หนึ่งในทรวง ตอนที่ 11
ส่องแสงมาหาอนวัชที่บ้าน แล้วไม่เจอ จึงโวยวายใส่หน้าพิมพ์
“พี่หนึ่งไปไหน ที่ทำงานก็ไม่ได้ไป ที่บ้านก็ไม่อยู่”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ”
“โกหก จะไม่รู้ได้ยังไง คนหายไปทั้งคน”
“คุณหนึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถไปไหนก็ได้โดยไม่ต้องบอกใคร ไม่ต้องรายงานใคร และดิฉันเช่นกัน ถ้าดิฉันทราบ ดิฉันก็ไม่จำเป็นต้องรายงานคุณ”
“อย่ามายวน แกจงใจปิดบังฉัน คอยดูเถอะ ถ้าพี่หนึ่งกลับมา ฉันจะบอกให้ไล่ตะเพิดออกไปให้หมดเลย”
ส่องแสงสะบัดเดินเชิดออกไป พิมพ์เอือมระอา
เวลาต่อมา ส่องแสงเดินกระฟัดกระเฟียดด้วยความหงุดหงิด
“เบื่ออีพวกขี้ข้าจริงๆ ทำให้อารมณ์เสียแต่เช้า พี่หนึ่งก็พอกัน พี่หนึ่งหายไปไหนของเขานะ”
ส่องแสงหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินบ่นด้วยความเซ็ง แล้วก็หันไปที่ร้านเพชร
“ดูของสวยๆ งามๆ แก้เครียดดีกว่า
ส่องแสงยิ้มร่า เอาวัตถุมากลบความทุกข์ในใจ เดินดูเครื่องเพชร หยิบแหวนมาดูด้วยความพอใจ แต่พอเห็นราคาก็เบ้หน้าในความแพง จะเดินต่อไป แต่เสียงของผู้ชายแปลกหน้าก็ดังขึ้น
”คุณส่องแสงครับ”
ส่องแสงหันไป เห็นรวยยืนยิ้มอยู่ เธอชะงักนิดๆ คิดว่าใคร แล้วก็จำได้ว่าชายคนนี้รู้จักกับชุลี ส่องแสงยิ้มหวานเจ้าเล่ห์
“สวัสดีค่ะคุณรวย”
“คุณส่องแสงจำผมได้ด้วย โห ผมดีใจมากๆ เลยนะครับ รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ”
“จำได้สิคะ คุณรวยเป็นคนโดดเด่น น่าจดจำ ส่องไม่ลืมหรอกค่ะ”
รวยยิ้มพองโต
“คุณส่องแสงก็สวยโดดเด่น น่าจดจำมากๆ เช่นกันครับ”
ส่องแสงยิ้มรักษาท่าที รวยมองตาเยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
“เอ้อ เมื่อกี๊ผมเห็นคุณส่องดูแหวน แล้วทำไมไม่ซื้อล่ะครับ”
“อ้อ คือ เอ่อ มัน”
“ผมซื้อให้นะครับ”
“อะไรนะคะ”
รวยยิ้ม ไม่พูดอะไร เดินเข้าไปในร้าน ส่องแสงมองด้วยความประหลาดใจ
“เอ่อ คุณรวยคะ คุณรวย”
ส่องแสงยืนอยู่ลุ้นๆ สักพักรวยเดินมาพร้อมยื่นถุงให้
“สำหรับคุณส่องครับ ถือว่าเป็นของขวัญในการเจอกันอีกครั้ง”
“เอ่อ แหม คุณรวยไม่น่าลำบากซื้อให้ส่องก็ได้ค่ะ ส่องเกรงใจ”
“ถ้าเกรงใจ วันหน้ากรุณาให้เกียรติไปทานอาหารกลางวันกับผมเป็นการตอบแทนได้มั้ยครับ”
ส่องแสงครุ่นคิดสองจิตสองใจ เธอนำกล่องเพชรที่รวยซื้อให้กลับมาเปิดที่บ้าน แล้วกรีดร้องลั่น สีสุกตกใจ
“อะไรลูก เป็นอะไร”
สีสุกหันไปแล้วก็ตาวาวกับสร้อยเพชรเส้นมหึมาที่อยู่ในกล่อง
“คุณแม่ดูสิคะ นี่ค่ะ ของขวัญที่คุณรวยให้ส่องค่ะ นี่ส่องอยากได้แค่แหวนแต่คุณรวยซื้อตุ้มหูแล้วก็สร้อยให้ด้วยนะคะคุณแม่”
สีสุกหยิบมาดูตื่นเต้นไปด้วย
“น้ำงามมากๆ เลยนะลูก เนี่ยต้องราคาหลายหมื่นแน่ๆ”
“คุณรวยเนี่ยใจดี๊ใจดีนะคะ เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ซื้อของให้ตั้งมากขนาดนี้ ตายแล้ว น่ารักจริงๆ เอ้อ แล้วเมื่อกี๊คุณแม่พูดอะไรกับส่องเหรอคะ คุณแม่บอกว่าคุณรวยเขาทำไมนะคะ”
“อ้อ ก็ ไม่มีอะไรจ้ะ ก็บอกแค่ว่าถ้าคุณรวยเขาเป็นคนดีจริงๆ ส่องจะไปทานข้าวดูหนังกับเขาบ้าง แม่ก็ไม่ว่าอะไรจ้ะ แม่ก็พูดแค่นี้แหละ แต่ลูกก็ต้องระวังอย่าให้คุณหนึ่งรู้นะลูก เดี๋ยวเธอจะไม่พอใจ”
“คุณแม่ไว้ใจส่องเถอะค่ะ ส่องจัดการได้ นังปุ้มมันจัดตารางผู้ชายเดินเข้าเดินออก แปรขบวนยังกะสวนสนามได้ ส่องก็ทำได้เหมือนกัน”
ส่องแสงยิ้มมั่นใจ แม่ลูกหันมาดูสร้อยเพชรระยิบระยับอยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
หทัยรัตน์ถือหนังสือเตรียมจะเดินออกจากบ้านกนกพร เสียงประสาทพรเรียกดังขึ้น
“คุณหทัยรัตน์”
หทัยรัตน์ชะงัก ตกใจ ค่อยๆ หันไป
“สวัสดีค่ะคุณชาย”
“จะกลับแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ”
“ผมไปส่งนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันกลับเองได้ค่ะ”
“คุณหทัยรัตน์พยายามหลบหน้าผมอยู่หรือเปล่าครับ”
หทัยรัตน์ชะงักไป
“ผมรู้สึกว่าตั้งแต่คุณได้จดหมายของหนึ่ง คุณเปลี่ยนไป ไม่ยอมไปทานข้าว ดูหนัง และไม่ยอมแม้แต่จะคุยกับผม คุณเป็นแบบนี้เพราะจดหมายของหนึ่งหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ”
“คุณบอกผมได้มั้ยครับว่าเนื้อความในจดหมายคืออะไร”
“เอ่อ ดิฉันไม่ทราบค่ะ เพราะยังไม่ได้อ่าน”
ประสาทพรมองไม่เชื่อ หทัยรัตน์ไม่กล้าสู้สายตา
“เอ่อ ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
หทัยรัตน์เดินออกไป ประสาทพรมองด้วยความกังวลและกลุ้มใจ
สุดากับประสาทพรนัดกันที่ร้านหนังสือ คุยกันไปพลางหาหนังสือไปด้วย
“อย่าคิดมากเลยค่ะ ปุ้มทำเหมือนหลบหน้าคุณชายก็คงเพราะกำลังสับสน”
“เมื่อไหร่หทัยรัตน์จะหายสับสน”
“คงต้องให้เวลาปุ้มสักพัก”
ประสาทพรฟังแล้วคิดตาม จำใจยอมรับ
“การรักใครสักคนโดยไม่คาดหวัง เหมือนที่คุณสุดาเคยบอกผม มันไม่ง่ายเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ ไม่ง่ายเลย”
“แล้วคุณสุดา เคยรักใครโดยไม่คาดหวัง รักด้วยเมตตาแบบที่คุณบอกผมบ้างหรือเปล่าครับ”
“ก็ เคยค่ะ”
“ดีจังครับ คุณสุดาเก่งมากๆ เลยนะครับที่ทำได้ มีเคล็ดลับยังไง บอกผมได้หรือเปล่าครับ”
สุดาอึ้ง คำถามแทงใจดำ แล้วก็ตอบยิ้มๆ
“ดิฉันแค่อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ไม่คิดไปไกล ดิฉันจะทำทุกช่วงเวลา ทุกวินาทีที่ได้อยู่กับเขา ให้เป็นช่วงเวลาที่ดีและมีค่าที่สุด เพราะถึงแม้เวลาจะหมดลง เราก็จะยังเหลือความทรงจำดีๆ ที่สวยงามตามติดตัวเราไปตลอดค่ะ”
สุดาพูดไปมองหน้าประสาทพรไปด้วย เหมือนจะบอกให้รู้เป็นนัยๆ ว่าหมายถึงใครที่ตัวเองคิดถึง ประสาทพรพยักหน้ารับรู้ คิดตาม แล้วก็รู้สึกดี โดยที่ไม่รู้ความหมายแฝงแม้แต่น้อย
รวยเดินนำส่องแสงเข้ามาในร้านอาหารจีนหรูหรา ส่องแสงมองด้วยความตื่นเต้น พนักงานเดินมาต้อนรับอย่างคุ้นเคย
“สวัสดีครับท่านเจ้าสัว ไม่ทราบว่าวันนี้มากี่ที่ครับ”
“สอง”
“เชิญครับ”
พนักงานเดินนำไป
“คุณส่องแสงอยากกินอะไร สั่งมาเต็มที่เลยนะครับ ผมเป็นเจ้ามือเอง พอกินเสร็จแล้ว เราไปซื้อของกันต่อนะครับ คุณส่องแสงอยากได้อะไรคิดไว้ในใจได้เลยนะครับ ผมซื้อให้เอง ถือว่าเป็นของขวัญที่มากินข้าวเป็นเพื่อนผมในวันนี้”
“ขอบคุณค่ะ”
ส่องแสงเดินช้าลงนิดหนึ่ง ปล่อยให้รวยเดินนำไป ลับหลังรวย ส่องแสงตาวาวกับความอลังการของร้านอาหาร ยังตื่นตา พนักงานยืนไหว้ตลอดทาง ทำให้ส่องแสงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิง
เวลาต่อมา อาหารจีนถูกนำมาวางเต็มโต๊ะ ส่องแสงมองตาโต
“เราสั่งมาเยอะเกินไปหรือเปล่าคะเนี่ย แล้วจะทานกันหมดเหรอคะ”
“ไม่หมดก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ทางร้านเขาไม่เรียกตำรวจมาจับสักหน่อย คุณส่องแสงทานตามสบายนะครับ นี่ครับ หูฉลามที่นี่อร่อยมากนะครับ เชิญครับ”
รวยตักส่งหูฉลามให้ส่องแสง ส่องแสงรับมาอย่างพอใจ พนักงานเสิร์ฟมาคอยดูแลอยู่หลายคน ล้อมหน้าล้อมหลัง ส่องแสงยิ้มแย้มมีความสุข
รวยกับส่องแสงเข้าไปในห้างซื้อกระเป๋า เสื้อผ้า หรูหรา ส่องแสงเลือกอย่างสนุก เดินยิ้มร่าเริงมีความสุข
อีกมุมหนึ่งของร้าน หทัยรัตน์กำลังยืนซื้อของอยู่ รวยและส่องแสงเดินจู๋จี๋กันมาอย่างร่าเริง หทัยรัตน์หันไปเห็นก็ชะงัก รีบหลบ ส่องแสงและรวยเดินยิ้มร่าเริง มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด หทัยรัตน์ค่อยๆ โผล่หน้าออกมา งุนงง แอบคิดถึงอนวัชขึ้นมา และคำพูดของส่องแสงในร้านหนังสือวันนั้นแล่นเข้ามาในความทรงจำ
“พี่หนึ่งบอกว่าแต่งเพราะเห็นแก่ผู้ใหญ่ เขาขอเวลาฉันสักปี ครึ่งปี แต่ฉันก็ให้เวลาเขาแค่ 3 เดือนเท่านั้น พอแต่งครบกำหนดต้องหย่าทันที แล้วเขาก็จะมาแต่งงานกับฉัน”
หทัยรัตน์สงสัย งุนงง และสงสารอนวัช
สัทธาจัดกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อยเตรียมไปเชียงใหม่ สุดารีบเดินเข้ามาหา
“พี่ปุ๊จะไปหาหนึ่งที่เชียงใหม่จริงๆ เหรอคะ”
“อือ พี่เป็นห่วงไอ้หนึ่งมัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามเจ้าปุ้มก็ไม่ยอมปริปากพูดแม้แต่คำเดียว พี่ไม่อยากปล่อยหนึ่งอยู่คนเดียว”
“แป้นว่าก็ดีเหมือนกันนะคะ ถ้าพี่ปุ๊เจอพี่หนึ่งแล้วโทรศัพท์บอกแป้นด้วยนะคะ แป้นก็เป็นห่วงพี่หนึ่งเหมือนกัน”
“พี่อยากรู้จริงๆ ระหว่างไอ้หนึ่งกับปุ้มมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สัทธามุ่งมั่นในการหาคำตอบ
ในไนต์คลับ ส่องแสงเต้นรำกับรวยอย่างสนุกสนานจนจบเพลง ทั้งสองเดินกลับมานั่งที่โต๊ะด้วยความเหนื่อย แต่ยิ้มแย้มมีความสุข
“น้ำครับคุณส่อง”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผ้าเย็นครับคุณส่อง”
“ขอบคุณค่ะ”
“ดอกไม้ครับคุณส่อง”
“ขอบคุณค่ะ”
รวยส่งแหวนแต่งงานให้
“แต่งงานกับผมนะครับคุณส่อง”
ส่องแสงจะรับมา
“ขอบคุณ คุณรวยว่าอะไรนะคะ”
“ผมบอกว่า แต่งงานกับผมนะครับคุณส่อง”
ส่องแสงรีบหดมือกลับ
“แหม มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะคุณรวย เราเพิ่งจะเจอกันเองนะคะ”
“สำหรับคำว่า รัก ไม่มีคำว่าเร็วหรอกครับ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะดูแลคุณส่อง ถ้าคุณส่องวางใจให้ผมดูแล ได้โปรดแต่งงานกับผมนะครับ”
“แหม แต่ส่องยังไม่พร้อมนี่คะ ส่องอยากจะขอเวลาตัดสินใจก่อน ไหนจะต้องปรึกษาคุณแม่อีก มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะคะ”
รวยเศร้าลงเล็กน้อย
“ก็ได้ครับ งั้นผมฝากแหวนวงนี้ไว้กับคุณส่องแล้วกันนะครับ”
“แหม จะดีเหรอคะ แต่ก็ได้ค่ะ ส่องจะดูแลให้เป็นอย่างดี และถ้าวันไหนที่ส่องพร้อมจะแต่งงานกับคุณ ส่องจะใส่แหวนวงนี้แทนคำตอบนะคะ”
“ครับ”
ส่องแสงยิ้มพร้อมกับเหลือบดูแหวนวงใหญ่ด้วยความพอใจ
อนวัชเดินเซออกมาหน้าบ้านพักในต่างจังหวัด ด้วยสภาพทรุดโทรม
“บุญเติม เติม ไอ้เติมเว้ย”
บุญเติมวิ่งมา
“ครับคุณหนู มีอะไรครับ”
“ไปซื้อเหล้าให้ฉันหน่อยไป”
“แต่ คุณหนูดื่มแต่เหล้า ไม่ทานข้าวมาหลายวันแล้วนะครับ”
“เฮ้ย ไม่ต้องพูดมาก ฉันให้ไปซื้อก็ไปซื้อสิ”
“ครับๆ”
ทันใดนั้นเสียงสัทธาดังขึ้น
“เดี๋ยว ไม่ต้องไป”
บุญเติมชะงัก อนวัชหันมาทางต้นเสียง สัทธายืนอยู่พร้อมกระเป๋าเดินทาง อนวัชทั้งแปลกใจและตกใจ สัทธาวางกระเป๋าและหันมาต่อว่าอนวัช
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะไอ้หนึ่ง ทำไมแกถึงได้เมาหมดสภาพแบบนี้”
“ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่ อยากกินเหล้าก็เท่านั้น”
“แกคิดว่าฉันจะเชื่อแกเหรอ แกกับยัยปุ้มเนี่ยพอกันเลย คนหนึ่งก็หนีมาที่นี่ไม่บอกใคร อีกคนก็เป็นใบ้ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ถามอะไรก็ไม่ตอบ ตกลงแกสองคนเป็นอะไรกันแน่”
อนวัชชะงัก พูดไม่ออก
“ว่าไง นี่ถ้าแกไม่บอก ฉันจะลากตัวแกกลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้นะไอ้หนึ่ง ฉันจะจับแกกับไอ้ปุ้มมาเจอกัน แล้วดูสิว่าใครที่ยอมบอกฉันว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างแกสองคน”
“แกไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก น้องสาวแกเขาจะลำบากใจเปล่าๆ ที่ต้องเจอฉัน และอีกอย่างฉันคืนอิสระให้เขาแล้ว”
“แกว่าอะไรนะ”
“ฉันถอนหมั้นน้องสาวแกแล้ว เพราะคนที่เขารักและต้องการแต่งงานด้วยคือคุณชายประสาทพร ฉันไม่อยากจะขัดขวางความรักของเขา”
“แล้วแกบอกรักปุ้มรึเปล่า”
“หน้าฉันเขายังไม่อยากมอง ความรักของฉันมันไม่มีค่าสำหรับเขาหรอก”
สัทธาอึ้งไป อนวัชเศร้า
กรกนกนอนอยู่บนเตียง ประสาทพรยืนมองตุ๊กตากระเบื้องหมา แมว ที่หทัยรัตน์กับอนวัชให้มา
“น่ารักใช่มั้ยคะพี่ชาย”
“ใช่ค่ะ พี่ชายจำได้ว่าไม่ได้เป็นคนซื้อให้ น้องหญิงได้มาจากไหนคะ”
“พี่หนึ่งกับคุณครูเป็นคนให้หญิงมาคนละตัว หญิงเลยวางมันคู่กัน ไม่อยากแยกมันออกจากกันค่ะ”
“ทำไมครับ”
“ก็หญิงไม่อยากให้คุณครูกับพี่หนึ่งต้องแยกจากกันน่ะสิคะ พี่หนึ่งกับคุณครูน่ะรักกันมากๆ เลยนะคะ”
ประสาทพรสะอึกไป กรกนกยิ้มใสไม่รู้เรื่อง
“น้องหญิงทราบได้ยังไงครับ”
“ก็ตอนที่คุณครูจมน้ำ พี่หนึ่งดำน้ำตามหาตัวคุณครูแบบไม่กลัวตายเลยนะคะ แล้วตอนที่พี่หนึ่งแวะมาหาหญิงตอนเรียนหนังสือ คุณครูก็จะตื่นเต้นแล้วก็เขินพี่หนึ่งตลอดเลยค่ะ ถ้าวันไหนไม่มาก็จะคอยมองหาตลอด แต่คุณครูไม่รู้ตัวหรอกค่ะ แต่หญิงรู้ค่ะ”
ประสาทพรอึ้ง เศร้าลง
“พี่ชายเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับ พี่ชายแค่เข้าใจมากขึ้น และเห็นด้วยที่น้องหญิงวางตุ๊กตาสองตัวนี้ไว้คู่กัน”
ประสาทพรพูดเศร้าๆ และหันมาจูบเบาๆ ที่หน้าผากกรกนก
“นอนหลับฝันดีนะครับ”
กรกนกหลับตาลง ประสาทพรยังนั่งอยู่บนเตียง
มองดูตุ๊กตาแมว หมาที่วางอยู่อย่างครุ่นคิด จนในตอนเช้า เขารีบไปหาสุดาที่เดือนประดับ สุดาหน้าเสีย
“ดิฉันไม่มีอะไรปิดบังคุณชาย”
สุดากับประสาทพรคุยกันอยู่ในสวน ประสาทพรขรึม เสียงเข้ม
“แม้แต่เรื่องของหนึ่งกับหทัยรัตน์ คุณก็ไม่มีอะไรที่ปิดบังผม อย่างนั้นเหรอ”
“เอ่อ แล้วคุณชายคิดว่าดิฉันปิดบังอะไรล่ะคะ”
“ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ ตกลงเป็นยังไงกันแน่ ผมอยากรู้ความจริง คุณพูดออกมาได้เลยโดยไม่ต้องเกรงใจ”
สุดาอึกอัก ลังเล ประสาทพรรอฟังหน้าเข้ม สุดาตัดสินใจ
“โดยส่วนตัว ดิฉันคิดว่า ทั้งสองคนรักกัน แต่ยังไม่รู้ตัวค่ะ”
ประสาทพรอึ้ง
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม ทำไมถึงพูดให้ความหวัง”
“คุณชายคะ ดิฉันไม่เคยบอกให้คุณหวัง ตรงกันข้าม ดิฉันคอยบอกไม่ให้คุณชายหวัง จะได้ไม่ต้องทุกข์”
“ถ้าคุณไม่อยากให้ผมเป็นทุกข์ คุณควรจะบอกความจริง ให้ผมรับรู้ความจริง ไม่ใช่หลอกให้ผมอยู่โลกของความฝันเพราะรู้ความจริงแค่ครึ่งเดียว”
“ที่ดิฉันไม่บอก เพราะคุณชายไม่เคยถามถึงพี่หนึ่ง และจะให้ดิฉันพูดอะไรคะ และถ้าดิฉันพูดคุณชายจะเชื่อเหรอคะ”
“เชื่อสิ คุณไม่รู้หรือไงว่าผมเชื่อคุณทุกเรื่อง เชื่อทุกอย่าง เชื่อมากเกินไปด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่เชื่อคุณผมคงไม่ต้องเสียใจแบบนี้”
“ถ้าสิ่งที่ดิฉันทำ และสิ่งที่ดิฉันพูด เป็นต้นเหตุทำให้คุณชายต้องเสียใจ ดิฉันขอโทษ”
“มันสายเกินไปแล้ว ที่จะมาพูดคำนี้ ต่อจากนี้ไป ผมคงไม่ไว้ใจ และไม่ขอให้คุณช่วยอะไรอีก ขอบคุณสำหรับสิ่งที่ผ่านมา ต่อจากนี้ไป ไม่ต้อง”
ประสาทพรเดินออกไปด้วยความโกรธ สุดาน้ำร่วง ประสาทพรกลับมาบ้าน ลึกๆ แอบรู้สึกผิดที่อารมณ์เสียใส่สุดา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
กลางคืน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สุดาไปรับสาย
“สวัสดีค่ะ พี่ปุ๊เหรอคะ พี่หนึ่งเป็นยังไงบ้าง”
หทัยรัตน์นั่งอยู่ข้างๆ ตื่นเต้นตกใจตามไปด้วย หูผึ่งทันที สัทธาคุยโทรศัพท์ที่ไปรษณีย์ ส่ายหน้าเสียงเครียด
“พูดได้คำเดียวว่า หมดสภาพ น้ำท่าไม่อาบ ข้าวปลาไม่กิน กินแต่เหล้า พี่ต้องกำชับเด็กรับใช้ไม่ให้ซื้อเหล้าให้กิน ถึงได้หยุดมาได้ค่อนวัน แต่ก็ร่ำๆ จะออกไปซื้อเอง”
สุดาตกใจหน้าเสีย
“นี่พี่หนึ่งเป็นหนักขนาดนี้เลยเหรอคะเนี่ย”
สุดาแอบปรายตามาที่หทัยรัตน์ หทัยรัตน์ฟังแล้วหน้าเสีย แต่ทำเป็นไม่หันมามอง
“แล้วพี่หนึ่งบอกหรือเปล่าคะว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้”
หทัยรัตน์ตั้งใจฟัง
“เหตุผลนี้นี่เอง”
สุดาเหล่มาทางหทัยรัตน์และแกล้งพูดเสียงดัง
“แต่แป้นว่ามันก็สมควรแล้วนะคะที่พี่หนึ่งจะเสียใจมากขนาดนี้ เป็นแป้นก็คงจะเสียใจไม่น้อยไปกว่าพี่หนึ่งหรอกค่ะ ไม่รู้ว่าคนที่เป็นต้นเหตุเขาจะรู้ตัวหรือเปล่านะคะ”
หทัยรัตน์สะอึก
“แล้วพี่ปุ๊จะพาตัวพี่หนึ่งกลับมาเมื่อไหร่คะ”
“พี่ก็ไม่รู้ เพราะเจ้าตัวไม่ยอมกลับ บอกว่าขอทำใจให้ได้ก่อน ไม่อยากไปเจอตอนนี้ แต่พี่ก็เห็นใจไอ้หนึ่งนะ ถ้าเป็นพี่ก็คงจะทำใจลำบาก นี่แป้น พี่ถามหน่อยสิ แป้นว่าที่ปุ้มบอกหนึ่ง รักและต้องการแต่งงานกับคุณชายน่ะ มันเป็นความจริงหรือว่าต้องการประชดกันแน่”
สุดาหันมามองหทัยรัตน์ด้วยความหนักใจ
สัทธากลับมาจากไปรษณีย์ เดินตามหาอนวัช
“หนึ่ง ไอ้หนึ่ง”
ไม่มีเสียงตอบ สัทธาเดินตามหาตามห้องต่างๆ เริ่มสังหรณ์ใจ และรีบวิ่งไปที่หน้าบ้าน ไม่มีรถจอดอยู่
“บุญเติม บุญเติม”
“ครับคุณปุ๊”
“รถหายไปไหน”
“เอ่อ ผมไม่ทราบครับ เมื่อกี๊ผมได้ยินเสียงสตาร์ทรถแล้วก็ขับออกไป ผมก็นึกว่าคุณปุ๊ไปกับคุณหนู”
“ไอ้หนึ่ง มันจะไปไหนของมัน”
สัทธาเป็นห่วง
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 11 (ต่อ)
กลางคืน อนวัชนั่งหลับคาโต๊ะเหล้า คนขายเข้ามาเรียก
“คุณๆ ร้านจะปิดแล้ว”
“อ้าวจะปิดแล้วเหรอ งั้น เอาเหล้าอีกขวด”
“เฮ้ย ก็บอกว่าจะปิดแล้ว ไม่ขายแล้ว”
“ก็ไม่ได้จะกินที่นี่ จะเอากลับไปกินที่บ้าน งั้นเอามาเป็นสองขวดเลย”
“ได้ๆ รอเดี๋ยวนะ”
คนขายเดินไปหยิบเหล้า อนวัชหยิบแก้วเหล้าที่วางอยู่มายกดื่ม แต่เหล้าหมดแล้ว
คืนนั้น หทัยรัตน์นั่งคิดถึงคำพูดของสุดา
“ที่พี่หนึ่งเมาไร้สติแบบนี้ก็เพราะปุ้มนะ ปุ้มคนเดียวที่จะช่วยพี่หนึ่งได้”
หทัยรัตน์คิดหนัก
“พี่ว่าปุ้มรู้ดีอยู่แก่ใจว่าจะช่วยพี่หนึ่งได้ยังไง แต่ปุ้มไม่ทำเอง ตอนนี้ถ้าปุ้มคิดจะช่วยพี่หนึ่ง ยังพอทำได้ แต่ถ้าปล่อยไว้ให้นานไปกว่านี้ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าปุ้มจะช่วยอะไรพี่หนึ่งได้หรือเปล่า”
หทัยรัตน์หยิบแหวนหมั้นที่เก็บไว้ในลิ้นชักออกมาดู คิดถึงอนวัช กำแหวนมาแนบอก ทบทวนเรื่องของอนวัช เธอสับสนและลังเล เมื่อนึกถึงภาพรวยกับส่องแสงควงกันระริกระรี้แว่บเข้ามา หทัยรัตน์คิดหนักทั้งห่วงทั้งสงสารอนวัช
สัทธาเดินไปมาด้วยความร้อนใจอยู่หน้าบ้าน บุญเติมขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา
“เป็นไงบ้างเติม เจอหนึ่งหรือเปล่า”
“ไม่เจอครับ”
“แถวนี้มีร้านเหล้าอยู่ใกล้ๆ บ้างหรือเปล่า ลองไปดูสิว่าหนึ่งอยู่ที่นั่นมั้ย”
“ครับ”
บุญเติมรับคำและขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป สัทธามองด้วยความกังวล
อนวัชเดินเซมาที่รถ ถือถุงใส่เหล้ามาด้วย เขาใช้เวลานานพอดูกว่าจะไขกุญแจรถได้ จากนั้นสตาร์ทรถและขับออกไปด้วยอาการเมาสุดขีด
หทัยรัตน์นอนอยู่บนเตียงยังกำแหวนไว้ อนวัชขับรถด้วยอาการเมา ตาสะลึมสะลือ หทัยรัตน์กำลังจะหลับ อนวัชกำลังจะหลับใน หทัยรัตน์หลับอยู่ในห้อง อนวัชหลับตาลงและทันใดนั้นเสียงแตรรถสิบล้อก็ดังสนั่น อนวัชสะดุ้งสุดตัว ลืมตาขึ้นมาและรีบหักหลบ แสงไฟสว่างจ้าเข้าหน้าเขา เสียงเบรกดังสนั่น มือของหทัยรัตน์ค่อยๆ ตกลงข้างตัว แหวนหมั้นในมือหล่นลงพื้น และกลิ้งลงไปใต้เตียง หทัยรัตน์หลับไม่รู้ตัว
บุญเติมปั่นจักรยานมาตามหาอนวัช ถือไฟฉายมาด้วย ทันใดนั้นเอง ก็เห็นรถอนวัชทิ่มลงข้างทางอยู่เบื้องหน้า บุญเติมช็อค รีบไปบอกสัทธา สัทธาตกใจมาก
“หนึ่งประสบอุบัติเหตุ”
บุญเติมกระหืดกระหอบ พูดไปหอบไปหน้าซีด
“ครับ ผมเห็นรถคุณหนูตกลงข้างทาง ผมรีบโบกรถแถวนั้นพาคุณหนูไปส่งโรงพยาบาลครับ”
“รีบพาฉันไปที่โรงพยาบาลเร็ว”
“ครับ”
บุญเติมกับสัทธารีบวิ่งไปที่รถ
สุดาวิ่งหน้าตาตื่นมาเคาะประตูเรียกหทัยรัตน์ หทัยรัตน์สะดุ้งตื่น มองหาแหวนในมือแต่ไม่มี เธอพะวักพะวง เสียงสุดาเรียกอย่างตระหนก
“ปุ้ม เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
หทัยรัตน์จำต้องปล่อยเรื่องแหวนและเดินมาเปิดประตู
“มีอะไรคะพี่แป้น”
พี่ปุ๊โทร.มาจากเชียงใหม่บอกว่าพี่หนึ่งรถคว่ำ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน”
“รถคว่ำ!!!”
หทัยรัตน์ตกใจหน้าซีด
สัทธาเดินไปมาที่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกังวล ในขณะที่ภายในห้องผ่าตัด หมอพยาบาลวุ่นวาย วิทย์คุยโทรศัพท์กับสุทธิ์หน้าเครียด
“ปุ๊บอกว่าหนึ่งเป็นยังไงบ้าง”
“ปุ๊ยังไม่ทราบครับ เพราะหนึ่งยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉิน ถ้าปุ๊โทรศัพท์มาอีกครั้งผมจะรีบโทรศัพท์บอกคุณพี่ทันที”
“ไม่เป็นไร พี่จะไปรอฟังข่าวที่เดือนประดับเอง อีก 20 นาทีเจอกัน”
วิทย์วางสายไป พิมพ์รีบเข้ามาถาม
“คุณหนึ่งเป็นยังไงบ้างคะ”
ยังไม่รู้ เดี๋ยวฉันจะไปรอฟังข่าวจากปุ๊ที่เดือนประดับ จัดรถให้ด้วย”
พิมพ์รีบเดินไป วิทย์กังวล
สัทธาเดินไปมาหน้าห้องฉุกเฉิน บุญเติมยืนอยู่ข้างๆ เป็นห่วงพอกัน หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ”
สัทธารอคำตอบด้วยความตื่นเต้น
หทัยรัตน์ สุดา วิทย์ ทิพย์ และสุทธิ์นั่งรอฟังผลจากสัทธาด้วยความเครียด สุดาหันมาเห็นหทัยรัตน์นั่งหน้าเสีย เอื้อมมือมาจับมือน้องสาวแล้วตกใจ
“ปุ้มมือเย็นมากเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ไม่เป็นอะไรค่ะ”
สุดามองหทัยรัตน์พอจะเข้าใจว่าห่วงมาก แต่ยังทำปากแข็ง
เสียงโทรศัพท์ดัง ทุกคนตกใจ หทัยรัตน์รีบหันไปทางโทรศัพท์ สุทธิ์รีบลุกขึ้นไปรับ
“สวัสดีครับ ว่าไงปุ๊ หนึ่งเป็นไงบ้าง”
“พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่อาการยังหนักอยู่ ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะรีบโทรไปบอกนะครับ”
สุทธิ์วางโทรศัพท์ไป ทุกคนรีบถาม
“หนึ่งเป็นไงบ้าง”
“อาการหนักเอาเรื่องอยู่”
หทัยรัตน์หน้าเสีย
“คงจะต้องพักฟื้นอยู่เชียงใหม่อีกสักระยะกว่าจะกลับบ้านได้”
วิทย์ สุดา ทิพย์ โล่งใจ หทัยรัตน์ใจชื้น แต่ก็ยังเป็นห่วง
อนวัชนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล สัทธาหันมาบอกบุญเติม
“บุญเติมกลับบ้านไปพักเถอะ ฉันอยู่เฝ้าหนึ่งเอง”
สัทธาหันมามองอนวัช อนวัชค่อยๆ ขยับรู้สึกตัว
“ว่าไงไอ้ตัวแสบ”
“ฉันอยู่ที่ไหน”
“แกเห็นหน้าฉันแล้วคิดว่ายังไงล่ะ คงจะได้ขึ้นสวรรค์ล่ะมั้ง แกนะแก โตเป็นกระบือแล้วยังจะทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ เมาเละแบบนั้นแล้วยังจะขับรถทำไมวะ นี่ถ้าแกตายไปจริงๆ คุณลุงจะเสียใจมากแค่ไหน แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ”
“แกจะด่าให้ฉันเสียใจตายไปเลยหรือไง”
“ถ้าแกตายไปจริงๆ ฉันจะไปจัดการกับยัยปุ้ม โทษฐานเป็นต้นเหตุทำให้แกต้องตาย”
“เฮ้ย แกอย่าทำแบบนั้นนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันมันเป็นเพราะตัวฉันเองไม่ใช่น้องสาวแก เขาไม่ผิด”
“แต่ฉันคิดว่ามันผิด ผิดมากด้วย โทษฐานที่ใจแข็ง ปากแข็ง อวดดื้อถือดี ไม่ยอมรับความจริงจนทำให้แกเกือบตาย ถึงเวลาที่ฉันจะต้องสั่งสอนยัยปุ้มให้มันได้หลาบจำซะบ้าง”
“แกจะทำอะไร”
“ฉันมีแผน และแกก็ต้องช่วยฉัน”
สัทธายังไม่บอก แต่คิดแผนการร้ายไว้ในใจ
ตอนเช้า อนวัชอยู่ในชุดเฝือกเกือบเต็มตัว และหน้าก็พันผ้าสีขาวเกือบมิด
“ไอ้ปุ๊ นี่ฉันต้องใส่ไอ้พวกนี้ตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ”
“เออสิวะ แกต้องฝึกไว้ให้มันชิน เพราะตอนนี้แกกำลังอยู่ในอาการโคม่าจะตายไม่ตายแหล่ แกต้องทำเป็นอาการหนักปางตาย เคลื่อนไหวไม่ได้ หายใจขัด พอยัยปุ้มมามันจะได้ตกใจ ยิ่งแกดูทรมานใกล้ตายมากเท่าไหร่ยิ่งดี”
“เฮ้ยๆ ฉันไม่ใช่นักแสดง”
“เอาน่า ลองดู เดี๋ยวหมอประสงค์มาถึง แกก็ลองปรึกษาคุณหมอดูก็ได้ เผื่อหมอจะมีคำแนะนำ”
“หมอเขาเป็นหมอ เขาไม่ใช่นักแสดง”
“เอ๊ะ แกนี่ขัดไปหมดเลยเว้ย ทำตามที่ฉันบอก ไม่ต้องแย้งอะไรมาก”
“แล้วฉันต้องเล่นละครของแกไปนานแค่ไหน”
“ก็จนกว่ายัยปุ้มมันจะแสดงความเสียใจออกมา”
“คงจะชาติหน้า หรือไม่ก็ไม่มีวันนั้น เขาคงจะไม่สนใจฉันหรอก ไม่ว่าฉันจะเป็นหรือจะตาย”
“เอาน่า เดี๋ยวแกก็รู้เองว่ายัยปุ้มมันคิดยังไงกับแก ไอ้ปุ้มมันทำกับแกไว้เจ็บแสบ แกเป็นคนไม่ยอมใครไม่ใช่เหรอ คราวนี้ถึงเวลาที่แกต้องเอาคืนแล้วไอ้หนึ่ง”
สัทธาดึงผ้ามาปิดหน้าอนวัชไว้
ทิพย์ สุทธิ์ สุดา และหทัยรัตน์ นั่งคุยกันในห้องรับแขก
“ปุ้ม ป้ากับลุงจะไปเยี่ยมหนึ่งที่เชียงใหม่พร้อมกับลุงวิทย์ ปุ้มไปด้วยกันนะ”
“เอ่อ”
“ตกลงปุ้มจะไปไหม”
สุดาลุ้นๆ หทัยรัตน์ทำเหมือนไม่อยากไป ทั้งที่ในใจอยากไปมาก
“ก็ได้ค่ะ”
“แป้นล่ะจะไปด้วยกันหรือเปล่า”
“แป้นก็อยากไปค่ะ แต่ติดงานที่โรงเรียน คงจะไปไม่ได้ ฝากเยี่ยมพี่หนึ่งแทนแป้นด้วยนะคะ”
สุทธิ์หันมาทางหทัยรัตน์
“ลุงจะไปเยี่ยมหนึ่งสักสองสามวัน ถ้าปุ้มจะอยู่ต่อก็จัดเสื้อผ้าไปให้พร้อมก็แล้วกัน”
หทัยรัตน์อึกอัก สุดารีบสรุป
“ก็ดีนะปุ้ม ปุ้มอยู่ต่อสิ ถ้าพี่แป้นทำงานเสร็จแล้วปุ้มยังไม่กลับ พี่แป้นจะได้ตามขึ้นไป”
“หนึ่งคงต้องรักษาตัวอีกนาน ปุ้มอาจจะต้องอยู่เป็นเดือนก็ได้”
“ปุ้มจัดเสื้อผ้าไปเยอะๆ เลยนะ”
หทัยรัตน์อึกอัก แต่ในใจก็อยากอยู่ต่อ
หทัยรัตน์จัดกระเป๋าเสร็จแล้ว
มองดูนิ้วนางข้างซ้ายที่ไม่มีแหวนหมั้น เธอนึกได้รีบก้มลงหาแหวนที่หล่นเมื่อคืน สุดาเดินเข้า มองหทัยรัตน์ด้วยความสงสัย
“ทำไรน่ะปุ้ม”
“เอ่อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร คุณลุงคุณป้าพร้อมแล้วเหรอคะ”
“จ้ะ แล้วปุ้มล่ะจัดกระเป๋าเสร็จหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ปุ้มจ๊ะ ถ้าเจอพี่หนึ่งแล้ว พี่ฝากบอกว่าขอให้พี่หนึ่งหายเร็วๆ นะจ๊ะ”
“ค่ะ”
สุดามองหทัยรัตน์อีกครั้ง แล้วก็ค่อยๆ พูดตามแผน
“เฮ่อ ไม่นึกเลยนะ อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นแบบนี้ นี่ดีนะที่พี่หนึ่งแค่อาการหนักไม่ถึงกับเสียชีวิต ถ้าพี่หนึ่งเป็นอะไรไปจริงๆ เราทุกคนคงจะเสียใจมาก”
หทัยรัตน์เศร้าลง สุดาหันมาเห็นแล้วทำเป็นทักขึ้น
“แต่ปุ้มไม่ต้องคิดมากนะ ถึงแม้ว่าพี่หนึ่งเขาจะไปเชียงใหม่เพราะปุ้ม และกินเหล้าหนักเพราะกลุ้มใจเรื่องปุ้ม แต่พี่ว่าปุ้มไม่ผิด และไม่มีใครคิดว่ามันเป็นความผิดของปุ้มด้วย”
สุดาเน้น จนหทัยรัตน์รู้สึกผิด
“ปุ้มไม่ต้องคิดมากนะ มันไม่ใช่ความผิดของปุ้ม”
สุดาแกล้งพูด หทัยรัตน์คิดหนัก
เมื่อ หทัยรัตน์ สุทธิ์ ทิพย์ ขึ้นรถออกไปแล้ว สุดารีบไปโทรศัพท์หาสัทธา สุดาตกใจ คุยโทรศัพท์เสียงกระซิบกระซาบ
“พี่ปุ๊จะทำแบบนั้นจริงๆ เหรอคะ มันจะดีแหรอคะพี่ปุ๊ นี่ถ้าเกิดแผนแตกขึ้นมา ปุ้มต้องโกรธแน่ๆ เลยนะคะ”
“โกรธก็ช่างมันปะไร ฉันอยากให้มันโกรธ โกรธมากๆ ยิ่งดี หมั่นไส้มันจริงๆ ทำเป็นปากแข็งอยู่ได้ คอยดูคราวนี้มันจะได้เจอดี พี่เตรียมการเรียบร้อยแล้ว พี่ให้คุณหมอประสงค์รีบมาช่วยอีกแรง อีกสักพักคงจะถึงแล้ว รับรองงานนี้สนุกแน่ ตกลงแป้นช่วยพี่ตามที่คุยกันไว้แล้วกัน”
สุดากังวล
“ค่ะๆ ก็ได้ค่ะ แป้นจะพยายามไม่ทำให้แผนแตกค่ะ สวัสดีค่ะ แผนพี่ปุ๊จะสำเร็จไหมเนี่ย”
สุดาวางสายพึมพำ
สัทธายืนรอหมอประสงค์อยู่ที่หน้าห้องพัก บุญเติมมากับประสงค์
“คุณสัทธาครับ”
“สวัสดีครับคุณหมอประสงค์ ขอโทษนะครับที่ต้องตามตัวมาด่วน”
“ด้วยความยินดีเลยครับ ไม่ทราบว่าคุณอนวัชเป็นอะไรเหรอครับ ทำไมต้องเข้าโรงพยาบาลกระทันแบบนี้”
ประสงค์รอฟังด้วยความตั้งใจ แล้วตามสัทธาเข้าไปในห้อง อนวัชยิ้มแฉ่งบอกประสงค์
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แต่ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อย”
“อ้าว แล้วเฝือกพวกนี้คืออะไรครับ”
“คือ เป็นอุปกรณ์ในการทดลองใจน่ะครับ คือ ผมกับเจ้าหนึ่งมีแผนการที่อยากจะขอให้คุณหมอช่วย”
“แผนอะไรครับ”
สัทธามองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบ
“หะ เล่นขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“ต้องเล่นขนาดนี้เลยครับ เพราะยัยปุ้มไม่ใช่คนธรรมดา เล่นธรรมดาๆ ไม่ได้ คุณหมอไม่ต้องห่วงว่าจะเสียจรรยาบรรณแพทย์นะครับ เพราะเรื่องนี้ไม่ทำให้ใครต้องเสียหาย”
“ก็ได้ครับ ผมจะยอมร่วมขบวนการกับคุณ แต่ถ้าผมเห็นท่าไม่ค่อยดี ผู้หลักผู้ใหญ่จะใจเสีย ผม ต้องอธิบายให้ท่านเข้าใจนะครับ”
“ครับ ไม่ต้องห่วง ผมเองก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้เช่นกัน ขอบคุณคุณหมอมากครับที่มาช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ”
“ด้วยความยินดีครับ แสดงว่าภรรยาผมเขามีลางสังหรณ์แม่นนะครับ เขาบอกผมว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณปุ้มกับคุณหนึ่งแน่ๆ ก่อนมาผ่องเขายังกำชับให้ผมช่วยให้สำเร็จ ไม่สำเร็จเมียไม่ให้กลับบ้าน”
ทั้งหมดหัวเราะกันครื้นเครง
“สนุกกันเหลือเกิน ไอ้ปุ๊ นี่ถ้าหมอคิดว่าแกกับฉันบ้า ฉันจะโทษแก”
“เอาน่า ถึงจะบ้าก็บ้าเพราะรัก”
สัทธายิ้มทะเล้น อนวัชเถียงไม่ออก พยาบาลเดินมา
“คุณสัทธาคะ มีโทรศัพท์มาจากพระนคร ต้องการคุยกับคุณค่ะ”
สัทธาแปลกใจ สุดารายงานความคืบหน้าผ่านทางโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น
“คุณพ่อ คุณแม่ กับปุ้มออกเดินทางไปนานแล้วนะคะ แป้นว่าอีกสักพักก็คงจะถึง พี่ปุ๊กับพี่หนึ่งพร้อมนะคะ”
"พร้อมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแป้น ไม่ต้องห่วง เราก็รอฟังข่าวแล้วกัน มีอะไรคืบหน้าพี่จะรีบบอก แค่นี้นะ อ้อๆ แป้น อีกหนึ่งเรื่อง"
"วันนี้พรรณีจะไปลองชุดแต่งงาน พี่ฝากแป้นไปแทนพี่ และเล่าทุกอย่างให้พรรณีฟังด้วยนะ สวัสดี"
สัทธาวางโทรศัพท์ไปและยิ้มอย่างมีหวัง สุดาวางโทรศัพท์ไป ยิ้มมีความสุข พลันเสียงสีสุกดังเข้ามา
“แม่แป้น แม่แป้นอยู่ไหน”
“แป้นอยู่นี่ค่ะ สวัสดีค่ะคุณอา”
“นี่ เด็กแหววบอกว่าพ่อแม่เธอกับนังเด็กปุ้มไปเชียงใหม่เหรอ”
“ค่ะ”
“นี่ แล้วแห่กันไปทำไม หะ”
“ก็ ไปทำธุระน่ะค่ะ”
“ธุระอะไร หรือว่าไปหาคุณหนึ่ง นี่อาได้ข่าวว่าคุณหนึ่งเธอไปเชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ นี่แม่ปุ้มมันไปหาคุณหนึ่งใช่มั้ย แล้วเขาไปกันทำไม”
“คุณพ่อ คุณแม่ และปุ้มไปเยี่ยมพี่หนึ่งค่ะ”
“เยี่ยม เยี่ยมทำไม คุณหนึ่งเป็นอะไร”
“พี่หนึ่งประสบอุบัติเหตุค่ะ และต้องการให้ปุ้มไปอยู่ดูแล คุณพ่อคุณแม่ก็เลยพาปุ้มไปหาเพื่อไปดูแลพี่หนึ่ง คุณอาได้ยินชัดเจนแล้วนะคะ”
สุดาย้ำ
สีสุกกลับมาบ้าน ทำหน้างงๆ ต่อหน้าสาวใช้
“ฉันได้ยินไม่ชัด แกพูดว่ายัยส่องไปไหนนะ”
คนรับใช้ตอบหน้าเด๋อด๋า
“คุณส่องแสงให้หนูบอกคุณนายว่าจะไปศรีราชากับเพื่อนที่ชื่อคุณรวยค่ะ”
“หะ ไปศรีราชากับคุณรวย”
สีสุกตกใจ
รวยขับรถและหันมาทางส่องแสงที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มแป้น
“ผมจะให้คุณส่องแสงไปเลือกบ้านริมทะเลไว้พักผ่อนเล่นๆ สักหลังนะครับ เผื่อว่าถ้าเราสองคนได้แต่งงานกัน ก็จะได้มีบ้านพักตากอากาศเอาไว้พักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศ”
รวยค่อยๆ ขยับมือจะมาจับมือส่องแสง ส่องแสงยิ้มหวานและดึงมือกลับทันท่วงที
“ขอบคุณค่ะ แต่ส่องยังไม่ได้รับปากว่าจะแต่งงานกับคุณรวยนะคะ ถ้าเกิดส่องเลือกไปแล้ว และเราไม่ได้แต่งงานกัน ส่องก็คงจะไม่ได้มาพักสิคะ”
“อุ้ย เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ เพราะบ้านหลังนี้ผมซื้อให้คุณส่อง ถึงเราจะไม่ได้แต่งงานกัน มันก็จะเป็นของคุณครับ”
“อุ้ย เหรอคะ แหม แต่ส่องเกรงใจ๊เกรงใจนะคะ ส่องไม่อยากทำตัวเอาเปรียบคุณรวยแบบนี้เลย”
“ไม่ต้องคิดมากครับ ผมทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ”
“ถ้างั้นส่องก็ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจนะคะ”
รวยค่อยๆ ขยับมือมาจับมือส่องแสงอีกครั้ง คราวนี้เธอยอมให้จับแต่โดยดี รวยยิ้มมีความสุขและมีหวัง
พรรณีลองชุดเจ้าสาวอยู่หน้ากระจกในร้านเสื้อ สุดาคอยช่วยดูอยู่ข้างๆ
“ดีแล้วที่พี่ปุ๊วางแผนแบบนี้ พี่หนึ่งกับปุ้มจะได้เข้าใจกันสักที”
“แป้นก็หวังไว้ว่าอย่างนั้นนะ แต่ณีก็รู้ว่าน้องแป้น เพื่อนณี เหมือนคนอื่นเขาซะที่ไหน ใจแข็ง ปากแข็งยังกะอะไรดี แผนนี้จะสำเร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แป้น ณีเห็นแป้นเป็นห่วงเรื่องความรักของคนอื่นมาตลอดเลย แล้วแป้นไม่มีความรัก หรือคนรักเหมือนคนอื่นเขาเหรอ”
สุดาชะงัก แอบเศร้านิดๆ
“อย่าบอกนะว่าแก้แต่ปัญหาของคนอื่น จนไม่มีเวลามาแก้ปัญหาของตัวเอง”
สุดาพยายามฝืนยิ้ม
“ใครบอก ต้องพูดว่าไม่มีเวลาหาคนรักให้ตัวเองถึงจะถูก”
“ไม่มีจริงๆ เหรอ”
“จริงสิ แป้นทำใจแล้วล่ะ คงไม่มีผู้ชายคนไหนมาสนใจผู้หญิงอย่างแป้นหรอก”
สุดาพูดยิ้มๆ แต่ในใจแสนจะเศร้า พรรณีจับมือปลอบใจไม่เห็นด้วย
ประสาทพรนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องทำงาน แม่โอถือจานขนมเดินเข้ามาให้
“ของว่างค่ะคุณชาย”
ประสาทพรปลายตาไปมองแล้วชะงัก เพราะเป็นขนมชนิดเดียวกับที่สุดาเคยยกมาให้ เขาคิดถึงสุดา แต่มีทิฐิไม่ยอมไปหา ในขณะที่สุดานั่งอยู่ที่บ้าน
คิดถึงประสาทพรเช่นกัน มองโทรศัพท์แต่ก็ไม่กล้าโทรไป ทั้งสองคนต่างคิดถึงกัน
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 11 (ต่อ)
สัทธาเดินไปมาหน้าห้องคอยมองว่าหทัยรัตน์และชาวคณะมาหรือยัง
ในขณะที่หทัยรัตน์ วิทย์ สุทธิ์ ทิพย์ เดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ สัทธาตาโตรีบวิ่งเข้าไปในห้อง อนวัชกำลังถอดเฝือกออกมาเกา และผ้าที่พันหน้าไว้ก็ถูกเลิกขึ้นด้วยความรำคาญ สัทธาพรวดเข้ามา
“ยัยปุ้มมาแล้ว เฮ้ย ไอ้หนึ่งทำอะไร”
“ก็มันคัน”
“โอ๊ย ไม่ต้องเกาแล้ว ยัยปุ้มมาแล้วใส่เข้าไปเร็ว”
อนวัชตกใจ สัทธารีบวิ่งเข้ามาหาและยัดเฝือกเข้าไปในขา อีกมือก็พันผ้าที่หน้าอนวัชเหมือนเดิม
“เอ๊ย เบาๆ สิวะ”
“ก็เร็วๆ สิเว้ย”
ด้วยความรีบร้อนจัดฉาก สัทธากระแทกอนวัชจนเจ็บจริงไปหลายที
“โอ๊ย เบาๆ สิเว้ย”
เหตุการณ์ชุลมุนลุ้นระทึก หทัยรัตน์ วิทย์ สุทธิ์ ทิพย์ เดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น หทัยรัตน์เร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว จนนำหน้าคนอื่นๆ ไปมองดูป้ายชื่อหน้าห้อง
“ห้องนี้ค่ะ”
หทัยรัตน์เดินนำไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง และต้องตกตะลึงกับสภาพของอนวัชที่เห็น อนวัชนอนหลับอยู่บนเตียงในสภาพที่ดูแย่มาก ใส่เฝือกเกือบทั้งตัว หน้าพันผ้าที่มีรอยเลือดจางๆ ซึมออกมา สัทธายืนทำหน้ากังวลอยู่ข้างๆ หทัยรัตน์อึ้งไปด้วยความเป็นห่วงและสงสาร
“คุณอนวัช”
เวลาต่อมา ทุกคนยืนฟังประสงค์อธิบายอย่างตั้งใจ
“ตอนนี้อาการของคุณอนวัชไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นอกจาก”
ประสงค์อึกอัก วิทย์รีบถาม
“นอกจากอะไรครับ”
“นอกจากขาข้างขวาของคุณอนวัชที่เรายังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง เพราะต้องรอให้แผลผ่าตัดแห้งกว่านี้อีกสักวันหรือสองวันถึงจะให้คุณอนวัชลองเดินดู ตอนนั้นเราถึงจะรู้ว่าขาใช้การได้ตามปกติหรือเปล่าน่ะครับ”
ทุกคนตกใจ
“ถ้าเดินไม่ได้ก็แปลว่า”
“จะเดินไม่ได้ตลอดไป”
ทุกคนสลดใจ สัทธาแอบมองหทัยรัตน์ หทัยรัตน์หน้าเศร้าด้วยความห่วงและสงสาร ทิพย์รีบถาม
“คุณหมอคะ แล้วที่หน้าของคุณหนึ่งล่ะคะ เป็นอะไรหรือเปล่า เหมือนมีเลือดไหลด้วย”
“คือ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมกำลังจะบอกให้ทราบ จากการชนทำให้คุณอนวัชมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ใบหน้า ถึงแม้แผลจะหายแล้วแต่จะเหลือแผลเป็นขนาดใหญ่ประมาณเกือบครึ่งใบหน้า”
ทุกคนตกใจ
“จะทำให้คุณอนวัชหน้าตาไม่เหมือนเดิม”
สัทธารีบเสริม
“พูดง่ายๆ ก็คือหนึ่งอาจจะทั้งพิการและเสียโฉมนั่นเองครับ”
“โธ่ ตาหนึ่ง”
ทิพย์อุทาน หทัยรัตน์มองอนวัชด้วยความสงสาร
หทัยรัตน์ วิทย์ สุทธิ์ ทิพย์ และสัทธา เดินออกมาจากห้องพักอนวัชด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม
“ตอนนี้หนึ่งยังหลับอยู่ ผมจะพาคุณลุงกับคุณพ่อคุณแม่ไปพักอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่โรงแรมก่อนดีกว่านะครับ”
ทุกคนพยักหน้าเศร้า สัทธาทำเป็นหันมาถามหทัยรัตน์
“ปุ้มล่ะจะไปโรงแรมด้วยกันหรือเปล่า”
“ถ้าไปกันหมด แล้วใครเฝ้าคุณอนวัชล่ะคะ”
“ไม่มี แต่ไม่เป็นไรมั้ง พยาบาลของหมอประสงค์ก็จะมารับเป็นพยาบาลพิเศษ”
“เอ่อ ปุ้มไม่ไปดีกว่าค่ะ ปุ้มจะอยู่เฝ้ารอพี่ปุ๊มาเปลี่ยนนะคะ”
“ได้ งั้นพี่รีบไปจะได้รีบมา”
“ลุงฝากหนึ่งด้วยนะปุ้ม”
“ค่ะ”
วิทย์ ทิพย์ สุทธิ์ เดินไป สัทธารอจนทั้งสามคนห่างไปสักระยะ ก็ตีหน้าเศร้าหันมาทางหทัยรัตน์
“ปุ้ม ถึงแม้ว่าการที่หนึ่งมาที่นี่เป็นเพราะปุ้ม และกินเหล้าหนักจนเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ก็เพราะปุ้ม แต่พี่ไม่อยากให้ปุ้มคิดมาก เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มันไม่เกี่ยวกับปุ้ม มันเป็นเพราะไอ้หนึ่งมันทำใจไม่ได้เอง”
สัทธาจับไหล่เป็นเชิงปลอบ
“ปุ้มอย่าโทษตัวเองนะ”
หทัยรัตน์อึ้งไป ยิ่งปลอบยิ่งทำให้รู้สึกผิด สัทธาทิ้งระเบิดไว้และเดินไป
พอหันจากหทัยรัตน์มาแล้วก็กลั้นยิ้มแทบแย่ ในขณะที่หทัยรัตน์คิดหนัก
อนวัชชะเง้อมองหาหทัยรัตน์ เสียงก๊อกแก๊กหน้าประตูดังขึ้น หทัยรัตน์เดินเข้ามา
อนวัชรีบทำเป็นนอนนิ่ง หทัยรัตน์เห็นชายหนุ่มนอนหลับ จึงเดินเข้าไปดูด้วยความสงสาร อนวัชทำเป็นไอ
“น้ำ น้ำ ขอน้ำหน่อย”
หทัยรัตน์รีบเดินหาแก้วน้ำรินน้ำใส่ให้ และเดินอ้อมมาป้อนน้ำ เธอช้อนศีรษะอนวัชขึ้นเบาๆ อนวัชจิบน้ำช้าๆ พยักหน้าให้รู้ว่าพอแล้ว หทัยรัตน์ค่อยๆ วางศีรษะชายหนุ่มลง
“ขอบใจมากนะปุ๊”
หทัยรัตน์ชะงักและพูดเสียงอ่อนโยน
“ดิฉันไม่ใช่พี่ปุ๊ค่ะ”
อนวัชชะงักและค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองหทัยรัตน์และทำเป็นตกใจ
“หทัยรัตน์ นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า”
“คุณไม่ได้ฝันค่ะ ดิฉันมากับคุณลุงคุณป้าแล้วก็คุณพ่อคุณ พี่ปุ๊เห็นว่าคุณหลับอยู่ เลยพาพวกท่านไปพักผ่อนที่โรงแรม อีกสักพักคงจะมาเยี่ยมคุณอีกครั้ง”
อนวัชมองหน้าหญิงสาว พูดตัดพ้อ
“พวกเขาคงบังคับให้เธออยู่ดูแลฉันล่ะสิ ถ้าเธอลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ เพราะฉันจ้างพยาบาลพิเศษ มีอะไรฉันเรียกพยาบาลได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่รู้สึกว่ามันลำบากอะไร และก็ไม่มีใครบังคับให้ฉันดูแลคุณ แต่ถ้าคุณรังเกียจไม่อยากให้ฉันอยู่ ดิฉันจะไปก็ได้นะคะ”
“อย่าไปนะหทัยรัตน์ ฉันไม่มีวันจะรังเกียจเธอ ถ้าเธออยู่ด้วยความสมัครใจ ก็อยู่ต่อเถอะนะ”
อนวัชมองหทัยรัตน์อ้อนวอน หทัยรัตน์ค่อยๆ นั่งลงเหมือนเดิม อนวัชโล่งอก เกือบไป เขาคิดได้เริ่มเล่นละครต่อ
“เธอเจอกับคุณหมอหรือยัง”
หทัยรัตน์พยักหน้าช้าๆ อนวัชสลดลง
“เธอก็คงจะรู้เรื่องที่ฉันเสียโฉมแล้วก็พิการแล้วสิ”
“แต่คุณหมอบอกว่ามันไม่แน่นี่คะ คุณอาจจะเดินได้ตามปกติ”
“ฮึ ถึงฉันจะเดินได้เหมือนเดิม แต่หน้าฉันก็จะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม ฉันจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ไปตลอดชีวิต”
อนวัชรันทด ทำเป็นน้ำตาซึมด้วยความเสียใจ หทัยรัตน์มองด้วยความสงสาร
ตอนเย็น อนวัชเหล่ๆ มองหทัยรัตน์ซึ่งยืนหันหลังคุยกับพยาบาลที่เอายามาให้
“ยาแก้ปวดทานก่อนอาหารนะคะ”
อนวัชคิด หทัยรัตน์หันมา เขาแกล้งทำเป็นร้องคราง หญิงสาวตกใจ
“เป็นอะไรคะ”
“เจ็บแผลน่ะครับ”
“งั้นทานยาแก้ปวดเลยนะคะ”
อนวัชพยักหน้าสำออย หทัยรัตน์หันไปหยิบน้ำ และป้อนยาให้ ช้อนศีรษะเบาๆ ให้อนวัชดื่มน้ำ อนวัชอมยิ้มนิดๆ พอหทัยรัตน์หันมา ก็ร้องอีก
“สักพักยาคงออกฤทธิ์ อดทนหน่อยนะคะ”
อนวัชพยักหน้าอย่างว่าง่าย หาจังหวะและค่อยๆ พูดขึ้น
“เธอได้รับจดหมายที่ฉันฝากประสาทพรไว้แล้วใช่มั้ย”
หทัยรัตน์ชะงัก ก่อนพยักหน้า
“งั้นเธอก็คงจะรู้แล้วว่าฉันทำไมถึงได้หนีเธอมาที่นี่”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ เพราะว่ายังไม่ได้อ่าน”
“ทำไมไม่อ่าน มันเป็นข่าวดีนะ เธออ่านแล้วจะได้ดีใจ แล้วคุณชายไม่อยากรู้เหรอว่าจดหมายของฉันเขียนว่าอะไร”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ ไม่ได้ถามคุณชาย”
“แล้วที่เธอมาดูแลฉันแบบนี้ คุณชายรู้หรือเปล่า”
“ดิฉันให้พี่แป้นบอกแล้วค่ะ”
“แล้ว”
“ดิฉันว่าคุณอย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ ตอนนี้เรื่องอื่นไม่สำคัญเท่ากับเรื่องสุขภาพของคุณ ทำใจให้สบาย หายแล้วค่อยคุยกันนะคะ”
หทัยรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อนวัชอมยิ้มมีความสุข
“แล้วเธอจะอยู่ดูแลฉันนานแค่ไหน”
“จนกว่าคุณจะหาย”
“แล้วถ้า ฉันไม่มีวันหายล่ะ”
หทัยรัตน์นิ่งไป ตอบไม่ได้
ภายในโรงแรม สัทธานำพาน ธูป เทียน ชุดขอขมาวางไว้ตรงหน้า ทิพย์ สุทธิ์ วิทย์ แล้วพนมมือไหว้
“ผมต้องกราบขอขมาคุณลุง คุณพ่อ และคุณแม่ด้วยนะครับ”
“ปุ๊ ขอโทษเรื่องอะไรลูก”
“เรื่อง เอ่อ ที่ผมโกหกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดไม่เป็นความจริงเลยครับ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด”
ทิพย์ วิทย์ สุทธิ์ ตกใจ
“อะไรนะ ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ” สุทธิ์แปลกใจ
“ครับ”
สัทธายิ้มเจื่อนๆ
“นี่ทำไมเราถึงได้คิดทำอะไรแผลงๆ แบบนี้นะตาปุ๊ ถ้าคุณลุงเกิดตกใจหัววายขึ้นมาจะทำยังไง”
ทิพย์ดุ วิทย์ขำ
“อย่าไปว่าปุ๊เลยคุณทิพย์ พี่ว่าปุ๊เขาคิดถูกแล้วล่ะที่ทำแบบนี้ เพราะถ้าไม่ใช่ไม้นี้ เจ้าหนึ่งก็คงจะไม่มีวันจะเข้าใจกับหนูปุ้ม”
“ใช่ครับ คุณลุงพูดถูกที่สุด เพราะทั้งหนึ่งกับปุ้มน่ะ ทั้งดื้อทั้งปากแข็ง ถ้าไม่ใช้ไม้แข็งไม่มีทางจะปรับความเข้าใจกันได้แน่ๆ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าอยากจะให้สองคนนี้ได้แต่งงานกันต้องไว้ใจผม”
“จ้า พ่อยอดขมองอิ่ม เรื่องพิเรนทร์ๆ เนี่ยคิดเก่งนักนะ”
“ถ้าเรื่องจริงเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วสิ”
“ครับ ตอนนี้ทิ้งเรื่องไอ้หนึ่งกับปุ้มไปได้เลยครับ ปล่อยให้เขาได้อยู่กันสองต่อสอง และเดี๋ยวคืนนี้ผมจะพาคุณลุง คุณพ่อ คุณแม่ไปทานขันโตกร้านดัง รับรองว่างานนี้ลำแต้ๆ”
สัทธายิ้มหน้าทะเล้น ทิพย์มองลูกชายด้วยความหมั่นเขี้ยว
หทัยรัตน์ป้อนอาหารอนวัช ชายหนุ่มทำเป็นนอนเจ็บสำออย เรียกร้องความสนใจ หทัยรัตน์ป้อนจนหมด
“อิ่มมั้ยคะ ถ้าไม่อิ่มจะได้ขออาหารมาเพิ่ม”
“ไม่เป็นไรฉันอิ่มแล้ว”
หทัยรัตน์เอาถาดอาหารไปเก็บ อนวัชถามขึ้น ลองเชิง
“หทัยรัตน์ ฉันมีเรื่องอยากจะถามเธอหน่อย วันนั้นที่เธอเห็นส่องแสงป้อนอาหารให้ฉัน ทำไมเธอถึงได้กลับไปโดยไม่เข้ามาหาฉัน เธอไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”
“เปล่านี่คะ”
“เธอ หึงฉันเหรอ”
“ไม่ใช่นะคะ ดิฉันจะหึงคุณทำไม”
“ไม่หึงแล้วทำไมต้องทำเหมือนไม่พอใจแล้วก็รีบกลับไปแบบนั้น”
“ดิฉันไม่ได้ไม่พอใจ แต่ฉันเห็นคุณกำลังมีความสุข ก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ”
“ฉันไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ”
“อย่าดุนักสิ ฉันกำลังป่วยอยู่นะ ดุแบบนี้เดี๋ยวก็ตกใจไม่หายกันพอดี หรือเธออยากเห็นฉันตรอมใจจะได้ตายเร็วๆ โอย โอย”
“ขอโทษค่ะ ก็คุณอยากพูดกวนฉันก่อนนี่”
“ฉันไม่กวนเธอแล้วก็ได้ เข้ามาใกล้ๆ ฉันหน่อยสิ ฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะถาม”
“คุณนี่ ตั้งแต่มา ถามไม่หยุดเลย สงสัยอะไรกันหนักหนา”
“ก็เธอนั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องถาม ฉันอยากรู้ว่า ที่เธอพูดว่า ฉันรักส่องแสง ทำไมเธอคิดแบบนั้น”
หทัยรัตน์อึกอักไม่อยากตอบ
“มีใครบอกหรือว่าเธอคิดเอง”
“มันไม่สำคัญหรอกค่ะ คุณอย่ารู้เลย”
“สำคัญสิ เพราะถ้าเธอคิดเองฉันก็จะบอกว่าเธอคิดผิด แต่ถ้ามีใครมาพูดกับเธอ แสดงว่าเขาโกหก อย่าไปเชื่อเขา เชื่อฉัน เธอรู้ใช่มั้ย ว่าฉันรักใคร”
อนวัชเอื้อมมือมาจับมือหทัยรัตน์และมองด้วยความจริงใจ หทัยรัตน์สะท้านไป หลบสายตาด้วยความอาย
ภายในพิเศษกุล สีสุกเดินไปมาด้วยความร้อนใจ
“ทำไมยัยส่องยังไม่มาอีกนะ ค่ำแล้วเนี่ย”
สีสุกชะเง้อมองหาส่องแสงด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่ส่องแสงอยู่ในไนต์คลับกับรวย รวยรินบรั่นดีให้ส่องแสง
“อีกนิดนะครับ”
“ไม่ไหวแล้วค่ะ ส่องเริ่มเมาแล้วนะคะ แล้วนี่ก็ดึกแล้วด้วย ส่องว่าเรารีบกลับดีกว่านะคะ ส่องไม่ได้บอกคุณแม่ไว้ เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วง”
“ก็ได้ครับ แต่ผมขอดื่มกับคุณส่องแก้วนี้เป็นแก้วสุดท้ายแล้วกันนะครับ เป็นการเลี้ยงฉลองให้กับบ้านใหม่ของเรา เอ๊ย ของคุณส่อง”
“ก็ได้ค่ะ แก้วสุดท้ายแล้วกลับเลยนะคะ”
“ครับ”
ส่องแสงชนแก้วกับรวยและดื่มจนหมด รวยแอบดูและยิ้มอย่างมีหวัง
ที่โรงพยาบาล ตอนกลางคืน อนวัชนอนอยู่บนเตียง เหล่ๆ มองหทัยรัตน์ซึ่งกำลังจัดเตียงสำรองที่วางอยู่ข้างๆ อนวัชคิดแล้วก็ร้อง
“โอ๊ย”
“คุณอนวัชเป็นอะไรคะ”
“ฉัน นอนไม่หลับ”
“ทำไมนอนไม่หลับล่ะคะ เจ็บแผลหรือเปล่า”
“อือ เจ็บมากเลย”
“ฉันเรียกพยาบาลขอยาแก้ปวดให้นะคะ”
“ไม่ต้อง เธอช่วยจับมือฉันไว้หน่อยสิ”
“ทำอะไรนะคะ”
“จับมือไว้ ฉันจะได้นอนหลับ”
“ไม่เห็นจะเกี่ยว”
“ไม่เชื่อก็ลองดูสิ จับมือฉันไว้หน่อยนะ”
หทัยรัตน์ไม่ยอมจับ อนวัชอ้อนต่อ
“ตอนฉันยังเด็ก นมพิมพ์ก็คอยจับมือเวลาเป็นไข้ มันช่วยให้ฉันหายป่วยเร็วขึ้น”
หทัยรัตน์ลังเลจะเชื่อดีหรือไม่ สัทธามาถึงหน้าห้อง กำลังจะเข้าไป แต่ได้ยินเสียงอนวัชพูด เลยแอบฟังว่าเพื่อนรักจะโกหกอะไรต่อ
“เนี่ยนะเล่นละครไม่เป็น”
หทัยรัตน์อึกอัก อนวัชแกล้งร้อง
“โอ๊ย คิดถึงนมพิมพ์ ถ้าพิมพ์อยู่ พิมพ์จะจับมือฉัน ปลอบใจให้ฉันหายป่วย”
อนวัชโอดโอยน่าสงสาร หทัยรัตน์เห็นแล้วก็ใจอ่อน
“ก็ได้ค่ะ คิดซะว่า ฉันทำหน้าที่แทนนมพิมพ์ก็แล้วกัน”
อนวัชหยุดร้อง จับมือหทัยรัตน์ไว้แน่น หญิงสาวมองด้วยความสงสัย
“เป็นยังไงบ้าง”
“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว แต่ถ้าอยากให้ฉันนอนหลับต้องจับมือฉันแบบนี้ ฉันจะได้รู้สึกอบอุ่นแล้วก็นอนหลับฝันดี”
“จับมือจนหลับเนี่ยนะคะ”
“นี่ถ้าเป็นนมพิมพ์นะ”
“ก็ได้ค่ะ ก็ได้ งั้นก็รีบๆ นอนนะคะ”
“จะพยายาม”
อนวัชจับมือหทัยรัตน์ไว้และหลับตาลงอย่างมีความสุข หทัยรัตน์มองด้วยความห่วงใยและสงสาร
สัทธาแอบดูจากกระจก อมยิ้ม
ส่องแสงเดินเซด้วยความมึนออกมาจากไนต์คลับ รวยเดินตามระยะประชิด
ส่องแสงเดินเซจะล้ม รวยรีบเข้ามาประคองไว้
“ระวังนะครับคุณส่อง ระวังครับ คุณส่องเดินไหวมั้ยครับเนี่ย”
“ไหวสิคะ ส่องไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ปล่อยค่ะ ส่องเดินเองได้”
ส่องแสงพยายามจะยืนให้อยู่และเดินต่อไป แต่พอมาถึงรถก็น็อค กำลังจะทรุด รวยรีบเข้ามาประคองไว้
“คุณส่อง คุณส่อง”
ส่องแสงหลับไปแล้ว รวยรีบเปิดประตูรถและประคองหญิงสาวเข้าไปนั่งด้วยความเป็นห่วง แล้วขับรถออกไป ส่องแสงนั่งหลับอยู่ข้างๆ รวยปรายตามอง เห็นใบหน้าสวยอวบอิ่ม มองต่ำลงไปเห็นเนินอกขาวๆ ที่แพลมออกมาอย่างไม่ตั้งใจ รวยใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยายามตั้งสติแต่ก็อดไม่ได้ที่จะมอง ส่องแสงขยับตัวแต่ด้วยความเมาเลยหัวพับมาซบลงที่ไหล่ของรวย รวยตกใจ เริ่มสั่นด้วยความตื่นเต้น
“คุณส่องแสงครับ คุณส่องแสง คุณส่องแสง”
ส่องแสงไม่ตอบ รวยเริ่มทนต่อความรู้สึกด้านมืดไม่ไหว
กลางคืน อนวัชนอนหลับ หทัยรัตน์ฟุบหลับอยู่ข้างๆ มืออนวัชยังกุมมือหทัยรัตน์อยู่สัทธาเดินเข้ามาและเรียกเบาๆ
“ปุ้ม ปุ้ม ปุ้ม”
หทัยรัตน์สะดุ้ง ค่อยๆ ตื่น เงยหน้ามาเห็นพี่ชาย
“พี่ปุ๊”
สัทธามองดูมืออนวัขที่จับมือหทัยรัตน์อยู่แล้วอมยิ้ม หทัยรัตน์ค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกอย่างเขินอาย
“พี่ปุ๊มานานหรือยังคะ”
“พี่มารอบเมื่อหัวค่ำรอบหนึ่งแล้ว แต่เห็นหนึ่งกำลังจะหลับเลยกลับไปโรงแรม ไม่ได้เข้ามาหา หนึ่งเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไรค่ะ แค่บ่นว่าเจ็บแผล”
“ปุ้มจะกลับไปนอนโรงแรมก็ได้นะ พี่เฝ้าแทนเอง”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อคืนพี่ปุ๊อยู่ทั้งคืนแล้ว คืนนี้ปุ้มเฝ้าเองก็ได้ค่ะ”
“เป็นห่วงไอ้หนึ่งมันล่ะสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อยค่ะ แล้วคุณลุงคุณป้ากับคุณลุงวิทย์ล่ะคะ”
“นอนพักอยู่โรงแรม เออปุ้ม พวกผู้ใหญ่คงจะกลับกันไปพรุ่งนี้เช้านะ เพราะคุณพ่อคุณแม่บอกว่ามีธุระ ส่วนคุณลุงก็จะกลับไปจัดการเรื่องโรงพยาบาลที่กรุงเทพให้หนึ่ง แล้วปุ้มล่ะจะกลับด้วยกันหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปุ้มอยู่เฝ้าคุณอนวัชให้ก็ได้”
“ดีแล้วปุ้ม เพราะวันพรุ่งนี้หมอประสงค์จะตรวจเส้นประสาทขาข้างที่หัก แล้วก็จะรู้ว่าหนึ่งเดินได้อีกหรือเปล่า”
“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอค่ะพี่ปุ๊”
“ใช่ ถ้าเดินไม่ได้เหมือนเดิมหนึ่งคงต้องการกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป และคนที่ให้กำลังได้ดีที่สุดคือ ปุ้ม ตอนแรกหนึ่งเพ้อถึงปุ้มตลอด วันนี้ดูดีกว่าวันก่อนเยอะมาก เมื่อวานก็บ่นแต่ว่าอยากตาย ยังไงๆ พี่ก็ฝากหนึ่งด้วยนะปุ้ม”
สัทธาพูดให้ดูจริงจัง พร้อมตีหน้าเศร้าประกอบ หทัยรัตน์หันมามองอนวัชด้วยความสงสาร สัทธาเดินออกจากห้อง ด้วยใบหน้าเศร้า แต่พอปิดประตูก็ขำไม่มีเสียง ด้วยความสะใจ แอบมองเข้าไปในห้อง เห็นหทัยรัตน์นั่งมองอนวัชซึมๆ สัทธายิ้มพอใจ หทัยรัตน์จัดผมอนวัชให้เข้าที่และค่อยๆ เอามือมาจับมือชายหนุ่มไว้อย่างห่วงใย
ประสาทพรตกใจเมื่อทราบข่าวทางโทรศัพท์จากพิมพ์
“หนึ่งประสบอุบัติเหตุเหรอครับ แล้วตอนนี้มีใครดูแลอยู่บ้างครับ”
“คุณวิทย์ขึ้นไปเชียงใหม่แล้วค่ะ ไปพร้อมกับคุณสุทธิ์ คุณทิพย์ แล้วก็คุณปุ้มค่ะ”
ประสาทพรชะงัก ใจหาย ที่หทัยรัตน์ไปหาอนวัช เขาคิดๆ แล้วตัดสินใจไปที่เดือนประดับ สุดาเดินมาหา ตื่นเต้น แต่พยายามทำปกติ
“คุณชายจะมาต่อว่าอะไรดิฉันอีกหรือเปล่าคะ “
“ผม ผมขอโทษที่พูดไม่ดีกับคุณไปครั้งที่แล้ว ที่ผมมาวันนี้เพราะอยากรู้เรื่องหนึ่ง ตอนนี้หนึ่งเป็นยังไงบ้าง”
“พี่หนึ่งประสบอุบัติเหตุ เจ็บหนัก พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดค่ะ”
“เจ็บหนักเลยเหรอครับ”
“เอ่อ ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่าหนักมาก ตอนนี้ปุ้ม พี่ปุ๊ ลุงวิทย์ แล้วก็คุณพ่อคุณแม่ขึ้นไปเยี่ยมพี่หนึ่งอยู่ค่ะ สักพักดิฉันคงจะตามขึ้นไป”
ประสาทพรนิ่งไปด้วยความเป็นห่วง
“อ้อ ปุ้มฝากให้ดิฉันมาบอกคุณชายว่าช่วงนี้คงจะขอพักเรื่องการเรียนการสอนคุณหญิงไปสักระยะ เพราะต้องดูแลพี่หนึ่งจนกว่าจะเดินทางกลับมากรุงเทพ ดิฉันตั้งใจจะเขียนจดหมายฝากคนขับรถให้นำไปให้คุณชายอยู่พอดี”
“ขอบใจมากที่ยังคิดถึงผม ถึงแม้ผมจะพูดจาไม่ดีกับคุณ”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ แป้นไม่ได้โกรธคุณชายเลย แล้วคุณชายล่ะคะ หายโกรธแป้นแล้วหรือยัง”
“ผมไม่โกรธแล้วครับ จริงๆ ผมไม่ควรโกรธตั้งแต่แรก ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าคุณสุดาคิดอะไร ผมเห็นด้วยครับ ผมไม่เคยถาม ไม่เคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าหนึ่งกับหทัยรัตน์จะรักกันแบบนี้”
ประสาทพรพูดอย่างเข้าใจ สุดามองชายหนุ่มด้วยความสงสาร อยากจะเข้าไปปลอบ แต่ก็ทำไม่ได้
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ที่ห้องพักโรงแรม
ส่องแสงนอนอยู่บนเตียงยิ้มพริ้มพร้อมบิดขี้เกียจประหนึ่งว่านอนอยู่บนเตียงตัวเองอย่างมีความสุข พอพลิกตัวหันมาอีกด้าน เห็นหน้ารวยนอนอืดอยู่ ส่องแสงหลับตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ชะงัก ลืมตามองอีกครั้ง รวยนอนหลับไม่รู้เรื่อง ส่องแสงมองจนแน่ใจว่าเป็นรวยแน่ก็กรีดร้องขึ้น รวยตกใจสะดุ้งตื่น
“เฮ้ย”
ส่องแสงลุกพรวดพราดขึ้นพร้อมดึงผ้าห่มมาปิดตัวไว้ และคว้าหมอนปาใส่รวยอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้บ้า นี่แกทำอะไรฉัน ออกไป ออกไป”
รวยตกใจลุกพรวดพราดหลบจ้าละหวั่น
“คุณส่องครับ ฟังผมก่อน คุณส่องอย่าเพิ่งโกรธสิครับ ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่างนะครับ”
“แก ไอ้บ้า ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น รีบพาฉันไปส่งบ้านเดี๋ยวนี้”
ส่องแสงดึงผ้ามาปิดตัว รีบหยิบเสื้อผ้า และวิ่งเข้าห้องน้ำ
“คุณส่อง ฟังผมก่อน”
“ปล่อยนะ อย่ามาจับตัวฉันนะ อ๊าย ฉันจะกลับบ้าน”
ส่องแสงตะโกนใส่หน้ารวยและรีบเข้าห้องน้ำไป รวยทรุดตัวนั่ง แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็ยิ้มนิดๆ ด้วยความพอใจ
ส่องแสงกลับมาบ้าน เล่าให้สีสุกฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ สีสุกหน้าซีด
“อะไรนะ ไอ้เจ๊กนั่นมัน กับหนู โอย แม่จะเป็นลม ทำไมส่องไม่ระวังตัว ปล่อยให้มันย่ำยีแบบนี้ได้ยังไงลูก นี่ถ้าใครรู้เข้าแม่จะเอาหน้าไปไหวที่ไหน โอย แม่อยากจะตาย”
“คุณแม่อย่าเพิ่งโวยวายได้มั้ยคะ เดี๋ยวอีนังพวกนี้มันได้ยินหมด แล้วจะเอาไปพูดเสียๆ หายๆ ได้นะคะ คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เพราะคุณรวยเขารับปากว่ายังไงเขาก็จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอส่อง เขาไม่ทิ้งส่องไปแน่”
“แล้วส่องจะแต่งงานกับเขาเหรอลูก”
“ตอนนี้ยังหรอกค่ะ เพราะคนที่ส่องจะแต่งงานด้วยก็คือพี่หนึ่ง”
“ถ้าหนูคิดแบบนี้ หนูจะอยู่เฉยๆ ที่นี่ไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้คุณหนึ่งประสบอุบัติเหตุกำลังรักษาตัวอยู่ที่เชียงใหม่”
“ว่ายังไงนะคะคุณแม่ พี่หนึ่งประสบอุบัติเหตุเหรอ ทำไมส่องไม่รู้”
“ก็ไปอยู่ไหนมาล่ะ นังปุ้ม พอมันรู้ข่าวก็รีบขึ้นไปเลย ป่านนี้มันคงกำลังดูแลคุณหนึ่งอย่างใกล้ชิดอยู่มั้ง”
“ส่องไม่ยอม นังปุ้มต้องถือโอกาสออดอ้อนให้พี่หนึ่งรีบแต่งงานกับมันแน่”
“ถ้าลูกยังต้องการแต่งงานกับคุณหนึ่ง ลูกต้องรีบไปเชียงใหม่เดี๋ยวนี้”
ส่องแสงตกใจ ความริษยาพุ่งพรวด
ตอนเช้า อนวัชลืมตาตื่นขึ้น เห็นหทัยรัตน์นั่งอยู่ข้างๆ กำลังมองเขาอยู่
“ตื่นแล้วเหรอคะ เมื่อกี๊คุณลุงคุณป้าแล้วก็คุณพ่อแวะมาเยี่ยม แต่คุณยังหลับก็เลยไม่ได้ปลุก พวกท่านฝากบอกให้คุณหายเร็วๆ นะคะ และขอโทษที่อยู่เจอกันไม่ได้ ต้องรีบกลับไปกรุงเทพ แต่ลุงวิทย์จะขึ้นมาเยี่ยมคุณอีกครั้งในวันสองวันนี้”
อนวัชพยักหน้ารับรู้อย่างเหนื่อยอ่อน
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“จะเที่ยงแล้วค่ะ”
“บ่ายนี้ฉันก็จะรู้แล้วสินะว่าฉันจะเดินได้เหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ค่ะ คุณหมอประสงค์จะมาตรวจขาของคุณตอนบ่าย”
“เธอต้องอยู่เป็นกำลังใจให้ฉันนะ หทัยรัตน์”
“ค่ะ ดิฉันจะอยู่ข้างๆ คุณไม่ไปไหน จะอยู่เป็นกำลังใจให้คุณ และคุณจะต้องเดินได้อีกครั้ง”
หทัยรัตน์จับมืออนวัช ยิ้มให้กำลังใจ อนวัชยิ้มรับนิดๆ อย่างมีความสุข
ตอนบ่าย ประสงค์มาตรวจอาการ
อนวัชนอนอยู่บนเตียงแกล้งทำหน้าเครียด หทัยรัตน์ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างใกล้ชิดคอยให้กำลังใจ ประสงค์เดินเข้ามา
“คุณหนึ่งพร้อมนะครับ”
อนวัชไม่ตอบ หทัยรัตน์หันมามองส่งกำลังใจ
“ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณต้องหายเป็นปกติ”
“ผมจะลองเคาะที่เข่าเพื่อตรวจสอบเส้นประสาท ถ้ามันยังดีอยู่ พอผมเคาะปุ๊บ ขาของคุณต้องกระตุก คุณหนึ่งเข้าใจนะครับ”
อนวัชพยักหน้ารับ หทัยรัตน์จับมือชายหนุ่มไว้ ประสงค์ลอบมองแล้วลืมตัวอมยิ้มนิดๆ พอรู้สึกตัวก็รีบทำหน้าขรึม
“คุณหนึ่งลองลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเองดูสิครับ”
อนวัชพยายามจะลุก แล้วทำเป็นลุกไม่ขึ้น
“โอ๊ย”
หทัยรัตน์จับตัวไว้
“เป็นไงบ้างคะ ไหวหรือเปล่า”
“เธอประคองฉันหน่อยได้มั้ย”
“ได้ค่ะ”
อนวัชอมยิ้ม หทัยรัตน์ประคองชายหนุ่มจนนั่งเอนบนเตียงสำเร็จ ประสงค์รีบทำหน้าขรึมเดินมาหา
“ผมจะตรวจแล้วนะครับ คุณหนึ่งบอกผมด้วยว่าขาข้างที่หักยังมีความรู้สึกอยู่หรือเปล่า”
ประสงค์หยิบค้อนอันเล็กๆ ขึ้นมา แล้วส่งสัญญาณให้อนวัช ก่อนจะเคาะที่เข่าเหนือเฝือก อนวัชเกือบสะดุ้งแต่กัดฟันฝืนเอาไว้ แล้วทำเป็นตกใจ
“ทำไมผมไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ”
“ช่วยลองใหม่อีกทีสิคะ”
ประสงค์เคาะใหม่แรงขึ้นอีกนิด อนวัชต้องฝืนเต็มที่
“เป็นยังไงบ้างครับ”
หทัยรัตน์มองหน้าอนวัชลุ้นๆ
“ไม่รู้สึกอะไรเลย นี่มันหมายความว่า”
“ผมเสียใจด้วยนะครับ เส้นประสาทที่ขาของคุณไม่ทำงาน ต่อไปคุณจะไม่สามารถเดินได้ตามปกติอีกแล้ว”
อนวัชทำเป็นตกใจและเศร้าลง หทัยรัตน์มองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสาร
“ไม่นะครับ หมอ หมอต้องช่วยผม ผมไม่อยากเป็นคนพิการ”
หทัยรัตน์รีบเข้ามาประคองปลอบอนวัช
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณอนวัช พอมีทางแก้ไขมั้ยค่ะ”
หทัยรัตน์หันไปถามประสงค์
“ผมเสียใจด้วยครับ”
อนวัชก้มหน้าประหนึ่งผิดหวังกับโชคชะตา หทัยรัตน์มัวแต่มองอนวัชด้วยความเห็นใจจนไม่สังเกตเห็นว่าประสงค์กลั้นยิ้มอยู่
หลังจากประสงค์ไปแล้ว อนวัชทำเป็นนั่งเศร้าอยู่บนรถเข็นในห้องพัก หทัยรัตน์เดินมาหาและนั่งลงข้างๆ
“คุณอนวัชอย่าคิดมากเลยนะคะ ถึงคุณเดินไม่ได้ แต่คุณก็ยังทำอย่างอื่นได้อีกหลายอย่างนะคะ”
“ฉันจะทำอะไรได้ นอกจากทำตัวเป็นภาระคนอื่น ต่อจากนี้ไปฉันคงจะเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ”
“ไม่จริงหรอกค่ะ ยังมีคนที่ต้องการคุณอยู่นะคะ”
“ใคร ใครจะต้องการคนพิการอย่างฉัน”
หทัยรัตน์นิ่งงัน ไม่กล้าพูด
“เธอลองบอกฉันสิว่าใคร”
หทัยรัตน์กำลังจะตอบ แต่เสียงส่องแสงก็ดังเข้ามา
“พี่หนึ่งขา”
หทัยรัตน์ชะงัก รีบดึงมือออก พร้อมกับลุกขึ้นยืน อนวัชเซ็งสุดๆ ส่องแสงถลาเข้ามาในห้อง เห็นอนวัชก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“พี่หนึ่งขา พี่หนึ่งของส่องเป็นยังไงบ้างคะ”
ส่องแสงรีบเข้ามาและแทรกตรงกลางระหว่างอนวัชกับหทัยรัตน์ หทัยรัตน์ถอยห่างออกอย่างเซ็งๆ อนวัชอึกอักและอึดอัด สถานการณ์เลวร้ายขึ้น เมื่อสีสุกตามเข้ามาอีกคน
“คุณหนึ่ง อุ้ยตายแล้ว คุณหนึ่งเป็นยังไงบ้างคะ ทำไมถึงได้หน้าซีดแบบนี้ ดูท่าทางอาการหนักนะคะเนี่ย แล้วนี่ไม่มีพยาบาลพิเศษมาดูแลคุณหนึ่งเหรอคะ”
“ดิฉันขอตัวออกไปตามยาก่อนอาหารมาให้นะคะ”
หทัยรัตน์เดินออกไปเลย ส่องแสงและสีสุกเบ้ปากใส่
หทัยรัตน์เดินออกมาด้วยความอึดอัด เศร้าๆ หึงหวงหมั่นไส้ปะปนกัน อนวัชหันมาทางสองแม่ลูกที่ปั้นหน้าเป็นห่วงด้วยความเซ็ง
“ลูกส่องเป็นห่วงคุณหนึ่งมากนะคะ พอรู้ข่าวก็รีบชวนอามาเยี่ยมคุณหนึ่ง ระหว่างทางก็กระสับกระส่ายนั่งไม่ติด เพราะเป็นห่วงคุณหนึ่ง”
“ใช่ค่ะ ส่องอยากจะอยู่ดูแลพี่หนึ่งนะคะ”
“พี่ขอบใจส่องมากที่เป็นห่วงพี่”
“แล้วนี่ เด็กปุ้มมาทำอะไรที่นี่คะ แล้วมาแบบนี้คุณชายไม่ว่าอะไรเหรอคะ”
“คุณชายไม่ว่าอะไรหรอกครับ เพราะคุณชายรู้ดีว่าผมกับหทัยรัตน์ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว หทัยรัตน์มาเยี่ยมเพราะเป็นมารยาทเท่านั้น”
“ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วหมายความว่า”
“พี่ตัดสินใจปล่อยให้เขาเป็นอิสระ พี่ถอนหมั้นกับเขาแล้ว”
ส่องแสงกับสีสุกดีใจตาโต
“จริงเหรอคะพี่หนึ่ง ดีแล้วค่ะ ที่พี่หนึ่งทำแบบนี้ พี่หนึ่งทำถูกแล้ว เพราะขืนดื้อดึงหมั้นกันต่อไป คนที่จะเสียใจก็คือพี่หนึ่ง”
“ไม่ใช่หรอก ถ้ายังหมั้นกัน คนที่เสียใจก็คือ หทัยรัตน์ มากกว่า เพราะเขาคงจะไม่มีความสุขที่ต้องแต่งงานกับผู้ชายพิการอย่างพี่”
ส่องแสงกับสีสุกตกใจ
“พิการ”
“ใช่ เพราะตอนนี้ขาขวาของพี่ใช้งานไม่ได้ พี่เดินไม่ได้ตลอดชีวิต”
ส่องแสงเริ่มผงะ และถอยห่าง เบ้หน้ารังเกียจ
“เดินไม่ได้ตลอดชีวิต ส่องฟังผิด หรือพี่หนึ่งพูดผิดหรือเปล่าคะ แค่ใส่เฝือก เอาเฝือกออกแล้วเป็นปกติหรือเปล่า”
“พี่ก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่เสียดายที่ไม่ใช่ พี่เดินไม่ได้ตลอดชีวิตจริงๆ”
“พี่หนึ่งต้องนอนอยู่บนเตียงแบบนี้ไปตลอดชีวิตเหรอคะ”
“ใช่ และนอกจากนี้ หน้าพี่ยังมีแผลเป็นที่แสนจะอัปลักษณ์”
“อัปลักษณ์ อัปลักษณ์ขนาดไหนคะ”
“ขนาดที่หมอเองก็ไม่รับรักษา”
“หมอไม่รับรักษา แสดงว่า มันคงจะต้องเละมากๆ สิคะ”
“ใช่ แล้วแบบนี้ส่องคิดว่าพี่ทำถูกแล้วใช่มั้ยที่ถอนหมั้นหทัยรัตน์”
“ใช่ค่ะ พี่หนึ่งทำถูกแล้วที่ไม่เอาตัวเองไปถ่วงคนอื่น”
อนวัชชะงัก สีสุกรีบสนับสนุน
“นั่นน่ะสิคะ ไอ้แผลเป็นบนหน้าเนี่ย อาว่ามันยังพอรับได้ แต่ขาพิการเนี่ย ท่าทางจะลำบากนะคะ”
“แต่สำหรับส่อง มันก็แย่พอกันแหละค่ะ ทั้งพิการทั้งอัปลักษณ์ ไม่มีอะไรดีเลยนะคะ”
สีสุกพยักหน้ามองหน้าส่องแสงเป็นเชิงบอกว่าอย่ายุ่งเลย อนวัชมองอย่างรู้ทัน หทัยรัตน์เดินกลับมาจะเข้าห้องพัก เสียงอนวัชดังขึ้น
“ครับ ผมทราบดี ผมถึงปล่อยให้หทัยรัตน์เขาได้แต่งงานกับคนที่เขารัก”
หทัยรัตน์ชะงัก แอบฟัง อนวัชพูดต่ออย่างจริงจัง
“และผมก็จะได้แต่งงานกับคนที่พูดตลอดเวลาว่ารักและจริงใจกับผมตลอดมา ส่องครับ”
“ใครคะ พี่หนึ่งเรียกใครคะ”
ส่องแสงปัดมืออนวัชออก
“พี่หมายถึงส่องนี่แหละครับ ส่องคือคนที่พูดเสมอว่ารักและจริงใจกับพี่ เหมาะที่สุดแล้วที่จะดูแลคนพิการและอัปลักษณ์อย่างพี่”
ส่องแสงชะงัก รีบแก้ขึ้นอย่างหน้าด้านๆ
“เอ่อ แหม ส่องเกือบลืมไปสนิทเลยว่าที่ส่องมาหาพี่หนึ่งวันนี้เนี่ย ส่องมีข่าวดีจะมาบอกพี่หนึ่งค่ะ”
อนวัชแปลกใจ สีสุกก็แปลกใจพอกัน มองหน้าส่องแสง
“คือ ส่องกำลังจะแต่งงานกับคุณรวยค่ะ คุณรวยเขาเพิ่งขอส่องแต่งงานเมื่อวานนี้เองค่ะ และส่องก็รับปากแต่งงานกับเขาไปแล้วค่ะ”
อนวัชชะงักไป อมยิ้มนิดๆ ส่องแสงรีบสะกิดให้สีสุกช่วย สีสุกรีบสนับสนุน
“เอ่อ ค่ะ อาเองก็เห็นว่าคุณรวยเป็นคนดี แล้วก็รักหนูส่อง อาก็เลยรับปากไป นี่ก็จะต้องรีบกลับไปเตรียมงานแต่งงานกันอยู่เหมือนกัน”
“ใช่ค่ะ เพราะงานคงจะมีในอีกไม่กี่วัน ส่องขอโทษด้วยนะคะที่อยู่ดูแลพี่หนึ่งไม่ได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่เข้าใจ และพี่ก็ยินดีด้วยที่ส่องตัดสินใจเลือกได้ถูกต้อง พี่ขอให้ส่องมีความสุข ว่าแต่ ส่องไม่เปลี่ยนใจนะครับ”
“โอ๊ย ไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ ส่องกับคุณรวยเรารักกันมาก ส่องต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปแล้วค่ะ”
“พี่เข้าใจ พี่เข้าใจดี”
อนวัชพูดด้วยความเศร้าแต่แอบอมยิ้มในใจ
“ถ้าพี่หนึ่งเข้าใจดีแล้ว ส่องกับคุณแม่ขอตัวกลับเลยนะคะ สวัสดีค่ะ”
ส่องแสงกับสีสุกร่ำลาแล้วก็รีบพากันเดินออกมาเลย หทัยรัตน์เห็นสองแม่ลูกกำลังเดินออกมา ก็รีบหลบ สีสุกกับส่องแสงเดินตามทางเดินด้วยความโล่งอก
“ลูกส่องเนี่ยฉลาดจริงๆ ที่รีบพูดเรื่องแต่งงานกับคุณรวยขึ้นมา ไม่งั้นอาจจะต้องลงเอยด้วยการแต่งงานกับคนพิการที่ต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต”
“แต่คิดๆ แล้วก็น่าสงสารพี่หนึ่งนะคะ ที่ตัดสินใจถอนหมั้นกับนังปุ้มแล้วหมายมั่นปั้นมือจะว่าจะแต่งงานกับส่อง”
“แม่ก็สงสาร แต่ใครจะรับได้ ที่ต้องมาทนดูแลคนง่อยเปลี้ยเสียขา แถมหน้าตายังอัปลักษณ์อีก ส่องคิดถูกแล้วลูกที่เลือกคุณรวย แต่ลูกอย่าใจอ่อนกลับไปหาคุณหนึ่งอีกนะลูก”
“อุ้ย ส่องไม่มีวันใจอ่อนหรอกค่ะ ส่องไม่อยากจะต้องทนอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนดูแลคนพิการหน้าผี ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่หนึ่งจะเป็นยังไงบ้างนะคะ ที่โดนส่องปฎิเสธแบบนี้”
“จะเป็นยังไง สงสัยจะกำลังนอนร้องไห้อยู่ล่ะสิ”
สีสุกพูดอย่างมั่นใจ
อนวัชนอนยิ้มอยู่บนเตียงอย่างมีความสุขและนึกขำกับท่าทางของสองแม่ลูกที่เพิ่งจากไป หทัยรัตน์เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วนม อนวัชรีบทำหน้าเป็นปกติ หทัยรัตน์วางแก้วนมไว้ข้างๆ
“พยาบาลให้เอานมมาให้ค่ะ คุณจะดื่มเลยมั้ยคะ”
“ขอบใจมาก แต่ฉันยังไม่หิว”
“ดิฉันว่าคุณอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ จะทำให้เสียสุขภาพเปล่าๆ”
“ทำไมเธอคิดว่าฉันต้องคิดมาก ฉันมีเรื่องอะไรต้องคิดเหรอ”
“ก็ เรื่องคุณส่องแสงไงคะ ฉันบังเอิญได้ยินเรื่องที่เธอบอกคุณเรื่องแต่งงานกับคุณรวย มันอาจจะทำให้คุณต้องเสียใจ”
“แต่ฉันคิดว่าส่องแสงเขาเลือกถูกแล้วนะ เพราะอย่างที่ฉันบอก ไม่มีใครต้องการจะดูแลคนที่พิการอย่างฉัน เธอก็เห็นแล้วว่าสิ่งที่ฉันคิดมันถูกต้อง”
อนวัชทำเป็นพูดอย่างตัดพ้อ หทัยรัตน์มองด้วยความสงสาร
จบตอนที่ 11