หนึ่งในทรวง ตอนที่ 6
พิมพ์เดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ พอได้ยินเสียงแม่โอดังมาจากห้องข้างๆ ก็ตกใจ ตามไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย”
พิมพ์รีบเดินเข้าไปทันที เวลาเดียวกันนั้นหทัยรัตน์ดึงตัวออกจากอนวัช พยายามยันตัวขึ้นจากพื้น แต่เสียหลักล้มลง เศษไม้ทิ่มมือเป็นแผลเลือดไหล
“โอ๊ย”
แม่โอเห็นเลือด ตกใจ
“ว้าย เลือด คุณปุ้มเลือดไหลค่ะ”
อนวัชตกใจ เป็นห่วง พิมพ์เดินพรวดเข้ามาพอดี เห็นสภาพห้องและเห็นหทัยรัตน์เลือดไหลก็ตกใจ
“ว้าย นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย”
อนวัชรีบดึงมือมาดู
“ขอฉันดูสิ”
“อย่ามาจับตัวฉัน”
หทัยรัตน์สะบัดมือออก อนวัชชะงัก แววตาหทัยรัตน์แข็งกระด้างใส่ แม่โอ กับพิมพ์รีบพุ่งเข้ามาหาหทัยรัตน์
“คุณครูเจ็บมากมั้ยคะ ขอแม่โอดูแผลหน่อยค่ะ”
หทัยรัตน์ยอมให้ดู อนวัชเชิดใส่หน้า
“คุณหนึ่งคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย”
“เด็กดื้อ พูดดีๆ ไม่ยอมทำตาม หาเรื่องเจ็บตัว ดูสิ ข้าวของก็เสียหาย เพราะความดื้อของเธอแท้ๆ”
อนวัชปรายตามอง โยนความผิดทั้งหมดให้ หทัยรัตน์กัดริมฝีปากแน่น อยากจะสวนแต่เกรงใจผู้ใหญ่สองคน พิมพ์เข้าใจหทัยรัตน์ หันมาเอ็ดอนวัช
“พอเถอะค่ะคุณหนึ่ง อย่าเพิ่งมาดุตอนนี้เลยนะคะ ดูสิเลือดคุณปุ้มไหลใหญ่แล้ว”
อนวัชชะงัก ลึกๆ ก็เป็นห่วง แต่ปากหนัก กลับพูดไม่ตรงกับใจ
“ฉันไม่ดูหรอก ใครอยากจะดูก็ดู เพราะตอนฉันขอดูเขาเองที่เล่นตัว ตอนนี้มีคนมาโอ๋สองคน ยิ่งทำยะโสใส่ฉัน ดูแลกันเองก็แล้วกัน”
อนวัชเดินออกไป ทำเป็นไม่แยแส ไม่ใยดี หทัยรัตน์ส่ายหน้าเซ็ง อนวัชเดินออกมาจากเรือนสีฟ้า หงุดหงิด แต่พอเดินพ้นออกมา แววตาก็อ่อนลง ในใจแอบเป็นห่วงหทัยรัตน์ พิมพ์รีบหันมาพูดกับแม่โอ
“แม่โอฉันทำแผลให้เอง คุณหญิงอยู่ที่ตึกใหญ่คนเดียว ไปพามาที่นี่ดีกว่า ป่านนี้คงเป็นห่วงคุณครูใหญ่แล้ว”
“ค่ะๆ”
“ไปทำแผลห้องโน้นดีกว่าค่ะ”
หทัยรัตน์รับคำ
แม่โอเข็นรถกรกนกเข้ามา พอเห็นหน้าหทัยรัตน์ กรกนกก็รีบเรียกขึ้น
“คุณครู คุณครูเป็นยังไงบ้างคะ แล้วมือคุณครูเป็นอะไรคะ”
“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ”
“คุณครูเจ็บมากมั้ยคะ”
“ไม่เลยค่ะ เป็นแผลแค่นิดเดียว คุณหญิงไม่ต้องห่วงนะคะ”
“คุณครูคะ คุณป้าคนนั้นเป็นใคร ดูใจร้ายจัง ตอนทำตาโตๆ ส่งเสียงดังๆ ดูเหมือนยักษ์เลยค่ะ เขามาตามหาคุณครูทำไมเหรอคะ”
“คือ มีเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะค่ะ คุณครูต้องขอโทษด้วยนะคะ คราวหน้าจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ คุณครูไม่ได้ทำผิดนี่คะ คุณครูคะ วันนี้หญิงไม่เรียนแล้วนะคะ แบบฝึกหัดที่ทำค้างไว้ หญิงขอทำส่งพรุ่งนี้ คุณครูกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
“แต่”
“พี่หนึ่งให้ลุงจวกเตรียมรถไว้แล้ว พี่หนึ่งฝากบอกว่า ถ้าคุณครูจะกลับเมื่อไหร่ บอกลุงจวกได้เลย ลุงจวกจะขับรถไปส่งที่เดือนประดับค่ะ”
“ขับรถไปส่ง”
พิมพ์กับแม่โอยิ้มๆ
“คุณหนึ่งนี่ทำเป็นพูดว่าไม่อยากดูแล ไม่สนใจ ที่ไหนได้ แอบไปเตรียมรถไว้ให้นี่เอง”
“แต่ปุ้มกลับเองดีกว่าค่ะ”
“คงไม่ได้แล้วล่ะค่ะ แม่โอได้ยินคุณหนึ่งกำชับตาจวกว่า ถ้าปล่อยให้คุณครูกลับเอง จะต้องได้รับโทษค่ะ”
หทัยรัตน์ชะงัก
“ให้ไอ้จวกไปส่งนั่นแหละค่ะดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณหนึ่งเธอทำโทษแน่”
หทัยรัตน์จำใจพยักหน้ายอมรับด้วยความขัดเคือง และเหนื่อย ระอาใจ พิมพ์แอบมากระซิบถาม
“คุณครูคะ ตกลงผู้หญิงที่คุณหญิงบอกว่าเหมือนยักษ์ เขาเป็นแม่ของเพื่อนคุณครูจริงๆ เหรอคะ คนแบบนั้น เป็นแม่คนได้ด้วยเหรอคะ”
หทัยรัตน์พูดไม่ออก
นวลโวยวายใส่พินิจกับพรรณีที่นั่งนิ่งไม่ยอมพูด
“ตกลงว่านังปุ้มเป็นครูของคุณหญิงกรกนกหรือเปล่า เราสองคนรู้เห็นกันใช่มั้ย ไม่ตอบก็แปลว่ายอมรับ”
“ไม่ใช่นะคะ ณี ไม่รู้เรื่องปุ้มจริงๆ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ เราสองคนก็เพิ่งได้ยินเรื่องที่ปุ้มไปเป็นครูคุณหญิงวันนี้เหมือนกัน”
นวลหลิ่วตาไม่เชื่อ พรรณีกับพินิจก้มหน้างุด
“แม่เลี้ยงพวกแกมาตั้งแต่เล็กจนโต คิดว่าฉันจะไม่รู้เหรอว่าพูดความจริงหรือโกหก แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อจับไม่ได้คาหนังคาเขา ก็ไม่อยากจะหาความ แต่นับจากนี้ไป ถ้าแม่รู้ว่าเราสองคนแอบไปคบหาสมาคมกับนังเด็กกำพร้านั่น ไม่ว่ามันทำงานอยู่ที่ไหน แม่จะตามไปอาละวาดให้เปิดเปิง และถ้ามันทำงานอยู่ในบ้านคุณหนึ่งจริง แม่จะทำให้คุณหนึ่งไล่มันออกให้ได้ ไม่เชื่อก็คอยดู”
พินิจเครียด
อนวัชยืนอยู่ที่ระเบียง คิดถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวันแล้วเป็นห่วงหทัยรัตน์ พิมพ์เดินนำเด็กรับใช้เข้ามาเงียบๆ จวกเดินเข้ามาพอดี อนวัชหันไปเห็นก็รีบถาม
“จวก”
“ครับ”
“ไปส่ง คุณครูของคุณหญิงถึงบ้านหรือเปล่า เรียบร้อยดีมั้ย”
พิมพ์แอบอมยิ้ม รู้ว่าอนวัชเป็นห่วง
“เรียบร้อยดีครับ ผมส่งคุณครูถึงหน้าบ้านเดือนประดับเลยครับ”
“แล้ว มือที่เป็นแผล เขาบ่นอะไรหรือเปล่า”
“คุณครูไม่ได้บ่นนะครับ ไม่ได้พูดอะไรเลยครับ”
“ไม่พูดอะไรเลย ไม่ฝากขอบคุณฉันด้วยเหรอ”
พิมพ์ถึงกับจะหัวเราะออกมา ต้องรีบกลั้นไว้ แต่เสียงก็เล็ดลอดออกมา อนวัชหันไปเห็นพิมพ์ยืนอยู่ก็เขินๆ
“นมพิมพ์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ส่งเสียงบอกคุณหนึ่งเลย”
พิมพ์พยักหน้าให้จวกกับเด็กรับใช้เดินออกไป
“ถ้าพิมพ์ส่งเสียง ก็คงไม่รู้ว่าหนึ่งเป็นห่วงคุณปุ้มมากแค่ไหน”
“ไม่จริง คุณหนึ่งไม่ได้ห่วงเด็กนั่นสักหน่อย”
“ไม่ห่วง แล้วจะซักละเอียดแบบเมื่อกี๊ทำไมคะ”
“ก็ คุณชายฝากให้ดูแล คุณหนึ่งก็แค่ทำตามหน้าที่”
พิมพ์ยิ้ม รู้ทัน
“ค่า ทำตามหน้าที่ แต่พิมพ์คิดว่า ถ้าคุณหนึ่งอยากรู้อาการคุณครู น่าจะโทรศัพท์ไปถามเจ้าตัวเองดีกว่านะคะ”
อนวัชชะงัก ใจก็อยากโทรไปเหมือนกัน
“ไม่ คุณหนึ่งไม่อยากคุยกับเด็กดื้อ”
อนวัชเสียงแข็ง แต่ก็โทรศัพท์ไปที่เดือนประดับ
“บ้านเดือนประดับใช่มั้ย ผมอนวัชนะ”
สุดาคุยโทรศัพท์ เสียงสดใส
“สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง โทรศัพท์มาดึกเชียว มีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ หะ อะไรนะคะ ปุ้มประสบอุบัติเหตุที่บ้านพี่หนึ่งเหรอคะ แป้นไม่รู้เลยค่ะ ปุ้มไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะ แล้วพี่หนึ่งจะคุยกับปุ้มหรือเปล่าคะ เดี๋ยวแป้นไปตามตัวมาให้”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้อง พี่ไม่ได้อยากคุยกับเขา ที่โทรศัพท์มาก็แค่ คือ คุณหญิงฝากถามว่าพรุ่งนี้จะมาสอนได้หรือเปล่า ก็เท่านั้น”
สุดายิ้มๆ เหมือนรู้ทัน
“ได้ค่ะ เดี๋ยวแป้นถามให้ ว่าแต่ วันนี้มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นเหรอคะ”
อนวัชอึกอัก
สุดาเข้ามาหาหทัยรัตน์ที่ห้องถามเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แล้วตกใจ
“พี่หนึ่งขังปุ้มไว้ในตู้”
“ใช่ค่ะ ปุ้มให้เปิดก็ไม่ยอมเปิด ปุ้มเลยกระแทกจนประตูหักแล้วปุ้มก็ตกลงมา ตอนปุ้มจะลุกขึ้น มือไปเท้าโดนแง่งไม้ที่หัก ก็เลยเป็นแผลนี่แหละค่ะ”
“อ๋อ พี่หนึ่งเป็นคนแกล้งนี่เอง ถึงได้โทรศัพท์มาถามน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย”
หทัยรัตน์ไม่เชื่อว่าห่วง
“เออ ว่าแต่ ปุ้มไปอยู่ในตู้ได้ยังไง ทำไมไปอยู่ในนั้น”
“พรรณีเป็นคนบอกให้ปุ้มเข้าไปค่ะ”
“พรรณีเนี่ยนะ เดี๋ยวๆ พี่ชักจะงงใหญ่แล้ว พรรณีมาเกี่ยวอะไรด้วย๐
“เอาอย่างนี้นะคะ ปุ้มจะเล่าแบบรวบๆ”
หทัยรัตน์เล่าเรื่องทั้งหมดให้สุดาฟัง
“เฮ่อ เรื่องแบบย่อๆ มันก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ”
“พี่เอือมกับคนพวกนี้จริงๆ ทั้งอาสีสุก พี่ส่อง แล้วก็คุณนายนวล เออ แล้วณีบอกหรือเปล่าว่าเขากับแม่ไปที่บ้านพี่หนึ่งทำไม”
“ไม่ได้บอก ปุ้มก็มัวแต่ชุลมุนไม่ได้ถาม แต่ณีดูผอมมาก หน้าตาไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน ณีดูไม่มีความสุขเลยค่ะ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็มีข้อดีนะคะ อย่างน้อยปุ้มก็รู้ว่าณีไม่ได้เปลี่ยนไปตามคุณนายนวล ถึงแม้รูปร่างณีจะเปลี่ยนไป แต่ความเป็นเพื่อนของเรายังเหมือนเดิม”
“ดีใจด้วยจ้ะ คิดๆ แล้วก็อยากบอกความจริงกับพี่ปุ๊ อยากให้พี่ปุ๊รู้ว่าคุณนายนวลร้ายกาจมากแค่ไหน”
“อย่าเลยค่ะ เรื่องแบบนี้ต้องให้รู้เองจะดีกว่า ดีไม่ดี พี่ปุ๊จะหาว่าเราเอาผู้ใหญ่มานินทา”
“ก็จริง แล้วเมื่อไหร่พี่ปุ๊จะได้รู้ความจริงซะที”
สองสาวกลุ้มใจ แต่ทำอะไรไม่ได้
ประสาทพรเขียนจดหมายหาสุดา กล่าวถึงเรื่องน้ำท่วมปากที่เธอเคยถาม
“ถึงคุณสุดา อาการน้ำท่วมปากที่คุณถามผมในจดหมายฉบับก่อน ผมขอตอบว่า เข้าใจ และ เป็นบ่อยมากครับ ในฐานะที่ผมเป็นคนกลางระหว่างน้องหญิงกับท่านพ่อ หลายครั้งที่เราต้องปิดบังความจริงบางส่วนไม่บอกให้น้องหญิงทราบ ผมพยายามไม่โกหก แต่บอกบางส่วนที่บอกได้ คุณสุดาไม่ต้องอึดอัดใจครับ ไม่ใช่คุณคนเดียวที่อยู่ในสภาพแบบนี้”
สุดาอ่านจดหมายยิ้มๆ
“เพราะเรารู้ว่าบางเรื่อง ถ้าเขาไม่รู้ เขาจะมีความสุขมากกว่า ขอบคุณที่ไว้ใจเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ผมเป็นกำลังใจให้คุณเสมอ ไม่ต้องขอโทษเพราะผมยินดีที่จะรับฟัง กลับไปประเทศไทยครั้งนี้ ผมอาจจะมีเรื่องบ่นยาวกว่าที่คุณเขียนมาหลายเท่าตัว ครั้งนี้ผมอาจจะต้องเป็นฝ่ายขอโทษที่บ่นมาเสียยาว ด้วยความปรารถนาดี ประสาทพร จรูญลักษณ์”
สุดาอ่านไปยิ้มไป เอาจดหมายมาแนบอก ความสุข ความอบอุ่นใจ เติบโตอย่างช้าๆ และสวยงามโดยที่เธอไม่รู้ตัว
หลายวันต่อมา หทัยรัตน์ถอดผ้าพันแผลออกแล้ว เธอไปเจอกับผ่องฉวีกับประสงค์ที่ร้านอาหาร รับการ์ดแต่งงานจากทั้งสองมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ผ่องฉวีกับประสงค์ยิ้มอายๆ
“ใช่จ้ะ ปุ้มเป็นคนแรกในรุ่นที่ได้การ์ดเลยนะ”
“ดีใจด้วยนะผ่อง ยินดีด้วยนะคะคุณหมอ”
“ขอบคุณมากครับ”
“ผ่องมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่เกรงใจอยู่แล้ว ฉันต้องให้เธอมาช่วยแน่ๆ รวมไปถึงเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยด้วย มีศจี แล้วก็อุราด้วย”
“ได้เลยจ้ะ ฉันกับเพื่อนๆ จะคอยดูแลหน้างานให้เองนะ ตื่นเต้นจังเลย เพื่อนๆ ต้องดีใจมากแน่ๆ”
ผ่องฉวีกับประสงค์ตื่นเต้นพอกัน
อนวัชหนึ่งรับการ์ดแต่งงานจากวิทย์
“การ์ดแต่งงาน”
“คุณหมอเอามาให้พ่อเมื่อกลางวัน แล้วก็ฝากให้หนึ่งด้วย”
“คุณหมอแต่งกับใครครับ”
“เห็นว่าเป็นลูกสาวของหมอใหญ่ที่โรงพยาบาลเดียวกับประสงค์นั่นแหละ คบหาดูใจกันมาก็นานแล้วนะ”
“คุณหมอมีคนรักอยู่แล้ว ผมไม่เคยรู้เลย ผมคิดว่าสาวๆ หลายคนคงไม่รู้เหมือนกัน น่าเสียใจแทนจริงๆ”
อนวัชคิดถึงหทัยรัตน์ด้วยความสะใจ
หทัยรัตน์มาที่สนามขี่ม้า ขี่ม้าอย่างคล่องแคล่วสง่างาม ผ่านเครื่องกีดขวางทุกด่านอย่างสวยงาม เสียงปรบมือดังขึ้น เธอยิ้มอย่างมีมารยาทและหันมาที่ต้นเสียง แต่พอหันมาก็ต้องชะงัก เห็นอนวัชยืนยิ้มกวน เตรียมหาเรื่อง เธอหุบยิ้มทันที
“ทำไมเห็นหน้าฉันแล้วต้องหุบยิ้ม”
“เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนี่คะ”
“ใช่สิ การเจอคนที่รู้ทันเธอไปทุกเรื่อง คงไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีสักเท่าไหร่ อ้าปากทีก็เห็นไปถึงลิ้นไก่ จะหลอกอะไรก็ไม่สำเร็จ”
หทัยรัตน์ส่ายหน้า ไม่ตอบโต้ แล้วลงจากหลังม้าจะเดินหนีไป อนวัชเห็นหญิงสาวไม่สนใจยิ่งไม่พอใจรีบเดินตามไป หทัยรัตน์จูงม้ามาเก็บที่คอก อนวัชเดินตามมา พูดลอยๆ
“เห็นปุ๊บอกว่าช่วงนี้เธอมาขี่ม้าบ่อยๆ หวังจะมาหาเหยื่อรายใหม่มาแทนที่หมอประสงค์ล่ะสิ”
“ทำไมฉันต้องหาคนมาแทนคุณหมอด้วย”
“ก็หมอประสงค์เขากำลังจะแต่งงาน อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้”
หทัยรัตน์แอบยิ้มเยาะนิดๆ แล้วก็ปั้นหน้านิ่งๆ ทำเป็นไม่พูด
“พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมา ถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก ดูเธอคงจะเสียใจอยู่ไม่น้อย”
“ไม่เห็นมีอะไรน่าเสียใจ มีแต่เรื่องน่าดีใจมากกว่า”
“ไม่ต้องเล่นละครตบตา ฉันรู้ ในใจเธอตอนนี้คงจะเสียใจที่หมดตัวเลือกไป 1 คน”
“ในใจดิฉันคิดอะไร ดิฉันรู้ดี และถ้าจะพูดกันตามความจริง เรื่องในใจดิฉันก็ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ใช่เหรอคะ”
“ฉันไม่ใช่คนอื่น เพราะฉันเป็นญาติของคุณชายประสาทพรและเป็นเพื่อนของพินิจ และยิ่งตอนนี้หมอประสงค์หลุดออกไปจากบัญชีรายชื่อของเธอแล้ว คนที่เธอจะเลือกก็คงไม่พ้นสองคนนี้ ฉันเป็นห่วงพวกเขาที่ต้องมาเจอผู้หญิงที่คบผู้ชายไว้เผื่อเลือกอย่างเธอ”
“ถ้าคุณเป็นห่วงก็อย่าให้พวกเขามายุ่งกับดิฉันสิคะ ถ้าคุณห้ามไม่ได้ ดิฉันก็จนปัญญา”
อนวัชสะอึกไป ขณะนั้นมีสองสาวเดินมาจากคนละทิศ พอเห็นอนวัชก็ยิ้ม เดินพุ่งมาหา หทัยรัตน์ปรายตาไปเห็นพอดี อมยิ้ม
“ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องคุณหมอประสงค์ แต่คุณไม่ต้องห่วง ฉันดูแลตัวเองได้ คุณดูแลตัวเองให้ดีเถอะค่ะ ครั้งที่แล้วบอกให้ดิฉันระวังรถไฟจะชนกัน แต่คุณเองต่างหากที่กำลังจะสับรางไม่ทัน”
หทัยรัตน์เดินออกไป อนวัชงง ทันใดนั้นเสียงสองสาวก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน
“พี่หนึ่งคะ”
อนวัชหันมาตามเสียง เห็นสองสาวยืนอยู่ สองสาวหันมามองหน้ากัน ไม่มีใครยอมใคร แล้วทั้งสองคนก็รีบพุ่งมาหาอนวัช
“ฉันเห็นพี่หนึ่งก่อนนะ”
“ฉันเห็นก่อนต่างหากล่ะ”
“นี่มารตีอย่ามาขวางทางฉันสิ”
“ฉันไม่ได้ขวางหล่อนเดินไม่ทันฉันเอง”
สองสาวแย่งกัน อนวัชหันมาทางหทัยรัตน์ หทัยรัตน์เดินออกไปแล้ว อนวัชเซ็ง ใจไม่ได้อยู่กับสองสาวที่พุ่งมาหาแม้แต่น้อย
สีสุกอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยความตกใจ
“คุณหมอประสงค์แต่งงาน เป็นไปได้ยังไง แล้วนังปุ้มล่ะ เขาเอานังปุ้มไปไว้ไหน”
“ก็เขี่ยตกกระป๋องสิคะ สะใจจริงๆ ที่เขาไม่เลือกมัน มันจะได้รู้ตัวผู้ชายไม่ได้สนใจมันทุกคน”
“แบบนี้เราก็ไม่มีคนที่จะใช้เป็นเครื่องมือทำให้ให้คุณหนึ่งเกลียดนังปุ้มแล้วสิลูก”
“โอ๊ย เหลืออีกตั้งเยอะแยะ อย่างน้อยๆ ก็ลูกชายคุณนายนวลไงคะ นายพินิจน่ะ ดูท่าทางพี่หนึ่งจะห่วงคนนี้มากกว่าหมอประสงค์ วันนั้นดูท่าทางยัยคุณนายก็เกลียดนังปุ้มยังกะอะไรดี”
“พูดถึงนังคุณนายนวล แม่ยังเคืองไม่หาย มันร้ายสมคำร่ำลือจริงๆ แถมยังจะจับคู่ลูกสาวกับคุณหนึ่งอีก ลูกตัวเองตัวก็ซีด หน้าก็อมทุกข์ คุณหนึ่งไม่มีทางสนใจ สู้ลูกสาวแม่ก็ไม่ได้”
“สวยสู้ไม่ได้ แต่ใช่ว่าพี่หนึ่งจะสนใจส่อง ถ้าไม่ไปหาก็ไม่มีแก่ใจจะมา”
“คุณหนึ่งงานยุ่งหรือเปล่า หรือมัวแต่ไปสนใจนังปุ้ม”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ คอยดูนะ ส่องไม่มีวันยอมแพ้นังเด็กนั่น ส่องจะต้องหาทางกำจัดมันออกไปจากชีวิตพี่หนึ่งให้ได้”
ส่องแสงทั้งคิดทั้งแค้น
พินิจพูดโพล่งออกมาด้วยความตกใจ เมื่อได้ฟังนวลบอก
“ดูตัว”
“ใช่ ถึงเวลาที่เราจะต้องแต่งงานได้แล้ว เพื่อตัดปัญหาเรื่องเด็กกำพร้านั่น จำลูกสาวคุณนายลำเจียกที่แม่เคยเล่าให้ฟังได้มั้ย หนูจำปี กับหนูจำปาน่ะ แม่นัดเขาไว้แล้วนะ เราว่างวันไหน เขาจะรีบมาทันที”
“แต่ผมไม่อยากแต่งงานกับคนที่ผมไม่รู้จัก”
“ไม่รู้จักก็ทำความรู้จักเสียสิ ไม่เห็นยาก”
“แต่”
“ไม่ต้องมาแต่ แม่จะนัดให้เขามาที่นี่ ถ้าเราแอบหนีไม่อยู่เจอ แม่จะบุกไปบ้านคุณอนวัช ลากตัวนังเด็กกำพร้านั่นมาประจานต่อหน้าทุกคน เอาให้มันอายจนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แม่ให้คนไปสืบมาแล้ว นังเด็กปุ้มมันเป็นครูของคุณหญิงจริงๆ”
พินิจอึ้ง
“ถ้าไม่อยากเห็นมันเดือดร้อน ต้องทำตามที่แม่สั่งเท่านั้น”
“ครับ”
นวลยิ้มพอใจ พินิจเครียด เศร้า
หทัยรัตน์เข้ามาหาสุดาในห้อง อ้อนวอนขอร้อง สุดาถามด้วยความแปลกใจ
“จะให้พี่ไปสอนคุณหญิง”
“ค่ะ ปุ้มต้องไปช่วยผ่องจัดงานแต่งงาน งานเร่งรีบ และต้องเตรียมเองทุกอย่าง ปุ้มรับปากผ่องไปว่าจะช่วยก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ก็เลยจะขอให้พี่แป้นไปสอนหนังสือคุณหญิงแทนปุ้มเป็นการชั่วคราว นะคะ”
“แล้วคุณหญิงจะยอมให้พี่สอนเหรอ”
“ยอมค่ะ คุณหญิงดีใจ และ ยินดีค่ะ”
“ถ้าคุณหญิงยินดี พี่ก็ไม่มีปัญหา”
“ขอบคุณค่ะ รักพี่แป้นที่สุดเลย”
“จ้ะ แหม พออ้อนพี่ได้สำเร็จ ก็รักพี่แป้นที่สุดเลย”
หทัยรัตน์ขำที่สุดารู้ทัน สุดายิ้มตามด้วยความเอ็นดู หทัยรัตน์นึกได้
“อ้อ ถ้ามีคนมาถามเรื่องสอนแทน พี่แป้นไม่ต้องบอกว่าปุ้มไปช่วยงานแต่งนะคะ บอกแค่ว่าติดธุระแต่ไม่รู้ว่าธุระอะไร”
“ไม่รู้เนี่ยนะ พูดแบบนี้แล้วใครจะเชื่อ”
สุดามาสอนหนังสือกรกนกและบอกอย่างที่หทัยรัตน์บอก
“หญิงเชื่อค่ะ หญิงเข้าใจว่าคุณครูคงจะมีธุระสำคัญ ธุระส่วนตัวที่บอกคนอื่นไม่ได้ หญิงไม่อยากเซ้าซี้ เพราะหญิงเชื่อใจคุณครูค่ะ”
“คุณหญิงเป็นเด็กที่น่ารักมากๆ มีความคิดอ่านเกินวัย เหมือนผู้ใหญ่เลยค่ะ”
กรกนกขำๆ สุดางง
“คุณหญิงหัวเราะอะไรเหรอคะ หรือว่าแป้นพูดอะไรผิด”
“พูดไม่ผิดค่ะ แต่พูดเหมือนพี่ชายเลยค่ะ”
สุดาชะงัก แปลกใจ ตื่นเต้นที่ได้ยินเรื่องของประสาทพร
“เหมือนยังไงเหรอคะ”
“พี่ชายชอบพูดว่า น้องหญิง มีความคิดเกินเด็ก ชอบคิดเหมือนผู้ใหญ่แต่พี่ชายอยากให้น้องหญิงคิดแบบเด็กๆ มากกว่า เพราะคิดแบบผู้ใหญ่มากๆ ปวดหัวนะครับ”
กรกนกคิดถึงประสาทพรแล้วก็ยิ้ม
“พี่ชายชอบพูดแบบนี้ พอพี่แป้นพูด หญิงก็เลยคิดถึงพี่ชายน่ะค่ะ”
“แหม บังเอิญจังเลยนะคะ”
“ที่จริงพี่แป้นกับพี่ชายก็มีส่วนคล้ายกันอยู่หลายอย่างนะคะ หญิงสังเกตจากตอนที่ไปหัวหินด้วยกัน พี่แป้นไม่ชอบรับประทานมันกุ้ง พี่ชายก็ไม่ชอบ”
“จริงเหรอคะ”
แม่โอช่วยเสริม
“จริงค่ะ คุณชายไม่รับประทานหัวกุ้ง จะหักหัวกุ้งใส่ชามไว้ให้แม่โอกินค่ะ”
“ส่วนพี่แป้นก็ให้พี่ปุ๊รับประทาน หญิงเห็นแล้วก็คิดถึงพี่ชายใหญ่เหมือนกันค่ะ”
สุดายิ้มรับอายๆ ใจเต้นโครมครามแปลกๆ แล้วก็พาลคิดไปถึงประสาทพร
“นอกจากเรื่องคำพูด และหัวกุ้ง มีอะไรที่พี่แป้นกับคุณชาย เหมือนกันอีกหรือเปล่าคะ”
“มีค่ะ ทั้งพี่ชาย และ พี่แป้น รักคุณครู เหมือนกันไงคะ”
สุดาชะงักนิดๆ ใจหายวาบ เจ็บแปลบๆ แต่ก็ยังฝืนยิ้ม
“จริงสินะ ลืมข้อนี้ไปได้ยังไงนะ”
สุดาฝืนยิ้ม
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 6 (ต่อ)
อนวัชเล่นเทนนิสอยู่ นวลจู่โจมเข้ามาหา
“คุณอนวัชสวัสดีค่ะ”
อนวัชหันไป เห็นนวลเดินมากับพรรณี พรรณีใส่ชุดเทนนิส เก้อเขิน
“สวัสดีครับคุณน้า”
“สวัสดีค่ะ แหม บังเอิญจริงๆ มาเจอกันได้ นี่ วันก่อนโน้น ยังไม่ได้แนะนำอย่างเป็นทางการ วันนี้ขอแนะนำอีกทีนะคะ นี่ พรรณีน้องสาวของตานิจจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
พรรณีก้มหน้า อึดอัด
“สวัสดีครับ”
“วันนี้คุณหนึ่งมาคนเดียวเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมมากับลูกพี่ลูกน้องน่ะครับ”
พรรณีหันไปเห็นสัทธาพอดี
“อ๋อ ผู้หญิงหรือผู้ชาย ชื่ออะไรคะ น้ารู้จักหรือเปล่า”
“เป็นผู้ชายครับ คุณน้าอาจจะรู้จัก ชื่อ”
พรรณีเห็นสัทธากำลังเดินมา เธอตกใจรีบโพล่งขึ้น
“คุณแม่คะ”
อนวัชชะงักหยุดพูด นวลตกใจหันขวับมา
“อะไรลูกณี เรียกซะตกอกตกใจ คุณหนึ่งยังพูดไม่จบเลย ตกลงชื่ออะไรคะ”
“คุณแม่คะ คุณแม่บอกว่าจะรีบกลับไม่ใช่เหรอคะ ณีไปส่งคุณแม่ที่รถดีกว่านะคะ คุณหนึ่งคะ เดี๋ยวณีขอมาตีเทนนิสกับคุณหนึ่งด้วยได้มั้ยคะ”
พรรณีลุ้นๆ ด้านหลังสัทธาเดินใกล้เข้ามา พรรณีร้อนใจ
“ได้สิครับ ไม่มีปัญหา”
นวลยิ้มแฉ่ง พรรณีรีบตัดบท
“งั้นณีรีบไปส่งคุณแม่ที่รถ แล้วจะรีบมาตีเทนนิสด้วยนะคะ”
“น้าฝากน้องด้วยนะ อ้อ แล้วน้าฝากคุณหนึ่งไปส่งน้องที่บ้านด้วยนะคะ ขอบใจมากนะ น้ากลับก่อนนะ”
“สวัสดีครับ”
พรรณีรีบลากตัวนวลไป สัทธาเดินมาพอดี
“หนึ่งเมื่อกี๊แกคุยกับใคร”
พรรณีลากแม่มาที่รถ นวลโวยวาย
“นี่เราจะรีบให้แม่กลับทำไม ยังคุยกับคุณหนึ่งไม่รู้เรื่องเลย แม่อุตส่าห์จ้างคนไปหาข้อมูลคุณอนวัช จนรู้ว่าเขาชอบมาตีเทนนิสที่นี่ ไม่งั้น ไม่มีวันได้เจอ”
“แต่ก็ได้เจอแล้วไงคะ คุณแม่กลับไปก่อนเถอะค่ะ เมื่อกี๊ได้ยินแล้วนี่ คุณหนึ่งให้ณีเล่นเทนนิสด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว คุณแม่รีบกลับ ณีอยู่คนเดียว จะได้มีโอกาสใกล้ชิดคุณหนึ่งตามที่แม่ต้องการไงคะ”
“ดีมาก ฉลาดๆ แบบนี้ดีแล้ว แม่ให้ทำอะไรก็ทำ จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดเหมือนกับพี่ชายของเรา และอย่าลืมทำยังไงก็ได้ให้คุณอนวัชไปส่งเราที่บ้านให้ได้ รู้หรือเปล่า”
“ค่ะ”
นวลยิ้มอย่างดีใจ เดินขึ้นรถไป พรรณีคิดหนัก
สัทธาวางของไว้บนโต๊ะ ข้างสนามเทนนิส
“คนเมื่อกี๊เป็นน้องสาวกับแม่เพื่อนแกเหรอ แปลกจังทำไมหน้าคุ้นๆ เสียดายเห็นหน้าไม่ชัด”
“ไม่ต้องเสียดายหรอก เดี๋ยวพรรณีก็เดินกลับมา คราวนี้จะได้เห็นหน้าชัดๆ”
สัทธาชะงัก
“พรรณี”
ทันใดนั้นเสียงพรรณีก็ดังขึ้น
“พี่ปุ๊”
สัทธาหันขวับไปตามเสียงด้วยความแปลกใจ พอเห็นพรรณีก็ตกใจมาก
“ณี”
อนวัชงง พึมพำเบาๆ
“รู้จักกันด้วย”
“ณีจริงๆ ด้วย นี่ณีมาได้ยังไง หรือว่า ขอบใจแกมากๆ เลยหนึ่ง นี่แอบวางแผนนัดณีออกมา จะแกล้งให้ฉันตกใจล่ะสิ”
อนวัชงงๆ มองหน้าพรรณี พรรณีแอบพยักหน้าให้อนวัช ลับหลังสัทธา
“เอ่อ ใช่ แล้วตกใจหรือเปล่าล่ะ “
“ตกใจสิ ปกติฉันชวนณีไปไหนมาไหน ไม่ใช่จะได้ไปง่ายๆ แม่เขาหวง เออ ว่าแต่ แกรู้ได้ยังไงว่าฉันกับณีเป็นคนรักกัน”
อนวัชยิ่งแปลกใจหนักกว่าเดิม พรรณีหน้าเสีย อ้อนวอนให้อนวัชรับมุกต่อ
“ฉันรู้เพราะณีบอกน่ะ ณีเป็นน้องของพินิจเพื่อนสนิทฉัน ฉันเห็นว่าณีเป็นคนรักของแก ฉันก็ชวนเขามาตีเทนนิสกับแก”
“ขอบใจอีกครั้งนะหนึ่ง”
อนวัชยิ้มๆ มองหน้าพรรณี พรรณีก้มหน้าเหมือนมีความลับ อนวัชสัมผัสได้
“ณีเราไปตีกันก่อน ใครแพ้ค่อยเปลี่ยนให้หนึ่งมาเล่นแทน”
“ค่ะ”
พรรณีกับสัทธาเดินลงสนามไป ทั้งคู่เล่นเทนนิสกันอย่างเข้าขา และสนุกสนาน
อนวัชมองแล้วก็คิด รู้ว่านวลกำลังจับคู่พรรณีให้ตัวเอง
ตอนค่ำ หน้าบ้านพนัสพงษ์ รถอนวัชแล่นมาจอด พรรณีนั่งครุ่นคิด แล้วก็หันมาพูดกับอนวัชตรงๆ
“ขอบคุณคุณหนึ่งมากนะคะที่ช่วยณีไว้ในวันนี้ ทั้งเรื่องคุณแม่ และ พี่ปุ๊”
“ผมมีเรื่องสงสัย แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าถามไป จะเสียมารยาทหรือเปล่า”
“เรื่องคุณแม่ใช่มั้ยคะ ณีตอบโดยที่คุณหนึ่งไม่ต้องถามก็ได้ค่ะ คุณแม่ตั้งใจจะจับคู่คุณหนึ่งกับณี คุณแม่ไม่ชอบพี่ปุ๊ และไม่รู้ว่าณีแอบคบกับพี่ปุ๊อยู่”
“แล้วณีรักปุ๊หรือเปล่า”
“ยิ่งกว่ารักค่ะ พี่ปุ๊คือคนๆ เดียวที่ณีอยู่ด้วยแล้วมีความสุขทุกครั้งที่เจอกัน พี่ปุ๊ทำให้ณีรู้จักชีวิต สนุกกับชีวิต หลายครั้งที่ณีมีปัญหา พี่ปุ๊คือที่พึ่งทางใจ ที่ทำให้ณีได้หัวเราะ ยิ้ม และรู้ว่าชีวิตยังมีค่า ยังมีคนที่รอเราอยู่”
“พี่สงสัย ทำไมคุณน้าถึงไม่ชอบปุ๊ ทั้งๆ ที่ปุ๊ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย”
“คุณแม่กลัวว่า ถ้าณีอยู่ใกล้พี่ปุ๊ จะทำให้พี่พินิจกับปุ้มใกล้ชิดกัน เลยตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้ณีไปยุ่งกับพี่ปุ๊ค่ะ”
“นี่ต้องมีคนเดือดร้อนเพราะเด็กนั่นเพิ่มขึ้นมาอีก 2 คนเหรอเนี่ย”
“พี่หนึ่งอย่าคิดแบบนั้นสิคะ เรื่องนี้ปุ้มไม่ผิด ปุ้มไม่ได้ทำอะไรเลย ปุ้มเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ ดีตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จนถึงวันนี้ ดีไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่คุณแม่อคติไปเอง เรื่องระหว่างพี่ปุ๊กับณีไม่เกี่ยวกับปุ้มจริงๆ นะคะ”
พรรณีพยายามอธิบาย แต่อนวัชก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
สุดากับหทัยรัตน์คุยกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“อ้าว พี่ปุ๊ไปราชการที่สุพรรณ พี่แป้นติดประชุม วันพรุ่งนี้ก็ไม่มีใครไปงานแต่งงานผ่องฉวีกับปุ้มเลยสิคะ”
“พี่ก็อยากไปนะปุ้ม แต่มันจำเป็นจริงๆ ฝากขอโทษผ่องด้วยนะ แล้วปุ้มไปงานยังไงล่ะ”
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สุดาหันไปรับ
“สวัสดีค่ะ เดือนประดับค่ะ”
“พี่หนึ่งนะแป้น พี่จะถามเรื่องงานแต่งงานคุณหมอประสงค์วันพรุ่งนี้ คุณพ่อบอกว่าแป้นไม่ไปเหรอ”
“แหมบังเอิญจริง แป้นก็กำลังคุยกันเรื่องนี้พอดี แป้นกับพี่ปุ๊ไม่ได้ไปงานหรอกค่ะ มีปุ้มไปคนเดียวค่ะ”
หทัยรัตน์หันมาด้วยความสนใจ
“คุยกับใคร”
สุดาทำปากว่าเป็นอนวัช หทัยรัตน์ชักสีหน้านิดๆ ในขณะที่อนวัชยิ้มพอใจ
“อ้าวเหรอ แล้วน้องสาวแป้นไปยังไง จะให้พี่ไปรับก็ได้นะ”
สุดดาหันมาบอกหทัยรัตน์เบาๆ
“พี่หนึ่งจะมารับ”
หทัยรัตน์ตอบทันที
“ไม่ต้องลำบากคุณอนวัชหรอกค่ะ ปุ้มไปเองได้ เพราะปุ้มก็ยังไม่รู้ว่าจะไปกี่โมง”
อนวัชชักสีหน้า
“ตามใจ พี่ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่อยากไปพร้อมพี่หรอก คงจะกลัวเสียหน้า ไม่มีอะไรแล้ว แค่นี้นะแป้น บอกเขาด้วยว่าอย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดหน้าไปด้วยล่ะ”
อนวัชวางหูไป พร้อมยิ้มเยาะ สุดางง
“พี่หนึ่งพูดแปลกๆ ทำไมบอกให้ปุ้มเตรียมผ้าเช็ดหน้าไปด้วย”
“ก็ ไม่รู้สิคะ ปุ้มก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
หทัยรัตน์ยิ้มเจ้าเล่ห์
เมื่อถึงวันงาน หทัยรัตน์ยืนช่วยผ่องฉวีต้อนรับแขกอยู่หน้างาน สักครู่อุราเดินมาบอกว่าเธอจะช่วยรับแขกแทนหทัยรัตน์
“ดีเลยจ๊ะ มายืนแทนฉันตรงนี้นะ งานบนเวทีจะเริ่มแล้ว ฉันไปหยิบพวงมาลัยบ่าวสาวมาให้พิธีกรก่อนนะ”
“ปุ้มจ๊ะ พวงมาลัยอยู่ในรถนะ ฉันลืมหยิบลงมา แหะ แหะ รบกวนด้วยนะ”
หทัยรัตน์ยิ้มแย้มเดินออกจากงานไปที่ลานจอดรถ
อนวัชเดินเข้ามาในงาน แสดงความยินดีกับประสงค์
“คุณหมอครับ แสดงความยินดีด้วยครับ”
“ขอบคุณมากครับ คุณท่านไม่ได้มาด้วยเหรอครับ”
“คุณพ่อฝากขอโทษที่มาร่วมงานไม่ได้ เพราะเมื่อเช้ามีไข้ เลยขอตัวพักผ่อนอยู่บ้าน แต่คุณพ่อฝากเชิญคุณหมอกับภรรยาไปรับประทานอาหารที่เพชรลดา”
“ด้วยความยินดีครับ เชิญคุณอนวัชด้านในเลยครับ”
“ครับ”
อนวัชจะเดินเข้าไปในงาน กวาดตามองหาหทัยรัตน์ พลันเหลือบไปเห็นหญิงสาวกำลังเดินออกจากงาน เขาเลยเปลี่ยนใจเดินมาหาหทัยรัตน์แทน
“จะรีบไปไหน หรือว่าทนอยู่ในงานไม่ได้เลยรีบกลับ”
“ทำไมดิฉันต้องทนไม่ได้ล่ะคะ”
“เธออาจจะแสลงใจที่ต้องเห็นชายที่หมายปองของตัวเอง กำลังแต่งงานมีความสุข ส่วนเธอก็เป็นได้แค่แขกร่วมงาน”
“ดิฉันไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น ในเมื่อคนที่เรารักมีความสุขเราก็ต้องยินดีไม่ใช่เหรอคะ”
“รัก นี่เธอกล้าพูดแบบนี้ในงานแต่งงานของคุณหมอเหรอเนี่ย”
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ล่ะคะ ในเมื่อมันเป็นความจริง”
“แค่พูดฉันไม่เชื่อ ต้องได้เห็นกับตาฉันถึงจะเชื่อว่าเธอมีความสุขจริงๆ”
อนวัชไม่พูดเปล่า คว้าข้อมือหทัยรัตน์ไปด้วย
“นี่คุณอนวัช ปล่อยฉันนะ”
หทัยรัตน์พยายามจะตีมืออนวัชให้ปล่อย แต่เขาไม่ยอมปล่อย
“คนบ้า นี่คุณจะบ้าเหรอทำไมคุณถึงชอบบังคับฉันนักนะ ปล่อยนะ”
“เพราะบังคับเธอได้ ฉันมีความสุข ฉันถึงชอบ”
อนวัชลากหทัยรัตน์ไป
ผ่องฉวี ศจี อุรา และประสงค์ยืนต้อนรับแขกอยู่ อนวัชลากหทัยรัตน์เข้ามา
“นี่ปล่อยนะ”
“อ้าวคุณอนวัชยังไม่เข้าไปในงานเหรอครับ”
“ยังครับ พอดีผมอยากจะรู้จักเจ้าสาวคุณหมอน่ะครับ เมื่อกี้ยังไม่ได้แนะนำเลย”
“เออ จริงสิ ผมลืมไป นี่ครับเจ้าสาวของผมชื่อผ่องฉวีครับ ผ่องจ๊ะนี่คุณอนวัชจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
ศจีแทรกเข้ามา
“สวัสดีค่ะ ดิฉันศจีค่ะเป็นเพื่อนผ่องฉวีค่ะ”
“ดิฉันอุราค่ะ เป็นเพื่อนของผ่องฉวีเหมือนกันค่ะ”
“คุณประสงค์เล่าเรื่องคุณอนวัชให้ฟังเยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องที่ไปเที่ยวหัวหิน”
“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอก็คงจะเล่าให้ฟังถึงคุณครูของคุณหญิงแล้วสิครับ ผมจะได้แนะนำให้รู้จักกัน นี่คุณหทัยรัตน์ ราชพิทักษ์ครับ เป็นคุณครูของคุณหญิงกรกนก หทัยรัตน์ทักทายคุณผ่องฉวีเจ้าสาวของคุณหมอสิ ผูกมิตรกันไว้เผื่อจะได้เป็นเพื่อนกันในอนาคต”
ผ่องฉวี ศจี อุรา และประสงค์นิ่งไป อนวัชแปลกใจ และทันใดนั้นทุกคนก็ขำออกมา เหมือนอนวัชเป็นตัวตลก
“หัวเราะอะไรกัน”
“คุณอนวัชไม่ทราบจริงเหรอคะ” ผ่องฉวีย้ำถาม
“ทราบเรื่องอะไร”
“ก็ ปุ้มเนี่ยเป็นเพื่อนของดิฉันเองค่ะ”
อนวัชอึ้งไป
“เพื่อน”
อุราเข้ามาสมทบ
“ใช่ค่ะ เราเรียนอยู่คณะเดียวกัน แต่ปุ้มเขาจะสนิทกับผ่องมากกว่าคนอื่นเพราะเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ตอนมัธยม”
“ปุ้มเป็นคนแรกของเพื่อนในกลุ่มที่ผ่องแนะนำให้รู้จักคุณหมอ พอแต่งงานก็เป็นเพื่อนคนแรกที่ทราบข่าวเช่นกันค่ะ ปุ้มเป็นคนแรกที่ได้การ์ด และ ช่วยจัดงานทั้งหมดค่ะ”
อนวัชหันมาทางหทัยรัตน์ หญิงสาวยิ้มพอใจ สะใจ ยักคิ้วใส่ อนวัชแค้น
“เมื่อก่อนผ่องเขาก็พูดถึงคุณหทัยรัตน์ให้ผมฟัง แล้วก็มีโอกาสได้พบกันหลายครั้งก่อนจะไปเจอกันโดยบังเอิญที่ชิดชายชล”
“ปุ้มเป็นเพื่อนรักของดิฉันค่ะ”
“ก็อย่างที่ดิฉันบอกคุณอนวัชแล้วไงคะ ในเมื่อคนที่เรารักมีความสุขเราก็ต้องยินดี คราวนี้คุณคงจะเชื่อแล้วนะคะ”
หทัยรัตน์ยิ้มอย่างผู้ชนะ อนวัชแค้น
อนวัชนั่งอยู่ที่โต๊ะ มีสาวๆ มองแล้วแอบซุบซิบด้วยความปลื้มใจ เขาอมยิ้มนิดๆ มั่นใจตัวเองมาก แต่สายตาไปสะดุดเข้ากับหทัยรัตน์ที่ยืนสวยเด่นเป็นสง่าอยู่ที่หน้าเวที มีหนุ่มๆ มองหทัยรัตน์และซุบซิบกันมากมาย แต่ละคนมองด้วยความชื่นชม อนวัชเริ่มชะงัก ชักสีหน้าไม่พอใจ ความหมั่นเขี้ยวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
หทัยรัตน์คอยช่วยบนเวที ถือถาดมาลัย ส่งแก้วน้ำให้ผู้ใหญ่ตอนดื่มอวยพร ทันใดนั้น หทัยรัตน์ก็หันมาทางอนวัช แล้วชะงักนิดๆ อนวัชชะงักพอกัน แปลกใจ หทัยรัตน์ส่งยิ้มให้ อนวัชงง เผลอตัวยิ้มรับนิดๆ แต่เสียงผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น
“คุณหทัยรัตน์ยิ้มให้แกด้วย”
อนวัชชะงัก ค่อยๆ ปรายตาไปมอง เห็นชายคนหนึ่งนั่งส่งยิ้มให้หทัยรัตน์อย่างมีความสุข
“เขาต้องจำฉันได้แน่ๆ ฉันเคยเรียนกับเขาตอนอยู่ประถม หทัยรัตน์สวยขึ้นมากเลย ยิ่งยิ้มยิ่งสวย”
อนวัชหันหน้ากลับ หน้าหงิก หทัยรัตน์ยังคงส่งยิ้มให้ชายคนนั้น แต่พอปรายตามาทางอนวัช ก็หุบยิ้ม เบือนหน้าหนี อนวัชหนึ่งสะอึก
หลังงานเลิก หทัยรัตน์กำลังจะกลับ ประสงค์กับผ่องฉวีเดินมาหา
“คุณปุ้มจะกลับเลยหรือเปล่าครับ ผมหาคนที่จะไปส่งไว้แล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปุ้มกลับเองได้ ยังไม่ดึกมาก ปุ้มไม่อยากรบกวน”
“ไม่รบกวนหรอกครับ เพราะเขายินดีไปส่งคุณด้วยความเต็มใจ”
“ใช่ปุ้ม วันนี้เธอมาช่วยงานฉันกับคุณประสงค์ตั้งแต่เย็น จะให้เราสองคนใจไม้ไส้ระกำให้เธอกลับคนเดียวได้ยังไง”
“นั่นไงครับ คนที่จะไปส่งคุณหทัยรัตน์มาโน่นแล้ว”
หทัยรัตน์หันไปแล้วก็อึ้ง เมื่ออนวัชเดินมา
“ไม่ทราบว่าคนที่คุณหมอจะให้ผมไปส่ง จะกลับหรือยังครับ”
“จะกลับแล้วครับ”
“คุณหมอ”
“เอาน่าปุ้มไปเถอะนะ เดี๋ยวฉันไปส่งที่รถคุณอนวัชนะ”
“ไม่ต้องหรอกผ่อง”
“เอาน่า ไปเถอะ”
ผ่องฉวีไม่ฟังเสียง ลากหทัยรัตน์ไปที่รถเลย
“ผมกลับก่อนนะครับคุณหมอ คุณผ่องฉวี”
“ขอบคุณครับคุณอนวัช”
อนวัชขึ้นรถและขับออกไป หทัยรัตน์นั่งหน้าจ๋อยอยู่ในรถ คิดหาทางหนีทีไล่ อนวัชมองด้วยแววตาขัดเคือง
“ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าเธอรู้จักกับเจ้าสาวของคุณหมอประสงค์”
“ก็คุณไม่ถามนี่คะ”
“ไม่จริง ถึงฉันถามเธอก็คงจะไม่บอก เพราะเธอต้องการจะแกล้งฉัน”
“ดิฉันจะแกล้งคุณทำไมคะ ดิฉันไม่ได้มีเวลาเหลือใช้พอที่จะเอามานั่งคิดวางแผนแกล้งคนอื่น โดยเฉพาะคุณ ฉันยิ่งไม่เก็บมาคิดให้เปลืองเวลา”
หทัยรัตน์พูดน้ำเสียงนิ่งเรียบปรายตามามองเล็กน้อยอย่างถือตัว อนวัชเห็นท่าทีของหญิงสาวยิ่งเจ็บแค้น เร่งความเร็วให้เพิ่มขึ้นเป็นการระบายอารมณ์ และตั้งใจแกล้งหทัยรัตน์
หทัยรัตน์สะดุ้งเล็กน้อยกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น มือจับรถไว้แน่น
รถหนึ่งเข้ามาจอดหน้าเดือนประดับอย่างเร็ว หทัยรัตน์รีบบอกลา
“ขอบคุณค่ะ”
“เดี๋ยว ฉันยังไม่ให้เธอไป”
อนวัชเอื้อมมือมาดึงประตูปิด
“เธอคิดว่าฉันเป็นเหมือนผู้ชายคนอื่นที่เธอจะปั่นหัวได้งั้นเหรอ หทัยรัตน์”
“ดิฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น”
“ไม่จริง เธอตั้งใจจะหว่านเสน่ห์ในงาน เพื่อยั่วโมโหฉัน แต่ฉันไม่สนหรอก เพราะผู้ชายพวกนั้นเต็มที่ก็ได้แค่รอยยิ้มจากริมฝีปากของเธอ แต่ฉันเคยได้มากกว่านั้น”
“ที่คุณได้ เพราะฉันไม่มีสติ ถ้าฉันรู้สึกตัว มันจะไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น”
“ถ้ามันไมเกิด เธอคงจะตายไปแล้ว ไม่มีชีวิตมาใช้ริมฝีปากยิ้มหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายทั้งงานแบบนี้ จะว่าไป ฉันก็เป็นคนช่วยเธอ ทุกอย่างในตัวเธอก็น่าจะเป็นของฉัน โดยเฉพาะ”
อนวัชยื่นหน้าเข้ามามองที่ริมฝีปาก แววตากรุ้มกริ่ม โลมเลียด้วยสายตาและรอยยิ้มกวนๆ หทัยรัตน์หน้าร้อนผ่าว หันหน้าหนี เถียงเสียงแข็ง
“ฉันไม่ได้ร้องขอให้ช่วย เพราะฉะนั้นคุณไม่สิทธิ์ในชีวิตฉัน ฉันจะยิ้ม จะพูดคุย หรือจะหว่านเสน่ห์กับใครก็เป็นสิทธิ์ของฉัน คุณจะไม่พอใจ ฉันก็ไม่สนใจ”
หทัยรัตน์หันไปจะเปิดประตู อนวัชคว้าตัวไว้อย่างแรง และจับหทัยรัตน์หันมาเผชิญหน้าหากัน หทัยรัตน์ตื่นตระหนก
“คุณอนวัช คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
อนวัชขยับเข้ามาใกล้จนหทัยรัตน์โดนดันติดประตูรถ
“ฉันปล่อยแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เมื่อกี๊เธอบอกว่าเธอไม่สนใจฉันใช่มั้ย”
“ใช่”
“ฉันจะทำให้เธอสนใจฉันให้ได้”
ทันใดนั้นอนวัชก็จูบหทัยรัตน์อย่างรวดเร็ว หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวได้แต่อึ้ง ร้องอู้อี้ๆ
“หยุดนะคุณอนวัช”
หทัยรัตน์ผลักชายหนุ่มออกอย่างแรง แล้วตบหน้า อนวัชอึ้งไป เห็นหทัยรัตน์ร้องไห้
“ป่าเถื่อน หยาบคายที่สุด คุณเห็นฉันเป็นผู้หญิงยังไง คุณถึงได้ทำแบบนี้”
“ยิ่งกว่านี้ฉันก็ทำ เธอจะได้รู้ว่าฉันมีสิทธิ์ในตัวเธอ อยู่ที่ว่าฉันจะต้องการมันเมื่อไหร่”
หทัยรัตน์ง้างมือจะตบอีก คราวนี้อนวัชจับมือไว้และพูดขู่
“อย่าลืมสิว่าฉันเป็นคนป่าเถื่อนและหยาบคาย ถ้าเธอตบฉันอีกที คราวนี้ฉันจะทำมากกว่าจูบ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู”
หทัยรัตน์แค้นใจ ดึงมือกลับอย่างแรง
“ฉันอยากจะฆ่าคุณ คุณอนวัช”
“ตอนนี้เธอคงจะเริ่มมีความรู้สึกกับฉันบ้างแล้วสิ อย่างน้อยเธอก็อยากจะฆ่าฉัน แสดงว่าเธอกำลังสนใจฉัน”
หทัยรัตน์อยากจะตะโกนด่า แต่ก็ทำไม่ได้ รีบเปิดประตูแล้วเดินลงไป อนวัชรีบตามไป
“นี่วิ่งร้องไห้ไปแบบนี้ไม่กลัวคนเห็นหรือไง”
หทัยรัตน์ไม่ฟังเสียง วิ่งร้องไห้เข้าบ้านไป อนวัชรู้สึกแปลกๆ ทั้งสะใจและรู้สึกผิด เขากลับเข้ามานั่งในรถ
กำลังจะขับออกไป เหลือบไปเห็นกระเป๋าถือของหทัยรัตน์วางอยู่ที่เบาะ
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 6 (ต่อ)
หทัยรัตน์เข้ามาในห้อง รีบปิดประตูและร้องไห้ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาถูที่ปากอย่างแรง
แต่ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เธอมองตัวเองในกระจก ร้องไห้ด้วยความโกรธแค้น สุดามาเคาะประตูถาม
“ปุ้ม งานเป็นยังไงบ้าง สนุกมั้ย เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”
หทัยรัตน์ชะงักนิดๆ พยายามทำเสียงปกติ
“พี่แป้นคะ ปุ้มเหนื่อยมาก ขอโทษนะคะ ปุ้มขอพักก่อนนะคะ พรุ่งนี้ปุ้มค่อยเล่าให้ฟังนะคะ”
สุดาแปลกใจ แต่ก็เข้าใจได้
“ได้จ้ะ งั้น ฝันดีนะ พรุ่งนี้คุยกันจ้ะ”
สุดาเดินกลับห้องไป หทัยรัตน์โล่งใจที่พี่สาวไม่เซ้าซี้ เธอกลับมาคิดเรื่องตัวเองแล้วก็กลุ้มใจ
ประสาทพรเปิดประตูเข้ามาในห้องพักด้วยความตื่นเต้นดีใจ รีบหยิบกระดาษและปากกามาจากลิ้นชัก และเขียนด้วยความตื่นเต้น
“สวัสดีครับน้องหญิง น้องหญิงสบายดีหรือเปล่าครับ วันนี้พี่ชายใหญ่มีข่าวดีจะบอก วันนี้พี่ชายได้รับจดหมายแจ้งว่าอีกไม่กี่วันจะมีเจ้าหน้าที่จากประเทศไทยมาทำงานแทนพี่ชายแล้ว นั่นหมายความว่า อีกไม่กี่วันพี่ชายจะได้กลับบ้านแล้วครับ”
ประสาทพรยิ้มดีใจ มีความสุขมาก
ตอนเช้า ทิพย์กับสุทธิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะรออาหารเช้า สุดาเดินเข้ามา
“คุณแม่คะ ปุ้มยังไม่ลงมาเหรอคะ”
“ยังเลยลูก สงสัยจะเพลีย เห็นเมื่อคืนเด็กบอกกลับมาดึก”
“ค่ะ แล้วก็บ่นเหนื่อยๆ แต่นี่ก็จะได้เวลาไปสอนคุณหญิงแล้วนะคะ แป้นไม่ได้ไปสอนแทนแล้ว เดี๋ยวจะไปไม่ทันกันพอดี แป้นขึ้นไปดูน้องก่อนนะคะ”
สุดาเดินไปตามปุ้ม หทัยรัตน์ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างในห้องนอน ตาแดงกร่ำ น้ำตายังคลออยู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ปุ้ม พี่แป้นนะ”
หทัยรัตน์รีบเช็ดน้ำตาและเดินมานอนที่เตียง
“เชิญค่ะ”
สุดาเดินเข้ามาในห้อง เห็นน้องสาวนอนอยู่
“อ้าวปุ้ม เป็นอะไรไป นอนซมเชียว หรือว่ายังไม่หายเหนื่อย”
“ปุ้ม ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ”
“ปวดหัวแล้วทำไมตาแดงๆ”
“คงจะนอนไม่พอด้วยมั้งคะ ตาเลยช้ำๆ”
“แล้วจะไปสอนไหวมั้ยเนี่ย”
“ไม่ไหวค่ะ ปุ้มโทร.ไปลาคุณหญิงเรียบร้อยแล้ว”
“งั้นปุ้มก็นอนพักผ่อน ถ้ายังไม่ดีขึ้นหรืออยากไปหาหมอก็บอกนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
สุดาเดินออกไป หทัยรัตน์กลับสู่ห้วงความคำนึงที่เต็มไปด้วยความแค้น
กรกนกตอบอนวัชอย่างซื่อๆ เกี่ยวกับหทัยรัตน์
“วันนี้คุณครูไม่ได้มาสอนค่ะ”
อนวัชสะอึก แอบใจหายนิดๆ ร้อนตัวว่าจะเป็นต้นเหตุ เขาถือกระเป๋าหทัยรัตน์ไว้ในมือ
“อ้าวทำไมล่ะครับ หรือว่าลาออกจะไม่สอนแล้ว”
“เปล่าค่ะ คุณครูโทร.มาบอกว่าวันนี้คุณครูป่วยค่ะ มาสอนหญิงไม่ไหว เลยขอลาหนึ่งวันค่ะ ลาป่วยค่ะ ไม่ใช่ลาออก”
อนวัชโล่งอกแต่ยังคงอยากรู้และเป็นห่วง เขามองกระเป๋าในมือ คิด เวลาเดียวกันนั้นหทัยรัตน์ก็หากระเป๋าของตัวเองแต่หาไม่เจอ พยายามรื้อค้น บนโต๊ะ ใต้โต๊ะ ก็ไม่เห็น
อนวัชมาที่เดือนประดับ ยื่นกระเป๋าถือของหทัยรัตน์ให้สุดา
“ปุ้มเขาลืมไว้บนรถพี่เมื่อคืนนี้จ้ะ ฝากคืนด้วยนะ”
“ปุ้มนี่ยังไม่แก่สักหน่อยหลงๆ ลืมๆ ซะแล้ว กระเป๋าใบเบ้อเร่อลืมไปได้”
“เมื่อคืนคงจะรีบมากไปหน่อยมั้ง”
“รีบ มาถึงบ้านแล้วไม่เห็นจะต้องรีบไปไหนนี่คะ”
อนวัชอึ้ง
“ก็ คงรีบไปนอน เพราะมันดึกมากแล้ว”
“อ๋อ กลับดึกนี่เอง ถึงได้นอนซม บ่นปวดหัวไม่ค่อยสบาย”
อนวัชชะงักนิดๆ แอบเป็นห่วง
“เออพี่หนึ่งคะ รีบไปไหนหรือเปล่าคะ ถ้าไม่รีบคุณพ่อคุณแม่ชวนให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ”
อนวัชยังไม่ตอบ แต่ในใจอยากอยู่มาก
ตอนเย็น หทัยรัตน์เดินเข้ามาในห้องกินข้าว
เห็นอนวัชนั่งหันหลังอยู่ เธอชะงักและหลบวูบไปด้วยสัญชาตญาณ แต่สุทธิ์เหลือบมาเห็น
“อ้าวปุ้ม จะไปไหนล่ะ มาทานข้าวด้วยกันสิ มา ทุกคนกำลังรออยู่เลย”
หทัยรัตน์หันมา พยายามทำหน้านิ่ง และเดินเข้ามาอย่างว่าง่าย ขยับเก้าอี้นั่งข้างสุดา ห่างจากอนวัชมาเล็กน้อย อนวัชมองหญิงสาวไม่วางตา
“เราเริ่มทานกันเลย”
สุทธิ์บอก เด็กรับใช้ตักข้าว และเริ่มทาน สุทธิ์ก็ชวนคุยไป
“เมื่อคืนหนึ่งไปงานแต่งงานของหมอประสงค์หรือเปล่า”
“ไปครับ ไปตั้งแต่เย็น แล้วก็อยู่จนงานเลิก แล้วผมก็แวะมาส่งปุ้มประมาณเที่ยงคืนกว่า สงสัยจะดึกมากไปหน่อย ปุ้มเลยดูเหมือนไม่ค่อยสบาย แป้นว่านอนซมทั้งวัน เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
อนวัชปรายตามาทางหทัยรัตน์ หญิงสาวถือช้อนแช่นิ่งไม่ตอบเพราะทำใจไม่ได้ สุดาตอบแทน
“ปุ้มเขาแค่ปวดหัวน่ะค่ะ ไม่เป็นอะไรมาก”
“สงสัยจะนอนไม่พอ เอ หรือว่านอนไม่หลับเพราะคิดมาก อยากรู้จังว่าคิดอะไรอยู่”
หทัยรัตน์ทนไม่ได้รวบช้อน
“ปุ้มอิ่มแล้วค่ะ ปุ้มทานไม่ลงค่ะ รู้สึกเหมือนคลื่นไส้น่ะค่ะ ปุ้มขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
หทัยรัตน์ลุกขึ้นจะเดินออกไป อนวัชรีบพูดดักขึ้น
“ปุ้ม พี่ขอเวลาสักเดี๋ยวสิ มีเรื่องของคุณหญิงจะคุยด้วย”
หทัยรัตน์ชะงักหันมามองอนวัชอย่างรู้ทัน จะปฎิเสธ แต่ทิพย์พูดแทรกขึ้น
“ปุ้มนั่งรอพี่เขาที่ห้องรับแขกก่อนไป เดี๋ยวพี่เขากินอิ่มแล้วค่อยคุยกันนะ”
หทัยรัตน์อึดอัดแต่เห็นทิพย์กับสุทธิ์นั่งอยู่ เลยจำใจต้องรับคำ
“ค่ะ”
หทัยรัตน์เดินออกไป อนวัชอมยิ้มนิดๆ ได้ใจ ก่อนจะเริ่มกินข้าวอย่างสบายใจ
หทัยรัตน์เดินไปเดินมา นั่งๆ ลุกๆ รอด้วยความอึดอัด เซ็งสุดขีด พอได้ยินเสียงฝีเท้า เธอรีบเดินมาที่โซฟา นั่งนิ่ง อนวัชเดินเข้ามา
“สิ่งที่ฉันทำกับเธอเมื่อคืน มันทำให้เธอตั้งท้องเลยเหรอ”
“ใครตั้งท้องกับคุณ อย่ามาพูดจาหมิ่นเกียรติฉันแบบนี้”
“อ้าว ใครจะไปรู้ เมื่อกี๊เห็นบอกว่าคลื่นไส้ ฉันก็เลยคิดว่าเธอแพ้ท้อง”
“ฉันคลื่นไส้เพราะเอียนเหม็นหน้าคนบางคน”
“พูดแบบนี้แสดงว่า เมื่อคืนคงจะฝันเห็นแต่หน้าฉันทั้งคืนสินะ ถึงได้เอียนมากขนาดนี้”
“ถ้าคุณยังไม่เริ่มต้นพูดเรื่องคุณหญิง ฉันจะเลิกคุยกับคุณ”
“ได้ พูดก็ได้ ฉันรู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเธอ”
“กรุณาพูดเรื่องคุณหญิงด้วยค่ะ”
หทัยรัตน์เน้นเสียงดุ ระหว่างนั้น สัทธากำลังเดินไปที่ห้อง ได้ยินเสียงหทัยรัตน์ดังมาจากห้องรับแขก เขาชะงัก หันไปมองด้วยความสนใจ อนวัชลอยหน้าลอยตา ไม่ได้สนใจคำข่มขู่ของหทัยรัตน์แม้แต่น้อย
“ตาบวม แดงกร่ำแบบนี้ เมื่อคืนเธอคงร้องไห้และคิดมากจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนล่ะสิ”
“ฉันจะไม่ฟังแล้วนะคะ”
“ฉันยินดีที่จะทำทุกอย่าง เพื่อชดใช้ให้กับความเสียหายของเธอ”
“ดิฉันขอตัว”
“เธอจะให้ฉันแต่งงานกับเธอก็ได้นะ”
หทัยรัตน์ชะงัก สัทธาชักสีหน้า แปลกใจเรื่องแต่งงาน อนวัชยิ้มกวนๆ พูดเหมือนงานแต่งงานเป็นเรื่องเล่นๆ ในขณะที่หทัยรัตน์เชิดหน้า ไม่ได้ดีใจด้วยแม้แต่น้อย
“ฉันเป็นสุภาพบุรุษมากพอ ไม่ต้องการเอาเปรียบผู้หญิง ถึงแม้ฉันจะทำไปด้วยอารมณ์ ฉันก็จะรับผิดชอบอารมณ์ของตัวเอง ฉันมีเวลาให้เธอคิดไม่มากนักนะ เธอจะเอายังไงก็ว่ามา”
“คุณคิดว่าข้อเสนอของคุณจะทำให้ฉันตาโตและรีบรับมันอย่างหน้าชื่นตาบานอย่างนั้นเหรอ รู้เอาไว้ซะด้วยว่าฉันไม่ได้ดีใจแม้แต่น้อยกับคำขอแต่งงานของคุณ เพราะฉันเกลียดคุณ และไม่มีวันที่ฉันจะแต่งงานกับคนที่ฉันเกลียดเป็นอันขาด”
อนวัชสะอึก ร้อนวูบไปทั้งใบหน้า
“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ฉันจะคิดซะว่ามันเป็นฝันร้ายและตอนนี้ฉันก็ตื่นแล้ว ฉันจะลืมมันไปให้หมด”
อนวัชแค้น ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้ หทัยรัตน์หันหลังจะเดินออกไป อนวัชคว้าข้อมือไว้ เค้นเสียงพูดให้ด้ยินกันแค่สองคน
“ถึงเธอลืม แต่ฉันไม่ลืม ยิ่งเธอเกลียดฉันมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งอยากแต่งงานกับเธอมากเท่านั้น รู้ไว้ด้วย ฉันก็ไม่ได้แต่งเพราะความรัก ฉันแค่อยากเอาชนะผู้หญิงจองหองอย่างเธอ และเธอจะต้องแพ้ฉัน”
หทัยรัตน์แทบกรี๊ด อนวัชยิ้มอย่างพอใจและเดินออกไป หทัยรัตน์ทั้งโกรธทั้งอาย อยากจะกรีดร้องให้ดังลั่น แต่ก็ทำไม่ได้ สัทธายืนหลบอยู่ที่เดิม ทั้งงง ทั้งอยากรู้ ว่ามีเรื่องอะไรกัน
ส่องแสงนั่งอยู่ในร้านอาหาร ชุลีเดินเข้ามา มองกราดไปทั่วบริเวณ แล้วก็มาสะดุดที่ส่องแสง ส่องแสงสะดุ้งนิดๆ รีบหลบตาทำเป็นไม่เห็น แต่ไม่ทัน
“ส่อง”
“สวัสดีจ้ะชุลี แหม บังเอิญจริงๆ เพิ่งมาเหรอจ๊ะ”
“ใช่ เสียใจหรือเปล่า ที่หนีไปไม่ทัน”
“หนี หนีอะไรจ๊ะ ทำไมฉันต้องหนีเธอด้วย”
“จะไปรู้เธอเหรอ ที่หัวหินก็ทิ้งฉันไว้ที่ตลาด แล้วก็หนีกลับไปทีนึงแล้ว”
“เปล่านะ ฉันไม่ได้หนี พอดีคุณแม่น่ะสิ ปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ฉันก็ตกใจไม่ทันจะได้ไปบอกเธอ รีบพาคุณแม่กลับที่พักไปก่อน ไม่ได้คิดจะหนีสักนิด”
“แต่เธอกลับไปก่อนก็ดีนะ เพราะมันทำให้ฉันไม่พอใจ เลยตามไปต่อว่าที่ชิดชายชล แต่ไม่ทันจะได้เจอเธอ ฉันก็ได้รู้ข่าวใหญ่ซะก่อน”
“ข่าวอะไร”
“เด็กที่ชิดชายชลบอกฉันว่า พี่หนึ่งเป็นคนช่วยเด็กปุ้มตอนจมน้ำทะเล แล้วยังเม้าธ์ทูเม้าธ์กันด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่หนึ่งไม่เป็นห่วงเด็กปุ้ม ก็คงจะไม่ลดตัวไปช่วยแบบนี้ นี่ถ้าฉันเอาข่าวนี้ไปบอกเพื่อนนักหนังสือพิมพ์รับรองว่าเป็นข่าวใหญ่แน่ๆ”
“พี่หนึ่งเป็นคนดี ถ้าคนที่จมน้ำเป็นเด็กรับใช้คนอื่น พี่หนึ่งก็ช่วยแบบนี้ทั้งนั้น เขาไม่ได้ห่วงมันสักหน่อย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดา ไม่ควรค่าแก่ความสนใจใดๆ ทั้งสิ้น”
ชุลีเบ้หน้าใส่ด้วยความไม่เชื่อ ส่องแสงรีบชวนเปลี่ยนเรื่องด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
“แล้วนี่เธอมากับใคร ฉันคงอยู่คุยด้วยไม่ได้นะ เพราะอิ่มแล้วจะรีบกลับบ้าน”
“เชิญเถอะจ๊ะ เพราะฉันนัด จำปีกับจำปา เอาไว้”
“จำปี จำปา คุ้นๆ”
“ก็จำปี จำปา ลูกคุณนายลำเจียกเจ้าของที่ดินแถวนางเลิ้ง เขาเพิ่งกลับมาจากปีนัง วันนี้ฉันจะพาไปรับชุดที่ตัดไว้ สำหรับใส่ไปดูตัวลูกชายคุณนวลในวันพรุ่งนี้”
ส่องแสงตาโต
“ดูตัวลูกชายคุณนายนวล”
วันต่อมา นวล พินิจ พรรณี นั่งอยู่ในห้องรับแขก จำปาแต่งตัวจัดจ้านไม่เข้ากับหุ่น และจำปีแต่งหน้าจัดจนดูคาดเดา
ใบหน้าดั้งเดิมไม่ได้ นวลยิ้มหน้าบาน หันมาทางพินิจ
“พ่อนิจ นี่หนูจำปา จำปี ลูกสาวของคุณนายลำเจียกที่แม่เล่าให้ฟัง หนูจำปา จำปีจ๊ะ สวัสดีพี่เขาสิลูก”
ทั้งสองคนฉีกยิ้มกว้าง ไหว้พินิจอย่างนอบน้อม พูดติดสำเนียงฝรั่งเล็กน้อย
“สวัสดีค่ะพี่พินิจ”
“สวัสดีครับ”
“นี่ก็พรรณีน้องพ่อนิจ รุ่นเดียวกับหนูล่ะจ้ะ”
จำปา จำปี ยิ้มมารยาทให้พรรณี พรรณียิ้มมารยาทรับเจื่อนๆ
“เป็นไงจ้ะพี่นิจ หนูสองคนเนี้ย สวยอย่างที่แม่บอกไว้หรือเปล่า”
“เอ่อ ก็ ครับ สวยครับ”
“ขอบคุณค่ะพี่นิจ”
พินิจกับพรรณีแปลกใจในน้ำเสียง นวลต้องรีบบอก
“น้องสองคนเขาเพิ่งกลับมาจากเรียนที่ปีนัง เลยพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดน่ะ คงจะต้องให้เวลาปรับลิ้นกันนิดหน่อย”
“ไม่ทราบว่าไปเรียนที่ปีนังกันนานแค่ไหนคะ”
“แปดเดือนค่ะ”
พรรณีกับพินิจอึ้งไป แปดเดือน ลิ้นเปลี่ยนขนาดนี้
“ตอนแรกคุณนายลำเจียกจะส่งน้องสองคนไปเรียนอังกฤษต่ออีกสัก 2 ปี แต่กลัวว่ากลับมาจะคุยกันไม่รู้เรื่องก็เลยระงับแผนการไว้ก่อน”
จำปียิ้มเอออวย นวลยิ้มชื่นชม
“ผมว่าคุณนายคิดถูกแล้วครับ ไปปีนังแค่ 8 เดือนยังพูดไม่ชัดขนาดนี้ นี่ถ้าไปอังกฤษ 2 ปีคงจะลืมภาษาไทย ลำบากคุณนายต้องพูดกับลูกสาวเป็นภาษาใบ้”
พรรณีขำเพราะรู้ว่าพินิจกระแนะกระแหน จำปี จำปาไม่รู้ตัว เลยขำตาม นวลมองพินิจอย่างรู้ทันด้วยความไม่พอใจ
เมื่อจำปี จำปา กลับไปแล้ว นวลโวยใส่พินิจ
“ทำไมเราต้องขัดคอน้องเขาอยู่เรื่อย เขาออกจะน่ารัก แค่อ้วนไปนิด ผอมไปหน่อย พูดไทยไม่ค่อยชัด แต่เราจงใจพูดขัดคอเขายังกะไม่อยากจะคบค้าสมาคมด้วย”
พินิจ พรรณี ได้แต่อมยิ้มขำขัน แอบสบตากัน
“อีกอย่าง ตอนที่น้องเขาพูดเล่าอะไรให้ฟังก็ชอบประชดประชัน ดีนะที่เขาไม่โกรธ”
“ไม่โกรธเพราะไม่รู้ตัวมั้งครับ มัวแต่พูดเรื่องความร่ำรวยของตัวเอง มีเงิน มีทอง มีที่ดิน พูดถึงทรัพย์สมบัติตั้งแต่สมัยเจ้าคุณปู่”
“อ้าว ก็คนเขารวย ไม่พูดเรื่องรวยแล้วจะให้พูดเรื่องอะไร แม่ไม่เข้าใจ หาคนดีๆ มาให้กลับไม่ชอบ แต่ไอ้พวกยาจก ไร้ชาติตระกูลล่ะชอบนัก”
พินิจซึมไป พรรณีมองพี่ชายด้วยความเห็นใจ
“นี่ตานิจ หมอของเรา เขาบอกว่าอาทิตย์หน้าเราก็หยุดยาได้ ตอนนี้ร่างกายก็ดูแข็งแรงขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องรีบตัดสินใจ และเลือกเอาคนใดคนหนึ่งระหว่างหนูจำปีกับหนูจำปา เราเลือกได้เมื่อไหร่ แม่จะจัดงานแต่งงานทันที”
“หะ แม่ครับ ผมว่ามันเร็วไปนะครับ ผมยังไม่รู้จักเขาเลย”
“อุ้ย แต่งๆ กันไปแล้วค่อยทำความรู้จักกันก็ได้”
“แต่แม่ครับ”
“ไม่ต้องมาแต่ แม่รอมานานแล้ว แม่จะไม่รออีกต่อไป พรรณีก็เหมือนกัน แม่เปิดทางตีสนิทคุณหนึ่งไว้ให้แล้ว เราเองต้องหาทางพัฒนาต่อให้ได้ ถ้าเราไม่ทำ แม่จะทำเอง”
นวลสรุปแบบเผด็จการ พรรณีหน้าเสีย พินิจสงสารทั้งตัวเองและน้องสาว
หน้าสนามกอล์ฟ สัทธากำลังคิดถึงสิ่งที่ค้างคาใจเรื่องที่อนวัชพูดกับหทัยรัตน์เรื่องแต่งงาน อนวัชเดินเข้ามาหา
“ปุ๊ มาถึงนานหรือยัง เข้าไปเลยมั้ย”
“เดี๋ยว ฉันมีเรื่องอยากจะถามแก หาโอกาสจะคุยมาหลายวันแล้ว แต่ว่างไม่ตรงกันสักที”
“หน้าตาจริงจังขนาดนี้ ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ ถามมาเลย”
“แกมีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังหรือเปล่า”
อนวัชชะงัก
“เล่าอะไร ฉันมีเรื่องอะไรต้องเล่าให้แกฟังด้วยเหรอ”
“ก็เล่าเรื่องที่แกแอบทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ ลับหลังฉัน ลับหลังคนอื่น แกบอกมาเถอะ อย่าปิดบังต่อไปเลย”
“นี่ อย่าบอกว่าแกรู้เรื่องแล้ว”
“ใช่ ฉันแอบได้ยิน แต่ไม่ได้ยินทั้งหมด ฉันเลยไม่แน่ใจว่าเรื่องมัน”
“แอบได้ยิน แกแอบได้ยินได้ยังไง ฉันไม่ได้บอกใครสักหน่อยว่าฉันแอบไปรับพรรณีมาตีกอล์ฟกับแก”
“นั่นแหละ ที่ฉันได้ยิน หะ เมื่อกี๊แกบอกว่า ไปรับพรรณีมาตีกอล์ฟกับฉัน”
“ใช่ ฉันตั้งใจจะไม่บอก แล้วให้พรรณีไปรออยู่ด้านใน”
“หะ พรรณีรออยู่ข้างในจริงๆ เหรอ”
“อื้อ”
สัทธายิ้มหน้าบาน แล้วก็รีบวิ่งเข้าไปเลย
“อ้าว ปุ๊ แล้วตกลงเรื่องที่แกแอบได้ยินคือเรื่องอะไร ปุ๊ นายปุ๊”
สัทธาตะโกนกลับมา
“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง เดี๋ยวค่อยคุย ฉันรีบเข้าไปหาณีก่อน”
สัทธายิ้มแย้มมีความสุข แล้วก็รีบวิ่งเข้าไปหาพรรณีทันที อนวัชยิ้ม ดีใจที่ทำให้เพื่อนมีความสุขได้
ในสนามกอล์ฟ พรรณียืนอยู่ สัทธารีบวิ่งมาหา
“ณี”
“พี่ปุ๊”
“พี่ไม่เคยเห็นณีแต่งตัวแบบนี้มาก่อนเลย”
“ตลกมั้ยคะ”
“ไม่เลย ไม่ตลก แต่สวยมาก”
“ขอบคุณค่ะ ชุดสวย แต่ตีไม่เป็นนะคะ”
“ไม่ต้องห่วง พี่สอนให้เอง แต่ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“แลกเปลี่ยนกับอะไรคะ”
“ตอนนี้ยังไม่บอก เอาไว้ถึงเวลาเมื่อไหร่พี่จะบอกเอง”
“อ้าว ถ้าบอกตอนนั้น แล้วณีทำให้ไม่ได้ล่ะคะ”
“ณีก็รู้ พี่ไม่เคยขอในสิ่งที่ณีทำไม่ได้”
พรรณีพยักหน้า ยิ้มรับ เห็นด้วย สัทธาตั้งท่าจะสอนแล้วก็นึกได้
“อ้อ ก่อนจะเริ่มสอน พี่สงสัย ทำไมณีถึงได้มากับหนึ่ง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ ครั้งแรกที่สนามเทนนิส แล้วก็ครั้งนี้ สองคนนี้สนิทสนม ถึงขั้นแอบวางแผนกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ่อ”
อนวัชเดินมาถึงพอดี ตอบแทน
“ไม่ได้วางแผนเลย ฉันไปเยี่ยมพินิจ เจอณีอยู่บ้านพอดีก็เลยชวนมาด้วยกัน เพราะคิดว่าแกคงจะดีใจ”
“ดีใจสิ ดีใจมากๆ เลย ขอบใจมากนะ เอาไว้ถ้าณีหัดเล่นกอล์ฟวันนี้แล้วชอบ คราวหน้าพี่จะเป็นคนไปรับมาเอง”
พรรณีหุบยิ้ม แอบวิตก แต่ก็ฝืนทำปกติ
“ขอบคุณค่ะ”
“เรามาเริ่มกันดีกว่า”
พรรณียิ้มรับ มองอนวัชแทนคำขอบคุณ เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อเช้าที่อนวัชไปบ้านเธอ นวลยิ้มหน้าระรื่น
“คุณหนึ่งจะมารับแม่ณีไปตีกอล์ฟเหรอคะ อุ๊ยตายแล้ว โก้มากๆ น้ายินดีมากๆ เลยค่ะ ไปเลยค่ะ แล้วไม่ต้องรีบพากลับมานะคะ”
อนวัชทำหน้างง พรรณีอาย พินิจรีบช่วยแก้เก้อ
“คุณแม่หมายถึง ถ้าหนึ่งตีกอล์ฟติดพัน ยังไม่อยากกลับ ก็ไม่ต้องเกรงใจ เพราะณีรอได้”
อนวัชยิ้มรับ พรรณีโล่งอก อนวัชเปิดประตูรถให้พรรณีขึ้น พรรณีมองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดภัยก็พูดขึ้น
“ขอบคุณคุณหนึ่งมากนะคะที่ออกหน้ามารับณี และยังเตรียมเสื้อผ้ามาให้ ถ้าณีขอไปเอง รับรองว่าคุณแม่ไม่อนุญาตแน่ๆ”
“ปุ๊เป็นเพื่อน เป็นญาติที่ผมรัก ขอแค่คุณรัก และจริงใจกับเขาให้มากๆ แค่นั้นก็พอ”
พรรณียิ้มรับ ทั้งดีใจ และชื่นชมในความเป็นสุภาพบุรุษของอนวัช
อนวัชยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่งของสนามกอล์ฟ มองสัทธาสอนพรรณีตีกอล์ฟอย่างสนุกสนาน ทั้งสองหัวเราะอย่างมีความสุข เขาพลอยยิ้มตามไปด้วย
สีสุกกระพือพัดด้วยความหงุดหงิด ส่องแสงโวยวายด้วยความไม่เชื่อ เมื่อชุลีเล่าเรื่องที่อนวัชพาพรรณีไปตีกอล์ฟ
“พี่หนึ่งพาลูกสาวยัยคุณนายนวลไปตีเทนนิส ไปตีกอล์ฟเนี่ยนะ ฉันไม่เชื่อ”
“แม่ก็ไม่เชื่อ จะเป็นไปได้ยังไง แม่ส่องสวยกว่าตั้งเยอะ คุณหนึ่งยังไม่เคยชวนไปตีอะไรสักอย่าง อุ่ย ก็แค่ชวนไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง แบบนี้ชวนไปบ่อย อู๊ย นับครั้งไม่ถ้วน แต่ชวนไปตีเทนนิส ตีกอล์ฟเนี่ย ไม่มี แล้วแม่ก็ไม่เชื่อด้วยว่าคุณหนึ่งจะชวนคนอื่นไปจริงๆ”
“ชุลีก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ข่าวนี้มาจากปากคุณนายเองเลยนะ เธอจำเพื่อนฉัน จำปี จำปา ที่ฉันเล่าให้ฟังว่าไปดูตัวกับคุณพินิจได้ใช่มั้ย สองคนนั้นมาเล่าให้ฟัง คุณนายนวลคุยไปทั้งตลาดว่าคุณหนึ่งมารับมาส่งลูกสาว ซื้อเสื้อผ้ามาให้ พาไปตีกอล์ฟ โอ๊ย คนรู้กันทั้งตลาด ถ้าไม่มีมูลความจริงอยู่บ้าง คงไม่กล้าพูดขนาดนั้น”
ส่องแสงเจ็บใจ คิดว่าจะทำอย่างไรดี
ตอนค่ำ สัทธากลับมาบ้าน เล่าเรื่องของพรรณีให้สุดากับหทัยรัตน์ฟัง สุดาถามด้วยความสงสัย
“พรรณีจะมากินข้าวกับคุณพ่อ คุณแม่ ที่นี่”
“ใช่ พรรณีรับปากพี่แล้ว แลกกับการสอนตีกอล์ฟในวันนี้”
“วันนี้พรรณีมาตีกอล์ฟกับพี่ปุ๊”
“ใช่ สนุกมากๆ เลย เออนี่ เดี๋ยวพี่ไปเรียนคุณพ่อคุณแม่ก่อนนะ”
สัทธารีบเดินออกไป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ ณีถึงได้ออกมาจากบ้าน ไปไหนมาไหนกับพี่ปุ๊ได้”
“นั่นสิ คุณนายนวลปล่อยณีออกมาได้ยังไง”
ทันใดนั้นสัทธาก็โผล่หน้ากลับเข้ามา
“เออปุ้ม”
หทัยรัตน์กับสุดา กำลังคุยกันอยู่ ตกใจร้องดัง
“ว้าย”
“คะๆๆ อะไรคะพี่ปุ๊”
“พี่มีเรื่องจะคุยกับเรา แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ขอฝากไว้ก่อน”
สัทธาพูดจบก็หันหลังเดินออกไปอีกรอบ สุดาโล่งอก
“เฮ่อ เกือบไปแล้ว”
หทัยรัตน์แปลกใจว่าสัทธาจะคุยเรื่องอะไร
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 6 (ต่อ)
พินิจนั่งอยู่ในห้องรับแขก พูดต้อนรับส่องแสงอย่างเป็นมิตร
“น่าเสียดายจริงๆ ครับคุณส่อง ณีเพิ่งจะออกไปเก็บค่าเช่าแผงกับคุณแม่เมื่อกี๊นี้เอง คุณส่องมีธุระอะไรกับณีเหรอครับ”
“ก็แค่จะมาถามอะไรนิดหน่อย แต่ ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรค่ะ คุยเรื่องคุณพินิจก็ได้ค่ะ ส่องได้ข่าวมาว่า คุณพินิจนัดดูตัวจำปา จำปี ลูกสาวคุณนายลำเจียกใช่มั้ยคะ”
“คนคงจะพูดกันไปทั้งพระนครแล้วใช่มั้ยครับ”
“คุณพินิจทำหน้าแบบนี้ แสดงว่า ไม่ได้อยากแต่งใช่มั้ยคะ”
“ในฐานะที่คุณส่องแสงเป็นญาติของปุ้ม ผมขอพูดอย่างเปิดอก เผื่อว่าคำพูดของผมจะไปถึงหูเธอ”
ส่องแสงหูผึ่งเตรียมฟัง
“ผมไม่สามารถแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นได้ นอกจากปุ้ม เพราะเธอคือผู้หญิงที่ผมรัก รักมากที่สุด และไม่มีใครมาแทนที่เธอได้”
ส่องแสงรีบปั้นหน้าซาบซึ้งใส่
“ซาบซึ้งมากๆ เลยค่ะ ส่องฟังแล้ว น้ำตาจะไหลเลยนะคะเนี่ย แต่จะว่าไป ถ้าคนที่คุณพินิจอยากแต่งงานด้วยคือ ปุ้ม ก็ลองขอปุ้มแต่งงานดูสิคะ ปุ้มเคยพูดทำนองว่า ถ้ามีคนจริงจัง ขอเขาแต่งงาน บางทีเขาก็จะแต่งเลย เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีผู้ชายคนไหน คิดจะจริงจัง เขาก็เลยยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน”
“จริงเหรอครับ ปุ้มเขาพูดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ”
“จริงค่ะ แหม เรื่องสำคัญขนาดนี้ ไม่มีใครพูดล้อเล่นกันหรอกนะคะ ส่องว่าถ้าคุณพินิจไม่อยากถูกคลุมถุงชน แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ปุ้มนี่แหละคือทางออกที่ดีที่สุด”
ส่องแสงยุยิ้มๆ พินิจฟังแล้วคิดคล้อยตาม
หทัยรัตน์เดินเข้ามาในห้องนอน เห็นซองจดมายประสาทพรวางไว้บนโต๊ะ เธอหยิบมาดู ยิ้มนิดๆ ก่อนจะเปิดอ่าน
“คุณหทัยรัตน์ที่รัก คุณเป็นอย่างไรบ้าง น้องหญิงเขียนจดหมายเล่าเรื่องไปเที่ยวชิดชายชลให้ผมฟัง และเล่าเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณ ผมดีใจที่หนึ่งช่วยคุณไว้ทัน ถ้าผมอยู่ตรงนั้น ผมอยากจะเป็นคนแรกที่ช่วยคุณ ขอบคุณสำหรับจดหมายทุกฉบับที่คุณตอบกลับมาหาผม พร้อมทั้งรายงานการเรียนของหญิงอย่างละเอียด แต่ที่จริงแล้วถึงคุณไม่เขียนบอกผมก็ทราบดีว่าหญิงคงจะตั้งใจและมีความสุขเวลาอยู่คุณ ที่สหรัฐอากาศกำลังหนาวมาก ถ้ามีคุณอยู่ใกล้ๆ ผมคงจะรู้สึกอบอุ่นกว่านี้ แต่อีกไม่นาน เราคงจะได้เจอกันที่ประเทศไทย คิดถึงเสมอ ประสาทพร จรูญลักษณ์”
หทัยรัตน์วางจดหมาย ครุ่นคิด จู่ๆ ภาพตอนหนึ่งจูบก็แว่บเข้ามา เธอหลับตา ส่ายหน้า อยากจะไล่ความคิดนั้นออกไป
“รีบกลับมานะคะคุณชาย”
หทัยรัตน์ฝากความหวังไว้ที่ประสาทพร
ตอนค่ำ อนวัชอุ้มกรกนกลงนอนบนเตียง
“ขอบคุณมากค่ะพี่หนึ่ง รู้ข่าวดีเรื่องพี่ชายใหญ่หรือยังคะ”
“อีกไม่นาน คุณชายจะได้กลับมาแล้วใช่มั้ยครับ”
“ใช่แล้วค่ะ ตอนหญิงอ่านจดหมาย หญิงดีใจจนร้องไห้เลยค่ะ”
“ดีใจที่จะไม่ต้องอยู่กับพี่หนึ่งแล้วใช่มั้ยครับ”
“ไม่ใช่นะคะ หญิงไม่ได้คิดแบบนั้น พี่หนึ่งดูแลหญิงอย่างดี หญิงจะคิดแบบนั้นได้ยังไง พี่หนึ่งอย่าน้อยใจนะคะ”
อนวัชแกล้งทำหน้าเศร้า กรกนกลุ้น แล้วเขาก็ยิ้มแฉ่ง
“พี่หนึ่งไม่น้อยใจก็ได้ แต่พี่หนึ่งจะขอแวะไปเยี่ยมน้องหญิงบ่อยๆ ได้หรือเปล่าครับ”
“ได้สิคะ พี่หนึ่งจะไปเยี่ยมบ่อยแค่ไหนก็ได้ ทุกวันเลยก็ได้ค่ะ หญิงยินดี”
“ขอบคุณครับ เอ่อ คุณหญิงครับ ระยะนี้พี่หนึ่งไม่ได้กลับมากินอาหารกลางวันที่บ้าน เลยไม่รู้ว่าคุณครูหทัยรัตน์สอนคุณหญิงเป็นอย่างไรบ้างครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“คุณครูปุ้มไม่ได้มาสอนหญิงสักพักหนึ่งแล้ว คุณครูให้พี่แป้นมาสอนแทนค่ะ”
“ไม่ได้มาสอน ทำไม”
“ตอนนั้นคุณครูเป็นแผลที่มือ เพราะตกจากตู้น่ะค่ะ หลังจากนั้นก็ไม่สบาย ก็เลยยังไม่ได้มาสอน”
“แล้วคุณครูบอกหรือเปล่าจะมาสอนอีกครั้งเมื่อไหร่”
อนวัชรีบถามด้วยความร้อนใจ
ตอนเช้า หทัยรัตน์บอกเรื่องสอนหนังสือกรกนกกับสุดา
“ปุ้มคิดว่าจะไม่ไปสอนคุณหญิงที่เพชรลดาอีกแล้วค่ะ”
สุดาตกใจ
“อ้าว ทำไมล่ะปุ้ม”
“คือ ปุ้มเกรงว่าถ้าคุณนายนวลไม่ยอมหยุด และยังตามไปราวีที่เพชรลดาอีก คุณหญิงอาจจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย และคุณหญิงเองก็ชอบเรียนกับพี่แป้น ถ้าพี่แป้นไม่ลำบาก ปุ้มจะฝากให้ไปสอนคุณหญิงแทน จนกว่าคุณชายจะกลับ”
“พี่ไม่ลำบากอยู่แล้ว พี่ก็ชอบสอนคุณหญิง ว่าแต่ปุ้ม ที่ไม่ไปสอนเพราะเรื่องคุณนายนวลอย่างเดียวเหรอ”
หทัยรัตน์ชะงัก นึกถึงตอนที่ถูกอนวัชจูบ
“ใช่ค่ะ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เกินพอแล้วค่ะ ปุ้มขอตัวออกไปข้างนอกก่อนนะคะ”
“อ้าว วันนี้ณีจะมากินข้าวกับคุณพ่อ คุณแม่ ปุ้มไม่อยู่กินข้าวด้วยกันเหรอ”
“ปุ้มอยากอยู่นะคะ แต่มีธุระสำคัญจริงๆ ฝากขอโทษพรรณีด้วยนะคะ ปุ้มไปก่อนนะคะ”
หทัยรัตน์รีบเดินออกไปทันที สุดาครุ่นคิด รู้สึกว่าหทัยรัตน์ร้อนรนแปลกๆ
หทัยรัตน์เดินออกมา และเดินเลี้ยวไปทางขวา
ส่วนทางซ้ายรถอนวัชแล่นมาแอบจอดที่ริมถนน ก่อนถึงเดือนประดับ พรรณีนั่งอยู่บนรถด้วย
“ขอบคุณพี่หนึ่งมากนะคะ ที่ออกหน้าไปรับณีออกมา ถ้าพี่หนึ่งไม่ช่วย ณีคงไม่ได้ออกมาตามที่พี่ปุ๊ขอแน่ๆ ไม่รู้ว่าจะใช้แผนนี้หลอกคุณแม่ไปได้นานอีกแค่ไหน”
“อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องอนาคตเลยครับ ตอนนี้ปุ๊กับคุณลุงคุณป้าคงรออยู่แล้ว ณีควรจะทำตัวให้สดใส ปุ๊จะได้สบายใจ”
“ค่ะ ขอบคุณพี่หนึ่งอีกครั้งนะคะ”
อนวัชขับรถออกไปกำลังจะเลี้ยวไปขวา แต่พลันเห็นผู้หญิงเดินอยู่ริมถนนทางด้านซ้าย เห็นแค่แผ่นหลัง แต่คุ้นๆ คิดว่าน่าจะเป็นหทัยรัตน์
“จะไปไหนของเขา”
หทัยรัตน์หอบเอกสารเดินไปอย่างรีบเร่ง อนวัชคิดๆ อยากรู้
สัทธากำลังทำอาหารด้วยความชุลมุน ทั้งหั่นผัก ต้มน้ำแกง ตำน้ำพริก ทอดปลา ดูยุ่งเหยิงมาก ทิพย์เดินเข้ามากับสุทธิ์
“พ่อปุ๊ ทำไมครัวมันถึงได้กระเจิดกระเจิงแบบนี้”
“นั่นสิ ทำไมไม่ให้เด็กๆ ทำ เราจะทำอาหารเองทำไม”
สุดาเดินตามมาสมทบ พอเห็นครัวก็ตกใจ
“โห นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะเนี่ยคุณพ่อ คุณแม่”
“ก็พี่เราน่ะสิ อยากจะทำอาหารอวดสาว แม่บอกว่าให้เด็กทำก็ไม่ยอม แม่จะทำเองก็ไม่ให้ อยากจะทำเอง ดูสิ แค่สภาพครัวก็รู้แล้วว่าไม่เคยเข้าครัว”
“โธ่ คุณแม่อย่าดูถูกสิครับ ตอนผมเข้าเวร หรือไปออกฝึกที่ต่างจังหวัด ผมเป็นพ่อครัวประจำกลุ่มนะครับ ไม่ว่าทำอะไร เพื่อนๆ กินเรียบ”
“เพราะเขาไม่อะไรกินหรือเปล่าพี่ปุ๊ อ้าวๆๆ พี่ปุ๊ระวังๆ น้ำเดือดใหญ่แล้ว พี่ปุ๊น้ำล้นๆ”
สุดาโวยวาย สัทธารีบยกหม้อน้ำมาวางไว้ข้างๆ แล้วก็หันมาปาดเหงื่อพร้อมกับสั่งสุดา
“แป้นพาคุณพ่อคุณแม่ไปรอที่ตึกก่อนไป มายืนลุ้นแบบนี้ พี่ไม่มีสมาธิ”
“คุณพ่อคุณแม่คะ พี่ปุ๊พาลใหญ่แล้ว เราขึ้นไปรอที่ตึกเถอะค่ะ ถ้าโมโหกว่านี้ พี่ปุ๊จะจับแป้นต้มซะก่อน”
ทั้งสามหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินออกจากครัวไป สัทธาหันมามองอาหารที่ยังไม่เสร็จสักอย่าง แล้วก็รีบทำต่ออย่างลนลาน
พรรณีเดินเข้าในเดือนประดับ แต่เห็นบ้านเงียบๆ จะทำอย่างไรดี แหววเดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาพบใครคะ”
พรรณีหันไปตามเสียง
หม้อลวกผักวางอยู่บนโต๊ะ สัทธาหันซ้ายหันขวาทำอาหารอย่างชุลมุน ดูนาฬิกายิ่งร้อนใจ รีบเร่งขึ้นอีก และมือก็พลาดไปปัดหม้อน้ำร้อนตกลงพื้น น้ำร้อนๆ กระเด็นโดนขา
“โอ๊ย”
พรรณีเดินเข้ามาพอดี
“พี่ปุ๊ ระวังนะคะ เดี๋ยวณีช่วยค่ะ”
พรรณีรีบหยิบผ้ามาเช็ดขาให้สัทธาอย่างไม่รังเกียจ สัทธาเกรงใจรีบจับตัวขึ้น
“ณีไม่ต้อง พี่เช็ดเอง นี่ณีมาถึงนานหรือยัง”
“เพิ่งมาถึงค่ะ เด็กรับใช้บอกว่าพี่ปุ๊อยู่ครัว ณีเลยเดินมาดู แล้วพี่ปุ๊ทำอะไรคะเนี่ย”
“ก็ พี่อยากทำอาหารให้ณีกินน่ะ พี่ก็เลย เข้าครัวเอง”
พรรณีมองไปรอบๆ แล้วก็หัวเราะ
“โห ถ้าพี่ปุ๊ไม่บอกว่าทำอาหารอยู่ ณีคงนึกว่ามีคนมาตีกันอยู่ในครัว”
“ก็ นานๆ ทำที แต่ทำด้วยความตั้งใจนะ พี่ตื่นมาตั้งแต่ตีห้า”
“ตีห้า แล้วทำอะไรเสร็จแล้วบ้างคะ”
“ยังเลยจ้ะ ยังไม่เสร็จสักอย่าง แต่พี่ตั้งใจนะ“
“โถ ณีรับทราบถึงความตั้งใจค่ะ ทราบและก็ซึ้งใจมาก แต่ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ อาจจะไม่ทันมื้อกลางวัน แล้วพี่ปุ๊ก็ดูเหนื่อยมาก ขาก็โดนน้ำร้อนอีกต่างหาก นั่งเฉยๆ แล้วให้ณีทำต่อดีกว่าค่ะ”
“ไม่ได้นะ ไม่ได้ ณีเป็นแขกของพี่ พี่จะให้มาทำอาหารได้ยังไง เสียมารยาทมากๆ”
“ไม่ต้องคิดเรื่องมารยาทหรอกค่ะ ณีทำด้วยความเต็มใจ พี่ปุ๊เหนื่อยมาตั้งแต่ตี 5 แล้ว พักเถอะค่ะ พี่ปุ๊ทำมาเยอะแล้ว เดี๋ยวณีทำต่อเอง นะคะ”
สัทธายิ้มใจอ่อน แล้วก็ยอม พรรณีหันไปยกเก้าอี้มาให้ชายหนุ่มนั่งรอ ตัวเองมองไปรอบๆ ครัว แล้วก็ลงมือทำอาหารที่เหลืออย่างคล่องแคล่ว สะอาดสะอ้าน และเป็นระเบียบ ทิพย์ยืนแอบดูอยู่ด้วยความชื่นชม สุดาค่อยๆ เดินเข้ามา แล้วก็แซว
“มาแอบดูว่าที่ลูกสะใภ้เหรอคะ คุณแม่”
ทิพย์สะดุ้งนิดๆ หันมาค้อน
“ไม่ได้แอบดู เขาเรียกว่า เก็บข้อมูลจ้ะ หน่วยก้านดีใช้ได้ หยิบจับทำครัวได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ขัดหูขัดตา ที่เหลือก็ต้องลองชิมว่ารสชาติจะผ่านหรือเปล่า”
“ถ้ารสชาติผ่าน จะถือว่าผ่านเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ได้หรือเปล่าคะคุณแม่”
ทิพย์ยิ้มๆ ไม่ตอบ เฝ้าดูต่อไป สุดามองแม่ตัวเองแล้วก็ขำๆ พรรณีทำอาหารอย่างตั้งใจ
โดยไม่รู้เลยว่ามีคนแอบดูอยู่ สัทธานั่งมองมองไปยิ้มไป มีความสุข
หน้าสถานทูตอังกฤษ หทัยรัตน์เดินเข้าไปพร้อมกับซองเอกสารอย่างมีหวัง อนวัชเดินตามมา สงสัย
“มาทำอะไรที่สถานทูต”
หทัยรัตน์ยื่นซองเอกสารพร้อมใบสมัครงาน
“ดิฉันมาสมัครงานค่ะ เห็นประกาศตำแหน่งว่างในหนังสือพิมพ์”
“วางไว้ตรงนี้ได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ไม่ไกลกันนัก อนวัชทำเป็นยืนอ่านประกาศ หทัยรัตน์เดินกลับออกไป อนวัชมองตาม คิดๆ“สมัคร”
หทัยรัตน์เดินอยู่ในสวนข้างสถานทูต เสียงอนวัชดังขึ้น
“จะหางานใหม่ ทำไมไม่บอก”
หทัยรัตน์ชะงัก ตกใจ หันขวับมาที่ต้นเสียง เห็นอนวัชยืนอยู่ ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาทำหน้ารู้ทัน
“ดิฉันไม่บอก เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว”
“แต่เธอเป็นคุณครูของน้องหญิง การหาใหม่จึงถือเป็นเรื่องของงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว”
“ดิฉันหาครูคนใหม่ให้คุณหญิงเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณหญิงเองก็พึงพอใจ”
“ถึงคุณหญิงจะพอใจ แต่ฉันก็ไม่ให้เธอไป”
“คุณเป็นอะไรของคุณ จะมาเอาชนะอะไรกับฉัน จะมายุ่งกับฉันทำไม”
“เพราะเธอมายุ่งกับคนรอบข้างฉัน เธอมาปั่นหัวเพื่อนรัก และญาติสนิทของฉัน ฉันถึงยอมอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อไหร่ที่เธอเลิกยุ่งกับพินิจ และคุณชายประสาทพร แม้แต่หางตาของฉันก็ไม่มีวันจะหันมาทางเธอ”
หทัยรัตน์เม้มปากแน่น ทั้งแค้น ทั้งหมั่นไส้ อนวัชดินเข้ามาใกล้ หทัยรัตน์ถอยจนหลังชนฝา อนวัชจะตามมา เธอรีบพลิกตัวหนี กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย อนวัชยิ้มรู้ทัน
“ฉันไม่อนุมัติเรื่องการเลิกสอน พรุ่งนี้เธอต้องมาสอนคุณหญิงตามปกติ”
อนวัชออกคำสั่งแล้วก็เดินไป หทัยรัตน์คิดแค้น
ตอนค่ำ พรรณี พินิจ นวลนั่งกินข้าว พรรณีมีความสุข
“วันนี้ไปเที่ยวกับคุณหนึ่งเป็นยังไงบ้าง คุณหนึ่งพาไปกินข้าวที่ไหน แล้วมีใครเห็นบ้างหรือเปล่า”
“เอ่อ ก็มีเห็นบ้างค่ะ ไปกินที่ราชวงศ์ ก็ดีค่ะ สนุกดีค่ะ”
พรรณีนึกถึงตอนนั่งกินข้าวในเดือนประดับ สัทธา สุดา ทิพย์ และสุทธิ์ กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
“น้ำพริกอร่อยมากจ้ะ กลมกล่อมกำลังดี แกงจืดก็อร่อย น้ำใส แต่มีรสชาติ แม้แต่ผักลวกก็ลวกได้กรอบดี”
“สรุปว่าอร่อยทุกอย่างใช่มั้ยครับคุณแม่ ณีเป็นคนทำทุกอย่างเลยนะครับ”
สัทธายิ้มปลื้ม
พรรณียิ้มมีความสุขเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ตอนกลางวัน นวลยิ้มตาม
“มันต้องอย่างนี้สิลูก ไม่เสียแรงที่เบ่งออกมา แม่ไม่ห่วงยัยณีแล้ว คราวนี้ก็เหลือเรา ตกลงจะเอายังไง เลือกได้หรือยัง แม่จำปา หรือ แม่จำปี คุณนายลำเจียกเขาก็รอคำตอบอยู่ ตกลงปลงใจกันได้ จะได้หาฤกษ์ ตกแต่งกันไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
“ผมขอเวลาคิดอีกสักพักนะครับ ถ้าได้คำตอบแล้วจะรีบบอก”
“อย่างช้านักล่ะ ผู้หญิงดีๆ ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ จะหลุดมือไปซะหมด ถ้าเราคิดนานเกินไป แม่จะเลือกให้เอง”
พินิจเครียด คำพูดที่คุยกับส่องแสงแว่บเข้ามาในความคิด
“ผมไม่สามารถแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นได้ นอกจากปุ้ม เพราะเธอคือผู้หญิงที่ผมรัก รักมากที่สุด และไม่มีใครมาแทนที่เธอได้”
“ถ้าคนที่คุณพินิจอยากแต่งงานด้วยคือปุ้ม ก็ลองขอปุ้มแต่งงานดูสิคะ ปุ้มเคยพูดทำนองว่า ถ้ามีคนจริงจัง ขอเขาแต่งงาน บางทีเขาก็จะแต่งเลย เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีผู้ชายคนไหน คิดจะจริงจัง เขาก็เลยยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน”
พินิจคิด ตัดสินใจบางอย่าง
วันต่อมา กรกนกรายงานอนวัช
“วันนี้คุณครูไม่ได้มาสอนค่ะ”
สุดานั่งประจำตำแหน่งหทัยรัตน์ พูดเสริมขึ้น
“แป้นมาสอนแทนปุ้มจนกว่าคุณชายจะกลับมา ย้ายกลับไปที่บ้านคุณหญิงเมื่อไหร่ ปุ้มจะสอนเหมือนเดิม ปุ้มบอกว่าแจ้งให้พี่หนึ่งทราบแล้วนี่คะ”
อนวัชแค้นใจที่หทัยรัตน์กล้าขัดคำสั่งเขา
พินิจยืนรอหทัยรัตน์อยู่ที่สวนหน้าเดือนประดับ ใบหน้าอิดโรย
หทัยรัตน์เดินมาเห็นพินิจยืนหันหลังอยู่ ชะงักคิด และเดินมาหา
“พี่นิจมีธุระอะไรกับปุ้มเหรอคะ”
พินิจหันมาเห็น ยิ้มเหนื่อยๆ
“พี่มีธุระสำคัญมากอยากจะปรึกษา พี่ต้องขอโทษที่มารบกวน แต่พี่คิดทางอื่นไม่ออกจริงๆ ไม่ทราบว่าปุ้มจะยินดีรับฟังหรือเปล่า”
“พูดมาเถอะค่ะ ถ้าพอจะช่วยอะไรได้ ปุ้มยินดีรับฟัง”
“ขอบคุณครับ สิ่งที่พี่พูดอาจจะทำให้ปุ้มลำบากใจและไม่สบายใจ แต่มันเป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจพี่มาตลอดเวลา ระยะหลังเราห่างเหินกันมาก ปุ้มไม่ได้ติดต่อพี่กับณี และดูเหมือนปุ้มเองก็ รังเกียจพี่ พี่อยากรู้ว่าพี่ทำผิดอะไร หรือทำอะไรให้ปุ้มไม่พอใจหรือเปล่า”
“เปล่านี่คะ พี่นิจไม่ได้ทำผิดอะไร ที่ปุ้มไม่ได้ติดต่อไปเพราะปุ้มมีงานต้องทำ พรรณีเองก็ไม่ได้ติดต่อปุ้ม คงจะมีงานยุ่งเหมือนกัน”
“แสดงว่าปุ้มไม่ได้รังเกียจพี่”
“เรื่องที่จะพูดมีแค่นี้ใช่มั้ยคะ”
“ยังครับ ยังไม่หมด ยังมีอีกเรื่อง”
พินิจมองหทัยรัตน์ด้วยแววตาอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง ตัดสินใจพูดความในใจออกมา
“พี่อยากจะบอกว่า ตลอดระยะเวลาที่เรารู้จักกัน มีสิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจ และพี่เก็บมันไว้ไม่ยอมบอก แต่วันนี้ พี่ไม่อยากจะเก็บมันไว้อีกต่อไป ปุ้ม พี่รักปุ้ม”
หทัยรัตน์อึ้งไป
“พี่รักตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน รักตลอดมา และจะรักตลอดไป”
“พี่นิจรู้ตัวหรือเปล่าคะว่าพูดอะไรออกมา”
“พี่รู้ตัว พี่ถึงได้พูดออกมา ถ้าคุณแม่ไม่เร่งรัดให้พี่แต่งงานกับผู้หญิงที่ท่านหามาให้ พี่ก็จะไม่บอก และที่พี่ตัดสินใจบอก..เพราะถ้าปุ้มตอบรับรัก พี่พร้อมจะปฏิเสธผู้หญิงคนนั้น เพื่อแต่งงานกับปุ้ม”
“ปุ้มคิดว่าผู้หญิงที่คุณนายนวลเลือกคงเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและคู่ควรกับพี่มากกว่า ปุ้มรักพี่เหมือนเพื่อน และนับถืออย่างพี่ ไม่เคยคิดมากไปกว่านี้”
“แล้วถ้าผมขอโอกาสล่ะครับ ผมจะทำทุกอย่างให้คุณเห็นใจและรักผม”
“มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เพราะยังไงปุ้มก็รักพี่ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้ล่ะครับ หรือว่า ปุ้มมีคนที่รักอยู่แล้ว”
“ค่ะ”
“ใครครับ ใครคือคนที่ปุ้มรัก”
หทัยรัตน์เงียบ คิดไม่ออก พินิจตอบเอง
“หรือว่า หนึ่ง”
หทัยรัตน์ชะงัก
“ปุ้มรักหนึ่งใช่มั้ย”
หทัยรัตน์รีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เขา”
“แล้วใครครับ ผู้ชายที่โชคดีคนนั้นเป็นใคร หรือว่า หม่อมราชวงศ์ประสาทพร”
หทัยรัตน์สะดุดใจ พินิจคาดคั้นต่อ
“ใช่มั้ยครับ คุณชายประสาทพรคือคนที่ปุ้มรักใช่หรือเปล่า”
“พี่พินิจคะ ปุ้มไม่พูดต่อนะคะ เพราะปุ้มไม่อยากพูดพาดพิงถึงคนที่สาม โดยเฉพาะคุณชายประสาทพรที่เป็นเจ้านายของปุ้ม”
พินิจใจหายวาบ กัดฟันถาม
“ที่ปุ้มไม่แต่งงานกับพี่ เพราะปุ้ม ปุ้มจะแต่งงานกับคุณชายประสาทพรใช่หรือเปล่า”
“ปุ้มจะแต่งงานกับคนที่ปุ้มรักค่ะ”
“และคนที่ปุ้มรักก็คือคุณชายประสาทพร”
“เอ่อ”
“พี่เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากที่รับฟังพี่ พี่ยินดีที่ปุ้มได้พบคนที่ดีและเพียบพร้อม พี่ขอตัวนะครับ”
พินิจลุกขึ้นเดินออกไปอย่างหมดแรง หทัยรัตน์นั่งนิ่ง โล่งอกที่ทำความเข้าใจกับพินิจได้
รถของอนวัชมาจอดที่หน้าเดือนประดับ เขากำลังจะลงจากรถ พินิจเดินเศร้าออกมา อนวัชชะงักกึก มองเพ่ง พอเห็นว่าเป็นพินิจแน่ ก็แปลกใจมาก
พินิจหันมาเห็นอนวัช เขาหน้าซีด เศร้า จนอนวัชตกใจ
จบตอนที่ 6