หนึ่งในทรวง ตอนที่ 2
สัทธากับสุดาทิ้งตัวนั่งอย่างหมดแรง ลงบนโซฟาเดียวกัน .. ในห้องนั่งเล่น ต่างร้อง "เฮ่อ"
"ดูท่าทางสองคนนี้เค้าเกลียดกันมากๆ เลยนะคะพี่ปุ๊" สุดาบอก
"พี่ก็ว่าอย่างงั้น สงสัยชาติก่อนอีกคนทำบุญด้วยปูนอีกคนก็ทำทานด้วยขมิ้น ชาตินี้ถึงได้แตกแยกเป็นสองสี ผสมกันก็ไม่ได้"
"แป้นไม่สบายใจเลยที่ 2 คนเป็นแบบนี้ ตอนเด็กๆเราสองคนก็อึดอัดจะแย่ จะเล่นอะไรก็เล่นไม่ได้ เพราะสองคนนี้มัวแต่ตีกัน เราต้องเป็นคนกลางตั้งแต่เล็กจนตอนนี้โตๆกันแล้ว ก็ยังตีกันอยู่เลย ทำยังไงเค้าถึงจะดีกันคะเนี่ย"
สองพี่น้องครุ่นคิด อย่างจนปัญญา
บ้านเพชรลดาตอนกลางคืน อนวัชคุยกับพิมพ์ ในมุมประจำของพิมพ์
"คุณหนึ่งรู้ตัวแม่ผู้หญิงจอมจองหองคนนั้นแล้วนะพิมพ์ คนที่วิ่งหนีในงานที่สโมสร ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี่เอง เค้าเป็นคนที่คุณหนึ่งรู้จักตั้งแต่เด็ก"
"ถ้ารู้จักกันทำไมตอนแรกคุณหนึ่งถึงจำไม่ได้หล่ะคะ"
"เพราะเวลาได้เปลี่ยนเค้าไปจนคุณหนึ่งจำไม่ได้ ไม่ใช่สิ..ต้องพูดว่าคุณหนึ่งได้ลืมเค้าไปแล้วถึงจะถูกต้อง ลืมไปแล้วว่ายังมีเด็กคนนี้อยู่บนโลก" อนวัชพูดเหยียด
พิมพ์ยิ้มๆ
"แต่ต่อจากนี้ไปคงจะลืมไม่ลงแล้วมั้งคะ"
อนวัชเบ้ปาก
"คนอย่างเด็กนั่น..ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะทำให้คุณหนึ่งจำ หรือหันไปสนใจ ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน"
พิมพ์แทรก
"แล้วในอนาคตหล่ะคะ"
"คุณหนึ่งก็จะไม่สนใจจำเหมือนกัน"
หนึ่งทำเป็นพูดดี ด้วยความมั่นใจ
วันต่อมา ในบ้านเพชรลดา นวล พนัสพงษ์จีบปากจีบคอสุดๆ
"น้าต้องขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวนคุณหนึ่งถึงที่บ้าน แต่..." เธอตีหน้าเศร้า "น้ากลุ้มใจจริง ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร มีแต่คุณหนึ่งนี่หล่ะค่ะ ที่จะพอช่วยน้าได้"
อนวัชฟังด้วยความตั้งใจ
"คุณน้ามีอะไรให้ผมรับใช้ บอกมาได้เลยครับ"
"น้าไม่กล้าใช้คุณหนึ่งหรอกค่ะ เอาเป็นว่า...น้าขอความเห็นใจแทนก็แล้วกันนะคะ คุณหนึ่งจำเรื่องของแม่ผู้หญิงใจดำที่ชื่อหทัยรัตน์ที่น้าเล่าให้ฟังได้ใช่มั้ยคะ"
อนวัชหน้าขรึม เสียงเข้มขึ้นมาทันที
"จำได้สิครับ จำได้แม่นทีเดียว"
"ตอนนี้พินิจยังคร่ำครวญหามันอยู่เลยค่ะ น้าพยายามจะบอกให้ตัดใจเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ก็ไม่ฟัง .. ร่างกายก็ทรุดโทรม จิตใจก็ย่ำแย่ น้าจนปัญญาไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"
เขาฟังแล้วเชื่อ แววตา สีหน้าไม่พอใจ เห็นได้ชัด นวลยังตีหน้า บีบเสียง น่าสงสาร
"น้าอยากจะขอความกรุณาให้คุณหนึ่งช่วยไปพูดกับตานิจหน่อยได้มั้ยคะ เผื่อว่าเค้าจะยอมฟัง และตาสว่าง ตัดใจจากเด็กนั่นเสียที ... วันพรุ่งนี้ตานิจอยู่บ้าน ถ้าคุณหนึ่งพอมีเวลา น้าอยากจะเชิญมาทานของว่างที่บ้านพนัสพงษ์..ไม่ทราบว่าคุณหนึ่งสะดวกหรือเปล่าคะ"
อนวัชคิด ...
พินิจดีใจ
"หนึ่งจะมาหาผมวันพรุ่งนี้ ดีจริง"
พินิจ พรรณี และ นวลนั่งคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน พรรณีนั่งอ่านหนังสือ ไม่ได้สนใจมากนัก
"ดีสิ ถ้าไม่ดี ฉันไม่ลงทุนไปหาถึงบ้านหรอก" พินิจชะงัก นวลหันมาทางพรรณี "แม่ณีอยู่ต้อนรับคุณอนวัชด้วยนะ"
พรรณีเงยหน้าด้วยความสงสัย
"ทำไมหล่ะค่ะ เค้ามาหาพี่นิจนะคะไม่ได้มาหาณี แล้วคนรับใช้บ้านเราก็เยอะแยะ คงจะดูแลได้" พรรณีก้มอ่านหนังสือต่อ
"ก็แม่อยากให้เราอยู่ จะได้ทำความรู้จักกับคุณอนวัช" พรรณีชะงัก "เค้าทั้งหล่อ ทั้งรวย เพียบพร้อมทุกอย่าง เราจะได้ออกมาจากโลกแคบๆของตัวเอง แล้วก็เห็นว่ายังมีผู้ชายอีกมากที่ดีกว่าพี่ชายของยัยเด็กใจดำคนนั้น"
พรรณีหมดอารมณ์อ่านหนังสือเลย ปิดหนังสือ ทำหน้าเซ็ง
"อย่าคิดนะว่าแม่จะไม่รู้เรื่องของเรากับอีตาปุ๊ ตอนแม่ไปเก็บค่าเช่าแผงที่ตลาด คนเค้าลือกันให้ทั่วว่าเราไปดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว กับมันสองต่อสอง แม่สั่งห้ามไว้เลยนะทีหลังอย่าไปกับมันอีก"
พรรณีเศร้า นวลด่าต่อ
"ยศแค่ร้อยโทอย่าหวังจะได้มาเป็นลูกเขยคุณนายนวล ที่สำคัญถ้าดองกับมัน ก็ไม่พ้นต้องไปเจอกับนังเด็กกำพร้านั่น พี่เราก็ตัดใจจากมันไม่ได้สักที" พินิจส่ายหน้า "คนที่จะเข้ามาร่วมชายคาพนัสพงษ์ไม่ว่าจะเป็นเขย หรือ สะใภ้ จะต้องมีสมบัติไม่น้อยไปกว่าที่แม่มีอยู่..จำไว้ทั้งสองคน"
พินิจเศร้า หันไปมองพรรณีด้วยความเห็นใจ พินิจรู้ว่าตัวเองไม่มีหวังเพราะหทัยรัตน์ไม่สนใจ แต่สำหรับพรรณีต่างกันที่ ทั้งพรรณีและสัทธารักกัน..พินิจจึงรู้สึกเห็นใจพรรณีมากกว่าตัวเอง พรรณีเศร้า
พรรณีเล่นขิมอยู่ในห้องนอน..เสียงขิมเศร้าๆ เหงาๆ พรรณีเล่นขิมไปด้วยความคิดถึงสัทธา
ฝ่ายพินิจกำลังวาดรูปหทัยรัตน์เป็นการใช้ดินสอดำ วาดลงบนกระดาษวาดรูปที่หนีบไว้กับขาตั้งกลางห้อง พินิจคิดถึงเธอ
ย้อนอดีตในมหาวิทยาลัย พินิจ พรรณี ยืนคู่กัน สัทธา สุดาและหทัยรัตน์ยืนเรียง พรรณีแนะนำ
"แป้น ปุ้ม นี่พี่นิจ...พี่ชายเราเอง พี่นิจเรียนที่นี่เหมือนกัน"
"สวัสดีค่ะ" สุดาและหทัยรัตน์ว่า
พินิจรับไหว้และมองเธอ ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
"พรรณี..นี่พี่ปุ๊ พี่ชายเรา ไม่ได้เรียนที่นี่หรอก วันนี้แค่มารับเรากับปุ้ม" สุดาแนะนำ
พรรณียกมือไหว้
"สวัสดีค่ะ"
สัทธารับไหว้มองพรรณี แล้วก็ยิ้ม ประทับใจตั้งแต่แรกเห็นไม่ต่างกัน พรรณียิ้มนิดๆ
พรรณีเล่นดนตรีเศร้าๆ คิดถึงสัทธา
สัทธาพาพรรณีไปตีมินิกอล์ฟ .. เขาตีอย่างเท่ หันมาทางพรรณี เขาส่งไม้ให้ พรรณีส่ายหน้า เขาไม่ยอมส่งให้อีก พรรณีส่ายหน้า จนเขาเดินมาแล้วขู่
"ถ้าณีไม่ยอมลอง .. พี่จะยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนทั้งนั้น"
"พี่ปุ๊คะ..แต่ณี..ไม่เคยตี ณีกลัวว่าจะตีไม่ถูกลูก"
"ไม่ถูกก็ไม่ถูก ไม่เห็นต้องกลัวเลย .. พี่สอนให้เอง"
พรรณีคิดๆ เอาไงดี แล้วก็พยักหน้า
พรรณีหัดตีกอล์ฟ มีเขาเป็นคนสอน พรรณีตีตอนแรกไม่โดน เขาปรับท่า ก็ยังไม่โดน พรรณีใจเสีย เขาส่งสายตาให้กำลังใจ พรรณีรวบรวมสมาธิแล้วก็ตีอย่างแรง โดนลูกอย่างจัง ลูกลอยไปไกล พรรณีดีใจกระโดดตัวลอยด้วยความลืมตัว แล้วก็รีบเก็บกริยากลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิม แต่ยังยิ้มดีใจสุดๆ เขาหัวเราะกับท่าทางของพรรณี แล้วก็ปรบมือ เขามองพรรณีด้วยความเอ็นดู พรรณียิ้มมีความสุข ปุ๊เหมือนคนที่พาเธอก้าวผ่านกรอบที่แม่ยัดเยียดให้ตั้งแต่เด็กและค้นพบอิสรภาพบางอย่างที่อยู่ในตัวเอง พรรณีหันมาทางสุดาและหทัยรัตน์ที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ทั้งสองคนรับรู้ความรู้สึกของสัทธากับพรรณีเป็นอย่างดี
พินิจวาดอย่างตั้งใจ แล้วก็คิดถึงหทัยรัตน์ ..
ในมหาวิทยาลัยตอนเย็นๆ เห็นป้าย “ชมรมวาดรูป” .. พินิจถือสมุดสเก็ตซ์รูปยืนอยู่กับเพื่อนๆ ผู้ชายอีก 4-5คน มีรุ่นพี่ยืนสั่ง
"วันนี้เราจะวาดภาพเหมือนกัน หาเพื่อนช่วยเป็นแบบ ครั้งที่แล้วเราวาดรูปผู้ชายแล้ว วันนี้ผมขอเป็นผู้หญิงนะครับ ส่งภายในวันนี้"
เพื่อนรับคำและแยกย้าย แต่ละคนก็ไปขอเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้นๆ ช่วยมาเป็นแบบ
พินิจยืนเขินๆ อายๆ มองๆไปรอบๆ เห็นผู้หญิงนั่งก็ไม่กล้าเดินไปขอ พินิจเครียดทำยังไงดี ... เสียงหทัยรัตน์ดังขึ้น
"พี่พินิจคะ" พินิจหันมา เธอยกมือไหว้ "สวัสดีค่ะ ปุ้มเพิ่งรู้ว่าพี่พินิจอยู่ชมรมวาดรูป แล้วนี่..กำลังทำอะไรคะ"
พินิจกำลังจะตอบ แล้วก็นึกได้
"ปุ้ม..พี่ขอความช่วยเหลือสักอย่างได้มั้ย"
เธอขมวดคิ้วสงสัย
เธอเป็นแบบนั่งให้พินิจวาดรูป พินิจวาดอย่างตั้งใจ เธอนั่งเมื่อยแต่ก็ทน พินิจเห็นใจและเห็นน้ำใจข ยิ่งพินิจ
วาดยิ่งเห็นความสวยงามที่ประทับใจ ขึ้นเรื่อยๆ เธอนั่งหลับสัปงกแล้วก็ตื่นมาใหม่ พินิจขำ เธอเขินๆ พินิจมองปุ้มแล้วก็ยิ้มกับความเป็นธรรมชาติ ไม่มีฟอร์มของเธอ
พรรณีเล่นขิมด้วยอารมณ์ที่คึกคักขึ้น ความคิดถึงยังพลุ่งพล่าน
สัทธาพาพรรณีไปทำกิจกรรมแบบที่ไม่เคยทำ เช่น ยิงปืน / ขี่ม้า / กระโดดน้ำที่คลอง และว่ายน้ำในคลองอย่างสนุกสนาน พรรณีกระโดดน้ำตูม แล้วก็หาเขาไม่เจอ ทันใดนั้น สัทธาก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าพร้อมกับเอาสาหร่ายมาทำเป็นหนวด แล้วก็ทำหน้าเข้มๆ พรรณีตกใจร้องวี๊ดว้าย เขาหัวเราะ พรรณีเอาสาหร่ายยัดปาก เขารีบหุบปากแต่ไม่ทันสำลักน้ำ พรรณีหัวเราะบ้าง แล้วก็รีบว่ายน้ำหนี สองคนเล่นน้ำหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
พรรณีได้หัวเราะสุดเสียงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หทัยรัตน์กำลังซ้อมดรัมเมเยอร์งานกีฬาสี พินิจซ้อมวิ่งไปมองเธอไปด้วย เธอหันมายิ้มและโบกมือให้อย่างถือตัว
พินิจโบกมือรับด้วยความดีใจ หนุ่มๆมองด้วยความอิจฉา
ในห้องสมุด พินิจนั่งกุมขมับอ่านภาษาอังกฤษ เธอเดินเข้ามามองไปรอบๆโต๊ะ เต็ม พินิจหันไปเห็น โบกมือเรียก เธอเดินมายกมือไหว้ แล้วก็นั่งด้วย พินิจกลุ้มใจกับภาษาอังกฤษต่อ เธอชำเลืองมองนิดๆ แล้วก็เขียนยุกยิกๆ ในกระดาษส่งให้ พินิจรับมาดูแล้วก็ยิ้ม ลืมตัวโพล่งออกมาเสียงดัง
"ขอบคุณมากเลยปุ้ม ! พี่คิดตั้งนาน คิดไม่ออก ขอบคุณจริงๆ !"
คนทั้งห้องสมุดหันขวับมาแล้วก็จุ๊ปาก..ชู่ว์ ! พินิจรีบปิดปาก เธอขำๆกับความลืมตัวของพินิจ พิเขาหัวเราะอายๆ แล้วก็ทำปากแบบไม่มีเสียง "ขอบคุณมาก" เธอทำตอบไม่มีเสียงเหมือนกัน "ไม่เป็นไรค่ะ" แล้วก็เปิดหนังสืออ่าน พินิจมองปุ้มด้วยความประทับใจ ที่ใส่ใจตัวเอง แม้จะไม่ได้ถามแต่ก็รู้ว่ากำลังมีปัญหาอยู่
พินิจวาดรูปปุ้มเสร็จแล้วก็มองด้วยความคิดถึง
พินิจมองรูปปุ้ม..เศร้า
พรรณีเล่นขิมด้วยความเศร้า....จบเพลง....พรรณีค่อยๆวางเครื่องดนตรีลง เสียงนวลดังเข้ามา
"ยศแค่ร้อยโทอย่าหวังจะได้มาเป็นลูกเขยคุณนายนวล คนที่จะเข้ามาร่วมชายคาพนัสพงษ์ไม่ว่าจะเป็นเขย หรือ สะใภ้จะต้องมีสมบัติไม่น้อยไปกว่าที่แม่มีอยู่..จำไว้ทั้งสองคน"
พรรณีเศร้า ....
บ้านพนัสพงษ์ เช้าวันต่อมา ... ภายในบ้านห้องนอนพรรณี นวลเปิดประตูเข้ามา แล้วตะโกนเรียก
"ยัยณี .. ณี ... พรรณี" ไม่มีเสียงตอบ นวลกวาดตาไปรอบๆ รีบเดินหา "พรรณี ยัยณี"
พินิจเดินออกมาจากห้องนอน
"ณีบอกว่าที่โรงเรียนมีงานสำคัญ ครูใหญ่เรียกให้เข้าไปช่วยด่วนครับ"
"ไม่จริง แม่ไม่เชื่อ ยัยณีคิดจะเก ไม่อยู่เจอคุณหนึ่งใช่มั้ย ไม่ได้นะ ให้คนรถไปตามมาเดี๋ยวนี้เลย ไปโรงเรียนใช่มั้ย แม่ไปตามเอง"
เสียงรถหนึ่งแล่นเข้ามาในบ้าน พินิจดึงแม่ ได้ทีรีบบอก
"แม่ครับ..หนึ่งมาพอดี ถึงคุณแม่ไปรับณีที่โรงเรียนตอนนี้ ก็กลับมาไม่ทันหนึ่งอยู่ดี ... เสียเวลาเปล่าครับ"
พินิจพูดจบก็เดินไปเลย .. นวลได้แต่ยืนกัดฟันกรอดๆๆ ด้วยความไม่พอใจ
"ยัยณี นะยัยณี ขัดใจแม่จริงๆ ! ตานิจคุยกับคุณหนึ่งไปนะ แม่จะเข้าไปดูในครัว คุณหนึ่งเค้าพูดอะไรเราก็ตั้งใจฟังเค้าหน่อยนะ"
พินิจหันมามองหน้านวลแปลกใจ แต่ก็พยักหน้ารับแบบงงๆ ก่อนจะเดินไปต่อ
"ยัยณีนะ ยัยณี ขัดใจแม่จริงๆ"
อนวัชส่งหนังสือศิลปะให้ เป็นหนังสือรวบรวมภาพศิลปะระดับคลาสสิค พินิจรับมาด้วยความตื่นเต้น
"ฉันจำได้ว่าแกชอบวาดรูป ช่วยฉันทำการบ้านศิลปะได้คะแนนเต็มตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ที่ร้านหนังสือในปารีส คิดถึงก็เลยซื้อมาฝาก"
พินิจเปิดดูด้วยความชอบใจ
"ขอบใจมากๆเลยหนึ่ง ขอบใจจริงๆที่ไม่ลืมฉัน กลับมายุ่งๆ ยังหาเวลามาเยี่ยมฉันถึงสองครั้งสองครา"
"ก็ฉันเป็นห่วงแกน่ะสิ ห่วงทั้งเรื่องร่างกายแล้วก็....จิตใจ" เขาเสียงขรึมขึ้น "โดยเฉพาะเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อหทัยรัตน์"
พินิจชะงัก แปลกใจ แล้วก็คิดได้
"คุณแม่คงจะบอกใช่มั้ย"
พินิจไม่พอใจ
"อย่าโกรธท่านเลย ฉันคาดคั้น ท่านถึงยอมบอก เรื่องของผู้หญิงคนนี้จะว่าไปเหมือนเส้นผมบังภูเขา ฉันรู้จักแม่หทัยรัตน์มาตั้งแต่เด็ก เค้าเป็นเด็กในบ้านของคุณลุงฉันเอง ตอนเด็กๆฉันไปเล่นที่บ้านเดือนประดับบ่อยๆ"
พินิจยิ้มแปลกใจ
"บังเอิญมาก แกรู้จักหทัยรัตน์ ก็คงจะรู้ว่าทำไมฉันถึง...ชอบเค้า"
"ตรงกันข้าม...เพราะฉันรู้จัก ฉันถึงไม่เข้าใจ ฉันว่าเด็กนั่นไม่เห็นมีอะไรน่าชื่นชมสักนิด นอกจากหน้าตา... ที่ก็แค่พอไปวัดไปวาได้"
"ฉันไม่ได้รักหทัยรัตน์ที่หน้าตา สิ่งที่มีค่าของเค้าคือ ความน่ารัก สดใส และจิตใจงดงาม"
อนวัชชะงักไปนิดๆ เห็นสีหน้าของพินิจที่จริงจัง ยิ่งไม่เข้าใจ
"มารยา ! ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เห็นเค้าจะเป็นอย่างที่แกบอกสักนิด เด็กนั่นทั้งหยิ่ง ทั้งจองหอง อวดดี ไม่มีมารยาท"
พินิจขำเบาๆ
"ที่แกพูดแบบนี้ เพราะแกยังไม่รู้จักเค้าดีพอ"
หนึ่งสะดุดกึก...เหมือนโดนท้าทาย
พินิจพูดต่อ
"ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบทำงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก บ่นว่าน่าเบื่อ และมักคิดว่าตัวเองไม่มีความละเอียดอ่อน แต่มันไม่ใช่เลย เวลาผ่านไปหลายปี แต่แกยังจำได้ว่าฉันชอบอะไร..คนจิตใจกระด้างจะไม่ทำแบบนี้"
พินิจมองหน้า อนวัชนิ่งฟัง คิดแย้งในใจตลอด
"มองหทัยรัตน์อย่างไม่มีอคติ แล้วแกจะเห็นตัวตนของเค้าในแบบที่ฉันเห็น"
คำพูดทิ้งท้ายของพินิจยิ่งทำให้เขาสนใจและแปลกใจกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้น
วันต่อมา หทัยรัตน์ยิ้มสดใส ส่งสมุดแบบฝึกหัดให้กรกนก
"คุณหญิงทำโจทย์เลขถูกหมดเลย เก่งจังค่ะ"
"ขอบคุณค่ะ"
"เพื่อเป็นรางวัลให้คนเก่ง .. คุณครูมีของขวัญให้..คุณครูเย็บเองกับมือเลยนะคะ"
เธอส่งตุ๊กตาแมวตัวเล็กที่เย็บเองให้กรกนก
กรกนกตาโต
"น่ารักมากเลยค่ะ..ขอบคุณมากค่ะ"
เธอมองกรกนกแล้วยิ้มตาม
"ดีเลยค่ะ หญิงจะได้เอาไปวางไว้หัวเตียงคู่กับตุ๊กตาหมาที่พี่หนึ่งให้มา"
เธอหุบยิ้มแทบไม่ทัน
"คุณครูว่าไม่ต้องวางใกล้กันก็ได้ค่ะ เพราะว่าสุนัขกับแมวน่ะไม่ค่อยถูกกันนะคะ ถ้าวางใกล้กันจะกัดกันเปล่าๆ"
กรกนกยิ้ม
"ไม่หรอกค่ะ เพราะทั้งสองตัวน่ะรักหญิงเหมือนกัน เค้ารู้ว่าถ้ากัดกันแล้วหญิงจะเสียใจ"
เธอยิ้มหน้าเจื่อนๆ แต่กรกนกยิ้มซื่ออย่างมีความสุข
ประสาทพรเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับรอยยิ้มอารมณ์ดี มีความสุข
"คุณหทัยรัตน์ครับ"
เธอหันมา ยกมือไหว้
"สวัสดีค่ะคุณชาย"
"สวัสดีครับ นี่ก็หมดเวลาสอนแล้ว คุณจะกลับเลยหรือเปล่าครับ ผมขอไปส่งนะครับ"
เธอรีบบอก
"อย่าเลยค่ะ ลำบากคุณชายเปล่าๆ ปุ้มกลับเองได้ ขอบคุณค่ะ" เธอหันไปเก็บของ
"ทำไมคุณครูไม่ให้พี่ชายไปส่งหล่ะคะ ? ให้พี่ชายไปส่งเถอะนะคะคุณครู"
"เอ่อ"
ประสาทพรเสริม
"จริงครับ น้องหญิงพูดถูก ให้ผมไปส่งเถอะครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ"
"เรื่องอะไรคะ"
หทัยรัตน์แปลกใจ
หน้าร้านอาหารหรูดูดีมีราคา เธอยืนอยู่กับประสาทพร แล้วหันมาถามด้วยความแปลกใจ
"คุณชายบอกว่าจะคุยกับดิฉันเรื่องคุณหญิง เราคุยกันที่กนกพรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่"
"ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเลี้ยงอาหารคุณเป็นการตอบแทนที่ทำให้น้องหญิงร่าเริงขึ้น"
"มันเป็นหน้าที่ของดิฉันค่ะ ไม่ทราบว่าเรื่องที่จะคุยคืออะไรคะ คุยตรงนี้ก็ได้ค่ะ"
"เอ่อ.. คุณหทัยรัตน์ครับ..ถ้าผมบอกว่า ผมเอาชื่อน้องหญิงมาอ้างเพื่อชวนคุณมาที่นี่ คุณจะโกรธมั้ยครับ"
"โกรธค่ะ" ประสาทพรชะงัก "โกรธที่คุณชายโกหกดิฉัน"
ประสาทพรอึ้งไป
" เอ่อ..ผมขอโทษนะครับ"
"ค่ะ ดิฉันจะยกโทษให้เพราะถือว่าเป็นความผิดครั้งแรก แต่ถ้าคุณชายโกหกดิฉันแบบนี้อีก ดิฉันคงจะไม่ให้อภัย และจะไม่วางใจคุณชายอีกเลย"
"ครับ..ผมจะจำไว้และจะไม่ทำอีก..ผมไม่กล้าโกหกคุณแล้วครับ คุณนี่เห็นหน้าหวานๆ แต่เป็นคนดุเหมือนกันนะครับ"
"คุณชายยังไม่รู้จักดิฉันดีพอค่ะ บางทีดิฉันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณชายคิดก็ได้"
"งั้นผมจะพยายามทำความรู้จักกับคุณให้มากกว่านี้"
ปุ้มนิ่งไม่โต้ตอบ ประสาทพรยิ้มพอใจในความตรงไปตรงมาของปุ้ม"
ประสาทพรแอบอ้อนๆ
"แต่เราก็มาถึงแล้ว ตอนนี้ผมหิวมาก คุณจะให้เกียรติรับประทานอาหารเป็นเพื่อนผมได้มั้ยครับ อิ่มแล้ว ผมจะรีบไปส่งที่บ้านทันที ! นะครับ "
เธอมองแล้วก็คิด... ด้วยความอึดอัดและจำใจ
ส่องแสงนั่งกินข้าวในร้านอาหารมังกรทองและผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็คืออนวัช ส่องแสงนั่งลอยหน้าลอยตา ภูมิใจสุดๆ ที่ได้กินข้าวกับเขามื้อนี้
"ส่องดีใจมากๆเลยนะคะ ที่พี่หนึ่งว่าง ร้านนี้เป็นร้านดังของพระนครในตอนนี้ รสชาติถูกปากมั้ยคะ"
"อร่อยครับ ร้านก็ตกแต่งสวยงาม สมแล้วที่เป็นที่นิยม"
"ชอบก็รับประทานเยอะๆนะคะ หรือจะมาอีกก็ได้นะคะ ถ้าพี่หนึ่งอยากมา ส่องว่างเสมอ"
ส่องแสงยิ้มมั่นใจ เขายิ้มรับเป็นมารยาท ส่องแสงเหลือบไปเห็นประสาทพรเดินเข้ามาในร้านพอดี
"อุ๊ย..หม่อมราชวงศ์ประสาทพรมา คุณชายเป็นญาติของพี่หนึ่งใช่มั้ยคะ"
หนึ่งยิ้มดีใจ
"ใช่..ไหน คุณชายอยู่ตรงไหน"
"อยู่ตรงนั้นไงคะ อุ้ยตาย ควงผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มาด้วย เห็นไม่ถนัด"
หนึ่งหันไปดูด้วย ประสาทพรเดินเข้ามากับหทัยรัตน์ ท่านชายเปิดประตูให้อย่างสุภาพ
อนวัชชักสีหน้า ส่องแสงตาวาวได้ช่องรีบยุ
"เด็กปุ้ม"
เขารีบหันหน้ากลับมาทันที ทำเป็นไม่อยากจะสนใจ แต่ในใจร้อนรุ่ม
"วันนี้ควงคุณชายเลยเหรอเนี่ย..เอ๊ะมาด้วยกันได้ยังไง นึกออกแล้ว ปุ้มเค้าเป็นครูสอนน้องสาวคุณชายอยู่นี่เอง ปุ้มนี่ไวไฟจริงๆ ไปสอนแค่ไม่นานควงคุณชายออกมาร้านอาหารซะแล้ว"
เขานั่งนิ่ง ส่องแสงแกล้งยุ ด้วยความสะใจ
เธอกับประสาทพรสั่งอาหาร ประสาทพรเอาใจสุดๆ และลอบมองด้วยความชื่นชม
"อุ้ยตายแล้วดูสิ คุณชายส่งสายตาให้ปุ้มใหญ่เลย แหม น่าอิจฉาจริงๆ"
เขาไม่อยากจะสนใจ ส่องแสงรีบจีบปากจีบคอยุต่อ
"ส่องว่า..เราไปทักคุณชายกันมั้ยคะ"
"ไม่ต้อง ! เวลานี้เป็นเวลาส่วนตัว ไม่อยากไปรบกวน พี่อิ่มแล้ว จะกลับเลยหรือเปล่า"
"อ้าว...เอ่อ กลับก็ได้ค่ะ"
หนึ่งหน้าบึ้งๆ ส่องแสงเห็นได้ที รีบสรุปปิดอย่างแรง
"คราวนี้พี่หนึ่งเชื่อส่องหรือยังคะ ปุ้มเค้าทั้งสวยทั้งฉลาด เข้าไปสอนคุณหญิงไม่นาน ก็ได้ควงคุณชายซะแล้ว ส่องได้แต่ภาวนาให้ทั้งสองคนลงเอยกันจริงๆ คุณชายจะได้ไม่ต้องโดนปุ้มทิ้งให้เจ็บปวดใจเหมือนผู้ชายคนอื่น"
ส่องแสงหยอดปิดท้าย อนวัชคิดหนัก..ปรายตาไปมองนิดๆ เห็นตอนที่ทั้งคู่กำลังยิ้มแย้ม คุยกันพอดี ดูมีความสุข เขาไม่พอใจอย่างแรง
เช้าวันใหม่ หน้าโรงเรียนพรรณี มีผู้ปกครองมาส่งนักเรียนอยู่จำนวนหนึ่ง พรรณีเดินเข้ามาในโรงเรียน กำลังจะเดินขึ้นอาคารเรียน เสียงสัทธาดังขึ้น
"พรรณี"
พรรณีหันไปตามเสียง เห็นสัทธาก็ตกใจนิดๆ
"พี่ปุ๊ ! พี่ปุ๊มาทำอะไรที่นี่คะ"
"พี่ก็มาหาณีนั่นแหละ .. ทำไมช่วงนี้ณีไม่ค่อยไปที่เดือนประดับ หรือว่ารังเกียจเดือนประดับเสียแล้ว"
"ไม่ใช่นะคะ"
"ถ้าณีไม่รังเกียจเดือนประดับอย่างที่ว่าจริง พี่ขอเชิญณีไปร่วมงานแซยิดของคุณพ่อ งานมีวันอาทิตย์หน้านะ..พี่อยากแนะนำณีให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้จักในฐานะอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนของแป้น… นะครับ รับปากนะ"
พรรณีใจอ่อน
"ได้ค่ะ… ณีจะไป"
"ไชโย! พี่ดีใจที่สุดเลย"
ปุ๊ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เด็กๆที่อยู่แถวนั้นหันมามองอย่างแปลกใจ
"พี่ปุ๊ เบาๆสิคะ เด็กมองใหญ่แล้ว"
สัทธายิ้มกว้าง
"ก็คนมันดีใจนี่ ดีใจเบาๆก็ได้" สัทธาแกล้งหรี่เสียงแล้วร้องเสียงดัง "ไชโย"
พรรณีขำๆกับท่าของเขาแล้วก็ขอตัว
"ณีไปสอนก่อนนะคะ"
"อาทิตย์หน้าเจอกันครับ"
พรรณียิ้มรับ
"ค่ะ"
เขายิ้มตามมีความสุข พรรณีหันหลังให้เดินเข้าโรงเรียน พอลับหลังสัทธา รอยยิ้มก็จางไป แววตาครุ่นคิดด้วยความกังวล
สัทธากำลังเดินออกจากโรงเรียน ยิ้มอย่างมีความสุข ระหว่างที่เดินผ่านบอร์ดข้างทางก็ชะงักนิดๆ เดินย้อนกลับไป และเพ่งมองที่บอร์ดตรงหน้าอีกที
บอร์ดถูกจัดอย่างง่ายๆ มีการ์ตูนเป็นเจ้าหญิงและเจ้าชาย พร้อมหัวข้อ “ประกวดภาพวาด เจ้าหญิง เจ้าชาย ในความฝันของฉัน” เขาคิด
"ประกวดเจ้าหญิง เจ้าชาย"
แล้วเขาก็ได้ความคิดเริ่ดๆ ปิ๊งเข้ามา
ภายในห้องรับแขก เดือนประดับ สุทธิ์แปลกใจ
"เราสองคนจะจัดงานประกวดคิงกับควีนในงานแซยิดพ่อเหรอ"
สองพี่น้องรายงานแผนการให้สุทธิ์และทิพย์ฟัง
"ครับ ผมเห็นว่าปีที่แล้วเราก็ทำและคนในงานก็ชอบ ไหนๆ ปีนี้เราจะจัดใหญ่ก็น่าจะมีด้วย"
"การตัดสินก็ใช้เสียงปรบมือเหมือนปีที่แล้ว ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่เสียเวลา แล้วก็ตื่นเต้นด้วยนะคะ ปีนี้มีพี่หนึ่งมา รับรองว่า ลูกสาวเพื่อนคุณพ่อต้องมากันทั้งพระนคร รับรองสนุกแน่ค่ะ"
ทิพย์กับสุทธิ์มองหน้าปรึกษากัน สองพี่น้องลุ้น
"ที่จริงก็ไม่มีอะไรเสียหายนะคุณทิพย์ ผมว่าก็น่าสนุกดี คนในงานจะได้มีส่วนร่วมในการตัดสินด้วย" ทิพย์พยักหน้าเห็นด้วย สุทธิ์ตัดสินใจ "ตกลง..พ่อยอมให้มีการประกวดได้..แล้วพ่อจะเตรียมของขวัญพิเศษไว้ให้ด้วย"
สองพี่น้องยิ้มดีใจ ทิพย์เสียงดุ
"แต่... เราสองคนอย่าทำให้งานคุณพ่อปั่นป่วน วุ่นวายหล่ะ เพราะวันนั้นมีแขกผู้ใหญ่มาร่วมงานมากมาย แม่ไม่อยากให้คุณพ่อต้องขายหน้า"
"ค่ะ / ครับ"
ปุ๊กับแป้นหันหน้ายิ้มให้กันด้วยความพอใจ
สองพี่น้องยิ้มพอใจ
"แผนขั้นที่ 1 สำเร็จ เริ่มขั้นที่ 2 ได้เลยนะแป้น"
"ค่ะ แต่พี่ปุ๊แน่ใจนะคะ ว่าการประกวดของเราจะทำให้สองคนนั้นชอบหน้ากันมากขึ้น ไม่ใช่ว่าจะยิ่งเกลียดขี้หน้ากันเข้าไปอีก"
สัทธาทำหน้าจริงจัง)
"โธ่..ถามแบบนี้ได้ยังไงยัยแป้น..พี่บอกได้เลยนะว่า.. ไม่แน่ใจเหมือนกัน"
"อ้าว..แล้วพี่ปุ๊แน่ใจเหรอคะว่า พี่หนึ่งกับปุ้มจะได้รางวัลคู่กันจริงๆ ไม่มีม้ามืด พูดตรงๆนะคะ สำหรับตำแหน่งคิง พี่หนึ่งนอนมาเห็นๆ เดาไม่ยาก แต่ตำแหน่งควีน… แป้นกลัวว่าจะมีใครบางคนไม่ยอมให้ปุ้มน่ะสิคะ" สุดาว่า
"ใคร"
วันต่อมา สีสุกเชิดหน้าอย่างถือตัว หทัยรัตน์พูดกับสีสุกอย่างสุภาพ
"คุณลุงคุยธุระกับแขกอยู่ในห้องทำงานค่ะ คุณสีสุกต้องการให้ดิฉันไปเรียนคุณลุงมั้ยคะว่าคุณมา"
สีสุกจิกตาร้ายใส่ ปั้นคำด่ามาจากบ้าน
"ไม่เป็นไร..เพราะที่จริงเรื่องที่ฉันจะคุยกับคุณพี่ก็คือเรื่องของเธอ ในเมื่อคุณพี่ไม่ว่าง ฉันคุยกับเธอเองแล้วกัน"
ปุ้มมองสีสุกด้วยความสงบ
"เชิญค่ะ"
สีสุกเดินเข้าใส่ พร้อมกับด่าไปด้วย
"ในฐานะน้องสาวของเจ้าของบ้านที่เธออาศัย ฉันอยากเตือนเธอด้วยความหวังดี เป็นสาวเป็นนางอย่าเที่ยวตระเวนไปกับผู้ชายไม่เลือกหน้า อีกหน่อยมันจะเหม็นโฉ่ไปทั้งเดือนประดับ"
เธอขมวดคิ้วงง
"ไม่ต้องมาทำหน้างง เมื่อวานเธอไปกินข้าวกับใครอย่าคิดนะ ว่าจะไม่มีคนเห็น"
เธอพอเข้าใจ สีสุกใส่ต่อ
"แล้วเมื่อวานในร้านอาหารทำไมเธอแกล้งทำเป็นไม่เห็นลูกส่อง อย่าลืมนะว่าชั่วดี ลูกสาวฉันก็เป็นหลานสาวของคนที่ให้ข้าวให้น้ำเธอ หัดรู้จักบุญคุณคนซะบ้าง"
"ดิฉันไม่เห็นคุณส่องจริงๆ ค่ะ ไม่ได้แกล้ง ถ้าเห็นดิฉันคงจะเข้าไปกราบแล้ว"
สีสุกชะงัก เธอสวนต่อไม่เว้นจังหวะ
"ส่วนเรื่องที่บอกว่าดิฉันไปไหนมาไหนกับผู้ชายไม่เลือกหน้า ดิฉันขอบอกว่า ดิฉันเลือกค่ะเพราะคนที่ดิฉันไปด้วยคือ ม.ร.ว.ประสาทพร จรูญลักษณ์ ซึ่งเป็นเจ้านายดิฉัน"
สีสุกเชิดหน้าด้วยความหมั่นไส้
"และสุดท้าย ดิฉันไม่เคยลืมบุญคุณของคุณลุงและคุณป้าที่ให้ข้าวให้น้ำ ดิฉันจะตอบแทนทันทีที่มีโอกาส ส่วนคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ดิฉันไม่สนใจหรอกค่ะ เพราะอย่างน้อยดิฉันก็ไม่ได้ขอข้าวขอน้ำเค้ากิน"
สีสุกสะอึกสวน
"นี่หล่อนยอกย้อนฉันเหรอ หะ"
"ดิฉันไม่ได้ยอกย้อน แต่ชี้แจงด้วยเหตุผล ซึ่งมันอาจจะตรงสักหน่อย ต้องขอโทษด้วยค่ะ ถ้าหมดเรื่องที่จะพูดแล้ว ดิฉันขอไปทำอาหารในครัวต่อนะคะ" เธอยกมือไหว้ "สวัสดีค่ะ"
เธอเดินออกไปเลย สีสุกจิกตามองตามด้วยความแค้นและเกลียดชัง
"นี่นังปุ้ม แกยอกย้อนฉันหรือไงหะ กล้าดีมากไปแล้ว คอยดูนะ ฉันจะไปฟ้องคุณพี่"
สีสุกเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาในห้องทำงานของสุทธิ์
"คุณพี่คะ คุณพี่ต้องจัดการให้น้องนะคะ คุณพี่"
สีสุกเดินพรวดเข้ามาในห้องทำงานของสุทธิ์ แล้วก็ต้องชะงักกับเครื่องเพชรกล่องใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้า สุทธิ์นั่งอยู่กับเจ้าของร้านเพชร
"คุณพี่ทำอะไรคะเนี่ย" สีสุกตาวาว "อุ๊ยตายแล้ว..นี่เครื่องเพชรสวยๆทั้งนั้นเลย"
สุทธิ์สรุป
"ผมตกลงเอาเครื่องเพชรสองชิ้นนั้นนะครับ ฝากให้คุณประจักษ์ทำความสะอาดตัวเรือน และใส่กล่องให้ผมด้วย"
"ได้ครับ ถ้าเรียบร้อยแล้ว ผมขอตัวนะครับ" เจ้าของร้านเพชรยกมือไหว้ "สวัสดีครับ"
เจ้าของร้านเพชรเดินออกไป สีสุกเซ้าซี้
"คุณพี่ยังไม่ได้ตอบน้องเลย คุณพี่ซื้อเครื่องเพชรสองชิ้นมาทำอะไรคะ"
สีสุกอยากรู้ด้วยความสาระแน
ส่องแสงตื่นเต้นดีใจ เมื่อทราบข่าว
"มีการประกวดควีนในงานวันเกิดคุณลุงเหรอคะ"
"จ้ะ..เมื่อเช้า แม่แวะไปด่านังปุ้มที่เดือนประดับ เห็นคุณพี่กำลังสั่งร้านเพชรขาประจำให้จัดของขวัญพิเศษสำหรับมอบให้กับคิงแล้วก็ควีนในงาน"
"เครื่องเพชร!?! ส่องชักอยากรู้แล้วสิคะว่าคุณลุงเตรียมอะไรไว้ให้ผู้ชนะ"
"เดี๋ยวลูกก็ได้รู้เอง เพราะตำแหน่งควีนในวันนั้นจะต้องเป็นของแม่ส่องคนสวยของแม่"
ส่องแสงทำเป็นอาย
"แหม..คุณแม่ก็ยอลูกมากเกินไป คนสวยๆ ก็มีตั้งเยอะนะคะ ลูกสาวเจ้าคุณขุนนางคงจะมาเต็มงาน"
"อุ้ย..ผู้หญิงพวกนั้นจะมาสู้อะไรได้ พอเจอเครื่องเพชรชุดใหญ่ของแม่ก็หมองไปทั้งงาน..ส่วนนังปุ้มโดนแม่กำหราบไปวันนี้มันคงไม่กล้าลงประกวด"
"ถึงลง ส่องก็ไม่กลัว อย่างมันไม่มีวันชนะ แต่งานนี้ส่องคงต้องตัดชุดมาลอง มาเลือกหลายชุดหน่อยนะคะ"
"เอาเลย...แม่ส่องจะเอาเงินเท่าไหร่จะตัดสักกี่ชุด เอาให้เต็มที่เลยลูก แม่ทุ่มเต็มที่ ลูกสาวของแม่ต้องได้เป็นควีนคนเดียวเท่านั้น"
สีสุกหมายมั่นปั้นมือ ส่องแสงยิ้มพอใจเหลิงลอยเพราะแรงยุของแม่
ผึตคนเดินไปมาที่หน้ากระทรวงต่างประเทศ อนวัชกำลังจัดห้องทำงาน มีกระเช้าแสดงความยินดีวางอยู่ ประสาทพรเดินเข้ามาหา
"ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ยหนึ่ง"
เขาหันมายิ้ม
"สวัสดีครับคุณชาย ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ"
"มีอะไรจะให้ผมช่วยบอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ"
"คุณชายไม่ต้องห่วง รับรองว่าผมต้องได้ปรึกษางานคุณชายแน่ๆ ครับ"
"ด้วยความเต็มใจ เออหนึ่ง..วันอาทิตย์นี้จะไปงานแซยิดคุณสุทธิ์ เดือนประดับด้วยหรือเปล่า... แต่หนึ่งคงต้องไปอยู่หล่ะ เพราะสนิทกันนี่"
"ครับ..แล้วคุณชายหล่ะครับ"
"ไปครับ เพราะคุณสุทธิ์ฝากคุณหทัยรัตน์มาเชิญผม ผมก็คงจะต้องไป"
อนวัชชะงัก
"ผมก็ลืมไปว่าคุณชายสนิทสนมกับคุณหทัยรัตน์ ถ้าไม่ไปเธอคงจะไม่ยอม"
เขายิ้มทีเล่นทีจริง แต่ในแววตาแฝงความเหยียดเยาะอยู่ในทีเมื่อพูดถึงเธอ
ผ่านเวลา ที่ห้องนอนปุ้ม ชุดราตรีกว่าสิบชุด ถูกลำเลียงเข้ามา นำทีมเข้ามาโดยสุดา หทัยรัตน์มองด้วยความประหลาดใจ
"ชุดอะไรคะพี่แป้น เยอะแยะไปหมดเลย"
"ก็ชุดของปุ้มนั่นแหละ"
คนใช้ทะยอยเดินออกไป
"หะ ? ชุดปุ้ม"
"ใช่ พี่ไปขอยืมจากที่ร้านเพื่อนมาให้ปุ้มลอง แล้วก็เลือกชุดที่สวยที่สุด ไว้ใส่ในงานแซยิดคุณพ่อ"
"ปุ้มว่า ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ ชุดเก่าๆปุ้มก็มีตั้งเยอะ ชุดพวกนี้ดูราคาแพงจะตาย ปุ้ม...ซื้อไม่ไหวหรอกค่ะ"
"ก็ใครบอกว่าปุ้มต้องเป็นคนซื้อหล่ะ พี่กับพี่ปุ๊ จ่ายให้เอง"
เธอตกใจ
"ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลยค่ะ จู่ๆ พี่ปุ๊กับพี่แป้นต้องมาเสียเงินเพื่อปุ้มทำไม ปุ้มรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ"
สุดาไม่ยอม จับมือ มองตา เสียงเข้ม
"ปุ้ม .. พี่สองคนอยากให้ปุ้มได้ใส่ชุดสวยๆ และช่วยพี่ต้อนรับแขกของคุณพ่อในฐานะหลานสาวของท่าน ไม่ใช่แต่งตัวมอซอ ทำงานหน้ามัน อยู่ในครัว ปุ้มเป็นน้องของพี่ แค่ค่าชุดพวกนี้ พี่ปุ๊กับพี่จ่ายให้ได้สบายมาก ไม่ต้องคิดมาก และไม่ต้องเกรงใจ รู้หรือเปล่า"
เธอซึ้งน้ำตาซึม พยักหน้ารับ
"ขอบคุณมากค่ะพี่แป้น..ขอบคุณมากๆ"
สุดาจับหัวเธอโยกไปมา
"เข้าใจแล้วนะเด็กน้อย เราจะได้มาลองชุดกัน"
สุดาตาวาวเป็นประกาย เมื่อเธอพยักหน้ารับ ทั้งสองคนเริ่มลองชุดอย่างสนุกสนาน
หทัยรัตน์ลองชุดต่างๆ ที่วางไว้ แต่ละชุดมีทั้งสวยหวาน สวยหรู สวยสง่า สวยเยอะแยะ สวยฟุ่มเฟือย สุดามีทั้งพยักหน้า ส่ายหน้า ไม่แน่ใจ ชอบมาก และเฉยๆ สลับกันไปมา เป็นการลองชุดที่สนุกสนาน และ เธอสวยสุดๆ
ชุดราตรีของพรรณีวางอยู่บนเตียง..พรรณีนั่งมองชุดด้วยความลังเลและกังวลใจว่าจะไปหรือไม่ไปดี
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
พรรณีตกใจ
"ใครคะ"
เสียงพินิจตอบมาจากนอกห้อง
"พี่เอง"
พรรณีโล่งใจ เดินมาเปิดประตู
"พี่เห็นไฟในห้องยังเปิดอยู่เลยแปลกใจ อ้าว..แล้วนี่เตรียมชุดจะไปไหน "
"อาทิตย์นี้ที่เดือนประดับมีงานแซยิดคุณลุงสุทธิ์ วันก่อนพี่ปุ๊มาเชิญณี แต่ณี..ไม่กล้าไปค่ะ"
"ทำไมล่ะ งานสำคัญแบบนี้น่าไปออก ถ้ามีคนมาเชิญพี่..พี่ต้องไปแน่นอน แต่พอดี..ไม่มีใครเชิญ เพราะฉะนั้นถ้าณีอยากไป ไปเลย จะคิดมากทำไม"
"ณีก็อยากไปค่ะ แต่..ณีกลัว ถ้าคุณแม่รู้ต้องไม่ให้ไปแน่ๆ"
พินิจจับไหล่น้องสาว
"เราก็อย่าให้คุณแม่ท่านรู้สิ..เดี๋ยวพี่ช่วยเอง"
พินิจให้กำลังใจ พรรณีแอบมีหวัง
การเตรียมงานที่เดือนประดับ จากกลางวัน เป็นกลางคืน และ กลางวันของอีกวัน จนตกเย็น ....
เดือนประดับตอนกลางคืนประดับไฟสวยงาม ผู้คนเริ่มทยอยมาร่วมงาน บรรยากาศคึกคัก วงดนตรีกำลังบรรเลงเพลง
ที่หน้างานจัดเป็นซุ้มเล็กๆ สำหรับรับแขก มีของขวัญวางอยู่จำนวนหนึ่ง แขกเริ่มทยอยมาในงาน สุดา ทิพย์ และสุทธิ์ กำลังยืนต้อนรับแขก สัทธาเดินมาด้วยความร้อนใจ
"แป้น .. เห็นพรรณีมั้ย พรรณีมาหรือยัง"
"ยังค่ะ"
"แล้วปุ้มล่ะ ปุ้มลงมาหรือยัง"
"กำลังลงมาค่ะ"
สัทธาถามเสียงเบาๆ
"ว่าที่ควีนของเราสวยมั้ย เต็มสิบแป้นให้กี่ดาว"
"เอาไว้พี่ปุ๊ดูเองก็แล้วกันค่ะ" แล้วเหลือบไปเห็น "นั่นไงคะมาแล้วค่ะ"
สุดาสะกิดพี่ชาย หทัยรัตน์เดินลงมาจากบันได ในชุดราตรีสวยสง่าโดดเด่นราวกับเจ้าหญิง สองพี่น้องมองด้วยความชื่นชม
"เป็นยังไงคะพี่ปุ๊.. ได้กี่ดาว"
"พี่ว่า..ให้ไอ้เจ้าหนึ่งเป็นคนให้ดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียงเข้าข้างน้องสาวตัวเอง ว่าแล้วก็อยากให้นายหนึ่งมาเห็นเร็วๆ"
สองพี่น้องมีความหวัง หทัยรัตน์ยืนต้อนรับแขกในมุมสวย สง่า น่ามองไม่รู้เบื่อ
อนวัชนั่งอยู่ในห้องทำงานกำลังเคลียร์เอกสารเหลืออยู่อีกเยอะ เขาดูนาฬิกาข้อมือและคิด ก่อนหันไปยกโทรศัพท์โทร.กลับบ้าน
"พิมพ์เหรอ นี่คุณหนึ่งพูดนะ ยังทำงานไม่เรียบร้อยดี ให้คุณพ่อไปที่งานก่อน เสร็จธุระแล้วจะรีบตามไป"
ที่หน้างาน รถสีสุกแล่นเข้ามาจอดเทียบ สีสุกลงจากรถมาในชุดหรูหรา พร้อมเครื่องเพชรอลังการ ส่องแสงลงตามมาในชุดแดงเข้ม เครื่องเพชรพรึ่บ สวยหรู อลังการไม่แพ้กัน คนในงานมองตามเป็นแถว ส่องแสงยิ้มกระหยิ่มด้วยความพอใจ สีสุกยิ้มหน้าบานพอใจยิ่งกว่า
สุดากำลังต้อนรับแขกอีกครอบครัวหนึ่งและพาเข้าไปในงาน เหลือหทัยรัตนยืนอยู่รับแขกชุดต่อไป
ส่องแสงกับสีสุกเดินเข้ามาหน้างานเห็นหน้าเธอหมั่นไส้ เชิดหน้ามองเหยียดอย่างดูถูก
เธอหันมาเจอกับสายตานั้นแต่ทำใจเข้มแข็งไม่สนใจและยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
"สวัสดีค่ะ"
ทั้งสองคนไม่รับไหว้ยังเชิดอย่างไม่สนใจ
เธอข่มอารมณ์
"เชิญคุณสีสุกและคุณส่องแสงด้านในค่ะ"
"นี่มันบ้านพี่ชายของฉัน ฉันเคยอยู่มาก่อน ไม่ต้องให้คนอื่นอย่างเธอมาเชิญหรอก"
เธอสะอึก แล้วพูดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ดิฉันต้องขอโทษค่ะ ที่กล่าวเชิญคุณเหมือนกับที่เชิญแขกผู้มีเกียรติคนอื่นๆ"
"นี่...พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงหะ"
คนข้างๆหันมามองนิดๆ ส่องแสงรีบดึงสีสุกไว้
"คุณแม่คะเราเข้าไปในงานกันเถอะค่ะ พูดมากไปก็มีแต่จะเปรอะเปื้อนให้เปลืองตัว ส่องไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ.. ไม่อยากเอาทองไปถูกับกระเบื้อง ให้มันเสื่อมราคา "
"ก็จริง คนบางคนไม่รู้ตัว ทำเป็นแต่งเนื้อแต่งตัว คงอยากจะเป็นควีนของงาน ไม่ได้รู้ตัวเล้ย .. อย่างดีก็เป็นได้แค่บ่าวไพร่ปลายแถวให้ควีนตัวจริงจิกหัวใช้ ที่บ้านนี้คงจะอัตคัดขันตักน้ำ เด็กในบ้านเลยไม่เคยตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูตัวเอง"
สีสุกกับส่องแสงหัวเราะเยาะ เธอพยายามสะกดอารมณ์
"ส่องว่า เรารีบเข้าไปด้านในกันเถอะค่ะ ไม่รู้ว่าพี่หนึ่งมาหรือยัง"
ส่องแสงกับสีสุกควงกันเดินเข้าบ้านไป
เธอได้แต่ส่ายหน้า สะกดอารมณ์โกรธ และอุทิศส่วนกุศลอยู่เงียบๆ ในใจ
ที่หน้างานอีกมุมหนึ่ง..สุดาเดินมาหาหทัยรัตน์ ในขณะที่วิทย์เดินเข้ามาพอดี
"คุณลุงวิทย์มาแล้ว"
เธอหันตามไป
วิทย์เดินมาคนเดียวพร้อมกล่องของขวัญ หทัยรัตน์กับสุดายกมือไหว้
"สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีจ้ะ..ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ฝากให้คุณพ่อด้วย"
"ขอบคุณค่ะ คุณลุงมาคนเดียวเหรอคะ แล้วพี่หนึ่งหล่ะคะ"
เธอลุ้นคำตอบ
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 2 (ต่อ)
สองพี่น้องคุยกันอยู่ข้างเวที
"หนึ่งยังไม่มา"
"ยังค่ะ คุณลุงบอกว่ายังติดงานที่กระทรวง แต่..คงจะกำลังออกแล้วหล่ะค่ะ"
สัทธาอยู่ข้างเวที ยืนดูนาฬิกา และมองรอบๆ งาน สุดาเดินมาหา เขารีบถาม
"ถ้าอย่างนั้น .. พี่จะให้คุณพ่อคุณแม่เปิดงาน แล้วก็เปิดฟลอร์ก่อนแล้วกัน พอเต้นรำสัก 2-3 เพลง ค่อยเริ่มประกวด"
"แล้วพี่หนึ่งจะมาทันเหรอคะ"
" ก็ต้องวัดดวงกันดู แต่ยังไงก็ต้องเริ่มงานแล้ว ถ้าหนึ่งยังไม่มาก็เต้นรำกันไปเรื่อยๆแล้วกัน"
"ค่ะ" สุดาจะเดินไป สัทธาเรียกไว้
"แป้น"
แป้นหันมา
"คะ"
"แล้วพรรณีมาหรือยัง"
ปุ๊รอคำตอบด้วยความร้อนใจ
พรรณีใส่ชุดราตรียืนอยู่หน้ากระจก หน้าตาตื่นเต้น หวาดหวั่น ไม่มั่นใจ พินิจเคาะประตูเบาๆ แล้วก็แง้มประตูเข้ามา สองคนพยักหน้าให้กัน
พินิจเดินมาที่หน้าห้องนอนนวล แล้วเคาะเรียก
"แม่ครับ..แม่...แม่ครับ"
ในห้อง..เห็นผู้หญิงลักษณะคล้ายนวล นอนหลับ หันหลังให้ประตู ไม่หือ ไม่อือ
พินิจเคาะอีกครั้ง
"แม่ครับ"
เงียบไม่มีเสียงตอบรับ
พินิจตัดสินใจค่อยๆแง้มประตูดู เห็นนวลนอนหันหลัง หลับสนิท
พินิจค่อยๆปิดประตู หันมาทางห้องพรรณี
พรรณีค่อยๆแง้มประตูออกมา พินิจพยักหน้า พรรณีรีบย่องออกจากห้อง เดินมาหาพินิจ
"พี่ให้คนรถ เข็นรถไปรอที่หน้ารั้ว คุณแม่จะไม่ได้ยินเสียง ขากลับก็ให้ดับเครื่องที่หน้ารั้ว แล้วเข็นเข้ามา พี่จะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ ถ้าคุณแม่เกิดตื่นขึ้นมา พี่จะถ่วงเวลาไว้ให้"
พรรณีซึ้งใจ
"ขอบคุณมากนะคะพี่นิจ"
" ถ้าณีเจอปุ้ม ฝากบอกว่า พี่ระลึกถึงเค้าเสมอ"
พรรณีสงสาร
"ค่ะ...ณีจะบอกปุ้มตามนี้ทุกคำ ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว"
พินิจยิ้มดีใจ พรรณียิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะรีบย่องออกไป
ที่หน้าบ้าน พรรณีค่อยๆย่องออกมา มองซ้ายมองขวา แล้วก็รีบเดินไปที่รั้วทันที พรรณียิ้มมีความสุข
ทันใดนั้นเสียงนวลก็ดังขึ้น
"จะไปไหน"
พรรณีชะงักกึก! ตกใจ นวลเดินออกมาจากพุ่มไม้ แววตาโกรธจัด เสียงเข้ม
"แม่ถามว่าจะไปไหน"
พรรณีเสียงสั่น ใจสั่นด้วยความกลัว
"ณี...ณี"
"แกจะไปเดือนประดับใช่มั้ย หะ ตอบแม่มาสิยัยณี ฉันถามทำไมไม่ตอบ"
พรรณียืนตัวสั่น
"อย่าคิดนะว่าแม่ไม่รู้ วันนี้ที่บ้านยัยเด็กนั่นมีงานเลี้ยง แต่ฉันไม่ถาม เพราะอยากจะดูว่าแกจะแอบหนีไปหรือเปล่า แล้วแกก็ทำจริงๆ ฉันสั่งแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ไปยุ่งกับคนบ้านนั้น" นวลพุ่งเข้ามาแล้วก็ตีแขนพรรณีด้วยความโกรธ " ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ทำไมขัดคำสั่งฉัน"
พรรณีร้องไห้
"แม่...ณีขอโทษ...ณีเจ็บนะแม่"
นวลเสียงดัง ตีไม่ยั้ง
"เจ็บสิจะได้จำ ฉันตีก็จะให้แกเจ็บ จะได้ไม่ทำอีก เป็นสาวเป็นนางแอบย่องออกจากบ้านไปหาผู้ชาย ยางอายไม่มีเลยหรือไงหะ นี่ มันต้องตีให้จำ"
พรรณีร้องเสียงดัง
"โอ้ยแม่ ! แม่พอแล้ว ณีไม่ทำแล้วจ้ะ ณีไม่ทำแล้ว"
พรรณีร้องไห้ไป ทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บ
พินิจชะงัก เงี่ยหูฟัง มีเสียงแว่วๆ ดังมาจากหน้าบ้าน
" ไม่ต้องมาร้องเลย นี่ถ้าฉันไม่มาแอบดู จะรู้มั้ยว่าแกแอบย่องออกไปหาผู้ชายหะ"
พินิจหน้าเสีย
"แม่"
พินิจพุ่งเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ผั้วะ! แล้วก็รีบพุ่งจับตัวคนที่นอนอยู่บนเตียงให้หันมา
"ยายปลั่ง"
ปลั่งคนรับใช้ในบ้าน นอนอยู่ในชุดนวล
"ว้าย ตาเถร !! คุณพินิจจะทำอะไรอีฉันคะ"
"ยายปลั่งมานอนในห้องคุณแม่ได้ยังไง"
"คุณท่านสั่งให้อีฉันมานอนค่ะ"
พินิจชะงัก รู้ว่าโดนหลอก แล้วก็รีบวิ่งลงไปช่วยพรรณีทันที
นวลหันไปเด็ดกิ่งมะยมมาเตรียมจะหวด พรรณียืนตัวสั่น
"อยากมีผัวจนตัวสั่น แม่ห้ามไม่ฟัง ต้องตีซะให้เข็ด"
นวลง้างมือจะตี พินิจเข้ามาขวาง และรับแทนพรรณี ฟึ่บ!
"โอ้ย"
"พี่นิจ"
"ตานิจ หลบไปเลย แม่จะสั่งสอนน้องเรา เราไม่ต้องมายุ่ง"
พินิจยืนกัน
"ไม่ยุ่งไม่ได้ครับ เพราะผมเป็นคนวางแผนให้ณีไปเอง ถ้าแม่จะตี แม่ตีผมเถอะครับ"
"หะ นี่เราสองคนรวมหัวกัน หลอกแม่งั้นเหรอ คนบ้านนั้นมันมีอะไรดี ถึงได้หน้ามืดตามัวหลงมันจนยอมขัดคำสั่งแม่ ! รักมันมากใช่มั้ย ถึงได้ทำอะไรไม่เห็นหัวแม่แบบนี้ หรือจะให้แม่ต้องเสียใจ ตรอมใจตาย ถึงจะพอใจ"
พินิจกับพรรณีก้มหน้า..พรรณีร้องไห้ พินิจนิ่ง เครียด
"ยัยณีขึ้นบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย แม่ไม่ให้ไป"
พรรณีเงยหน้ามองนวล เหมือนขอความเห็นใจ
"ไม่ต้องมามองหน้าฉัน ฉันไม่ให้แกไป ถ้าอยากมีผัวนัก เดี๋ยวฉันหาให้ รับรองว่าดีกว่าพี่ชายยัยเด็กนั่น ไปเลย ขึ้นบ้าน ฉันบอกให้ขึ้นบ้านเดี๋ยวนี้" นวลตวัดไม้ชี้ไปที่บ้าน
พรรณีสะดุ้ง ... แล้วก็จำใจต้องเดินน้ำตาร่วงเข้าบ้านไป
พินิจเศร้า นวลเดินมาหาพินิจย้ำ
"เราก็เหมือนกัน .. เลิกให้ท้ายน้องได้แล้ว อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ เราอยากให้ยัยณีดองกับไอ้สัทธา เราจะได้อยู่ใกล้ชิดยัยเด็กปุ้ม ! จำไว้เลยนะ แม่ไม่มีวันยอม"
นวลปาก้านมะยมลงพื้น แล้วเดินเข้าบ้านไป ด้วยความโกรธ พินิจได้แต่ยืนเศร้าอยู่ที่เดิม น้ำตาตกใน
พรรณีพุ่งเข้ามาในห้อง..ปิดประตูใส่กลอนและร้องไห้ด้วยความเสียใจ ดูตัวเองในชุดราตรีที่ไม่ได้ไปร่วมงานยิ่งเศร้าใจ
สัทธายืนชะเง้อชะแง้อยู่ข้างเวที สุดาเดินมาหา พูดด้วยความกังวล
"พี่หนึ่งยังไม่มาเลยค่ะพี่ปุ๊"
"แล้ว"
"พรรณีก็ยังไม่มาค่ะ"
สัทธามองนาฬิกาแล้วก็เศร้า
"ดึกป่านนี้ ถ้ายังไม่มา ก็คงไม่มาแล้วหล่ะ"
สุดาปลอบใจ
"ณีเค้าอาจจะติดธุระสำคัญก็ได้นะคะ"
"นั่นสิ... ไม่เป็นไร ไว้วันหลังพี่ค่อยชวนณีมาหาคุณพ่อคุณแม่เป็นการส่วนตัวก็ได้" เขาหันมาสนใจงานต่อ "ส่วนเรื่องนายหนึ่ง.. พี่ให้คุณพ่อคุณแม่เต้นรำต่ออีกสักเพลงก็แล้วกัน ดึงเวลาไปก่อน .. แป้นก็ไปยืนรอที่หน้างาน พี่จัดคิวบนเวทีเสร็จแล้วจะรีบตามไปสมทบ เผื่อหนึ่งมาพี่จะได้รีบจับตัวมาประกวดคิง"
"ค่ะ"
สุดารีบเดินแยกไป สัทธาหันมาสนใจบนเวที
บริเวณหน้างาน หม่อมราชวงศ์ประสาทพรเดินเข้ามามองหาหทัยรัตน์ สุดาหันไปเห็น เดินเข้าไปหา
"ไม่ทราบว่ามาร่วมงานหรือเปล่าคะ"
ประสาทพรหันมา
"อ้อ..ครับ..ผมประสาทพร จรูญลักษณ์ครับ"
"อ๋อ..คุณชายนั่นเอง สวัสดีค่ะ ดิฉันสุดาค่ะ"
"คุณสุดา ลูกสาวคนเล็กของคุณสุทธิ์ใช่มั้ยครับ ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ เพิ่งได้เจอกันวันนี้เอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
"เช่นกันค่ะ เชิญคุณชายด้านในนะคะ ดิฉันจะพาไปนั่งโต๊ะเดียวกับคุณลุงวิทย์"
"ครับ."
สุดาเดินนำไป ประสาทพรเดินตามไป แต่ไม่วายหันมองหาหทัยรัตน์
หทัยรัตน์เดินสวนออกมาจากอีกมุมหนึ่ง เธอเดินมารอต้อนรับแขกอยู่อีกมุมหนึ่ง เป็นมุมสวย ด้านหลังมีดอกไม้และไฟระยิบระยับ
หน้าเดือนประดับอีกมุมหนึ่งของงาน ... อนวัชรีบเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน ที่หน้างาน แต่ไม่มีใครยืนต้อนรับแล้ว เพราะทุกคนอยู่ในงานกันหมด เขายืนรอคนมารับ แต่ไม่เห็นใคร เขามองหา และสะดุดตากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่ซุ้มดอกไม้ แสงไฟนวลขับให้ผิวสีขาวที่อยู่ในชุดขาวสวยเด่น ผมที่เกล้าขึ้นเผยให้เห็นคอระหงส์ได้ส่วน เขามองเหมือนโดนสะกด เขาค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้
หญิงสาวรู้สึกตัวว่ามีคนมองจึงหันมา...เขาต้องตกตะลึงเพราะคนที่หันมาคือ หทัยรัตน์
เธอตกใจพอกัน เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยที่เห็นอนวัชกำลังมองตัวเองอยู่
เขาเชิดขึ้นไม่แพ้กัน
"มายืนหลบอะไรอยู่ตรงนี้ ฉันยืนอยู่ตั้งนานแล้วไม่มีใครมาต้อนรับสักที"
"ที่ไม่มีคนอยู่ต้อนรับ เพราะคิดว่าแขกที่มีบัตรเชิญคงจะทราบว่างานเริ่มเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน และแขกที่ได้บัตรเชิญคงจะมากันครบแล้ว"
เขาชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
"เธอพูดประชดประชันว่าฉันมาช้าใช่มั้ย"
เธออ้าปากกำลังจะแย้ง เสียงสัทธาดังขึ้นเหมือนเป็นระฆังห้ามมวย
"อ้าวหนึ่งมาแล้วเหรอ"
อนวัชประชดระบายอารมณ์
"ถ้ายังไม่มาก็คงจะไม่เห็น"
"นี่ไปกินรังแตนมาจากไหน มาถึงก็อารมณ์บูดเลย ไป..เข้าไปในงานกันดีกว่า ปุ้มเข้าไปด้วยกันสิ พี่จองโต๊ะของพวกเราไว้แล้ว"
" ไม่เป็นไรค่ะ ปุ้มรออยู่ที่นี่ดีกว่า เผื่อว่าอาจจะมีแขกที่ไม่รู้เวลาหลงมาอีก"
อนวัชรู้ตัวว่าโดนแขวะ กำลังจะหันมาอีก สัทธาไม่สนใจคว้าข้อมือทั้งสองคนเดินไป
"เอาน่าไม่ต้องรอแล้ว ใครมาช้าก็ช่างเค้าเถอะ เราเข้าไปข้างในดีกว่า เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะตามหา..ไปเร็ว"
"พี่ปุ๊คะ..ปุ้มเพิ่งนึกได้ คุณป้าฝากให้ปุ้มดูแลเพื่อนๆ และญาติทางฝั่งคุณป้าด้วยน่ะค่ะ คุณป้าจัดที่ไว้ให้แล้ว ปุ้มขอตัวไปนั่งกับครอบครัวทางโน้นดีกว่านะคะ"
เธอดึงมือออกอย่างสุภาพ
"ไม่เป็นไรหรอกปุ้ม ไปนั่งกับพี่นั่นแหละ เดี๋ยวพี่บอกคุณแม่เอง"
อนวัชขวาง
"ปล่อยเค้าไปเถอะปุ๊ น้องสาวแกคงจะไม่อยากร่วมโต๊ะกับฉัน บารมีของฉันคงจะทำให้เค้าถึงร้อนก้นทนนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันไม่ได้"
เขาเชือดพร้อมรอยยิ้มเยาะ สัทธาหันมาท่าจะไม่ค่อยดี
"แน่ใจเหรอคะว่าคิดถูก"
สัทธารีบห้าม
"ปุ้มๆๆๆ พอก่อนนะ เราจะไปนั่งกับเพื่อนคุณแม่ก็ได้ พี่ไม่บังคับแล้ว ส่วนหนึ่งแกมากับฉัน"
พูดจบ สัทธาก็ลากอนวัชเข้างานไปเลย อนวัชมองเธอด้วยหางตาแล้วก็เดินตาม เธอก็ค้อนใส่หนึ่งแล้วก็เดินแยกไปอีกทาง
วงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงใหม่ เห็นหทัยรัตน์เข้ามาอีกประตู ส่วนอนวัชและสัทธาเดินมาอีกประตู… เหมือนไม่สนใจ แต่เขาปรายตามองตลอดว่านั่งตรงไหน
สัทธาเดินพาอนวัชมาที่โต๊ะ
"คุณลุงอยู่โต๊ะนั้น ตามสบายนะหนึ่ง ฉันต้องขึ้นไปดำเนินรายการบนเวที"
สัทธาเดินแยกไป อนวัชเดินมาที่โต๊ะ
"สวัสดีครับคุณอาสีสุก" อนวัชยกมือไหว้
สีสุกกับส่องแสงยิ้มดีใจ
ส่องแสงไหว้อย่างสวยงาม
"สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง"
เขารับไหว้ และหันไปทักประสาทพร
"สวัสดีครับคุณชาย มาถึงนานหรือยังครับ"
"สักพัก ก่อนหน้าหนึ่งไม่นานหรอก..เออหนึ่ง..เห็นคุณหทัยรัตน์บ้างหรือเปล่า"
ส่องแสงกับสีสุกมองหน้าและยิ้มอย่างรู้กัน
ในงานเลี้ยง เธอนั่งอยู่กับญาติผู้ใหญ่ เพื่อนๆของป้า ประสาทพรเดินมาหา
"คุณหทัยรัตน์ครับ"
เธอหันมา ยกมือไหว้
"สวัสดีค่ะคุณชาย"
"ผมมองหาคุณตั้งนาน ไม่ทราบว่านั่งอยู่ที่นี่ ดีที่หนึ่งบอกไม่งั้นคืนนี้อาจจะไม่ได้เจอกัน"
เธอชะงักตรงชื่อหนึ่ง แต่พยายามไม่ใส่ใจ
"คุณชายมีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ"
ประสาทพรอายๆ
"คือผมจะมาเชิญคุณเต้นรำกับผมน่ะครับ ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้มั้ยครับ"
ประสาทพรโค้งเชิญ ผู้ใหญ่ทั้งโต๊ะหันมามอง .. ลุ้นๆ ยิ้มๆ ชื่นชอบ
เธออึดอัดใจ คิดๆ ยังไงดี แต่เห็นคนบนโต๊ะจับตามอง คนข้างๆ ก็มอง ปราดสายตาไปเห็นว่าอนวัชก็มองอยู่ วูบนั้นเอง... เธอตัดสินใจลุกขึ้นถอนสายบัวรับคำเชิญ
ประสาทพรยื่นมือให้ปุ้มจับและเดินไปที่ฟลอร์อย่างสง่างาม
ปุ้มกับประสาทพรมาถึงฟลอร์และเต้นรำอย่างสวยงาม
อนวัชปรายตาไปมอง เก็บความไม่พอใจไว้ไม่แสดงออกมา ส่องแสงเปรยๆ ขึ้น
"เพลงนี้เพราะจังเลยนะคะคุณแม่ แหมส่องได้ยินแล้วอยากเต้นรำจัง"
อนวัชสะดุดคิด และหันมาทางส่องแสง
"ถ้าไม่รังเกียจขอเชิญส่องเต้นรำกับพี่ได้มั้ยครับ"
ส่องแสงดีใจตาวาว
"ส่องไม่รังเกียจพี่หนึ่งหรอกค่ะ...ยินดีมากๆ เสียอีก"
อนวัชลุกขึ้นโค้งส่องแสง ส่องแสงลุกขึ้นถอนสายบัวรับ เขายื่นแขนมาให้ส่องแสงคล้องและทั้งสองคนเดินไปที่ฟลอร์ สีสุกยิ้มหน้าบานด้วยความปลาบปลื้ม
ส่องแสงเต้นรำกับอนวัช รัศมีของทั้งสองคนทำให้คนในงานหันไปมองเป็นตาเดียว
ส่องแสงรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงขึ้นมาทันที
ที่ข้างเวที สัทธากับสุดายืนอยู่
"ปุ้มเต้นรำกับใครน่ะแป้น"
"มรว.ประสาทพร จรูญลักษณ์ค่ะ พี่ชายของคุณหญิงกรกนก ลูกศิษย์ของปุ้มค่ะ"
สัทธาร้องอ๋อทันที
"ดูท่าทางคุณชายจะแอบปลื้มน้องสาวเราซะแล้ว แต่ยัยน้องสาวเราสิ ทำหน้านิ่งเป็นตุ๊กตาเคลือบไปได้ ผิดกับน้องสาวอีกคน" เขาพยักเพยิดไปทางส่องแสง ที่กำลังเต้นรำอยู่อีกมุมหนึ่งของฟลอร์
"แค่ได้เต้นรำกับนายหนึ่ง ส่วนคนนี้ก็เหลือเกิน ยัยส่องทำยังกะตัวจะลอยซะให้ได้"
สัทธาส่ายหน้าด้วยความเซ็ง
บนฟลอร์ รัศมีของคู่อนวัชกับส่องแสง และคู่ของหทัยรัตน์และประสาทพร เจิดจรัสดับคู่อื่นๆ ไปหมด แต่ทั้งสองคู่ไม่มีใครแพ้ใคร กินกันไม่ลง
เธอเต้นรำกับประสาทพร ไม่สนใจมองอนวัชกับส่องแสง ประสาทพรมองปุ้มด้วยความแววตาชื่นชมและมีความสุข
อนวัชพยายามเชิดใส่แต่แอบปลายตามองประสาทพร พอเห็นว่ามองหทัยรัตน์ก็ยิ่งไม่พอใจ แต่ทำเป็นเชิดและไม่สนใจ
ส่องแสงมองหทัยรัตน์ด้วยความหมั่นไส้ แล้วหันมาพูดเสียงอ่อนหวาน
"คราวนี้พี่หนึ่งเชื่อส่องหรือยังคะว่า คุณชายหลงกลแม่ปุ้มเข้าอีกคนนึงแล้ว มองเด็กปุ้มตาไม่กระพริบเลย พี่หนึ่งลองหันไปดูสิคะ"
"พี่ไม่สนใจจะมองหรอก พี่ไม่รู้จะดูไปทำไม ในเมื่อผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าพี่น่ามองกว่าเด็กนั่นตั้งเยอะ"
อนวัชพูดชมส่องแสงเพราะต้องการหลอกตัวเองว่าไม่สนใจหทัยรัตน์ แต่ส่องแสงคิดว่าหนึ่งพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริง ได้แต่ยิ้มอายด้วยหัวใจที่พองโตสุดๆ
"แหม..พี่หนึ่งชมแบบนี้ส่องก็เขินแย่สิคะ"
ส่องแสงยิ้มอายด้วยจริตหญิง
ปุ้มหันมาในจังหวะหมุนตัวเหลือบไปเห็นภาพส่องแสงยิ้มอย่างมีความสุข ปุ้มยิ้มเยาะอยู่ในใจและหมุนตัวกลับมาอีกทางใน
จังหวะหันหลัง อนวัชอยู่ในจังหวะหันหน้ามาทางหทัยรัตน์ เห็นด้านหลังเธอและหน้าของประสาทพรที่ยิ้มอย่างมีความสุข
อนวัชยิ้มเยาะอยู่ในใจ
สองพี่น้องยืนข้างเวที ดูเหตุการณ์ตลอด.... อึ้งๆ
"พี่ปุ๊ว่าบรรยากาศมันแปลกๆ หรือเปล่า"
"พี่ก็ว่างั้น..เดี๋ยวพอจบเพลงนี้ พี่ให้วงดนตรีบรรเลงเพลงสุขสันต์วันเกิดให้คุณพ่อแล้วเข้าการประกวดเลยดีกว่า แป้นไปตามประกบยัยปุ้ม อย่าให้หนีไปไหนนะ ไม่งั้นแผนการณ์ที่เราวางไว้ พังไม่เป็นท่าแน่ๆ"
"ค่ะ"
สุดารีบแยกเดินไปรอที่โต๊ะ
สัทธายืนรอข้างเวที มีคนส่งกระดาษให้
"คุณท่านให้ผมนำกระดาษมาให้ครับ"
ปุ๊เปิดอ่าน
"ฝีมืออาสีสุกแน่ๆ " เขาส่ายหน้าแล้วก็จำใจขึ้นไปกระซิบกับผู้อำนวยเพลง
วงดนตรีเล่นเพลงตอนจบ
ส่องแสง อนวัช หทัยรัตน์ ประสาทพร แยกออกจากคู่ ชายโค้ง หญิงถอนสายบัว และเดินออกจากฟลอร์ไป ..
ระหว่างที่เดิน ส่องแสงปรายตามองหทัยรัตน์ด้วยความหมั่นไส้ ส่องแสงเหลือบไปเห็นแจกันทรงสูงใส่ดอกไม้ประดับไว้ที่พื้น และหทัยรัตน์กำลังเดินผ่านแจกันนั้นพอดี...ส่องแสงจิกตาคิดร้าย แล้วแกล้งทำเป็นเท้าพลิก เซล้มไปชนปุ้ม
"อุ้ย"
เธอโดนชนอย่างแรง จนเซไปชนแจกันล้มลงแตกกระจาย น้ำในแจกันเปียกนองพื้น เพล้งง !!! ปุ้มล้มลงไปบนน้ำพอดิบพอดี พลั่ก!
"ว้าย"
คนทั้งงานหันมามองเป็นตาเดียว
เธอนั่งจมอยู่ที่พื้น เศษแจกันแตกกระจาย พร้อมกับดอกไม้ใบไม้และน้ำที่เกลื่อนอยู่บนพื้น
อนวัชหันมามอง ในใจลึกๆ แอบเป็นห่วง และสงสาร แต่ส่องแสงรีบดึงความสนใจมาทันที
"ขอโทษนะจ๊ะปุ้ม พอดีฉันเท้าแพลง" เธอทำเป็นลุกไม่ขึ้น " พี่หนึ่ง ช่วยส่องด้วยค่ะ โอ้ย !"
อนวัชยืนอยู่มองส่องแสง และหทัยรัตน์ ... จะช่วยใคร ?
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 2 (ต่อ)
สุดาซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะชะเง้อมองมาที่เวที แล้วเธอก็ตกใจ
“ปุ้ม”
สุดารีบวิ่งไปที่ฟลอร์เต้นรำทันที
หทัยรัตน์กำลังจะลุกขึ้น อนวัชขยับจะมาช่วยแต่ประสาทพรเป็นคนที่พุ่งเข้ามาช่วยไว้ก่อน
“ คุณหทัยรัตน์เป็นยังไงบ้างครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ประสาทพรประคองหทัยรัตน์อย่างอ่อนโยน
อนวัชชะงักมองประสาทพรที่กำลังประคองหทัยรัตน์ด้วยความหมั่นไส้
“ไม่ค่ะ ไม่ได้เจ็บอะไรค่ะ” หทัยรัตน์ตอบ
ส่องแสงรีบทำเป็นร้องโอดโอย
“พี่หนึ่งคะ ช่วยพยุงส่องหน่อยสิคะ โอย”
อนวัชจำต้องหันมาทางส่องแสงและประคองเธอขึ้นมา ส่องแสงรีบทำสำออยใส่ทันที
สัทธาที่ยืนอยู่ข้างเวทีส่ายหน้าอย่างรู้ทัน เขาหันไปเรียกเด็กรับใช้สามคนที่ยืนอยู่
“รีบไปเก็บกวาด ทำความสะอาดให้เรียบร้อย”
คนรับใช้พยักหน้ารับแล้วรีบเดินไป
ประสาทพรพยุงหทัยรัตน์เดินออกมา ชุดของหทัยรัตน์เลอะเทอะและเปียกน้ำบางส่วน สุดาเดินมาหาแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ปุ้ม เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ” หทัยรัตน์พูดกับประสาทพร “ขอบคุณคุณชายมากนะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ คุณปุ้มเดินเองได้แน่นะครับ” ประสาทพรเป็นห่วง
“ได้ค่ะ” ปุ้มยิ้ม “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
อนวัชพาส่องแสงมานั่ง สีสุกกุลีกุจอมารับ
“ลูกส่องเป็นยังไงบ้างคะ ตายแล้วเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย”
“พอดี ส่องเท้าแพลงน่ะค่ะคุณแม่ ก็เลยล้ม พลาดไปโดนปุ้มเค้า ส่องไม่ได้ตั้งใจเลยนะคะ”
ทิพย์กับสุทธิ์ได้ยินก็แอบมองหน้าอย่างรู้กัน อนวัชหันไปชำเลืองมองหทัยรัตน์ เขาเห็นประสาทพรกับหทัยรัตน์กำลังทำท่าเป็นห่วงเป็นใยกันพอดี อนวัชเบือนหน้าหนีด้วยความขุ่นเคือง หทัยรัตน์กับสุดาเดินแยกมานั่งที่โต๊ะ ประสาทพรเดินกลับมาที่โต๊ะที่คนรับใช้เก็บแจกันดอกไม้ไปแล้ว สัทธาเดินมาที่ไมโครโฟนแล้วประกาศ
“ต้องขออภัยสำหรับอุบัติที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นะครับ ตอนนี้ก็กลับคืนสู่ความปกติแล้ว .. ผมขอเป็นตัวแทนทุกคนในงาน กราบเรียนเชิญเจ้าภาพเจ้าของวันเกิดในวันนี้ บุคคลอันเป็นที่รักของเราทุกคน คุณพ่อที่สอนผมในทุกเรื่อง แบบอย่างที่พวกเราทุกคนในเดือนประดับชื่นชม และรักสุดหัวใจ ขอเชิญคุณพ่อสุทธิ์ เดือนประดับขึ้นมาเป่าเค้ก และกล่าวกับพวกเราทุกคนบนเวทีด้วยครับ”
สัทธาพูดจบ เพลงสุขสันต์วันเกิดก็บรรเลงขึ้น คนพากันปรบมือ ทั้งอนวัช วิทย์ สุดา หทัยรัตน์ ทิพย์ ส่องแสง สีสุก ประสาทพร และแขกคนอื่นๆ
สุทธิ์ลุกขึ้นแล้วเดินมาบนเวที ทีมงานยกเค้กก้อนโตขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าสุทธิ์ เพลงบรรเลงจนจบ สุทธิ์เป่าเค้ก ผู้คนปรบมือ
สุทธิ์ยิ้มรับ “ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมเป็นเกียรติ์ในวันนี้นะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการขัดจังหวะ ผมขอเชิญทุกท่านสนุกสนานกับงานต่อได้เลยครับ ขอบคุณมากครับ”
ทุกคนในงานปรบมืออีกครั้ง ดนตรีบรรเลงเพลงสนุกสนานตื่นเต้น
สัทธายืนอยู่บนเวทีและเริ่มดำเนินการประกวด
“ตอนนี้ก็มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย การประกวดควีนและคิงประจำงานจะเริ่มต้น ณ.บัดนี้”
ดนตรีรับ คนในงานต่างหันมาทางเวทีเป็นตาเดียว ส่องแสงและสีสุกตื่นเต้น
หทัยรัตน์นั่งเฉยๆ อย่างไม่ตื่นเต้นเพราะคิดว่าคงเหมือนปีที่แล้ว สุดารีบเดินมานั่งข้างๆ ด้วยหน้าตาแอบมีเลศนัย สัทธาที่อยู่บนเวทีประกาศ
“กติกา คือ ผมจะประกาศชื่อผู้เข้าประกวด ซึ่งมาจากท่านผู้มีเกียรติ์ที่ได้เสนอกันขึ้นมา หลังจากประกาศแล้ว เจ้าของชื่อจะออกมาที่หน้าเวที และเราจะตัดสินผู้ชนะด้วยเสียงตบมือของทุกๆท่าน และตอนนี้ รายชื่อของผู้เข้าชิง ตำแหน่ง คิง และ ควีน อยู่ในมือผมแล้วครับ ผมขอเริ่มจากการประกวดตำแหน่ง “คิง” ก่อนนะครับ”
ดนตรีบรรเลงรับอย่างตื่นเต้น สัทธาหยิบซองรายชื่อออกมาแล้วประกาศด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์
“สำหรับตำแหน่ง “คิง” มีผู้ถูกเสนอชื่อเพียงคนเดียวเท่านั้น ทำให้ได้ตำแหน่งคิงไปครองโดยไม่ต้องแข่งขัน และสุภาพบุรุษท่านนั้นคือ คุณอนวัช พัชรพจนาถครับ”
อนวัชอึ้งๆ พร้อมกับไปหันขวับไปทางสัทธา คนในงานปรบมือสนับสนุน สาวๆ ทั้งสาวมากสาวน้อยส่งเสียงและปรบมือดังกึกก้อง
สัทธายิ้มกริ่ม “ขอเชิญคุณอนวัชขึ้นมาบนเวทีได้เลยครับ”
อนวัชเดินขึ้นไปบนเวที เสียงปรบมือดังก้องต่อเนื่อง
หทัยรัตน์ที่นั่งอยู่มุมหนึ่งมองดูชุดที่เลอะเทอะเหมือนไม่อยากสนใจอนวัช “ปุ้มขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
สุดาจับหทัยรัตน์ไว้ “ไปไม่ได้นะปุ้ม” หทัยรัตน์สงสัย “คือ มันดูเป็นการไม่ให้เกียรติ์ผู้เข้าแข่งขันตำแหน่งควีน กับ คิงนะ ปุ้มดูสิ ใครๆ เค้าก็สนใจมองไปที่การประกวดทั้งนั้น ถ้าปุ้มลุกขึ้นไปตอนนี้ ต้องโดนคุณแม่ดุแน่ๆ”
หทัยรัตน์มองไปรอบๆ แล้วก็เห็นว่าทุกคนนั่งนิ่งพร้อมกับมองไปที่เวที เธอจึงเริ่มเห็นด้วยเพราะถ้าลุกขึ้นตอนนี้จะโดดเด่นมาก หทัยรัตน์จำต้องนั่งประจำที่เดิม สุดาแอบถอนหายใจ
สัทธาที่อยู่บนเวทีประกาศต่อ
“ในตำแหน่งควีนมีผู้ถูกเสนอชื่อเพื่อช่วงชิงตำแหน่งจำนวน 3 ท่านด้วยกัน คุณสุภาพสตรีที่ผมเรียกชื่อโปรดยืนขึ้น และเดินมาที่ด้านหน้าด้วยนะครับ”
ส่องแสงตื่นเต้น สีสุกก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“ตื่นเต้นจังเลย ไม่รู้ว่าสามคนนั้นจะมีใครบ้างน๊า” สีสุกทำเป็นไม่รู้ว่ามีลูกตัวเองด้วย
สัทธาประกาศต่อ
“ผู้ถูกเสนอชื่อคนที่หนึ่งคุณเวณิกา วันเพ็ญครับ”
เวณิกายืนขึ้นอย่างอายๆ ไฟจับที่เธอ เวณิกาเดินออกไปที่ด้านหน้า
สีสุกแบะปากอย่างดูถูกแล้วหันมาเม้าท์เบาๆกับส่องแสง
“ไม่เห็นสวยสักนิด หน้าตาก็เหมือนอาหมวยที่สำเพ็ง”
สัทธาประกาศต่อ
“ผู้ถูกเสนอชื่อคนที่สอง คุณส่องแสง พิเศษกุลครับ”
สีสุกกรี๊ดกร๊าดอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ต๊าย ใครเสนอชื่อแม่ส่อง ตาแหลมจริงๆ รีบขึ้นไปเลยลูก ยิ้มให้หวานๆ ยิ้มกราดให้ทั่วเลยจ้ะ”
ส่องแสงทำเป็นอิดออดพอเป็นมารยาท แล้วก็ยืนขึ้นยิ้มหวานพร้อมกับเดินออกไปที่หน้าเวที
สัทธาส่ายหน้าบ่นเบาๆ
“ตัวเองเป็นคนส่งชื่อมาเอง จะทำเป็นตื่นเต้นทำไม เฮ่อ”
ส่องแสงเดินยิ้มหวานมายืนเคียงคู่กับสาวคนแรก ส่องแสงเชิดใส่แล้วหันมายิ้มหวานให้คนในงาน
สัทธาประกาศต่อ
“และผู้ถูกเสนอชื่อคนสุดท้ายคือ คุณหทัยรัตน์ ราชพิทักษ์ ครับ”
หทัยรัตน์ตกใจ “หะ”
อนวัชชะงักกึก
สุดารีบหันมาทางหทัยรัตน์ “ออกไปสิปุ้ม พี่ปุ๊เรียกแล้ว”
“แต่ปุ้ม..ไม่อยากประกวดนี่คะ ปุ้มสละสิทธิ์นะคะ ปุ้มต้องไปดูงานในครัว” หทัยรัตน์ลุกจะเดินหนีไป
สุดาจับไว้ “ไม่ได้ปุ้ม ถ้าปุ้มไม่ออกไปคุณพ่อคุณแม่เสียชื่อแย่ ปุ้มถือว่าทำเพื่อคุณพ่อ วันนี้วันเกิดท่านนะ นะปุ้มนะ ดูสิคนมองกันใหญ่แล้ว”
หทัยรัตน์มองหน้าสุทธิ์กับทิพย์ที่ชะเง้อมอง คนในงานเริ่มมองหาพร้อมกับส่งเสียงฮือฮาเล็กน้อย
สีสุกหน้างอทันที เธอพึมพำเบาๆ “ใครนะตาต่ำจริงๆเสนอชื่อนังเด็กนั่นได้ยังไง ชุดก็มอมแมม เลอะเทอะ คงจะสะกดคำว่า “อาย” ไม่เป็น”
สัทธาเริ่มใจเสียจึงประกาศอีกครั้ง
“ขอเชิญคุณหทัยรัตน์ มาด้านหน้าด้วยครับ”
สุดาเกลี้ยกล่อมหทัยรัตน์
“ออกไปเถอะ ถ้าปุ้มหลบไปคนอื่นคงคิดว่าปุ้มไม่กล้าและบางคนคงคิดว่าปุ้มกลัวแพ้” สุดาพูดเน้น
“โดยเฉพาะพี่หนึ่ง พี่หนึ่งคงคิดว่าปุ้มไม่ยอมประกวดเพราะกลัวความพ่ายแพ้”
หทัยรัตน์ชะงักกึกก่อนจะปรายตาไปทางอนวัชที่ยืนอยู่บนเวที
อนวัชส่ายหน้าเหยียดๆ “ไม่มีมารยาท”
หทัยรัตน์เห็นแล้วก็สัมผัสได้ถึงความเหยียดเยาะก็ถึงกับทนไม่ได้
หทัยรัตน์หันมาบอกสุดา “ปุ้มประกวดก็ได้ค่ะ ถ้ามันจะพิสูจน์ว่าปุ้มไม่ได้กลัวว่าจะแพ้”
หทัยรัตน์ลุกขึ้น คนทั้งงานหันมามอง เธอรู้สึกเขินๆ แต่ก็พยายามยิ้มสู้อย่างอ่อนโยนแล้วเดินมาที่ด้านหน้า คนในงานหันมาทางหทัยรัตน์ หลายคนมองอย่างชื่นชมในความสวย โดยเฉพาะประสาทพรที่ยิ้มถูกใจเป็นพิเศษ
อนวัชเหลือบไปเห็นแววตาประสาทพรพอดีก็ใจร้อนปุดๆ ด้วยความขัดใจ หทัยรัตน์เดินมารวมกับอีกสองสาวโดยมายืนข้างๆ ส่องแสง ส่องแสงเบ้หน้าอย่างดูถูกแล้วก็ปั้นหน้าฉีกยิ้มต่อไป
วงดนตรีบรรเลงเพลงตื่นเต้น สัทธายืนประกาศบนเวที อนวัชยืนรอควีนอยู่บนเวที แม้ภายนอกดูนิ่งๆ แต่ในใจเขาก็แอบตื่นเต้น
สัทธาประกาศ “ผมขอให้ทุกท่านเป็นผู้เลือกควีนประจำงานด้วยตัวท่านเอง ด้วยการปรบมือ ผู้ที่ได้รับเสียงปรบมือดังที่สุด จะได้เป็นควีนคู่กับคุณอนวัชที่ยืนรออยู่ทางด้านนี้แล้วนะครับ”
อนวัชยิ้มนิดๆ ดูเท่ สาวๆ ทั้งกรี๊ดทั้งซุบซิบๆ ด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะเวณิกาและส่องแสง ยกเว้นหทัยรัตน์ที่ยืนยิ้มนิ่งๆ เท่านั้น
สัทธาประกาศต่อ “ขอเสียงปรบมือให้คุณเวณิกา วันเพ็ญด้วยครับ”
เสียงปรบมือดังในระดับปานกลาง
สัทธาประกาศต่อ
“ขอเสียงปรบมือให้กับคุณส่องแสงด้วยครับ”
เสียงปรบมือดังกึกก้อง
สีสุกที่ลุ้นอยู่ด้านล่างปรบมือรัวแบบขาดใจพร้อมทั้งยิ้มหน้าบาน
สีสุกปรบจนมือแทบหัก “ดังขนาดนี้ ได้แน่ๆลูกแม่”
ส่องแสงยิ้มหน้าบานแล้วย่อไหว้อย่างสวยงาม สัทธาประกาศต่อ
“ขอเสียงปรบมือให้คุณหทัยรัตน์ด้วยครับ”
ทันใดนั้นประสาทพรก็ลุกขึ้นยืนปรบมือพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจ
อนวัชมองประสาทพรแล้วก็ใจเดือดปุดๆ ด้วยความรู้สึกขัดเคืองว่าเหมือนประสาทพรโดนหลอกใช้ ผู้ชายคนอื่นๆเริ่มลุกขึ้นและปรบมือตามประสาทพร จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
สีสุกกับส่องแสงอึ้งมองแบบเลิ่กลั่กอย่างไม่อยากจะเชื่อ สุดายืนขึ้น แขกที่โต๊ะญาติๆ ก็ยืนขึ้นปรบมือ สุดายิ้ม
ปลื้มสุดๆ ประสาทพรมองด้วยความพอใจ แต่อนวัชไม่พอใจ ส่องแสงแค้นใจ ส่วนสัทธายิ้มพอใจ
“จากเสียงตบมือที่กึกก้องแบบนี้ ทำให้คุณหทัยรัตน์ ราชพิทักษ์ ได้รับตำแหน่ง“ควีน”ของงานในวันนี้ไปครอบครองอย่างไม่ต้องสงสัยครับ” สัทธาประกาศจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกรอบ
ประสาทพรยิ้มดีใจด้วยความปลื้มปริ่ม หทัยรัตน์ยกมือไหว้และยิ้มรับอย่างสวยงาม ส่องแสงไม่พอใจ เธอโกรธจนหน้าแดงก่ำ พนักงานของวงดนตรี ๒ คนเดินมารับส่องแสงและเวณิกาลงไปจากเวทีอย่างสุภาพ ส่องแสงสบัดหน้าใส่ และเดินเชิดออกไปเองแบบไม่แคร์ สุดามองตามพลางคิดในใจว่าแย่อีกแล้ว
ประสาทพรนั่งลงแล้วมองหทัยรัตน์พร้อมกับยิ้มปลื้มสุดๆ ส่วนสีสุกนั่งหน้าหงิกอย่างไม่พอใจ
“บ้า บ้าไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
ส่องแสงเดินมาถึงที่โต๊ะแล้วก็กระแทกก้นนั่งด้วยความแค้น สีสุกต้องรีบมาจับมือปลอบใจเพื่อให้ระงับอารมณ์
สัทธาประกาศต่อ
“ขอเชิญคุณหทัยรัตน์และคุณอนวัชรับรางวัลกับเจ้าภาพบนเวทีได้เลยครับ ขอเชิญครับ”
หทัยรัตน์หันไปทางเวทีก็เห็นสุทธิ์และอนวัชยืนรออยู่ หทัยรัตน์อิดออดแต่แล้วก็จำใจต้องเดินไป เธอเดินขึ้นมาบนเวที ดนตรีเล่นรับอย่างอลังการ ผู้คนปรบมือ หทัยรัตน์มายืนข้างหนึ่ง เสียงปรบมือดังขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งสองคนดูเหมาะสม
กันอย่างมาก
สุดาเป็นผู้เชิญรางวัลให้สุทธิ์ อนวัชรับรางวัลจากสุทธิ์ เสียงปรบมือดังกึกก้อง หทัยรัตน์รับรางวัลจากสุทธิ์เสียงปรบมือดังไม่แพ้กัน
ช่างภาพตะโกนกันขึ้นมา “ขอถ่ายภาพร่วมกันหน่อยครับ”
สัทธากับสุดาถอยห่าง ปล่อยให้หทัยรัตน์ สุทธิ์ และอนวัชถ่ายรูปด้วยกันสามคน โดยที่สุทธิ์ยืนอยู่ตรงกลาง ช่างภาพ4-5 คนถ่ายรูปจนแสงเฟลชวูบวาบไปทั่ว
ประสาทพร ทิพย์ และวิทย์มองด้วยความชื่นชม ส่วนสีสุกและส่องแสงมองอนวัชกับหทัยรัตน์ด้วยความริษยา
สุทธิ์หันมาพูดกับอนวัชและหทัยรัตน์
“ลุงขอตัวก่อนนะ นักข่าวจะได้ถ่ายภาพปุ้มกับหนึ่งสองคน”
หทัยรัตน์กับอนวัชจะอ้าปากแย้งแต่สุทธิ์ก็เดินไปแล้ว ทั้งสองได้แต่ยืนเก้อโดยไม่ยอมมองหน้ากันและไม่ขยับหากัน ทำให้เกิดช่องว่างตรงกลางที่สุทธิ์เคยยืน
ช่างภาพตะโกนขึ้นมา “คุณอนวัชและคุณหทัยรัตน์ครับ กรุณาขยับเข้ามาใกล้กันหน่อยได้มั้ยครับ”
อนวัชและหทัยรัตน์หันมาสบตากันอย่างจำใจเหมือนจะถามกันว่าเอายังไง แล้วอนวัชก็พูดขึ้นก่อน
“ไม่กล้าเข้ามาอยู่ใกล้ฉันเพราะกลัวฉันหล่ะสิ” อนวัชเชิดหน้าและลอยหน้ากวนๆ
“ทำไมฉันต้องกลัว” หทัยรัตน์ย้อน
“ถ้าไม่กลัวก็ขยับเข้ามาสิ”
อนวัชมองหทัยรัตน์ด้วยความหมั่นเขี้ยวแล้วจงใจดึงเธอเข้ามาใกล้จนยืนชิดแทบจะเหมือนกอดกัน หทัยรัตน์ตกใจจะขยับหนีแต่อนวัชจับตัวไว้ไม่ให้เธอไป
“ถ้าไม่กลัวก็อยู่เฉยๆ ฉันไม่กัดเธอหรอก เพราะฉันไม่ใช่คนโหดร้ายป่าเถื่อนที่ชอบกัดคนอื่นตอนไม่ได้ตั้งตัว”
หทัยรัตน์หันขวับมามองตาดุ
อนวัชยิ้มกับกล้องแบบไม่สนใจก่อนจะพูดแบบได้ยินกันสองคน
“ถ้าเค้าถ่ายรูปเธอตอนทำหน้าเป็นยักษ์แบบนี้ฉันก็ช่วยไม่ได้ ข่าวคงเขียนว่างานนี้ได้เทพบุตรเป็นคิง ส่วนควีนตกเป็นของนางผีเสื้อสมุทร โอ๊ะไม่ใช่สิลืมไปว่าเธอผอมแล้วไม่ได้อ้วนเป็นกระปุกตั้งฉ่ายเหมือนเมื่อก่อน” อนวัชยักคิ้วกวน
หทัยรัตน์ปรี๊ดแตกจึงประชดกลับ
“ได้ค่ะ ในเมื่อคุณเป็นเทพบุตรได้ด้วยรอยยิ้ม ฉันก็จะฝืนยิ้มเพื่อเป็นนางฟ้า ถึงแม้ในใจฉันจะไม่อยากยิ้ม และไม่มีความสุขแม้แต่นิดเดียว”
หทัยรัตน์พูดจบก็หันกลับมาทางกล้องแล้วยิ้มหวานสุดใจเหมือนจะกวนประสาทอนวัชให้ถึงที่สุด อนวัชมองแล้วก็เกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาทันทีจึงหันมายิ้มแข่งแบบดูเหมือนมีความสุขม๊าก
นักข่าวตะโกนขึ้นมา “ดีครับ ดีครับ อยู่เฉยๆนะครับ ยิ้มหน่อยครับ”
แสงเฟลชสะท้อนวูบวาบไปมา
ส่องแสงกับสีสุกแทบกรี๊ด
“ดูมันสิคะคุณแม่ มันถือโอกาสใกล้ชิดพี่หนึ่ง” ส่องแสงฉุน
“แม่เห็นแล้วลูก..ใจเย็นๆลูกใจเย็นๆ” สีสุกว่า
ส่องแสงมองหทัยรัตน์ด้วยความริษยา
“ส่องทนไม่ได้แล้ว ส่องจะกลับแล้วค่ะ ถ้าส่องอยู่ต่อไป ต้องวิ่งไปตบมันแน่ๆ”
ส่องแสงคว้ากระเป๋าและลุกไปเลยโดยไม่ลาใคร สีสุกตะปบลูกสาวเอาไว้ไม่ทัน
“ส่อง”
วิทย์หันมามองด้วยความแปลกใจ “อ้าวหนูส่องไปไหนหล่ะคุณสีสุก”
“คือ ลูกส่องบ่นว่าปวดหัวน่ะค่ะ เลยขอตัวกลับก่อน สงสัยจะปวดหัวมาก เลยลืมลาคุณพี่ ดิฉันก็ลาแทนนะคะ สวัสดีค่ะ”
สีสุกยกมือไหว้วิทย์แล้วรีบลุกเดินตามไป
ช่างภาพแยกไป หทัยรัตน์รีบขยับออกห่างอนวัชทันที
“ทำไม อยู่ใกล้ฉันนานๆ กลัวว่าคุณชายจะไม่พอใจหรือไง” อนวัชถามกวนๆ
“ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ดิฉันไม่อยากอยู่ใกล้คุณเพราะดิฉันอยากอยู่ให้ห่างมากที่สุด” หทัยรัตน์ว่า
หทัยรัตน์เดินลงเวที อนวัชมองตามด้วยความไม่พอใจ จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นมาได้จึงเดินมากระซิบสัทธา สัทธาพยักหน้ารับแล้วเดินมาที่ไมโครโฟน หทัยรัตน์กำลังเดินลงจากเวทีทันใดนั้นเสียงสัทธาก็ดังขึ้น
“เพื่อเป็นการแสดงความยินดีกับเจ้าภาพ ผมขอเชิญคิงและควีนให้เกียรติเต้นรำเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับคุณพ่อของผมด้วยครับ”
หทัยรัตน์ชะงักเท้าหยุดเดินทันที
สัทธาประกาศแกมบังคับ “ขอเชิญครับ”
หทัยรัตน์ยังยืนนิ่ง เธอหันมาทางสัทธาด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด อนวัชเดินเข้ามาหาหทัยรัตน์
“ถ้าเธอไม่พอใจจะวิ่งหนีไปอีกก็ได้นะ ทุกคนในงานเค้าจะได้รู้เธอเป็น ควีนที่ไม่มีมารยาทที่สุดในโลก” อนวัชพูดกวนๆ
“ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นวันเกิดคุณลุง อย่าฝันไปเลยว่าฉันจะเต้นรำกับคุณ”
หทัยรัตน์ตอบเสียงเข้ม อนวัชหมั่นไส้จึงดึงตัวเธอเข้ามาโอบและจับมือเตรียมพร้อมที่จะเต้นรำ
“คนอย่างฉันอยู่บนโลกความเป็นจริง ไม่เคยฝันอยู่แล้ว” อนวัชว่า
เสียงเพลงดังขึ้น ทั้งสองคนเริ่มเต้นรำ ความสวยหล่อของทั้งสองคนสะกดให้แขกในงานมองนิ่งกันทั้งงาน
ส่องแสงกำลังจะเดินออกประตูไป พอได้ยินเสียงดนตรีเธอก็ชะงักหันมามอง พอเห็นว่าอนวัชเต้นรำกับ
หทัยรัตน์ก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นใจ สีสุกเดินมาทัน ส่องแสงสะบัดหน้าใส่เวทีแล้วเดินออกไปด้วยความแค้น
อนวัชเริ่มกระแหนะกระแหนหทัยรัตน์
“เต้นรำกับฉันทำไมไม่ยิ้มแย้มเหมือนตอนเต้นรำกับคุณชาย”
“คนเราจะยิ้มได้ก็เพราะมีความสุขหรือมีความพอใจ แต่ตอนนี้ดิฉันไม่ได้รู้สึกทั้งสองอย่าง ดิฉันจึงไม่จำเป็นต้องยิ้ม”
อนวัชยิ่งโกรธ เขากระชับอ้อมแขนดึงหทัยรัตน์เข้ามากอดแน่นขึ้น หทัยรัตน์พยายามควบคุมใบหน้าไม่ให้ผิดปกติ แต่ในใจของเธอร้อนรุ่มไม่แพ้กัน
“ปากเก่งจริงๆนะ ทีกับคุณชายพูดหวานจนฉันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง”
“ดิฉันรู้ดีว่าควรจะพูดยังไงกับใคร คุณชายเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยดูถูกหรือกลั่นแกล้งดิฉัน และคุณชายทราบดีกว่า “ผู้ดี” จะไม่โอบคู่เต้นรำ แน่นเกินไป”
ยิ่งหทัยรัตน์พูด อนวัชก็ยิ่งกระชับกอดเธอแน่นมากขึ้นโดยใช้มือที่โอบกระชับหลังให้หทัยรัตน์ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น หทัยรัตน์เชิดหน้าขึ้นด้วยความโกรธ
“ขอโทษนะ ฉันเป็นคนแปลก ชอบทำสิ่งที่ฝืนใจคนอื่น ยิ่งเธอไม่ชอบ ฉันจะยิ่งทำ”
อนวัชกระชับแขนรั้งปุ้มเข้ามาอีกแบบไม่ยอมปล่อย หทัยรัตน์ชักสีหน้า
“คุณอนวัช”
อนวัชไม่สนใจ เขายังเต้นรำต่อหน้าตาเฉยพร้อมกับยิ้มกวนสุดๆ
สุดาเดินมาหาสัทธา
“พี่ปุ๊ทำไมอยู่ๆถึงให้สองคนนั้นเต้นรำด้วยกันหล่ะคะ ไม่ได้อยู่ในแผนสักหน่อย”
“ใครว่าเป็นความคิดพี่หล่ะ นายหนึ่งเป็นคนเดินมาบอกพี่ต่างหาก”
สุดาประหลาดใจ “หา พี่หนึ่งเนี่ยนะคะ ขอเต้นรำกับปุ้ม”
สุดาถึงกับเหวอ
อนวัชเต้นรำกับหทัยรัตน์จนจบเพลง แล้วทั้งสองก็หันมาทางแขกในงาน อนวัชโค้ง หทัยรัตน์ถอนสายบัว เสียงปรบมือดังกึกก้อง อนวัชมองหทัยรัตน์ก่อนจะพูดทิ้งท้ายอย่างหนักแน่น
“วันนั้นเธอไม่ยอมเต้นรำกับฉัน แต่แล้วในวันนี้เธอก็ต้องยอม.. มันพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า ไม่ช้าก็เร็วฉันต้องได้ทุกอย่างที่ฉันต้องการ”อนวัชยิ้มร้ายที่มุมปากก่อนจะเดินหนีไปเลย
หทัยรัตน์มองตามด้วยความแค้น เธอกำมือแน่นในขณะที่ยังยืนอยู่บนฟลอร์คนเดียวเหมือนโดนทิ้ง
ส่องแสงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างอารมณ์เสีย
“ส่องเกลียดนังเด็กปุ้ม หมั่นไส้ ทำท่ายังกะเป็นควีนจริงๆ ตอนเต้นรำกับพี่หนึ่งทั้งออดอ้อนทั้งส่งสายตากอดพี่หนึ่ง ส่องไม่เข้าใจ ทำไมมันถึงชนะส่องไปได้”
สีสุกรีบมาปลอบ “ตาปุ๊ยัยแป้นต้องเข้าข้างมันแน่ๆ แม่ว่าเสียงตบมือของมันไม่เห็นจะดังไปกว่าลูกเลย”
ส่องแสงยิ่งแค้น “นางปุ้ม แกไม่มีวันที่จะชนะฉันอีกเป็นครั้งที่สอง และถ้แกยังมายุ่งกับพี่หนึ่งหล่ะก็ แกกับฉันจะได้เห็นดีกัน”
ส่องแสงประกาศกร้าว
ตกกลางคืน อนวัชเดินเข้ามาในห้อง เขาวางของรางวัลไว้บนโต๊ะแล้วก็คิดถึงตอนที่เต้นรำกับหทัยรัตน์ นึกถึงตอนที่ได้เอาชนะเธอ นึกถึงตอนที่หทัยรัตน์เชิดใส่
อนวัชยิ้มด้วยความพอใจโดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้ตกหลุมที่ตัวเองขุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หทัยรัตน์เริ่มเข้ามาใน “มโน” ของอนวัชอย่างเป็นทางการ
ความรู้สึกพอใจที่ได้เอาชนะทำให้อนวัชมีความสุข และเปิดใจให้หทัยรัตน์เดินเข้ามาอย่างง่ายดาย
บรรดาแขกเหรื่อทยอยกันกลับหมดแล้วจนเหลือสัทธายืนอยู่คนเดียว ในใจของสัทธาเงียบเหงา เพราะคิดถึงพรรณี
สัทธาตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้าน
พรรณีที่นอนร้องไห้อยู่ในห้องนอนได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็สะดุ้ง
สัทธายืนรอสาย
พรรณีย่องออกมาจากห้อง เสียงโทรศัพท์ยังดังอยู่ พรรณีค่อยๆ เดินไปรับด้วยความระมัดระวัง
สัทธารอสายแต่เห็นไม่มีคนรับเลยตัดสินใจวางหูไป
พรรณียกหูโทรศัพท์ขึ้นมาพอดี “สวัสดีค่ะ”
เสียงสัญญาณตัดไปแล้วดังขึ้น พรรณีผิดหวัง เธอค่อยๆวางหูไปอย่างเศร้าๆ
ส่วนสัทธาก็วางหูไปแบบเศร้าๆ เหมือนกัน
ทั้งสัทธาและพรรณี ต่างคนก็ต่างเศร้า
เช้าวันต่อมา สุดาเดินมาเคาะประตูห้องหทัยรัตน์ด้วยความหวั่นใจ
“ปุ้ม..ตื่นหรือยังจ้ะ”
หทัยรัตน์เปิดประตูออกมาด้วยใบหน้างอนสุดๆ
“พี่แป้นจะมาหลอกอะไรปุ้มอีกเหรอคะ”
สุดาเดินเข้ามาในห้องแล้วรีบเดินมาสารภาพผิด
“โธ่ พี่ก็ขอโทษแล้วไงหล่ะ ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ พี่กับพี่ปุ๊ทำไปเพราะความหวังดีนะ ไม่อยากให้ปุ้มกับพี่หนึ่งโกรธกัน”
“แล้วทำไมปุ้มต้องไปดีกับคนแบบนั้นด้วยคะ พี่แป้นไม่รู้ว่าเค้าทำอะไรกับปุ้มบ้าง”
สุดารีบถาม “แล้วพี่หนึ่งทำอะไรปุ้มเหรอ” สุดามีแววตาเป็นประกาย
หทัยรัตน์ชะงักกึกเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เธอนึกถึงตอนที่อนวัชกระชับตัวเธอแนบแน่นขณะเต้นรำ
หทัยรัตน์พยายามดึงสติกลับมาและพยายามไม่คิดถึง
“ช่างมันเถอะค่ะ ปุ้มไม่อยากทำตัวเป็นเด็กๆไม่พอใจก็ขี่ม้าสามศอกไปบอกคนอื่น”
“เอาหล่ะไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด..แค่หายโกรธพี่กับพี่ปุ๊ก็พอ” สุดารีบชวนเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ควีนของพี่หนึ่ง” หทัยรัตน์หันขวับ สุดารีบพูดแก้ “เอ้ย ควีนของงาน ได้เปิดของรางวัลของคุณพ่อหรือยังจ้ะ พี่อยากรู้ว่าคุณพ่อให้อะไร”
หทัยรัตน์หันไปทางกล่องรางวัลที่วางอยู่บนโต๊ะ “ยังเลยค่ะ”
“เปิดสิ พี่อยากดู” สุดาบอก
หทัยรัตน์แกะกล่องออกมาแล้วพบว่าเป็นที่เสียบเนคไททองคำเป็นรูปคฑา
“แหนบเสียบเนคไท” หทัยรัตน์แปลกใจ
สุดากับหทัยรัตน์มองหน้ากัน สุดาหยิบขึ้นมาดู
“พี่ว่าของขวัญนี้น่าจะเป็นของคิงมากกว่านะ คุณพ่อคงจะไม่ให้ที่เสียบไทกับควีนหรอก เอ แล้วพี่หนึ่งจะได้อะไรนะ”
หทัยรัตน์ชะงักนิดๆ
เข็มกลัดเพชรรูปมงกุฎอยู่ในมือของอนวัช อนวัชมองด้วยความสงสัยแล้วเขาก็คิด
สัทธาที่ยืนคุยโทรศัพท์พูดอย่างรู้ทัน
“เรื่องของรางวัลที่แกได้รับจากคุณพ่อใช่มั้ย”
อนวัชพูดด้วยน้ำเสียงประชด
“ใช่ น้องสาวแกคงจะบอกแล้วสิ แล้วควีนของแกเค้าว่ายังไงบ้าง”
สัทธาขำแล้วแซวกลับ
“ใครว่ายัยปุ้มเป็นควีนของฉัน เค้าเป็นควีนของแกต่างหาก”
อนวัชขำ
“ระวังเด็กคนนั้นมาได้ยินเข้าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา แล้วเข็มกลัดอันนี้ ถ้าเขาอยากได้คืน เย็นนี้ฉันจะแวะเอาไปเปลี่ยนให้”
สัทธาพูดโทรศัพท์ “ปุ้มไม่เปลี่ยนหรอก เค้าว่าคุณพ่อให้อะไรก็เอาอันนั้น”
อนวัชอารมณ์ขุ่นขึ้นมาเลย “ฉันก็นึกอยู่แล้วว่าเค้าต้องพูดแบบนี้ เค้าคงไม่อยากเสียหน้าขอแลกเปลี่ยนสิ่งของกับฉัน ไม่เอาก็ตามใจ ฉันก็ไม่อยากจะแลกกับเค้าเหมือนกัน”
อนวัชพูดเสียงแข็งพร้อมกับวางสายไป เขาก้มลงดูเข็มกลัดอีกครั้งแล้วก็นึกถึงหทัยรัตน์ด้วยความขุ่นเคือง
สัทธาวางหูไปพร้อมกับถอนใจในความไม่ยอมแพ้ของทั้งสองคน
“ตกลงว่าแผนการณ์นี้มันทำให้ดีขึ้นหรือแย่ลงวะเนี่ย”
สัทธาส่ายหน้าเซ็งๆ
ประสาทพรนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขานึกถึงตอนที่เต้นรำกับหทัยรัตน์ ตอนที่ลุกขึ้นยืนปรบมือให้หทัยรัตน์ ตอนที่หทัยรัตน์รับรางวัลด้วยท่าทีที่สวยสง่า
ประสาทพรยิ้มด้วยความชื่นชมและคิดถึง ทันใดนั้นกรกนกก็เข็นรถเข้ามา
“พี่ชายคะ..เมื่อคืนพี่ชายได้เจอกับคุณครูหญิงหรือเปล่าคะ”
“เจอครับ”
“คุณครูสวยมั้ยคะ” กรกนกตาวาวอย่างตื่นเต้น
“สวยครับ สวยมากกว่าผู้หญิงทุกคน จนได้รับตำแหน่งควีนประจำงานคู่กับพี่หนึ่งเลยครับ”
กรกนกตาวาว “ดีใจจังเลย” แล้วกรกนกก็เสียใจนิดๆ “แต่ก็น่าเสียดายนะคะ ที่พี่ชายไม่ได้เป็นคิงคู่กับคุณครู แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพี่หนึ่งก็เป็นพี่ชายของหญิงเหมือนกัน หญิงยอมให้คุณครูคู่กับพี่หนึ่งได้ค่ะ” กรกนกยิ้มไร้เดียงสา
ประสาทพรลูบผมกรกนกเบาๆ “แล้วถ้าคุณครูของหญิงจะมาเป็นควีนในชีวิตจริงของพี่ชาย น้องหญิงจะยอมมั้ยครับ”
กรกนกยิ้ม “ยอมสิคะ ทำไมหญิงจะไม่ยอม ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ หญิงจะดีใจที่สุดในโลกเลยค่ะ แล้วเมื่อไหร่หล่ะคะ ที่คุณครูจะมาเป็นควีนคู่กับพี่ชายจริงๆคะ”
ประสาทพรยิ้ม “พี่ชายกำลังพยายามอยู่ครับ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่”
ประสาทพรคิดถึงหทัยรัตน์อย่างมีหวังแล้วเขาก็ยิ้มอบอุ่น
ชุลีหอบหนังสือพิมพ์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในพิเศษกุล
“ส่อง ส่อง ส่องข่าวใหญ่จ้า ข่าวใหญ่”
ชุลีวิ่งเข้ามาเห็นส่องแสงกับสีสุกนั่งอยู่ ชุลียกมือไหว้สีสุกตามมารยาท
“สวัสดีค่ะ คุณน้า” แล้วชุลีก็รีบสาระแน “ส่องนี่เธอเห็นข่าวคุณอนวัชกับเด็กที่ชื่อหทัยรัตน์หรือยัง นี่ๆ ฉันจะอ่านให้ฟัง นางสาวหทัยรัตน์ ราชพิทักษ์ หลานสาวคนสวยของคุณทิพย์ เดือนประดับ ได้รับตำแหน่งควีนคู่กับนายอนวัช พัชรพจนาถ นักการทูตหนุ่มเนื้อหอม ที่รับตำแหน่งคิงประจำงานวันเกิดของคุณสุทธิ์ เดือนประดับ หนุ่มหล่อสาวสวยที่ใครๆต่างพากันอิจฉาไปทั้งงาน และหวังจะให้เป็นคู่กันในชีวิตจริง”
ส่องแสงพูดหน้านิ่ง “อ่านทำไม ฉันเห็นข่าวนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว” ส่องแสงหันมาปรายตาใส่ “อย่าบอกนะว่าเธอจะเชื่อตามข่าวนั่นด้วย”
“อ้าว แล้ว แล้วมันไม่จริงเหรอ” ชุลีถาม
สีสุกขำ “จะไปจริงได้ยังไง พวกนักข่าวก็เขียนข่าวใส่สีตีไข่ให้มันดูน่าสนใจไปอย่างนั้น มันไม่มีทางเป็นจริง”
“แล้วที่มันได้เป็นควีนของงานก็เพราะกรรมการเป็นพวกเดียวกับมัน การแข่งขันไม่ยุติธรรมแม้แต่นิดเดียว”
“ใช่ เพราะถ้ามันยุติธรรมขาวใส คนที่ต้องได้รางวัลนี้คือแม่ส่อง ใครๆก็รู้ว่าเสียงตบมือแม่ส่องน่ะดังกว่าของนังเด็กนั่นตั้งเยอะ”
“จริงๆเหรอคะ ดังกว่าจริงเหรอคะ” ชุลีทำหน้าไม่เชื่อ
“นี่หนูคิดว่าน้าจะโกหกหรือไง”
ชุลีอึกอัก “แหม ก็ ชุลีไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ถามดูเพื่อความแน่ใจก็เท่านั้นเอง ว่าแต่ข่าวนี่มันไม่จริงใช่มั้ยส่อง”
“ไม่จริง เธอจำไว้เลยนะชุลี คนอย่างพี่หนึ่งไม่มีวันสนใจนังเด็กปุ้ม พี่หนึ่งฉลาดพอที่จะรู้ว่า ดาว กับ ดินตม มันต่างกันยังไง”
ส่องแสงย้ำชัด
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 2 (ต่อ)
อนวัชยิ้มอย่างรู้ทัน
“ที่มาวันนี้เพราะเห็นข่าวฉันกับหทัยรัตน์ใช่มั้ย คงเพราะข่าวนี้ทำให้แกต้องมาหาฉันถึงที่นี่ ฉันบอกได้เลยว่า มันเป็นแค่ความเข้าใจผิด ที่มันไม่มีทางเป็นไปได้”
อนวัชพยายามออกตัว พินิจยิ้มรับอย่างไม่ได้โกรธแม้แต่นิดเดียว
“ที่ฉันมาไม่ใช่เพราะฉันกลัวว่ามันจะเป็นจริง แต่ฉันมาเพื่อบอกว่า ถ้าแกกับหทัยรัตน์จะเป็นคู่กัน ไม่ต้องห่วงฉัน เพราะฉันเป็นแค่คนที่หลงรักหทัยรัตน์ โดยที่เค้าไม่ได้รัก ถ้าคนที่เค้ารักคือแก ฉันจะดีใจมาก”
อนวัชแค่นหัวเราะ “แกเข้าใจผิดแล้ว ฉันเป็นคนที่เค้าเกลียดและอยากจะหนีไปให้พ้นต่างหาก”
พินิจแปลกใจมาก “ทำไมหล่ะ”
อนวัชตอบด้วยความมั่นใจ
“เพราะฉันเป็นผู้ชายที่รู้ทันเค้า เค้าถึงไม่กล้าอยู่ใกล้ คงทำอะไรๆที่ไม่ใช่ตัวเองไม่สะดวก” อนวัชยิ้มเหยียด “นายไม่ต้องห่วง ฉันกับเค้าไม่มีทางที่จะรักกันหรือเป็นคู่กันได้ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตจริงและในความฝัน”
อนวัชมั่นใจ พินิจฟังก็อมยิ้มนิดๆ เพราะลึกๆ แล้วก็รู้สึกโล่งใจ
“สบายใจได้ ฉันไม่ใช่คู่แข่งที่แกควรจะเป็นห่วง ถ้าอยากจะห่วง ห่วงคนอื่นดีกว่า”
อนวัชพูดจบในใจก็คิดถึงประสาทพร
สุดายืนอยู่ที่หน้าสนามเทนนิส เธอมองหาเพื่อนแล้วก็ชะเง้อไปมา ทันใดนั้นเสียงประสาทพรก็ดังขึ้น
“คุณสุดาครับ”
สุดาหันไปเห็นประสาทพรก็ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณชาย”
“คุณสุดามายืนทำอะไรตรงนี้ครับเนี่ย แล้ว” ประสาทพรมองไปรอบๆ
สุดารู้ใจ “ปุ้มไม่ได้มาด้วยหรอกค่ะ วันนี้ปุ้มเค้าอยากพัก แป้นนัดกับเพื่อนๆอีกกลุ่มไว้น่ะค่ะ แต่ สายมาสิบห้านาทีแล้ว ยังไม่เห็นมีใครมากันเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะเกเรกันหรือเปล่า”
“ผมว่า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา คุณสุดาไปเล่นกับกลุ่มเพื่อนผมก่อนก็ได้นะครับ คนที่เล่นคู่กับผมไม่มาพอดี ถ้าคุณสุดาไม่รังเกียจ เล่นคู่กับผมก็ได้นะครับ”
“ไม่รังเกียจหรอกค่ะ แต่แป้น ไม่เคยตีคู่น่ะสิคะ ไม่รู้ว่าจะพาคุณชายแพ้หรือเปล่า”
“ไม่ลองไม่รู้ครับ”
ประสาทพรยิ้มสนุก
สุดาหวดลูกเทนนิสเต็มแรง ลูกพุ่งไปหาคู่แข่งอย่างรวดเร็ว
สุดากับประสาทพรเล่นเทนนิสคู่กันได้เป็นอย่างดี สุดาเป็นผู้คอยรับลูกที่หลุด ประสาทพรเป็นฝ่ายรุกและส่งสัญญาณให้สุดาเล่นตามเกม ทั้งสุดาและประสาทพรสามารถทำคะแนนนำอย่างต่อเนื่องและชนะไปในที่สุด ด้วยลูก
หวดของสุดาที่ลงแบบคาดเส้นพอดีเป๊ะ ทำให้คู่ต่อสู้รับไม่ได้ ทั้งสองคนร้องเฮ
“เฮ”
ประสาทพรเอ่ยชม “คุณสุดาเก่งมาครับ นี่ขนาดไม่เคยเล่นคู่นะครับเนี่ย” ประสาทพรชูนิ้ว “ชื่นชมครับ”
“ได้โค้ชดี มีชัยไปกว่าครึ่งค่ะ คุณชายวางเกมรับ รุก ได้ดีมาก” สุดาชูนิ้วเลียนแบบ “ชื่นชมค่ะ”
ประสาทพรหัวเราะออกมาอย่างเป็นธรรมชาติกับท่าทางของสุดา สุดาหัวเราะรับ มิตรภาพแรกของทั้งคู่เริ่มงอกเงยอย่างสวยงาม
ประสาทพรนั่งทำงานอยู่ในกระทรวง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ประสาทพรปิดหนังสือพิมพ์ “เชิญครับ”
เลขาฯ เดินเข้ามาพร้อมซองจดหมายและสมุดเซนต์รับ
“มีเอกสารด่วนมาถึงคุณชายค่ะ”
เลขาฯ ยื่นให้ ประสาทพรรับมาเซนต์ เลขาฯ เดินออกไป ประสาทพรเปิดจดหมายมาอ่านแล้วสีหน้าก็ค่อยๆเครียดขึ้นเรื่อยๆ
กรกนกตกใจมาก กรกนกกับประสาทพรนั่งคุยกันในห้องนั่งเล่นที่แม่โออยู่ด้วย
“พี่ชายต้องไปดูงานที่สหรัฐอเมริกาเหรอคะ แล้วพี่ชายจะให้หญิงอยู่กับใคร หล่ะคะ”
“พี่ชายจะขอให้ท่านพ่อมารับหญิงเข้าไปพักที่วังจนกว่าพี่ชายจะกลับมาครับ”
กรกนกถอยรถหนีห่างจากประสาทพรเป็นการปฎิเสธ เธอเบ้หน้าแล้วน้ำตาก็ปริ่มพร้อมไหล
“ไม่นะคะ หญิงจะไม่ไปอยู่กับท่านพ่อที่วัง หญิงไม่อยากอยู่กับคุณราศรี หม่อมใหม่ของท่านพ่อ หญิงเกลียดเธอ หญิงกลัวเธอค่ะ พี่ชายต้องไม่ส่งหญิงไปที่นั่นนะคะ ไม่นะคะพี่ชาย” กรกนกร้องไห้ “หญิงจะไม่ไปไหนหญิงจะอยู่ที่นี่ จนกว่าพี่ชายจะกลับมาค่ะ”
กรกนกเข็นรถของเธอออกไปทันที
“แม่โอ แม่โอจ๋า พาหญิงไปกลับห้องด้วย”
ประสาทพรมองกรกนกที่ออกไปด้วยความเสียใจและเห็นใจ
“น้องหญิง น้องหญิง”
กรกนกออกไปแล้วประสาทพรคิดหนัก เขามองดูจดหมายราชการที่วางอยู่ข้างหน้าแล้วก็ถอนใจ
“เฮ่อ” ประสาทพรมองดูรูปแม่ “ผมจะทำยังไงดีครับท่านแม่”
สุดาถามด้วยความแปลกใจและตกใจ
“คุณชายต้องไปราชการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา”
ประสาทพรกับสุดานั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก
“ใช่ครับ ผมเพิ่งทราบข่าวเมื่อวานนี้เอง ผมรีบแจ้งไปทางท่านพ่อ เพราะผมต้องหาคนดูแลน้องหญิงระหว่างที่ไม่อยู่ ท่านพ่อก็ยินดีที่จะรับน้องหญิงไปอยู่ด้วย แต่...น้องหญิงไม่ยอมไป ร้องไห้เสียใจใหญ่เลยครับ”
สุดาถามอย่างรู้ใจ “ที่คุณชายมาที่นี่ เพราะอยากให้ปุ้มช่วยพูดกับคุณหญิงใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ”
“แต่ ปุ้มไม่อยู่น่ะสิคะ เห็นนัดเพื่อนไปตีเทนนิส คงจะกลับหัวค่ำ ถ้าปุ้มมาถึงแป้นจะรีบบอกนะคะ”
“ขอบคุณครับ ตอนนี้น้องหญิงยืนยันว่าจะอยู่กับแม่นมที่บ้านนี้ ไม่ยอมไปอยู่กับท่านพ่อ แต่ผมเป็นห่วง ไม่อยากให้น้องหญิงอยู่กับแม่นมตามลำพัง บ้านทั้งบ้านมีแต่ผู้หญิง ถ้าเกิดมีอะไรฉุกเฉินขึ้นมา จะช่วยเหลือกันไม่ทัน”
“ใช่ค่ะ ดิฉันเห็นด้วย ส่วนเรื่องปุ้มคุณชายไม่ต้องห่วงนะคะ พอปุ้มกลับมา ดิฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ปุ้มฟัง ปุ้มจะได้เตรียมตัวสำหรับพูดกับคุณหญิง”
ประสาทพรรับคำ
“ขอบคุณมากครับ”
สุดาถามอย่างจริงใจ
“คุณชายเองก็อย่าคิดมากนะคะ ปุ้มเป็นคนพูดโน้มน้าวจิตใจคนเก่งค่ะ รับรองว่าปุ้มรับมือได้แน่ค่ะ”
สุดาให้กำลังใจ ประสาทพรพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกสบายใจที่ได้ปรึกษาสุดา
กรกนกนั่งร้องไห้ หทัยรัตน์นั่งปลอบใจอยู่ข้างๆ
“อย่าร้องไห้เลยนะคะ ถ้าคุณหญิงต้องไปอยู่ที่วังจริงๆท่านพ่อคงไม่ยอมให้ใครมารังแกคุณหญิงหรอกค่ะ”
“แต่ท่านพ่อต้องทำงานไม่มีเวลาอยู่กับหญิงหรอกค่ะ แล้วเวลาท่านพ่อไม่อยู่ คุณราศรีต้องมารังแกหญิง หญิงรู้ว่าเธอเกลียดหญิง แล้วหญิงก็ไม่ชอบเธอค่ะ”
หทัยรัตน์มองกรกนกด้วยความเห็นใจ กรกนกดึงมือหทัยรัตน์มาจับไว้
“คุณครูขา คุณครูรักหญิงมั้ยคะ” กรกนกร้องไห้
หทัยรัตน์จับมือกรกนกตอบแล้วยิ้มอ่อนโยน “รักสิคะ”
“คุณครูรักหญิง คุณครูต้องช่วยหญิงนะคะ ช่วยพูดกับพี่ชายให้หญิงอยู่กับแม่โอที่นี่ ไม่ส่งหญิงไปอยู่กับท่านพ่อนะคะ” กรกนกน้ำตาร่วง
หทัยรัตน์สงสารกรกนกจับใจ
ประสาทพรถอนใจด้วยความลำบากใจ
“ผมเองก็ไม่อยากให้หญิงไป แต่ท่านพ่อมาอ้อนวอนและให้สัญญาว่าท่านจะไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับหญิง”
“คุณชายแน่ใจว่าจะเป็นแบบนั้นเหรอคะ” หทัยรัตน์ถาม
“ตอบตามตรงผมเองก็ไม่แน่ใจ”
“แล้วคุณชายจะส่งคุณหญิงไปเหรอคะ คุณหญิงเธออ้อนวอนให้ดิฉันมาช่วยพูดขอให้เธออยู่ตามลำพังกับแม่โอที่นี่”
ประสาทพรคิดแล้วก็ยอม “ผมจะหาทางบ่ายเบี่ยงท่านพ่อไม่ให้พาหญิงไปอยู่ที่วัง และหาที่อยู่ใหม่ แต่มันอาจจะกระทบต่อการเดินทางมาสอนของคุณ”
“อย่ากังวลเลยค่ะ ดิฉันตามไปสอนคุณหญิงได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นที่ที่คุณหญิงสบายใจดิฉันก็ยินดีค่ะ”
“ขอบคุณครับ แล้วผมจะรีบหาที่อยู่ใหม่ให้หญิงเร็วที่สุด”
ประสาทพรรับปากอย่างแข็งขัน
วิทย์ตอบรับด้วยความยินดี
“มาเลยชาย ลุงยินดี ชายจะให้หญิงมาอยู่เพชรลดานานแค่ไหนก็ได้ จะกี่ปีกี่เดือนลุงยินดีและเต็มใจ”
ประสาทพรนั่งคุยกับอนวัชและวิทย์
ประสาทพรยกมือไหว้ “ขอบพระคุณคุณลุงมากครับ”
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจกันหรอก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เราก็คนกันเองทั้งนั้น นอกจากเรื่องที่พักแล้วชายมีอะไรให้ลุงช่วยอีกหรือเปล่า”
“ผมขอฝากแม่โอมาด้วยนะครับ แล้วจะรบกวนคุณลุงอีกเรื่องคือ หญิงเรียนหนังสืออยู่ครับ จำเป็นต้องมีครูมาสอนที่นี่”
อนวัชชะงัก แต่วิทย์ตอบรับ
“ก็เอาสิ ครูของหญิงก็ปุ้มหลานคุณทิพย์ไม่ใช่เหรอ คนกันเองทั้งนั้น”
“ใช่ครับ ถ้าคุณครูของท่านหญิงยอมมาสอน ทางเพชรลดาไม่มีปัญหาอะไร ว่าแต่เจ้าตัวเค้ารู้เรื่องนี้หรือยังครับ” อนวัชถามด้วยความอยากรู้
“ยังครับ” ประสาทพรตอบ “ผมยังไม่ได้บอกคุณหทัยรัตน์ รอให้ได้รับคำตอบจากคุณลุงกับหนึ่งก่อนแล้วค่อยบอก แต่หทัยรัตน์รับปากว่าเธอจะตามไปสอนหญิงทุกที่”
อนวัชยิ้ม “มันก็ไม่แน่นะครับ ท่านชายลองบอกเธอดูนะครับ บางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจ”
อนวัชพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะอยู่ในที
หทัยรัตน์ทั้งตะลึงทั้งอึ้ง
“คุณหญิงจะไปอยู่ที่เพชรลดา”
“ใช่ครับ คุณลุงวิทย์ยินดีจะให้หญิงอยู่ด้วย ส่วนเรื่องสอนหนังสือท่านก็ไม่มีปัญหาอะไร” ประสาทพรบอก
หทัยรัตน์ยังอึ้งอยู่ ประสาทพรสังเกตเห็น
“คุณหทัยรัตน์ไม่ขัดข้องใช่มั้ยครับ ถ้าต้องไปสอนที่เพชรลดา”
หทัยรัตน์มองหน้าประสาทพรที่รอคำตอบแล้วก็ตอบด้วยความลำบากใจสุดๆ “ดิฉันรับปากแล้ว ดิฉันก็ต้องทำตามคำพูดที่ให้ไว้”
“โล่งอกไปที ผมเห็นคุณหทัยรัตน์ทำหน้าเหมือนไม่พอใจเมื่อครู่ผมใจคอไม่ดีเลย คิดว่าจะเป็นอย่างที่หนึ่งบอกไว้ซะอีก”
หทัยรัตน์สงสัย “คุณอนวัชบอกว่าอะไรเหรอคะ”
“หนึ่งบอกถ้าคุณทราบว่าต้องไปสอนที่เพชรลดา คุณอาจจะเปลี่ยนใจและไม่ยอมไปสอนน่ะครับ”
หทัยรัตน์ยืดหลังตรงขึ้นเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจคำพูดของอนวัช
“คำพูดของคุณอนุวัชเชื่อถือไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเค้าไม่รู้จักดิฉันดีพอ”
หทัยรัตน์พูดถึงอนวัชแล้วก็มีแววตาดุขึ้นมาทันที
อนวัชพูดโทรศัพท์กับประสาทพรพร้อมทั้งอมยิ้มสะใจ
“ยินดีกับคุณชายด้วยนะครับที่คุณหทัยรัตน์ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ ในเมื่อเค้ายอมมาสอน ผมก็จะได้จัดห้องสำหรับเรียนหนังสือไว้ให้ และจะดูแลอย่างดีไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียว”
อนวัชยิ้มพอใจ
ประตูเรือนสีฟ้าถูกเปิดออก อนวัชกับนมพิมพ์เดินเข้ามาในห้อง
“คุณหนึ่งจะให้ท่านหญิงพักอยู่ที่เรือนสีฟ้านี้นะ แม่พิมพ์ให้เด็กดูทำความสะอาดให้เรียบร้อย” อนวัชบอก
“ค่ะ”
พิมพ์เดินออกไปเรียกเด็กๆ
“เฮ้ย นังจุก นังจวง นังนวล นังมะยม นังเมี้ยน มาทางนี้หน่อยเร็ว” ในระหว่างรอพิมพ์ก็หันมาหาอนวัช “คุณหนึ่งจะให้ท่านหญิงพักห้องไหนคะ พิมพ์จะได้จัดเตียงไว้ให้ เห็นคุณท่านบอกว่าจะมีคนรับใช้มาด้วยอีกคนใช่มั้ยคะ”
“จ้ะ แม่โอจะมาอยู่ดูแลหญิง ให้แม่โอพักที่ห้องเล็กด้านโน้นแล้วกัน ส่วนท่านหญิงก็ให้พักที่ห้องใหญ่ อ้อ แล้วต้องมีห้องสำหรับเรียนหนังสือด้วย แม่พิมพ์เลือกห้องที่มองเห็นได้จากเรือนใหญ่นะ เพราะคุณหนึ่งจะได้คอยดูว่าคุณครูสอนท่านหญิงอย่างเต็มที่หรือเปล่า”
อนวัชจิกตาแอบเจ้าเล่ห์นิดๆ อย่างคนมีแผน
ส่องแสงกับสีสุกเดินเข้ามาในเพชรลดาด้วยสีหน้าร่าเริง พอได้ยินเสียงดังมาจากเรือนสีฟ้า สีสุกกับส่องแสงก็ชะเง้อมองไปจนเห็นคนเดินขึ้นเดินลง ยกของเข้า ยกของออกกันจ้าหล่ะหวั่น สักพักก็มีคนรับใช้เดินผ่านมากำลังจะไปทำความสะอาดเรือนสีฟ้า
สีสุกอยากรู้ “เค้าทำอะไรกัน ยก ย้ายของ ยังกะจะจัดไว้ให้ใครมาอยู่”
คนรับใช้เดินมา ส่องแสงรีบถาม
“นี่เธอ ที่เรือนหลังโน้นมีอะไรเหรอ ทำไมดูวุ่นวายจัง”
“คุณหนึ่งให้ทำความสะอาดและจัดเรือนสีฟ้า เพราะจะมีแขกมาพักค่ะ”
เด็กรับใช้พูดจบก็เดินไป ส่องแสงกับสีสุกอยากรู้
“แขก ใคร”
เด็กรับใช้ 4 คนกำลังทำความสะอาด โดยมีอนวัชเดินคุมดูแลเด็กรับใช้คนยกโคมไฟ ยกแจกัน เข้าไปในเรือนสีฟ้า ส่องแสงกับสีสุกเดินตามเข้าไปดูด้วยอาการสนใจ ส่องแสงเห็นอนวัชยืนคุมอยู่ก็เข้ามาทัก
“พี่หนึ่งคะ”
อนวัชหันมาเห็นสีสุก “สวัสดีครับคุณอา”
สีสุกรับไหว้ “สวัสดีค่ะ”
ส่องแสงยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ส่องกับอาสีสุก มานานหรือยังครับเนี่ย ขอโทษที่ได้ออกไปต้อนรับที่เรือนใหญ่”
“ส่องเพิ่งมาเมื่อครู่นี้เองค่ะ เห็นพี่หนึ่งกำลังยุ่งส่องเลยเดินมาหาเอง”
“แล้วส่องมาหาพี่วันนี้มีอะไรหรือเปล่าครับ”
สีสุกตอบแทน “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ คือ แม่ส่องคิดว่าพี่หนึ่งว่างจะชวนไปดูหนังน่ะค่ะ”
“วันนี้พี่คงจะต้องขอตัว เพราะต้องอยู่จัดเรือนสีฟ้าให้เรียบร้อย เอาเป็นว่าพี่ขอติดไว้ก่อน ถ้ามีเวลาพี่จะรีบพาส่องไปดูหนังและทานข้าวเป็นการขอโทษ นะครับ”
ส่องแสงเห็นสายตาอ่อนโยนของอนวัชแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้
“ก็ได้ค่ะ ส่องได้ยินว่าพี่หนึ่งจัดห้องให้แขก แขกที่มา ต้องเป็นแขกสำคัญมากๆ พี่หนึ่งถึงต้องอยู่ควบคุมงานอย่างใกล้ชิด ไม่ทราบว่าแขกคนนี้เป็นใครเหรอคะ ส่องรู้จักหรือเปล่า”
“คุณหญิงกรกนก น้องสาวของท่านชายประสาทพร” อนวัชบอก ส่องแสงกับสีสุกชะงัก “คุณชายต้องเดินทางไปสหรัฐในเดือนหน้า คุณหญิงเลยมาพักที่นี่ชั่วคราว”
“ทำไมท่านหญิงไม่ไปอยู่กับท่านพ่อที่วังหล่ะคะ” สีสุกถาม
“เธอไม่สบายใจที่ต้องอยู่กับหม่อมใหม่ของท่านลุงน่ะ เลยขอมาอยู่ที่นี่” อนวัชบอก
สีสุกรีบถาม “แล้วแม่ปุ้มต้องตามมาสอนท่านหญิงที่นี่ด้วยหรือเปล่าคะ”
“ใช่ครับ”
ส่องแสงกับสีสุกรู้สึกริษยาขึ้นมาทันที พิมพ์เดินมา
“คุณหนึ่งคะห้องเรียนหนังสือท่านหญิงจัดเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณหนึ่งจะดูมั้ยคะ”
“จ้ะ” อนวัชหันมาทางส่องแสง “พี่ขอตัวก่อนนะครับ”
อนวัชเดินไป สีสุกกับส่องแสงยังอึ้งอยู่ ทั้งสองแทบกรี๊ดออกมาเพราะความริษยาแพร่ซ่านไปทั้งดวงตา ลับหลังอนวัชสีสุกแค้นมาก
“นังปุ้ม มันจะมากเกินไปแล้ว”
“เราใจดีกับมันไม่ได้แล้วนะคะคุณแม่”
สีสุกคิดแล้วก็ยิ่งแค้น
ซึ้งนึ่งขนมถูกเปิดออกจนเห็นควันพวยพุ่ง ขนมน้ำดอกไม้สีสวยวางเรียงอยู่อย่างสวยงาม
หทัยรัตน์ยกลงจากเตาพร้อมกับสั่งคนรับใช้
“เดี๋ยวเรียงขนมน้ำดอกไม้ใส่จาน แล้วยกไปให้คุณลุงกับคุณป้าเป็นของว่างนะ”
“ค่ะ”
คนรับใช้รับคำสั่งแล้วก็รับขนมไป แหววเดินเข้ามาหาหทัยรัตน์
“คุณปุ้มคะ คุณสีสุก และ คุณส่องแสงมาขอพบค่ะ”
หทัยรัตน์ชะงักนิดๆ เพราะรู้เลยว่าทั้งสองต้องไม่ได้มาดี
หทัยรัตน์เดินเข้ามาในห้องรับแขก ส่องแสงและสีสุกนั่งหน้าเชิดอยู่อย่างไม่พอใจ
“คุณสีสุกกับคุณส่องแสงมีธุระกับดิฉันเหรอคะ”
สีสุกจีบปากถาม
“ฉันได้ข่าวว่าคุณหญิงจะย้ายไปอยู่ที่เพชรลดา ฉันอยากจะรู้ว่าทำไมคุณหญิงถึงไม่ไปอยู่กับท่านพ่อ หรือญาติคนอื่น ทำไมต้องเจาะจงไปที่บ้านคุณหนึ่ง เธอเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้ใช่มั้ย”
หทัยรัตน์สะอึกไปก่อนจะเชิดหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ดิฉันไม่ทราบว่าทำไมคุณสีสุกคิดแบบนั้น แต่ดิฉันตอบได้อย่างเต็มปากว่าไม่ใช่”
“ถ้าไม่ใช่เธอยุยงส่งเสริมแล้วทำไมคุณหญิงต้องไปอยู่กับพี่หนึ่งด้วย แค่บอกว่าไม่ชอบแม่เลี้ยงมันฟังดูไม่มีเหตุผลเลยนะ”
“ถ้าคุณส่องต้องการทราบ คงต้องไปถามคุณหญิงเองนะคะ เพราะดิฉันไม่ทราบ และไม่ใช่เรื่องที่ดิฉันต้องถาม”
ส่องแสงลุกขึ้นมองหทัยรัตน์กดๆ ด้วยหางตา
“ฉันถามเธอดีๆ ไม่ต้องมาวางท่ายโสใส่ฉัน เลิกทำตัวเลิศลอยได้แล้ว อย่าคิดว่าการที่ได้ตำแหน่งควีนบ้าบอนั่นจะทำให้เธอวิเศษวิโสขึ้นมาได้ เธอมันก็เป็นได้แค่คางคกที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นวอ”
หทัยรัตน์สวนกลับ “ดิฉันไม่เคยคิดจะขึ้นเกี้ยวหรือขึ้นวออะไรทั้งนั้น”
“กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ถ้าเธอไม่คิด แล้วทำไมตอนเต้นรำกับพี่หนึ่งในงานวันเกิดคุณลุง เธอถึงต้องกอดพี่หนึ่งแน่นแบบนั้นด้วย”
“ดิฉันไม่ได้เป็นคนกอดคุณอนวัช ดิฉันไม่เคยคิดแม้แต่อยากอยู่ใกล้ด้วยซ้ำ”
“พูดแบบนี้ จะบอกว่าพี่หนึ่งเป็นคนอยากกอดเธองั้นหล่ะสิ” ส่องแสงมองอย่างเหยียดหยามดูถูก
สีสุกกับส่องแสงเริ่มรุม
“เธอนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะแม่ปุ้ม คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนคุณหนึ่งเค้าถึงจะมาสนใจเธอ”
ส่องแสงเสริม “หรือคิดว่าแค่ตำแหน่งควีนที่ได้ จะเพิ่มราคาในตัวเธอให้มากขึ้น ฉันจะบอกให้นะถ้าพี่ปุ๊กับยัยแป้นไม่เข้าข้างเธอ ไม่มีวันที่เธอจะชนะฉัน”
“การที่เธอเอาคุณหญิงมาบังหน้าเพื่อจะได้เข้าใกล้คุณหนึ่ง มันก็เป็นแค่ลูกไม้ตื้นๆ ของเด็กกำพร้าที่ทะเยอทะยานจนเกินตัว”
หทัยรัตน์โกรธจนตัวสั่น
ส่องแสงพูดต่อด้วยน้ำเสียงตอแหลแสร้งเป็นคนดี “และที่ฉันกับคุณแม่มาพูดกับเธอวันนี้ก็เพราะหวังดี อยากให้เธอหัดเจียมเนื้อเจียมตัวเอาไว้บ้าง คนเราถ้าหวัวสูงจนเกินไป เวลาตกลงมามันจะเจ็บ”
ส่องแสงเน้นคำสุดท้ายอย่างดูถูกตบท้ายด้วยรอยยิ้มที่เย้ยหยันก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไป สีสุกเดินตามแต่ไม่ลืมทิ้งรอยยิ้มเย้ยหยันให้หทัยรัตน์เจ็บใจ สองแม่ลูกเดินออกไป หทัยรัตน์ทรุดนั่งตาแดงก่ำน้ำตาคลอแต่พยายามกลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมา
ประสาทพรยืนอยู่ที่ซุ้มดอกไม้สวยเก๋ในสวนสาธารณะ สุดาเดินมาหา
“คุณชาย” สุดาเรียก ประสาทพรหันมา สุดายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
ประสาทพรรับไหว้ “สวัสดีครับ ขอบคุณคุณสุดามากนะครับ ที่กรุณามาตามนัด”
“ไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะ แค่แปลกใจที่คุณชายโทรศัพท์มานัดกระทันหัน มีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”
“ผมมีเรื่องอยากจะ สารภาพ” ประสาทพรบอก สุดาตั้งใจฟัง “ผมแอบชอบคุณหทัยรัตน์น้องสาวของคุณครับ” ประสาทพรพูดตรงๆ สุดาตกใจเล็กๆ “ผมรู้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ผมจำเป็นต้องบอก เพราะผมมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณ”
“ดิฉันขอบคุณที่คุณชายพูดตรงๆ แสดงว่าคุณชายจริงใจกับน้องสาวดิฉัน” สุดายิ้มรับ “คุณชายจะให้ดิฉันช่วยอะไร บอกมาได้เลยค่ะ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง ดิฉันยินดีค่ะ”
ประสาทพรยิ้มเบาใจสุดๆ
“ระหว่างที่ผมอยู่ต่างประเทศ ผมกับหทัยรัตน์คงไม่ได้เจอกันอีกนาน บอกตรงๆว่าหวั่นใจ กลัวว่าจะมีใครทำให้หทัยรัตน์ใจอ่อน ก่อนที่ผมจะกลับมา ผม อยากจะขอให้คุณเขียนจดหมายเล่าให้ผมฟังบ้างเป็นครั้งคราว ผมอยากรู้ว่าหทัยรัตน์สบายดีหรือเปล่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้าง แล้วก็มีใครเข้ามาทำให้เธอหวั่นไหวบ้าง ผมอยากรู้แค่นั้นหล่ะครับ”
ประสาทพรพูดด้วยความจริงใจ ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ
“ได้เลยค่ะ ด้วยความยินดี ดิฉันจะเขียนรายงานความเป็นไปของปุ้มให้คุณชายทราบเป็นระยะๆนะคะ”
ประสาทพรยิ้มกว้าง “ขอบคุณมากครับ” ประสาทพรนึกได้ “อ้อ เล่าเรื่องคุณสุดาและน้องหญิงด้วยก็ได้นะครับ ผมก็อยากรู้เรื่องของคุณกับคนอื่นด้วยเหมือนกัน” สุดายิ้มรับ ประสาทพรถามย้ำความเกรงใจ “แต่ สิ่งที่ผมขอร้องไม่ได้สร้างความลำบากให้คุณสุดาใช่มั้ยครับ”
“ไม่เลยค่ะ กลับกัน มันทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสายลับ คอยสอดส่องแล้วก็รายงานความเป็นไป แบบไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว” สุดาหัวเราะ “แค่คิดก็สนุกแล้วค่ะ”
ประสาทพรหัวเราะตามความสดใสของสุดา ทั้งสองหัวเราะสนุกสนาน แล้วประสาทพรก็นึกได้
ประสาทพรหยิบกระดาษออกมา “นี่ครับ ที่อยู่ของผมที่โน่น ขอบคุณคุณสุดาอีกครั้งนะครับที่เข้าใจ”
ประสาทพรส่งให้แป้น แป้นรับมาพร้อมรอยยิ้ม
“ด้วยความยินดีค่ะ ดิฉันก็ต้องขอบคุณคุณชายเช่นกัน ที่ไว้วางใจมอบหน้าที่นี้ให้ดิฉัน” แล้วสุดาก็หัวเราะ “นี่พูดเป็นทางการเหมือนได้รับตำแหน่งสายลับจริงๆเลยนะคะเนี่ย”
สุดาหัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน ประสาทพรหัวเราะตามอีกครั้ง เขามองสุดาด้วยแววตาเป็นมิตร ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่ามิตรภาพที่ไม่เสแสร้ง
ความน่ารัก และความเสมอกันของ ศีล ปัญญา ศรัทธา และการให้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความรักของทั้งสองเติบโตอย่างมั่นคงและสวยงาม
พรรณีเดินเข้ามาในห้องพักครู แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นช่อดอกไม้เล็กๆวางไว้บนโต๊ะ
พรรณีเดินมาที่โต๊ะและหยิบมาดูด้วยความแปลกใจ เธอพลิกการ์ดที่ติดอยู่มาอ่าน
“พี่จะไม่ถามถึงเหตุผลที่ไม่มางานวันเกิดคุณพ่อ แต่ถ้าพรรณียังยืนยันคำพูดที่ว่าไม่ได้รังเกียจพี่และเดือนประดับ ขอให้มาพบพี่ที่หน้าโรงหนังเฉลิมเขตต์ เวลาเที่ยงตรง วันพรุ่งนี้ ด้วยรัก สัทธา เดือนประดับ”
พรรณีอ่านแล้วก็ครุ่นคิดด้วยความหนักใจ
พินิจนั่งคุยกับนวล โดยมีพรรณีนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ
“เอ่อ แม่ครับ ผมเพลียๆ อยากให้คุณหมอตรวจร่างกาย หรือไปรับยาบำรุงมาก็ยังดี บ่ายนี้ผมอยากให้ณีเป็นธุระพาผมไปหาหมอนะครับ”
“ได้ๆ” นวลบอก พินิจอมยิ้ม
พรรณีทำเป็นอ่านหนังสือ แต่อมยิ้ม
“แต่ไม่ต้องไปยุ่งกับยัยณี เดี๋ยวแม่พาไปเอง”
พรรณีหุบยิ้มหน้าเสีย พินิจคิดหาทางออก แล้วก็เกิดไอเดีย
“แต่ผมว่าให้ณีไปดีกว่าครับ ขากลับถ้าไม่เย็นมากผมอาจจะชวนณีแวะหาหนึ่งที่บ้านด้วย คุณแม่อยากให้เค้าสองคนได้เจอกันไม่ใช่เหรอครับ”
นวลตาวาว “ใช่ๆๆ จริงด้วย งั้นให้ยัยณีไป รีบไปเรียกน้องตอนนี้เลย จะได้รีบไปหาหมอ แล้วก็พาน้องไปหาคุณหนึ่ง นี่แต่อย่าให้มันรู้ตัวนะ เดี๋ยวมันจะหนีไปเหมือนครั้งที่แล้ว ไปสิ ไป เร็วๆ รีบๆไปเลยนะ” นวลตะโกนมาเรียก “ยัยณี รีบพาพี่ไปหาหมอหน่อยเร็ว”
พรรณียิ้มดีใจรีบปิดหนังสือ แล้วเธอก็ตะโกนกลับออกไปเหมือนไม่รู้เรื่อง
“ค่ะแม่”
สัทธายืนรอด้วยความตื่นเต้นและกังวล เขามองหาแต่ยังไม่เห็นวี่แววของพรรณี มีแต่คู่รักคู่อื่นที่ควงกันมากระหนุงกระหนิง สัทธาเริ่มเศร้า เขาดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาเที่ยง 15 นาทีแล้ว สัทธายังมองไม่เห็นพรรณีก็ยิ่งเศร้า เขาหันหลังเตรียมจะกลับด้วยความผิดหวัง ทันใดนั้นเสียงพรรณีก็ดังขึ้น
“พี่ปุ๊คะ”
สัทธาชะงักหันมาเห็นพรรณีวิ่งมาอย่างรีบร้อน
“ณี พี่นึกว่าณีจะไม่มาซะแล้ว”
พรรณีหอบ “ณีขอโทษนะคะที่มาช้า”
“ไม่เป็นไร แค่ณีมาพี่ก็ดีใจมากๆแล้ว” สัทธายิ้ม
พรรณียิ้มตอบ “ส่วนเรื่องงานวันเกิดคุณลุง”
สัทธารีบบอก “ช่างมันเถอะ อย่าพูดถึงมันอีกเลย เรื่องมันแล้วไปแล้ว ตอนนี้เรารีบเข้าไปดูหนังดีกว่า หนังเริ่มฉายแล้ว ถ้าช้ากว่านี้จะดูไม่รู้เรื่อง”
“ค่ะ” พรรณียิ้ม
สัทธากับพรรณีเดินเข้าไปในโรงหนัง พินิจแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง เขายิ้มเศร้าที่เห็นพรรณีมีความสุข
สัทธากับพรรณีนั่งดูหนัง สัทธานั่งคู่กับพรรณี เขาค่อยๆขยับมือมาจับมือพรรณีที่วางอยู่ที่ท้าวแขน พรรณีตกใจนิดๆ แต่ไม่ได้ขยับมือหนี เธออมยิ้มอย่างอายๆ สัทธายิ้มอย่างมีความสุขที่พรรณีไม่มีท่าทีปฎิเสธ
พิมพ์ยืนอยู่กับนายจวกคนขับรถ สักพักเสียงหทัยรัตน์ก็ดังขึ้น
“ป้าพิมพ์ ใช่มั้ยคะ”
พิมพ์หันไปเห็นหทัยรัตน์เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ใช่ค่ะ”
หทัยรัตน์ยกมือไหว้ “ปุ้มเองค่ะ หลานคุณลุงสุทธิ์กับป้าทิพย์ แล้วก็เป็นคุณครูของคุณหญิงค่ะ”
“อ๋อ..คุณปุ้มนั่นเอง สวัสดีค่ะ ..ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นจนอีฉันจำไม่ได้เลยนะคะ” พิมพ์มองด้วยความชื่นชมแล้วก็นึกได้ “เออ คุณท่านให้อีฉันมาขนของของคุณหญิงไปที่เพชรลดาค่ะ”
“ปุ้มกับแม่โอช่วยกันจัดเตรียมของทั้งหมดไว้ให้ทางนี้แล้วค่ะ”
หทัยรัตน์ผายมือไปที่กองกระเป๋าและกล่องของ 6-7 ชิ้นที่วางอยู่
“มีเท่านี้เองเหรอคะ” พิมพ์ถาม
“ค่ะ คุณหญิงเอาไปแต่ของใช้ที่จำเป็น จะยกไปที่รถเลยหรือเปล่าคะ”
“ค่ะค่ะ เอ้าไอ้จวกมายกไปเร็ว”
จวกรีบเข้ามายก หทัยรัตน์ช่วยยกด้วย พิมพ์เห็นก็รีบห้าม
“อุ้ยคุณปุ้มคะ ไม่ต้องหรอกค่ะ อีฉันกับตาจวกยกไปเองค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยๆกันจะได้เสร็จเร็วๆ”
หทัยรัตน์ไม่ฟังเสียง เธอช่วยยกกระเป๋าและกล่องของไปที่รถ พิมพ์มองตามด้วยความชื่นชมแล้วรีบเดินตามไปจวกยังถือของเงอะงะ
“เอ้า ไอ้จวกเร็วๆสิเว้ย คุณปุ้มเดินไปโน่นแล้ว”
พิมพ์รีบเดินตามไป
หทัยรัตน์ช่วยพิมพ์และจวกยกของจัดของที่รถอย่างขะมักเขม้น พิมพ์แอบมองความมีน้ำใจของหทัยรัตน์ด้วยความชื่นชม จสกปิดประตูท้ายรถหลังจากขนของเรียบร้อย หทัยรัตน์ยืนคุยกับพิมพ์อยู่ข้างๆ รถ
“ปุ้มเริ่มสอนคุณหญิงตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงเที่ยง และพักให้คุณหญิงทานกลางวัน จะเริ่มเรียนอีกครั้งตอนบ่ายโมงจนถึงบ่ายสองโมง รวมเวลาสอนทั้งหมดเป็น 4 ชั่วโมงค่ะ”
“แล้วคุณปุ้มทานกลางวันกับคุณหญิงหรือเปล่าคะ อีฉันจะได้จัดเตรียมให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปุ้มเตรียมอาหารมาเองค่ะ”
“อุ้ย ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวอีฉันจัดให้เอง คุณหญิงจะได้มีเพื่อนทานอาหารด้วย”
“เอ่อ” หทัยรัตน์จะแย้ง
พิมพ์รีบพูด “คุณปุ้มไม่ต้องเกรงใจนะคะ เพราะคุณหนึ่งให้อีฉันเตรียมทุกอย่างให้เหมือนกับที่คุณหญิงอยู่ที่กนกพรค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณอนวัชคงจะหมายถึงให้แม่พิมพ์ดูแลคุณหญิงคนเดียว ไม่เกี่ยวกับปุ้มหรอกค่ะ” หทัยรัตน์ยิ้ม “ถ้าเรียบร้อยแล้ว ปุ้มขอตัวไปช่วยแม่โอเก็บบ้านต่อก่อนนะคะ” หทัยรัตน์ยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ” แล้วหทัยรัตน์ก็เดินไป
พิมพ์มองหทัยรัตน์แล้วยิ้มด้วยความชื่นชม
ข้าวของของกรกนกถูกวางไว้ในเรือนสีฟ้าเรียบร้อย อนวัชยืนมอง พิมพ์ยืนรอรายงานอยู่ข้างๆ
“ของคุณหญิง มีเท่านี้เหรอจ้ะแม่พิมพ์” อนวัชถาม
“ค่ะ คุณหญิงจัดมาแต่ของที่จำเป็นค่ะ เอ แล้วเย็นนี้คุณหนึ่งไม่ออกไปไหนเหรอคะ”
“ตั้งใจว่าจะไม่ไปไหนจ้ะ ทำงานเหนื่อยทั้งวัน อยากจะพักสักหน่อย”
พิมพ์ยิ้ม “แม่พิมพ์ว่า สักพักไม่คุณส่องแสงก็คุณวิยะดา ไม่ก็คุณเมตตา หรือคุณวันเพ็ญ คงได้มาชวนคุณหนึ่งออกไปแน่ๆ แม่พิมพ์ถามจริงๆเถอะค่ะ คุณหนึ่งไม่กลัวคุณๆมาเจอกันพร้อมๆกันบ้างหรือคะ”
“เจอกันก็ไม่เป็นไรนี่ ในเมื่อทุกคนก็เป็นน้องเป็นเพื่อนเหมือนกันหมด”
“แล้วเมื่อไหร่ คุณหนึ่งจะมีผู้หญิงที่พิเศษไม่เหมือนกับคุณพวกนี้มาให้แม่พิมพ์ชื่นใจบ้างคะ”
อนวัชขำ “ก็ไม่รู้สิ ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนชนะใจคุณหนึ่งได้สักคน แล้วแม่พิมพ์หล่ะมองใครไว้บ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเป็นพิเศษหรอกค่ะ จะมีก็แต่ผู้หญิงที่แม่พิมพ์รู้สึกต้องชะตา ในความน่ารักมีน้ำใจ และอิจฉาผู้ชายที่จะได้เธอไปเป็นภรรยาน่ะค่ะ”
อนวัชสนใจ “ใครเหรอ ใช่คนที่แม่พิมพ์เอ่ยชื่อเมื่อกี๊หรือเปล่า”
พิมพ์ยิ้ม “ไม่ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณหนึ่งอย่าเพิ่งทราบเลยค่ะ รอให้แม่พิมพ์รู้จักเธอให้มากกว่านี้ แล้วแม่พิมพ์จะบอกคุณหนึ่งเอง” พิมพ์ยิ้มเจ้าเล่ห์
พิมพ์พูดจบก็เดินออกไปเลยอนวัชยิ่งติดใจและอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร
จบตอนที่ 2