ)
เวลานั้น ปานเทพอยู่ในโถงล็อบบี้บริษัทพีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ เขาออกอาการชะงัก มองหน้าธันวาที่เพิ่ง มารายงานอย่างอึ้งๆ
“เมื่อกี้คุณพูดว่ายังไงนะ”
“คุณวิภาวีตกบันไดครับ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแล้ว”
“ตกบันได” ปานเทพคิดถึงลูกทันควัน “แล้วลูกผมล่ะ ลูกผมเป็นยังไง”
ฝ่ายชูนามกดวางสายมือถือจากปานเทพ ที่เพิ่งโทร.มาบอกข่าวเรื่องวิภาวี
ร้อยกรองนั่งอยู่ข้างๆ ชูนามด้วย โกรธแค้นปานรุ้งมาก
“ปานเทพโทร.มาบอกว่าหนูวิตกบันไดเหรอ นังปานรุ้งนี่มันร้ายจริงๆ”
ชูนามกลับพูดยิ้มๆ ออกมา “แต่หนูว่า เป็นอย่างนี้แหละ ดีแล้ว”
“ดียังไง นังปานรุ้งไม่อยากให้หนูวิท้อง จนถึงขั้นผลักหนูวิให้ตกบันได นี่ถ้าหนูวิท้องจริงๆ ป่านนี้คงแท้งไปแล้ว”
“ถึงไม่ได้ท้องจริงๆ ก็แท้งได้นี่แม่”
ร้อยกรองมองฉงน “ชูนามหมายความว่ายังไง”
“ก็ปานเทพเชื่อว่าหนูวิท้อง ในเมื่อปานรุ้งอยากให้แท้ง เราก็ยอมแท้ง แล้วทีนี้แหละ ลูกหงออย่างปานเทพ จะกลายเป็นลูกกบฏ กล้างัดกับแม่สักที”
ด้านปรกเดินลงรถ มาเจอนิชาพอดี นิชามองเขาด้วยสีหน้าเครียดจัด
“นิชา”
“คุณแม่บอกฉันแล้วว่าแม่คุณยกเลิกทุกอย่าง จะไม่มีงานหมั้น จะไม่มีการแต่งงาน ไม่มีแม้แต่เรื่องของเรา”
ปรกเดินเข้าไปจับมือนิชาไว้
“นิชา”
“คุณทำตามที่แม่คุณบอกก็ได้นะ ฉันไม่โกรธคุณหรอก ฉันเข้าใจว่าสถานการณ์อย่างนี้ ไม่มีใครอยากเสี่ยงด้วย”
“แต่ผมไม่ยกเลิก ผมยังอยู่กับคุณ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหน” ปรกจับแหวนบนนิ้วนิชาเป็นวงที่เขาให้เธอไว้ครั้งก่อน “นี่ไง คำยืนยันของผม”
“มันจะเป็นไปได้เหรอคะ ในเมื่อแม่คุณไม่ยอมรับฉัน”
“ไม่ต้องห่วง ผมมียังมีคนสำคัญที่สุดในชีวิตที่จะช่วยเราได้”
นิชามองฉงน “ใครเหรอคะ”
ตัวช่วยของปรกไม่ใช่ใครอื่น ทว่าเป็น เกื้อ บิดาของเขานั่นเอง ซึ่งในวันนี้ อดีตคนขับรถลูกคนใช้บ้านสมุทรเทวาเติบโตในทางการเมือง ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปรกเดินทางมาพบพ่อที่กระทรวงฯ ผ่านขั้นตอน การรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดตามธรรมเนียม
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินนำปรกมาที่หน้าห้องทำงานของเกื้อ
ระหว่างนี้เลขาส่วนตัวเดินถือเอกสารออกมาจากห้องทำงานท่านรัฐมนตรีช่วยฯ พอเห็นปรกก็ยิ้มทักกันอย่างคุ้นเคย
“คุณปรก มาหาท่านเหรอคะ”
“คุณพ่อยุ่งอยู่รึเปล่าครับ”
สักครู่หนึ่ง เลขาเปิดประตูห้องเข้ามา แลเห็นกลุ่มคนที่กำลังห้อมล้อม สนทนากับท่านรัฐมนตรีช่วยอยู่ ด้วยท่าทางซีเรียส
“เรื่องก่อสร้างทางด่วน ท่านช่วยผมพูดกับท่านรัฐมนตรีหน่อย ไม่ได้เหรอครับ” ชาย 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมขอร้อง
“ผมไม่มีสิทธิ์อะไรไปพูดหรอกครับ”
“แต่ท่านเป็นถึงรัฐมนตรีช่วย ยังไงท่านรัฐมนตรีต้องฟังท่านอยู่แล้ว” ชายคนเดิมว่า
เลขาหาจังหวะ เอ่ยขึ้น “ขอโทษค่ะท่าน”
กลุ่มคนเหล่านั้นเงยหน้า เหลียวมองมาทางเลขา และปรก
เกื้อในมาดสุขุมดูภูมิฐานสมวัย ลุกเดินออกจากคนกลุ่มนั้นไปมานั่งที่โต๊ะทำงาน ด้านหลังโต๊ะทำงานอันใหญ่โตเข้มขลัง เป็นรูปเกื้อแต่งเครื่องแบบขาวเต็มขั้น และติดเครื่องราชอิสริยาภรณ์เต็มยศ
“ผมมีนัดต่อ ขอโทษด้วยนะครับ” เกื้อออกตัว
กลุ่มคนจากบริษัทรับเหมามองหน้ากัน
“งั้นวันนี้ผมขอลาท่านก่อน สวัสดีครับ” ชาย 1 ไหว้ลา พลางหันตัวจะเดินไป
“เดี๋ยวครับ” เกื้อเรียกไว้ หยิบซองใส่ปึกเงินบนโต๊ะ คืนให้ชาย 1 “คุณลืมของ”
“ผมไม่ได้ลืมครับ แต่ผมให้ท่าน”
เกื้อวางเงินลงบนโต๊ะตรงหน้าชาย 1 “ผมไม่รับครับ ถ้าคุณไม่เอากลับไป ผมจะฟ้องร้องตามระเบียบ ข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงาน”
ชาย 1 หยิบซองเงินคืน แล้วเดินหน้าม้านออกจากห้องไป
เกื้อมองกลุ่มคนจากบริษัทรับเหมาที่เดินตามกันออกไป แล้วหันมายิ้มทักลูกชาย
“ขอบใจนะปรก ที่มาหาพ่อถูกเวลา”
ปรกยกมือไหว้บิดารัฐมนตรี
“คุณพ่อสบายดีไหมครับ”
“ก็อย่างที่เห็น สู้รบกับพวกบริษัทรับเหมาแทบทุกวัน คนสมัยนี้อยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกสบายจนเคยตัว จะทำอะไร ก็หาแต่ทางลัด ไม่นึกถึงคนอื่นที่เขาทำตามทางที่ถูกต้อง ว่าแต่ปรกเถอะ มีอะไรรึเปล่าถึงมาหาพ่อตอนนี้”
“ผมมีเรื่องนายแม่มารบกวนคุณพ่อน่ะครับ”
เกื้อมองลูกชาย ผู้เป็นผลผลิตจากความรัก และ ความเทิดทูน ของเขานิ่ง รู้ว่าคงเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
อีกฟากหนึ่ง ที่บริเวณป้ายรถเมล์ละแวกหน้าแฟลต มีคนรอรถอยู่ 4 คน วิรินทร์เดินหิ้วถุงกระสอบที่ใส่เสื้อเดินเข้ามาที่ป้ายรถเมล์นั้น
สักครู่เห็นปกรณ์เดินโผล่มาจากหลังป้ายรถเมล์ เข้ามาช่วยวิรินทร์หิ้วถุง
“เราช่วยนะ” ปกรณ์ดึงถุงจากวิรินทร์มาถือทันที
“นายอีกแล้วเหรอ”
ปกรณ์กวน “เราไม่ได้ชื่ออีกแล้ว...เราชื่อปกรณ์”
วิรินทร์มองค้อน
“เธอจะไปขายของเหรอ”
“เราไม่ได้จะไปขายของ เราจะไปขายเสื้อ”
ปกรณ์ยิ้มกว้าง ชอบใจที่วิรินทร์กวนกลับ
“เราไปช่วยขายนะ”
“เฮ้ย ไม่ต้อง”
ปกรณ์ไม่สนใจ เดินหิ้วถุงไปยืนเรียกแท็กซี่ทันที
แท็กซี่มาจอดเทียบ วิรินทร์รีบเข้าไปดึงปกรณ์ไว้
“นายจะทำอะไรเนี่ย”
“อ้าว ก็เรียกแท็กซี่พาเธอไปขายของไง เธอจะไปขายตลาดนัดไหนล่ะ”
“เราไม่ขึ้นแท็กซี่ มันเปลืองตังค์”
“ไม่เป็นไร เราออกให้ก็ได้”
วิรินทร์มองหมั่นไส้ปกรณ์เป็นเชิงตำหนิว่า จ้ะ พ่อลูกคนรวย!
“ไม่ต้อง! เถ้านายอยากไปแท็กซี่ก็ไป เราจะไปรถเมล์”
วิรินทร์ดึงถุงจากปกรณ์คืนมา แล้วเดินไปรอรถเมล์
“เราไปด้วย”
รถเมล์มาพอดี วิรินทร์แบกถุงขึ้นรถ ปกรณ์รีบวิ่งตามขึ้นไปทันที
วิรินทร์มาถึงตลาดนัด กำลังเตรียมแผงขายของ เด็กสาวนักสู้ชีวิต หยิบเสื้อยืดจากถุงที่รับมาออกมาวางเรียง อย่างคล่องแคล่ว
ปกรณ์ยืนมองเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเริ่มช่วยจากตรงไหนดี เพราะไม่เคยทำอะไรเองเลย วิรินทร์พับเสื้อยืดอย่างชำนาญวางเรียงอย่างสวยงาม
ปกรณ์เข้าไปหยิบเสื้อขึ้นมา “เราช่วยนะ”
คุณหนูไฮโซ พับเสื้อ แต่พับไม่เป็น พับเท่าไหร่ก็ไม่เหมือนที่วิรินทร์พับสักที วิรินทร์มองขำๆ
“เราว่านายช่วยยุ่งมากกว่านะเนี่ย เราพับเอง นายนั่งเฉยๆ เถอะ”
ปกรณ์นั่งมองวิรินทร์พับเสื้อยิ้มตาเยิ้ม สุขใจ
ดูไปดูมาปกรณ์หยิบมือถือขึ้นมา กดถ่าย Selfie รูปตัวเองกับวิรินทร์ที่ยังวุ่นวายยังจัดของไม่เสร็จ จนจังหวะหนึ่งปกรณ์ตั้งถ่ายไว้แล้วร้องเรียก
“รินทร์”
วิรินทร์หันหน้ามามอง ปกรณ์กดถ่ายรูปทันที เป็นรูป Selfie ของสองคน ที่วิรินทร์หน้าดูเหวอๆ แลดูน่ารักปนน่าขัน
“เฮ้ย ลบออกเลยนะ หน้าเราน่าเกลียดมากเลย” วิรินทร์แย่งมือถือปกรณ์
ปกรณ์ดึงมือถือคืน “น่าเกลียดตรงไหน น่ารักจะตาย”
วิรินทร์ชะงัก ปกรณ์เองก็เก้อเขิน รีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ วันนี้ไม่มีเรียนแล้วเหรอ”
“ถ้ามี เราจะมาขายของได้ยังล่ะ” วิรินทร์หันไปจัดของต่อ
“เออ จริง” ปกรณ์ช่วยหยิบเสื้อจากถุงส่งให้วิรินทร์ “รินทร์ของขายของแบบนี้นี่เอง ถึงเรียนบริหารใช่ไหม”
“นั่นก็ส่วนนึง แต่ความจริงเราอยากเรียนนิเทศ เราอยากเป็นนักข่าว นี่กำลังคิดว่าจะย้ายคณะอยู่เนี่ย”
“ย้ายคณะเลยเหรอ แล้วทำไมถึงอยากเป็นนักข่าวล่ะ”
“ก็ถ้าเราได้เป็นนักข่าวนะ เราก็คงจะได้ไปทำข่าวตามที่ต่างๆ ได้ออกเดินทาง ได้ไปในที่ที่เราไม่เคยไป เราว่ามันน่าสนุกดีออก”
ปกรณ์คิดตามวิรินทร์ แล้วรู้สึกอยากมีชีวิตแบบนั้นบ้าง
“ความจริงเราก็อยากทำอย่างนั้นนะ แต่นายแม่เราอยากให้เรียน เราก็เลยต้องเรียนน่ะ หรือเราควรลองขอนายแม่ย้ายคณะดี”
“เราว่านายคิดดีๆ คิดให้รอบครอบกว่านี้ก่อนไหม นายรู้เหรอว่านักข่าวเค้าต้องทำอะไรบ้าง” ปกรณ์ส่ายหน้า “งั้นนายก็ต้องไปศึกษาดู แล้วถ้านายชอบจริงๆ นายก็ค่อยไปบอกแม่ของนาย”
ปกรณ์มองวิรินทร์ด้วยสายตายิ้มๆ
“ขอบคุณนะที่แนะนำเรา”
วิรินทร์เห็นสายตาหวานฉ่ำของปกรณ์ ก็รู้สึกเขิน
“ก็แค่แนะนำเอง ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย”
วิรินทร์เฉไฉหยิบอะคูเลเล่มาเล่น ร้องเพลง ปกรณ์มองจ้อง
“นี่รินทร์เล่นเป็นด้วยเหรอ”
“เล่นเป็นสิ ไม่เห็นจะยากเลย”
“สอนเราเล่นหน่อยสิ เราดูในยูทูปตั้งหลายรอบ เล่นไม่เป็นสักที”
“นายนี่ทำอะไรเป็นบ้างไหมเนี่ย มอไซค์ก็ขี่ไม่เป็น อะคูเลเล่ก็เล่นไม่ได้” ปกรณ์ยิ้มหล่อ “อ่ะ จับคอร์ดง่ายๆก่อนละกัน คอร์ด C ใช้นิ้วกลางจับตรงแฟลตที่ 3 ของสายแรก”
ปกรณ์ลองจับ “อันนี้เหรอ”
“แฟลตที่ 3 สายแรก”
ปกรณ์จับผิดอีก วิรินทร์รำคาญเลยต้องจับนิ้วปกรณ์ให้กดลงตรงคอร์ด C
ปกรณ์มองหน้าวิรินทร์ แล้วมองมือของเธอที่จับมือเขาอยู่ ยิ้มสุขใจ
“แบบนี้ เอ้า ลองดีดซิ” ปกรณ์ใช้มืออีกข้างดีด แต่ดีดไม่เป็น “ทำมือแบบนี้”
วิรินทร์จับมือปกรณ์จนถูกต้อง แล้วลากลงบนสายอะคูเลเล่
ปกรณ์มองอย่างมีความสุข วิรินทร์เห็นสายตาปกรณ์มองเอาๆ เลยแกล้งดุแก้เขิน
“ตกลงนายอยากเล่นจริงปะเนี่ย ถ้าไม่เล่น เอามานี่” เด็กสาวดึงอะคูเลเล่จากปกรณ์มา “เราเล่นเอง”
พ่อค้าแผงข้างๆ เดินมาหา
“รินทร์จะร้องเพลงเหรอ งั้นพี่ขอเพลง ‘เธอ’ นะ ฝากให้แม่ค้าฝั่งโน้น”
“ได้เลยพี่ป้อง”
วิรินทร์เล่นอะคูเลเล่ร้องเพลง “เธอ” ไป
ปกรณ์นั่งมองอย่างชื่นชม หยิบมือถือมาถ่ายคลิปวิรินทร์ร้องเพลงไว้
ส่วนทางปานรุ้งอยู่ที่ห้องทำงาน พีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ กำลังคุยมือถือกับวาสุเทพด้วยสีหน้าเครียดจัด
“รุ้งถามหมอแล้วค่ะพี่เทพ วิภาวีไม่ได้เป็นอะไรมาก เดี๋ยวเย็นนี้รุ้งจะกลับบ้านคุยกับปานเทพเอง ว่าความจริงเป็นยังไง พี่เทพต้อนรับลูกค้าไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ มันคงไม่มีอะไร
แย่ไปกว่านี้แล้วล่ะค่ะ แล้วเจอกันที่บ้านค่ะ”
ปานรุ้งกดวางสาย ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า สุดท้ายคุณหญิงฮึด ทำตัวเองให้เข้มแข็ง เปลี่ยนเรื่องคิด หยิบหนังสือพิมพ์มาดูข่าว แต่แล้วกลับต้องชะงักกึก เมื่อแลเห็นข่าวการแข่งรถ มีรูปปานวาดยิ้มหัวอยู่กับโดมอย่างสนิทสนมประกอบข่าวชิ้นนั้น ปานรุ้งลุกพรวด โกรธจัด
“ปานวาด”
ปานรุ้งเดินลิ่วออกมาหน้าห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ธันวาเดินเข้ามาหา
“คุณหญิงครับ…”
ถูกปานรุ้งขัดขึ้น “สั่งให้ถนอมเอารถมารับฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปมหาวิทยาลัยปานวาด”
ธันวาอิดออด “แต่ท่านครับ”
ปานรุ้งตวาด “อะไร”
“ท่านรัฐมนตรีช่วยมาครับ
ขณะปานรุ้งทวนคำ “ท่านรัฐมนตรีช่วย”
เกื้อเดินเข้ามาถึงพอดี ปานรุ้งหันมาเห็น
“เกื้อ”
บอดี้การ์ดของเกื้อเปิดประตูลิฟท์รอ ปานรุ้งเดินเข้ามาในลิฟท์ โดยมีเกื้อเดินตาม ธันวาตามหลังสุด เกื้อยืนสงบเสงี่ยมเจียมตัวคุยกับปานรุ้ง
“อย่าก้มหัวให้ฉันอย่างนั้นอีกเลยเกื้อ ตอนนี้เธอไม่เหมือนเดิม เธอเป็นถึงรัฐมนตรีช่วยแล้ว”
“ตำแหน่งก็แค่หัวโขนที่สวมบนหัวผมเท่านั้น ส่วนตัวของผม ก็ยังเป็น นายเกื้อเหมือนเดิม”
“ฉันรู้ และฉันก็รู้ว่าไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เธอก็ยังดูแลลูกไม่ห่าง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ปรกคงไปบอกเรื่องนิชากับเธอใช่ไหม”
“ครับ”
“เรื่องของธุรกิจ เธอเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกเกื้อ”
“ผมไม่ได้มาคุยเรื่องธุรกิจ ผมมาคุยเรื่องความสุขของลูก”
ปานรุ้งชะงัก นิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองเกื้อ
“ฉันก็กำลังทำทุกอย่างเพื่อความสุขของลูก”
“คุณหนูจำได้ไหมครับ ตอนที่คุณนายส่งคุณหนูไปเรียนเมืองนอก คุณหนูไม่อยากไป แต่คุณนายเห็นว่าการไปเรียนเมืองนอกจะทำให้ชีวิตคุณสุขสบาย แต่คุณหนูเถียงว่าไม่จริง ความสุขของคุณหนู ขอแค่ได้อยู่กับคุณนาย คุณหนูก็มีความสุขแล้ว”
ปานรุ้งหน้าตึง “เธอจะบอกว่าฉันกำลังบังคับลูกเหมือนนายแม่เหรอ”
“ผมกำลังจะบอกว่าความสุขของลูก กับความสุขของเรามันคนละเรื่องกัน เราใช้ประสบการณ์ในชีวิตของเราตัดสินแทนลูก แต่บางทีสิ่งที่ลูกจะเจอ อาจไม่เป็นอย่างที่เราเจอก็ได้”
“เกื้อ…”
“ผมรู้ว่าคุณหนูทำทุกอย่างเพื่อลูก จนบางครั้งอาจลืมถามลูกไปว่า ลูกต้องการอะไร”
ปานรุ้งมองเกื้อนิ่งงันไป
ไม่นานถัดมาปานรุ้งเดินนำออกจากลิฟท์มายังโถงชั้นล็อบบี้ มีเกื้อเดินตาม ธันวาเดินรั้งท้าย
“ถ้าคุณหนูห่วงเรื่องปัญหาการเงินของคุณนิรมล ผมจะช่วยเคลียร์เรื่องนั้นให้เอง”
“หนี้สินมันมากนะเกื้อ”
“แต่ผมเชื่อว่าสำหรับคุณหนูและผม ไม่มีอะไรมากไปกว่าความสุขของลูก”
ปานรุ้งมองเกื้อ
“กลับไปเถอะเกื้อ เรื่องลูก ฉันเลี้ยงเขามา ฉันรู้ว่าต้องจัดการชีวิตพวกเขายังไง”
ปานรุ้ง เดินออกไปทันที เกื้อมองตามปานรุ้งด้วยสายตากังวล
อริศรากับวีวี่คุมกลุ่มนักศึกษาหญิงซ้อมเชียร์ลีดเดอร์กันอยู่ในสนาม ปานวาดนั่งกินขนมอยู่ที่อัฒจันทร์กับโดม
“เอ้า เต้นให้มันแข็งแรงหน่อย สะบัดแรงๆ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแข่งแล้ว” อริศราตะโกนดังขึ้นอีก “แยกแขนหน่อย แยกอีก แยกอีก แยกอีก”
วีวี่หมั่นไส้ “น้องก็แยกแขนจนร่างจะแหกแล้ว จะให้แยกอะไรอีก !
“ไม่ได้หมายถึงน้อง” อริศราหันไปชี้ทางปานวาดกับโดมที่นั่งกุ๊กกิ๊กกันอยู่ “หมายถึงคู่นั้นน่ะ นั่งแยกกันได้ไหม รู้แล้วว่าเป็นแฟนกันสงสารคนโสดบ้าง”
ปานวาดยื่นถุงขนมมาให้ “โอ๋ๆๆๆ เอาขนมไปกินเพิ่มความหวานให้ชีวิตก่อนนะ”
ปานรุ้งเดินเข้ามายืนตรงหน้าอัฒจันทร์
“มีความสุขมากไหมปานวาด”
ปานวาดสะดุ้งสุดตัว มองปานรุ้งอย่างตะลึงตะไล
“นายแม่”
โดมมองปานรุ้งแล้วรีบยกมือไหว้ ปานรุ้งเพียงปรายตามอง ไม่ยอมรับไหว้
คุมตัวลูกสาวกลับมาถึงบ้าน ปานรุ้งดึงมือปานวาดเข้ามาในห้อง แล้วเหวี่ยงร่างลูกสาวไปที่เตียง
“นายแม่ วาดเจ็บ”
ปานรุ้งหยิบหนังสือพิมพ์ที่มีรูปปานวาดกับโดมยิ้มให้กัน มาปาใส่ “แล้วสิ่งที่วาดทำกับแม่ แม่ไม่เจ็บเหรอ วาดทำอย่างนี้ได้ยังไง”
ปานวาดเถียง “แต่วาดกับพี่โดมไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะนายแม่”
“แอบหนีไปแข่งรถ ทำตัวไร้การศึกษาอย่างนี้เหรอไม่ผิด แม่ขอสั่งนะ ห้ามวาดไปยุ่งกับไอ้กุ๊ยนั่นอีก”
“พี่โดมไม่ใช่กุ๊ยนะคะนายแม่ พี่โดมมีงานทำ เป็นเจ้าของผับที่ทองหล่อเลยนะคะ”
“เจ้าของผับเหรอ มันก็เป็นธุรกิจอโคจร กินเหล้าเมายา มั่วผู้หญิง อย่างนั้นเหรอไม่ใช่กุ๊ย! เลิกคบกับมันซะ แล้วต่อไปนี้” ปานรุ้งหยิบมือถือ ไอแพด และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก “ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ สื่อสารอะไรทั้งนั้น วาดจะไปไหนมาไหน ต้องมีน้อยคอยตาม แม่จะ ไม่ยอมให้วาดห่างสายตาแม่อีก”
ปานวาดโกรธมากกว่าตกใจ “นายแม่”
“วาดว่าแม่ไม่ได้นะ วาดเป็นคนทำลายความไว้ใจที่แม่มีต่อวาดเอง”
ปานรุ้งเดินออกจากห้องไปเลย ปานวาดมองตาม ด้วยความเสียใจ
ปานรุ้งหอบมือถือ ไอแพดและโน้ตบุ๊กของปานวาดลงบันไดมา วาสุเทพเดินตาม
“พี่ว่ารุ้งน่าจะคุยกับลูกดีๆ ก่อนนะ”
“นี่ล่ะค่ะ คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกแล้ว” ปานรุ้งตะโกนเรียกน้อยเสียงดังลั่น “น้อย น้อย
มาเอาของๆ คุณปานวาดไปเก็บไว้เดี๋ยวนี้”
วาสุเทพพยายามอธิบายช่วยลูก “แต่เท่าที่พี่เห็น ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
ปานรุ้งชะงักกึก หันมามองวาสุเทพอย่างไม่พอใจ
“นี่พี่เทพรู้เรื่องนายนั่นแล้วเหรอคะ ทำไมพี่เทพไม่บอกรุ้ง”
“เพราะพี่กำลังรอให้ผู้ชายเข้ามาหารุ้งเอง พี่ต้องการดูความจริงใจของเขา”
“แล้วพี่เทพคิดว่า รุ้งจะยอมรับผู้ชายกระจอกอย่างนั้นให้มาคบกับปานวาดเหรอคะ”
“รุ้ง” วาสุเทพอึ้งไป
“ถึงชีวิตที่เคยตกอับของรุ้งจะผ่านไปเป็นสิบๆ ปี แต่ความหิวความทรมานจากการอดมื้อกินมื้อมันไม่เคยหาย รุ้งจะไม่ยอมให้วาดต้องเสี่ยงมีชีวิตอย่างนั้นเด็ดขาด”
ธันวาเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“คุณหญิงครับ”
ปานรุ้งแหวใส่ “มีอะไรอีก”
“คนของเราโทร.มาบอกว่า คุณวิภาวีฟื้นแล้ว ตอนนี้กำลังอาละวาด บอกคุณปานเทพว่าคุณหญิงทำคุณวิแท้งครับ”
ปานรุ้งเครียดจัด ปัญหารุมรอบทิศ
อ่านต่อตอนที่ 16