xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 10

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หนึ่งในทรวง ตอนที่ 10

หทัยรัตน์ยืนอยู่หน้าที่ทำงานอนวัชอย่างเซ็งๆ ถือปิ่นโตใส่อาหารมาด้วย
 
“ถ้าคุณป้าไม่บังคับ อย่าคิดเลยว่าฉันจะมา”
หทัยรัตน์มองปิ่นโตในมือ นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ทิพย์จัดขนมจีบลงปิ่นโต และของว่างทานเล่นอีก 2-3 อย่าง ใส่ปิ่นโตสวยงาม
“ป้าทำของว่างของโปรดคุณหนึ่ง ปุ้มเอาไปให้คุณหนึ่งที่ทำงานบ่ายนี้นะ”
“ทำไมต้องเป็นปุ้มคะ”
“ก็เพราะปุ้มอยู่บ้าน เพราะปุ้มเป็นคู่หมั้นหนึ่ง เพราะปุ้มเป็นหลานที่ป้าไว้ใจ เพราะปุ้มเป็น”
“พอๆ แล้วค่ะ ถ้าคุณป้าชักแม่น้ำมาห้าสายขนาดนี้ ปุ้มไปก็ได้ค่ะ”
หทัยรัตน์จำยอม ทิพย์ยิ้มพอใจ

อนวัชทำงานอยู่ในห้อง เลขาเดินเข้ามาพร้อมกับปิ่นโตอีกชุด
“คุณอนวัชคะ คุณส่องแสงให้คนนำอาหารมาส่งค่ะ”
อนวัชไม่สนใจมอง
“วางไว้ที่โต๊ะนั้น”
เลขาเดินไปวางไว้ที่โต๊ะเล็ก และหันมารายงานต่อ
“เอ่อ แล้วมีคนมาขอพบคุณอนวัชด้วยค่ะ ตอนนี้นั่งรออยู่ที่หน้าห้องค่ะ”
“ผมเซ็นเอกสารด่วนอยู่ ให้รอไปก่อน คุณก็รอด้วย จะได้รอเอกสารออกไปทีเดียว”
“ค่ะ”
“แล้วคนที่มาหาฉัน คือใคร”
อนวัชรอคำตอบ ในใจลึกๆ เผื่อว่าจะเป็นหทัยรัตน์

หทัยรัตน์เดินมาที่หน้าห้องทำงานอนวัช แล้วก็ต้องชะงัก เพราะเห็นนวลนั่งรออยู่ นวลเงยหน้ามาเห็นหทัยรัตน์พอดี
“นังปุ้ม แกมาทำอะไรที่นี่”
หทัยรัตน์นิ่ง
“ฉันถามทำไมไม่ตอบ”
“คุณถามไม่สุภาพ ดิฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบ”
“หนอย นี่แกจะมาร้องหาความสุภาพจากฉันเนี่ยนะ แกทำให้ลูกชายฉันตายทั้งคน จะให้ฉันสุภาพกับแกอีกเหรอ หะ นังเด็กกำพร้า นังลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่”
หทัยรัตน์ทนไม่ไหว สวนกลับ พูดความในใจออกมา
“ไหนๆ คุณพินิจก็ไม่อยู่แล้ว ดิฉันจะขอพูดครั้งนี้ครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้าย ดิฉันไม่ได้รักหรือชอบกับลูกชายคุณนาย ดิฉันไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเขา และไม่เคยคิดจะร่ำรวยด้วยการแต่งงาน”
“ไม่คิดงั้นเหรอ ไม่คิดแล้วนี่อะไร เอาอะไรมาให้คุณอนวัชกิน แอบใส่เสน่ห์ยาแฝดมาล่ะสิ เอามานี่เลย ฉันไม่ให้กิน”
นวลกระชากปิ่นโตของหทัยรัตน์มาอย่างแรง แล้วก็ขว้างทิ้งต่อหน้าต่อตา หทัยรัตน์อึ้ง
“ฉันไม่ยอมให้คุณอนวัชหลงเสน่ห์หล่อนจนต้องตรอมใจตายไปอีกคน”
หทัยรัตน์มองขนมที่ตกเกลื่อนอยู่ที่พื้นด้วยความโกรธ ในขณะที่อนวัชชะงักได้ยินเสียงคนทะเลาะกันแว่วๆ หันมาถามเลขาฯ
“เสียงอะไร”
“ดิฉันออกไปดูนะคะ”
“ไม่เป็นไร ฉันไปดูเอง”
อนวัชเดินออกไป

หทัยรัตน์ทนไม่ไหว สวนกลับนวล
“คำก็ตาย สองคำก็ตาย คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าใครกันแน่ที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่พินิจต้องตาย”
“แกนั่นแหละเป็นต้นเหตุ พินิจตรอมใจตายเพราะแก”
“พี่พินิจตรอมใจ เพราะคิดว่าดิฉันไม่สนใจ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าดิฉันรังเกียจ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ คนที่ทำให้ฉันไม่อยากไปหา ไม่อยากไปเยี่ยมก็คือ คุณนาย เพราะฉะนั้น คนที่เป็นสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้พี่นิจต้องตายก็คือคุณ”
นวลโกรธตัวสั่น ง้างมือขึ้น
“นังปุ้ม”
นวลกำลังจะฟาดมือลงที่หน้าหทัยรัตน์ ทันใดนั้นอนวัชก็เข้ามาจับไว้ นวลชะงัก
“พอเถอะครับคุณน้า ผมจะไม่ยอมให้คุณน้าทำร้ายร่างกายหทัยรัตน์อีกแล้ว”
“คุณหนึ่งเป็นห่วงมันเหรอคะ คุณหนึ่งเข้าข้างมัน เพราะหลงเสน่ห์มันเข้าแล้วใช่มั้ย สรุปข่าวที่หมั้นกับมันเป็นความจริงใช่มั้ย”
หทัยรัตน์ยืนนิ่ง แต่ในใจรอลุ้นคำตอบ ว่าอนวัชจะกล้ารับหรือไม่
“ใช่ครับ ผมกับหทัยรัตน์เราหมั้นกันแล้ว”
หทัยรัตน์ชะงัก แปลกใจ แต่ลึกๆ ก็ดีใจ
“แล้วพรรณีหล่ะ ที่คุณไปไหนมาไหนกับพรรณี มันคืออะไร หรือว่า คุณหลอกน้า”
“ผมว่า เราอย่ามาพูดเรื่องนี้ที่นี่เลยนะครับ พรรณีจะดูไม่ดี ถ้ามีอะไร ผมยินดีจะไปคุยกับคุณน้าที่บ้านเป็นการส่วนตัว”
“ไม่ต้อง น้าไม่มีอะไรจะคุยทั้งนั้น ในเมื่อน้ารู้ความจริงหมดแล้ว ฉันจะถือว่า สิ้นบุญตานิจ แกกับฉันหมดเวรหมดกรรมกันไป อย่าได้มาเจอะเจอกันอีกเลย ที่เหลือก็ขอให้เป็นเวรกรรมของคุณกับมันก็แล้วกัน”
นวลสะบัดหน้าใส่อนวัช และเดินกระแทกออกไป ผ่านปิ่นโตและขนมที่ตกเกลื่อน นวลเหยียบย่ำและเตะปิ่นโตอย่างรังเกียจ หทัยรัตน์ส่ายหน้า จะก้มลงเก็บ อนวัชรีบมาห้าม
“ไม่ต้อง เดี๋ยวให้แม่บ้านมาเก็บ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเก็บเองได้”
อนวัชเดินมาจูงมือหทัยรัตน์ไปเลย หญิงสาวตกใจ
“คุณอนวัช ปล่อยฉันนะคะ”
อนวัชหันมาบอกเลขาฯ
“บอกให้แม่บ้านมาทำความสะอาดด้วย”
“ค่ะ”
อนวัชลากหทัยรัตน์เข้าห้องทำงานไป
“คุณอาโทรศัพท์มาบอกฉันเรื่องขนมแล้ว น่าเสียดายที่เกิดเรื่อง เลยไม่ได้กิน แต่ยังไงก็ฝากขอบคุณคุณอาด้วย”
“ค่ะ หมดเรื่องจะคุยแล้วใช่มั้ยคะ ดิฉันจะได้ขอตัวกลับ”

“ยัง ธุระฉันยังไม่หมด ฉันมีของจะฝากให้คุณอา รอสักครู่”

อนวัชเดินไป หทัยรัตน์มองรอบๆ ห้อง เห็นรูปอนวัชที่ตั้งๆ วางอยู่
 
เธอมองด้วยความสนใจ แล้วก็ชะงักที่รูปในวันหมั้น ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา อนวัชเดินกลับมา
“ฉันจะบอกว่า”
หทัยรัตน์รีบดึงสายตากลับ ยืนหลังตรง ทำเป็นมองไม่เห็น
“ถ้าเมื่อยก็นั่งได้นะ เชิญตามสบาย”
“ขอบคุณค่ะ”
อนวัชเดินออกไปอีกครั้ง หทัยรัตน์มองจนแน่ใจว่าไปแน่ ก็คิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ตอนที่อนวัชยอมรับกับนวลว่าเขาหมั้นกับเธอจริงๆ หทัยรัตน์รู้สึกอบอุ่นใจ ใจชื้นแปลกๆ หันมามองรูปตอนหมั้นที่วางไว้บนโต๊ะ แล้วก็ยิ้มนิดๆ แต่ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นปิ่นโตของส่องแสงที่วางไว้ หทัยรัตน์เอะใจ เดินเข้าไปดู เห็นกระดาษที่ติดอยู่บนปิ่นโต มองซ้ายมองขวาก่อนจะถือวิสาสะอ่าน
“ซุปหูฉลามชั้นหนึ่งสำหรับพี่หนึ่ง รับประทานเยอะๆ นะคะ หายไข้แล้วจะได้พาส่องไปรับประทานอาหารตามที่สัญญาไว้ จาก ส่องแสง พิเศษกุล”
หทัยรัตน์ชะงัก ความชุ่มชื่นหายไปจนหมด หน้าตึงขึ้นมาทันที อนวัชเดินเข้ามา
“นี่เป็นสมุนไพร เครื่องเทศ จากอินโดนีเซีย ฉันฝากไปให้คุณอาด้วย”
หทัยรัตน์รับมา เสียงดุ ห้วน
“ได้ค่ะ ดิฉันขอตัวกลับก่อน”
“เดี๋ยวสิ เธอไม่อยู่กินกลางวันกับฉันหน่อยเหรอ”
“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่หิว”
หทัยรัตน์กระแทกเสียงใส่ แล้วก็เดินออกไปเลย
“เป็นอะไรของเขา ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ที่ช่วยไว้เมื่อกี๊ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
อนวัชส่ายหน้า เศร้าๆ

รถประสาทพรจอดอยู่บนถนน ริมทุ่งสวยๆ ภายในรถ สุดากำพวงมาลัยแน่น เหงื่อตกด้วยความกลัวเพราะเพิ่งหัดขับรถ ประสาทพรนั่งข้างๆ เห็นอาการ
“คุณสุดาแน่ใจจริงๆ นะครับ ว่าจะเรียนขับรถจริงๆ ผู้หญิงไทยสมัยนี้ไม่มีใครเขาสนใจเรื่องขับรถกันนะครับ ถ้าผู้ใหญ่รู้อาจจะโดนดุเอาได้ ขอถามอีกครั้ง แน่ใจนะครับ”
“แน่ใจค่ะ ดิฉันอยากขับรถเป็น”
“ทำไมครับ”
“เวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน แต่มีรถจอดอยู่ ดิฉันจะได้ขับรถไปเที่ยวเอง ไม่ต้องมีคนขับรถคอยตาม อยากจะไปไหนก็ได้ ไปเที่ยวไกลๆ ไปทะเล ไปภูเขา มันคงสนุกมากๆ เลยค่ะ”
“แปลก”
สุดาแปลกใจ
“ตอนที่ผมหัดขับรถ ก็เพราะเหตุผลนี้เหมือนกัน แปลกที่เราคิดเหมือนกัน”
สุดายิ้มตามไปด้วย ดีใจ และ โล่งใจ
“เหมือนกันอีกแล้ว”
ประสาทพรขมวด แปลกใจ
“คุณหญิงกับแม่โอเคยพูดว่าคุณชายกับดิฉันมีหลายอย่างที่เหมือนกัน ดิฉันจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง ที่แน่ๆ วันนี้จะต้องเพิ่มเรื่องเหตุผลในการขับรถเข้าไปอีกหนึ่งข้อ”
สุดากับประสาทพรหัวเราะพร้อมกันเบาๆ
“ตกลงว่าคุณชายสอนดิฉันขับรถได้หรือเปล่าคะ”
“ได้ครับ ในเมื่อคุณสุดามั่นใจ แน่ใจ เราก็เริ่มกันเลย ผมจะอธิบายส่วนต่างๆ ที่สำคัญของรถก่อน อย่างแรกเลยคือ เบรก ตัวหยุดรถ”
ประสาทพรอธิบายอย่างใจเย็น และใส่ใจ สุดาตั้งใจฟัง ฟังไปก็ลอบมองหน้าประสาทพรไปด้วย
“นี่ก็เป็นคันเร่ง สำหรับเพิ่ม ลด ความเร็วของเครื่องยนต์”
สุดายิ้มมีความสุข หัวใจพองโต

รถประสาทพรมาจอดเทียบที่ใต้ต้นไม้ สุดาดับรถ ประสาทพรปรบมือชื่นชม
“เก่งมากๆ เลยครับ แค่ไม่ถึงชั่วโมง เริ่มจะคล่องแล้ว”
“ครูดีน่ะค่ะ”
“ชมแบบนี้ ผมน่าจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นครูสอนขับรถยนต์”
สุดาหัวเราะรับ ประสาทพรเริ่มต้นเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“เอ่อ คุณสุดาครับ ผมมีคำถาม คือ คำถามนี้อาจจะไม่เหมาะกับหญิงไทย แต่ผมเห็นสุดาเป็นคนสมัยใหม่ก็เลยกล้าถาม”
“ตื่นเต้นจังเลยค่ะ คุณชายจะถามว่าอะไรคะ”
“ถ้ามีผู้ชายมาขอคุณสุดาแต่งงาน สถานที่ไหนที่ทำให้คุณประทับใจมากที่สุดครับ”
สุดาชะงัก ใจเต้นแรง มองหน้าประสาทพร หรือว่าเขาจะขอเธอแต่งงาน สุดาอายหน้าแดง
“คุณสุดาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ อากาศร้อนหรือเปล่าครับ ทำไมอยู่ๆ หน้าแดง”
สุดาตกใจ รีบหันหน้าหนี และทำเป็นโบกมือไปมาเหมือนร้อน
“เอ่อ พอดี อยู่ๆ ก็ร้อนวูบขึ้นมาค่ะ วู้ ร้อนจัง”
ประสาทพรมองงงๆ สุดาพยายามระงับความตื่นเต้น และหันมาตั้งใจตอบ
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ คุณชายถามถึงสถานที่ขอแต่งงานใช่มั้ยคะ”
“ครับ ผมรู้ว่าการขอแต่งงานเป็นธรรมเนียมฝรั่ง ธรรมเนียมไทยต้องให้เถ้าแก่ ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ แต่ก็อยากจะฟังความคิดเห็นสาวสมัยใหม่อย่างคุณสุดาน่ะครับ”

“ดิฉันคิดถึงสถานที่ที่ดิฉันอยู่แล้วสบายใจ และคาดไม่ถึง สถานที่ที่เราโปรดปราน อย่างเช่น ร้านหนังสือค่ะ”

ประสาทพรประหลาดใจ สุดาอธิบายต่ออย่างเพ้อฝัน
 
“เพราะดิฉันชอบไปร้านหนังสือ ถ้ามีเวลาว่างก็จะชวนปุ้มไปด้วยกัน ไปครั้งหนึ่งก็จะอยู่นานเป็นวัน ครึ่งวัน เดินดูหนังสือทีละเล่มๆ มีความสุขมากๆ เลยค่ะ ถ้ามีผู้ชายมาขอแต่งงานในร้านหนังสือคงจะเก๋ไก๋ใช่หยอกเลยค่ะ”
“คุณสุดาพูดแบบนี้ แสดงว่าถ้าผมขอหทัยรัตน์แต่งงานในร้านหนังสือ เธอก็คงจะชอบเช่นกันใช่มั้ยครับ”
สุดาสะอึก หน้าจ๋อยลง
“คุณชายจะขอปุ้มแต่งงานเหรอคะ”
“ผมคิดมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่กล้า อยากทำให้เธอประทับใจน่ะครับ แต่คิดไม่ออก ก็เลยลองถามคุณสุดาดู พูดถึงขอแต่งงานในร้านหนังสือก็น่าประทับใจดีนะครับ”
สุดาอึ้งไป ประสาทพรถามซ้ำ
“หรือว่า คุณสุดาไม่เห็นด้วย”
“เปล่านะคะ ดิฉันเห็นด้วยค่ะ น่าประทับใจมากๆ ปุ้มต้องประทับใจแน่ๆ ค่ะ”
ประสาทพรยิ้มรับ ตื่นเต้น มีหวัง สุดายิ้มมารยาท แล้วเบือนหน้าด้วยเศร้า ใจหาย

สุดาเดินเศร้าเข้ามาในบ้าน สัทธานั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนเห็นพอดี
“อ้าว แป้น ขับรถไม่ได้ล่ะสิ พี่บอกว่าเครื่องยนต์กับผู้หญิงมันอยู่คนละโลก เป็นสาวเป็นนางใครเขาขับรถกัน นี่คงขับไม่ได้ ถึงได้หน้าคว่ำมาแบบนี้”
“ไม่ใช่สักหน่อย แป้นขับเป็นแล้ว คุณชายยังชมว่าเรียนรู้เร็วด้วยซ้ำ”
“อ้าว แล้วทำไมต้องทำหน้าเศร้า”
“ใครเศร้า แป้นไม่ได้เศร้าสักหน่อย แป้นสนุก มีความสุขจะตาย สนุ้กสนุก มีความสุขจังเลย”
สุดาฝืนยิ้มและทำร่าเริงอย่างเสแสร้าง แล้วก็เดินเข้าบ้านไปเลย ลับหลังสัทธา สุดาก็หน้าเศร้าเหมือนเดิม สัทธามองตามงงๆ ว่าน้องสาวเป็นอะไร

อนวัชยืนดูรูปของพ่อและแม่ วิทย์เดินมาเห็นก็สงสัย
“คิดอะไรอยู่ ทำไมถึงยืนดูรูปแม่แล้วยืนนิ่งอยู่แบบนี้”
อนวัชยิ้มรับ และวางรูปไว้ที่เดิม
“ผมแค่สงสัย อยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้คนสองคนรักกัน และตัดสินใจที่จะแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน คุณพ่อจำได้หรือเปล่าครับ ว่าอะไรที่ทำให้คุณพ่อรักคุณแม่ และตัดสินใจแต่งงาน
“ไม่ใช่แค่จำได้ แต่ไม่มีวันลืม แม่ของหนึ่งคือผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้พ่อหยุด หยุดสายตาไว้ที่ใบหน้าสวยหวาน มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ หยุดหัวใจไว้ที่ความน่ารัก ความดี ความอ่อนโยน แล้วก็หยุดการแสวงหา พ่อไม่สนใจผู้หญิงคนอื่นอีกเลย ตั้งแต่ได้รู้จักแม่ของหนึ่ง”
อนวัชฟังอย่างตั้งใจ คิดตาม
“เมื่อเราคิดที่จะหยุดอยู่กับใครสักคน อยากใช้ชีวิตอยู่กับเขา เราจะได้คำตอบเองว่า คนนี้คือคนที่เราอยากแต่งงานด้วย”
อนวัชคิด วิทย์หันมาถาม
“แล้วหนึ่งล่ะ คิดอยากจะหยุด ขึ้นมาบ้างหรือยัง”
อนวัชชะงัก

ส่องแสงและสีสุก นั่งคุยกันในห้องรับแขก
“แม่ยังแค้นใจนังคุณนายนวลปากตลาดไม่หาย มันร้ายจริงๆ ด่ากับมันตั้งหลายวันแล้ว ใจยังเดือดปุดๆๆ อยู่เลย แม่เกลียดมันจริงๆ ขออย่าได้เจอะเจอกันอีกแล้ว ทั้งชาตินี้และชาติหน้า”
ส่องส่ายหน้า
“คุณแม่เลิกบ่นได้แล้วค่ะ ส่องได้ยินคุณแม่บ่นตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ บ่นทุกวัน เช้ายันเย็น พอเถอะค่ะอย่าไปสนใจพวกบ้านนั้นเลย เปลืองอารมณ์ มาสนใจเรื่องที่คุณชายจะขอนังปุ้มแต่งงานดีกว่าค่ะ”
“คุณชายจะขอนังปุ้มแต่งงาน”
“ใช่ค่ะ เห็นบอกว่าจะขอบ่ายวันนี้”
“แล้วถ้านังปุ้มมันไม่ยอมแต่ง คุณชายก็ขอเก้อ แผนเราก็ไม่สำเร็จสิ”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ส่องเตรียมอีกแผนสำรองเอาไว้แล้ว”
ส่องแสงยิ้มอย่างมั่นใจ

หทัยรัตน์กับประสาทพรเดินมาในร้านหนังสือ ประสาทพรตื่นเต้น
“คุณชายจะให้ดิฉันหาหนังสืออะไรไปให้คุณหญิงบ้างคะ”
“อ๋อ ก็ เอ่อ แล้วแต่คุณจะเห็นสมควรเลยครับ”
ประสาทพรตกใจหันไปปัดแก้วน้ำจะหกแต่พนักงานจับไว้ทัน
“งั้นดิฉันขอไปดูหนังสือเด็กก่อนนะคะ”
“ครับ ผมขอ ดูที่หนังสือภาษาอังกฤษ แล้วเดี๋ยวตามไปนะครับ”
“ค่ะ”
หทัยรัตน์เดินไป ประสาทพรตื่นเต้น หยิบกล่องแหวนขึ้นมาดู

ภายในร้านหนังสือ คนไม่เยอะมาก ส่องแสงกับชุลีนั่งลุ้นรออยู่
“นี่เธอแน่ใจเหรอว่าเขาจะมาที่นี่จริงๆ”
“มาสิ คุณชายประสาทพรบอกว่าจะชวนมันมาที่นี่เอง”
ส่องแสงหันมาตอบอย่างมั่นใจ คิดย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าที่เธอคุยกับประสาทพร
“ตกลงคุณชายวางแผนขอแต่งงานกับปุ้มไว้ยังไงคะ ที่ส่องถามเพราะอยากจะช่วยให้สำเร็จน่ะค่ะ”
“ผมคงขอแบบเรียบๆ ง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่เลือกสถานที่ที่หทัยรัตน์เธอชอบ”
“ที่ไหนคะ”

ส่องแสงตั้งใจรอคำตอบ

ส่องแสงปรายตาไปที่ทางเดินพลันตาโต
 
“นั่นไง มาแล้ว”
ชุลีรีบหันไป หทัยรัตน์เดินเข้ามา ตามองหาหนังสือ ชุลีตื่นเต้น
“มาจริงๆ ด้วย”
“พร้อมนะ”
ส่องแสงถาม ชุลีพยักหน้ารับ ทั้งสองคนรีบเดินไปอยู่อีกด้านของชั้นหนังสือใกล้หทัยรัตน์ ทำเป็นหยิบหนังสือมาอ่าน
หทัยรัตน์เดินหาหนังสือ ส่องแสงและชุลีพยักหน้าให้กัน เริ่มแผนการ ชุลีกระแอมเบาๆ ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนาที่เตรียมกันไว้
“นี่ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เลยนะส่อง ทำไมคุณอนวัชเขาถึงได้ไปหมั้นกับเด็กนั่น ทั้งๆ ที่เขารักเธอยังกับอะไรดี”
หทัยรัตน์ชะงัก แปลกใจ มองตามเสียง
“นี่เขาเคยบอกไม่ใช่เหรอ ว่าเขาจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากเธอ”
“เบาๆ สิ อายเขา ใช่ แล้วพี่หนึ่งก็ยังเคยบอกอีกว่า ชีวิตเขาคงจะไม่มีความสุขแน่ ถ้าไม่มีฉัน”
“อ้าว แล้วทำไมเขาถึงไปหมั้นกับเด็กกำพร้าน่าอนาถคนนั้นล่ะ นี่แล้วเขาจะแต่งงานกันหรือเปล่าน่ะส่อง”
“ถึงจะแต่งก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ในเมื่อพี่หนึ่งบอกฉันว่า ผู้ชายแต่งงานสักสองสามครั้งก็ไม่แปลก”
“หะ นี่หมายความว่าคุณอนวัชจะแต่งงานกับเด็กนั่นแค่ชั่วคราวเหรอ”
“ใช่ พี่หนึ่งบอกว่าแต่งเพราะเห็นแก่ผู้ใหญ่ พี่หนึ่งน่าสงสารมากๆ ปฎิเสธก็ไม่ได้ แต่เขาก็พูดกับฉันตรงๆ เขาขอเวลาฉันสักปี ครึ่งปี ไปแต่งกับเด็กนั่น พอข่าวซาๆ คนลืมๆ ก็เลิก”
หทัยรัตน์สะอึก ยืนใจสั่น โกรธ
“แล้วเธอยอมเหรอ”
“ตอนแรกก็ไม่ยอม แต่พี่หนึ่งอ้อนวอนจนฉันอ่อนใจ แต่ฉันก็ให้เวลาเขาแค่ 3 เดือนเท่านั้น พอแต่งครบกำหนดต้องหย่าทันที แล้วเขาก็จะมาแต่งงานกับฉัน ไม่เห็นเหรอ พี่หนึ่งถึงได้จัดงานเล็กๆ เงียบๆ ไม่ให้คนอื่นรู้”
หทัยรีตน์ยังอึ้งตัวชา
“ต๊าย สมเพชเด็กนั่นจริงๆ ถ้าคุณอนวัชขอแต่งงาน คงเข้าใจผิดคิดว่าคุณอนวัชรักตัวเอง เออ ส่อง นี่แล้วถ้าเด็กนั่นไม่ยอมหย่าล่ะ”
“ถ้าไม่ยอมก็หน้าด้านเกินไปล่ะ คนเราจะทนอยู่กับคนที่แต่งงานกับเราเพราะความจำเป็นได้ยังไง คนเรามันต้องมีศักดิ์ศรีกันบ้าง จะทนอยู่ได้ยังไงในเมื่อผู้ชายไม่ได้รักตัวเองสักนิด”
หทัยรัตน์สะท้านไปทั้งใจ ด้วยความโกรธ กำมือแน่น หันหลัง และเดินออกไปทันทีเพราะทนไม่ได้ ชุลีกับส่องแสงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไป ก็รีบหยุดพูด โผล่หน้ามาดู เห็นหทัยรัตน์เดินไปก็หันมาหัวเราะคิกคัก
“เดินหน้าคว่ำไปแบบนั้น ได้ยินแน่ๆ”

ประสาทพรกำลังเดินไปหา แปลกใจที่หทัยรัตน์เดินหน้าเครียดมา
“คุณหทัยรัตน์ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ดิฉัน ปวดหัวน่ะค่ะ ขอโทษนะคะ ดิฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ ขอโทษจริงค่ะ วันหลังดิฉันจะมาชดเชยให้นะคะ สวัสดีค่ะ”
“อ้าว เหรอครับ งั้นผมไปส่ง”
“อย่าเลยค่ะ ดิฉันขอกลับเองนะคะ”
หทัยรัตน์รวบรวมแรงที่เหลืออยู่รีบเดินออกจากร้านหนังสือโดยเร็ว เดินชนเก้าอี้แถวนั้นเกือบล้ม แล้วฝืนใจเดินต่อไป ประสาทพรงง ดูกล่องแหวนอย่างเสียดาย
หทัยรัตน์เดินมาหยุดที่หน้าร้านหนังสือ คำพูดของส่องแสงวนเวียนดังก้องไปมา เธอกัดฟันพูดด้วยความโกรธ
“ฉันไม่มีวันแต่งงานกับคุณเป็นอันขาดคุณอนวัช”
หทัยรัตน์ยืนยันกับตัวเอง

ส่องแสงกับชุลีหัวเราะกันสนุกสนานด้วยความสะใจ
“ฉันล่ะสะใจจริงๆ มันต้องแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่า เพื่อนรัก เล่นละครรับส่งกันได้ดีไม่มีตกหล่น ขอบใจมากนะจ้ะ”
“ด้วยความยินดีจ้ะ ฉันถนัดเล่นละครอยู่แล้ว สบายมาก เออส่อง ฉันมีนัดกินข้าวกับคุณรวยจะไปด้วยกันมั้ย”
“คนอะไรชื่อ รวย”
“ก็คนรวย ไงจ๊ะ ถึงได้ชื่อรวย คุณรวยเนี่ยเป็นเพื่อนของเพื่อนฉันอีกที เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน”
ชุลีปรายตาไปเห็นพอดี
“นั่นไงๆ มาแล้ว คุณรวยคะ ทางนี้ค่ะ”
รวย ชายร่างท้วม ผิวขาว ทองเต็มตัว หันมายิ้มให้ ส่องแสงหันมาตามสายตาของชุลี รวยเห็นส่องแสง ก็ชะงักกึก อึ้งตะลึงในความสวย ชุลีต้องรีบเดินเข้ามาหาและส่งเสียงเรียกสติ
“คุณรวยคะ”
รวยสะดุ้ง หันมาทางชุลี
“อ้อ ครับคุณชุลีครับ สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ คุณรวยคะ นี่ส่องแสงเพื่อนชุลีเองค่ะ ส่องจ๊ะ นี่คุณรวยจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ คุณส่องแสง รูปก็งาม นามก็ไพเราะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ชุลีมองค้อน หมั่นไส้ ส่องแสงยิ้มพอใจ
“ขอบคุณค่ะ ชุลีจ้ะ ขอบใจมากสำหรับวันนี้ ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะ คงไม่ได้ไปกินข้าวด้วย”
ชุลียิ้มพอใจ
“อ้าว คุณส่องแสงไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”
ชุลีหุบยิ้มทันที
“ไม่ค่ะ วันนี้เหนื่อยมาตั้งแต่เช้า ขอเป็นโอกาสหน้านะคะ กลับก่อนนะจ๊ะชุลี”
ชุลียิ้มรับ พยักหน้าส่งๆ ส่องแสงหันมายกมือไหว้ลารวย รวยรับไหว้ตาเยิ้ม เคลิ้มมาก ส่องแสงค่อยๆ หันหลังอย่างมีจริตและเดินกลับไปพร้อมกับยิ้มอย่างผู้ชนะ
 
รวยมองตามไม่วางตา ชุลีค้อน หมั่นไส้

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 10 (ต่อ)

พรรณีแต่งตัวแล้วยืนสำรวจตรวจความเรียบร้อยที่หน้ากระจก นึกถึงวันที่คุยกับสัทธา
 
“หนังโปรแกรมใหม่กำลังจะเข้าแล้ว เราไปดูกันนะณี”
พรรณียิ้มนิดๆ มีความสุข สำรวจตัวเองอีกครั้งด้วยความพอใจ แล้วออกมาจากห้อง มองซ้ายมองขวาระแวดระวังนิดๆ ผ่านห้องนั่งเล่น เสียงนวลเรียกดังขึ้น
“ยัยณีจะไปไหน”
“ไปดูหนังกับพี่หนึ่งค่ะ”
“เมื่อไหร่จะเลิกโกหกแม่สักที หรือจะรอให้แม่ต้องตรอมใจตายตามพินิจไปอีกคนถึงจะยอมเปิดปากพูดความจริง”
พรรณีตกใจ ละล่ำละลัก พูดเสียงสั่น
“ความจริงอะไรคะ”
“ความจริงที่แกไม่ได้ไปกับคุณอนวัช แต่ไปกับไอ้สัทธา และคุณอนวัชก็หมั้นกับนังเด็กปุ้มไปตั้งนานแล้ว แต่แกโกหก ปิดบัง และสร้างเรื่องหลอกลวงฉัน นี่ถ้าฉันไม่ได้ยินชาวบ้านนินทาว่าร้ายลับหลัง ฉันก็คงจะหูหนวกตาบอด ถูกแกหลอกต่อไปเรื่อยๆ”
นวลยิ่งพูดยิ่งอารมณ์ขึ้น พรรณีปากสั่น ใจสั่น ทำอะไรไม่ถูก นวลรุกไล่เดินเข้ามาหาพร้อมกับพูดใส่อารมณ์
“แกรู้มั้ยว่าฉันอายเขาขนาดไหน ตอนที่มันมาพูดใส่หน้าว่าแกไม่ได้ไปกับคุณอนวัชแต่ควงร่อนอยู่กับไอ้สัทธา ฉันเหมือนอีโง่ ที่แสดงความโง่ ออกมาแบบโง่ๆ แกจะทำอะไรเคยคิดถึงฉันบ้างมั้ย แกยังเห็นฉันเป็นแม่แกหรือเปล่า นังณี หรือแกเห็นฉันเป็นแค่อีแก่โลกแคบ วันๆ นั่งเฝ้าสมบัติอยู่ในบ้าน”
นวลน้อยใจ เสียใจ น้ำตาเริ่มไหล พรรณีร้องไห้
“ไม่ใช่นะคะแม่ ณีไม่ได้คิดแบบนั้น”
“ไม่คิด แต่แกก็ทำ ตั้งแต่เล็กจนโตฉันดูแลแกสองคนพี่น้องมาอย่างดี หาแต่สิ่งที่ดีมาให้ กินก็กินแต่ของดี ใช้แต่ของดี พอโตขึ้น ฉันก็อยากให้พวกแกได้กับคนดีๆ คนที่คู่ควร ฉันทำผิดอะไร ทำไมพวกแกต้องตอบแทนฉันแบบนี้”
“แม่”
นวลระบายความรู้สึกออกมา คับแค้นใจ และน้อยใจ
“แกลองคิดดู ตอนที่พี่ชายแกอยู่ พร่ำเพ้อถึงแต่นังเด็กปุ้ม รักมันเหลือเกิน คิดถึงแต่มัน คิดถึงจนลมหายใจสุดท้าย ก่อนตายก็ยังคิดถึงมัน แต่พอตายไปแล้ว นังเด็กนั่นมันเคยมานั่งคิดถึงบ้างมั้ย มีแต่อีแก่นี่แหละ อีแก่หัวหงอกคนนี้ที่นั่งคิดถึงลูกทุกวัน ทุกคืน มีแต่แม่เท่านั้นที่ไม่เคยลืม”
นวลระบายออกมา น้ำตานองหน้า พรรณีร้องไห้ตามสงสารแม่จับใจ พรรณีค่อยๆ เข้ามากอดนวล
“แม่คะ”
“พวกแกมีความรัก มีคนที่แกรัก แล้วแกเคยคิดบ้างมั้ยว่าฉันก็มีความรัก และความรักทั้งหมดของฉันก็คือพวกแก แกเคยคิดถึงความรัก ความเป็นห่วงของฉันบ้างมั้ย เคยบ้างมั้ย”
นวลปล่อยโฮออกมาอย่างน้อยใจ พรรณีเข้ามากอดแม่และร้องไห้ไปด้วยความรู้สึกผิดมากๆ เพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ก็วันนี้
“แม่คะ ณีขอโทษ ขอโทษที่โกหกแม่ ณีขอโทษแทนพี่นิจ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ณีขอโทษค่ะแม่”
พรรณีร้องไห้ที่อกนวล นวลสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจและน้อยใจ เวลาต่อมา นวลนอนหลับหมดแรง พรรณีนั่งอยู่ ครุ่นคิดอย่างหนัก และตัดสินใจทำบางอย่าง

สัทธายืนอยู่หน้าโรงหนังด้วยความแปลกใจ
“คุณพรรณีฝากมาให้ฉัน”
สัทาธาถามคนขับรถของพรรณีที่ยืนอ่อนน้อมอยู่ตรงหน้า พร้อมกับกระดาษในมือ
“ครับ”
“ขอบใจ”
สัทธารับมา คนขับรถก็ยกมือไหว้กลับไปเลย สัทธายิ่งแปลกใจ
“อ้าว กลับไปเลยเหรอ แล้วพรรณีอยู่ไหน”
คนขับรถไม่ตอบ รีบเดินหนีไปเลย สัทธายิ่งงงๆ รีบเปิดจดหมายอ่าน
“ถึงพี่ปุ๊ วันนี้ณีต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถมาตามนัดได้ หวังว่าพี่ปุ๊จะไม่โกรธณีนะคะ พรรณี”
“ทำไมสั้นๆ ห้วนๆ แบบนี้ เหตุผลก็ไม่บอก ไม่ลงท้ายว่ารักหรือคิดถึงสักคำ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ”

สัทธาสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี

วิทย์ ทิพย์ สุทธิ์ นั่งปรึกษากันอยู่ที่ห้องรับแขก
 
“พี่เห็นว่าปุ้มกับหนึ่งก็หมั้นกันมานานแล้ว ถึงเวลาที่จะแต่งงานกันได้แล้ว พี่เลยจะมาถามสุทธิ์กับทิพย์ว่ามีความเห็นยังไงบ้าง”
ทิพย์กับสุทธิ์มองหน้ากันแล้วยิ้ม
“ผมกับทิพย์ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ เพราะถ้าปล่อยนานเกินไป ชาวบ้านจะนินทาเอาได้ แต่ยังไงก็ต้องขึ้นอยู่กับความพอใจของทั้งสองคนด้วย”
“ทางหนึ่งไม่มีปัญหา แล้วทางปุ้มล่ะ ทิพย์เคยคุยกับปุ้มบ้างมั้ย เขาจะยอมแต่งงานกับหนึ่งหรือเปล่า”
“ทิพย์คิดว่าคงไม่มีปัญหาเหมือนกันค่ะ”
ทิพย์ยิ้มมั่นใจ

สัทธา สุดา สุทธิ์ และทิพย์ นั่งคุยกันเรื่องการแต่งงานของอนวัชกับหทัยรัตน์ สัทธาถามตรงๆ
“คุณแม่แน่ใจเหรอครับ”
“แน่ใจสิ เพราะปุ้มคงจะรู้เรื่องแต่งงานตั้งแต่ยินดีรับหมั้นหนึ่งแล้ว ถ้าไม่ยินดีแต่งงานจะหมั้นทำไม”
สุดาอึ้งๆ คิดเป็นห่วงประสาทพร
“แป้นเป็นอะไรลูก ทำไมทำหน้าเหมือนกลุ้มใจอะไรอยู่”
“อ๋อ เปล่าค่ะ ไม่ได้กลุ้ม แค่คิดว่าถ้าปุ้มรู้ จะตอบว่ายังไงน่ะค่ะ”
“แม่จะรอให้ปุ้มเขากลับจากสอนหนังสือคุณหญิงก่อน แล้วค่อยบอก เห็นบอกว่าวันนี้คุณชายชวนไปยืมหนังสือที่ร้านหนังสือ ไม่รู้จะกลับกี่โมง”
สุดาชะงักนิดๆ
“แต่พ่อว่าปุ้มเขาไม่น่ามีปัญหานะ เพราะหมั้นกันมาตั้งนานแล้ว แต่งไปซะทีก็ดีเหมือนกัน”
สัทธาส่ายหน้าด้วยความไม่แน่ใจ สุดาคิดถึงประสาทพร

หทัยรัตน์เดินครุ่นคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือ คำพูดของส่องแสง แทงใจเหลือเกิน ทั้งทิฐิ ทั้งโทสะ ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอยืนยันหนักแน่นกับสุดา
“ไม่มีวันที่ปุ้มจะแต่งงานกับคุณอนวัช”
“ปุ้ม พี่ถามหน่อยได้มั้ย ทำไมปุ้มถึงไม่อยากแต่งงานกับพี่หนึ่ง”
หทัยรัตน์คิดว่าจะตอบดีหรือไม่ตอบดี
“ปุ้มไม่อยากแต่งงานแล้วก็ต้องเลิกกันค่ะ ถ้าปุ้มจะตัดสินใจแต่งงานกับใครสักคน ปุ้มอยากมั่นใจว่าเขาจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต”
“แล้วทำไมปุ้มคิดว่าพี่หนึ่งจะทิ้งปุ้ม ทำไมคิดว่าต้องเลิกกัน”
“เพราะเขาไม่ได้รักปุ้ม และถ้าเราแต่งงานกัน สักวันเขาก็ต้องเลิกกับปุ้มเพื่อไปอยู่กับคนที่เขารัก แล้วแบบนี้ปุ้มจะแต่งงานกับเขาทำไมคะ การหมั้นของเราไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความรัก การแต่งงานจะสวยงามไปได้ยังไงคะ ปุ้มไม่อยากทำร้ายคนอื่นด้วยการแต่งงานครั้งนี้ รวมทั้งตัวเอง”
“ปุ้มแน่ใจได้ยังไงว่าพี่หนึ่งไม่ได้รักปุ้ม”
“ทุกอย่างที่เขาทำมันบอกอยู่แล้วค่ะ มันชัดที่สุด คุณอนวัชไม่เคยรักปุ้ม”

หทัยรัตน์ยืนยันมั่นใจ

ท้องฟ้ายามค่ำคืน เหงาๆ สุดายืนครุ่นคิดอยู่ที่ระเบียง ทิพย์เดินผ่านมาพอดี
 
“ยืนชมจันทร์ หรือ ยืนคิดถึงใครกันแน่ ลูกสาวแม่”
สุดาหันมายิ้มอายๆ
“ไม่ได้คิดถึงใครเลยค่ะ แค่คิดสงสัยอะไรบางอย่าง”
“แล้วอะไรบางอย่าง มันคืออะไร”
“แป้นแค่สงสัยเพราะเห็นคนรอบข้าง เวลามีความรักมักจะมาพร้อมกับความทุกข์ ทุกข์เพราะรักเขาแต่เขาไม่รัก ทุกข์เพราะรักเขาแต่บอกไม่ได้ หรือทุกข์เพราะรักเขาแต่เขาไปรักคนอื่น ถ้าเราอยากจะมีความรัก แต่ไม่อยากมีความทุกข์ เราต้องทำยังไงคะคุณแม่ หรือว่าเราไม่ควรมีไปเลย จะได้ไม่ต้องทุกข์”
“เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้นะลูก บางทีมันก็เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว”
“ใช่ค่ะ ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่พยายามจะห้ามใจไม่ให้เกิด ก็ห้ามไม่ได้”
“หือ”
“คือ แป้นหมายถึงคนอื่นน่ะค่ะ ขอโทษที่ขัดจังหวะ คุณแม่พูดต่อเลยค่ะ”
“ในเมื่อเราห้ามความรักไม่ได้ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะรักแบบไม่ทุกข์ พระท่านสอนว่า ถ้าเรารักด้วยเมตตา ปรารถนาให้คนที่เรารักเป็นสุข และให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ต้องการครอบครอง ถ้าเรารักแบบนี้ได้ เราก็ไม่ทุกข์ ฟังดูว่ายาก แต่ถ้าลูกทำได้ ลูกจะไม่กลัวความรัก และรักได้อย่างมีความสุข”
“ถ้าเรารักโดยไม่ต้องการครอบครอง เราก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้เขารู้ว่าเรารักสิคะ ก็แอบรักไปเรื่อยๆ”
“ตกลงพูดถึงเรื่องของคนอื่น หรือเรื่องของตัวเองกันแน่”
“เรื่องของคนอื่นสิคะ ไม่ใช่เรื่องของแป้นสักหน่อย”
สุดาเฉไฉ หลบตามองไปที่อื่น ทิพย์ได้แต่หลิ่วตา เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ

เช้าวันรุ่งขึ้น วิทย์คุยกับอนวัช อนวัชมีท่าทางดีใจมาก “วันแต่งงานของผมกับปุ้ม”
“ใช่ พ่อเห็นหนึ่งมาถามพ่อเรื่องความรัก เรื่องการแต่งงาน พ่อคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เพราะเรากับปุ้มก็หมั้นกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่งกันไป ชาวบ้านจะได้ไม่นินทา”
วิทย์เห็นอนวัชยังงงอยู่
“หรือเราไม่อยากแต่ง”
“ไม่ใช่ครับ คือผมไม่มีปัญหาครับ คุณพ่อว่ายังไงผมก็ว่าตามนั้น ที่จริงผมก็คิดถึงเรื่องนี้มาตั้งนานแล้วครับ รีบแต่งก็ดีครับ ไม่งั้น คนอื่นจะว่าเอาได้ว่าเราไม่ให้เกียรติผู้หญิง”
อนวัชมองกระดาษที่เขียนฤกษ์แต่งงานในมือ เผลอยิ้มมีความสุข แล้วก็นึกขึ้นได้
“แล้วว่าที่เจ้าสาวเขารู้เรื่องหรือยังครับ”

ทิพย์ สุทธิ์ นั่งคุยกับสัทธาในห้องนั่งเล่น ทิพย์วางกล่องแหวนไว้หน้าสัทธา สัทธายิ้ม “ลูกแน่ใจเหรอปุ๊ เรื่องที่จะขอแหวนไปหมั้นหมายหนูพรรณี”
“ทำไมคุณแม่ถามแบบนี้ครับ หรือคุณแม่เห็นว่าผมเป็นคนโลเล”
“เปล่า แม่ไม่ได้คิดแบบนั้น คุณ พูดอะไรบ้างสิ อย่านั่งฟังอย่างเดียว”
“อ้าว ทำไมโยนเผือกร้อนให้กันแบบนี้ล่ะคุณทิพย์”
“คุณพ่อ คุณแม่มีอะไรพูดกับผมตรงๆ ได้นะครับ ผมเองก็พอจะทราบปัญหาอยู่บ้าง”
“ก็ แม่เขาน่ะสิ ไปได้ยินคนในตลาด แล้วก็คนในสโมสร พูดถึงแม่ของพรรณีในทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาว่ากันว่าคุณนายนวลตั้งแง่รังเกียจเรา ประกาศไม่ยอมยกพรรณีให้ เราเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้บ้างหรือเปล่า”
“ได้ยินครับ คุณนายนวลมีอคติกับปุ้ม และพาลมาที่ผม แต่มันไม่ได้ทำให้ความรักของผมที่มีต่อณีน้อยลง และที่ผมมาขอแหวนคุณแม่เพื่อไปหมั้นหมายกับณี ก็เพราะต้องการพิสูจน์ว่าผมจริงใจและจริงจังกับณีมากแค่ไหน ผมมั่นใจว่าความรักของเราจะต้องลงเอยด้วยดีแน่นอนครับ”
สัทธาตอบอย่างมั่นใจ และมีหวัง ทิพย์กับสุทธิ์ได้แต่มองหน้ากัน

พรรณีเดินถือหนังสือแบบเรียนและกระเป๋าทำงานเข้ามาในบ้าน คนรับใช้มารับของไปเก็บ
“คุณแม่ล่ะ”
“อยู่ที่ห้องนั่งเล่นค่ะ”
พรรณีเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เห็นนวลนั่งดูรูปพินิจน้ำตาซึมๆ ด้วยความคิดถึง เธอใจหาย
สะเทือนใจ และตัดสินใจบางอย่าง

อนวัชยิ้มหน้าชื่นตาบานโทรศัพท์ไปที่เดือนประดับ
“ปุ๊เหรอ นี่ฉันหนึ่งเองนะ ปุ้มกลับมาจากสอนคุณหญิงหรือยัง”
“ยังไม่กลับ แกมีธุระอะไร”
“ก็มีเรื่องอยากจะคุยกับเขานิดหน่อย งั้นฉันไม่รบกวนแกแล้ว ฉันจะไปหาเขาที่กนกพรแล้วกัน แค่นี้นะ”
อนวัชวางโทรศัพท์ไปเลยด้วยความใจร้อน สัทธารีบเรียกไว้
“ไอ้หนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง”
เสียงสัญญาณหลุด สัทธาวางสาย
“รีบขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องนิดหน่อยแน่ๆ”
สัทธาคิด อยากรู้

กรกนกถามด้วยความแปลกใจ
“พี่ชายจะชวนหญิงกับคุณครูเล่นเหรอคะ”
ประสาทพรยิ้ม แล้วมานั่งข้างๆ หทัยรัตน์
“เป็นเกมใบ้คำครับ พี่ชายจะเขียนใส่กระดาษ แล้วก็ให้คุณครูเป็นคนใบ้ และน้องหญิงเป็นคนทายนะครับ”
“ได้เลยค่ะ”
“คุณหทัยรัตน์พร้อมนะครับ”
“พร้อมค่ะ”
ประสาทพรเขียนคำแรก แมว หทัยรัตน์อ่านแล้วก็ทำใบ้เหมือนแมว กรกนกรีบตอบ
“แมวค่ะ”

“เก่งมากครับ คำต่อไปนะ”

หทัยรัตน์ทำท่าเหมือนนกบิน กรกนกตอบได้อย่างรวดเร็ว
 
“นกค่ะ”
“เก่งที่สุดครับ คำต่อไปนะครับ”
ประสาทพรเขียนว่า “แต่งงานกับผมนะครับ” แล้วยื่นให้หทัยรัตน์อ่าน หญิงสาวหันมาด้วยความกระตือรือร้น แต่พออ่านก็ชะงัก เงยหน้ามองประสาทพร
“คุณชาย เขียนผิดหรือเปล่าคะ”
“ไม่ผิดครับ ผมเขียนถูกต้องทุกคำ”
หทัยรัตน์อึ้งไป กรกนกงง
“คำว่าอะไรเหรอคะคุณครู”
“เอ่อ ล้อเล่นหรือเปล่าคะ”
“ผมไม่ได้ล้อเล่น ผมถามจริงๆ”
กรกนกยิ่งงง
“ถามอะไรกันเหรอคะ”
หทัยรัตน์พูดไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ประสาทพรเอาปากกาไปเขียนต่อ
“ผมขอย้ำว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่งงานกับผมนะครับ”
หทัยรัตน์อ่านแล้วก็อึ้งต่อ ไม่รู้จะตอบอย่างไร ประสาทพรเขียนต่อไปอีก
“ที่คุณตอบไม่ได้ เพราะหนึ่งหรือเปล่า”
หทัยรัตน์เขียนตอบ
“ไม่ใช่ค่ะ การตัดสินใจของดิฉันไม่เกี่ยวกับเขา”
“งั้นก็โล่งอก เพราะมีเหตุผลที่ผมจะถอย คือ คุณรักหนึ่ง และคุณเต็มใจที่จะหมั้น และแต่งงานกับหนึ่ง”
“ดิฉันไม่ได้รักคุณอนวัช และดิฉันไม่เต็มใจที่จะหมั้นและไม่คิดจะแต่งงานกับเขา เพราะฉันไม่สามารถแต่งงานกับคนที่ฉันไม่รัก”
ประสาทพรอ่านแล้วก็ยิ้มดีใจ กรกนกงง พูดแทรกขึ้นเสียงจ๋อยๆ อยากเล่นด้วย
“พี่ชายกับคุณครู เล่นอะไรกันอยู่เหรอคะ หญิงเล่นด้วยได้มั้ยคะ”
หทัยรัตน์ชะงัก หันมาเห็นกรกนกจ๋อยๆ ก็รู้สึกไม่ดี
“คุณครูขอโทษนะคะ ขอพักเกมไว้สักครู่นะคะ เดี๋ยวคุณครูกลับมาเล่นด้วย เชิญคุณชายออกไปคุยข้างนอกดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวพี่ชายมานะครับ”
ประสาทพรรีบเดินตามหทัยรัตน์ออกไป

อนวัชเดินเข้ามาในบ้านกนกพร ด้วยความร่าเริง แม่โอเดินออกมา
“แม่โอ หทัยรัตน์กลับไปหรือยัง”
“ยังค่ะ กำลังสอนคุณหญิงอยู่ที่ห้องหนังสือค่ะ”
อนวัชยิ้มรับและเดินไป แม่โอรีบบอก
“คุณหนึ่งคะ แม่โอไปด้วยค่ะ จะไปพาคุณหญิงมารับประทานของว่างพอดีเลยค่ะ”
แม่โอรีบเดินตามอนวัชไป

หทัยรัตน์และประสาทพรคุยกันอยู่ในสวน
“คุณหทัยรัตน์ ผมขอโทษนะครับที่ต้องทำแบบนี้ เอ่อ คือ ผมยอมรับว่าผมไม่กล้าพูดกับคุณตรงๆ แต่มันเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจผมมานานแล้ว ผมรักคุณครับ คุณหทัยรัตน์”
หทัยรัตน์ตกใจ
“สิ่งที่ผมเขียนมันคือความจริง คือสิ่งที่ผมคิดในใจ ถ้าคุณไม่รังเกียจผม”
ประสาทพรหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋า
“แต่งงานกับผมนะครับ”
“เอ่อ แต่ว่า การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ดิฉันขอเวลาคิดทบทวนให้แน่ใจก่อนที่จะตอบ”
“ได้ครับ ผมจะรอ แค่ผมรู้ว่าคุณกับหนึ่งไม่มีพันธะทางจิตใจต่อกัน เพียงเท่านี้ผมก็สบายใจแล้ว”
ประสาทพรยิ้มมีความสุข หทัยรัตน์อึ้งๆ งงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนตั้งตัวไม่ทัน

กระดาษเกมใบ้คำ ที่มีการขอแต่งงานของหทัยรัตน์และประสาทพรเมื่อครู่ อยู่ในมืออนวัช เขาถืออ่านแล้วอึ้ง กรกนกรีบบอก
“หญิงเล่นเกมใบ้คำกับพี่ชาย และ คุณครูค่ะ แต่เล่นได้แค่ 2 คำ คุณครูก็ขอออกไปคุยกับพี่ชาย คุณครูบอกว่าเดี๋ยวกลับมาเล่นใหม่ค่ะ พี่หนึ่งอยู่เล่นด้วยกันนะคะ”
“เอ่อ พี่หนึ่งขอโทษนะครับที่อยู่เล่นด้วยไม่ได้ พี่หนึ่งเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระสำคัญต้องไปจัดการ พี่หนึ่งขอตัวกลับก่อนนะครับ”
อนวัชเดินออกไปพร้อมกับกระดาษที่เขียนเกี่ยวกับการขอแต่งงาน กรกนกกับแม่โอได้แต่มองด้วยความแปลกใจ
“อ้าว คุณหนึ่งทำไมมาแค่แป๊บเดียว กลับซะละ”

อนวัชยืนอยู่ริมหน้าต่าง กระดาษที่มีตัวหนังสือโต้ตอบของหทัยรัตน์และประสาทพรอยู่ในมือ เขาอ่านอีกครั้ง
“แต่งงานกับผมนะครับ ผมขอย้ำว่าไม่ได้ล้อเล่น ที่คุณตอบไม่ได้ เพราะหนึ่งหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ การตัดสินใจของดิฉันไม่เกี่ยวกับเขา”
“งั้นก็โล่งอก เพราะมีเหตุผลที่ผมจะถอย คือ คุณรักหนึ่ง และคุณเต็มใจที่จะหมั้น และแต่งงานกับหนึ่ง”
“ดิฉันไม่ได้รักคุณอนวัช และดิฉันไม่เต็มใจที่จะหมั้นและไม่คิดจะแต่งงานกับเขา เพราะฉันไม่สามารถแต่งงานกับคนที่ฉันไม่รัก”

อนวัชอึ้ง น้ำตาตกใน เศร้าอย่างที่สุด

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 10 (ต่อ)

หทัยรัตน์กลับมาบ้าน งงๆ กับที่สัทธาและสุดาบอก
“คุณอนวัชไปหาปุ้มที่บ้านกนกพร ปุ้มไม่รู้เรื่องนะคะ ไม่ได้เจอกัน”
“อ้าวก็ไอ้หนึ่งมันบอกว่าจะไปหาเราที่นั่น”
“สงสัยจะไปคุยเรื่องแต่งงาน”
“ถ้ามาคุยเรื่องนั้น จะเจอหรือไม่เจอมันก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เพราะคำตอบของปุ้มมีอย่างเดียวคือไม่แต่งค่ะ”
หทัยรัตน์ยืนยันหนักแน่น และเดินขึ้นบ้านไป สัทธายังคาใจจึงโทรศัพท์ไปที่กนกพร
“แม่โอ นี่คุณปุ๊นะ มีเรื่องจะถามแม่โอหน่อย เมื่อครู่นี้หนึ่งเขาแวะไปที่กนกพรหรือเปล่า”
“มาค่ะ แต่มาแป๊บเดียวก็กลับไปเลยค่ะ”
“อ้าว แล้วหนึ่งบอกหรือเปล่าว่าทำไมรีบกลับ”
“เอ ไม่ได้บอกอะไรนะคะ แต่ตอนออกไปเห็นคุณหนึ่งเธอหน้าตึงๆ ไม่สดใสเหมือนตอนมาเลยค่ะ แม่โอยิ่งไม่กล้าถาม”
สัทธาสงสัยมากขึ้น คิดว่าต้องมีอะไรแน่ๆ

กระดาษข้อความที่หทัยรัตน์เขียนเล่นเกมกับประสาทพรวางอยู่บนโต๊ะทำงานของอนวัช สัทธามาหยิบไปอ่าน อนวัชเดินเข้ามาพอดี
“นี่ใช่มั้ย คือเหตุผลที่ทำให้แกไปหาปุ้ม แต่ไม่ได้คุยกัน”
“ฉันไม่อยากจะขัดจังหวะคนกำลังมีความสุข”
“อะไรของแกวะ นี่จะแต่งงานกันอยู่แล้วยังกระเง้ากระงอดทำตัวเป็นเด็กๆ กันอยู่ได้ แบบนี้จะแต่งงานกันได้ยังไงวะ”
“ก็ใครบอกว่าฉันจะแต่งงานกับน้องสาวแก”
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่าแกจะปฏิเสธการแต่งงานกับยัยปุ้ม เพราะกระดาษพวกนี้”
“คนที่ปฏิเสธคือเขามากกว่าไม่ใช่ฉัน แกคงจำลายมือน้องแกได้ มันชัดเจนอยู่แล้ว เขาเขียนตัวเท่าบ้าน ว่าเขาจะไม่แต่งงานกับคนที่เขาเกลียด”
“แล้วปุ้มบอกแกเหรอว่ามันเกลียดแก”
“ฮึ ถ้าคำว่าเกลียดของเขาเป็นก้อนหิน มันคงก่อกำแพงเมืองได้สักเมือง”
อนวัชทั้งน้อยใจและเศร้าใจ
“ยัยปุ้มเอาคำว่า เกลียด มาก่อกำแพงก็เพื่อป้องกันตัวเอง เพราะแกเองก็ทำท่าเหมือนเกลียดเขาอยู่ตลอดเวลา และปุ้มพูดเสมอว่าแกเกลียดเขา”
“แต่ฉันไม่ได้เกลียดเขา”
“ไม่เกลียด แล้วรักหรือเปล่า”
“เอ่อ”
“ไหนแกบอกฉันมาสิ ว่าแกรักน้องสาวฉันหรือเปล่า ไอ้หนึ่ง ว่าไง ถ้าแกไม่พูด ฉันจะได้บอกปุ้มว่า แกเกลียดเขา”
“ถึงฉันรักเขา มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี เพราะเขาไม่มีวันจะแต่งงานกับฉัน ความรักของฉันมันไม่สำคัญ”
สัทธาอมยิ้ม เข้าทางจนได้
“ใครว่าไม่สำคัญ คนเราจะแต่งงานกันได้ ก็ต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน แกชอบทำเป็นอยากเอาชนะปุ้ม ไม่เคยทำดีๆ เป็นใครก็ต้องคิดว่าแกเกลียดเขา และไม่มีใครอยากแต่งงานกับคนที่เราคิดว่าเขาเกลียดเรา”
อนวัชชะงัก
“ฉันรู้จักแกสองคนดี ถ้าฉันรู้ว่าแกรักปุ้ม ฉันก็ย่อมจะรู้ว่าปุ้มไม่ได้เกลียดแก แต่คราวนี้แกจะทำยังไงให้ปุ้มรู้ว่าแกเองก็ไม่ได้เกลียดเขา แกก็ลองคิดดูแล้วกัน”
สัทธาให้กำลังใจ อนวัชคิดตาม

วิทย์ส่งกระดาษการ์ดแต่งงานให้อนวัช
“นี่เป็นกระดาษที่จะใช้พิมพ์การ์ด หนึ่งเอาไปให้ปุ้มเลือกว่าชอบแบบไหน พ่อจะได้ส่งให้โรงพิมพ์เขารีบพิมพ์”
อนวัชมองและตอบเสียงเศร้า
“งานแต่งงานมันอีกตั้งนานไม่ใช่เหรอครับ”
“มันก็ใช่ แต่พ่อว่างานนี้คงจะมีแขกร่วมพันคน เราคงจะต้องใช้เวลาแจกการ์ดนานพอดู พ่อเลยต้องรีบพิมพ์ให้เรียบร้อย เดี๋ยวจะได้แจกแขกได้ทัน หนึ่งกับปุ้มก็รีบๆ เลือกมาแล้วกันนะ”
“ครับ”

อนวัชมองการ์ดแต่งงานด้วยแววตาเศร้า นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับหทัยรัตน์ แล้วก็เริ่มแน่ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ อนวัชตาเป็นประกายรู้ใจตัวเองขึ้นมา ตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง

เช้าวันต่อมา อนวัชไปที่เดือนประดับ และรอหทัยรัตน์อยู่ในสวน หทัยรัตน์เดินมา ตื่นเต้นพอกัน แต่ทำเป็นนิ่งๆ ไม่รู้สึกอะไร
“สวัสดีค่ะคุณอนวัช”
อนวัชหันมา ทันทีที่เห็นหทัยรัตน์ แววตาแห่งความปิติฉายออกมา เขามองหญิงสาวเปลี่ยนไป ความรู้สึกข้างในชัดเจน อนวัชส่งกระดาษการ์ดแต่งงานให้หทัยรัตน์เลือก
“เธอชอบกระดาษแบบไหน เลือกแล้วฉันจะได้ส่งให้ทางโรงพิมพ์เขาพิมพ์การ์ด”
หทัยรัตน์มองกระดาษ แต่ไม่รับ
“ดิฉันขอยืนยันคำพูดเดิม ฉันไม่แต่งงานกับคุณ”
“ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่มีวันรักฉันใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“ฉันอยากรู้ว่าเพราะอะไร เพราะคุณชายใช่มั้ย เธอรักคุณชายมากใช่มั้ยหทัยรัตน์ เธอถึงปิดประตูใส่ฉันแบบนี้”
“ใช่ค่ะ และดิฉันคิดว่ามันคงจะไม่น้อยไปกว่าที่คุณรักคุณส่องแสง”
“ใครบอกเธอว่าฉันรักส่องแสง”
หทัยรัตน์อยากจะบอกว่าส่องแสงเป็นคนบอก แต่ก็ไม่ตอบ อนวัชยิ่งโกรธ
“เธอจะรักคุณชายก็รักไป ทำไมต้องโยนให้ฉันไปรักส่องแสงด้วย ฟังไว้นะ ฉันไม่ได้รักส่องแสง”
อนวัชมองหญิงสาว พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรัก
“คนที่ฉันรัก คือเธอ หทัยรัตน์”
หทัยรัตน์อึ้งไป
“ฉันเคยพูดว่า ฉันจะแต่งงานกับเธอเพราะต้องการเอาชนะ ฉันโกหก ทุกครั้งที่ฉันทำเป็นเกลียดเธอ ฉันหลอกตัวเอง แต่วันนี้ฉันโกหกตัวเองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
หทัยรัตน์ช็อค อนวัชพรั่งพรูออกมาด้วยความจริงใจ
“ตั้งแต่เกิดมา ฉันไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหน เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ฉันต้องวิ่งตาม เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ฉันร้อนรุ่มใจเพราะความคิดถึง เป็นห่วง และอยากปกป้อง และเธอคือผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้ฉันรู้จักคำว่า รัก รักโดยไม่มีเงื่อนไข และยอมได้ทุกอย่างเพื่อให้เธอมีความสุข ฉันตัดสินใจบอกความจริงกับเธอ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
หทัยรัตน์จะพูด แต่เหมือนพูดไม่ออก
“กำแพงความเกลียดชังที่เธอสร้างเพื่อกั้นฉันไว้มันแข็งแรงเหลือเกิน ฉันไม่มีทางพังมันลงได้ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะปล่อยเธอไป ฉันจะคืนอิสระให้เธอ นับจากนี้เราสองคนไม่มีอะไรผูกมัดหรือติดค้างกันอีกแล้ว ลาก่อนหทัยรัตน์”
อนวัชเดินกลับออกไป หทัยรัตน์อึ้ง
“คุณอนวัช”
หทัยรัตน์ทำอะไรไม่ถูก เดินกลับมาที่ห้อง มองกระดาษการ์ดแต่งงาน ครุ่นคิดสับสน
อนวัชเดินเข้ามาในห้องนอน ทิ้งตัวนั่งอย่างหมดแรง มองไปที่กระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ ครุ่นคิด
อะไรบางอย่าง

สัทธานัดพรรณีออกมาพบ เขาหยิบกล่องแหวนแต่งงานมาดู ยิ้มมีความสุข พรรณีเดินเข้ามา เห็นสัทธายืนหันหลังอยู่ เธอสูดลมหายใจลึกๆ
“ขอโทษที่ทำให้พี่ปุ๊ต้องรอนะคะ พอดีที่โรงเรียนเลิกช้ากว่าที่คิด”
สัทธารีบปิดกล่องแหวน ใส่กระเป๋า และหันมา
“ไม่เป็นไรเลยจ้ะ รอณี นานกว่านี้พี่ก็รอได้”
“แต่ณีไม่อยากให้พี่ปุ๊เสียเวลารอณีอีกแล้วค่ะ”
สัทธาชะงักหุบยิ้ม
“พี่ปุ๊เสียเวลากับณีมามากแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องยอมรับความจริงแล้วค่ะ”
“ความจริง ความจริงอะไร ณีพูดอะไร พี่งงไปหมดแล้ว”
“ความจริงที่ว่า ความรักของเราไม่มีวันที่จะลงเอยกันได้ด้วยดี คุณแม่ไม่มีวันจะยอมรับ และเราสองคนไม่มีวันที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราอย่าหลอกตัวเองกันต่อไปอีกเลยค่ะ ถึงเวลาที่เราต้องหันหน้าสู้กับความเป็นจริงและแยกทางกันไปได้แล้ว”
“แยกทาง”
“ค่ะ ณีขอบคุณสำหรับความรัก ความปรารถนาดีที่มีให้กันมาตลอด แต่เราเดินมาถึงปลายทางแล้ว ไปต่อไม่ได้ มันจะดีกว่าถ้าเราไม่ต้องเจอกันอีก”
“ณี ณีพูดอะไรออกมา”
“ณีพูดความจริงค่ะพี่ปุ๊ ลาก่อนค่ะ”
พรรณีหันหลังให้สัทธา น้ำตาไหลพราก และเดินจากมาอย่างเจ็บปวด สัทธาอึ้งช็อค ทำอะไรไม่ถูก คาดไม่ถึง ค่อยๆ หยิบกล่องแหวนออกมาดู ยิ่งเศร้า

นวลหน้าระรื่นมากเมื่อรู้เรื่องจากพรรณี
 
“ณีเลิกกับไอ้สัทธาแล้วเหรอลูก ต๊ายข่าวดีมากๆ เลย โอ๊ย แม่ดีใจ๊ ดีใจ”
พรรณีชะงักนิดๆ กับความร่าเริงของแม่ นวลรู้ตัวรีบสำรวมอารมณ์
“เอ่อ แล้ว ทำไมถึงได้ไปเลิกกับมันล่ะ”
“ณีไม่อยากทำให้คุณแม่คิดมากอีกแล้วค่ะ ที่ผ่านมาณีทั้งโกหก ทั้งดื้อ ณีอยากจะแก้ไขความผิดที่เคยทำไว้ ต่อจากนี้ไป ณีจะไม่สร้างปัญหาให้คุณแม่ต้องเสียใจ หรือคิดมากอีกแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง ความรัก”
“ดีแล้วลูก ณีคิดถูกแล้ว ลูกกตัญญูก็ต้องทำแบบนี้ แม่ฟังแล้วก็ชื่นใจ นี่ซึ้ง พูดแล้วซึ้งขึ้นมาเลย ดูดู๊ น้ำตามันจะไหล โธ่. ลูกรักของแม่ ลูกคิดได้แบบนี้แสดงว่าคราวหน้าถ้าแม่หาผู้ชายรวยๆ เอ่อ ดีๆ มาให้ ลูกก็ไม่ปฎิเสธแล้วใช่มั้ยลูก”
“ค่ะแม่ ถ้าแม่เห็นว่าใครดี ณีก็เห็นดีด้วยค่ะ”
“โธ่ๆๆ ลูกรักของแม่ คิดถูกแล้วลูก แม่ต้องเลือกคนที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่แล้ว”
นวลกอดพรรณีไว้ ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่กลับยิ้มด้วยความพอใจและจิกตาร้ายเจ้าเล่ห์ เมื่อนึกถึงช่วงก่อนที่พรรณีจะกลับเข้าบ้านมา เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ คนรับใช้เดินมารายงาน
“คุณพรรณีกลับมาแล้วค่ะ”
“เหรอๆ รีบไปดัก บอกว่าฉันอยู่ที่นี่นะ”
“ค่ะๆ”
คนรับใช้รีบเดินไป นวลหันไปวักน้ำจากขันมาใส่ตา ทำเป็นร้องไห้ พรรณีเดินเข้ามาเห็นนวลกำลังร้องไห้อยู่
นวลยิ้มพอใจ พรรณีซบอยู่ในอ้อมกอดแม่โดยไม่รู้เลยว่าโดนแม่หลอก

สุดาเดินไปมาครุ่นคิดเรื่องที่ประสาทพรจะขอหทัยรัตน์แต่งงาน หทัยรัตน์เดินเข้าบ้านมาพอดี แต่ไม่เห็นสุดา จึงเดินตรงไปที่ห้องพัก สุดารีบเรียกไว้
“ปุ้ม ปุ้ม”
สุดารีบเดินตามไป และถามว่าประสาทพรบอกอะไรบ้าง หทัยรัตน์งง
“คุณชาย บอกเรื่องอะไรคะ”
“ก็ เรื่องขอปุ้มแต่งงานไง”
“พี่แป้นรู้เรื่องนี้ได้ยังไงคะ”
“ก็คุณชายมาปรึกษาพี่น่ะ”
“ทำไมคุณชายต้องปรึกษาพี่แป้นล่ะคะ”
“เอ่อ คงปรึกษาในฐานะที่เป็นพี่สาวปุ้มไง ปุ้ม พี่ขอถามตรงๆ เลยนะ ตกลงที่ปุ้มปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับพี่หนึ่ง เป็นเพราะคุณชายหรือเปล่า”
หทัยรัตน์สะอึก
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่เกี่ยว ปุ้มไม่แต่งงานกับคุณอนวัชและไม่คิดแต่งงานกับคุณชายเหมือนกัน”
สุดาเผลอยิ้มดีใจ หทัยรัตน์มองสงสัย สุดารู้สึกตัว เฉไฉไปเรื่องอื่น
“พี่มีเรื่องถามแค่นี้แหละ ไม่มีอะไรแล้วจ้ะ”
สุดารีบเดินเลี่ยงไปมุมหนึ่งของบ้าน อมยิ้ม ดีใจ แล้วชะงัก เครียด
“นี่เรากำลังดีใจที่ปุ้มปฏิเสธการแต่งงานของคุณชาย แต่คุณแม่สอนว่า ถ้าเรารักใครต้องรักด้วยเมตตา อยากให้เขามีความสุข แต่ปุ้มไม่แต่งงานด้วย คุณชายต้องเป็นทุกข์แล้วเราจะมายิ้มมีความสุขได้ยังไง โอ๊ย ตกลงยังไงเนี่ย เราต้องดีใจ หรือเสียใจกันแน่ โอ๊ย สับสน ๆ”
สุดาโวยวายเบาๆ กับตัวเอง

เช้าวันต่อมา ชุลีมาที่บ้านส่องแสง อวดสร้อยข้อมือทองอร่ามเส้นใหญ่ ส่องแสงมองด้วยความอิจฉา
“นี่คุณรวยเขาซื้อให้เธอเหรอ”
“ใช่”
“เขาซื้อให้เธอทำไม”
“ก็แค่ฉันอยากได้”
“แค่นี้เนี่ยนะ”
“ใช่ ก็ฉันบอกแล้วว่าคุณรวย เขารวย เงินแค่เนี้ยขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอก นี่เขาใช้เวลาตัดสินใจจ่ายเงินให้ฉันเร็วซะยิ่งกว่าฉันหายใจซะอีก”
“เขาทำแบบนี้ทำไม หรือว่า เขาจีบเธอ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าให้ฉันเดาเอาเองก็คิดว่าคงจะ ใช่ ไม่น่าเชื่อเลย อยู่ๆ ก็จะมีคนมาหลงเสน่ห์แบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว คราวหน้าลองเปรยๆ ว่าอยากได้สร้อยเพชรดีกว่า เผื่อว่าจะได้มาใส่เล่นๆ แก้เบื่อ”

ชุลีหัวเราะร่วน อวดของ ส่องแสงหมั่นไส้ และริษยาอยู่ในที

สุดาเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยความประหม่า ถือจานขนมช่อม่วงมาด้วย
 
ประสาทพรนั่งรออยู่ หน้าเครียดๆ สุดารวบรวมใจได้แล้วก็เดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะคุณชาย มาได้จังหวะพอดีเลยนะคะ ดิฉันเพิ่งทำขนมเสร็จอุ่นๆ เลยค่ะ”
“ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจมาหาคุณสุดาในภาวะที่จิตใจไม่สู้ดี อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าจะได้อิ่ม ถ้าไม่อิ่มหูอิ่มใจ ก็ได้อิ่มท้อง”
“เอ่อ คุณชายคะ อิ่มท้องกับอิ่มใจ พอเข้าใจได้นะคะ แต่ไอ้อิ่มหูนี่คืออะไรคะ”
“คุณสุดาเป็นคนคุยเก่ง เจอทีไร ก็คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ผมฟังไม่หยุด ได้ฟังจนอิ่มไงครับ”
“เอ่อ ดิฉันจะถือว่าเป็นคำชมนะคะ แหะๆๆ ว่าแต่เมื่อครู่คุณชายพูดว่ามาหาในภาวะที่จิตใจไม่ดี คุณชายมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าคะ”
“ผมขอหทัยรัตน์แต่งงานแล้วนะครับ แต่เธอไม่ตอบตกลง”
สุดานั่งอึ้งๆ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจ เสียใจ หรือ แสดงอารมณ์ไหนออกมาดี
“ค่ะ”
“คุณสุดา ไม่พูดอะไรเพิ่มเติมเหรอครับ นอกจาก ค่ะ”
“ดิฉันไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากรับรู้ และให้กำลังใจอยู่ห่างๆ”
“ให้กำลังใจ หมายความว่าผมไม่ควรจะถอดใจ ทั้งๆ ที่หทัยรัตน์ไม่ได้รับรักผมเหรอครับ”
“ถ้าความสุขของเราคือการที่ได้รักใครสักคน ถึงแม้เขาจะไม่รักตอบ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเลิกรักไม่ใช่เหรอคะ”
ประสาทพรชะงัก สุดาพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“คุณแม่สอนว่า ถ้าเรารักด้วยเมตตา รักโดยไม่หวัง เราก็จะรักได้โดยไม่ต้องทุกข์”
“มันก็จริง ที่ผมทุกข์อยู่ตอนนี้อาจจะเป็นเพราะผิดหวัง ถ้าผมไม่หวัง ผมก็ไม่ทุกข์ ขอบคุณคุณสุดามากที่ทำให้ผมเข้าใจ วันนี้ผมได้อิ่มใจเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างแล้วครับ”
“ดีใจด้วยค่ะ ดิฉันว่า อิ่มหู อิ่มใจแล้ว ถึงเวลาอิ่มท้องแล้วค่ะ รีบรับประทานกันดีกว่าค่ะ ก่อนที่จะเย็นมากไปกว่านี้”
สุดาจัดขนมช่อม่วงใส่จานส่งให้ประสาทพร ประสาทพรชูนิ้วชื่นชมว่าอร่อย สุดายิ้มมีความสุขลอบมองชายหนุ่มอย่างมีความสุข

ตอนเช้า พิมพ์เดินมาเคาะประตูเรียกอนวัชที่ห้อง
“คุณหนึ่งคะ อาหารกลางวันจัดพร้อมแล้วค่ะ คุณหนึ่งคะ พิมพ์ขอเข้าไปนะคะ”
พิมพ์เปิดประตูเข้าไป พบห้องว่างเปล่า
“อ้าว คุณหนึ่งไม่อยู่ในห้อง แล้วอยู่ที่ไหน”
เวลาเดียวกันนั้น อนวัชนั่งอยู่บนรถ มุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด ก่อนหน้านี้ คนรถยืนรออยู่อย่างตื่นเต้น อนวัชเดินมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง คนรถรีบวิ่งมารับกระเป๋า
“รถพร้อมหรือยัง”
“ผมเข็นไปจอดรอที่หน้าบ้านแล้วครับ”
คนรถรีบเดินนำไปพร้อมกระเป๋าเดินทาง อนวัชหันมามองบ้านอีกครั้ง แล้วก็ตัดใจเดินออกไป

ประสาทพรแอบมองหทัยรัตน์ที่ประตูห้องอย่างเอ็นดู นั่งรอหญิงสาวสอนหนังสือที่ห้องรับแขก อ่านหนังสือพิมพ์ไป เหลือบมองนาฬิกาไป ภาวนาให้หทัยรัตน์สอนหนังสือเสร็จไวๆ อย่างตื่นเต้น
หทัยรัตน์สอนหนังสือกรกนกเสร็จ เธอเก็บหนังสือ แล้วเหม่อลอยคิดถึงอนวัช
“คุณครูคะ ถ้าคุณครูเจอพี่หนึ่ง ฝากบอกด้วยนะคะว่าหญิงน้อยใจแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ คุณหญิงน้อยใจเรื่องอะไร”
“ก็พี่หนึ่งไม่ค่อยแวะมาหาหญิง วันก่อนแวะมา ก็มาแป๊บเดียว หญิงชวนทานของว่างก็ไม่ทาน รีบเดินกลับบ้านไป อ้อ แล้วยังเอากระดาษที่คุณครูเล่นเกมกับพี่ชายกลับไปด้วยนะคะ หญิงก็สงสัยเหมือนกันว่าพี่หนึ่งจะเอากลับไปทำไม”
หทัยรัตน์ชะงักกึก
“กระดาษเล่นเกม เกมใบ้คำน่ะเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ”
หทัยรัตน์หน้าเสีย รู้สึกผิดมาก เธอเดินออกมาจากบ้านกนกพร ครุ่นคิด จิตใจกังวลเป็นห่วงเรื่องอนวัช ประสาทพรเดินเข้ามาพอดี รีบเรียก
“คุณหทัยรัตน์ เย็นนี้ว่างหรือเปล่าครับ ผมจะชวนคุณไปรับประทานข้าวเย็นด้วยกัน”
“เอ่อ ดิฉันมีธุระสำคัญต้องทำ คงไปไม่ได้ ขอโทษด้วยนะคะ”
ประสาทพรผิดหวังนิดหน่อย
“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ค่อยไปกันวันหน้าก็ได้ แล้วคุณจะกลับเลยเหรอครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันกลับเองได้ ขอบคุณมากนะคะ สวัสดีค่ะ”

หทัยรัตน์รีบเดินไป ประสาทพรมองด้วยความกังวลลึกๆ ในใจ

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 10 (ต่อ)

ที่หน้าบ้านต่างจังหวัด เป็นบ้านไม้ขนาดกลาง ตกแต่งสวยงาม
 
หน้าบ้านมี บุญเติม คนรับใช้ประจำบ้าน อายุแก่กว่าอนวัชไม่กี่ปี บุญเติมท่าทางทะเล้น อารมณ์ดี ทันทีที่รถอนวัชมาจอดเทียบ บุญเติมรีบวิ่งมาต้อนรับด้วย
“คุณหนึ่ง สวัสดีคร้าบ คุณหนึ่งจำไอ้เติมได้มั้ยครับ ไอ้เติมที่คุณหนึ่งชอบวิ่งไล่เตะตอนเด็กๆ น่ะครับ”
“จำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าให้ฉันเตะอีกสักทีสองที อาจจะจำได้ขึ้นมาบ้าง”
“เชิญครับ เฮ้ย ผมว่าอย่าดีกว่าครับ แหะๆ เดี๋ยวพอคุณหนึ่งอยู่ที่เชียงใหม่นี่ไปสักพัก ได้วิ่งเล่น ยิงนก ตกปลา เหมือนตอนเด็กๆ ก็คงจำได้ไปเอง แหะๆ”
“ไม่ต้องมามัวแต่พูดมาก รีบช่วยกันยกกระเป๋าเข้าบ้าน ฉันเหนื่อยแล้ว อยากพัก”
“ครับผม”
อนวัชเดินนำเข้าบ้านไป บุญเติมรีบช่วยยกกระเป๋า

กลางคืน พิมพ์ร้อนใจ รีบปรึกษาประสงค์ เรื่องของอนวัช
“พิมพ์ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่รบกวนคุณหมอ แต่พิมพ์ไม่รู้ว่าจะให้ใครช่วย อยู่ๆ คุณหนึ่งก็หายตัวไป คุณท่านก็ไปราชการต่างจังหวัด ติดต่อไม่ได้ พิมพ์ร้อนใจไปหมดแล้วค่ะ ไม่รู้จะทำยังไง”
“พิมพ์ต้องทำใจ”
“อ้าว”
“ทำใจให้เย็นๆ หมอคิดว่าคุณหนึ่งเธอคงจะไปธุระที่ไหนสักแห่ง คงไม่ได้คิดจะหนี ถ้าคิดหนี คงไม่เอาคนรถไปด้วย หมอคิดว่า คุณหนึ่งคงจะมีเหตุจำเป็นที่บอกไม่ได้ ก็เลยไปแบบเงียบๆ แต่พิมพ์ก็ไม่ต้องกังวลมากไป หมอยังเชื่อว่า ถ้าคุณหนึ่งพร้อม คงจะติดต่อกลับมาเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้ ทำใจเย็นๆ รอไปก่อน”
“ค่ะ พิมพ์จะพยายาม”
พิมพ์ตอบเสียงอ่อยๆ ในใจเป็นห่วงอนวัชมาก

พรรณียืนอยู่หน้ากระจก ใส่ชุดสวย แต่หน้าเศร้าคิดถึงสัทธา เธอส่ายหน้าพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป แล้วเดินลงไปที่ห้องรับแขก แต่ยังไม่ทันจะเข้าไป เสียงนวลก็ดังออกมา
“โอ๊ย เรื่องไอ้สัทธาไม่ต้องห่วง ฉันกำจัดมันออกไปจากชีวิตแม่ณีเรียบร้อยแล้ว”
พรรณีชะงักกึก รีบแอบฟัง นวลกำลังคุยอยู่กับสุภาอย่างเมามัน
“ฉันแค่เล่นละคร บีบน้ำตา เรียกร้องความเห็นใจ แม่ณีก็ใจอ่อน ยอมไปบอกเลิกอีตาสัทธาเป็นที่เรียบร้อย ตัดบัวไม่เหลือใย”
พรรณีช็อค พึมพำเบาๆ
“เล่นละคร บีบน้ำตา”
นวลหัวเราะร่า
“เธอเตรียมนัดลูกชายเธอมาดูตัวแม่ณีได้เลย ตอนนี้ฉันหาใครมาให้ แม่ณีก็แต่งหมดแหละ” “ดี งั้นฉันจะพาลูกชายมาเจอกับพรรณี วันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”
“ดีมากๆ”
พรรณีตกใจ
“ดูตัวพรุ่งนี้”
พรรณีเครียด นวลดูนาฬิกาแล้วก็รีบบอกเพื่อน
“นี่ๆ ฉันต้องรีบไปแล้ว ได้เวลาไปเก็บค่าเช่าแผง ไปช้ากว่านี้เดี๋ยวไอ้พวกในตลาดมันจะหนีกลับไปซะก่อน”
“งั้นฉันกลับเลยแล้วกัน จะได้รีบไปบอกให้ลูกชายเตรียมตัว พรุ่งนี้ถ้าดูตัวแล้วไม่มีปัญหาจะได้รีบหาฤกษ์แต่งเลย”
“ดีที่สุด”
สุภากับนวลขำกันคิกคัก พรรณีหน้าเสีย สุภาเดินออกไป พรรณีรีบหลบวูบหน้าเครียด เสียงนวลตะโกนดังมาจากห้องรับแขก
“แม่ณี แม่ณีแต่งตัวเสร็จหรือยัง แม่จะไปเก็บค่าเช่าแผงแล้ว รีบๆ ลงมาเจอกันที่หน้าบ้านนะ”
“ค่ะ แม่”

พรรณีเครียด จะทำอย่างไรดี

นวลกับพรรณีเดินเก็บค่าเช่าในตลาด นวลแสดงความเค็มมาตลอดทาง เก็บเงินแล้วส่งให้พรรณี
 
พรรณีเดินตามหน้าเครียด คิดหาทางออกตลอดเวลา
“เก็บเงินไว้ดีๆ นะแม่ณี แล้วก็คอยดูวิธีการทวงเงิน ตามเก็บเงินของแม่ด้วย ถ้าแม่เป็นอะไรไป เราต้องทำแทน เออ นี่อีกอย่าง เมื่อกี๊แม่คุยกับคุณนายสุภาแล้วนะ พรุ่งนี้เขาจะพาลูกชายมาดูตัวลูก ถ้าดูแล้วไม่มีปัญหาแม่ว่าจะหาฤกษ์แล้วก็แต่งซะเลย”
พรรณีสะอึก ยิ่งเครียด ทันใดนั้น พรรณีตกใจ เมื่อเห็นสัทธา
“พี่ปุ๊”
สัทธายืนจังก้าอยู่หน้าพรรณีและนวล นวลหันไปเห็น
“แกมาทำอะไรที่นี่”
“ผมอยากคุยกับคุณนายเรื่องระหว่างผมกับพรรณี”
พรรณีชะงัก ใจเต้นโครมคราม นวลโกรธจัด
“แต่ฉันไม่อยากคุย แกกลับไปเลยนะ เมื่อไหร่แกจะเจียมเนื้อเจียมตัวสักทีว่าแกมันไม่คู่ควรกับยัยณี”
นวลเสียงดัง คนที่ตลาดเริ่มสนใจ
“ลูกสาวฉันถีบหัวแกทิ้งแล้ว แกยังจะมาตอแยอะไรอีก มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ ไป”นวลเอาผักที่แผงข้างๆ มาปาใส่ สัทธาหน้าเสีย พรรณีทนไม่ได้ โพล่งออกมา
“พอเถอะค่ะคุณแม่ ณีเปลี่ยนใจแล้ว ณี เลิกกับพี่ปุ๊ไม่ได้ค่ะ ณีจะกลับไปคบกับพี่ปุ๊”
“ณี พูดจริงๆ เหรอณี”
“ไม่จริง แกจะมากลับคำไม่ได้ แกบอกว่าเลิกกับมันก็ต้องเลิก จะกลับไปกลับมาไม่ได้ ฉันไม่ยอม”
“แต่ณีรักพี่ปุ๊นะคะ ณีรักพี่ปุ๊คนเดียว ณีไม่ได้รักลูกชายของเพื่อนคุณแม่”
คนฮือฮาทั้งตลาด นวลทั้งแค้นทั้งอาย รีบเข้ามาหยิก ตี พรรณี
“นี่แกพูดบอกรักผู้ชายกลางตลาดได้ยังไงไม่อายปาก ถึงแกไม่อายแต่ฉันอาย แกทำแบบนี้แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“แม่คะ ณีเจ็บ”
“คุณนาย อย่าตีณีเลยครับ ถ้าจะตีก็ตีผมเถอะ”
นวลยิ่งเดือด หันไปตีสัทธาแทน
“อ๋อ ออกรับแทน ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเหรอ ดี ฉันจะตีแกให้ตายไปเลย ยัยณีจะได้หลุดจากบ่วงที่แกเอามาคล้องซะที”
นวลตีสัทธา สัทธาได้แต่อดทนไม่ตอบโต้ พรรณีน้ำตาคลอ สงสารคนรัก พยายามห้ามนวล
“แม่ หยุดเถอะแม่ เลิกตีพี่ปุ๊ได้แล้ว”
นวลไม่ฟัง
“เพราะแก ไอ้สัทธา เพราะแก ลูกฉันถึงเป็นแบบนี้ เมื่อไหร่คนอย่างแกจะออกไปจากชีวิตยัยณี ตอบมาสิ แกจะเลิกยุ่งกับยัยณีมั้ย”
พรรณีร้องไห้ ทนไม่ไหวแล้วจึงโพล่งออกมา
“เลิกไม่ได้หรอกค่ะแม่ เพราะพี่ปุ๊กับณี เรามีอะไรกันแล้ว”
นวล ช็อก อ้าปากค้าง
“ณี ณีเป็นของพี่ปุ๊แล้วค่ะ”
“ณี”
“แกว่าอะไรนะ”
พรรณีก้มหน้า โกหก
“ณีกับพี่ปุ๊ เราสองคนมี”
นวลเป็นลมล้มไปทันที พรรณีกับสัทธาตกใจ

นวลนอนดมยาดมไปด่าพรรณีกับสัทธาไป หมดแรง หมดใจ
“โอ๊ย ฉันอยากจะตาย นี่แกแอบไปเจอกัน ไปได้เสียกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพวกแกถึงกล้าทำอะไรผิดผี ผิดประเพณีอย่างนี้ แล้วดูสิไปโพทะนากลางตลาดแบบนั้น ไปตลาดคราวหน้าฉันคงต้องเอาปี๊บคลุมหัว ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ก็เอาไว้ที่เดิมนั่นแหละครับ”
“ไอ้สัท ธา”
“ใจเย็นๆ สิครับคุณนาย ที่ผมพูดแบบนั้น เพราะมั่นใจว่าณีจะไม่เดือดร้อน ผมรับผิดชอบทุกอย่าง”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แกรีบให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอยัยณีเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวนี้เหรอคะแม่ แต่ฤกษ์ยามมัน”
“ยังมีหน้าจะรอฤกษ์ยามอีกเหรอ แกอยากเป็นขี้ปากชาวบ้านนานๆ รึไง ป่านนี้คนที่ตลาดคงลือกันจนมันปากแล้ว เพราะฉะนั้นยิ่งจัดงานแต่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
สัทธากับพรรณีตาลุกวาวด้วยความดีใจ พอนวลหันมามอง ทั้งสองรีบทำท่าสลด
“ครับคุณนาย ผมจะรีบส่งผู้ใหญ่มาเจรจาสู่ขอณีให้เร็วที่สุด”

นวลพยักหน้ารับแบบเซ็งๆ สัทธาแอบจับมือพรรณี ยิ้มดีใจ

สัทธากลับมาเล่าให้สุดากับหทัยรัตน์ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สุดาทั้งตกใจและดีใจ
 
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ไปได้ นี่แสดงว่าพรรณีเขาคงจะรักพี่ปุ๊มากเลยนะคะถึงได้ยอมพูดแบบนั้นออกไป”
“เห็นหรือยังว่าพลังของความรักจะทำให้ชนะอุปสรรคทุกอย่างไปได้ เฮ่อ พี่คิดถูกแล้ว ไม่ยอมแพ้ และตัดสินใจบุกไปคุยกับคุณนายนวลถึงตลาด”
สุดากับหทัยรัตน์นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
“แล้วพี่ปุ๊จะให้คุณลุงคุณป้าไปสู่ขอพรรณีเมื่อไหร่คะ”
“คุณนายแกเร่งให้จัดผู้ใหญ่มาขอขมาแล้วก็สู่ขอกันไว้เลย ส่วนกำหนดวันแต่ง คิดว่าคงจะเป็นเดือนหน้า เฮ่อ คิดๆ แล้วก็เสียดาย ที่ถ้าปุ้มไม่ปฏิเสธไอ้หนึ่ง เราสี่คนคงจะได้แต่งพร้อมกัน”
หทัยรัตน์หุบยิ้ม ทำหน้าไม่ถูก

พิมพ์ตกใจมากเมื่อรู้ข่าวอนวัชจากคนรถ
“คุณหนึ่งอยู่เชียงใหม่”
“ใช่ครับ คุณหนูให้ผมไปส่งเมื่อวานตอนเช้ามืด ยังไม่มีใครตื่น”
“ไปตั้งแต่เมื่อวาน แล้วตอนนี้คุณหนึ่งเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีนะครับ มีบุญเติมคนใช้ที่เฝ้าบ้านพักเป็นคนคอยดูแล คุณหนึ่งฝากให้ผมถือจดหมายมาให้คุณนม 2 ฉบับด้วยครับ”
คนรถส่งจดหมายให้ พิมพ์รับมางงๆ พอก้มลงอ่านชื่อ ก็งงหนักเข้าไปอีก
“จดหมายถึงคุณชายประสาทพร”

ประสาทพรเปิดจดหมายออก และหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ออกมาอ่าน
“ฝากจดหมายซองสีฟ้านี้ให้หทัยรัตน์ด้วย มันเป็นข่าวดีของเธอคุณชายและหทัยรัตน์ ด้วยความปรารถนาดี อนวัช”
ประสาทพรแปลกใจ ดูในซองจดหมายอีกครั้งและหยิบซองจดหมายสีฟ้าออกมาด้วยความฉงน ที่ซองเขียนว่า “หทัยรัตน์ ราชพิทักษ์” เขานำจดหมายไปให้หทัยรัตน์
“หนึ่งฝากจดหมายให้คุณครับ”
“คุณชายพบกับคุณอนวัชที่ไหนคะ”
“ผมไม่ได้พบหนึ่ง แต่มีคนที่เพชรลดาฝากไว้ที่เลขาของผม คุณหทัยรัตน์ไม่อ่านจดหมายของหนึ่งเหรอครับ”
“ดิฉันคิดว่ายังค่ะ”
“แต่ผมอยากให้คุณอ่าน”
หทัยรัตน์แปลกใจ
“คุณอ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว คุณจะเข้าใจเอง”
ประสาทพรยื่นกระดาษจดหมายของตัวเองให้หทัยรัตน์อ่าน
“หนึ่งเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ผม”
หทัยรัตน์อ่านแล้วอึ้งไป
“คุณหทัยรัตน์ครับ”
“เอ่อ ดิฉันเอาไว้อ่านทีหลังดีกว่าค่ะ เพราะวันนี้นัดกับเพื่อนไว้น่ะค่ะ ต้องรีบไป เอาไว้ดิฉันอ่านจดหมายแล้วจะติดต่อกับคุณชายอีกครั้งนะคะ”
“เอ่อ”
“ดิฉันขอตัวค่ะ”
หทัยรัตน์เดินออกไปเลย ประสาทพรมองกังวล

เมื่อกลับมาถึงเดือนประดับ หทัยรัตน์รีบเข้ามาในห้องนอน ล็อคห้องและรีบเปิดจดหมายของอนวัชอ่านด้วยความร้อนใจ
“หทัยรัตน์ที่รัก ขอโทษที่ฉันเรียกเธอเช่นนี้ ถ้าเธอรังเกียจก็คิดซะว่า มันเป็นเพียงคำขึ้นต้นจดหมายที่ฝรั่งนิยมใช้กัน ใจจริง ฉันต้องการจะมาพบและตกลงกับเธอด้วยตัวเอง แต่คิดว่ามันเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป ในเมื่อฉันรู้ดีกว่าเธอเกลียดฉันมากเหลือเกิน ฉันเห็นใจเธอ หทัยรัตน์ ฉันจึงตัดสินใจที่จะคืนอิสรภาพให้เธอ เพื่อเธอจะได้แต่งงานกับประสาทพรตามที่ได้ตั้งใจไว้ ฉันวางแหวนหมั้นของเธอไว้ที่กล่องสีน้ำตาลบนโต๊ะทำงานในห้องนอน เธอเอาคืนกลับไปได้ทุกเมื่อที่เธอต้องการ ทุกอย่างที่ฉันล่วงเกินเธอ โปรดอภัยให้ฉันด้วย”
หทัยรัตน์อ่านจดหมายด้วยความสับสน งุนงง
“และฉันยินดีจะให้เธอหัวเราะเยาะฉันอีกครั้ง ที่ฉันลงท้ายจดหมายฉบับนี้ว่า ฉันรักเธอ อนวัช”
หทัยรัตน์อ่านวนไปมาที่คำลงท้ายอีกหลายครั้งจนแน่ใจว่าตาไม่ฝาด เธอนำจดหมายมาแนบอกอย่างทะนุถนอม ตัดสินใจรีบเดินออกไป

หทัยรัตน์มาที่เพชรลดา พิมพ์เดินเข้ามาหาด้วยความแปลกใจ
“คุณครู”
หทัยรัตน์พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
“สวัสดีค่ะ ปุ้ม มาขอพบคุณอนวัชค่ะ”
“คุณอนวัชไม่อยู่ค่ะ”
“ไม่ทราบว่าคุณอนวัชจะกลับมาเมื่อไหร่คะ”
“ไม่ทราบค่ะ คุณอนวัชบอกว่าจะไปพักที่ต่างจังหวัด แต่ไม่ได้บอกกำหนดกลับค่ะ”
“ไม่มีกำหนดกลับ”
“ค่ะ คุณครูมีธุระด่วนอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีค่ะ ปุ้มแค่มีเรื่องจะสอบถามนิดหน่อย แต่ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ปุ้มขอตัวกลับก่อนนะคะสวัสดีค่ะ”
หทัยรัตน์เดินช็อคออกไป ลึกๆ เป็นห่วงอนวัช

วิทย์พูดกับพิมพ์อย่างแปลกใจ เมื่อรู้ว่าอนวัชไปต่างจังหวัด
“นี่เจ้าหนึ่งมันคิดยังไงถึงได้ไปเชียงใหม่ไม่บอกไม่กล่าว อีกไม่นานก็จะเป็นวันแต่งงานของตัวเองแล้ว อยู่ๆ ก็หายตัวไปแบบนี้ นี่ดีนะ ที่ทางเดือนประดับกำลังวุ่นเรื่องงานแต่งงานของปุ๊ ไม่งั้นคงจะต้องตามหาตัวเจ้าหนึ่งกันยกใหญ่ แล้วหนึ่งบอกหรือเปล่าว่าจะกลับเมื่อไหร่”
“ไม่ได้บอกค่ะ”
“อ้าว แล้วนี่ถ้าทางเดือนประดับเขาตามหาตัว จะทำยังไงล่ะ”
“เอ่อ ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“เฮ่อ ไอ้เจ้าหนึ่งมันคิดอะไรของมันอยู่นะ”
วิทย์กลุ้มใจ

กลางคืน อนวัชมองดาวผ่านหน้าต่างอย่างเหงาๆ เดินไปเปิดเครื่องเสียง เพลงบรรเลง เพลงเดียวกับที่เคยเต้นรำกับหทัยรัตน์ดังออกมา เขาเทเหล้าใส่แก้ว หยิบมาดื่ม แล้วเคลิ้มไปกับเสียงเพลง
 
เต้นรำคนเดียว พลางนึกถึงตอนที่เคยเต้นรำกับหทัยรัตน์

ตอนเช้า พรรณีใส่ชุดสวย เดินเข้ามาหานวลซึ่งหน้าตาบูดบึ้ง
 
“แม่คะ”
“ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ วันนี้แกได้ทุกอย่างแล้วนี่ เดี๋ยวพ่อแม่ไอ้สัทธาก็เอาเถ้าแก่มาคุย แล้วแกก็จะย้ายไปอยู่กับมัน ก่อนหน้านี้จะทำอะไรไม่เคยเห็นหัวฉัน มีผัวแล้วก็คงจะยิ่งไม่เห็น”
พรรณีคุกเข่าลงนั่งตรงหน้าและกราบที่เท้านวล นวลปรายตามามองด้วยความโกรธ
“ณีกราบขอโทษที่ทำให้คุณแม่เป็นทุกข์ใจ แต่ณีอยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วณีกับพี่ปุ๊ เราสองคนยังไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งต่อกันค่ะ”
“แกพูดอะไรของแก”
“วันนั้น ณีโกหกเพราะอยากให้คุณแม่ยอมให้เราสองคนแต่งงานกันค่ะ”
นวลลุกพรวด
“นี่แกยอมเอาหน้า เอาชื่อเสียงของฉันไปแลกกับการได้แต่งงานกับไอ้สัทธาพี่ชายนังเด็กกำพร้าเนี่ยนะ”
“คุณแม่คะ เลิกเรียกพี่ปุ๊แบบนั้นสักที แม่มีอคติกับปุ้มจนไม่เคยมองเห็นเลยว่าพี่ปุ๊เป็นใคร และเป็นคนยังไง คุณแม่เกลียดปุ้มจนเปิดใจให้ความรักที่พี่ปุ๊มีต่อณีไม่ได้”
“แกรู้ได้ยังไงว่ามันรักแกจริง มันอาจจะหวังสมบัติฉันเหมือนนังเด็กนั่นก็ได้”
“คุณแม่คะ ครอบครัวของพี่ปุ๊เขาก็มีไม่ได้น้อยไปกว่าเราเลยนะคะ และที่มากกว่ากว่าสมบัติคือความรักที่พี่ปุ๊มีให้ณี”
พรรณีพูดถึงสัทธาด้วยความซึ้งใจ นวลฟังไปเรื่อยๆ และค่อยๆ เปิดใจ
“ตลอดเวลาที่เราคบกัน พี่ปุ๊ไม่เคยย่อท้อ ถึงแม้เราจะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนคนรักคนอื่น ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณแม่ไม่ยินดีให้รักกัน แต่พี่ปุ๊ไม่เคยยอมแพ้ และไม่เคยรังเกียจยัง ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นจะหนีไปตั้งแต่ไก่โห่ แต่พี่ปุ๊ก็ยังอยู่ อยู่เพื่อพิสูจน์ให้คุณแม่เห็นว่าเขารักณีมากแค่ไหน”
พรรณีน้ำตาซึม นวลเริ่มจะใจอ่อน
“แค่ความรักอันมากมายที่เขามีให้กับลูกสาวของแม่ แค่นี้ มันยังไม่พอสำหรับแม่อีกเหรอคะ ณีอยากให้แม่เปิดใจ มองผ่านความเกลียดชังที่บังตาแล้วแม่จะเห็นเห็นความจริง และเห็นความรักของพี่ปุ๊ ลองเปิดใจสักครั้งนะคะแม่”
พรรณีอ้อนวอนอย่างอ่อนโยน นวลเริ่มจะลดทิฐิลง แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็น้อยกว่าเดิมมาก

สุทธิ์ ทิพย์ สัทธา สุดา นวลกับพรรณี นั่งพร้อมหน้า นวลยังทำหน้าไม่ค่อยถูก แต่ก็ไม่เชิดร้ายเหมือนก่อน เถ้าแก่เริ่มพูดสู่ขอ
“วันนี้ฉันก็เป็นตัวแทนของพ่อแม่ของฝ่ายชายมาพูดสู่ขอฝ่ายหญิง ไม่ทราบว่าทางคุณนายนวลจะเรียกสินสอดทองหมั้นเท่าไหร่คะ”
“โอ๊ย จะเท่าไหร่ก็ว่ามาเถอะ ฉันไม่อยากจะเรียก”
“แม่คะ”
สุทธิ์ ทิพย์ สะอึกไป
“ถ้าคุณนายไม่เรียก งั้นเราก็จะจัดสินสอดมาให้เหมาะสมกับฐานะของครอบครัว”
นวลไม่สนใจ
“ก็จะมีแหวนหมั้นเป็นแหวนมรดกตกทอดของครอบครัวขนาดก็ไม่ใหญ่มากแค่ 3 กะรัต”
นวลเริ่มสะดุดแต่ยังไม่ตื่นเต้นมากนัก สุทธิ์พูดต่อ
“แล้วก็มีทองหนัก 10 บาท ชุดทับทิมล้อมเพชร 1 ชุด”
นวลเริ่มตาโต
“โฉนดที่ดินที่เจริญกรุง และที่บางรัก”
นวลตาโตหนักขึ้นกว่าเดิม และเริ่มยิ้ม
“บ้านพักตากอากาศที่หัวหิน”
นวลฉีกยิ้มมากขึ้น
“แล้วสุดท้ายก็ เงินสดสองแสนบาท”
นวลอึ้งตะลึงไป
“สองแสนบาท”
“แม่คะ ใจเย็นๆ ค่ะ”
นวลสะดุ้ง รู้สึกตัวว่าแสดงอาการมากไป รีบยิ้มกว้างและท่าทีก็อ่อนลง ทิพย์รีบออกตัว
“อาจจะน้อยไปหน่อยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณนายนวลจะรังเกียจหรือเปล่าคะ”
“อุ้ย ไม่รังเกียจหรอกค่ะ แหม ที่จริงดิฉันก็ไม่ได้จะเรียกร้องอะไรมากขนาดนี้ เพราะจริงๆ แล้วเราก็คนกันเองทั้งนั้นนะคะ แม่ณีก็เป็นเพื่อนกับหนูสุดา แล้วก็ เอ่อ หนูหทัยรัตน์ ส่วนพ่อปุ๊ก็รู้จักกับพรรณีมาตั้งนานแล้ว เห็นมั้ยเราก็คนกันเองทั้งนั้น”
นวลยิ้มหวาน พรรณีก้มหน้าอาย
“เอ้อ แล้วคุณสุทธิ์กับคุณทิพย์คิดว่างานแต่งงานจะจัดเมื่อไหร่ดีคะ ดิฉันว่าเร็วๆ หน่อยก็ดีนะคะ เพราะดิฉันก็ใจร้อนอยากให้ยัยณีเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วๆ น่ะค่ะ”
นวลยิ้มหน้าบาน หันมาทางสัทธา
“หรือปุ๊ว่ายังไงลูก เห็นด้วยกับแม่หรือเปล่า”
“เอ้อ เอ่อ เห็นด้วยครับคุณแม่”
สัทธารับมุก

หทัยรัตน์นั่งปักผ้าอยู่ที่ห้องนั่งเล่น สัทธากับสุดาเดินมาหา มองหน้าคาดคั้น
“ปุ้ม ไอ้หนึ่งมันไปเชียงใหม่ทำไม”
“ทำไมปุ้มถึงไม่บอกพี่กับพี่ปุ๊”
“คือ ก็ พี่ปุ๊กับพี่แป้นไม่ถามปุ้มนี่คะ”
“งั้นตอนนี้พี่ถามหน่อย ปุ้มรู้มั้ยทำไมอยู่ๆ พี่หนึ่งถึงได้ไปเชียงใหม่โดยไม่บอกใคร”
“เอ่อ ปุ้มไม่รู้ค่ะ”
“ไม่รู้หรือว่าไม่บอก”
หทัยรัตน์อึดอัดลุกขึ้น แล้วตัดบท
“ปุ้มขอตัวไปเตรียมสอนคุณหญิงก่อนนะคะ”
“ลุกหนีไปเฉยๆ แบบนี้เลย ยัยปุ้มปิดปากเงียบแบบนี้ เราจะไปถามเรื่องพี่หนึ่งจากใครดีคะพี่ปุ๊”
สัทธาคิด แล้วไปหาพิมพ์ที่เพชรลดา พิมพ์ตอบอย่างกังวล
“คุณหนึ่งอยู่ต่างจังหวัดค่ะ ไม่มีกำหนดกลับ ตอนนี้ลาราชการไปยาวเลยค่ะ”
“ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ไปหลายวันแล้วค่ะ คุณปุ๊ไม่ทราบเหรอคะ แต่วันก่อนคุณครูเพิ่งมาถามพิมพ์ไปเองนะคะ พิมพ์ก็บอกคุณครูเหมือนกับที่บอกคุณปุ๊นี่แหลค่ะ คุณครูไม่ได้บอกคุณปุ๊เหรอคะ”
“ไม่ได้บอก แล้วทำไมถึงไม่บอก ยัยปุ้มนี่ทำตัวแปลกๆ คุณปุ๊ว่า ระหว่างสองคนนี้ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ”
พิมพ์เห็นด้วย สัทธาคิด อยากรู้

หทัยรัตน์เดินเข้ามาในห้องนอน เศร้า ครุ่นคิด สับสน
 
ในขณะที่อนวัชอยู่ที่เชียงใหม่ ก็เศร้า เหงาไม่ต่างกัน ทั้งสองคนต่างจมอยู่กับความเข้าใจผิด เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่รัก

จบตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น