หนึ่งในทรวง ตอนที่ 5
ส่องแสงปาถ้วยรางวัลเก้าอี้ดนตรีลงบนเตียงแล้วโวยวาย
“นังปุ้ม นังมารยา นังเสแสร้ง นังจอมวางแผน คุณแม่ดูสิคะ มัน มันได้นั่งตักพี่หนึ่งในที่สาธารณะ มันหักหน้าส่อง”
“เอาน่าลูก ถือซะว่าเราเป็นคนดีเกินไป เราใสซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมจนเกินไป เลยโดนมันตัดหน้าเอาแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่ลูกแม่ชนะนะลูกนะ”
“ชนะแล้วได้อะไรคะ ได้ไอ้ถ้วยพลาสติกมาเนี่ยเหรอคะ ส่องไม่เห็นว่ามันจะคุ้มเลย นังปุ้มนะนังปุ้ม ฉันจะต้องทำให้พี่หนึ่งหันมาสนใจฉันมากกว่าแกให้ได้”
ส่องแสงคิดแค้น
พินิจนอนกระสับกระส่าย หน้าแดงกร่ำ ตัวร้อน ไข้ขึ้นสูง ปวดเมื่อยตัวอย่างหนัก ปวดร้าวกล้ามเนื้อ ฝืนลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
“ณี ณี”
พินิจพยายามเรียก แต่เสียงไม่ค่อยมี เรี่ยวแรงเริ่มหมด เขายันตัวลุกขึ้นจากเตียงจะเดินออกไป แต่หมดแรง ล้มลง มือป่ายปะไปกวาดเอาโต๊ะหัวเตียงล้มลงไปด้วย เขาล้มลง สลบไปเพราะพิษไข้ พรรณี และนวลเปิดประตูเข้ามา ทั้งสองร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
“พี่นิจ
“ตานิจ”
พรรณีวิ่งมาที่โทรศัพท์ด้วยความร้อนรน หยิบสมุดโทรศัพท์มาเปิดไล่หาชื่อ และรีบโทร.ออกทันที รอจนมีคนรับสาย
“ผ่องฉวีเหรอ นี่ฉันพรรณีนะ ฉันมีเรื่องด่วนจะขอความช่วยเหลือ”
อนวัชคุยกับประสงค์อยู่ที่ระเบียงหน้าห้องพัก
“ผมได้ข่าวจากคุณพ่อว่าคุณหมอจะกลับพรุ่งนี้เช้าเหรอครับ”
“ครับ พอดีมีคนไข้ฉุกเฉินต้องการให้ผมเข้าไปดูแลน่ะครับ แล้วผมก็เห็นว่าอาการคุณหญิงก็ดีขึ้นแล้ว เลยขออนุญาตคุณท่านกลับก่อน”
“หทัยรัตน์ทราบเรื่องนี้หรือยัง”
“ทราบแล้วครับ พอผมรู้ข่าวก็รีบบอกคุณปุ้มแล้วก็บอกคุณท่าน”
“จริงสินะ คุณหมอคงจะต้องบอกเธอก่อนคนอื่นอยู่แล้ว คนสำคัญ จะไม่รู้ได้ยังไง”
ประสงค์งงๆ
“พรุ่งนี้เช้า ผมจะให้คนรถขับไปส่งคุณหมอที่กรุงเทพฯนะครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“ครับ”
อนวัชเดินออกไป ในใจร้อนรนบอกไม่ถูก ประสงค์สังหรณ์ใจแปลกๆ เริ่มเห็นอาการบางอย่างเด่นชัดขึ้น
ตอนเช้า หทัยรัตน์ยืนส่งประสงค์อยู่หน้าบ้าน ประสงค์กระซิบกระซาบ
“เมื่อคืนคุณอนวัชมาคุยกับผม ผมคิดว่าคุณอนวัชอาจจะกำลังเข้าใจผิดคิดว่าผมกับคุณมีอะไรมากกว่าความเป็นเพื่อน”
“อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ เขาไม่เคยอารมณ์ดีเวลาที่พูดถึงดิฉัน คุณอนวัชเขาไม่ค่อยจะชอบปุ้มเท่าไหร่ ปุ้มก็ไม่ค่อยจะถูกชะตาเขา เรียกง่ายๆ คือเราสองคนเป็นศัตรูกันน่ะค่ะ”
“คุณปุ้มแน่ใจเหรอครับว่าคุณอนวัชคิดแบบนั้น เพราะถ้าเกลียดคุณจริงๆ คงจะไม่คอยจับตามองคุณตลอดเวลา แม้แต่ตอนนี้”
หทัยรัตน์ชะงัก ประสงค์เหลือบมองไปที่ริมระเบียง หทันรัตน์มองตาม เห็นอนวัชยืนมองอยู่ จึงรีบหันมาทางประสงค์และยิ้มหวาน
“ที่เขาจับตามองดิฉันก็เพราะต้องการจับผิดและเอาไว้เยาะเย้ยถากถางมากกว่าไม่มีเหตุผลอื่นหรอกค่ะ”
“ถ้าไม่มีอะไรงั้นผมก็ ขอตัวก่อนนะคะ”
“ขอให้คุณหมอเดินทางโดยปลอดภัยนะคะ”
หทัยรัตน์ยิ้มหวาน ประสงค์ยิ้มตอบ
“ขอบคุณครับ ผมไปก่อนนะครับ”
ประสงค์ขึ้นรถไป หทัยรัตน์ส่งจนลับตา แกล้งทำเป็นโบกมือร่ำลาอาลัยอาวรณ์ อนวัชมองหมั่นไส้
ส่องแสงยืนหมุนไปมาที่หน้ากระจก สีสุกเข้ามาชื่นชม
“ลูกส่องของแม่ สวยอีกแล้ว สวยมากๆ เลยค่ะลูก สวยทุกมิติค่ะ”
“ความสวยของส่องจะทำให้พี่หนึ่ง ลืมเรื่องที่นังปุ้มมันนั่งตักเมื่อคืนได้หรือเปล่าคะ”
“ได้สิคะ ได้แน่ๆ อย่าว่าแต่นังปุ้มเลย ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ไม่มีตัวตน เมื่อเทียบกับลูกสาวของแม่ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่กับคุณหนึ่งที่ชิดชายชล พรุ่งนี้เราก็ต้องกลับกันแล้ว ลูกส่องต้องหว่านเสน่ห์ให้เต็มที่ มีเท่าไหร่ สำแดงออกมาให้หมด รับรองว่าคุณหนึ่งต้องหลงลูกสาวแม่แน่นอน ไม่ว่าใครก็มาขวางไม่ได้”
สีสุกพูดอย่างมั่นใจ
ชุลีใส่กางเกงขาสั้น ยืนหน้าระรื่น ทันใดนั้นเสียงส่องแสงกับสีสุกก็ดังขึ้น
“ชุลี”
“สวัสดีค่ะคุณน้า ไม่ได้ตั้งใจเลยนะเนี่ย เดินมาเพลินๆ มาหยุดอยู่ที่นี่ได้ยังไงก็ไม่รู้ เออแล้วนี่คนอื่นตื่นกันหรือยังจ้ะ”
“ยัง เมื่อคืนออกไปกินข้าวกันข้างนอก กลับดึก ทุกคนก็เลยเพลียยังไม่มีใครตื่นเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากฉันกับคุณแม่”
“เอ แต่ฉันเห็นเหมือนเงาคนเดินไปเดินมาในบ้านนะ ดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นคุณหนึ่ง”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ เด็กรับใช้กำลังจัดโต๊ะอาหารน่ะ”
“แต่ชุลีเห็นเหมือนคุณหนึ่งจริงๆ นะคะ ชุลีจำได้ ขอเข้าไปดูใกล้ๆ หน่อยได้มั้ยคะ จะได้ทักทายทำความรู้จักกันไว้”
“อย่าเลยจ้ะ ไม่ใช่หรอก บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ส่อง แม่ว่าเราชวนชุลีไปเดินเล่นตลาดกับเราด้วยดีกว่านะลูก ไปตลาดกัน”
ส่องแสงหันมา สีสุกขยิบตาให้
“ไปตลาด”
“ใช่ค่ะ ก็เราจะไปเดินเล่นที่ตลาดกันไม่ใช่เหรอลูก เนี่ยพาชุลีไปด้วยกันเลย ไปกันไป”
“ไปตลาด”
“ใช่สิลูก ไปตลาด เราจะไปตลาดกัน ไปกันหมดเลย”
“ใช่จ้ะ ใช่ ฉันกับคุณแม่จะไปเดินเล่นที่ตลาด ไปด้วยกันนะชุลี”
“แต่ฉันไม่อยากไปนี่”
“เธออยากเจอคุณหนึ่งไม่ใช่เหรอ พอคุณหนึ่งตื่นเดี๋ยวเธอก็ตามไปเจอพวกเราที่ตลาดเหมือนกัน”
“จริงเหรอ คุณหนึ่งจะตามไปจริงๆ เหรอ”
สีสุกยิ้มเข้าทาง หันมาปรายตากับส่องแสงอย่างรู้กันแล้วก็หันไปตอบเสียงเข้ม
“จริง”
หทัยรัตน์แกะสลักผลไม้อย่างตั้งใจดูสวยงาม แล้วส่งให้เด็กรับใช้
“ยกไปให้คุณท่านกับคุณหญิงนะ”
“ค่ะ”
เด็กรับใช้ยกถาดผลไม้แกะสลักเดินออกไป สวนกับอนวัช อนวัชมองถาดผลไม้นิดๆ แอบทึ่งในใจ ไม่คิดว่าหทัยรัตน์จะทำได้ เขาเดินเข้ามาหาเรื่อง เปิดประเด็นทันที
“เธอคงจะเสียใจมากนะที่หมอประสงค์รีบกลับ ฉันเห็นล่ำลากันอยู่ตั้งนานสองนาน”
หทัยรัตน์สะดุ้งนิดๆ หันมาเห็นอนวัชยิ้มเหมือนรู้ทัน เธอเลยตั้งใจแกล้งตอบกลับไป
“ใช่ค่ะ เพราะตอนหมอประสงค์อยู่ ดิฉันมีเพื่อนคุย เพื่อนเดินเล่น พอคุณหมอกลับก็อดใจหายไม่ได้”
“ตกลงหมอประสงค์มาทะเลคราวนี้ มาดูแลคุณหญิงหรือคุณครูของคุณหญิงกันแน่ หรือว่าถ้าดูแลทั้งสองคน จะได้เพิ่มค่าเสียเวลาให้คุณหมอเป็นพิเศษ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เพราะดิฉันจ่ายเป็นอย่างอื่นไปแล้ว”
“ใช่สิ ลืมไป ผู้หญิงที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอย่างเธอ คงจะมีวิธีจ่ายด้วยอย่างอื่น ไม่แปลกใจ ทำไมผู้ชายรอบข้างถึงได้หลงเสน่ห์เธอนัก”
หทัยรัตน์กัดฟันกรอด แค้น อ้าปากจะเถียง เสียงสุดาก็ดังขึ้น เหมือนระฆังหมดยก
“พี่ปุ๊พูดถูกจริงๆ ด้วย”
ทั้งอนวัชและหทัยรัตน์ชะงัก หันมามองสุดา
“นายปุ๊พูดอะไรถูก”
“ก็แป้นเดินหาปุ้ม แล้วพี่ปุ๊ก็บอกว่าถ้าอยากเจอปุ้มต้องหาพี่หนึ่งให้เจอ เพราะปุ้มอยู่ในสายตาของพี่หนึ่งตลอดเวลา แล้วก็ถูกต้องจริงๆ”
อนวัชสะอึก แต่กลบเกลื่อน
“ก็นายปุ๊เป็นคนฝากให้พี่จับตาดูเอง ถ้าไม่ฝากฝัง หางตาก็ไม่อยากแล”
หทัยรัตน์สะอึกไป แต่ไม่อยากต่อปากต่อคำรีบชวนเปลี่ยนเรื่อง
“พี่แป้นตามหาปุ้มมีอะไรเหรอคะ”
“พี่แป้นจะชวนปุ้มเล่นน้ำ แดดยังไม่แรงมาก คงเล่นได้สักชั่วโมงสองชั่วโมง ไปกันนะ”
“เอ่อ ปุ้มไม่เล่นดีกว่าค่ะ พอดี ปุ้มอยากจะอ่านหนังสือน่ะค่ะ”
“ว้า น่าเสียดายจัง แล้วพี่หนึ่งล่ะคะอยากเล่นน้ำกับแป้นหรือเปล่า”
“ไม่ดีกว่าจ้ะ เพราะพี่จะออกไปเยี่ยมเพื่อนแถวนี้สักหน่อย คงจะกลับเย็นๆ แป้นรอพี่หนึ่งก่อนสิ แล้วตอนเย็นพี่หนึ่งจะกลับมาเล่นด้วย แต่ตอนนี้พี่ขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
อนวัชเดินไป
“พี่แป้นคะ ปุ้มเปลี่ยนใจแล้วค่ะ ปุ้มเล่นน้ำกับพี่แป้นก็ได้ค่ะ เราชวนคุณหญิงไปนั่งเล่นด้วยกันนะคะ ไปค่ะ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า”
หทัยรัตน์พูดด้วยความกระตือรือร้น อนวัชแอบฟังแล้วยิ้มกวนก่อนจะเดินไป
หทัยรัตน์และสุดาใส่ชุดว่ายน้ำสีสันสดใส อนวัชขับรถออกมาจากชิดชายชล หทัยรัตน์แอบดูอยู่ พอเห็นรถอนวัชออกไปแล้ว ก็รีบวิ่งออกจากห้องใส่ชุดเสื้อคลุมร่าเริง อนวัชขับรถออกมาจากชิดชายชล พอพ้นรั้วบ้าน ก็จอดแอบอยู่ข้างทาง ดูนาฬิกาข้อมือ และยิ้มเจ้าเล่ห์
สีสุก ส่องแสง ชุลี เดินอยู่ในตลาด ดูแปลกแยกมาก ชุลีเดินมองซ้ายมองขวา ส่องแสงกับสีสุก
สะกิดกันซุบซิบ
“เราเดินวนในตลาดหลายรอบแล้วนะคะคุณแม่ จะสลัดยัยชุลีออกไปยังไงดีคะ”
“เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
“ส่อง เมื่อไหร่คุณอนวัชจะมา นี่ก็สายมากแล้วนะ คุณอนวัชจะมาจริงหรือเปล่า”
“จริงสิจ๊ะ น้านัดคุณหนึ่งไว้ที่ร้านตรงโน้น น้ากับส่องจะเดินดูของอีกสักพัก ชุลีไปนั่งรอคุณหนึ่งแทนเราสองคนได้มั้ยจ๊ะ”
“ได้สิคะ แหม ชุลีก็ไม่ได้จะอยากเดินซื้อของอยู่แล้ว เดี๋ยวชุลีไปนั่งรอคุณอนวัชให้เองค่ะ”
“อ้อๆ นี่ถ้าพี่หนึ่งมา แล้วฉันกับคุณแม่ยังซื้อของไม่เสร็จ ฝากเธอดูแลพี่หนึ่งแทนฉันหน่อยนะ ลำบากหรือเปล่า”
“อู้ย ไม่ลำบากเลย เรื่องดูแลคนอื่น ฉันถนัด เดี๋ยวฉันจะดูแลคุณอนวัชอย่างดี ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องรีบด้วยนะ เดินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ”
ชุลีรีบเดินไปที่ร้านอาหารที่สีสุกหลอกไว้ สองแม่ลูกขำกันคิกคัก แล้วก็รีบจูงมือกันหนีทันที
“รีบไปกันลูก ก่อนจะรู้ตัว”
สองแม่ลูกรีบแจ้นหนีหน้าเริ่ด
หทัยรัตน์อยู่ในทะเล สุดาถือลูกบอลไว้ในมือ ยืนอยู่กับกรกนกซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น
“คุณหญิงขา พี่แป้นจะให้ลูกบอลกับคุณหญิงนะคะ ให้คุณหญิงเป็นคนโยนลูกบอลลงไปในทะเล แล้วพี่แป้นกับคุณครูจะคอยแย่งลูกบอล ใครได้ลูกบอลก่อนเป็นคนชนะนะคะ”
“ค่ะ”
สุดาให้ลูกบอลกับกรกนก และรีบวิ่งลงน้ำทะเลไป
“คุณหญิงขา คุณครูกับพี่แป้นพร้อมแล้วค่ะ”
“หนึ่ง สอง สาม”
กรกนกโยนลูกบอลลงทะเล หทัยรัตน์กับสุดาว่ายน้ำไปแย่งกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังสดใส
ทันใดนั้นเสียงอนวัชดังขึ้น
“เล่นอะไรกันครับน่าสนุกจัง พี่หนึ่งเล่นด้วยนะครับ”
หทัยรัตน์ตกใจหันไปตามเสียง อนวัชเดินมาจากชายหาด ในชุดว่ายน้ำ หทัยรัตน์รีบดำน้ำลงไปเหลือแต่คอ ไม่ให้อนวัชเห็นชุดที่ใส่ สุดาแปลกใจ
“อ้าว พี่หนึ่ง”
อนวัชวิ่งลงน้ำมา หทัยรัตน์รู้สึกอยากจะหายตัวไปทันที
“เมื่อกี๊พี่หนึ่งขับรถออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ คือ พอพี่ขับรถออกไป แล้วรถมันก็เกิดเครื่องดับขึ้นมาเฉยๆ พี่ก็เลยจอดทิ้งไว้ข้างหน้า แล้วก็เปลี่ยนใจยกเลิกแผนไปเยี่ยมเพื่อน พอพี่เดินกลับมาเห็นว่ากำลังเล่นน้ำกันอยู่ ดูน่าสนุกดี พี่เลยมาร่วมวงด้วย แป้นคงจะไม่รังเกียจนะ”
“แป้นจะรังเกียจได้ยังไงคะ เล่นกันหลายๆ คนสิ สนุกดี เนอะปุ้มเนอะ”
หทัยรัตน์นิ่ง ไม่ตอบ ไม่สบตา อนวัชยิ้มพอใจ
“ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่ายินดีให้พี่เล่นด้วย พี่ว่าเราเริ่มกันเลยดีกว่าครับ คันไม้คันมืออยากชนะขึ้นมาแล้ว”
อนวัชยิ้มมั่นใจ หทัยรัตน์เบ้หน้า หมั่นไส้
สัทธายกชุดเครื่องดื่มมาวางที่โต๊ะริมทะเลแล้วเหลือบไปดูน้องๆ ตกใจที่เห็นอนวัชร่วมวงอยู่ด้วย
“เฮ้ย ไอ้หนึ่ง ลงเล่นน้ำกับยัยปุ้ม สนุกแน่คราวนี้”
สัทธานึกสนุกเหมือนกำลังเชียร์มวยอยู่ริมสนาม สุดา อนวัช และหทัยรัตน์อยู่ริมทะเล สุดาพูดขึ้น
“แข่งกับพี่หนึ่งก็ต้องแพ้อยู่แล้ว ใครจะไปชนะแชมป์ว่ายน้ำประจำมหาวิทยาลัยได้”
“อ้าว อย่าเพิ่งยอมแพ้สิแป้น ลองดูก่อน พี่หนึ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีใครเอาชนะพี่หนึ่งได้หรือเปล่า”
อนวัชพูดกับสุดาแต่ปรายตามองหทัยรัตน์อย่างดูถูกอยู่ในที หทัยรัตน์หมั่นไส้ ความทรงจำในอดีตถูกตีให้ฟุ้งขึ้นมา เมื่ออนวัช หทัยรัตน์ สัทธา และสุดา ในวัยเด็ก วิ่งแข่งกัน หทัยรัตน์กับอนวัชวิ่งนำมาสองคน หทัยรัตน์กำลังจะแซงหนึ่ง หนึ่งทนไม่ได้แกล้งวิ่งชน แล้ววิ่งเข้าที่หนึ่งชนะไป หทัยรัตน์นั่งอยู่ด้วยความเจ็บ อนวัชเดินมาหาและพูดเบาๆ
“ฉันต้องชนะที่หนึ่งเท่านั้น”
หทัยรัตน์เพิ่มความแค้นในใจอย่างแรง เสียงกรกนกดังขึ้น
“คุณครูพร้อมนะคะ”
หทัยรัตน์สะดุ้ง
“เอ่อ พร้อมค่ะ”
อนวัชหันมาทางหทัยรัตน์
“ใจลอยแบบนี้ เดี๋ยวก็แพ้ฉันหรอก”
หทัยรัตน์ยิ่งนึกหมั่นไส้ และในใจก็ฮึกเหิมขึ้น ไม่มีวันที่เธอจะแพ้เป็นอันขาด เสียงกรกนกดังขึ้น
“หนึ่ง สอง สาม”
ลูกบอลลอยอยู่กลางอากาศและตกลงที่น้ำ ทั้งสามกระโดดลงน้ำเข้าไปหาลูกบอล หทัยรัตน์กับอนวัชมุ่งไปที่ลูกบอลอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่คลื่นไม่เป็นใจ ยิ่งเข้าไปหา ก็ยิ่งซัดให้ห่างออกไป
สีสุกกับส่องแสงเดินเพลียมาแต่ไกล สีสุกทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาด้วยความอ่อนล้า
“เฮ้อ กว่าจะหาทางสลัดยัยชุลีทิ้งได้ แม่จะบ้าตาย คุณแม่ว่าเพื่อนแบบนี้มีแล้วชีวิตไม่เจริญ อย่ามีเลยนะคะ”
“ถ้ามีตัวเลือก ก็ไม่อยากคบหรอกค่ะ เอ แล้วนี่พี่หนึ่งหายไปไหนนะ บ้านเงียบๆ ชอบกล”
“นั่นสิ หรือว่าจะอยู่ข้างนอก”
สองแม่ลูกเดินออกมาที่ระเบียง สอดส่ายสายตา สีสุกเห็นหทัยรัตน์กับสุดาเล่นลูกบอลอยู่กับผู้ชายแต่เห็นแค่ข้างหลัง
“อุ้ยตายแล้ว ยัยแป้นกับนังปุ้มมันเล่นน้ำอยู่กับผู้ชาย ต๊ายตาย แก่แดดแก่ลมจริงๆ แม่แป้นก็เป็นไปได้ อับอายขายหน้าที่สุด คอยดูนะ กลับไปแม่จะไปฟ้องคุณพี่”
สีสุกเบ้หน้าดูถูก เพราะไม่เห็นว่าเป็นอนวัช
“แม่จะเข้าไปเดินหาคุณหนึ่งทางด้านโน้นนะ ส่องเดินไปหาทางด้านนี้ก็แล้วกัน”
สีสุกจะเดินไป ส่องแสงยังคาใจเพ่งไปที่ทะเล สีสุกต้องเร่ง
“รีบไปสิลูก เดี๋ยวยัยชุลีไหวตัวตามมาหาที่นี่ เสียแผนกันอีกพอดี”
“ค่ะๆ”
ส่องแสงจำใจต้องเดินแยกกับสีสุก ไปตามหาอนวัชอีกด้านหนึ่งของบ้าน
ลูกบอลถูกซัดให้ห่างออกไปจากฝั่ง อนวัชและหทัยรัตน์ยังว่ายตามอย่างไม่คิดชีวิต แต่สุดาเริ่มหมดแรง
“โอ้ย แป้น ไม่ไหวแล้วค่ะ แป้นยอมแพ้”
สุดาหยุดว่ายและลอยตัวหอบอย่างอ่อนแรง อนวัชหันมาทางหทัยรัตน์ที่ยังคงว่ายน้ำอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาแปลกใจ และรีบว่ายตามไปด้วยความเป็นห่วง สัทธาก็มองด้วยความเป็นห่วง
“นี่ยัยปุ้มมันจะบ้าหรือเปล่าเนี่ย”
ลูกบอลลอยอยู่ หทัยรัตน์ว่ายน้ำตามไป แต่ด้วยความเหนื่อยทำให้ไม่มีแรงจะว่ายต่อ เธอเริ่มลดความเร็วลง อนวัชว่ายแซงขึ้นไป แรงยังดีอยู่ หทัยรัตน์เริ่มหมดแรง หน้าซีด ตาเริ่มพร่า อนวัชว่ายมาถึงลูกบอลจนได้ ยิ้มดีใจ และหันมาทางกรกนกชูลูกบอลขึ้น กรกนกยิ้มตอบและตบมือให้
หทัยรัตน์ลอยคอห่างไปจากอนวัชพอประมาณ เธอเริ่มไม่มีแรงแม้แต่จะขยับแขนขา พยายามประคองตัวให้ลอย แต่ดูเหมือนช่างยากเย็นจริงๆ คลื่นซัดเข้าหน้าหทัยรัตน์ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนเธอหมดแรงจะต้านแรงคลื่น และคลื่นลูกสุดท้ายก็ซัดหทัยรัตน์จมหายไป
อนวัชหันมาหวังจะยิ้มเยาะหทัยรัตน์แต่กลับเจอแต่ความว่างเปล่า เขาเริ่มเป็นห่วงมองหา สุดาก็เริ่มเอะใจ
“เอ๊ะ ปุ้มหายไปไหน คุณหญิง แม่โอ มองเห็นปุ้มมั้ยคะ”
ทุกคนต่างตกใจ อนวัชปล่อยมือจากลูกบอลและดำน้ำลงไป สัทธารู้ได้ด้วยสัญชาติญาณ
“ยัยปุ้ม”
สัทธารีบพุ่งตัวออกไป
สีสุกเดินออกมาจากในบ้าน ส่องแสงเดินมาจากอีกมุมหนึ่ง
“ในบ้านไม่มีใครอยู่เลยค่ะคุณแม่”
“เด็กบอกว่าคุณพี่วิทย์ไปตีเทนนิส แต่คุณหนึ่งไม่รู้ว่าหายไปไหน”
ส่องแสงกับสีสุกยืนคิดด้วยความแปลกใจ ทันใดนั้นส่องแสงมองไปที่ทะเล เพ่งอย่างสนใจ สีสุกเห็นแล้วก็แปลกใจ
“ส่อง มองอะไรน่ะลูก”
สีสุกมองด้วย สองคนมองไปที่ทะเลด้วยความสนใจ
อนวัชยังคงลอยคออยู่ในทะเลและมองหาหทัยรัตน์อย่างเป็นห่วง
“หทัยรัตน์ หทัยรัตน์”
อนวัชดำน้ำลงไปอีก สัทธาวิ่งมาหาแป้น
“แป้น ยัยปุ้มหายไปใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะพี่ปุ๊ พี่ปุ๊ไปช่วยปุ้มด้วยนะคะ”
สัทธารีบถอดเสื้อ ถอดรองเท้า วิ่งลงไปช่วยอนวัชหาหทัยรัตน์ แม่โอ กรกนก สุดา ยืนใจคอไม่ดีอยู่ที่หาด อนวัชดำผุดดำว่ายและมองหาหทัยรัตน์ด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นก็เห็นหทัยรัตน์จมอยู่ในน้ำ เขารีบพุ่งตัวไปหาและลากตัวขึ้นมาบนผิวน้ำ สุดาร้องขึ้นด้วยความดีใจ
“นั่นไงคะ พี่หนึ่งเจอปุ้มแล้ว แม่โอ รีบไปเอาผ้าเช็ดตัวมาหน่อยจ้ะ เอาผืนหนาๆ เลยนะ”
“ค่ะ”
แม่โอรีบวิ่งไป สุดาตะโกนบอกสัทธา
“พี่ปุ๊คะ พี่หนึ่งเจอปุ้มแล้วค่ะ”
อนวัชว่ายน้ำลากหทัยรัตน์เข้ามาที่ฝั่งด้วยความเป็นห่วง ตบหน้าเบาๆ
“เธออย่าเป็นอะไรนะ”
อนวัชเริ่มปั๊มหัวใจ และฟังเสียงหัวใจ หทัยรัตน์หน้าซีด เขาตัดสินใจผายปอดให้หทัยรัตน์ ส่องแสงเห็นเต็มๆ ตา ชะงักอึ้ง
“คุณแม่”
สีสุกพรวดเข้ามา
“คะๆๆ เกิดอะไรขึ้นคะ”
“นั่น นั่น พี่หนึ่ง นังปุ้ม”
“ว้าย ตาเถร”
อนวัชผายปอดด้วยความเป็นห่วง หทัยรัตน์เริ่มรู้สึกตัว สำลักน้ำและไออย่างแรง
“แม่โอเอาผ้าเช็ดตัวมาเร็ว”
อนวัชรีบเอาผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวหทัยรัตน์ แล้วอุ้มขึ้นไปบนบ้าน สีสุกกับส่องแสงยืนอึ้ง
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ตอนเย็น วิทย์กลับมาบ้าน สีสุกกับส่องแสงรีบรายงานเรื่องหทัยรัตน์ วิทย์ถามด้วยความสงสัย
“ปุ้มแกล้งจมน้ำ”
“ฟังดูอาจจะไม่น่าเชื่อนะคะ แต่ปุ้มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ชอบเรียกร้องความสนใจ น้องก็คอยเตือนพี่สุทธิ์กับแม่ทิพย์อยู่เสมอๆ แต่สองคนนั้นก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ที่น้องมาบอกคุณพี่วิทย์เอาไว้ จะได้ไม่ต้องตกใจ ถ้าคุณหนึ่งมาบอกเรื่องที่แม่ปุ้มจมน้ำน่ะค่ะ”
“ใช่ค่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย และปุ้มเองเขาว่ายน้ำเก่งจะตาย ไม่มีทางจมหรอกค่ะ แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ พี่หนึ่งเธอคงเป็นห่วง เห็นทำท่าจะจมน้ำ ก็เลยต้องไปช่วย จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต”
“จริงๆ ถ้าคุณหนึ่งไม่ช่วย แม่ปุ้มก็รอดอยู่แล้วล่ะคะ เพราะเด็กนั่นไม่ได้จมจริงๆ หรอกค่ะ เชื่อน้องเถอะค่ะ”
วิทย์คิด
หทัยรัตน์นอนอยู่บนเตียง ยังไม่รู้สึกตัว กรกนกนั่งอยู่บนรถเข็น สัทธาและทุกคน มองหทัยรัตน์ด้วยความเป็นห่วง วิทย์เดินเข้ามาในห้อง
“ปุ๊ ปุ้มเป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ฟื้นเลยครับ แต่เห็นแป้นบอกว่าพอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ตัวก็เริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เมื่อครู่เห็นน้าสีสุกกับส่องนั่งคุยกับคุณลุงอยู่ที่ห้องรับแขก หน้าเครียดเชียว ไม่ทราบว่า สองคนนั้นเขาเอาเรื่องรบกวนจิตใจอะไรไปเล่าให้คุณลุงฟังหรือเปล่าครับ”
วิทย์มอง แล้วก็คิด พิจารณาจากสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน แล้วก็ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อสองแม่ลูก วิทย์หันมาถามสัทธาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ลุงจะพิจารณาจากสิ่งที่ลุงเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ได้ยิน”
หทัยรัตน์รู้สึกตัว กรกนกเห็นพอดี
“คุณครูขยับตัวแล้วค่ะ”
สุดารีบหันมาบอกสัทธาด้วยความดีใจ
“พี่ปุ๊คะ ปุ้มรู้สึกตัวแล้วค่ะ”
หทัยรัตน์ค่อยลืมตา หน้ายังซีดอยู่
“คุณหญิง พี่แป้น ปุ้ม ปุ้มยังไม่ตายใช่มั้ยคะ”
“เกือบจ้ะ แต่ยังดีนะที่พี่หนึ่งช่วยปุ้มเอาไว้ทัน”
“ใครนะคะ”
“พี่หนึ่งค่ะ คุณครูจมน้ำหาย พี่หนึ่งเป็นคนดำน้ำไปช่วยพาตัวคุณครูขึ้นมาค่ะ”
หทัยรัตน์อึ้ง
“ตอนนี้ไม่เป็นไรก็ดีแล้วนะปุ้ม บุญรักษาแท้ๆ นอนพักผ่อนไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวลุงจะให้เด็กจัดอาหารเข้ามาให้”
“ขอบคุณค่ะ”
“หญิงครับ ลุงว่าเราปล่อยให้คุณครูพักผ่อนดีกว่านะครับ”
“ค่ะ คุณครูหายเร็วๆ นะคะ”
หทัยรัตน์ยิ้มให้แทนคำขอบคุณ วิทย์เข็นรถกรกนกออกไป แม่โอเดินตามไป สัทธากับสุดากำลังจะเดินตามวิทย์ไป แต่หทัยรัตน์เรียกไว้
“พี่ปุ๊ พี่แป้นคะ คุณอนวัชเป็นคนช่วยปุ้มจริงๆ เหรอคะ”
“จริงสิ ไอ้หนึ่งน่ะมันเป็นห่วงปุ้มมากนะ ทั้งตะโกน ทั้งดำน้ำลงไปหาปุ้มจนเจอ แล้วก็ลากขึ้นมาบนฝั่ง”
“ใช่ แล้วพี่หนึ่งก็ เอ่อ”
“ก็อะไรคะ”
“ก็เป็นคนอุ้มปุ้มขึ้นมาบนบ้านด้วยนะ”
“อุ้ม”
“ใช่จ๊ะ อุ้มขึ้นมาบนบ้านแค่นั้นแหละ แหะ แหะ”
หทัยรัตน์หน้าซีดหนักกว่าเดิม
“ปุ้ม ถึงเราจะไม่ค่อยชอบหน้าไอ้หนึ่งก็เถอะ แต่คราวนี้เรารอดมาได้เพราะเขาช่วยชีวิตเราไว้ พี่คิดว่ายังไงซะ ปุ้มก็ควรจะขอบคุณหนึ่งเขานะ”
สัทธาพูดจริงจัง หทัยรัตน์คิดหนัก
อนวัชเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินอยู่ในห้องนอน ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ตอนอุ้มหทัยรัตน์ เขาอมยิ้มนิดๆ ใจเต้นเร็วขึ้น คิดถึงหทัยรัตน์โดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่ส่องแสงเดินมาที่หน้าห้องอนวัช แอบขยับคอเสื้อให้ต่ำ และกว้าง เพิ่มความเซ็กซี่เล็กน้อยก่อนจะเคาะประตู
“พี่หนึ่งคะ พี่หนึ่ง พี่หนึ่งคะ พี่หนึ่งอยู่มั้ยคะ ส่องเปิดเข้าไปนะคะ”
ส่องแสงเปิดประตูห้องเข้าไป แต่ไม่พบใคร
“หายไปไหนนะ”
อนวัชเห็นแม่โอจัดอาหารจะยกไปให้หทัยรัตน์ก็ถามขึ้น
“แม่โอ ของคุณปุ้มใช่มั้ย”
“ค่ะ”
อนวัชยิ้มนิดๆ
หทัยรัตน์นอนอยู่ ยังครุ่นคิดเรื่องอนวัช พลันเสียงอนวัชดังขึ้น
“นี่ฉันเอง จะเข้าไปนะ”
หทัยรัตน์ตกใจรีบยันตัวลุกขึ้นและเอาผ้าปิดหน้าอก อยู่ในท่าระวังตัว อนวัชเดินเข้ามาพร้อมจานข้าว เห็นหทัยรัตน์นั่งอยู่ ก็พูดเสียงดุ
“ใครเขาให้เธอลุกขึ้นนั่ง เพิ่งฟื้น สติ สตัง ยังมาไม่ครบก็นอนลงไปก่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
อนวัชวางจานอาหารไว้ข้างๆ โต๊ะหัวเตียง
“ทำอวดเก่งอีกแล้ว เพราะความอวดเก่งของเธอเนี่ยแหละที่ทำให้เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในทะเล รู้ว่าตัวเองว่ายน้ำไม่ไหวก็ยังจะรั้นเอาชนะให้ได้”
หทัยรัตน์เหลือบมองด้วยความไม่พอใจ
“ฉันเอาข้าวต้มมาให้ กินอะไรสักหน่อย เผื่อจะทำให้อาการดีขึ้น”
หทัยรัตน์ไม่ตอบ ในใจคิดถึงสิ่งที่สัทธาพูด
“ปุ้ม ถึงเราจะไม่ค่อยชอบหน้าไอ้หนึ่งก็เถอะ แต่คราวนี้เรารอดมาได้เพราะเขาช่วยชีวิตเราไว้ พี่คิดว่ายังไงซะ ปุ้มก็ควรจะขอบคุณหนึ่งเขานะ”
หทัยรัตน์มองหน้าชายหนุ่ม จะขอโทษอย่างไรดี อนวัชมองหน้าหญิงสาว
“เป็นอะไร มองหน้าฉันทำไม มีอะไรจะพูด”
หทัยรัตน์เงียบ ปากหนัก พูดไม่ออก อนวัชสรุป
“ไม่มีอะไรจะพูดก็กินซะ จะได้มีแรง หน้าซีดหมดแล้ว ถ้ากลับบ้านไปสภาพนี้ คุณน้าจะตำหนิฉันได้ กินซะ”
อนวัชพูดจบก็หันหลังจะเดินออกไป หทัยรัตน์คิด และตัดสินใจ
“คุณอนวัชคะ”
อนวัชชะงักด้วยความแปลกใจ
“มีอะไร”
“เอ่อ คือ ดิฉัน”
“ดิฉันอะไร”
หทัยรัตน์พยายามจะเค้นคำพูดออกมา
“ดิฉัน ขอ”
“นี่พอได้แล้ว มัวแต่อ้ำอึ้งๆ ถ้าสิ่งที่เธอจะพูดกับฉัน คือคำขอบคุณ ก็รู้ไว้ด้วยว่ามันไม่จำเป็น เพราะฉัน เรียกค่าตอบแทนจากเธอเรียบร้อยแล้ว”
“ค่าตอบแทนคืออะไร”
อนวัชอ้าปากเหมือนจะตอบ ทันใดนั้น เสียงส่องแสงดังขึ้น
“พี่หนึ่งขา”
ส่องแสงเดินเข้ามาหาอนวัชด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“พี่หนึ่งอยู่ที่นี่เอง คุณแม่ให้ส่องมาตามค่ะ เห็นบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่หนึ่ง คุณแม่รออยู่ที่ห้องรับแขกน่ะค่ะ พี่หนึ่งไปเถอะค่ะ ส่องอยู่เป็นเพื่อนปุ้มเอง”
อนวัชลังเล ส่องแสงรู้ทันรีบตีหน้าเสแสร้ง
“เอ๊ะ หรือว่าพี่หนึ่งกำลังคุยเรื่องสำคัญกับปุ้มอยู่คะเนี่ย”
“เปล่า ไม่ได้มีอะไรสำคัญแม้แต่นิดเดียว พี่ไปคุยกับคุณอาสีสุกก่อนนะครับ”
อนวัชปรายตามามองหทัยรัตน์ก่อนจะเดินออกไป ส่องแสงหันมามองหทัยรัตน์ด้วยแววตาเกลียดชัง
“เดี๋ยวส่องตามไปนะคะ”
อนวัชเดินมาหน้าห้อง ยิ้มนิดๆ ด้วยความพึงพอใจ ส่องแสงมองดูหทัยรัตน์ด้วยแววตาดูถูกและเกลียดชัง
“เธอนี่ช่างเป็นผู้หญิงที่กล้าได้กล้าเสียจริงๆ นะแม่ปุ้ม ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อจะจับพี่หนึ่ง นี่ถึงขนาดแกล้งทำเป็นจะจมน้ำตาย เพื่อให้พี่หนึ่งเขาถูกเนื้อต้องตัว เธอเคยคิดมั้ยว่าพี่หนึ่งเขาต้องกลั้นใจสักแค่ไหนที่ต้องอุ้มเธอขึ้นมาจากน้ำ แล้วยังต้อง ต้องช่วยเธอแบบนี้”
หทัยรัตน์ทั้งโกรธทั้งแค้น อยากจะด่ากลับไป แต่เห็นท่าทางที่ทั้งโกรธทั้งอิจฉาของส่องแสง จึงเลยเปลี่ยนใจยั่วโมโหแทน
“คุณส่องแสงทราบได้ยังไงคะว่าพี่หนึ่ง กลั้นใจที่จะช่วยดิฉัน บางทีเธออาจจะเต็มใจก็ได้ คนอย่างพี่หนึ่ง ใครบังคับได้ซะที่ไหน เมื่อครู่ก็เอาข้าวต้มมาให้ดิฉัน แสดงความเป็นห่วงแบบนี้ คงไม่กลั้นใจแล้วมั้งคะ”
“นังจองหอง ที่พี่หนึ่งต้องช่วยเธอเพราะเขามีความเป็นสุภาพบุรุษหรอกย่ะ ถ้าเธอไม่ใช่เด็กในบ้านของคุณลุงฉัน อย่าหวังเลยว่าพี่หนึ่งจะสนใจ เขาคงปล่อยเธอจมน้ำตายเฝ้าทะเล ไม่เสี่ยงชีวิตไปอุ้ม แล้วผายปอด ต่อหน้าคนทั้งหาดแบบนั้น”
“ผายปอด”
“ใช่ สมใจเธอล่ะสิ อุตส่าห์เอาชีวิตเข้าแลก เป็นยังไงล่ะ งามหน้าไปทั้งหาด ป่านนี้คงได้ตกเป็นขี้ปากคนไปทั้งหิวหิน ฉันล่ะอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี พี่หนึ่งต้องกลั้นใจทำ เม้าธ์ ทู เม้าธ์ ให้เธอตั้งหลายครั้ง ผู้หญิงอย่างเธอก็ทำได้แค่นี้ อย่าหวังเลยว่าได้อะไรที่มันมากกว่านี้”
ส่องแสงสะบัดหน้าเดินกระแทกออกจากห้องไป หทัยรัตน์ทรุด หมดแรง รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรง นึกถึงคำพูดของอนวัชขึ้นมาทันที
“ถ้าสิ่งที่เธอจะพูดกับฉัน คือคำขอบคุณ ก็รู้ไว้ด้วยว่ามันไม่จำเป็น เพราะฉัน เรียกค่าตอบแทนจากเธอเรียบร้อยแล้ว”
หทัยรัตน์อึ้ง
สีสุกออดอ้อนขอให้อนวัชไปส่งที่บ้าน
“เรื่องที่อาจะขอคุย ก็คือ เรื่องการเดินทางกลับวันนี้น่ะค่ะ อาเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระด่วนมากๆ อาคงต้องขอรบกวนคุณหนึ่งให้ออกจากหัวหินแต่เช้าหน่อยจะได้มั้ยคะ ที่อากล้าเอ่ยปากก็เห็นว่าแม่ปุ้มเขาคงจะกลับกับแม่แป้นกับตาปุ๊ ส่วนคุณหญิงกับคุณพี่ก็กลับรถอีกคันอยู่แล้ว คันของเราก็เหลือแต่คุณหนึ่ง ยัยส่อง แล้วก็อาเท่านั้น แต่ถ้าคุณหนึ่งไม่สะดวก อาก็ขึ้นรถประจำทางกลับไปก่อนก็ได้นะคะ ป้าเกรงใจ๊ เกรงใจ”
อนวัชครุ่นคิด
หทัยรัตน์มาคาดคั้นสุดาเรื่องอนวัช
“พี่แป้นบอกปุ้มมาสิคะ เมื่อเย็นเหตุการณ์มันเป็นยังไงกันแน่ คุณอนวัชเขาช่วยปุ้มขึ้นมาจากทะเลแล้วยังไงอีก”
“ก็”
“พี่แป้นบอกมาเถอะค่ะ เขาช่วยปุ้มยังไง”
“พี่หนึ่ง เขา เขา”
“เขาผายปอดให้ปุ้มจริงๆ เหรอคะ”
สุดาพยักหน้า หทัยรัตน์แทบทรุด
ตอนค่ำ หทัยรัตน์ทรุดนั่งบนเตียงด้วยความโกรธ แค้น เสียใจ สับสน เธอค่อยๆ เอามือที่สั่นระริกจับปากของตัวเอง และด้วยความแค้นปนอาย รีบหาผ้าแถวนั้น มาถูที่ปากจนหมดแรง น้ำตาไหลออกมาอย่างคับแค้นใจ
สัทธาเลือกแผ่นเสียงอยู่ในห้องนั่งเล่น มีวงเบียร์เล็กๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะ หยิบแผ่นเสียงมาเปิด เสียงเพลง จูบ ดังมาจากแผ่นเสียง หทัยรัตน์นอนอยู่ ตายังแดงๆ เสียงเพลงของสัทธาแว่วมาไกลๆ จากไม่สนใจ แต่บางคำร้องสะดุดหูทำให้ชะงัก อายหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว
อนวัชนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะในห้องนอน เสียงเพลงแว่วมา เขาค่อยๆ สนใจขึ้นทีละนิด ในขณะที่หทัยรัตน์พยายามนอนไม่สนใจ แต่เสียงเพลงยังดังเหมือนจะยิ่งมากขึ้น เธออึดอัดขัดใจ เอาหมอนมาปิดหู ส่วนอนวัชพยายามไม่สนใจ และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ แต่เสียงเพลงเสียดแทงใจอย่างแรง ทนไม่ได้ ต้องเงยหน้ามาด้วยความขัดเคือง
สัทธาฟังเพลงด้วยความเคลิบเคลิ้ม ทันใดนั้นเสียงหทัยรัตน์กับอนวัชก็ดังขึ้นพร้อมกันจากคนละทิศ
“พี่ปุ๊”
“นายปุ๊”
สัทธาตกใจ เห็นทั้งสองคนยืนอยู่คนละมุมโดยมิได้นัดหมาย หทัยรัตน์กับอนวัชชะงักที่เห็นหน้ากันและกัน โดยเฉพาะหทัยรัตน์ อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แต่ต้องทนทำเก่งเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่แยแส อนวัชมองหญิงสาวและแอบซ่อนรอยยิ้มนิดๆ ไว้ที่มุมปาก สัทธามองทั้งสองคนที่โผล่มาพร้อมกันด้วยความแปลกใจและพูดยิ้มๆ “นี่เกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ก็พรวดพราดลงมาพร้อมกัน หรือว่านัดกันไว้” “เปล่านะคะ” “แล้วลงมาทำไม” “ก็พี่ปุ๊น่ะ เปิดเพลงเสียงดัง ปุ้มนอนไม่หลับ”
“เฮ้ย อะไรกัน พี่ว่าพี่เปิดแค่เบาๆ นะ”
“ไม่ดังแล้วปุ้มจะได้ยินได้ยังไงล่ะคะ ทางที่ดี พี่ปุ๊ปิดไปเถอะค่ะ ได้ยินเสียงเพลงแล้วปุ้มนอนไม่หลับ หรือถึงจะหลับก็อาจจะฝันร้าย”
หทัยรัตน์ทิ้งหางเสียงอย่างตั้งใจ
“แต่ฉันว่าเพลงที่ปุ๊เปิดไม่เห็นจะดังสักเท่าไหร่เลย แล้วที่ว่าฝันร้ายน่ะ ฝันถึงอะไรไม่ทราบ”
“ฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แค่เพลงมันหนวกหู แต่ถ้าพี่ปุ๊ไม่ปิดก็ไม่เป็นไรนะคะ แค่เพลงมันทำอะไรปุ้มไม่ได้หรอกค่ะ”
หทัยรัตน์สะบัดเดินออกไป สัทธามองงงๆ ส่วนอนวัชยิ้มพอใจ หทัยรัตน์รีบเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นด้วยความไม่พอใจ พอพ้นห้องนั่งเล่น ก็หยุดหายใจ ระงับความแค้นไว้อย่างยากเย็น อนวัชกำลังจะหันกลับไป สัทธาก็ถามขึ้น
“นี่ไอ้หนึ่ง แล้วแกล่ะเดินลงมาหาฉันทำไม อย่าบอกนะว่าเพราะเสียงเพลงของฉันเหมือนกัน”
อนวัชชะงัก
“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันแค่อ่านหนังสือ แล้วรู้สึกง่วงเลยลงมาเดินเล่น พอดีได้ยินเสียงเพลงก็เลยเดินมา”
“แค่นั้น”
“แค่นั้นสิ ทำไม”
“เปล่า ก็แค่ถามดู แค่นั้นจริงเหรอ”
อนวัชไม่ตอบ
“แค่นั้นก็ได้ จะเชื่อนะ”
“ฉันไปนอนล่ะนะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”
อนวัชปั้นเก๊กหน้าแก้เก้อ แล้วเดินขึ้นห้องไป สัทธายังค้างคาใจ
พินิจนอนอยู่บนเตียง หน้าตาดูสดชื่นขึ้น ประสงค์พูดไปเขียนสรุปอาการไป ผ่องฉวี และพรรณียืนอยู่ข้างกัน
“ตอนนี้ผลเลือดล่าสุดดีขึ้นจากเมื่อวานนะครับ ความดันก็ปรับมาปกติ สาเหตุที่อยู่ๆ อาการทรุดลงกะทันหันก็มาจากความเครียด วันนี้ตอนบ่ายๆ ก็กลับบ้านได้แล้วนะครับ กลับไปแล้วก็ต้องทำใจให้สบาย พักผ่อนให้มากๆ”
“ครับ”
“ขอบคุณผ่องมากที่เป็นธุระตามคุณหมอให้ แล้วก็ขอบคุณคุณหมอด้วยนะคะ ที่รีบมาดูอาการพี่พินิจ พอดีหมอประจำตัวเดินทางไปต่างประเทศ ติดต่อไม่ได้ ณีไม่รู้จะทำยังไง จำได้ว่าคุณพ่อผ่องเป็นคุณหมอใหญ่ ก็เลยติดต่อผ่องให้ช่วย เลยต้องลำบากคุณหมอต้องรีบเดินทางมาจากต่างจังหวัด”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ได้มีงานสำคัญอะไร ที่ไปหัวหินก็แค่ไปดูแลคุณหญิงกรกนก คนไข้พิเศษที่รับดูแลไว้น่ะครับ”
“คุณหญิงกรกนก จรูญลักษณ์ ญาติของหนึ่ง อนวัช ใช่หรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ คุณหนึ่งก็ไปด้วยกัน คุณพินิจรู้จักหนึ่งด้วยเหรอครับ”
“ครับ หนึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียน ตอนเด็กๆ เราสนิทกันมากครับ”
“บังเอิญจริง เออณี ปุ้มก็ไปหัวหินด้วยนะ คุณประสงค์เล่าให้ฟังว่าไปทั้ง ปุ้ม แป้น แล้วก็พี่ปุ๊ด้วย สนุกมากเลย”
ผ่องฉวีเล่าอย่างมีความสุข พินิจกับพรรณีทำหน้าไม่ถูก นวลเดินมาพร้อมกับตะกร้าของกินกำลังจะเปิดประตูเข้าไป แต่เสียงพรรณีลอดออกมาก่อน
“ผ่องได้เจอกับปุ้มบ้างหรือเปล่า”
นวลชะงัก แอบฟัง
“เจอสิ เจอบ่อยด้วย อาทิตย์ละครั้ง เรายังคุยกันเลยว่า เสียดายที่พรรณีหายเงียบไป เมื่อก่อนเราสามคนจะไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันตลอด เดี๋ยวพอปุ้มกลับจากหัวหิน ผ่องจะเล่าให้ปุ้มฟังว่าเจอณี ปุ้มต้องดีใจแน่ๆ”
พรรณีเศร้า ไม่แน่ใจ ผ่องฉวีนึกได้
“แล้วณีล่ะ เจอพี่ปุ๊บ่อยหรือเปล่า”
นวลเงี่ยหูฟังเต็มที่ พรรณียิ้มอายๆ นิดๆ
“ก็เจอบ้างจ้ะ พอพี่ปุ๊ว่างก็จะพาไปดูหนัง ไปกินข้าวบ้าง ครั้งสุดท้ายเพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง”
นวลกัดฟันกรอด แค้นที่ลูกขัดใจ พินิจช่วยพูดต่อ
“บางทีที่ปุ๊มาหาณีเมื่อคืนนั้น อาจจะชวนณีไปหัวหินด้วยกันก็เป็นได้”
นวลกัดฟัน
“ไปหัวหิน ฝันไปเถอะ”
พรรณีเห็นด้วย ยิ่งคิด ยิ่งเศร้า
“แต่ถึงยังไง ณีก็ไปไม่ได้อยู่ดี ผ่อง ถ้าเจอปุ้มอีก ฝากความระลึกถึงปุ้มด้วยนะ ฝากขอโทษด้วยที่หายไป ถ้ามีโอกาส ณีจะต้องไปเจอกับปุ้มให้ได้”
“พี่เองก็เหมือนกัน ถ้ามีโอกาสพี่จะก็อยากเจอปุ้มให้บ่อยที่สุด เท่าที่พี่จะทำได้”
นวลกัดฟันกรอด
เช้าวันต่อมา เด็กขนกระเป๋าสีสุกและส่องแสงขึ้นรถอนวัช ส่องแสงเดินคู่มากับอนวัช
“ส่องต้องขอโทษพี่หนึ่งด้วยนะคะที่ต้องรบกวนให้รีบกลับแบบนี้”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ต้องกลับไปเตรียมงานสำหรับวันพรุ่งนี้พอดี กลับเร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
“งั้นเรารีบไปกันดีกว่าค่ะ จะได้ถึงกรุงเทพไม่เย็นมาก”
ส่องแสงยิ้มให้ อนวัชมองที่บ้าน เหมือนมองหาอะไรสักอย่าง
“คุณหนึ่งมองหาอะไรคะ มองหาใครหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
อนวัชเดินไปที่รถ สีสุกยิ้มพอใจ
สัทธากับสุดายืนมองอยู่ที่ริมระเบียงเห็นอนวัช ส่องแสง สีสุก กำลังเดินทางกลับ
“แป้นว่าเรื่องรีบกลับแต่เช้าเนี่ยต้องเป็นอุบายของพี่ส่องกับอาสีสุกแน่ๆ”
“มันก็แหงอยู่แล้ว คงจะเห็นหนึ่งช่วยปุ้มไว้เมื่อวาน เลยไม่อยากให้อยู่เห็นอกเห็นใจกันล่ะสิ”
“เออ แล้วพี่หนึ่งกับปุ้มเป็นยังไงบ้างคะ หลังจากมาอยู่หัวหินสองสามวัน ได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น พี่ปุ๊คิดว่า สองคนนี้เขาจะเห็นความดีของกันและกันบ้างหรือเปล่าคะ”
“ดีกะผีน่ะสิ เมื่อคืนก็ยังแง่งๆ กันเหมือนเดิม นี่ถ้าพี่ไม่อยู่ด้วยสงสัยจะได้วางมวยกันอีก”
“อ้าว เป็นงั้นไป ก็ตอนเย็นยังดูพี่หนึ่งเป็นห่วงปุ้มอยู่เลยนี่คะ”
“คำเดียวเลยนะ ทิฐิ คำนี้คำเดียวที่ทำให้สองคนนี้ไม่ยอมลงให้กันสักที ทั้งที่ในใจก็ไม่ได้มีอะไรหรอก หรือถ้าในใจมี มันก็ไม่ใช่ความเกลียดชัง”
“ถ้าไม่ใช่ความเกลียดชัง แล้วในใจของสองคนนี้มีอะไรเหรอคะ”
“ตอนนี้ก็ยังไม่ชัด เอาไว้ให้พี่เห็นชัดกว่านี้ แล้วพี่จะบอกนะ”
สัทธาทำท่ากรุ้มกริ่ม ยิ้มคนเดียว แล้วก็เดินเข้าบ้านไป ปล่อยให้สุดางง
“อ้าว ทำตัวมีลับลมคมในนะคะ พี่ปุ๊ พี่ปุ๊จะไม่บอกจริงๆ เหรอคะ”
“ไม่บอก”
สัทธาทำหน้าทะเล้น สุดาได้แต่กอดอกด้วยความหงุดหงิด อยากรู้
อนวัชขับรถไปกับส่องแสงและสีสุก เขานั่งคู่มากับส่องแสง แต่ในใจกลับคิดถึงแต่หทัยรัตน์ แล้วก็อมยิ้มคนเดียว
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 5 (ต่อ)
พิมพ์กำลังจัดสำรับอาหารอย่างดีรออนวัชกลับมา
“แม่พิมพ์ คิดถึงแม่พิมพ์จังเลย”
“มาถึงก็อ้อนเลยนะคะ หิวหรือเปล่าคะ รับประทานอาหารมาหรือยัง”
“อีกสักพักก็ได้จ้ะ คุณหนึ่งอยากจะนอนพักสักหน่อย”
“อ้อ คุณหนึ่งคะ มีจดหมายของคุณชายประสาทพรส่งมาถึงคุณหนึ่งเมื่อเช้านี้ค่ะ พิมพ์วางไว้ให้ในห้องค่ะ อ้อ เมื่อตอนบ่ายเพื่อนคุณหนึ่งที่ชื่อคุณพินิจโทรศัพท์มาหา ถามถึงทั้งคุณหนึ่งและคุณปุ้ม พิมพ์บอกว่ายังไม่กลับ คุณบอกว่าวันหลังจะโทรศัพท์มาหาใหม่”
“แม่พิมพ์ไม่ต้องบอกคุณครูนะ เดี๋ยวคุณหนึ่งจะเป็นคนบอกเอง”
อนวัชจิกตาร้ายนิดๆ เมื่อคิดถึงหทัยรัตน์ จากนั้นเขาก็นำจดหมายของประสาทพรมาอ่าน
“สวัสดีหนึ่ง ก่อนอื่นต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มีให้ น้องหญิงเขียนจดหมายมาเล่าว่ามีความสุขมาก ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทุกคนในบ้านให้การต้อนรับ ดูแลอย่างอบอุ่น อาหารของแม่พิมพ์อร่อย ตอนนี้ที่นี่อากาศเริ่มเย็น เสื้อผ้าที่เตรียมมาอาจจะไม่เพียงพอ แต่โชคดีมีข่าวว่าคงอีกไม่นานจะได้กลับบ้านแล้ว”
อนวัชอ่านด้วยความแปลกใจและดีใจ
“เพราะมีเจ้าหน้าที่มาประจำแทน ตอนนี้ข่าวลือยังไม่ได้รับการยืนยัน ถ้าทราบข่าวอะไรจะรีบบอกทันที ได้แต่ภาวนาขอให้ข่าวลือ ไม่ใช่ข่าวลวง ท้ายสุดขอถามไถ่ถึงหทัยรัตน์”
อนวัชหุบยิ้มทันที
“เธอมาสอนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง เธอมีปัญหาขัดข้องใจไม่สะดวกสบายหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นการรบกวน ฝากดูแลเธอด้วยอีกหนึ่งคน กลับไปเมื่อไหร่จะดูแลเธอเอง ไม่รบกวนหนึ่งอีกแล้ว ด้วยความระลึกถึง”อนวัชพับจดหมายด้วยความขัดเคืองใจ คิดถึงหทัยรัตน์ด้วยความไม่พอใจ
“ทั้งคนไกล คนใกล้ คนแข็งแรง คนป่วย หลงเสน่ห์เธอไปหมด หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ปั่นหัวผู้ชายไม่เลือก ถ้าฉันไม่ช่วยเธอไว้ คงมีผู้ชายอีกหลายคนต้องเสียใจ”
อนวัชคิดแผนร้ายขึ้นมาได้ เดินไปโทรศัพท์
“สวัสดีครับ ผมอนวัช ขอพูดกับพินิจครับ”
กรกนกนั่งอยู่บนรถเข็น ที่ริมระเบียงบ้านพัก ยิ้มนิดๆ มีความสุข สุดาเดินมาหาเห็นกรกนกยิ้มก็ยิ้มตาม
“คุณหญิง นั่งคิดอะไรอยู่คะ คิดไปยิ้มไป”
“หญิงคิดถึง พี่ชายค่ะ”
“คิดถึงคุณชายแล้วยิ้ม แสดงว่าต้องเป็นเรื่องที่สนุกแน่ๆ”
“ใช่เลยค่ะ หญิงคิดถึงตอนที่มาเที่ยวทะเลกับพี่ชาย พี่ชายเป็นคนชอบชายหาด ชอบเดินบนทรายโดยไม่สวมรองเท้า วันๆ จะนั่งอยู่ที่ชายหาด ไม่ยอมทำอะไรเลย จนท่านพ่อกริ้ว ทรงออกกฎไม่ให้พี่ชายออกจากบ้านโดยลำพัง เพราะกลัวจะเดินลงทะเลโดยไม่มีใครรู้ พี่ชายงงไปเลยค่ะ ไม่รู้ว่าท่านพ่อทรงคิดแบบนั้นไปได้อย่างไร”
กรกนกหัวเราะอารมณ์ดี แล้วก็เล่าต่อ
“หลังจากนั้น ทุกครั้งที่พี่ชายจะออกไปที่ชายหาด ก็ต้องพาหญิงไปด้วย”
กรกนกหันไปมองชายหาด เล่าอย่างมีความสุข ภาพความทรงจำผุดขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อประมาณปีที่แล้ว ประสาทพรวิ่งเล่นที่ชายหาด มีหมาขนสวยวิ่งไล่ตาม เขาใช้ลูกบอลล่อ และเล่นกับหมาอย่างน่ารัก กรกนกนั่งอยู่บนเสื่อที่จัดเป็นที่นั่งสำหรับปิกนิกอย่างสวยงาม
“แม่โอจะทำอาหารที่กินง่ายๆ มีข้าวผัด มีขนมจีบ หญิงจะนั่งมองพี่ชายวิ่งเล่นกับหมาที่ท่านพ่อทรงเลี้ยง พี่ชายชอบเล่นว่าว ชอบเล่นน้ำ พี่ชายจะให้หญิงขี่คอแล้วถือว่าว พี่ชายจะวิ่งไปเรื่อยๆ ตอนนั้น หญิงรู้สึกเหมือนตัวเองเดินได้เลยค่ะ”
สุดาฟังกรกนกเล่า ทำให้เธอรู้จักประสาทพรผ่านคำบอกเล่าของกรกนก
“คุณชาย เป็นพี่ชายที่น่ารักมากๆ เลยนะคะ”
“ค่ะ หญิงโชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นน้องสาวของพี่ชาย”
“คุณหญิงเองก็เป็นเด็กที่น่ารักมากนะคะ พี่แป้นคิดว่า คุณชายเองคงรู้สึกโชคดีเช่นกันที่มีคุณหญิงเป็นน้องสาว”
กรกนกฟังแล้วดีใจ
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร ความรู้สึกดีๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
“หลานหญิงพร้อมจะกลับหรือยัง”
วิทย์เดินออกมาพร้อมเด็กรับใช้ที่ถือกระเป๋าเดินทางเดินตามออกมา
“พร้อมแล้วค่ะ”
“ลุงขอบใจปุ๊ แป้น ปุ้มมาก ที่มาเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนหลานหญิง”
“พวกเราต้องขอบพระคุณคุณลุงมากกว่า ที่อนุญาตให้พวกเรามาที่นี่ สนุกมากๆ เลยครับ”
“ดี ถ้าชอบ คราวหน้ามากันอีกนะ ชวนหนึ่งมาด้วย พวกเราก๊วนเดิม”
สัทธากับสุดาตอบรับ แต่หทัยรัตน์เงียบ คิดถึงอนวัชแล้วไม่อยากมา จนสุดาต้องสะกิดให้ตอบ หทัยรัตน์จำใจ
“ค่ะ”
วิทย์ยิ้มรับไม่เห็นความผิดสังเกต
“แล้วนี่จะกลับกันเลยหรือเปล่า จะได้ขับตามๆ กันไป”
“ยังค่ะ แป้นชวนพี่ปุ๊กับปุ้มไปเดินเล่นที่ตลาดน่ะค่ะ อยากแวะซื้อของไปฝากคุณพ่อคุณแม่ด้วย”
“แบบนี้ล่ะครับ นิสัยผู้หญิง เห็นตลาดไม่ได้ ต้องแวะซื้อทุกที เหมือนโดนสะกดจิตน่ะครับ”
สัทธาจิกกัดน้องๆ วิทย์ กรกนก ฟังแล้วก็ขำๆ
ที่ตลาดหัวหิน สัทธาซื้อของอย่างสนุกสนาน หทัยรัตน์กับสุดามองด้วยความขำขัน
ส่วนสุดาหยิบ โปสการ์ดที่เป็นรูปทะเลมาดู อดคิดถึงประสาทพรไม่ได้ แล้วในที่สุดของฝากมากมายก็วางกองอยู่ที่หลังรถ
“ตกลง ผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ ที่เห็นตลาดแล้วอดใจไม่ไหว ซื้อของอย่างกับโดนสะกดจิต”
สุดาแซวพี่ชาย สัทธาขำแห้งๆ
“นั่นสิคะ พี่ปุ๊ซื้อของตั้งมากมาย เอาไปฝากใครคะ”
สัทธาไม่ตอบ แต่ยิ้มอายๆ ในใจคิดถึงพรรณี
วันต่อมา พรรณีมองของฝากที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยความเกรงใจ
“พี่ปุ๊ให้ณีหมดนี่เลยเหรอคะ”
“ใช่ครับ มีทั้งของณี ของพินิจ แล้วก็ฝากให้คุณแม่ด้วย อย่าลืมบอกว่าเป็นของพี่ เผื่อท่านจะเห็นน้ำใจ เอ็นดูพี่บ้าง”
พรรณีมองหน้าชายหนุ่ม ทั้งสงสาร ทั้งอึดอัด
“ณีอย่าลืมบอกคุณแม่นะครับ”
พรรณีหลบตา
“ค่ะ”
สัทธาสังเกตเห็นความผิดปกติของพรรณี
“ณี พี่อยากไปเยี่ยมคุณแม่ณีที่บ้าน ไม่ได้เจอท่านนานแล้ว อยากเข้าไปคุยทำความคุ้นเคยให้มากกว่านี้ เผื่อในอนาคตถ้าพี่ส่งผู้ใหญ่มาคุยกับท่านเรื่องของเรา”
“เอ่อ ช่วงนี้คุณแม่ไม่ค่อยว่างค่ะพี่ปุ๊ พี่นิจก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เอาไว้ณีพร้อมแล้วจะบอกนะคะ”
“ไม่ว่าง หรือว่าไม่อยากให้พี่ไป”
“ไม่ใช่นะคะ ณีไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่มีเหตุผลที่ณีจะไม่อยากให้พี่ปุ๊เจอกับคุณแม่ แต่ ตอนนี้ยังไม่สะดวกจริงๆ เอาไว้ถ้าคุณแม่ว่างเมื่อไหร่ ณีจะรีบบอกพี่ปุ๊นะคะ”
พรรณีฝืนยิ้ม พยายามเก็บความลำบากใจไว้ สัทธาจำใจทำเป็นเชื่อ
“ได้ครับ พี่จะรอวันนั้น”
สัทธาพูดพร้อมยิ้มนิดๆ ทั้งที่ในใจ เริ่มเห็นความผิดปกติของพรรณีชัดเจนมากยิ่งขึ้น
พรรณีเล่าให้พินิจฟังถึงเรื่องที่พบกับสัทธาในวันนี้ พินิจพยายามปลอบใจ
“ปุ๊คงไม่ได้คิดมากหรอก ที่ถาม ก็คงเพราะสงสัย บางทีพี่ก็แปลกใจ ทำไมคุณแม่ถึงตั้งแง่กับปุ๊ ทั้งๆ ที่อนาคตก็น่าจะได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นตำรวจชั้นสูงแน่ๆ อีกทั้งบุคลิก นิสัยใจคอ ชาติตระกูลก็ไม่ได้บกพร่อง ทำไมคุณแม่ถึงได้รังเกียจนัก พี่ก็ยังไม่เข้าใจ”
พรรณีอึดอัด พูดไม่ได้ว่าเป็นเพราะหทัยรัตน์
“เอาอย่างนี้ ถ้าวันไหนคุณแม่อารมณ์ดี พี่จะลองหยั่งเชิง และเปิดทางให้ เผื่อคุณแม่จะใจอ่อนยอมเจอกับปุ๊ ถ้าได้คุยกัน คุณแม่อาจจะลดอคติลงก็ได้”
“คงเป็นวันที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก”
“เอาน่า อย่าเพิ่งคิดในแง่ลบสิ คนเราต้องอยู่ด้วยความหวัง พี่อยู่ได้ด้วยความหวัง หวังว่าจะได้เจอปุ้ม และพรุ่งนี้ พี่ก็จะใช้แผนเดิม พี่จะแอบไปหาปุ้มที่บ้านหนึ่ง”
“จะดีเหรอคะพี่นิจ ตั้งแต่พี่นิจออกจากโรงพยาบาลคุณแม่ดูแปลกๆ เงียบๆ จนผิดสังเกต”
“คิดมาก ช่วงนี้คุณแม่มีนัดทานข้าวกับเพื่อน เลยไม่ค่อยได้สนใจเรา นะณี แผนเดิม”
พรรณีพยักหน้ารับปากด้วยความเห็นใจพินิจ
“ขอบใจมาก ที่พี่อยากไปเจอปุ้มพรุ่งนี้ เพราะเป็นห่วง ได้ข่าวว่าเขาจมน้ำตอนไปเที่ยวหัวหิน”
“จมน้ำ พี่พินิจรู้ได้ยังไง ใครเป็นคนบอก”
พรรณีถามด้วยความแปลกใจ ย้อนเวลาไปก่อนหน้านี้ อนวัชคุยโทรศัพท์กับพินิจ หน้าตาเจ้าเล่ห์
“ที่ฉันบอกเพราะเห็นว่านายโทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของหทัยรัตน์ ฉันก็เลยต้องรีบรายงาน เผื่อนายจะหาโอกาสมาถามไถ่ด้วยตัวเอง”
“ขอบใจมากเลยหนึ่ง ฉันเองก็อยากเจอปุ้มเขาอยู่เหมือนกัน ดีเลยจะได้มีข้ออ้างในการไปหา”
“ถ้านายเจอเขา ก็ลองถามดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงจมน้ำ และรอดมาได้ยังไง ฉันไม่อยากเล่าเอง กลัวว่าข้อมูลจะผิดเพี้ยน อยากให้นายฟังจากปากของหทัยรัตน์ แล้วนายก็จะรู้เองว่าเธอรอดชีวิตมาได้ยังไง”
อนวัชยิ้มร้าย สะใจ
พินิจมาหาหทัยรัตน์ ถามเรื่องที่เธอจมน้ำแล้วรอดมาได้ หทัยรัตน์โกรธมาก
“ตกลง ปุ้มรอดชีวิตมายังไง ใครช่วยไว้ครับ”
“ปุ้มจำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะตอนนั้นปุ้มหมดสติ ตื่นมาอีกทีก็อยู่ในห้องนอนแล้ว”
“อ้าว แล้วพี่จะรู้ยังไงว่าสรุปแล้วใครช่วยชีวิตปุ้มไว้ หนึ่งก็ไม่เล่า ปุ้มก็จำไม่ได้”
“ช่างมันเถอะค่ะ พี่นิจอย่าไปอยากรู้เลย มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอบคุณพี่นิจมากนะคะที่เป็นห่วง แต่ปุ้มสบายดี ปุ้มขอตัวไปสอนหนังสือคุณหญิงต่อนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนปุ้ม อย่าเพิ่งไป พี่ยังมีเรื่องอยากจะบอก”
พินิจอึกอัก ส่องแสงเดินเข้ามาในเพชรลดา กำลังจะเดินเข้าไปในห้องรับแขก
แต่พอเห็นหทัยรัตน์ยืนอยู่กับผู้ชายแปลกหน้า ก็ชะงัก รีบหลบวูบ พินิจพยายามจะพูดความในใจให้หทัยรัตน์ฟัง
“เอ่อ คือ นอกจากเป็นห่วงแล้ว พี่ยังคิดถึงแล้วก็อยากเจอปุ้มด้วยครับ”
หทัยรัตน์หลบตาด้วยความอึดอัด ส่องแสงตาลุกวาว หทัยรัตน์ใจแข็งและตอบกลับไปอย่างเย็นชา
“ขอบคุณมากค่ะ ปุ้มขอตัวก่อนนะคะ”
“เอ่อ”
“ปุ้มขออนุญาตคุณหญิงออกมาเพียงไม่กี่นาที สวัสดีค่ะ”
หทัยรัตน์ยกมือไหว้แล้วเดินออกไป พินิจมองด้วยความอาลัย ส่องแสงจิกตาร้าย พินิจเดินออกมาจากบ้านได้สักพัก เสียงส่องแสงดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ คุณคะ”
พินิจหันมา ส่องแสงเสแสร้งแกล้งทำยิ้มแย้มเป็นมิตร
“ฉันชื่อส่องแสงเป็น เอ่อ พี่สาวของปุ้ม เป็นลูกพี่ลูกน้องน่ะค่ะ”
“สวัสดีครับ ผมพินิจ พนัสพงษ์ ครับ ผมเป็นเพื่อนของหนึ่ง”
“เพื่อนพี่หนึ่ง เอ๊ะ เมื่อกี๊ส่องเห็นคุณพินิจคุยกับปุ้มอยู่ในห้องรับแขก เอ่อ คือบังเอิญเดินผ่านไปเห็นน่ะค่ะ แต่ส่องไม่ได้แอบฟังนะคะ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่แค่แปลกใจที่เห็นคุณเดินออกมาหน้าเศร้าๆ มีอะไรให้ส่องช่วยหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ ไม่มีครับ ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่ถามไถ่ แต่ ไม่มีอะไรครับ”
“ไม่มีก็ดีแล้วค่ะ ที่ส่องถามเพราะเห็นว่ามีผู้ชายหลายคนที่ต้องเสียใจเพราะปุ้ม ส่องเห็นคุณมาที่นี่คิดว่าน่าจะรู้จักกับพี่หนึ่ง เลยไม่อยากให้คนกันเองต้องมาผิดใจกันน่ะค่ะ เอาเป็นว่า ถ้ามีอะไรที่คุณไม่สบายใจเกี่ยวกับปุ้ม ปรึกษาส่องได้นะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“หรือ ถ้ามีอะไรให้ส่องช่วย ก็บอกได้เลยนะคะ ส่องยินดีค่ะ”
“ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พินิจเดินออกไป ส่องแสงยิ้มร้าย
หน้าโรงพยาบาล พินิจเดินเข้ามาด้วยความเศร้า พรรณีร้องเรียก
“พี่นิจ”
พรรณีทำหน้าอึกอัก หน้าซีด เหมือนมีอะไรจะพูด แต่พูดไม่ออก
“ณีเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“เอ่อ”
พรรณีพูดไม่ออก แต่ปรายตาไปข้างๆ ทันใดนั้นนวลเดินออกมา
“ไปไหนมา แม่ถามว่าไปไหนมา”
ทั้งสามกลับมาที่บ้านพนัสพงษ์ นวลปากระเป๋าลงที่โต๊ะ โวยวายด้วยความหงุดหงิด
“ฉันไม่เชื่อ แกจะไปบ้านคุณหนึ่งทำไม ในเมื่อวันนี้คุณหนึ่งเขาไปทำงาน จะโกหกแม่ไปถึงไหน”
พรรณีกับพินิจหน้าเสีย
“ฉันจะบอกความจริงให้ก็ได้ ฉันได้ยินหมด สิ่งที่พวกแกคุยกันที่โรงพยาบาล เรื่องที่แอบไปเจอ และแอบติดต่อกับไอ้สัทธา กับยัยเด็กกำพร้านั่น แม่ได้ยินหมดแล้ว”
พรรณีกับพินิจตกใจ
“คุณแม่ ฟังผมอธิบายก่อนนะครับ”
“ฉันไม่ฟัง พอ พอกันที ไม่มีความไว้วางใจอีกต่อไป นับจากนี้ แม่จะเป็นคนพาตานิจไปหาหมอเอง ส่วนแม่ณี ระหว่างปิดเทอม ห้ามออกจากบ้าน ถ้าจะไปไหนจะต้องมีคนติดตาม และมารายงานแม่ว่าออกไปทำอะไรบ้าง ห้ามไปไหนมาไหนตามลำพังเป็นอันขาด”
“คุณแม่คะ ณีไม่ใช่นักโทษนะคะ”
“ใช่ แกไม่ใช่นักโทษ แต่แกเป็นลูกของฉัน ฉันจะทำอะไรกับชีวิตพวกแกก็ได้ ถ้าไม่มีฉัน พวกแกก็ไม่ได้เกิด”
พรรณีเริ่มจะรับไม่ได้กับนวลมากขึ้นทุกที พินิจเบือนหน้า
“ที่สำคัญ ฉันจะรีบหาคู่ให้แก 2 คน ในเมื่อเลือกคนดีๆ กันไม่เป็น ฉันจะเลือกให้เอง”
นวลประกาศกร้าว พรรณีกับพินิจหน้าเครียด
ส่องแสงกับสีสุกคุยเรื่องของนวลกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้าน
“ยัยนวล มันร้ายจะตาย ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งเมือง ทั้งร้าย ทั้งเค็ม คนในตลาดเรียกมันว่า นังคุณนายจ้าวสมุทร เป็นเจ้าของตลาดสดพนัสพงษ์ รวยล้นฟ้า แต่ขี้งกเป็นที่สุด”
“แต่นายพินิจดูตัวซีดๆ โทรมๆ ไม่สมกับเป็นลูกคหบดีเลยนะคะ”
“เหรอ แปลก จะว่าไปแม่ก็เพิ่งรู้ว่าลูกชายยัยคุณนายนวลเป็นเพื่อนสนิทคุณหนึ่ง แล้วยังมาติดพันอยู่กับนังปุ้มอีก เฮ่อ โลกมันแคบดีแท้”
“ไม่ได้ติดพันธรรมดานะคะ แต่พี่หนึ่งเคยบอกว่า หลงหัวปักหัวปำ”
“ตายจริง ขนาดนั้นเลย นังนี่มันเสน่ห์แรงจริงๆ ทั้งคุณชายประสาทพร หมอประสงค์ แล้วนี่ยังมีลูกคุณนายนวลอีก ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“แค่ 3 คน..ไม่เห็นจะน่าอัศจรรย์ใจตรงไหน ส่องก็มีเหมือนกัน มากกว่ามันอีก เพียงแต่ไม่ได้เล่าให้คุณแม่ฟังเท่านั้นเอง”
“จริงเหรอลูก เรื่องแบบนี้ลูกต้องเล่าให้แม่ฟังสิ ไม่เล่าได้ยังไง แม่อยากรู้ บอกมาเลยมีใครบ้าง”
ส่องแสงหน้าจ๋อย เพราะจริงๆ แล้ว ไม่มีเป็นตัวเป็นตน
“เอ่อ คือ ส่องจำไม่ได้น่ะค่ะ มันมากเสียจน ไม่ได้จำชื่อเสียงเรียงนาม เอาไว้วันหน้าส่องพามาให้คุณแม่รู้จักเลยดีกว่านะคะ ส่องว่า เรากลับมาเรื่องนังปุ้มดีกว่าค่ะ”
สีสุกงงๆ ส่องแสงเปลี่ยนเรื่อง
“นับเป็นโชคของเรา ที่วันนี้ส่องตั้งใจจะไปด่านังปุ้มเรื่องที่มันให้ท่าพี่หนึ่งที่หัวหิน เลยได้เจอกับนายพินิจ เครื่องมือชั้นดีที่จะทำให้พี่หนึ่งเห็นธาตุแท้ของนังปุ้ม ถ้าพี่หนึ่งรู้ว่าเพื่อนรักแอบมาบอกคิดถึงมันถึงในบ้าน พี่หนึ่งจะต้องไม่พอใจและยิ่งเกลียดมันมากขึ้นแน่ๆ”
“ส่องพูดแบบนี้ แปลว่า พรุ่งนี้เรามีเรื่องสนุกๆ ทำกันแล้วใช่มั้ยลูก”
สองแม่ลูก ยิ้มร้ายให้กัน
เช้าวันต่อมา หทัยรัตน์เดินเข้ามาพร้อมกับสมุด หนังสือในมือ ทันใดนั้นอนวัชก็เดินออกมาจากในห้อง ตั้งใจตัดหน้า
“เมื่อวานพินิจมาถามเธอเรื่องที่หัวหินใช่มั้ย เธอได้เล่าให้เขาฟังหรือเปล่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ไม่ได้เล่าค่ะ เพราะไม่ใช่ธุระ และมันก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรสำคัญจนจะต้องเล่าให้คนอื่นฟัง”
“ฉันช่วยชีวิตเธอไว้ มันยังไม่สำคัญอีกเหรอ หรือว่า ชีวิตเธอมันไม่สำคัญ ถ้าฉันรู้ก่อนจะได้ไม่ต้องเสียแรงช่วย ปล่อยให้จมน้ำตายไปเลย”
“ถ้าฉันรู้ว่าคุณช่วยเพื่อมาทวงบุญคุณแบบนี้ ฉันก็จะยอมกลั้นใจตายเหมือนกัน”
“จองหอง เธอคงโดนผู้ชายคนอื่นตามใจจนเคยตัว ถึงได้กล้ามาเถียงฉันฉอดๆ ฉันขอเตือน อย่ามาหว่านเสน่ห์ใส่คนที่อยู่รอบตัวฉัน ฉันไม่อยากตามเก็บซากความพังพินาศจากการสับรางไม่ทัน จนทำให้รถไฟต้องชนกัน”
อนวัชใส่เป็นชุด เคืองตั้งแต่หัวหิน และคุกรุ่นที่เห็นจดหมายประสารทพร ความห่วงใยของพินิจ หทัยรัตน์กัดฟันกรอด มองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“มองแบบนี้ทำไม อยากจะกระโดดมากัดมือฉันเหมือนตอนเป็นเด็กหรือไง เอาสิ ถ้าเธอกล้ากัดฉัน ต่อไปก่อนเข้ามาที่นี่ ฉันจะให้คนเอาตะกร้อมาครอบปากเธอ เพื่อเป็นการป้องกันตัว”
อนวัชเชิดหน้ากวนใส่ เดินผ่านหทัยรัตน์ไป หญิงสาวแค้น มองตามจนอนวัชคล้อยหลัง ยกหนังสือขึ้น
ทำท่าเหมือนจะทุ่มใส่ อนวัชหันมา เธอรีบหดมือลง เอาหนังสือมากอดไว้เหมือนเดิม สะบัดหน้าใส่เดินไปที่ห้องกรกนกทันที อนวัชยิ้มสะใจ
รถของนวลมาจอดเทียบที่หน้าบ้านเพชรลดา พรรณีตามลงมา
“นี่มันบ้านคุณอนวัชนี่คะ คุณแม่พาณีมาที่นี่ทำไมคะ”
“พี่เราบอกว่า เมื่อวานมาที่นี่ แม่จะหาถามคนที่นี่ ว่าตานิจมาจริงหรือเปล่า และมาทำไม”
นวลพูดจบสะบัดหน้าจะเดินเข้าบ้าน พรรณีตกใจ มองไปรอบๆ ใจพะวงถึงหทัยรัตน์ และกลัวว่า ถ้าแม่เจอหทัยรัตน์ต้องเป็นเรื่องแน่ พรรณีรีบวิ่งไปลากแขนแม่
“แม่คะ ณีว่า เราอย่ามายุ่งวุ่นวายบ้านเขาดีกว่าค่ะ พี่นิจพูดอะไร เราก็ควรจะเชื่อนะคะ”
“พวกแกรวมหัวกันโกหกฉันหลายต่อหลายครั้ง ยังจะให้ฉันเชื่ออีกเหรอ ฉันรู้มาว่าวันนี้คุณอนวัชไม่ได้ไปทำงาน ฉันก็เลยชวนแกมาด้วย จะได้เจอกันสักที ไป”
“แต่ ณีไม่ได้อยากเจอคุณอนวัชนะคะ”
“ฉันไม่สนใจ ฉันอยากให้เจอ แกก็ต้องเจอ มานี่”
นวลลากพรรณีเข้าไปในบ้านด้วยความขัดเคืองใจ พรรณีพยายามฝืน ยันตัว หน้าเสีย เหมือนจะร้องไห้ นวลก็พยายามลากเข้าไปให้ได้ รถของสีสุกกับส่องแสงแล่นเข้ามา สีสุกมองไปที่หน้าบ้านอนวัชด้วย
ความแปลกใจ
“ส่อง นั่นใครน่ะ มาฉุดกระชากลากถูอะไรกันที่ตรงนี้เนี่ย”
ส่องแสงหันขวับมาดูด้วยความสนใจ พรรณียังขืนตัวไม่ยอมเข้าไปในบ้าน นวลลากไม่ปล่อย
“ยัยณีอย่าดื้อกับแม่ เข้ามา”
“แต่ณีไม่อยากเจอคุณอนวัชนี่คะ”
“นี่เบาๆสิ มาพูดแบบนี้ที่หน้าบ้านเขาได้ยังไง ไม่มีมารยาท ถ้าไม่ยอมเข้าไปดีๆ แม่จะจับเราแต่งงานกับคุณพระ คุณหลวง อายุคราวพ่อจริงๆ ด้วย จะเอายังไง”
นวลขู่ตาดุ เสียงแข็ง พรรณีใจสั่น ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ จำยอมต้องอ่อนข้อลง เสียงสีสุกดังขึ้นมาทันที
“คุณนายนวล ใช่มั้ยคะ”
นวลชะงัก เห็นสีสุกกับส่องแสงเดินหน้าแฉล้มยิ้มแย้มราวกับสนิทสนมกันมากมาย ก็แปลกใจ
“ใช่ ฉันคุณนายนวล คุณเป็นใคร”
“ฉันสีสุก พิเศษกุล แล้วนี่ก็ส่องแสง ลูกสาวของฉันเอง จริงๆ เราก็ยังไม่เคยเจอกันหรอกค่ะ ได้ยินแต่ชื่อเสียงของคุณนายมานานแล้ว สวัสดีนะคะ ส่อง”
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดี”
“แล้วนี่”
“พรรณี ลูกสาวของฉันเอง”
“ทราบมาว่าลูกชายของคุณนายเป็นเพื่อนกับคุณอนวัช ต๊าย โลกกลมจังเลยนะคะ คือ ฉันเองก็เป็นคนรู้จักมักคุ้นกับคุณหนึ่งดี จริงๆ เราก็เป็นญาติห่างๆ กัน แต่ไม่ได้ดองกันโดยตรงนะคะ คือ ตาทวดของทั้งสองครอบครัวเป็นคู่เขยกันน่ะค่ะ แต่บังเอิ๊ญ บังเอิญ พี่ชายฉันรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพี่วิทย์ ทั้งสองคนสนิทสนมกัน เรียน เล่นมาด้วยกัน”
นวลชักสีหน้ารำคาญ
“หยุด”
สีสุกอ้าปากค้าง
“ไม่ได้ถาม ไม่ได้อยากรู้ แค่นี้นะ”
นวลลากพรรณีเข้าไปในบ้านต่อ
“คุณแม่คะ ณีไม่อยากเข้าไป”
“ต้องเข้า ไม่ว่ายังไง วันนี้แม่จะต้องทำให้เราเจอกับคุณอนวัชให้ได้”
สีสุกอ้าปากค้าง ส่องแสงก็เช่นกัน
“คุณแม่ได้ยินมั้ยคะ ยัยคุณนายนวลพูดว่าอยากให้ยัยลูกสาวมาเจอพี่หนึ่ง หรือว่า”
ส่องแสงไม่ต้องพูดต่อ ทั้งแม่และลูกก็เข้าใจแบบเดียวกัน รีบหันขวับไปทางนวล
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 5 (ต่อ)
หทัยรัตน์เตรียมสอนหนังสือ ไม่ค่อยสบายใจกับคำพูดของอนวัช กรกนกเห็น
“คุณครูคิดอะไรอยู่คะ มีอะไรไม่สบายหรือเปล่าคะ คุณครูมีอะไรไม่สบายใจบอกหญิงได้นะคะ วันนี้พี่หนึ่งไม่ได้ไปทำงาน หญิงจะได้บอกให้พี่หนึ่งช่วยคุณครูแก้ปัญหา”
“ไม่เป็นไรค่ะ คือ คุณครูไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ แค่กำลังคิดเตรียมเรื่องที่จะสอนน่ะค่ะ ก็เลยดูเหมือน ครุ่นคิด แต่จริงๆ ไม่ได้มีอะไรเลย ดูสิคะ คุณครูสบายใจแล้ว ไม่ได้กลุ้มใจอะไรเลยค่ะ ไม่ต้องบอกคุณอนวัชนะคะ”
กรกนกพยักหน้ารับ
“ครูว่า เรามาเริ่มเรียนกันเลยดีกว่านะคะ”
กรกนกยิ้มสดใส เปิดสมุดเตรียมเรียน หทัยรัตน์ลอบถอนใจเบาๆ
พรรณียังขืนตัวไม่ยอม แต่นวลก็ไม่ปล่อย ลากมาจนได้ พรรณีมองไปรอบๆ ในใจเป็นห่วงหทัยรัตน์
“คุณแม่คะ ณีว่าเรากลับกันเถอะค่ะ”
“ฉันไม่กลับ”
สีสุกกับส่องแสงรีบเดินตามมา
“ฉันว่าคุณควรจะเชื่อลูกสาวคุณนะคะ ถ้าเขาไม่อยากอยู่ ก็กลับไปกันเถอะค่ะ”
“เมื่อกี๊ส่องได้ยินคุณป้าพูดว่าจะพาลูกสาวมาเจอพี่หนึ่ง ส่องขอบอกไว้ก่อนนะคะ พี่หนึ่งเธอเป็นคนไว้ตัว ไม่ได้จะมาเจอกันง่ายๆ และไม่ใช่ว่าใครที่เดินเข้ามาในบ้าน ก็จะได้เจอ”
นวลชะงักกึก ทั้งน้ำเสียงและวาจา รู้ว่ากำลังจะโดนกันท่า
“ฉันอยากจะหันมาด่าว่า เป็นเด็กเป็นเล็ก ถ้าผู้ใหญ่ไม่ถาม ก็อย่าสาระแนมาตอบ แต่ดูท่า คงด่าลูกไม่ได้ เพราะแม่เองก็สาระแนะไม่ต่างกัน สรุปคงไม่มีใครสั่งสอน ทั้งแม่ทั้งลูก”
สีสุกผงะ ส่องแสงเจ็บใจ
“คุณแม่ขา ยัยป้าเนี่ย ด่าถึงคุณยายเลยค่ะแม่”
“เออ ไม่ต้องขยายความ แม่ฟังเองเข้าใจ”
“นี่ เลิกเรียกฉันว่า ป้า ได้แล้ว หน้าแม่เธอ กับฉัน ตึงเหี่ยวไม่ได้ต่างกัน พิศดีๆ หน้าฉันตึงกว่าด้วยซ้ำ”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
สีสุก นวล ส่องแสง เปิดฉาก สาดอารมณ์ใส่กัน พรรณีได้ทีมองซ้ายมองขวา แล้วรีบเดินหนีไปทันที
พิมพ์โพล่งด้วยความตกใจ เมื่อฟังเด็กรับใช้บอก
“คุณส่องแสง คุณสีสุก ทะเลาะกับแขกคุณหนึ่งอยู่ที่ห้องโถง แล้วทำไมไม่มีใครไปห้าม”
“ก็หนูทำอะไรไม่ถูก หนูจะยกน้ำไปให้คุณๆ แต่พอเห็นทะเลาะกัน หนูก็เลยรีบวิ่งกลับมาค่ะ”
“ไม่ได้เรื่อง เดี๋ยวฉันออกไปจัดการเอง”
พิมพ์รีบเดินออกไปทันที
ส่องแสงหันมาซัดใส่นวลอย่างไม่กลัว
“คุณปะ คุณอา ด่าคนอื่นไม่ดูตัวเองเลยนะคะ ฉุดกระชากลากถูลูกสาวตัวเองมาหาผู้ชายถึงบ้านแบบนี้ ถ้าชาวบ้านรู้เข้า ก็คงจะด่าว่า คุณแม่ของคุณอาไม่สั่งสอนเหมือนกัน”
สีสุกตบมือถูกใจคำด่าของส่องแสง ในขณะที่พรรณีเดินตามหาหทัยรัตน์ เจอพิมพ์เดินสวนออกมาพอดี พรรณีรีบเดินเข้าไปถาม
“คุณป้าคะ ฉันกำลังตามหาปุ้ม เอ่อ คนที่เป็นครูของคุณหญิงกรกนกน่ะค่ะ ชื่อปุ้ม หทัยรัตน์ ป้ารู้จักมั้ยคะ”
“รู้จักค่ะ”
“ฉันเป็นเพื่อนปุ้ม ตอนนี้ปุ้มอยู่ไหนะคะป้า ฉันมีเรื่องด่วนน่ะค่ะ”
“คุณครูอยู่เรือนสีฟ้า เดินไปไม่ไกลค่ะ ทางโน้นค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
พรรณีเดินออกไปเลย พิมพ์นึกขึ้นได้
“อ้าว แล้วคุณเป็นใครคะ คุณ คุณ โอ๊ย ตายแล้ว เมื่อกี๊ก็ปากเบา ตอบไปด้วยความตกใจ เอายังไงดี คุณ คุณ รอก่อนค่ะคุณ”
ที่ห้องโถง นวลแค้น มองหน้าส่องแสงจะกินเลือดกินเนื้อ
“ถ้าฉันฉุดกระชากลากถูลูกสาวตัวเองมาหาผู้ชาย แล้วโดนชาวบ้านด่าพ่อล่อแม่ อีลูกที่ไม่ต้องฉุดกระชาก แต่เต็มอกเต็มใจ แต่งตัวมาหาผู้ชายถึงบ้าน คงจะโดนด่าไปถึงโคตรเหง้ากระมัง”
“มันเหน็บส่องหรือเปล่าคะคุณแม่”
“ฉันหมายถึงเธอนั่นแหละ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ที่มายืนเป็นไอ้เข้ขวางคลองอยู่แบบนี้คิดอะไรกันอยู่ อ้าปากฉันก็เห็นลิ้นไก่หมดแล้ว”
สีสุกกับส่องแสงสะดุ้ง แต่ยังเชิดหน้าไม่ยอมรับ นวลด่าต่อ
“ทำมาเป็นพูดท่าโน้นท่านี้ ที่แท้ก็จะกันท่าไม่อยากให้ฉันกับลูกได้เจอคุณอนวัช เพราะหวงล่ะสิ ฉันจะบอกให้นะ เรื่องแบบนี้ ใครดีใครได้ ไปยัยณี”
นวลหันมาทางพรรณี
“ยัยณี..ยัยณีไปไหน ยัยณี”
“หรือว่า มันจะแอบไปตามหาคุณหนึ่ง หนอย ทำเป็นกระบิดกระบวน ที่แท้ก็เล่นทีเผลอ รีบตามมันไปเลยลูก อย่าให้มันได้เจอคุณหนึ่ง”
“ค่ะ”
ส่องแสงกับสีสุกรีบเดินเข้าไปในบ้านทันที นวลไม่ยอม ถือว่าอยู่ใกล้กว่า รีบเดินนำไปทันที
“แม่ณีรีบหาคุณหนึ่งให้เจอนะลูก แม่กำลังจะตามไปแล้วลูก”
นวลรีบเดินฉับๆ เข้าไป ส่องแสงกับสีสุกไม่ยอมรีบเข้ามายื้อไว้
“แม่ส่อง รีบจับตัวไว้”
“ค่ะ”
ส่องแสงรีบพุ่งเข้ามาตะครุบตัวนวล สีสุกมาจับอีกด้าน นวลโวยวาย
“ปล่อยฉันนะ เด็กบ้า มาจับฉันทำไม เด็กไม่รู้จักกาลเทศะ ปล่อยฉันสิ นังเด็กแม่ไม่สั่งสอน”
“ย้ำเหลือเกินเรื่องไม่สั่งสอนลูกเนี่ย เก็บไว้ด่าตัวเองเถอะ สอนยังไง ลูกสาวก็ร้อยมารยา ส่วนลูกชายก็โง่ โดนนังเด็กปุ้มมันหลอก ถ่อสังขารมาหามันถึงที่นี่”
นวลตัวชาวาบ
“เมื่อกี๊แกพูดว่าอะไรนะ พินิจ มาหานังเด็กปุ้มที่นี่อย่างนั้นเหรอ ตอนนี้นังเด็กนั่นมันอยู่ไหน”
สีสุกกับส่องแสงสะดุ้ง
นวลโกรธจัดเดินพุ่งไปที่เรือนสีฟ้า มีส่องแสงและสีสุกเดินประกบ
“แน่ใจนะว่านังเด็กปุ้มอยู่ที่นี่จริง”
“ฉันจะโกหกทำไม ตามมาเดี๋ยวก็เห็นเอง”
สีสุกท้าทาย นวลเดินตามด้วยความร้อนใจ อนวัชเดินออกมาเห็นนวล ส่องแสง สีสุก
“คุณน้านวล น้าสีสุก กับส่องนี่ มาทำอะไรกัน”
อนวัชเห็นทั้งสามเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนสีฟ้าก็พอจะรู้ได้
“หทัยรัตน์”
อนวัชเป็นห่วงนิดๆ แล้วรีบเดินตามไป
หทัยรัตน์กำลังสอนกรกนกอยู่ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย
“นี่เป็นแบบฝึกหัดเรื่องการคูณนะคะ คุณครูให้เวลา 20 นาทีนะคะ”
“ค่ะ”
กรกนกรับมากำลังจะทำ แม่โอดูนาฬิกาแล้วก็หันมาบอก
“ใกล้เวลาของว่างแล้ว แม่โอของออกไปเตรียมของว่างให้คุณหญิงก่อนนะคะ”
พรรณีเดินพรวดเข้ามาในห้อง
“ปุ้ม เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“พรรณี”
พิมพ์เดินหอบตามเข้ามา
“คุณคะ คุณ คุณครูคะ คุณคนนี้เขาบอกว่า เขาเป็นเพื่อนคุณครูค่ะ เขาเป็นเพื่อนคุณครูจริงหรือเปล่าคะ”
หทัยรัตน์ชะงัก มองหน้าพรรณี ต่างคนต่างมองหน้ากัน พรรณีลุ้นว่าหทัยรัตน์จะตอบว่าอะไร
“ใช่ค่ะ พรรณีเป็นเพื่อนปุ้มเองค่ะ”
พรรณีโล่งอก มองหทัยรัตน์ด้วยความซาบซึ้งใจ ที่ยังนับว่าตัวเองเป็นเพื่อน
“ปุ้ม ฉันมีเรื่องสำคัญมากจะคุยกับเธอ เอ่อ ขอคุยเป็นการส่วนตัวได้มั้ย”
“คุณครูไปคุยกับเพื่อนที่ห้องข้างๆ ก็ได้ค่ะ พิมพ์อยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงเองค่ะ”
หทัยรัตน์คิด พรรณีลุ้นๆ พลางชำเลืองออกไปที่หน้าห้องด้วยความระมัดระวัง
ส่องแสง สีสุกเดินนำมาที่เรือนสีฟ้า นวลเดินมาไม่ห่าง อนวัชรีบเดินตามมา
“เด็กปุ้มมันอยู่ในนี้ ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือไม่จริงก็เชิญพิสูจน์เอง”
ส่องแสงบอก นวลเดินพุ่งพรวดเข้าไป ในขณะที่พรรณีรีบบอกหทัยรัตน์ด้วยความร้อนใจ ทั้งสองคนคุยกันในห้องข้างๆ
“ปุ้มรีบหาที่หลบ หรือกลับบ้านไปตอนนี้เลยได้มั้ย”
“ทำไม ทำไมฉันต้องหลบ หลบอะไร”
“คุณแม่ คุณแม่มาที่นี่ แต่ท่านยังไม่รู้ว่าปุ้มอยู่ที่นี่ ถ้าท่านเห็นปุ้ม ปุ้มอาจจะเดือนร้อน”
“แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฉันต้องกลัว”
“ฉันรู้ว่าปุ้มไม่ผิด แต่ ฉันขอร้องล่ะนะ หาทางหลบไปก่อน ฉันเป็นห่วงเธอนะปุ้ม ฉันรู้ว่าแม่ฉันพูดไม่ดี ทำไม่ดีกับเธอ เธอถึงได้ไม่ติดต่อพี่นิจ และไม่ติดต่อฉัน ฉันเองที่หายไปเพราะฉันละอายใจ ละอายกับสิ่งที่แม่ทำกับเธอ”
หทัยรัตน์มองหน้าพรรณี สัมผัสได้ว่า พรรณีรู้สึกแย่จริงๆ
“ฉันขอร้องล่ะปุ้ม เธอจะไม่หลบก็ได้ แต่อย่าออกไปจากที่นี่ ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่โถงด้านหน้า ท่านคงไม่มาที่เรือนนี้”
เวลาเดียวกันนั้น นวลเดินพรวดเข้ามาในห้องสอนหนังสือ แล้วก็โพล่งออกมา
“ยัยเด็กปุ้ม อยู่ที่นี่หรือเปล่า ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ยัยปุ้ม”
พรรณีหันขวับไปตามเสียง แล้วรีบหันมาบอกปุ้ม
“ปุ้ม คุณแม่มาแล้ว คุณแม่รู้ได้ยังไงว่าปุ้มอยู่ที่นี่ ปุ้ม หาที่หลบก่อนเถอะ ฉันขอร้อง นะปุ้มนะ”
เสียงนวลดังมาจากห้องเรียน
“นังปุ้ม แกอยู่ไหน ออกมา ออกเดี๋ยวนี้นะ”
นวลเดินพล่าน
“ไหน นังปุ้มมันอยู่ไหน นังปุ้ม”
ส่องแสง และสีสุกเดินตามเข้ามา อยากรู้อยากเห็นมาก กรกนกตกใจผวา พิมพ์รีบเข้ามากอดด้วยความตกใจไม่แพ้กัน
“คุณเป็นใคร”
นวลไม่สนใจตอบ แต่ยังตะโกนต่อไป
“นังปุ้ม นังเด็กปุ้ม”
พรรณีขอร้องหทัยรัตน์
“ปุ้ม หลบก่อนเถอะ ฉันพูดจริงๆ นะ ถ้าคุณแม่เห็นเธอ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ที่ผ่านมาฉันกับพี่นิจทำให้เธอเดือดร้อนมามากแล้ว ฉันไม่อยากทำให้เธอเดือดร้อนมากไปกว่านี้ หาที่หลบเถอะนะ หลบในตู้นี้ก่อนก็ได้”
“จะให้ฉันไปหลบในตู้เนี่ยนะ”
หทัยรัตน์ไม่ยอม นวลเดินพล่าน สติแตก ส่องแสง สีสุก มองอาการของนวลทั้งงง ทั้งอยากรู้ กรกนกงง หันมาถามพิมพ์
“แม่พิมพ์คะ คุณป้าคนนี้น่ากลัวจัง”
“นี่คุณ อย่ามาทำกริยาแบบนี้ในนี้ ขอเชิญออกไปเลยค่ะ”
นวลหันขวับมามองพิมพ์
“นังขี้ข้า แกไม่มีสิทธิ์มาไล่ฉัน บอกมานะว่านังปุ้มอยู่ไหน”
พิมพ์ไม่ตอบ ส่องแสงหันไปเห็นทางเดินไปอีกห้อง รีบพูดขึ้น
“ลองไปดูที่ห้องโน้นสิคะ”
นวลหันขวับไปในห้องข้างๆ พรรณีตกใจ
“ปุ้มรีบหลบเร็ว”
“นี่ฉันต้องเข้าตู้จริงๆ เหรอ”
นวลกำลังเดินพุ่งมาที่ห้องที่ปุ้มอยู่ พิมพ์รีบตามไป
“คุณคะ ไปไม่ได้นะคะ คุณ”
พรรณีรีบดันตัวหทัยรัตน์มาที่ตู้
“เข้าไปเถอะน่า”
พรรณีเปิดประตูตู้ออกทันที ดันตัวหทัยรัตน์เข้าไป หทัยรัตน์ต้องยอมเข้าไป ทั้งที่ในใจ พร้อมสู้
ตู้ขนาดค่อนข้างพอดีตัว หทัยรัตน์ต้องหดตัวอย่างทุลักทุเล ทันใดนั้นนวลโผล่เข้าไปในห้อง พิมพ์รีบเดินตามไป
“คุณคะ”
พรรณีปิดประตูตู้ทันที แต่เห็นชายกระโปรงหทัยรัตน์โผล่ออกมา
“พรรณี”
พรรณีหันขวับมาทางนวล เอาตัวพิงตู้ ตัวเลยบังชายกระโปรงไว้
“คะแม่”
“เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“เอ่อ คือ”
“ฉันถามว่ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
พรรณียืนอึกอัก ตัวพยายามบังตู้อย่างมีพิรุธ ส่องแสงสังเกตเห็น
“ในตู้มีอะไร”
พรรณีหน้าเสียนิดๆ
“ในตู้ต้องมีอะไรแน่ๆ หลบไปนะ แม่ณี”
พรรณีไม่ยอมหลบ นวลพุ่งตัวเข้ามา กำลังจะดันตัวพรรณีออกให้พ้นประตูตู้ ทันใดนั้นเสียงอนวัชก็ดังขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เสียงดังไปทั้งบ้าน”
ทุกคนหยุด หันมามองอนวัชด้วยความเกรงใจ ไม่มีใครกล้าสบตา พิมพ์ส่งสายตาให้อนวัชมองตาม และพยักเพยิดมาที่ตู้ อนวัชเห็นชายกระโปรงแพลมออกมาจากตู้ แล้วชะงัก มองหน้าพิมพ์ พิมพ์บอกทางสายตาว่าเป็นหทัยรัตน์ อนวัชคิด แล้วจำกระโปรงหทัยรัตน์ได้
“ขอเชิญทุกคนตามผมออกไปคุยกันข้างนอก เชิญครับ”
อนวัชผายมือเป็นการบังคับ ส่องแสง สีสุก นวล จำต้องเดินนำออกไป พรรณีเห็นแม่ไปแล้ว ก็โล่งอก เดินตามไป อนวัชปรายตามามองชายกระโปรง ยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินตามทุกคนออกไป หทัยรัตน์หลบอยู่ในตู้ลุ้นๆ แปลกใจ
ข้างนอกดูเงียบๆ ไป
นวล ส่องแสง สีสุก เดินกระฟัดกระเฟียดออกมา พรรณีเดินตามออกมาตัวลีบ พิมพ์และอนวัชปิดท้าย
“แม่พิมพ์พาคุณหญิงออกไปพักที่เรือนใหญ่นะ”
“ค่ะ”
พิมพ์กับกรกนกออกไป อนวัชหันมาทางสาวๆ ทั้งสี่
“ผมจะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะดูจากรูปการแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องไม่มีสาระ”
นวล ส่องแสง สีสุก ทำหน้าไม่เห็นด้วยจะแย้ง
“เพราะถ้ามีสาระ ทุกคนจะมีสติมากกว่านี้ แต่เท่าที่เห็น มีแต่อารมณ์ที่คุกรุ่น ผมจึงไม่อยากพูดอะไรในตอนนี้ ยิ่งพูด อารมณ์จะยิ่งขึ้นกันเปล่าๆ”
“แต่คุณอนวัชคะ น้ามีเรื่องข้องใจเกี่ยวกับนังเด็กปุ้ม”
“คุณน้าครับ ถ้าเห็นแก่ผม กรุณากลับไปก่อนนะครับ เรื่องข้องใจอะไรก็ตาม ผมจะขอตอบวันหลัง”
นวลฟึดฟัดขัดใจ พรรณีรีบสนับสนุน
“คุณแม่คะ คุณอนวัชพูดขนาดนี้แล้ว เรากลับกันเถอะค่ะ”
“แต่ แม่ยังไม่รู้เรื่องนังปุ้มเลย”
“คุณแม่ ถ้าวันนี้เราเสียมารยาทมากกว่านี้ เราอาจจะกลับมาที่นี่ไม่ได้อีกนะคะ”
นวลชะงัก เริ่มเห็นด้วย
“ก็ได้ค่ะ วันนี้น้าจะขอกลับก่อน แต่น้าไม่ยอมปล่อยให้ข้อข้องใจต้องค้างคาแน่ น้าจะต้องหาคำตอบให้ได้”
นวลสะบัดหน้าใส่ทุกคน แล้วก็เดินพรวดพราดออกไปอย่างขัดใจ พรรณีมองเอือมๆ อายๆ แล้วก็ยกมือไหว้อนวัช ปรายตาไปที่ห้องข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง และโล่งอก ก่อนจะเดินตามนวลไปด้วยความอับอาย ส่องแสงกับสีสุกรีบเข้ามายุหนึ่ง
“พี่หนึ่งคะ ส่องไม่รู้เรื่องด้วยเลยนะคะ”
“ใช่ค่ะ ตอนที่น้ากับส่องมาถึง คุณนายนวลก็โวยวายเป็น”
“คุณน้า น้องส่องครับ เชิญครับ”
“เราสองคนต้องไปด้วยเหรอคะ”
“นั่นสิคะคุณหนึ่ง น้ากับน้องเนี่ยไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะคะ เราสองคนก็แค่”
“เชิญครับ”
สองแม่ลูกชะงัก จำใจต้องออกไป ภายในห้องเงียบกริบ เหลืออนวัชคนเดียว เขามองไปที่ห้องข้างๆ ยิ้มร้าย
หทัยรัตน์อยู่ในตู้ เงี่ยหูฟังด้วยความแปลกใจ ว่าทำไมเงียบ อนวัชเดินเข้ามาในห้อง มองชายกระโปรงที่แพลมออกมา ยิ้มกวน หทัยรัตน์คิดๆ ว่าคงไปกันหมดแล้ว กำลังจะเปิดประตูตู้ อนวัชหยิบไม้ที่วางอยู่แถวนั้น มาขัดมือจับตู้ไว้ หทัยรัตน์เปิดประตูแล้วติด อนวัชได้ยินเสียงกึกกักจากตู้ ยิ้มสะใจ หทัยรัตน์พยายามดันเปิดประตู งงว่าติดอะไร อนวัชลากเก้าอี้มานั่งรออยู่หน้าตู้ หทัยรัตน์เริ่มเอะใจ ดันประตูแรงขึ้น
“พรรณี ณี ณีได้ยินหรือเปล่า ณี”
“คนที่เธอเรียกเขากลับไปแล้ว”
“นี่คุณอนวัช คุณทำอะไรของคุณ คุณเปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“พูดแบบนี้ ใครเขาจะเปิด พูดให้มันหวานๆ คุณหนึ่งคะ คุณหนึ่งขา ช่วยประตูให้หน่อยสิคะ เอาให้หวานกว่านี้ แล้วฉันจะเปิดให้”
“ไม่ ฉันไม่พูด คุณหญิงคะ คุณหญิง แม่พิมพ์ แม่พิมพ์ช่วยปุ้มด้วยค่ะ”
“นี่ ฉันให้แม่พิมพ์พาน้องหญิงไปตึกใหญ่แล้ว ตะโกนเรียกยังไง พวกเขาก็ไม่ได้ยิน”
หทัยรัตน์แค้น
“เธอพูดเองนี่ว่าชีวิตเธอไม่สำคัญ ไม่มีอากาศหายใจ ตายอยู่ในตู้ก็คงจะไม่เสียดาย”
“คุณอนวัช จะเปิดหรือไม่เปิด”
“แล้วเธอล่ะ จะพูดหวานๆ หรือไม่พูด”
“ไม่พูด”
“ก็ไม่เปิด”
“ไม่เปิดก็อย่าเปิด”
หทัยรัตน์เอาตัวกระแทกอย่างแรง แล้วเจ็บ อนวัชชะงัก ถามด้วยความแปลกใจ เป็นห่วง
“นี่เธอจะบ้าเหรอ กระแทกแบบนั้น ไม่เจ็บหรือไง”
หทัยรัตน์ไม่สนใจ เอาตัวกระแทกต่อ
แม่โอเดินถือถาดของว่างเดินมาที่เรือนสีฟ้า เสียงตึงๆ ดังมาจากห้องข้างๆ แปลกใจว่าเสียงอะไร หทัยรัตน์เอาตัวกระแทกด้วยความแค้น และไม่ยอมแพ้
“ฉันบอกให้หยุด”
“คุณจะเปิดหรือไม่เปิด”
“ถ้าเธอไม่พูดดีๆ กับฉัน ฉันก็ไม่เปิด”
“ถ้าคุณไม่เปิด ฉันก็ไม่หยุด”
หทัยรัตน์กระแทกต่อ ไม่รู้จักเจ็บ ไม้คั่นค่อยๆ เคลื่อนออก ประตูพะเยิบๆ ใกล้จะเปิดเต็มที่ อนวัชอึ้ง หทัยรัตน์รวบรวมแรงแล้วก็กระแทกพรวดออกมา ประตูตู้เปิดออก เธอกระเด็นออกมาหล่นลงที่พื้นอย่างแรง
“โอ๊ย”
“หทัยรัตน์”
อนวัชพุ่งเข้าไปประคองหทัยรัตน์ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ็บหรือเปล่า”
หทัยรัตน์ชะงักกึก หันมามองหน้าชายหนุ่มที่กำลังประคองเธออยู่ด้วยความแปลกใจ ทั้งน้ำเสียงและแววตาแสดงถึงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด เธอถึงกับอึ้งไป ทันใดนั้นแม่โอโผล่พรวดเข้ามา เห็นหนึ่งประคองหทัยรัตน์อยู่ก็ตกใจ
“ว้าย คุณหนึ่ง คุณปุ้ม”
จบตอนที่ 5