xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 3

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หนึ่งในทรวง ตอนที่ 3 

วันต่อมา หทัยรัตน์ยืนมองรอบๆบ้านกนกพร เฟอร์นิเจอร์ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว
 
ประสาทพรเดินเข้ามา แล้วยืนมองพร้อมอมยิ้มอบอุ่น แววตาชื่นชมเห็นได้ชัด
เธอหันมาเจอกับประสาทพรตกใจ
"อุ้ย"
"ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ..ผมแค่อยากยืนมองคุณให้นานที่สุด ก่อนจะไม่ได้เห็นอีกตั้งนาน"
"เวลา..ถ้าลืมๆไปบ้างมันก็ไม่นานหรอกค่ะ แป๊บเดียวก็เดือน ประเดี๋ยวเดียวก็ปี"
"แต่ถ้าไม่ลืมกว่าจะวินาที..กว่าจะนาที..กว่าจะวัน มันแสนยาวนานไม่ใช่เหรอครับ"
เธออายๆ รีบเฉไฉไปเรื่องอื่น
"คุณชายมีธุระอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ"
"วันพรุ่งนี้คุณพอมีเวลาว่างไปส่งผมหรือเปล่าครับ"
เธอก้มหน้าด้วยความเกรงใจ
"ดิฉันมีเวลาว่างค่ะ แต่..ดิฉันต้องขอโทษที่ไปส่งคุณชายไม่ได้"
"ทำไมหล่ะครับ"
"คุณชายจะออกเดินทางตั้งเกือบสามทุ่ม ดิฉันเดินทางกลับบ้านคนเดียวค่อนข้างลำบาก"
ประสาทพรพยักหน้าช้าๆเข้าใจ
"ผมเข้าใจครับ..ผมเองก็ไม่ต้องการทำให้คุณต้องลำบากทั้งใจและกาย ในเมื่อคุณไปส่งผมไม่ได้..วันนี้ผมขออนุญาตไปส่งคุณที่เดือนประดับได้มั้ยครับ"
เธอชะงัก..มองประสาทพรที่ส่งสายตาอ้อนวอน เธอถึงกับพูดไม่ออก
"เอ่อ"

เวลาต่อมา รถประสาทพรแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เธอลงจากรถ ประสาทพรลงตามมา
"ขอบคุณคุณชายมากนะคะ ที่ขับรถมาส่ง"
"คุณหทัยรัตน์ครับ ถ้าผมจะเขียนจดหมายมาคุยกับคุณบ้าง คุณจะตอบจดหมายของผมหรือเปล่าครับ"
"ตอบซิคะ เพราะอย่างน้อยดิฉันต้องเขียนรายงานผลการสอนของดิฉันให้คุณชายทราบ คุณชายจะได้พิจารณาว่าควรจะเลิกจ้างดิฉันหรือว่าจะจ้างต่อไป"
"ผมจะจ้างคุณหทัยรัตน์ตลอดไปแน่นอนครับ ไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนใจผมได้"
เธอไม่สบตา แต่อมยิ้มอย่างมีมารยาท
"ดิฉันขอให้คุณชายเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางโดยปลอดภัยค่ะ"
"ขอบคุณครับ ผมฝากให้คุณดูแลหญิงแทนผมด้วยนะครับ"
"คุณชายไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันรักคุณหญิง และไม่มีวันที่จะทอดทิ้งเธอค่ะ"
เธอยิ้มให้อย่างสดใส ประสาทพรยิ้มตอบแม้จะเศร้าแต่ก็อบอุ่นใจ
"สวัสดีค่ะ"
เธอยกมือไหว้ ประสาทพรและหันหลังเดินเข้าบ้านไป ประสาทพรได้แต่มองตามเธอไปด้วยความอาลัย ...
ที่หน้าต่าง อนวัชยืนแอบดูอยู่...เขามองประสาทพรด้วยความเห็นใจ และมองตามปุ้มที่เดินเข้ามาในบ้าน
ด้วยความไม่พอใจ .. ตาขวางสุดๆ
ตัดไป
เธอเดินเข้ามาในบ้าน ผ่านห้องรับแขก เสียงหนึ่งดังขึ้น
"เธอนี่เป็นลูกจ้างกิตติมศักดิ์จริงๆ"
เธอชะงักกึก หันมาที่ต้นเสียง เห็นอนวัชเดินมาดักอยู่ เธอยืนตัวตรง ตั้งรับ
" นายจ้างจะเดินทางไปต่างประเทศวันพรุ่งนี้ วันนี้ยังต้องขับรถมาส่งถึงที่บ้าน"
เธอนิ่งไม่โต้ตอบ
"คุณอนวัชมาหาคุณลุง คุณป้า หรือพี่ปุ๊พี่แป้นคะ ดิฉันจะได้ให้เด็กไปตาม"
"ไม่ต้อง..เพราะฉันมาที่นี่เพื่อมาหาเธอ"
เธอเชิด โดยอัตโนมัติ
"คุณมีธุระอะไรกับดิฉันไม่ทราบคะ"
"ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่อยากมาดูว่าเธอทำใจไปถึงไหนแล้ว กับการที่ต้องไปสอนคุณหญิงที่บ้านฉัน"
อนวัชยิ้มเยาะที่มุมปาก เธอเชิดใส่ รู้ว่ากำลังโดนยั่วโมโห
"คุณอนวัชไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันโตพอที่จะแยกแยะระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ถึงดิฉันต้องฝืนใจในการไปบ้านคุณ แต่เพื่องานดิฉันทนได้ค่ะ"
"คิดได้แบบนี้ก็ดี เพราะเธอจะต้องฝืนใจไปอีกตั้งนานกว่าคุณชายจะกลับ ฉันหวังว่าเธอคงจะใจแข็งพอที่จะไม่เลิกสอนท่านหญิงกลางครัน"
"ดิฉันมีความรับผิดชอบมากพอ ที่จะไม่ยกเลิกงานเพียงเรื่องขัดใจเล็กๆน้อยๆแบบนี้"
ปุ้มเชิดขึ้นอย่างไม่กลัว อนวัชมองท้าด้วยความสายตา
"แล้วฉันจะคอยดู"
ปุ้มกับหนึ่งประสานสายตาไม่มีใครยอมใคร

หน้าบ้านกนกพรตอนกลางคืน ในบรรยากาศเงียบเหงา ประสาทพรจัดของชุดสุดท้ายและยกกระเป๋าลงจากเตียงเตรียมเดินทาง กรกนกเข็นรถเข้ามาในห้อง
"พี่ชายจัดของเรียบร้อยแล้วหรือยังคะ"
ประสาทพรหันมาและเดินมานั่งลงข้างๆ
"เรียบร้อยแล้วครับ..นี่ดึกแล้วหญิงยังไม่นอนอีกเหรอครับ"
"หญิงนอนไม่หลับค่ะพี่ชาย.. พรุ่งนี้แล้วสิคะ ที่หญิงจะไม่ได้เจอพี่ชายอีกตั้งนาน" กรกนกน้ำตาซึม
"ถึงจะไม่ได้เจอกัน แต่หญิงมั่นใจได้ พี่ชายจะคิดถึงหญิงเสมอนะครับ" เขาลูบผมกรกนก
"หญิงก็คิดถึงพี่ชายค่ะ"
กรกนกโผเข้ากอดประสาทพร ทั้งสองคนกอดกัน กรกนกร้องไห้ ประสาทพรพยายามใจแข็ง ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา..

ตอนเย็นวันต่อมา บ้านกนกพร หน้าต่าง ประตูปิดเรียบร้อย สุดานั่งรออยู่ ประสาทพรเดินเข้ามา
"สวัสดีครับ"
สุดายกมือไหว้
"สวัสดีค่ะคุณชาย" สุดาส่งกล่องของให้ "คุณพ่อคุณแม่ให้ดิฉันเป็นตัวแทนนำของมาให้คุณชายค่ะ ท่านฝากอวยพรให้คุณชายเดินทางโดยปลอดภัย และฝากขอบคุณที่คุณชาย กับ คุณหญิง เมตตาปุ้มเรื่องงานด้วยค่ะ"
ประสาทพรเกรงใจมาก
"โห..ฝากขอบพระคุณทั้งสองท่านมากๆเลยนะครับ" เขามองดูกล่อง "ผมขออนุญาตเปิดเลยนะครับ"
"เชิญค่ะ"
ประสาทพรเปิดกล่อง เป็นกล้องส่องทางไกล แบบพกพา ประสาทพรมองด้วยความถูกใจมากๆ สุดาเสริม
"กล้องส่องทางไกลอันนี้ คุณพ่อได้มาตอนไปราชการที่ยุโรป ท่านบอกว่า คุณชายจะได้ใช้ดูวิวระหว่างการเดินทาง อาจทำให้ความน่าเบื่อลดลงได้บ้าง"
"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ถูกใจผมมากๆ" คุณชายมองด้วยความปลื้มปริ่ม
"ด้วยความยินดีค่ะ ส่วนเรื่องที่คุณชายมอบหมายให้ดิฉันเป็นสายสืบก็ไม่ต้องห่วงนะคะ ดิฉันจะทำอย่างสุดความสามารถเลยค่ะ" สุดายิ้มสนุก
ประสาทพรขำ
"ขอบคุณมากครับ ขยันขันแข็งแบบนี้ สงสัยกลับมาผมคงต้องเลื่อนตำแหน่งให้คุณสุดาเป็นหัวหน้าสายสืบแน่ๆ"

สุดากับประสาทพรหัวเราะสนุกสนาน

กรุงเทพยามบ่ายคล้อย...เคลื่อนเวลาสู่ช่วงเย็น ...
 
หน้าบ้าน รถอนวัชจอดอยู่ คนรับใช้ทยอยยกกระเป๋าเดินทางลำเลียงขึ้นรถ เขามองหาหทัยรัตน์แต่ไม่เห็น เขาหันมาถามแม่โอ
"แม่โอ...วันนี้มีใครมาส่งคุณชายบ้าง"
"เมื่อกลางวันรู้สึกจะมีคุณสุดา จากเดือนประดับ พี่สาวของคุณครูมาพบคุณชายค่ะ"
"แล้ว...เจ้าตัว ... คุณครูของคุณหญิงไม่มาส่งคุณชายเหรอ หรือว่าจะตามไปส่งที่ท่าเรือ"
"เปล่านะคะ คุณครูบอกว่าไม่มีเพื่อน เรือออกค่ำ ไม่อยากกลับบ้านดึกค่ะ"
เขาพึมพำเบาๆ
"เหตุผลแค่นี้เองเหรอ ..ช่างเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายจริงๆ"
ประสาทพรอยู่ในชุดพร้อมเดินทาง เดินออกมาจากบ้าน และเดินมานั่งลงข้างหน้ากรกนก
"พี่ชายจะหมั่นเขียนจดหมายมาหาหญิงนะครับ"
กรกนกพยายามกลั้นน้ำตาและทำใจให้เข้มแข็ง
"หญิงก็จะตอบจดหมายพี่ชายทุกฉบับค่ะ" กรกนกค่อยๆดึงรูปออกมาจากกระเป๋า "พี่ชายคะ..หญิงให้รูปนี้กับพี่ชายนะคะ เอาไว้ดูเวลาที่คิดถึงหญิงและคุณครูนะคะ"
กรกนกส่งรูปที่ตัวเองถ่ายคู่กับหทัยรัตน์ให้ ประสาทพรรับไว้และมองหญิงด้วยความเศร้า อนวัชปราดสายตาไปเห็นพอดี แอบสะบัดสายตาหนี เมื่อเห็นรูปเธอ
"พี่ชายจะคิดถึงหญิง..และคุณครูของหญิงเสมอครับ"
อนวัชยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกขัดใจเล็กน้อย
"พี่ชายต้องไปแล้ว..น้องหญิงอยู่กับพี่หนึ่งและคุณน้าอย่าดื้อนะครับ"
กรกนกเสียงสั่นแต่พยายามไม่ร้องไห้
"ค่ะ.. หญิงจะเป็นเด็กดีค่ะ"
ประสาทพรกอดกรกนกอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น...หญิงยังจับมือประสาทพรไว้เหมือนไม่อยากให้ไป และค่อยๆปล่อย
"ฝากน้องหญิงด้วยนะหนึ่ง"
"ด้วยความยินดีครับ เดินทางปลอดภัยนะครับคุณชาย"
ประสาทพรยิ้มรับ
"ขอบคุณมาก"
ประสาทพรมองคนในบ้านอีกครั้ง ทุกคนยกมือไหว้ ร่ำลา ประสาทพรพยักหน้ารับ มองกรกนกอีกครั้งและตัดใจขึ้นรถออกไป
กรกนกพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล อนวัชหันมาเห็นและโอบไหล่กรกนกปลอบใจ

หน้าบ้านเพชรลดา จากกลางวันเป็นกลางคืน อนวัชอุ้มกรกนกขึ้นนอนบนเตียง แม่โอปูผ้านอนอยู่ที่พื้น
"คืนนี้แม่โอนอนเป็นเพื่อนคุณหญิงไปก่อนนะ พอคุณหญิงเริ่มคุ้นแล้วค่อยแยกไปนอนห้องที่ฉันเตรียมไว้ให้"
"ค่ะ"
" คุณหญิงชอบห้องนี้มั้ยครับ ต้องการให้พี่หนึ่งตบแต่งเพิ่มหรือ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะพี่หนึ่ง แค่นี้หญิงก็พอใจแล้วค่ะ"
"วันนี้คุณหญิงเก่งมากนะครับที่ไม่ร้องไห้"
"หญิงไม่อยากทำให้พี่ชายไม่สบายใจค่ะ คุณครูบอกหญิงว่า... เวลาถ้าเราไม่สนใจนับ แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว"
"คุณครูท่านหญิงก็คงจะคิดเช่นเดียวกันมั้งครับ ถึงไม่ใส่ใจที่จะมาส่งคุณชาย มาบอกลาสักนิดก็ไม่มี"
อนวัชสรุปด้วยความอคติ

หทัยรัตน์นอนพลิกไปพลิกมา นอนไม่หลับ จนต้องลุกขึ้นมานั่ง แล้วก็ใส่เสื้อคลุมเดินออกไปข้างนอก

เธอเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน นอนไม่หลับ สุดาเดินมาหา
"ปุ้ม"
"พี่แป้นยังไม่นอนเหรอคะ"
"พี่หลับไปแล้ว เมื่อกี๊ลุกมาเข้าห้องน้ำ เห็นไฟหน้าบ้านเปิดก็เลยเดินลงมาดู นอนไม่หลับ เพราะคิดถึงเรื่องต้องไปบ้านพี่หนึ่งวันพรุ่งนี้หล่ะสิ"
เธอพยักหน้ารับ
"ค่ะ..ปุ้มไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เลย..นี่ถ้าปุ้มมีบ้านของตัวเอง ปุ้มจะให้คุณหญิงมาอยู่ด้วย จะได้ไม่ต้องไปพักที่บ้านคนอื่น"
"แต่สำหรับคุณหญิง พี่หนึ่งไม่ใช่คนอื่นนะ"
"แต่เค้าเป็นคนอื่นสำหรับปุ้มค่ะ"
สุดาขำ
"พี่ว่าปุ้มอย่าคิดมากเลยนะ เพราะตอนปุ้มสอนหนังสือ พี่หนึ่งไปทำงาน ปุ้มเลิกพี่หนึ่งก็เพิ่งเลิกงาน..โอกาสที่จะเจอกันก็คงจะน้อย บางทีอาจจะไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ"
เธอยิ้มอย่างมีหวัง...
"จริงสินะ...ลืมไปสนิทเลย เฮ่อ..ปุ้มก็มัวแต่คิดมาก นอนไม่หลับอยู่ตั้งนาน..รู้แบบนี้แล้วสบายใจขึ้นเยอะเลย..งั้นปุ้มไปนอนก่อนนะคะ..พรุ่งนี้ปุ้มต้องตื่นแต่เช้า ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"
เธอเดินตัวปลิวขึ้นบ้านไปเลย แป้นเหวอไป
"อ้าว..ปุ้ม..ไปเลย..เฮ่อ"
สุดาทั้งงงทั้งขำหทัยรัตน์ด้วยความเอ็นดู

เช้าวันต่อมา หทัยรัตน์เดินเข้ามาด้วยความสบายใจ พิมพ์รีบเรียกไว้
"คุณปุ้มคะ"
ปุ้มหันมาเห็นพิมพ์ยกมือไหว้
"สวัสดีค่ะแม่พิมพ์"
พิมพ์รับไหว้
"อู้ย สวัสดีค่ะ คุณปุ้มไม่ต้องไหว้แม่พิมพ์ก็ได้ค่ะ"
"ไม่ได้ค่ะ แม่พิมพ์เป็นเหมือนผู้ใหญ่ของที่นี่ ปุ้มต้องทำความเคารพเสมอค่ะ ไม่ทราบว่าห้องเรียนหนังสือของคุณหญิงอยู่ที่ไหนคะ"
"ทางด้านโน้นค่ะ แต่ก่อนที่จะไปพบคุณหญิง คุณท่านกับคุณหนึ่งรอพบคุณปุ้มอยู่ที่ห้องรับแขกค่ะ"
"ค่ะ" เธอชะงัก "แม่พิมพ์บอกว่า ใครรอพบนะคะ"
ปุ้มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

วิทย์นั่งรออยู่ยิ้มต้อนรับ อนวัชยืนอยู่ข้างๆ พยายามซ่อนรอยยิ้มสะใจไว้ที่มุมปาก เธอเดินเข้ามาในห้องรับแขก แล้วต้องชะงักกึก ต่างคนต่างสบตากัน เธอยกมือไหว้วิทย์ที่นั่งอยู่
"สวัสดีค่ะคุณลุงวิทย์"
อนวัชมองเธอไม่วางตา เธอยกมือไหว้แต่ไม่มองหน้า
"สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง"
อนวัชสะดุดหูกับคำว่า พี่หนึ่ง
"เพชรลดายินดีต้อนรับนะ ถ้าปุ้มต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกพิมพ์ เค้าจะเป็นคนจัดการให้ ไม่ต้องเกรงใจ"
ปุ้มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
"ขอบคุณค่ะ"
อนวัชสังเกตทุกกริยา
"ลุงจัดเรือนสีฟ้าให้คุณหญิงพักทางด้านโน้น เดี๋ยวหนึ่งจะเป็นคนพาปุ้มไป"
ปุ้มรีบบอกอย่างสุภาพ
"ไม่ต้องลำบากพี่หนึ่งหรอกค่ะ ปุ้มไปเองได้ค่ะ"
อนวัชพูดเพราะกลับ
"ไม่เป็นไรหรอกครับ น้องปุ้ม พี่จะเป็นคนพาไปเองตามมารยาทของคนที่เป็นเจ้าของบ้าน ไปครับ หญิงคงจะรออยู่แล้ว เชิญครับ น้องปุ้ม"
อนวัชพูดเชิญแกมบังคับ เธอจำต้องลุกตามไป
"ปุ้มขอตัวก่อนนะคะ"
เธอจำต้องเดินไปอย่างจำใจ อนวัชอมยิ้มนิดๆ แล้วเดินคู่กันไป

หนึ่งเดินนำเธอจากตึกใหญ่ไปที่เรือนสีฟ้า เธอไม่ยอมเดินคู่กับเขา แต่เดินตามหลังตลอด จนเขาสังเกตและหยุดเดิน เธอหยุดตามไม่ยอมเดินมาเสมอกัน
เขาเดินต่อ เธอเดินตาม พอเขาหยุดอีก เธอก็หยุดด้วย
อนวัชหันมา เธอตั้งรับ เขาเดินเข้ามาหา เธอถอยห่างด้วยระยะที่เท่ากัน เขาทนไม่ได้
"นี่เธอเป็นอะไร กลัวฉันมากหรือไง ถึงไม่ยอมเข้ามาใกล้ฉัน"
"ดิฉันไม่ได้กลัวค่ะ แต่ด้วยมารยาทของคนที่เป็นแขกไม่ควรจะเดินเสมอกับเจ้าของบ้าน"
เธอย้อนกลับพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่แสนเย่อหยิ่ง เขามองเธอและยิ้มเยาะ
"เธอนี่เล่นละครเก่งนะ ต่อหน้าคนอื่นทำนอบน้อมอ่อนหวาน พี่หนึ่งอย่างนั้น พี่หนึ่งอย่างนี้ ไม่เห็นปากเก่งเหมือนตอนอยู่กับฉัน นี่ถ้าฉันไม่รู้จักตัวจริงของเธอ ฉันคงหลงเชื่อในบทบาทคุณหทัยรัตน์ที่แสนดีของเธอไปแล้ว"
เธอโกรธแต่พยายามระงับไว้และลอยหน้าพูดอย่างไม่กลัว
"แล้วคุณอนวัชไม่คิดเหรอคะว่า ตลอดเวลาที่ดิฉันอยู่ต่อหน้าคุณ ดิฉันกำลังเล่นละครอยู่ จริงๆแล้ว คุณอาจจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของดิฉันเลยก็ได้"
เธอสู้ตาไม่ถอย เขาพูดเสียงแข็ง
"ถ้าฉันไม่รู้ คนบนโลกนี้ ก็ไม่มีใครที่จะรู้ ! ฉันจะบอกให้นะ เธออาจจะหลอกผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ได้ แต่เธอหลอกฉันไม่ได้ จำไว้"
เขาหันหลัง และเดินนำเธอไปอย่างเร็ว
เธอจี๊ดเจ็บใจ แต่ต้องรีบเดินตามไป ขาแทบขวิด
เขาเดินจ้ำอ้าวไปที่เรือนสีฟ้า เธอรีบเดินตามขาแทบพลิก

อนวัชปรายตามามองด้วยความสะใจ เธอไม่ยอมแพ้เดินตามให้ทันถึงแม้จะเหนื่อยก็ตาม

เธอยืนหอบแฮ่ก ขาแอบสั่น เหนื่อยโคตร กรกนกยิ้มรับ แม่โอยืนอยู่ข้างๆ
 
"สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง สวัสดีค่ะคุณครู"
อนวัชยืนยิ้มนิดๆด้วยความสะใจ ปุ้มยืนอยู่ข้างหลังหอบด้วยความเหนื่อย
"คุณครูไปทำอะไรมาคะ ทำไมดูเหนื่อยๆ"
อนวัชแกล้ง
"คุณหทัยรัตน์คงกลัวคุณหญิงจะรอนานเลยรีบเดินจนเหนื่อยนะจ้ะ"
กรกนกหันไปดูนาฬิกาฝาผนังแล้วสงสัย
"นี่ก็สายแล้ว พี่หนึ่งยังไม่ไปทำงานเหรอคะ"
"พี่หนึ่งเห็นว่าวันนี้เป็นวันแรกที่คุณครูมาสอนคุณหญิง พี่หนึ่งเลยหยุดงานหนึ่งวันเพื่อจะได้อยู่ดูแลความเรียบร้อย"
เธอชะงัก
"พี่หนึ่งขอตัวก่อนนะครับ..คุณครูคงอยากสอนคุณหญิงเต็มที พี่หนึ่งจะคอยดูคุณหญิงจากทางโน้น" เขาชี้ไปที่เรือนใหญ่ "เผื่อมีอะไรขาดตกบกพร่อง พี่หนึ่งจะได้มองเห็น...ไม่ต้องห่วงนะครับ พี่หนึ่งจะคอยมองคุณหญิง" แล้วเขาปรายตามาทางเธอ "และคุณครูตลอดเวลา ไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว"
เธอเชิดหน้าขึ้นอย่างรู้ทัน
"ค่ะ" กรกนกรับคำ
หนึ่งเดินออกไป แม่โอเดินตามไป เธอลอบถอนใจนิดๆอย่างอึดอัดขัดใจ

อนวัชเดินกลับมาที่เรือนใหญ่ หยิบหนังสือพิมพ์มานั่งที่โต๊ะริมระเบียง มองไปเห็นห้องเรียนของท่านหญิง
คนใช้ยกน้ำชามาให้ เขานั่งมองไปที่ห้องเรียนแล้วยิ้มด้วยความสะใจ

เธอกำลังจะเริ่มสอน พอนั่งปุ๊บ ก็รู้สึกเหมือนมีคนมอง พอมองออกไปที่หน้าต่าง เห็นอนวัชนั่งอยู่เต็มๆ
เขาทำทีเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ จิบน้ำชา หน้าตาไม่สนใจ แต่จริงๆตั้งใจจะนั่งยั่วอารมณ์
เธอแค้น..คิด และหันไปทางท่านหญิง
"วันนี้เราจะเรียนภาษาไทยกันก่อนนะคะคุณหญิง คุณครูจะให้คุณหญิงอ่านโคลงโลกนิติค่ะ"
กรกนกยิ้มรับ
"ค่ะ"
ปุ้มส่งหนังสือให้
"คุณหญิงลองอ่านบทนี้นะคะ"

อนวัชนั่งจิบชาสบายอารมณ์ เสียงกรกนกอ่านโคลงดังแว่วมา
"รักกันอยู่ขอบฟ้าเขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียว ร่วมห้อง
ชังกัน บ่ แลเหลียว
ตาต่อกันนา"
อนวัชเริ่มชะงัก เสียงกรกนกอ่านต่อ
"เหมือนขอบฟ้ามาป้อง
ป่าไม้ มา บัง"
หนึ่งสะอึกหันไปทางห้องเรียน

ท่านหญิงเอียงหน้าถามด้วยความสงสัย
"แปลว่าอะไรน่ะค่ะคุณครู"
"โคลงบทนี้พูดถึงความสัมพันธ์ของคนเราน่ะค่ะ ถ้าเรารักใครสักคนต่อให้เค้าคนนั้นอยู่ไกลแค่ไหน แต่เราก็รู้สึกเหมือนเค้าอยู่ใกล้ๆเรา ตลอดเวลา"
กรกนกยิ้ม
"เหมือนกับหญิงและพี่ชายใช่มั้ยคะ"
"ใช่ค่ะ...แต่ถ้าใครสักคนที่เราเกลียด ต่อให้อยู่ใกล้กันแค่ไหน แต่ก็เหมือนอยู่ห่างไกลแสนไกล เราเองไม่อยากแม้แต่จะมอง หรือถ้ามองเห็นเราก็ไม่อยากจะสนใจ"
อนวัชสะดุ้ง หันขวั่บมามอง หทัยรัตน์ยักไหล่ยิ้มด้วยความพอใจ

ส่องแสงวางโทรศัพท์และหันมาพูดกับสีสุกด้วยความไม่พอใจ
"วันนี้พี่หนึ่งไม่มาทำงานค่ะคุณแม่"
"อ้าว แล้วที่ทำงานเค้าบอกหรือเปล่าว่าคุณหนึ่งเป็นอะไร หรือว่าไม่สบาย"
"ส่องคิดว่าไม่ใช่หรอกค่ะ แต่วันนี้เป็นวันแรกที่นังเด็กปุ้มไปสอนที่เพชรลดา" ส่องแสงสะบัดหางเสียงด้วยความไม่พอใจ
สีสุกไม่อยากเชื่อ
"แต่..คุณหนึ่งจะหยุดงานเพียงเพราะนังเด็กเหรอลูก แม่ว่ามันจะมากเกินไปหรือเปล่า"
"เดี๋ยวก็รู้ค่ะ..ว่ามันจะเกินไปหรือเปล่า"
ส่องแสงหยิบกระเป๋าจะเดินออกไป
"อ้าว..ส่อง..ส่อง"
ส่องแสงไม่ฟังเสียงเดินออกไปเลย

กรกนกเตรียมกินข้าวกลางวัน อนวัชเดินเข้ามา
"ทำไมคุณหญิงรับประทานข้าวคนเดียวหล่ะครับ คุณครูหทัยรัตน์หายไปไหน"
"คุณครูไม่ยอมรับประทานกับหญิงค่ะ คุณครูเอาอาหารมาเอง แล้วขอตัวไปรับประทานที่ห้องครัวค่ะ"
อนวัชบ่นเบาๆ
"เค้าคิดอะไรของเค้า" ก่อนหันมาทางกรกนก "แล้วคุณหญิงอยากให้คุณครูมารับประทานด้วยหรือเปล่าครับ"
"อยากสิคะ"
"คุณหญิงรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวพี่หนึ่งจะพาตัวคุณครูมารับประทานข้าวกับคุณหญิงให้ได้"
อนวัชมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้
หทัยรัตน์เตรียมทานอาหารจากอับข้าวที่เตรียมมา พิมพ์นั่งบ่นอยู่ข้างๆ
"โธ่คุณปุ้มจะลำบากเอาอาหารมาทำไมไม่รู้ แม่พิมพ์บอกแล้วว่าจะเตรียมไว้ให้ ก็ไม่เชื่อ"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ปุ้มไม่ได้ลำบากอะไร อาหารพวกนี้ที่เดือนประดับก็ต้องทำอยู่แล้ว แค่ตักใส่กล่องเท่านั้นเอง"
"คุณปุ้มจะรับน้ำมั้ยคะ แม่พิมพ์จะไปตักมาให้"
เธอรีบบอก
"ไม่เป็นไรค่ะ ปุ้มเตรียมมาแล้วค่ะ" เธอหยิบขวดน้ำเล็กๆออกมาจากกระเป๋า
"นี่คุณปุ้มเตรียมน้ำมาด้วยเหรอคะ"
"ค่ะ"
ทันใดนั้นเสียงอนวัชก็ดังขึ้น
"สงสัยคุณหทัยรัตน์กลัวว่าอาหารที่เพชรลดาจะใส่ยาพิษมั้งครับ ถึงไม่ยอมแม้แต่จะดื่มน้ำของที่นี่"
เธอชะงัก พิมพ์หันไป อนวัชยืนอยู่
ปุ้มตอบกลับไปเสียงนิ่ง
"ดิฉันไม่ได้กลัวยาพิษหรอกค่ะ แต่ไม่อยากรบกวน"
"แค่อาหารวันละมื้อ กับน้ำวันละไม่กี่แก้ว ฉันไม่ถือเป็นบุญคุณ"
"คุณอนวัชไม่ถือ แต่ดิฉันถือค่ะ"
"ฉันว่าเธอควรจะละวางทิฐิไม่เข้าท่า แล้วไปรับประทานข้าวกับคุณหญิงจะดีกว่าเพราะตอนนี้คุณหญิงรออยู่ และบอกว่าจะไม่ยอมรับประทานจนกว่าเธอจะไปรับประทานด้วย"
พิมพ์ตกใจ
"อ้าว..นี่คุณหญิงยังไม่รับประทานข้าวเหรอคะ จะบ่ายแล้วนะคะเนี่ย..ป่านนี้คงจะหิวแย่แล้ว..โถ..น่าสงสาร"
"คุณหนึ่งก็เห็นใจ เพราะปกติคุณชายจะแวะมารับประทานข้าวกลางวันด้วย ตอนนี้คุณชายไม่อยู่คงอยากให้คุณครูอยู่เป็นเพื่อน แต่น่าเสียดายที่คุณครูตัดช่องน้อยแต่พอตัว แอบมาทานคนเดียวที่นี่"
"ดิฉันไม่ได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัวนะคะ"
"ถ้าไม่ใช่..เธอก็น่าจะไปรับประทานเป็นเพื่อนคุณหญิง."
เธอลังเล
"นะคะคุณปุ้ม เดี๋ยวแม่พิมพ์จัดจานให้นะคะ"
"แต่ว่า"
เขามัดมือชก
"แม่พิมพ์ไปจัดจานเถอะจ้ะ คุณครูคงจะไม่ใจดำพอที่จะทิ้งให้คุณหญิงนั่งรอ ท้องกิ่ว ด้วยความหิวไปทั้งวัน"
"ค่ะๆ งั้นพิมพ์ไปจัดโต๊ะให้นะคะ"
พิมพ์เดินออกไปเลย

พิมพ์วิ่งออกมาแล้วหยุดแอบมองเข้าไปในครัวยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนรู้ทันแล้วรีบเดินไปที่เรือนสีฟ้า

ในห้องครัว หทัยรัตน์ประกาศ
"ดิฉันขอบอกให้คุณรับทราบไว้ด้วยว่า ที่ฉันยอมทำตามเพราะมันเป็นความต้องการของคุณหญิง ไม่ใช่ความต้องการของคุณ"
เธอพูดจบก็เดินออกไปเลย อนวัชยิ้มด้วยความสะใจ

ภายในเรือนสีฟ้า กรกนกยิ้มดีใจ
"พี่หนึ่งเก่งจัง..พาคุณครูมารับประทานข้าวกับหญิงได้จริงๆ ด้วย ดีนะคะที่หญิงรอไม่รับประทานทานไปก่อน"
เธอชะงักสงสัย
"ไม่รับประทานไปก่อน คุณหญิงหมายความว่ายังไงคะ"
"พี่หนึ่งเห็นว่าหญิงรับประทานข้าวคนเดียว เลยบอกว่า ให้รอก่อน พี่หนึ่งจะหาทางพาคุณครูมารับประทานเป็นเพื่อนหญิงค่ะ"
"อ้าว... แต่เมื่อกี๊คุณอนวัชบอกว่า"
อนวัชพูดสวนขึ้น
"พี่หนึ่งบอกแล้วไงครับว่าพี่หนึ่งทำได้ทุกอย่าง..ถึงแม้คุณครูคุณหญิงจะไม่ยอมมา แต่พี่หนึ่งมีวิธี และสุดท้ายก็ต้องยอมทำตามที่พี่หนึ่งต้องการจนได้"
เธอหันขวับมาทางเขา จ้องตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
อนวัชยิ้มกวน
"นี่คุณทำไมมองผมแบบนั้น ผมไม่ใช่ไก่ผัดขิงนะครับ จ้องยังกับจะกินผมให้ได้ยังงั้นหล่ะ สงสัยจะหิว." เขาเลื่อนเก้าอี้ให้ "เชิญครับ..อาหารพร้อมแล้ว คุณหญิงก็รออยู่"
เธอไม่ยอมนั่ง ยังมองอนวัชตาแทบทะลัก
อนวัชหันมาทางกรกนก
"คุณครูไม่ยอมนั่งสงสัยอยากจะยืนรับประทานจะได้รับประทานได้จำนวนมากๆ"
อนวัชยิ้มกวน กรกนกขำ เธอสะบัดชายกระโปรงและกระแทกก้นนั่ง
"นั่งเบาๆ ก็ได้ เดี๋ยวเก้าอี้จะพังซะก่อน... หมดหน้าที่แล้ว พี่หนึ่งไม่กวนนะครับ เชิญคุณหญิงทานข้าวกับคุณครูตามสบายนะครับ พี่หนึ่งขอตัวก่อน"
เขาหันมาทางเธอที่นั่งหน้าหงิกอยู่
"หน้าหงิกแบบนี้สงสัยจะหิวมาก ระวังอย่ารับประทานให้มากเกินไป เดี๋ยวจะกลับไปเป็นกระปุกตั้งฉ่ายอีกจะหาว่าไม่เตือน"
อนวัชยิ้มกวนแล้วเดินออกไป ปุ้มมองตามด้วยหางตา

อนวัชเดินยิ้มสบายใจออกมา พิมพ์ยืนแอบอยู่ทักขึ้น
"แกล้งคุณปุ้มได้ คุณหนึ่งสบายใจขึ้นหรือยังคะ?
"พิมพ์รู้ได้ยังไงว่าคุณหนึ่งกำลังแกล้งเค้า"
"แม่พิมพ์เป็นคนเลี้ยงคุณหนึ่งมานะคะ คุณหนึ่งคิดอะไรทำไมแม่พิมพ์จะไม่รู้"
อนวัชขำ
"แม่พิมพ์นี่รู้ใจจริงๆ..ก็เด็กคนนี้น่าแกล้งไม่ใช่เหรอ ทำเป็นจองหองไม่ยอมกินข้าวที่เราจัดไว้ให้ ต้องปลีกวิเวกไปกินคนเดียว"
"แกล้งเค้าแบบนี้ ระวังเค้าจะแกล้งกลับนะคะ คุณหนึ่งจำไม่ได้เหรอคะว่าคุณปุ้มเธอไม่ยอมคุณหนึ่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะคะ"
"ยิ่งไม่ยอมคุณหนึ่งก็จะยิ่งแกล้ง ดูสิว่าจะอวดเก่งไปได้สักแค่ไหน"
อนวัชยิ้มอย่างสะใจและเดินไป พิมพ์มองตามและส่ายหน้ายิ้มๆ

สุดานั่งที่โต๊ะทำงาน ในห้องนอน พร้อมกับอุปกรณ์การเขียนจดหมาย เธอคิด และ เริ่มเขียน)
"สวัสดีค่ะคุณชายประสาทพร"
เสียงในความคิดดังก้อง
" จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายฉบับที่หนึ่ง ที่ดิฉันจะเริ่มเขียนมารายงานความคืบหน้า ในฐานะสายสืบจำเป็น วันนี้ปุ้มเริ่มไปสอนที่เพชรลดาแล้วค่ะ เมื่อคืนมีอาการนอนไม่หลับ เพราะตื่นเต้นที่จะต้องไปสอนที่ใหม่ เหตุการณ์ทั่วไปถือว่าสงบปกติสุข ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และคุณชายเป็นอย่างไรบ้างคะ ? ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและอากาศได้หรือยัง ? กว่าจดหมายฉบับจะไปถึง คงใช้เวลานานโข ระหว่างนี้ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม สายสืบสุดาจะรีบรายงานทันทีนะคะ รักษาสุขภาพค่ะ .. จ อ นอ ทอ พอ ศอ วงเล็บ .. เจ้าหน้าที่พิเศษ สุดา เดือนประดับ"
สุดาเขียนไปยิ้มไป อย่างสนุกสนาน

อนวัชเดินมานั่งที่โต๊ะตัวเดิม อ่านหนังสือและมองไปที่ห้องสอนหนังสือของปุ้มเป็นระยะ เธอนั่งอยู่ในห้องเห็นเขาแล้วหงุดหงิด คิด..และหันไปเรียกแม่โอ
"แม่โอจ้ะ..แม่โอ"
แม่โอเดินเข้ามา
"ขา..มีอะไรคะคุณครู"
"แม่โอช่วยปุ้มขยับโต๊ะหน่อยสิคะ นั่งตรงนี้แล้วแสงมันแทงตาน่ะค่ะ คุณครูขอขยับโต๊ะหน่อยนะคะคุณหญิง"
เธอกับแม่โอช่วยกันยกให้ตำแหน่งที่เธอนั่งหลบสายตาหนึ่งเข้ามาด้านใน ระหว่างที่เธอกับแม่โอขยับโต๊ะ อนวัชกำลังก้มอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่เห็น..
เธอกับแม่โอขยับโต๊ะเสร็จแล้วเรียบร้อย
เธอมองดูแล้วไม่เห็นเขา ยิ้มพอใจก่อนจะหันมาทางแม่โอ
"ขอบคุณมากค่ะ"

อนวัชอ่านหนังสือพิมพ์จบ เหลือบไปดูที่ห้องกรกนก แล้วก็ชะงัก.. เธอหาย !! เหลือแต่กรกนกนั่งอยู่ที่หน้าต่าง
"อ้าว ยัยกระปุกตั้งฉ่ายหายไปไหน"
เขามอง คิด พอจะเข้าใจ..แล้วก็ไม่พอใจที่เธอตั้งใจหลบ เขาลุกขึ้นจะเดินไปหา
ทันใดนั้นเสียงส่องแสงก็ดังขึ้น
"พี่หนึ่งขา"
"อ้าว ส่อง"
ส่องแสงเดินมาหา
" เมื่อเช้าส่องไปทำธุระที่กระทรวงแวะไปหาที่ห้องทำงานถึงได้รู้ว่า วันนี้พี่หนึ่งไม่ได้ไปทำงาน พี่หนึ่งเป็นอะไรหรือเปล่าคะ"
"เปล่าจ้ะ พี่ไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่วันนี้เป็นวันแรกที่คุณหญิงมาอยู่ที่นี่ พี่เลยอยู่เป็นเพื่อนดูแลคุณหญิงหนึ่งวัน"
"แล้วทำไมพี่หนึ่งต้องมานั่งที่นี่ด้วยคะ หรือว่าตรงนี้มีอะไรน่าสนใจ"
ส่องแสงเหลือบไปที่ห้องเรียน เห็นแต่กรกนก
" อ๋อ..ก็..ไม่ได้มีอะไรหรอกจ้ะ นั่งตรงนี้แล้วมองเห็นคุณหญิงก็เท่านั้นเอง ... แล้วส่องมาหาพี่มีอะไรหรือเปล่าครับ"
"ส่องคิดว่าพี่หนึ่งไม่ไปทำงานเพราะป่วย ส่องเลยมาเยี่ยม แต่เห็นพี่หนึ่งสบายดีแบบนี้..ส่องก็เลยจะชวนพี่หนึ่งไปดูหนังและทานข้าว พี่หนึ่งปฎิเสธส่องมาทีหนึ่งแล้ว คงไม่ใจร้าย ปฎิเสธส่องเป็นครั้งที่สองนะคะ"
"เอ่อ"
ส่องแสงทำเศร้า มารยา
"ใช่สิคะ ส่องน่ะเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกับคุณหญิงกรกนก ถึงจะเป็นน้องของพี่หนึ่งเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่น้องสาวคนสำคัญ พี่หนึ่งถึงได้บอกปัดครั้งแล้วครั้งเล่า"
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ... ก็ได้ครับ พี่หนึ่งขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ"
ส่องแสงยิ้มกว้าง
"ค่ะ"
อนวัชลุกแอบปรายตามาทางห้องเรียนหนังสือของหทัยรัตน์ด้วยความเสียดายนิดๆ ก่อนจะเดินไป ส่องแสงยิ้มหวานส่งเขา พอคล้อยหลังก็หันขวับไปที่ห้องเรียนหนังสือด้วยความหมั่นไส้

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 3 (ต่อ) 

เธอกำลังสอนหนังสือกรกนก ส่องแสงเดินเข้ามา
 
"สวัสดีค่ะคุณหญิงกรกนก"
กรกนกและหทัยรัตน์หันไป กรกนกมองด้วยความแปลกใจ
"คุณหญิงไม่รู้จักดิฉันหรอกค่ะ แต่ดิฉันได้ยินพี่หนึ่งพูดถึงคุณหญิงบ่อยๆ ดิฉันชื่อส่องแสง พิเศษกุล เป็นหลานสาวคนเดียวของคุณลุงสุทธิ์ เดือนประดับ"
เธอสะอึกรู้ว่าโดนกระทบ
กรกนกยกมือไหว้
"สวัสดีค่ะ คุณส่องแสงมาหาหญิงมีอะไรหรือเปล่าคะ?"
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ดิฉันจะมาขออนุญาตพาตัวพี่หนึ่งออกไปข้างนอก ไปดูหนังและรับประทานข้าว คาดว่าอาจจะกลับค่ำๆ"
"คุณไม่ต้องขออนุญาตหญิงก็ได้ค่ะ ถ้าพี่หนึ่งยินดีจะไป หญิงก็ไม่มีสิทธิไปยุ่งเกี่ยวค่ะ"
"คุณหญิงเนี่ยเป็นเด็กที่ฉลาดและน่ารักมากนะคะ เข้าใจอะไรๆ ได้ดีจริงๆ ดิฉันคงจะต้องรีบไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่หนึ่งจะรอนาน"
"เชิญค่ะ"
ส่องแสงหันมาทางหทัยรัตน์ และพูดด้วยน้ำเสียงกดอยู่ในที
"นี่แม่ปุ้ม สอนหนังสือคุณหญิงเสร็จแล้ว ก็รีบกลับบ้านไปซะ อย่าเสนอหน้าอยู่ โดยไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน เค้าจะตำหนิไปถึงคุณลุงของฉัน หาว่าท่านไม่ยอมสั่งสอน"
ส่องแสงเดินออกไปเลย เธอหน้าชาด้วยความโกรธ กรกนกมองตามด้วยความสงสัย
"ทำไมคุณส่องแสงพูดกับคุณครูแบบนี้ล่ะคะ? ไม่น่ารักเลย"
เธอไม่ตอบ แต่รู้สึกโกรธจนตัวชา

บริเวณหน้าโรงหนัง พรรณี และสัทธา เดินออกมา
"หนังสนุกมั้ย ณีชอบหรือเปล่า"
"ชอบค่ะ ตลกดี ขอบคุณพี่ปุ๊มากนะคะที่ชวนณีมาดู" เธอดูนาฬิกา "อุ้ย ณีต้องรีบไปแล้วหล่ะค่ะ เพราะนัดกับพี่นิจไว้ที่โรงพยาบาล ต้องรีบไปรับกลับบ้านด้วยกัน"
"พี่ไปด้วยนะ พี่ไม่ได้เจอพินิจนานแล้ว เผื่อจะไปหาข้าวกิน แล้วพี่จะขับรถไปส่งที่บ้านเอง"
พรรณีรีบบอก
"ไม่ได้นะคะ เอ่อ...คือ...ตอนนี้พี่นิจสุขภาพไม่ค่อยดีน่ะค่ะ คงจะไปไหนไม่ได้มาก แล้วพี่นิจก็ยังไม่อยากเจอใคร"
"อ้าวเหรอ...งั้นพี่จะชวนปุ้มกับแป้นไปเยี่ยมที่บ้านก็แล้วกัน"
พรรณีตกใจ
"อย่าเลยค่ะ คือ .. พี่นิจร่างกายไม่แข็งแรง ติดเชื้อง่ายน่ะค่ะ เอาไว้พี่นิจแข็งแรงกว่านี้ เราค่อยนัดเจอกันอีกทีดีกว่านะคะ ณีไปก่อนนะคะ"
"ณี..เดี๋ยวก่อน" พรรณีหันมา "พี่...มีความสุขมากนะที่ได้เจอณี..แล้วเราเจอกันใหม่นะ"
พรรณียิ้มรับ
"แน่นอนค่ะ ... แล้วเจอกันใหม่ค่ะ"
พรรณียิ้มหัวใจพองโต .. หันหลังจะเดินไป ทันใดนั้นก็ชะงักนิดๆ เห็นใครบางคน สัทธาแปลกใจ
"ณี...เป็นอะไร มองอะไรเหรอ "
"ผู้ชายคนนั้นน่ะค่ะ หน้าคุ้นๆ เหมือนจะเป็นเพื่อนของพี่นิจ"
สัทธามองตามแล้วก็แปลกใจ
"หนึ่ง"
พรรณีชะงักนิดๆ สัทธามองเพ่งอีกที
"มากับยัยส่องนี่"

ส่องแสงเดินควงกับอนวัชไปดูหนัง มีแต่คนมองส่องแสงยืดยิ้มอย่างภูมิใจ
"แหมเดินไปไหนมาไหนกับพี่หนึ่งแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนดังเลยนะคะ มีแต่คนมอง"
" ที่มองคงไม่ใช่เพราะพี่..แต่เค้าคงจะมองความสวยของส่องมากกว่าครับ"
ส่องแสงแทบกรี๊ด ยิ้มอย่างภูมิใจ หน้าบานเป็นจานดาวเทียม

ที่หน้าโรงพยาบาล พินิจยืนชะเง้อรอพรรณี พินิจรอไปดูนาฬิกาไป..พรรณียังไม่มา พินิจร้อนใจ
ทันใดนั้นเสียงนวลก็ดังขึ้น
"พ่อพินิจ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้"
พินิจตกใจ หันมา เห็นนวลยืนหน้าเข้มอยู่ข้างหลัง พินิจหน้าเสีย
"เอ่อ"
นวลเดินมาหา
"แล้วยัยณีอยู่ที่ไหน ? หายกันมาตั้งแต่เช้า บอกว่าจะมาหาหมอ นี่ก็จะเย็นแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน"
"คือ..วันนี้มีคนไข้มาหาหมอเยอะครับ คิวยาวมาก เพิ่งจะตรวจเสร็จเอง"
"แล้วน้องเราอยู่ไหน มันหายไปไหน หะ"
พินิจอึกอักๆ นวลรีบพุ่งเข้ามาเขย่าแขน
"แม่ถามว่ามันหายไปไหน ทำไมไม่ตอบ อย่าบอกนะว่า โกหกแม่ว่ามาหาหมอ แล้วปล่อยให้มันแอบไปหาผู้ชาย หะ ตานิจบอกแม่มาเดี๋ยวนี้ ยัยณีอยู่ไหน"
ทันใดนั้นเสียงพรรณีก็ดังขึ้น
"พี่นิจ !! ณีมาแล้วค่ะ"
นวลชะงัก หันขวับมา
พรรณีเดินมาพร้อมกับถุงกับข้าว มีผลไม้ ของกิน เต็มสองมือ
"ขอโทษทีค่ะ กลับมาช้าไปหน่อย พอดีร้านอาหารหน้าโรงพยาบาลปิด ณีเลยต้องไปซื้อที่ตลาด ก่อนทำเป็นเพิ่งหันมาเห็นแม่ "อ้าว แล้วคุณแม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย"
นวลยังไม่ค่อยวางใจ
"ฉันเพิ่งมา จะมาดูว่าเราสองคนมาโรงพยาบาลจริงๆหรือเปล่า" สองคนทำหน้าก้มหน้า หน้าซื่อๆ "นี่ยัยณี..เราไปตลาดมาจริงเหรอ "
"ก็จริงสิคะ ของเต็มไม้เต็มมือขนาดนี้"
"ผมเป็นคนให้ณีไปซื้อเอง เพราะรอหมอนานเลยหิวน่ะครับ"
นวลจิกตามองพินิจ กับ พรรณี ด้วยความไม่วางใจ ทั้งสองคนพยายามปั้นหน้าซื่อ
"ครั้งนี้ฉันยังจับไม่ได้ ไม่เป็นไร ฉันจะเชื่อว่าหาหมอกันจริงๆ แต่ครั้งหน้า ถ้าฉันจับได้ว่าเราสองคนรวมหัวกันหลอกแม่ เป็นเรื่องแน่"

นวลสะบัดหน้าเดินไปที่รถ พรรณีกับพินิจมองหน้ากัน แล้วก็ถอนใจด้วยความโล่งอก เฮ่ออออ !!

พินิจแปลกใจ
 
"หนึ่งไปดูหนังกับญาติของปุ๊เหรอ"
พินิจและพรรณีนั่งคุยกันที่มุมหนึ่ง ที่เป็นส่วนตัวปลอดภัย
"ค่ะ ณีเห็นตอนออกจากโรงหนัง สวนกันด้านหน้าพอดี ดูสนิทสนมกันมากนะคะ"
"เอ .. ครั้งที่แล้วที่เจอกัน ไม่เห็นหนึ่งพูดถึงผู้หญิงเลยนะ หรือว่าจะเป็นคนรักกัน"
"เรารีบไปบอกคุณแม่ดีมั้ยคะ จะได้เลิกจับคู่ให้ณีกับคุณอนวัชสักที"
"ไม่มีประโยชน์หรอก บอกไปก็เท่านั้น รังแต่จะทำให้เราเดือดร้อน เกิดคาดคั้นถามว่าไปโรงหนังเมื่อไหร่ ไปกับใคร แผนของเราจะแตกกันพอดี"
พรรณีจ๋อย
"จริงด้วย...เฮ่อ..พูดถึงเรื่องแผน ณีก็เริ่มจะหวั่นใจ ไม่รู้ว่าเราจะใช้แผนโกหกว่าไปโรงพยาบาล เพื่อให้ณีได้เจอพี่ปุ๊ไปได้อีกนานแค่ไหน"
พรรณีเศร้า ๆ พินิจเห็นแล้วยิ่งสงสาร

เวลาต่อมา ส่องแสงกับอนวัชนั่งทานข้าวกันอยู่ที่ร้านอาหารหรู ส่องแสงเลียบๆ เคียงๆ ถาม
"ตอนนี้พี่หนึ่งก็ได้รู้จักกับปุ้มแล้ว พี่หนึ่งคิดยังไงบ้างคะ ปุ้มเค้าเป็นคนน่ารักน่าหลงอย่างที่ใครๆเค้าว่ากันหรือเปล่า" ส่องแสงทำหน้าใสซื่อ
เขาชักสีหน้า
"พี่ไม่เห็นว่าเค้าจะเป็นแบบที่ส่องพูดเลย ในความเห็นพี่ เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงที่จองหอง หัวดื้อ ไม่มีมารยาทที่สุดเท่าที่พี่เคยรู้จักมา"
ส่องแสงได้ยินแล้วดีใจ แต่พยายามเก็บรอยยิ้มไว้
"ทำไมพี่หนึ่งคิดแบบนั้นคะ ส่องเห็นผู้ชายแต่ละคนที่รู้จักปุ้ม เป็นต้องชื่นชมหลงใหลกันทุกราย"
"แต่ไม่ใช่พี่แน่นอน..พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมใครๆถึงได้ชื่นชอบเด็กคนนี้นัก แม้แต่เพื่อนสนิทของพี่ ตกหลุมรักแม่หทัยรัตน์จนหน้ามืดตามัว ใครห้ามก็ไม่ฟัง"
อนวัชพูดด้วยความไม่เข้าใจ ส่องแสงทำเป็นตีหน้าฟังนิ่งๆ แต่ในใจสะใจนัก

ภายในบ้าน สีสุกพูดด้วยความสะใจ
"ต๊าย จริงเหรอลูก คุณหนึ่งพูดแบบนั้นจริงๆเหรอ"
ส่องแสงตอบอย่างมั่นใจ
"จริงค่ะ พี่หนึ่งบอกว่าชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ป่วย นังปุ้มมันก็เลยทิ้ง ไม่เหลียวแลแม้แต่นิดเดียว พี่หนึ่งเลยยิ่งไม่ชอบหน้ามัน .. สาแก่ใจจริง ๆ"
"ดี !! คุณหนึ่งจะได้ระวังตัวมากขึ้น ไม่หลงรักมันเข้าไปอีกคน"
สีสุกยิ้มร่า ด้วยความพึงพอใจ ส่องแสงคิดๆ แล้วก็พูดขึ้น
"แต่ส่องแปลกใจอยู่อย่างนึงค่ะคุณแม่"
"แปลกใจอะไรลูก"
"ส่องไม่เข้าใจ ทำไมนังปุ้มมันถึงได้แสดงกริยาต่ำๆ ให้พี่หนึ่งเห็นจนรู้ธาตุแท้ของมัน ปกติมันต้องทำท่าอ่อนหวาน หว่านเสน่ห์ แต่นี่จองหอง เชิดใส่พี่หนึ่ง ส่องอยากรู้จริงๆว่ามันคิดอะไรอยู่"
ส่องแสงสงสัยและอยากรู้

ภายในเดือนประดับ หทัยรัตน์หน้าเครียด
"ปุ้มไม่ไปเยี่ยมพี่นิจนะคะ ปุ้มไม่อยากไปบ้านนั้น"
เธอยืนกราน สองพี่น้องแปลกใจ
"และต่อไปถ้าเจอใครก็ตามจากบ้านพนัสพงษ์ ปุ้มขอร้องเลยนะคะ อย่าเอ่ยชื่อปุ้มให้พวกเขาได้ยิน"
สองพี่น้องงงหนักกว่าเดิม
"ทำไมหล่ะปุ้ม ? มีอะไรหรือเปล่า"
เธฮอึกๆอักๆ แล้วก็หลบตาเลี่ยงไม่ตอบ
"ปุ้มแค่...ไม่อยากไปยุ่งกับเค้าน่ะค่ะ ถ้าพี่ปุ๊กับพี่แป้นรักปุ้ม ปุ้มขอร้องแค่หล่ะค่ะ"
เธอพูดจบก็เดินออกไปเลย สัทธาจะขยับเรียก สุดาจับแขนไว้
"แป้นคุยเอง"
สุดาเดินตามไป สัทธามองตามด้วยความเป็นห่วง

เธอเดินเข้ามาในห้องนอนหน้าเครียด .. สุดาเดินตาม
"ปุ้มบอกพี่ได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่อยากไปยุ่งสุงสิงกับคนบ้านนั้น โดยเฉพาะพี่นิจ"
เธอหันหน้าหนีไม่ตอบ
สุดาคาดคั้น
"พี่รู้ว่าปุ้มต้องมีเหตุผล ปุ้มบอกพี่ได้มั้ยจ้ะ หรือว่าปุ้มไม่ไว้ใจพี่"
เธอเห็นแววตาจริงจังของสุดา จำต้องยอมเล่า
"ก็ได้ค่ะ..ปุ้มบอกก็ได้ค่ะ..แต่พี่แป้นต้องรับปากนะคะว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร"
สุดายิ่งสนใจ
"จ้ะ..พี่รับปาก"
เธอถอนใจเบาๆ และเริ่มเล่า
"พี่แป้นจำครั้งสุดท้ายที่เราไปเที่ยวที่พนัสพงษ์ได้มั้ยคะ"

"จำได้จ้ะ"

วันนั้น เธอกำลังหั่นผักอยู่ในครัว
 
"ตอนที่พี่แป้นออกไปตลาดกับพรรณีและคุณพินิจ ปุ้มไม่ได้ไปด้วยเพราะคุณนายนวลบอกให้ปุ้มอยู่ช่วยเตรียมของในครัว"
ทันใดนั้น ตะกร้าผักที่วางอยู่ก็ถูกปัดทิ้งลงพื้น ปุ้มตกใจเงยหน้ามองว่าใครปัด
นวลยืนปั้นหน้ายักษ์
"ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ฉันจะไม่อ้อมค้อม พูดกันตรงๆเลยก็แล้วกัน อย่าเอาความทะเยอทะยานของหล่อน มาทำลายอนาคตของลูกชายฉัน"
เธองงๆ ยังไม่เข้าใจ
"หมายความยังไงคะ"
"ก็หมายความตรงๆว่า ... สะใภ้พนัสพงษ์ต้องเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้วงศ์ตระกูลเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งฐานะทางครอบครัว และฐานะทางสังคม เด็กกำพร้าที่มีแต่ตัวอย่างเธอ ไม่คู่ควรกับลูกชายของฉัน เป็นได้อย่างมากก็..นางบำเรอก้นครัว"
เธอเริ่มเข้าใจและโกรธ
"คุณน้าเข้าใจผิดแล้วค่ะ ดิฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว"
"ไม่ต้องมาปฎิเสธ ฉันเห็นว่าเธอพยายามใกล้ชิดกับตานิจ อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออก เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่คิดจะมาจับลูกชายฉัน ฉันรู้เธอคิดจะเลื่อนขั้นจากเพื่อนยัยณีมาเป็นพี่สะใภ้..เลิกคิดได้แล้ว เพราะบ้านฉันมีคนรับใช้มากพอแล้ว ฉันไม่ต้องการเพิ่ม"
นวลเดินออกไปจากครัว เธอยืนนิ่ง กำมือขยำกระโปรงไว้แน่นด้วยความโกรธ

สุดาอึ้งกับความจริงที่เธอเล่าให้ฟัง
"ทำไมปุ้มไม่เล่าให้พี่ฟังตั้งแต่แรก"
สุดาเอากำปั้นทุบโต๊ะด้วยความเจ็บแค้นแทน
"นี่คุณนายนวลเค้าคิดว่าลูกชายตัวเองเป็นเทวดาหรือไง ถึงได้พูดดูถูกคนอื่นแบบนี้ พอได้ยินแล้ว พี่ก็ไม่อยากได้พรรณีมาเป็นพี่สะใภ้เหมือนกัน"
เธอรีบห้าม
"ใจเย็นๆ ค่ะพี่แป้น ปุ้มว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรณี และที่คุณนายนวลคิดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดว่าปุ้มไม่คู่ควรจะเป็นลูกสะใภ้เค้ามันก็ไม่ผิด แต่เค้าผิดตรงที่คิดว่าปุ้มสนใจพี่นิจ ถ้าเค้ารู้ว่าปุ้มไม่ได้คิดอะไร เค้าคงไม่พูดแบบนั้น พี่แป้นอย่าเอาเรื่องนี้ไปเกี่ยวกับพรรณีเลยนะคะ"
"แต่แม่ลูกก็ย่อมมีอะไรคล้ายคลึงกัน ถ้าพรรณีไม่คิดแบบเดียวกัน เค้าน่าจะมาเดือนประดับบ้าง อย่างน้อยก็ในงานวันเกิดคุณพ่อ"
"อีกคนก็เป็นแม่ อีกคนก็เป็นคนรัก ถ้าให้เลือกคงจะลำบาก ปุ้มเข้าใจและสงสารพรรณีค่ะ และปุ้มก็เป็นห่วงพี่ปุ๊ด้วย ถ้าพี่ปุ๊รู้ต้องไม่สบายใจแน่ๆ ปุ้มขอร้องพี่แป้น เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะคะ"
สุดาไม่อยากรับปาก หทัยรัตน์มองไม่วางตา
" ก็ได้..แต่ถ้าพรรณีทำให้พี่ปุ๊ต้องเสียใจเหมือนกับในงานวันเกิดคุณพ่ออีก พี่จะบอกเรื่องนี้ทันที ปุ้มคิดว่า… พรรณีรู้เรื่องที่แม่เค้ามาพูดไม่ดีกับปุ้มหรือเปล่า"

พรรณีนั่งเศร้า..มองดูรูปตอนที่ถ่ายกับสุดาและสัทธา สมัยอยู่มหาวิทยา เป็นภาพที่เต็มไปด้วยความสุข พรรณีมองด้วยความคิดถึง

ในอดีตนวลออกคำสั่ง เสียงดุดัน
"เราไม่ต้องไปบอกแม่เพื่อนสองคนนั้น เกี่ยวกับอาการป่วยของพินิจเลยนะ ไม่ต้องให้พวกมันรู้ เรื่องในครอบครัว คนนอกไม่เกี่ยว"
พรรณีไม่เห็นด้วย
"ทำไมคะ"
"แม่ไม่อยากให้มันมาเดินเข้าเดินออกที่บ้านนี้ พอรู้ว่าป่วยเดี๋ยวก็หาเรื่องมาเยี่ยมหนทางเป็นคลอง"
พรรณีจ๋อย นวลใส่ต่อเป็นชุด
"เรียนจบกันแล้ว ก็แยกย้ายกันไปทำมาหากิน ไม่ต้องมาคบหาสมาคมอะไรกันมากมาย เราเองก็เหมือนกัน หยุดติดต่อกับพวกนั้น และห้ามไปบ้านเดือนประดับอีกเป็นอันขาด ถ้าเราขัดคำสั่ง แม่จะบุกไปด่าพวกนั้นถึงที่บ้าน ! ไม่เชื่อก็ลองดู"
พรรณีก้มหน้ารับ หน้าเสีย ใจเสีย

พรรณียืนอยู่คนเดียวในบ้าน...คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็เศร้า รู้สึกผิด
"ขอโทษนะคะพี่พินิจ ณีไม่กล้าบอกสองคนนั้น ... ณีขี้ขลาดเกินไป ณีขอโทษ"

พรรณีเศร้า

ในเวลากลางคืน อนวัชเดินมาหากรกนกที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่ห้องหนังสือ
 
"วันนี้เรียนหนังสือเป็นยังไงบ้างครับ"
"สนุกดีค่ะ ให้หญิงเรียนกับคุณครูทั้งวัน ทุกวัน หญิงก็ไม่เบื่อค่ะ"
"พี่หนึ่งอยากรู้จริงๆ ทำไมคุณหญิงถึงชื่นชอบคุณครูคนนี้จัง"
"ก็คุณครูใจดี ใจเย็น หญิงทำผิดก็ไม่เคยว่าไม่เคยดุ แต่จะอธิบายให้หญิงเข้าใจ คุณครูไม่เคยว่าร้ายใคร พูดก็เพราะ เสียงก็เพราะ แล้วคุณครูยังยิ้มหวานอีกด้วยนะคะ"
เขาไม่เห็นด้วยอย่างแรง
"แต่ที่ผ่านมาพี่หนึ่งยังไม่เห็นว่าคุณครูของคุณหญิงจะเป็นอย่างที่บอกเลยนะครับ"
"พี่หนึ่งยังไม่ค่อยรู้จักคุณครูน่ะสิคะ พี่หนึ่งลองอยู่กับคุณครูนานๆ สิคะ แล้วจะรู้ว่าหญิงพูดจริง..ตอนแรกพี่ชายก็ไม่เชื่อค่ะ แต่ตอนนี้พี่ชายเชื่อแล้วค่ะ พี่ชายบอกหญิงว่า อยากให้คุณครูมาเป็นควีนในชีวิตจริงของพี่ชายค่ะ"
อนวัชสะอึก
"ถ้าคุณครูไม่น่ารักพี่ชายก็คงจะไม่อยากได้คุณครูมาเป็นควีนจริงมั้ยคะ"
อนวัชอึ้ง จำต้องยิ้มรับฝืนๆ … ในใจร้อนรุ่มตอบตัวเองไม่ได้ว่าคืออะไร

พิมพ์กำลังนั่งเจียนหมากอยู่ในห้อง อนวัชเดินเข้ามาหา พิมพ์เงยหน้าขึ้นมอง
"อ้าว...คุณหนึ่งดึกแล้วยังไม่เข้านอนอีกเหรอคะมีอะไรจะใช้แม่พิมพ์หรือเปล่าคะ"
"ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ..คุณหนึ่งแค่อยากจะถามอะไรแม่พิมพ์นิดหน่อย..แม่พิมพ์คิดว่าคุณครูของคุณหญิงเป็นคนยังไงน่ะจ้ะ"
พิมพ์มองหนึ่งยิ้มมีเลศนัย หนึ่งรีบแก้
"แม่พิมพ์ไม่ต้องยิ้มแบบนี้หรอกน่า คุณหนึ่งไม่ได้จะคิดอะไรลึกซึ้งกับผู้หญิงคนนี้ ที่ถามเพราะสงสัย ตกลงแม่พิมพ์จะตอบหรือเปล่า"
"แหม...ตอบสิคะ แต่ขอแม่พิมพ์คิดก่อนนะคะ..อืมม์...แม่พิมพ์คิดว่าคุณปุ้มเธอเป็นคนที่น่ารักมากนะคะ อ่อนหวาน เรียบร้อย แล้วก็ยังจิตใจดี มีน้ำใจ อีกด้วยนะคะW
อนวัชมองเหล่
"แม่พิมพ์พูดยังกะกำลังหลงเสน่ห์คุณครูหทัยรัตน์คนสวยเข้าอย่างนั้นแหละ"
"อ้าวก็จริงนี่คะ คุณครูเธอน่ารักมันก็น่าหลงไม่ใช่เหรอคะ แล้วคุณหนึ่งหล่ะคะ เห็นเหมือนแม่พิมพ์หรือเปล่า"
เขาชักสีกหน้าไม่สบอารมณ์
"คุณหนึ่งคงจะเป็นคนที่สายตาสั้นที่สุดในโลก เพราะยังมองไม่เห็นความน่ารักของเธอสักนิด แม่พิมพ์เองก็อย่าเพิ่งสรุปเร็วเกินไป สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้"
พิมพ์ยิ้ม
"แต่แม่พิมพ์เป็นคนสายตาดีพอนะคะคุณหนึ่ง..แม่พิมพ์คิดว่าแม่พิมพ์มองคนไม่ผิด"

หนึ่งถึงกับอึ้ง หันหน้าหนีเหมือนไม่อยากยอมรับ

สุดากำลังเอาต้นไม้เล็กๆ แยกปลูกในกระถาง เธอยืนคุยกับสัทธาไปด้วย
 
“ตกลงได้คำตอบจากปุ้มหรือยัง เรื่องพินิจน่ะ มันยังไงกันแน่” สัทธาถาม
สุดาคุยไป ปลูกต้นไม้ไป “ปุ้มเค้าไม่อยากทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด เป็นผู้หญิงเดินเข้าเดินออกบ้านผู้ชายบ่อยๆมันดูไม่ดีน่ะค่ะ”
สัทธาคิด “แต่วันนั้นดูปุ้มโกรธผิดปกติ แน่ใจนะว่าไม่อยากสุงสิงกับบ้านโน้น เพราะไม่อยากให้ชาวบ้านเข้าใจผิด ไม่ใช่เพราะผิดใจกับใครเข้า”
สุดาชะงักแต่ทำเป็นปลูกต้นไม้ต่อ ก่อนจะเฉไฉไม่ตอบ
“แล้วพี่ปุ๊เคยคุยกับพรรณีเรื่องนี้มั้ยคะ พรรณีเค้ามีความเห็นว่ายังไงบ้าง”
สัทธาคิด “ไม่เคย ส่วนมากเจอกันก็คุยกันเรื่องของเรา” สัทธายิ้มมีความสุข “ไม่ได้คุยเรื่องคนอื่นเลย”
สุดาหันมา “แล้วณีมีพาดพิงถึงแม่เค้าหรือเปล่า พี่ปุ๊เคยเจอแม่เค้าบ้างมั้ยคะ”
สัทธาส่ายหน้า “พี่ยังไม่เคยเจอกับคุณนายนวลแม่ของณีสักที เคยขอณีไปพบท่าน แต่ณีบอกว่าท่านงานยุ่ง ไม่ค่อยสะดวก ก็เลยยังไม่เคยเจอสักที”
สุดาทำเป็นพูดลอยๆ “เจอกันสักทีก็ดีนะคะ จะได้รู้ว่าเป็นคนยังไง”
สัทธางง สุดารีบเฉไฉ
“คือ รู้จักในฐานะที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของณีไงคะ ดูว่าเข้ากันได้หรือเปล่า”
สัทธาคิด “พี่ก็คิดไว้เหมือนกัน” สัทธาหันมาทางสุดา “นี่ คุยแต่เรื่องความรักของพี่ แล้วเราน่ะมีกับเค้าบ้างหรือเปล่า” สัทธาหลิ่วตา “หมู่นี้ดูอารมณ์ดีผิดปกตินะ แหม มีปลูกต้นม้ง ต้นไม้ซะด้วย”
สุดาขำ “ไม่มีหรอกค่ะ แป้นอยากปลูก ก็เพราะอยากปลูก ไม่ได้ปลูกต้นไม้เพราะมีความรักสักหน่อย เรื่องความรักแป้นไม่รีบหรอกค่ะ เมื่อไหร่จะมา ก็คงจะมาเอง แล้วแต่พรหมลิขิต”
สุดายิ้มสดใส แล้วก็หยิบกระถางต้นไม้ไปวางไว้ที่ริมหน้าต่างอย่างมีความสุข


เวลาผ่านไป ดอกไม้ในกระถางค่อยๆผลิดอก ออกใบ

ที่พักของประสาทพรในต่างแดนเป็นห้องพักขนาดกลาง ที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย ประสาทพรนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีจดหมายจากสุดาวางอยู่ ประสาทพรกำลังลงมือเขียนจดหมายตอบ
“สวัสดีครับคุณสุดา ผมได้รับจดหมายฉบับแรกของคุณแล้ว ขอบคุณมากครับ จดหมายของคุณอ่านสนุก จนทำให้ผมลืมความเหงาไปได้ชั่วขณะ ผมเริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว ขอบคุณที่ใส่ใจถาม”


สุดานั่งเขียนจดหมาย
“สวัสดีค่ะคุณชาย จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายฉบับที่สอง รายงานความคืบหน้าเพิ่มเติม หลังจากที่ปุ้มเริ่มไปสอนที่เพชรลดาได้หลายวันแล้ว”


ประสาทพรเขียนจดหมายตอบอย่างมีความสุข
“หลังจากจดหมายฉบับแรกหทัยรัตน์เป็นอย่างไรบ้างครับ ? การไปสอนที่เพชรลดาสร้างปัญหาให้เธอหรือเปล่า “
สุดาเขียนตอบ
“เหตุการณ์ดำเนินไปได้อย่างดีค่ะ ปุ้มไม่ได้บ่น หรือ เล่าถึงปัญหาใดๆ”
ประสาทพรเขียนต่อ
“น้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง หทัยรัตน์เล่าให้คุณฟังบ้างหรือเปล่า”
สุดาเขียนตอบได้พอดีราวกับรู้ใจ
“ส่วนคุณหญิงก็ทรงร่าเริง สนุกสนานกับบ้านใหม่ และบทเรียนใหม่ๆ ที่ปุ้มพยายามจะทำให้เธอตื่นเต้น จะได้ลืมเรื่องที่ต้องย้ายมาอยู่ที่ใหม่ และห่างไกลจากคุณชายไปบ้าง”
ประสาทพรคิดแล้วก็เขียนต่อ
“ผมไม่มีคำถามอะไรแล้ว นอกจากจะถามสารทุกข์สุขดิบของเจ้าหน้าที่พิเศษของผมบ้าง” ประสาทพรยิ้มๆ “หวังว่าปฎิบัติการลับนี้จะไม่ทำให้คุณต้องเสียเวลามากจนเกินไป”
สุดาเขียนต่อ
“สำหรับดิฉันเอง สบายดี และสนุกกับการปฎิบัติหน้าที่อย่างมากค่ะ” สุดายิ้ม
ประสาทพรเขียนต่อ
“อย่าหักโหมกับการปฎิบัติหน้าที่จนเกินไปนะครับ” ประสาทพรยิ้ม
สุดาเขียนต่อ
“รักษาสุขภาพนะคะ”
ประสาทพรเขียนไปยิ้มนิดๆ ไปด้วย
“รักษาสุขภาพด้วย”
สุดายิ้มสนุก
“ด้วยความนับถือ จอนอทอพอศอ สุดา เดือนประดับ”
ประสาทพรยิ้มตอนเขียนลงท้าย
“ด้วยความขอบใจ หอ นอ ปอ ตอ กอ พอ ศอ หัวหน้าปฎิบัติการพิเศษ มอ รอ วอ” ประสาทพรขำ “ประสาทพร จรูญลักษณ์”

ประสาทพรยิ้มขำ เขาซึมซับความสนุกสนานจากสุดาโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ประสาทพรน่ารักขึ้นมาก

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 3 (ต่อ) 

กรกนกมองหทัยรัตน์ปอกแอปเปิ้ลแล้วก็พาลคิดถึงประสาทพร
 
“เมื่อก่อนนี้ตอนที่พี่ชายอยู่ พี่ชายจะเป็นคนปอกผลไม้ให้หญิง หญิงคิดถึงพี่ชายค่ะคุณครู คุณครูคิดว่าพี่ชายจะคิดถึงหญิงมั้ยคะ”
“คิดถึงซิคะ คุณชายต้องคิดถึงคุณหญิงแน่นอนค่ะ”
หทัยรัตน์ตอบไป ปอกผลไม้ไป อนวัชเดินมาพอดี
“คุณครูคิดว่าพี่ชายของหญิงเป็นคนดีมั้ยคะ” กรกนกถามโดยยังไม่เห็นอนวัช
อนวัชชะงักแล้วหยุดฟัง
“ดีค่ะ” หทัยรัตน์ตอบ
“คุณครูคิดถึงพี่ชายมั้ยคะ”
หทัยรัตน์ชะงักเงยหน้ามาเห็นแววตาใสซื่อของกรกนกที่มองอย่างมีความหวัง
อนวัชรอคำตอบ หทัยรัตน์จำต้องกลั้นใจตอบ
“คิดถึงค่ะ”
หทัยรัตน์หันไปปอกผลไม้ต่อ ทันใดนั้น เสียงอนวัชก็ดังขึ้น
“คุณหญิงถามอีกสิครับว่าคุณครูคิดถึงพี่ชายมากแค่ไหน”
หทัยรัตน์ตกใจจนสะดุ้งทำให้มีดบาดลึกเข้าไปที่นิ้ว
“อุ้ย”
กรกนกหันไปทางอนวัช “พี่หนึ่ง” แล้วเธอก็หันมาทางหทัยรัตน์ กรกนกตกใจเมื่อเห็นเลือดของหทัยรัตน์ “อุ้ย มีดบาดคุณครูค่ะพี่หนึ่ง”
อนวัชรีบเข้ามาดู “ไหนดูสิ”
อนวัชเอื้อมมือมาจะจับมือหทัยรัตน์ด้วยสัญชาติญาณ หทัยรัตน์ดึงมือออก อนวัชมองแล้วก็ไม่ยอมแพ้
“ขอดูสิว่ามีดบาดมากมั้ย เห็นหรือเปล่าว่าเลือดไหลไม่หยุด ยังจะดื้ออีก”
“ดิฉันไม่ได้ดื้อ” หทัยรัตน์บอก
อนวัชดึงมือหทัยรัตน์มาโดยไม่ฟังเสียง “ไม่ดื้อก็อยู่เฉยๆ”
อนวัชล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและกดลงที่แผลจนหทัยรัตน์สะดุ้งนิดๆ
“หญิงไปเรียกแม่โอให้นะคะ” กรกนกบอก
“ไม่ต้องไปหรอกค่ะคุณหญิง” หทัยรัตน์ว่า
อนวัชสวนขึ้น “ไปเถอะครับคุณหญิง”
หทัยรัตน์ชะงัก
“แม่โอจ๋า แม่โอ”
กรกนกรีบเข็นรถออกไปนอกห้อง


หทัยรัตน์เห็นว่ากรกนกออกไปแล้วก็รีบบอกอนวัช
“ปล่อยนะคะ” หทัยรัตน์พยายามดึงมือกลับ
อนวัชไม่ปล่อย “เลือดออกมามากไม่เห็นหรือไง ต้องกดไว้ เลือดจะได้หยุด”
“ออกมากหรือน้อยก็เรื่องของดิฉัน ดิฉันห้ามเลือดเองได้ไม่ต้องลำบากคุณ” หทัยรัตน์ดึงมือกลับ
อนวัชยิ่งจับแน่น “อย่าอวดเก่งไปหน่อยเลย อยู่เฉยๆ ที่ฉันช่วยเพราะฉันเป็นต้นเหตุทำให้เธอโดนมีดบาด แล้วเธอเป็นอะไรแค่ได้ยินเสียงฉันถึงกับต้องตกใจมากขนาดนี้ หรือว่ากำลังแอบทำอะไรไม่ดีลับหลังฉันอยู่ เลยกลัวว่าจะโดนจับได้” อนวัชมองตาอย่างท้าทาย
“คนอย่างดิฉันไม่เคยทำอะไรลับหลัง ถ้าคิดจะทำต้องทำต่อหน้า” หทัยรัตน์จะดึงมือกลับ “เท่านั้น”
อนวัชดึงมือหทัยรัตน์กลับมาอีก “ปากเก่งจริงนะ ขอให้เป็นอย่างที่พูดก็แล้วกัน”
หทัยรัตน์เชิดหน้าขึ้น ทันใดนั้นเสียงแม่โอก็ดังมา
“มาแล้วค่ะ ยากับผ้าพันแผลมาแล้วค่ะ”
อนวัชหันมาทางแม่โอ “ส่งมาทางนี้เลยจ้ะ ฉันทำแผลให้เอง”
“ไม่ต้องค่ะ ดิฉันทำเองได้” หทัยรัตน์ว่า
“ทำเองถนัดที่ไหน” อนวัชว่า
หทัยรัตน์จะแย้งแต่แม่โอสนับสนุนหนึ่ง
“จริงค่ะ คุณปุ้มให้คุณหนึ่งทำแผลให้ดีกว่านะคะ”
อนวัชยิ้มอย่างพอใจ เขาไม่ยอมปล่อยมือหทัยรัตน์แล้วทำแผลให้ หทัยรัตน์มองดูมือของอนวัชแล้วก็ชะงักกับรอยแผลเป็นที่มือของเขา
ภาพตอนที่หทัยรัตน์กัดอนวัชตอนเด็กแวบขึ้นมา แล้วเสียงกรกนกก็ดังขึ้นทำลายภาพนั้น
“มือพี่หนึ่งไปโดนอะไรมาคะ เป็นแผลน่ากลัวจังเลยค่ะ”


หทัยรัตน์สะดุ้งกลับจากภวังค์ อนวัชที่ยังทำแผลอยู่ตอบกรกนกยิ้มๆ
“พี่หนึ่งเคยถูกเด็กใจร้ายคนนึงกัดเมื่อหลายปีก่อน แต่แผลเป็นก็ไม่หายสักที สงสัยจะไม่อยากให้พี่หนึ่งลืมความดุร้ายของเด็กคนนั้น”
หทัยรัตน์เชิดขึ้นอย่างรู้ตัว
“เด็กที่ไหนคะคุณหนึ่ง” แม่โอถาม
“เด็กที่บ้านเพื่อนฉันเอง ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่าตัวอ้วนๆ ขาสั้นๆ ดูแล้วเหมือนกระปุกตั้งฉ่าย” อนวัชปรายตามาทางหทัยรัตน์อย่างเย้ยหยัน
กรกนกกับแม่โอขำ หทัยรัตน์เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ
“เสียดายที่เป็นเมื่อก่อน ถ้าเค้ามากัดฉันตอนนี้ฉันจะไม่ผลักเค้าเหมือนเมื่อสิบปีก่อน” อนวัชว่า
“แล้วคุณหนึ่งจะทำยังไงคะ” แม่โอถาม
“ฉันจะดึงจมูกเด็กนั่นให้ขาดน่ะสิ เวลาทำท่าหยิ่งจองหองจะได้ไม่มีจมูกไว้เชิดขึ้นอย่างอวดดี”
หทัยรัตน์รู้สึกตัวก็ก้มหน้าลงนิดนึงอย่างอัตโนมัติ พร้อมกับเผลอจับจมูกตัวเอง พอนึกได้เธอก็ดึงมือลง
หทัยรัตน์พูดสวน “แล้วคุณอนวัชคิดว่าเด็กคนนั้นจะยอมให้ดึงจมูกขาดเหรอคะ”
“ต้องยอมสิ เพราะเค้ารู้ดีว่าไม่มีวันที่เค้าจะชนะฉัน”
อนวัชดึงผ้าพันแผลอย่างแรงเป็นการยืนยันจนหทัยรัตน์สะดุ้ง อนวัชทำแผลเสร็จก็เดินออกไป
 
หทัยรัตน์ได้แต่นั่งนิ่งและเก็บความแค้นเอาไว้

นวลกับพรรณีเดินซื้อของอยู่ในตลาด
 
“ผักไม่ค่อยสวยเลยเอามาขายได้ยังไง นี่ถ้าเอาผักเก่าๆ แบบนี้มาขาย ใครจะเข้ามาซื้อของในตลาดฉันหล่ะ เอ้อ แล้วนี่ถ้าคราวหน้ายังเอาผักเน่าๆ แบบนี้มาขายอีก ฉันจะไม่ให้เช่าแผงแล้วนะ”
“ค่ะๆ ไม่เอามาขายแล้วค่ะ” คนขายบอก
“งั้นกำนี้ฉันขอฟรีแล้วกัน ปล่อยวางไว้ก็คงไม่มีใครซื้อหรอก”
พูดจบนวลก็หยิบผักมาเลยโดยไม่รอฟังคำตอบ
นวลเหลือบไปเห็นหัวหอม “หัวหอมนั่นด้วยเน่าเชียว ตายแล้วเอามาวางให้เสียชื่อตลาดฉันได้ยังไง เก็บๆเอามานี่เลย” นวลหยิบใส่ตะกร้าทันที “ผักชีนี่ก็เหี่ยวเชียว ตายๆๆๆ ลำบากฉันต้องเก็บกลับบ้านอีกแหละ แล้วเศษผักพวกนั้นหล่ะ จะเอาไปทิ้งใช่มั้ย”
“ค่ะ ผักมันไม่สวย ฉันก็เลยปาดทิ้ง”
นวลโบกมือ “เอามานี่เลย ฉันเอาไปต้มจับฉ่ายเอง”
พรรณีรู้สึกอายมาก “แม่คะ นั่นมันเศษผักนะคะแม่”
“นี่แหละ อร่อยนัก ณีไปช่วยเก็บมาใส่ตะกร้าแม่หน่อยเร็ว”
พรรณียืนอึกอักๆ นวลรีบเร่ง
“เอ๊า เร็วๆสิ รีบไปหยิบมา”
“ค่ะ”
พรรณีก้มหน้าเดินไปหยิบเศษผักหลังแผงมาใส่ตะกร้า นวลยิ้มหน้าแป้น แม่ค้าเบ้ปากใส่ด้วยความไม่พอใจก่อนจะทำปากพูดแบบไม่ได้ยินเสียงว่า “อีงก” พรรณีก้มหน้าแบบอายมาก


นวลกับพรรณีเดินหอบของพะรุงพะรังเดินออกมาจากตลาด
“แม่ณี เดินตามแม่เก็บค่าเช่าแผงมาตั้งแต่เล็กจนโต เห็นแม่ทำยังไงก็จำๆไว้บ้างนะ พอแม่แก่ไปเดินมาเก็บค่าเช่าไม่ไหว เราจะได้ทำเหมือนแม่”
พรรณีเหวอพร้อมกับคิดว่าจะดีเหรอ นวลหันมาถามย้ำ
“รู้หรือเปล่า”
พรรณีจำใจ “ค่ะ”
“ดีมาก” นวลหันหน้ากลับแล้วก็ถามเข้าเรื่อง “แล้วนี่ยังแอบไปหาไอ้พี่ชายของนังเด็กปุ้มอีกหรือเปล่า”
พรรณีโกหก “ไม่แล้วค่ะ”
“จำไว้นะ ถ้ารักแม่ รักพี่ อย่าไปยุ่งกับมัน มันจะเป็นสะพานทอดให้นังเด็กปุ้มเข้ามายุ่งกับพี่ชายเรา แม่ไม่ยอมเด็ดขาด”
พรรณีก้มหน้าเศร้าแล้วก็เดินช้าลง นวลยังบ่นไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่ได้คิดถึงจิตใจลูก
“จริงๆ แม่ก็ไม่ได้จะรังเกียจนายสัทธาสักเท่าไหร่ แต่กรรมของมันที่ดันเป็นพี่ชายของนังเด็กปุ้ม นังเด็กทะเยอทะยาน ใช้ความสวยมาหลอกล่อให้พี่ชายเราหลงรัก มันรู้ว่าทรัพย์สมบัติของแม่ต้องเป็นของพ่อพินิจ มันคิดจะมาจับเสือมาเปล่า แม่ไม่มีวันยอมหรอก”
พรรณีฟังแล้วแสนจะเศร้าใจเพราะไม่อยากได้ยิน
“เพราะฉะนั้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ห้ามเราไปยุ่งกับไอ้เจ้าสัทธา เจอหน้ามันเมื่อไหร่ ไล่ตะเพิดมันไปเลย อย่าไปยุ่ง อย่าไปสนใจ”
พรรณีเงียบ นวลหันมาถามอีกที
“รู้หรือเปล่า”
พรรณีจำใจตอบ “ค่ะ”
นวลสะบัดหน้าด้วยความพึงพอใจ พรรณีน้ำตาตกใน


สัทธาเดินออกจากร้านตัดผมโดยกำลังจะเดินไปที่รถ แต่เขาก็ต้องชะงักเพราะมองเห็นพรรณีเดินอยู่ไกลๆ
“ณี”
สัทธายิ้มแล้วรีบเดินไปหา พรรณีเดินตามหลังนวลแบบเศร้าๆ เซ็ง ๆ
นวลหันมาเรียก “เดินให้มันเร็วๆ สิยัยณี”
“ค่ะ”
พรรณีพยักหน้ารับแบบขอไปที ทันใดนั้นพรรณีก็ชะงักกึกเพราะเห็นสัทธากำลังเดินยิ้มมาหา
“แย่แล้ว”
พรรณีรีบหันขวับกลับมาคิดหาทางออก
สัทธากำลังเดินมาหาพรรณีด้วยความดีใจ พรรณีตัดสินใจหันขวับมาทางนวล
“แม่คะ ณีขอไปดูร้านเสื้อด้านโน้นก่อนนะคะ”
“ดูเสื้อผ้าตอนนี้เนี่ยนะ”
“คือ ตอนนี้เสื้อผ้าที่มีเก่าหมดแล้ว ณีอยากซื้อชุดใหม่เอาไว้ใส่รับคุณอนวัชน่ะค่ะแม่”
นวลยิ้มพอใจ “มันต้องอย่างนี้สิลูก ไปจ้ะ รีบไปเลือกเอาสวยๆ นะ เดี๋ยวแม่เดินตามไป”
“ค่ะ”
พรรณีรีบเดินหนีไป สัทธาชะงักเท้าและแปลกใจที่พรรณีหันหลังเดินหนี สัทธาอึ้งแล้วหยุดเดินด้วยความงง
“ทำไมณีต้องหนีพี่ด้วย”
สัทธายืนงง


สุดาพยายามพูดปลอบใจ
“ณีอาจจะไม่เห็นพี่ปุ๊ก็ได้นะคะ”
“พี่ว่าเค้าเห็น แต่เค้าจงใจจะหลบหน้าพี่ หรือว่าเป็นเพราะเค้ามากับแม่”
สุดาชะงัก เธอคันปากแต่ก็พูดไม่ได้
“ครั้งที่แล้วที่พี่ขอไปบ้าน ก็บ่ายเบี่ยง ครั้งนี้มากับแม่ถึงกับเดินหนี มันต้องมีอะไรแน่ๆ (คิด) หรือพี่จะไปหาณีที่บ้าน แล้วถามให้มันรู้เรื่องไปเลย” สัทธา
สุดาพยายามช่วยพูด “อย่าใจร้อนสิคะพี่ปุ๊ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปซะเปล่าๆ แป้นว่าสะสางกันตอนเจอกับณีครั้งหน้าก็ไม่สายเกินไปนะคะ บางที มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ณีเค้าอาจจะไม่เห็นพี่ปุ๊จริงๆ ถ้าไปคาดคั้นเอาความตอนนี้ ณีอาจจะเสียใจที่พี่ปุ๊ไม่ไว้ใจเค้านะคะ”
สัทธานิ่งลง เขาคิดแล้วก็เริ่มเห็นด้วย
“แป้นพูดถูก ถ้าพี่โวยวายไปแบบนี้ ณีอาจจะเสียใจที่พี่เข้าใจเค้าผิด แล้วยังพาลไปถึงเรื่องแม่เค้าด้วย ก็ได้ พี่จะพยายามคิดว่า ณีไม่เห็นพี่จริงๆก็ได้”

สัทธาพยายามไม่คิดมาก ทั้งๆ ที่ในใจยังแอบคิด สุดามองสัทธาแล้วก็สงสาร เธอรู้สึกคันปากสุดๆ

หทัยรัตน์ถือผ้าเช็ดหน้าของอนวัชที่รีดอย่างเรียบร้อยแต่รอยเลือดยังอยู่ หทัยรัตน์มีท่าทางคิดหนัก

เหตุการณ์ในอดีตย้อนมา คนขายส่งผ้าเช็ดหน้าแบบเดียวกับของอนวัชให้หทัยรัตน์ดู
“โชคดีมากเลยนะคะ เพราะเหลืออยู่แค่ผืนเดียว แบบเดียว สีเดียวกันค่ะ”
หทัยรัตน์รับมาดูแล้วก็ชะงักนิดนึงกับราคาที่ติดอยู่ “37 บาท”
“แพงหน่อยนะคะ เพราะสั่งมาจากฝรั่งเศส สั่งมาทีไม่ถึงสิบผืน กว่าจะขายหมดก็ตั้งเกือบปี ตกลงคุณจะรับมั้ยคะ” คนขายถาม
หทัยรัตน์จำใจตอบ “รับค่ะ”
คนขายเอาผ้าเช็ดหน้าใส่ถุง หทัยรัตน์ควักเงินออกมาจากกระเป๋าที่มีอยู่แค่ 50 บาท แต่ก็กัดฟันจ่ายไป 40 บาท คนขายรับเงินแล้วส่งผ้าเช็ดหน้าให้ก่อนจะเดินไปเอาเงินทอน
หทัยรัตน์รับถุงผ้าเช็ดหน้ามาแล้วบ่นเบาๆ
“กลัวใครเขาจะไม่รู้ว่าเป็นเศรษฐีหรือไงนะ ถึงได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนละตั้งเกือบครึ่งร้อย”
หทัยรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้


นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง หทัยรัตน์เก็บของ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหญิง คุณครูปรับเวลาสอนให้เร็วขึ้น คุณหญิงพอรับได้มั้ยคะ”
“ได้ค่ะ”
หทัยรัตน์ยิ้มพอใจ “ครูขอเปลี่ยนเวลาสอนเป็นแบบนี้ทุกวันเลยนะคะ ครูจะมาตั้งแต่แปดโมงเช้าและเลิกสอนตอนเที่ยงนะคะ”
“ค่ะ แต่คุณครูจะไม่อยู่รับประทานกลางวันกับหญิงจริงๆ เหรอคะ” กรกนกถาม
“คุณครูก็อยากจะอยู่นะคะ แต่คุณครูต้องรีบกลับไปช่วยคุณป้าทำงานบ้าน แล้วอีกอย่างคุณอนวัชก็แวะมาหาคุณหญิงทุกเที่ยงอยู่แล้ว คุณหญิงไม่เหงาหรอกค่ะ นะคะ”
กรกนกพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ
“ถ้างั้น” หทัยรัตน์ดูนาฬิกาก็เห็นว่าเที่ยงพอดี “ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว คุณครูขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ค่ะ”
หทัยรัตน์ยิ้มแล้วส่งห่อผ้าเช็ดหน้าให้กรกนก “คุณหญิงคะ คุณครูฝากของให้คุณอนวัชด้วยนะคะ”
หทัยรัตน์ส่งห่อผ้าเช็ดหน้าให้กรกนก


อนวัชรับห่อผ้ามาแล้วก็มองด้วยความแปลกใจ
อนวัชหันมาถามกรกนก “คุณครูฝากให้พี่หนึ่ง”
“ค่ะ” กรกนกรับคำ
“แล้วทำไมคุณครูไม่ให้เอง แล้วนี่” อนวัชมองโต๊ะอาหาร “ทำไมคุณหญิงทานข้าวคนเดียวหล่ะครับ หรือว่าคุณครูปลีกตัวไปรับประทานในครัวคนเดียวอีกแล้ว”
“เปล่าหรอกค่ะ แต่คุณครูกลับไปแล้วค่ะ”
อนวัชดูนาฬิกา “นี่เพิ่งเที่ยงกว่าเองนะครับ ทำไมคุณครูถึงกลับเร็วจัง”
“คุณครูขอเปลี่ยนเวลาสอนให้เร็วขึ้น จากเก้าโมงถึงบ่ายสองโมง เป็นแปดโมงถึงเที่ยงค่ะ”
อนวัชชะงัก “คุณครูบอกเหตุผลหรือเปล่าครับว่าทำไม”
“คุณครูบอกว่าต้องรีบกลับบ้านไปช่วยคุณป้าทำงานบ้านค่ะ”
อนวัชไม่เชื่อ เขาก้มมองห่อกระดาษที่อยู่ในมือก่อนจะรีบแกะออกมาดู พอเห็นเป็นผ้าเช็ดหน้าอนวัชก็ขมวดคิ้ว แล้วรีบหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่สอดอยู่ข้างในออกมาอ่าน
“ดิฉันขอคืนผ้าเช็ดหน้าที่คุณอนวัชกรุณาเอามาห้ามเลือดให้ ถึงจะเป็นผ้าคนละผืน คุณคงจะไม่รังเกียจ เพราะมันเป็นผ้าชนิดเดียวกัน แบบเดียวกัน และสีเดียวกัน”
อนวัชอ่านจบแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ


หทัยรัตน์เพิ่งกลับมาถึงบ้าน เธอเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น โทรศัพท์ดัง หทัยรัตน์จึงเดินไปรับ
“สวัสดีค่ะ”
อนวัชพูดด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น
“ที่นั่นเดือนประดับใช่มั้ย”
หทัยรัตน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงห้วนไม่ต่างกัน
“ใช่ค่ะ คุณต้องการพูดกับใครคะ”
อนวัชจำเสียงของหทัยรัตน์ได้
“ฉันต้องการพูดกับเธอ”
หทัยรัตน์สงสัย
“ขอโทษนั่นใครพูดคะ”
อนวัชยิ้มที่คิดไม่ผิด
“อนวัชพูด หวังว่าคุณหทัยรัตน์คงจะไม่ด่วนวางหูไปซะก่อน”
หทัยรัตน์เชิดหน้าขึ้น
“คุณอนวัชมีธุระอะไรกับดิฉันไม่ทราบ”
“ฉันจะขอพบเธอวันนี้ อีกยี่สิบนาทีฉันจะไปถึงเดือนประดับ”
“ดิฉันเพิ่งกลับมาถึง กำลังเหนื่อย และเตรียมตัวพักผ่อนไม่ต้องการพบใคร”
อนวัชชะงักด้วยความโกรธ แล้วเขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอยู่ในที
“สงสัยว่าฉันจะมีอะไรพิเศษนะ เธอถึงได้กลัวฉันเหลือเกิน”
หทัยรัตน์พูดสวน
“ใครบอกว่าดิฉันกลัวคุณ”
อนวัชตอบกลับ
“ไม่มีใครบอก แต่การกระทำของเธอมันฟ้อง เธอถึงกับเลื่อนเวลาสอน และรีบกลับก่อน เพื่อไม่ให้เจอฉัน ฉันจะไปหาก็ปฎิเสธ แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอที่จะบอกได้ว่า เธอ-กลัว-ฉัน”
หทัยรัตน์ฟังแล้วก็ไม่ยอม เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว
“เพื่อไม่ให้คุณเข้าใจผิดมากไปกว่านี้ เชิญคุณอนวัชมาพบดิฉันได้ตามที่คุณต้องการ คุณจะรู้ว่าฉันไม่ได้กลัวคุณ”
หทัยรัตน์วางหูไปเลยด้วยความไม่พอใจ

อนวัชสะดุ้งนิดๆ เขาวางหูโทรศัพท์แล้วรีบเดินไปพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าในมือ

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 3 (ต่อ) 

สีสุกยุสุทธิ์ ในห้องที่มีทิพย์นั่งอยู่ด้วย
 
“คุณพี่ลองคิดดูนะคะ เด็กปุ้มโตเป็นสาวแล้ว เดินเข้าเดินออกเพชรลดาทุกวี่ทุกวัน คนอื่นเห็นจะเข้าใจผิดคิดว่าคนที่เดือนประดับไม่รักนวลสงวนตัว จะพาลเสียชื่อเสียงมาถึงแม่แป้นนะคะ”
“แต่ที่ปุ้มต้องไปเพชรลดาเพราะเค้าไปสอนคุณหญิง ปุ้มเค้าไม่ได้เป็นอย่างที่พูด เราก็ไม่เห็นจะต้องสนใจ”
สีสุกสะอึกไป เธอรีบคิดหาทางอื่น “แต่มันก็ไม่แน่นะคะ บางทีมันอาจจะจริงเข้าสักวันก็ได้ ตอนนี้ เค้าลือกันให้แซ่ดเรื่องเสน่ห์แม่ปุ้ม หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาสนใจตั้งมากมาย แม้แต่คุณชายประสาทพรก็ควงกันไปร้านอาหารสองต่อสองตั้งหลายครั้ง แม่ส่องยังเคยเห็นเองกับตา”
สุทธิ์คิด “เอ เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินนะ” สุทธิ์หันมาทางทิพย์ “แม่ทิพย์รู้หรือเปล่า”
ทิพย์คิด “ดิฉันเคยทราบแต่ว่ามีผู้ชายหลายคนมาสนใจแม่ปุ้มถึงขนาดส่งแม่สื่อมาทาบทามขอหมั้นหมายก็หลายคน แต่ปุ้มไม่สนใจ ส่วนเรื่องคุณชายประสาทพรดิฉันไม่เคยทราบ”
“ไม่ทราบก็ทราบไว้ได้แล้วนะคะ ว่ามันเป็นเรื่องจริง คุณทิพย์รักเด็กปุ้มยังกะอะไรดีบางทีรักมากกว่าแม่แป้นด้วยซ้ำ เด็กปุ้มถึงได้ใจ ทำอะไรไม่ไว้หน้าผู้ใหญ่ คุณพี่ กับคุณทิพย์คงต้องคุมเข้มหน่อยนะคะ”
ทิพย์ชะงักและเริ่มเสียงขรึมขึ้น
“จากที่ฉันเลี้ยงดูปุ้มมานับ 20 ปี ฉันมั่นใจว่าสิ่งที่อบรมสั่งสอนจะทำให้ปุ้มไม่ออกนอกลู่นอกทาง สร้างความเสื่อมเสียให้ตัวเองและเดือนประดับ ขอบคุณคุณสีสุกที่เป็นห่วง แต่ฉันมั่นใจว่าปุ้มไม่ใช่คนแบบนั้น”
ทิพย์ยืนยันเสียงหนักแน่น สีสุกชักสีหน้าไม่พอใจหันมาหาพวก
“คุณทิพย์ยืนยัน แล้วคุณพี่หล่ะคะ เห็นด้วยหรือเปล่า”
“ตั้งแต่เล็กจนโตปุ้มก็ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย ทำตัวอยู่ในกรอบระเบียบของเดือนประดับทุกอย่าง เรื่องเรียนก็ดี ทั้งพี่และทิพย์ไม่ต้องเคี่ยวเข็นอะไรเลย”
“แหม แต่บางที”
สุทธิ์ตัดบท “เอาหล่ะ พี่ขอบใจสีสุกมากนะที่เป็นห่วงหลานทิพย์เค้า และทิพย์ก็รับรู้แล้ว ต่อจากนี้ไปก็ปล่อยให้เป็นธุระเค้าดูแลกันเอง พี่เองก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายมากนัก จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องของเรา” สุทธิ์แอบเหน็บ
สีสุกชะงักและอ้าปากค้างเพราะรู้ตัว
“ดิฉันก็รู้ค่ะว่าไม่ใช่เรื่องของตัว แต่ที่พูดเนี่ยเพราะเป็นห่วงทั้งแม่แป้นและแม่ส่อง ปลาข้องเดียวกันเกิดมีตัวนึงเหม็นโฉ่จะพลอยเหม็นกันไปหมด ในเมื่อคุณทิพย์เธอมั่นใจในความดีของหลานสาว ดิฉันก็หมดเรื่องพูด ลาคุณพี่ละค่ะ”
สีสุกยกมือไหว้และรีบเดินออกไปแบบหน้าตาหงิกงอ สุทธิ์มองตามไปแบบงงๆ ทิพย์ส่ายหน้าเอือมๆ


รถของอนวัชแล่นเข้ามาจอด อนวัชลงจากรถพร้อมห่อผ้าเช็ดหน้า เขายิ้มแบบแอบร้าย


หทัยรัตน์นั่งรออยู่ด้วยใบหน้านิ่งสงบแต่ในใจร้อนรน อนวัชเดินเข้ามา
“ใช้ได้นี่ ฉันนึกว่าเธอจะเก่งแต่ปาก ท้าให้ฉันมาแล้วก็หลบหน้าฉันไปซะอีก”
สีสุกเดินมาแล้วชะงักเพราะคุ้นเสียง สีสุกค่อยๆ มองเข้าไปในห้องรับแขก
สีสุกตกใจ “คุณหนึ่ง”
สีสุกรีบปิดปากแล้วแอบดูต่อ
หทัยรัตน์ที่อยู่ในห้องนิ่งสงบ เธอพูดเสียงแข็ง
“ดิฉันมีเวลาให้คุณไม่มาก เชิญคุณพูดธุระคุณมาได้แล้วค่ะ”
อนวัชนั่งลงพร้อมกับวางห่อผ้าเช็ดหน้าไว้ที่โต๊ะ “ฉันเอาผ้าเช็ดหน้ามาคืน”
หทัยรัตน์มองแต่ไม่รับ “มันเป็นผ้าคนละชนิดกับของคุณอนวัชเหรอคะ คุณถึงไม่รับไว้”
“มันเป็นชนิดเดียวกันแต่มันไม่ใช่ผืนของฉัน”
“ผืนของคุณเปื้อนเลือด ดิฉันพยายามซักแต่ไม่ออก ดิฉันถึงได้ซื้อผืนนี้มาคืน”
“ขอบใจ แต่ฉันไม่ต้องการ ฉันไม่ใช่คนหวงของที่จะอารมณ์เพราะคราบเลือด ถ้าฉันเสียดาย ฉันจะไม่เอามาเช็ดเลือดให้เธอ ฉันทำอะไรให้ใครแล้วไม่เคยคิดเป็นบุญคุณ” อนวัชพูดเสียงขรึม
“แต่สำหรับดิฉัน ถ้าใครทำอะไรให้แล้ว ดิฉันจะไม่ลืมและต้องชดใช้ให้หมดสิ้นกันไป เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่าคุณควรจะรับผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้”
อนวัชไม่ยอม “เมื่อเธอต้องการจะคืนผ้าให้ฉันจริงๆ ก็เอาผืนเดิมของฉันคืนมา เพราะฉันไม่ต้องการของที่ไม่ใช่-ของ-ฉัน” อนวัชจ้องตาแสดงอำนาจ
ต่างคนต่างจ้องตาแบบไม่ยอมกัน แล้วหทัยรัตน์ก็หันหลังขวับแล้วเดินออกไปเลย อนวัชงง
“หทัยรัตน์ เธอจะไปไหน หทัยรัตน์”
สีสุกพึมพำ
“มันจะไปไหนของมัน”


อนวัชเริ่มงุ่นง่าน เขาเดินไปเดินมา พร้อมกับชะเง้อมอง
สีสุกก็ชะเง้อมองแบบอยากรู้
อนวัชทนไม่ไหว เขารู้สึกแค้น “คิดว่าจะเดินหนีฉันไปได้ง่ายๆ หรือไง ไม่มีทาง”
อนวัชโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขากำลังจะเดินพุ่งตามออกไป ทันใดนั้น หทัยรัตน์ก็โผล่มาพร้อมผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าของอนวัช
หทัยรัตน์ยื่นให้ข้างหน้า “นี่ค่ะสิ่งที่คุณต้องการ”
อนวัชรับมา หทัยรัตน์ปั้นหน้านิ่งๆ แบบไม่สะทกสะท้าน
“ที่จริงถ้าคุณต้องการแค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมคืน ไม่จำเป็นต้องมาทวงถึงที่นี่แค่โทรศัพท์มา ดิฉันก็เอาไปคืนให้ในวันพรุ่งนี้ เพราะดิฉันก็ไม่ได้อยากจะเก็บของของคุณไว้”
อนวัชมองหน้าแล้วก็ยิ้มร้าย เขาพูดพร้อมกับชูผ้าเช็ดหน้าขึ้นต่อหน้าหทัยรัตน์
“ที่จริง ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ฉันไม่ได้อยากได้คืนหรอก” แล้วเขาก็โยนลงถังขยะที่อยู่ข้างๆ
หทัยรัตน์อึ้ง อนวัชมองหน้าแบบกวนสุดๆ
“และผืนใหม่” อนวัชหยิบมา “ฉันก็ไม่ได้อยากได้” อนวัชโยนลงบนโต๊ะเหมือนเป็นผ้าที่ไร้ค่า
หทัยรัตน์อึ้งรอบสอง เธอรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าซ้ายขวา
“แต่ที่ฉันมาวันนี้” อนวัชพูด “ฉันแค่อยากทำให้เธอเห็น ถึงเธอจะเลื่อนเวลาสอน ย้ายโต๊ะ หลบหน้า แต่เธอไม่มีทางหนีฉันไปได้ ถ้าฉันต้องการพบเธอ ฉันก็ต้องได้พบ เพราะคนอย่างนายหนึ่ง อนวัช ต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการ”
อนวัชยิ้มสะใจแล้วเดินออกไป หทัยรัตน์นั่งนิ่งด้วยความเจ็บใจ เธอเม้มปากแน่นด้วยความแค้น

สีสุกที่แอบดูอยู่ชักสีหน้าด้วยความสงสัย

ส่องแสงโวย
 
“นังปุ้มนี่มันแผนสูงจริงๆ ทำเป็นเล่นตัวจองหองเพื่อให้พี่หนึ่งสนใจ ที่แท้ก็อยากให้พี่หนึ่งตามงอนง้อมันนี่เอง”
ส่องแสงสรุปเองเป็นเรื่องเป็นราว สีสุกฟังแล้วก็พยายามคิดตาม แล้วเธอก็เข้าใจ
“แบบนี้ก็เข้าตำรา “ปากว่าตาขยิบ” ใช่มั้ยลูก” สีสุกถาม
“ใช่แล้วค่ะ นังปุ้มมันคงรู้ว่าพี่หนึ่งไม่ชอบหน้ามัน มันเลยแกล้งยั่วให้โกรธ จนต้องมาหามันถึงเดือนประดับ มารยา”
“นี่ถ้าแม่ไม่ไปเห็นก็คงจะไม่รู้เรื่อง นึกว่ามันจะเลิกยุ่งกับคุณหนึ่งแล้วนะเนี่ย”
“ส่องต้องหาทางบอกให้พี่หนึ่งรู้ตัว จะได้ไม่หลงกลนังปุ้ม”
ส่องแสงคิดเองเออเอง จากที่เกลียดอยู่แล้วเธอก็ยิ่งเกลียดหนักเข้าไปใหญ่


ส่องแสงและอนวัชที่อยู่ในชุดลำลองเดินอยู่ในคอกม้า
“ต้องขอบคุณพี่หนึ่งมากนะคะที่มาช่วยเลือกม้า ส่องอยากเรียนขี่ม้ามานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ดีนะคะที่มีพี่หนึ่งมาเป็นที่ปรึกษา”
“ด้วยความยินดีครับ”
ส่องแสงจิกตานิดๆ แล้วก็เริ่มเข้าเรื่อง
“พี่หนึ่งรู้มั้ยคะว่าปุ้มเค้าขี่ม้าที่นี่ด้วยนะคะ” ส่องแสงบอก อนวัชชะงักแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ “ได้ข่าวว่าฝีมือดีทีเดียว บางที ปุ้มอาจจะเอาวิธีที่เค้าควบคุมม้า ไปใช้กับผู้ชายของเค้าก็ได้นะคะ”
อนวัชเลิกคิ้วแต่พยายามทำเป็นนิ่ง ส่องแสงยุต่อ
“เค้าชอบทำเป็นไม่สนใจใยดีผู้ชายเพื่อจะทำให้ตัวเองดูดี ไม่ว่าจะเป็นใครต่อใครที่มาหลงรัก ลูกขุนนาง ลูกคหบดีที่ส่งเถ้าแก่มาสู่ขอ ก็ทำเป็นไม่สนใจ เค้าทำกับทุกคน กับคุณชายประสาทพร หรือแม้แต่กับพี่หนึ่ง”
อนวัชชะงัก
ส่องแสงพูดต่อ “ส่องได้ข่าวมาว่าปุ้มแสดงบทแสนงอนใส่พี่หนึ่งไม่ใช่เหรอคะ? ที่เค้าทำแบบนี้ก็เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ”
อนวัชคิด “มีด้วยเหรอ ผู้หญิงทำเป็นไม่สนใจ เพื่อเรียกร้องความสนใจ มันจะได้ผลได้ยังไง”
ส่องแสงยิ้ม “พี่หนึ่งต้องตอบเอง ว่าได้ผลหรือเปล่า ลองคิดดูสิคะเวลาที่ปุ้มเค้าทำเป็นไม่สนใจ พี่หนึ่งรู้สึกยังไง รู้สึก อยากเอาชนะ และสนใจเค้าเพิ่มขึ้นหรือเปล่า”
อนวัชชะงัก ส่องแสงยุต่อ
“ปุ้มเค้าฉลาดกว่าที่เราคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นผู้ชายคงไม่ตกหลุมเสน่ห์มากมายขนาดนี้ .. บางทีพี่หนึ่งอาจจะหลงกลปุ้มไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะคะ” ส่องแสงหยั่งเชิง
อนวัชเถียงเสียงแข็ง “ไม่มีทาง พี่รู้ตัวเองดี ไม่มีวันที่พี่จะหลงใหลได้ปลื้มผู้หญิงจองหองที่ชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่วแบบนี้เป็นอันขาด และพี่ก็ไม่ใช่ม้าในคอกที่จะโดนควบคุมง่ายๆ”
อนวัชยืนยัน ส่องแสงยิ้มพอใจ
“แล้วกับเพื่อนสนิทที่พี่หนึ่งบอกว่าหลงปุ้มจนหัวปักหัวปำหล่ะคะ พี่หนึ่งเคยเห็นเวลาที่เค้าอยู่ด้วยกันมั้ยคะ ปุ้มเค้าใช้วิธีเดียวกันหรือเปล่า”
อนวัชนิ่งคิด


หทัยรัตน์สอนกรกนก เธอดูนาฬิกาเห็นว่าอีก 5 นาทีเที่ยง ทันใดนั้นเสียงอนวัชก็ดังขึ้น
“ดูเวลาจะรีบกลับหรือไงครับคุณครูหทัยรัตน์”
หทัยรัตน์ชะงักไป กรกนกหันไปทางหนึ่ง
“พี่หนึ่ง สวัสดีค่ะ ทำไมวันนี้มาเงียบๆ จัง”
“ต้องมาเงียบๆ สิครับ ถ้าพี่หนึ่งมาแบบเอะอะ เดี๋ยวจะมีคนบางคนตื่นกลัวรีบหนีไปซะก่อน”
“แหม ไม่มีคนแบบนั้นหรอกค่ะ หญิงว่ามีแต่คนดีใจที่พี่หนึ่งมาต่างหาก”
กรกนกยิ้มซื่อ ส่วนหทัยรัตน์นั่งนิ่ง
อนวัชลูบผมกรกนก “พี่หนึ่งมีธุระสำคัญกับคุณครูของคุณหญิง พี่หนึ่งจะขอตัวคุณครูไปที่ห้องรับแขกสักครู่นะครับ”
หทัยรัตน์รีบสวน “ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะดิฉันยังสอนคุณหญิงไม่เสร็จ ถ้าออกไปตอนนี้จะถือว่าดิฉันทำหน้าที่บกพร่อง”
กรกนกรีบบอกด้วยความซื่อ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณครู พี่หนึ่งรีบมาหาคุณครูแบบนี้แสดงว่าคงจะเป็นธุระสำคัญ หญิงอนุญาตให้คุณครูออกก่อนเวลาได้ค่ะ”
“คุณหญิงเป็นคนมีเหตุผลจริงๆ พี่หนึ่งไม่ต้องพูดอะไรมากก็เข้าใจ” อนวัชหันมาทางหทัยรัตน์ “หวังว่าคุณหทัยรัตน์จะพอเข้าใจอะไรง่ายๆ เหมือนกับคุณหญิงนะครับ ถ้าคุณเข้าใจและขอเชิญตามผมไปที่ห้องรับแขก”
“ก่อนจะตามไป ดิฉันอยากทราบธุระของคุณ เพื่อพิจารณาว่าสมควรหรือไม่”
อนวัชเชิดนิดๆ เพราะคิดว่าถือไพ่เหนือกว่า “มีเพื่อนฉันคนนึง อยากพบเธอ ตอนนี้เขารออยู่ที่ห้องรับแขก”
“แต่ดิฉันจะไม่ต้องการพบเพื่อนของคุณ”
อนวัชหันมายิ้มกวน เขาพูดเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน “เธอนี่ขี้ขลาดจริง ไม่กล้าพบเพื่อนของฉัน ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร”
หทัยรัตน์ลืมตัวจึงพูดเสียงดัง “ดิฉันไม่ได้ขี้ขลาด” กรกนกงง หทัยรัตน์รู้สึกตัวจึงนิ่งลง
“ถ้างั้นก็ขอเชิญไปที่ห้องรับแขก แล้วเธอจะรู้เองว่าเพื่อนของฉันเป็นใคร”
อนวัชยิ้มกริ่มท้าทาย หทัยรัตน์เม้มปากแน่นอย่างคิดแค้น


พินิจอึ้งค้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ปุ้ม”
หทัยรัตน์ชะงักนิดๆ ที่เห็นพินิจรออยู่ ทั้งสามคนยืนอยู่ในห้องรับแขก อนวัชจับตามองหทัยรัตน์ แต่หทัยรัตน์รู้ตัวจึงพยายามสงบนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ
“พี่พินิจนั่นเอง ดิฉันนึกว่าใคร” หทัยรัตน์ยกมือไหว้ “สวัสดี”
“พินิจเค้าอยากจะเจอและคุยกับเธอ ในฐานะที่เค้าเป็นเพื่อนรักของฉัน” อนวัชบอก หทัยรัตน์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “ฉันเลยทำให้ความต้องการของเพื่อนเป็นจริง” อนวัชหันมาทางพินิจ “ตามสบายนะพินิจ ไม่ต้องเกรงใจ”
อนวัชมองหน้าหทัยรัตน์แล้วยิ้มเยาะก่อนจะเดินออกไป หทัยรัตน์ปรายตามองนิดๆ ด้วยความแค้นใจเพราะรู้ว่ากำลังโดนแกล้ง

อนวัชเดินออกมาหน้าห้องรับแขก แล้วเขาก็หยุดแอบฟังด้วยความอยากรู้ว่าสองคนจะคุยอะไรกัน

หทัยรัตน์ยังยืนอยู่ พินิจพูดเสียงอ่อน
 
“นั่งก่อนสิปุ้ม”
หทัยรัตน์หันมาเห็นแววตาอ้อนวอนของพินิจ เธอก็จำต้องนั่งลง
“ปุ้มสบายดีหรือเปล่าครับ” พินิจถาม
“คนอย่างปุ้มมีงานทำ มีเงินพอใช้สอยบ้างเล็กน้อยก็ถือว่าสบายดีแล้วค่ะ” หทัยรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
พินิจรู้สึกใจเหี่ยว “พี่รู้สึกสบายใจที่เห็นปุ้มสบายดี และมีความสุข”
“ขอบคุณค่ะ”
“พี่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอปุ้มจริงๆ พี่กับหนึ่งรู้จักกันตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก วันนี้พี่แวะไปเยี่ยมเค้าที่กระทรวง เค้าเลยชวนให้มาที่นี่ ดีใจจริง”
พินิจยิ้มอย่างมีความสุข
หทัยรัตน์อึดอัดแต่ก็ถามอย่างสุภาพ “พี่พินิจมีธุระอะไรกับปุ้มหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีธุระอะไรนอกจาก คิดถึง”
อนวัชที่อยู่หน้าห้องรอฟังคำตอบ
หทัยรัตน์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขอบคุณค่ะ” หทัยรัตน์สงสารแต่ก็ต้องทำใจแข็ง “ถ้าพี่พินิจไม่มีอะไรแล้ว ปุ้มขอตัวนะคะ ตอนนี้ยังไม่หมดเวลางาน ปุ้มไม่อยากบกพร่องต่อหน้าที่” หทัยรัตน์ลุกขึ้น
อนวัชเห็นหทัยรัตน์จะเดินออกมา เขารีบขยับเดินหลบไปรอที่ห้องเรียน พินิจลุกขึ้นแล้วรีบถาม
“ปุ้ม พี่มาเยี่ยมปุ้มที่นี่อีกจะได้หรือเปล่า”
“ไม่เหมาะหรอกค่ะ เพราะปุ้มถูกจ้างให้มาสอนหนังสือคุณหญิง ปุ้มต้องอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด”
“แต่พี่ไม่ได้มาหาทุกวัน แล้วหนึ่งคงจะไม่ว่าอะไร”
หทัยรัตน์รีบบอก “แต่คุณอนวัชไม่ใช่เจ้านายปุ้ม เขาไม่มีสิทธิ์ว่าปุ้มอยู่แล้ว”
พินิจชะงักในท่าทีแข็งกร้าวของหทัยรัตน์เวลาพูดถึงอนวัช หทัยรัตน์รู้ตัวเลยฝืนยิ้มนิดๆ
“ปุ้มขอตัวไปดูคุณหญิงนะคะ”
หทัยรัตน์เดินออกไปเลย พินิจอยากจะรั้งไว้แต่ก็ไม่รู้จะรั้งยังไง เขาจำต้องปล่อยเธอไปด้วยความเศร้า


หทัยรัตน์เดินเข้ามาในห้องเรียน เธอเห็นอนวัชนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของเธอ แต่กรกนกไม่อยู่แล้ว
“ฉันให้แม่โอพาคุณหญิงไปรับประทานของว่าง ไม่อยากให้เธอต้องเก้อเขิน เวลาเธอขอบคุณฉัน ที่ฉันพาพินิจมาหาเธอ” อนวัชว่า
หทัยรัตน์สวน “ไม่ต้องกลัวค่ะ เพราะฉันก็ไม่คิดว่าต้องขอบคุณคุณอยู่แล้ว การพบพี่พินิจไม่ได้ทำให้ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งใจจนต้องพูดคำว่า ขอบคุณ”
อนวัชยิ้มกวน “ไม่ต้องมาทำเล่นละคร ฉันรู้เรื่องของเธอกับพินิจหมดแล้ว” อนวัชทำเป็นรู้ทัน
หทัยรัตน์สวน “คุณรู้ไม่หมด เพราะถ้ารู้หมด จะไม่ทำแบบนี้”
อนวัชสวน “มีอะไรที่ฉันไม่รู้”
หทัยรัตน์ยิ้มกวน “ดิฉันเพิ่งรู้ว่าคุณก็สนใจเรื่องคนอื่นที่ไม่ใช่เรื่องตัวเองเหมือนกัน”
อนวัชลุกขึ้น “สำหรับฉันพินิจไม่ใช่คนอื่น.. เค้าเป็นเพื่อนฉัน ถ้าฉันรู้ว่าเค้าจะมาข้องเกี่ยวกับเธอ ฉันคงจะห้ามตั้งแต่แรก แต่เสียดายที่มารู้เมื่อสายเกินไป”
หทัยรัตน์โกรธ เธอเชิดหน้าขึ้น
“เช่นเดียวกันค่ะ ถ้าดิฉันรู้ว่าเค้าเป็นเพื่อนของคุณ ดิฉันคงจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวด้วยตั้งแต่แรก” หทัยรัตน์ย้อน “เสียดายที่มารู้เมื่อสายเกินไป”
หทัยรัตน์หยิบของแล้วเดินออกไปเลย อนวัชได้แต่มองตามด้วยความแค้นที่โดนย้อน

อนวัชถามคาดคั้น “เค้าพูดขนาดนี้ แกยังจะรักผู้หญิงคนนี้ต่อไปอีกเหรอ”
พินิจหันมาพยักหน้ารับเศร้าๆ
“ใช่ และฉันจะพยายามทำทุกอย่างให้เค้าเห็นใจ ฉันจะพิสูจน์ให้เค้าเห็นว่า นอกจากเค้าแล้ว ฉันจะไม่รักผู้หญิงคนอื่นเป็นอันขาด”
พินิจพูดด้วยความมั่นใจ อนวัชมองด้วยความไม่เข้าใจ
พินิจหันมาจับไหล่อนวัช “ขอบใจมากที่พาฉันมาพบกับปุ้ม แค่ได้เห็นหน้าเค้า ถึงจะคุยกันไม่นาน แต่ฉันก็ดีใจมากๆ” พินิจยิ้มอย่างมีความสุข “ขอบใจแกจริงๆ”
พินิจยิ้มอย่างจริงใจ อนวัชยิ่งมองยิ่งสงสารจับใจ


หทัยรัตน์โวยให้สุดาฟังด้วยความกลุ้มใจและหงุดหงิด
“เค้าต้องการจะแกล้งปุ้ม เค้าคงคิดว่าปุ้มจะตกใจหรือดีใจที่เห็นหน้าคุณพินิจ..ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทำตัวเจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าท่า”
“ใจเย็นๆ พี่หนึ่งคงไม่มีเจตนาร้าย”
“จะไม่ร้ายได้ยังไงคะ คุณอนวัชก็ยังขู่ปุ้มด้วยนะคะ พูดทำนองเค้ารู้เรื่องของปุ้มกับพี่พินิจหมดแล้ว นึกเหรอว่าปุ้มจะสนใจ เค้าจะรู้อะไรก็เรื่องของเค้า”
“ทำไมพี่หนึ่งพูดแบบนั้น” สุดาคิด “หรือว่าคุณนายนวลจะเป่าหูพี่หนึ่ง ไม่ได้แล้ว พี่ไปบอกความจริงให้พี่หนึ่งรู้ก่อนที่จะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้ดีกว่า”
หทัยรัตน์รีบห้าม “อย่านะคะพี่แป้น ไม่ต้องอธิบายอะไรให้เค้าฟังทั้งนั้น พูดไปก็เหมือนแก้ตัว ปุ้มไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นพูด ปุ้มไม่กลัวหรอกค่ะ ความจริงมันก็เป็นความจริงวันยังค่ำ เค้าจะคิดยังไงก็เรื่องของเค้า เค้าอยากจะโกรธ เกลียดยังไงก็ตามใจ ความรู้สึกของเค้าไม่มีผลใดๆกับชีวิตของปุ้ม”
หทัยรัตน์ยืนยันเสียงแข็ง
“เฮ่อ”สุดาถอนหายใจ “พี่ไม่ชอบเลย การปิดบัง พูดความจริงแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งไปเดากันเอาเอง ทั้งเรื่องพี่นิจ เรื่องพรรณี เวลาที่พี่ปุ๊มาถามเรื่องณีพี่ก็พูดไม่ได้ว่าแม่เค้าเป็นคนยังไง ส่วนพี่หนึ่งเข้าใจผิดปุ้ม พี่ก็พูดอธิบายความจริงไม่ได้อีก เฮ่อ อึดอัด”
สุดาโวยวายด้วยความเซ็งจิต หทัยรัตน์ได้แต่มองด้วยความสงสารพร้อมกับส่งสายตาปริบ ปริบ แล้วก็กอดอ้อนนจนสุดาใจอ่อนและยอมอึดอัดต่อไป


กรกนกนั่งอยู่บนรถเข็นหน้าบ้าน เธอมองไปข้างนอกด้วยแววตาเหงาและรอคอย สักพักแม่โอก็เดินมาหา
“คุณหญิงนั่งคิดอะไรอยู่คะ แม่โอเห็นคุณหญิงนั่งเหม่ออยู่ตั้งนานแล้ว”
กรกนกหันมาทางแม่โอ “หญิงคิดถึงพี่ชาย ไม่รู้ว่าพี่ชายจะเป็นยังไงบ้าง ไม่เห็นส่งข่าวมาเลย แล้วหญิงก็คิดถึงท่านพ่อ ตั้งแต่หญิงย้ายมาอยู่ที่นี่ ท่านพ่อไม่เห็นมาเยี่ยมหญิงเลย ท่านพ่อคงจะลืมหญิงไปแล้ว”
แม่โอรู้สึกสงสาร “โถ คุณหญิงคะ อย่าคิดมากเลยนะคะ..คุณท่านคงจะงานยุ่งน่ะค่ะ เลยไม่มีเวลามาเยี่ยมคุณหญิง”
“ไม่จริง หญิงไม่เชื่อ หญิงรู้ที่ท่านพ่อไม่มาเยี่ยมหญิงเพราะหม่อมใหม่ของท่านพ่อไม่ชอบหญิง ไม่อยากให้ท่านพ่อมาหาหญิง ท่านพ่อเลยไม่มา ท่านพ่อรักหม่อมใหม่มากกว่าหญิง” กรกนกน้ำตาซึม
“คุณหญิงคะ อย่าร้องไห้เลยนะคะ”
กรกนกมองแม่โอ “แม่โออย่าทิ้งหญิงไปอีกคนนะคะ แม่โอต้องอยู่เป็นเพื่อนหญิงนะคะ”
“ค่ะ แม่โอจะไม่ทิ้งคุณหญิงไปไหน จะอยู่กับคุณหญิงตลอดเวลาค่ะ”
กรกนกมองหน้าแม่โอด้วยความรู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดหน่อย


ประสาทพรนั่งมองรูปหทัยรัตน์กับกรกนก แล้วก็หันมาทางกระดาษเขียนจดหมายที่วางอยู่ ประสาทพรหันมาเพื่อที่จะเขียนแต่ก็ไม่รู้จะเขียนอะไร เขารู้สึกไม่ลื่นไหลเหมือนตอนเขียนหาสุดา ประสาทพรเขียนแล้วก็ไม่ชอบใจจึงขยำทิ้ง เขาเขียนแล้วก็ขยำทิ้งอยู่สองสามรอบ จนสุดท้ายประสาทพรก็ตั้งสติแล้วลงมือเขียน
“ถึงคุณหทัยรัตน์ที่คิดถึง คุณเป็นยังไงบ้าง หวังว่าคงสบายดี การดูแลน้องหญิงคงจะไม่ทำให้คุณต้องลำบากมากจนเกินไป”
เขียนเสร็จประสาทพรก็เอาจดหมายใส่ซอง
“ผมหวังว่าหนึ่งจะดูแลคุณแทนผมได้เป็นอย่างดี ผมจะพยายามไม่คิดถึงคุณ เพื่อจะได้ลืมวันเวลาที่ผ่านไปเชื่องช้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกิน แต่ผมจะเฝ้ารอที่จะได้พบกันอีกครั้ง คิดถึงเสมอ ประสาทพร จรูญลักษณ์”
ซองจดหมายปิดผนึกเรียบร้อยอยู่ในมือประสาทพร
ประสาทพรถอนหายใจเหนื่อยๆ “เฮ่อ ทำไมเขียนหาหทัยรัตน์ถึงได้ยากแบบนี้นะ” ประสาทพรยิ้มๆ
ประสาทพรหันไปหยิบรูปกรกนกและหทัยรัตน์มาดูอีกครั้งด้วยความคิดถึง ประสาทพรวางรูปไว้ที่เดิม แต่ไม่ทันระวังรูปจึงหล่นลงพื้นจนกระจกแตกกระจายเพล้ง ประสาทพรหันไปมอง พอเห็นรูปของกรกนกตกแตกแล้วเขาก็ใจหายวาบด้วยความเป็นห่วง


กลางดึก กรกนกนอนกระสับกระส่ายเหงื่อท่วมตัว ก่อนจะไอแห้งๆ
“แค้กๆๆ”
กรกนกร้องหาแม่โอ
“แม่โอ แม่โอจ๋า แม่โออยู่ไหน หญิง หญิงหิวน้ำจ้ะ”
ไม่มีเสียงตอบ กรกนกค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วร้องหา
“แม่โอ แม่โอจ๋า”


แม่โอกำลังนั่งฟังลิเกอย่างมีความสุขจึงหัวเราะคิกคัก

กรกนกยังร้องหาแม่โอ
 
“แม่โอ หญิงหิวน้ำ แม่โอ”
กรกนกไอหนักขึ้น
“แค้กๆๆ”
กรกนกมองหาแล้วเห็นว่าไม่มีแม่โอจึงมองหาแก้วน้ำ
แก้วน้ำวางอยู่บนโต๊ะห่างออกไป กรกนกพยายามเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำอย่างยากลำบาก ผ้าห่มที่ห่มอยู่รูดไปกองอยู่ที่ขา กรกนกขยับเอื้อมสุดมือแต่ผ้าห่มรั้งไว้ทำให้พลาดตกจากเตียงขณะที่ปลายมือเกือบถึงแก้วน้ำ กรกนกตกจากเตียงเต็มแรง มือของเธอกวาดไปโดนโต๊ะและพาดเอาโต๊ะล้ม ทำให้แก้วน้ำตกแตกส่งเสียงดังเพล้ง

แม่โอได้ยินเสียงก็ตกใจ
“คุณหญิง”
แม่โอรีบวิ่งไป

แม่โอวิ่งเข้ามาในห้องเห็นกรกนกนอนสลบอยู่ที่พื้นห้อง เธอตะโกนเรียกด้วยความตกใจ
“คุณหญิงขา คุณหญิง”
แม่โอรีบวิ่งมาประคองกรกนก

กรกนกนอนอยู่บนเตียงในสภาพหน้าซีด เหงื่อโทรม และไอแห้งๆ หมอประสงค์ตรวจกรกนกเรียบร้อยแล้วหันมาทางอนวัชและวิทย์ที่ยืนอยู่ข้างเตียง
“คุณหญิงไข้ขึ้นสูงมาก มีอาการหลอดลมอักเสบ ผมจะจัดยาไว้ให้สัก 4 ชุด แล้วพรุ่งนี้ผมจะแวะมาดูอาการอีกครั้ง”
ประสงค์ส่งยาให้อนวัช
“ขอบใจคุณหมอมาก ขอโทษด้วยที่ต้องปลุกมาดึกๆ ดื่นๆ” วิทย์บอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมมาด้วยความยินดี” ประสงค์ว่า
“ขอบใจๆ งั้นเดี๋ยวลุงไปเรียกคนรถให้ไปส่งคุณหมอที่บ้านนะ” วิทย์บอก
“ขอบคุณครับ” ประสงค์หันมาทางอนวัช “ผมลาหล่ะครับคุณอนวัช”
ประสงค์ยิ้มให้หนึ่งและเดินออกไป วิทย์เดินตามไปส่ง อนวัชหันมามองกรกนกด้วยความเป็นห่วง เขาลูบผมกรกนก แล้วพูดอย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวพี่หนึ่งให้แม่โอเอาน้ำมาให้คุณหญิงทานยานะครับ”
แม่โอเดินเข้ามาพอดี
“แม่โอมาก็ดีแล้ว” อนวัชบอก
กรกนกหันไปเห็นแม่โอยืนอยู่ก็พูดเสียงแข็งและสะบัดหน้าหนี
“ไม่เอาค่ะ หญิงไม่ให้แม่โอเข้ามาในห้องหญิงอีกแล้ว หญิงไม่อยากเห็นหน้าแม่โออีกต่อไป”
แม่โอชะงักหน้าจ๋อย
“ทำไมหล่ะครับคุณหญิง”
“แม่โอ..ไม่รักหญิง” กรกนกเริ่มร้องไห้ “แม่โอทิ้งหญิงไม่สนใจหญิง หญิงเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน จนหญิงต้องตกเตียงเพราะแม่โอ หญิงไม่รักแม่โอแล้ว หญิงไม่อยากเห็นหน้าแม่โอด้วย”
“โถ คุณหญิงขา”
“ไม่ต้องพูดแล้ว หญิงไม่อยากได้ยินเสียงแม่โอ ออกไปนะ”
กรกนกเริ่มงอแงด้วยพิษไข้และความน้อยใจ
“คุณหญิงคะ แม่โอขอโทษ”
“ออกไป หญิงบอกให้ออกไปไม่ได้ยินเหรอ ออกไป ออกไป” กรกนกตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด
แม่โอกลัวจนลนลาน น้ำตาแห่งความรู้สึกผิดของเธอปริ่มจะไหล
อนวัชตกใจจึงรีบบอกแม่โอ
“แม่โอออกไปก่อนไป”
แม่โอรีบคลานออกไป
อนวัชหันมาทางกรกนกที่ร้องไห้กระซิกด้วยความโกรธ
อนวัชพูดอย่างอ่อนโยน “ถ้าคุณหญิงไม่ให้แม่โอเข้ามาในห้องนี้ แล้วใครจะเป็นคนดูแลคุณหญิงหล่ะครับ”
“ไม่ต้องมีใครดูแลก็ได้ค่ะ หญิงอยู่คนเดียวได้ ถึงแม่โออยู่ แม่โอก็ไม่ดูแลหญิง”
กรกนกเริ่มร้องไห้งอแง
อนวัชถอนใจเบาๆ “แต่คุณหญิงอยู่คนเดียวไม่ได้นะครับ..แล้วถ้าคุณหญิงจะเข้าห้องน้ำ จะกินน้ำ กินยา ใครจะเป็นคนหาให้.. คุณหญิงต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อนนะครับ เด็กดี เชื่อพี่หนึ่งนะ”
อนวัชลูบผมกรกนกอย่างอ่อนโยน กรกนกหลบตาหนึ่งเห็นตุ๊กตาแมวที่หทัยรัตน์ให้มา กรกนกนึกออกก็ค่อยๆเงยหน้ามองอนวัชแล้วพูดอย่างออดอ้อน
“พี่หนึ่งให้คุณครูมาอยู่เป็นเพื่อนหญิงได้มั้ยคะ หญิงอยากเจอคุณครูค่ะ คุณครูรักหญิง คุณครูก็จะไม่ทิ้งหญิงไปเหมือนกับแม่โอ”
อนวัชอึ้งไปกับคำว่า "คุณครู"


หทัยรัตน์คุยโทรศัพท์กับวิทย์
“ถ้าคุณป้าอนุญาต ปุ้มก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว ปุ้มต้องขออนุญาตคุณป้าก่อน”
วิทย์คุยโทรศัพท์กับหทัยรัตน์ โดยมีอนวัชยืนอยู่ข้างๆ อย่างแอบลุ้น
“เมื่อกี๊ลุงปรึกษากับทิพย์แล้ว เค้าบอกว่าถ้าปุ้มจะมาเค้าก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวปุ้มขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะรีบไปหาคุณหญิงเลยนะคะ สวัสดีค่ะ”
หทัยรัตน์วางโทรศัพท์และรีบเดินไปที่ห้องด้วยความเป็นห่วงกรกนก


หทัยรัตน์เปลี่ยนชุดแล้วนั่งคุยกับทิพย์และสุดาอยู่ที่ห้องรับแขก
“ปุ้มไม่ต้องรีบกลับก็ได้นะ อยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงจนกว่าเธอจะสบายใจแล้วค่อยกลับ”
“แม่คะ งั้นแป้นไปบอกคนรถให้ไปส่งปุ้มที่บ้านคุณลุงแล้วกันนะคะ แล้วให้รอรับกลับมาด้วย”
“ไม่ต้องหรอก เพราะคุณพี่วิทย์บอกว่าจะให้หนึ่งมารับ” ทิพย์ว่า
หทัยรัตน์รีบบอก “ปุ้มขอไปรถของที่บ้านได้มั้ยคะ จะได้ไม่ต้องลำบากคุณอนวัช”
เสียงรถอนวัชแล่นเข้ามา
ทิพย์ถอนหายใจ “สงสัยจะไม่ทันแล้วหล่ะ รถหนึ่งมาโน่นแล้ว”

หทัยรัตน์เซ็ง
 
จบตอนที่ 3 
กำลังโหลดความคิดเห็น