xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หนึ่งในทรวง ตอนที่ 1

กรุงเทพในช่วงเวลาประมาณ พ.ศ. 2470-2480 ในบรรยากาศความสุขสงบ ผู้คนเดินไปมา ทันใดนั้น ....
 
เสียงม้าพยศร้องดังเข้ามา .. ฮี้ !
ม้าสีน้ำตาลงามสง่าวิ่งฝ่าออกมาจากคอกอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น ที่เป็นชาวต่างชาติกว่าครึ่ง หันมามองด้วยความสนใจ ม้ากลายเป็นเป้าสายตาวิ่งไปรอบๆสนามด้วยความมุทะลุ “หทัยรัตน์ ราชพิทักษ์ หรือ ปุ้ม หญิงสาวร่างเพรียว หน้าคมเข้ม สวยได้รูป เธอบังคับม้าได้อย่างคล่องแคล่ว หนุ่มไทย หนุ่มฝรั่งมองกันทั้งสนาม เธอบังคับม้าอย่างชำนาญ โดยใช้เทคนิคการทิ้งน้ำหนักตัว การใช้ขา และใช้มือดึงสายเพื่อควบคุม ... จนสุดท้ายสามารถปราบม้าพยศให้นิ่งลงได้อย่างนุ่มนวล ... เธอดึงเชือก ม้าหยุดวิ่งพร้อมกับส่งเสียง
เสียงม้าร้อง "ฮี้" อย่างเชื่อง ต่างจากครั้งแรกมาก
หนุ่มๆที่ยืนอยู่รอบๆ ปรบมือให้ด้วยความพอใจ หทัยรัตน์ก้มศีรษะรับ เขิน ทำตัวไม่ถูก เสียงแป้น หรือ สุดา พรหมประเสริฐก็ดังขึ้น เหมือนระฆังช่วยชีวิต
"ปุ้ม"
เธอหันไปตามเสียง ...

ณ โรงเรียนสอนขี่ม้า สุดา และพี่ชาย ... สัทธา พรหมประสริฐเดินยิ้มสดใสมาหาหทัยรัตน์ เธอยิ้มรับและส่งเสียงเรียก
"พี่ปุ๊ พี่แป้น"
เธอลงจากม้าและรีบจูงม้าเดินไปหาพี่ๆ หนุ่มๆที่ยืนอยู่แถวนั้น ยังมองตามด้วยความสนใจ เธอพยายามไม่สบตา
"เกิดอะไรขึ้น ? พี่มองมาจากมุมโน้นเห็นหนุ่มๆมองเรากันทั้งสนาม" สัทธาว่า
"เจ้าวิสกี้น่ะสิคะ..ฉุนที่ปุ้มมัวแต่ยุ่งกับการรับปริญญา ไม่มีเวลามาหา พอเจอกันเลยพยศใส่ คนคงตกใจ แต่ตอนนี้คืนดีกันแล้ว" เธอลูบม้าด้วยความรัก "ใช่มั้ยเจ้าวิสกี้"
สุดาแซว
"ปราบพยศม้าเก่งแบบนี้ .. ถ้าโดนคนพยศใส่บ้าง จะปราบได้มั้ยหน้อ"
"ได้สิคะ ไม่ว่าจะม้า หรือคน ปุ้มก็ปราบได้ทั้งนั้น หทัยรัตน์ซะอย่าง" เธอแกล้งเชิดหน้าทำมั่น
สัทธาส่ายหน้า
"มัวแต่โม้เสียเวลาเปล่า รีบๆไปปรับความเข้าใจกับเจ้าวิสกี้ต่อเถอะ พี่กับแป้นจะไปนั่งรอที่ร้านอาหาร เรียบร้อยแล้วจะได้กลับบ้านพร้อมกัน"
หทัยรัตน์ทำท่าถอนสายบัว
"เจ้าค่ะคุณพี่ปุ๊"
สุดาหัวเราะกับท่าของหทัยรัตน์ สัทธาส่ายหน้ายิ้มๆในความทะเล้น หทัยรัตน์ยิ้มสดใสเปี่ยมสุข ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า..สุขนี้ใกล้ถูกสั่นคลอน

ภายในร้านอาหารในโรงเรียนสอนขี่ม้า สุดาและสัทธานั่งอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงด้านหลังเห็นสนามหญ้าเขียว คนขี่ม้าไปมา สุดาจิบชา สัทธาอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วโพล่งขึ้นด้วยความตกใจ
"แป้น"
สุดาตกใจ จนเกือบสำลักชา
"อะไรคะพี่ปุ๊ ตะโกนซะแป้นตกอกตกใจหมด"
เขารีบหันมา แล้วหันหนังสือพิมพ์มาให้สุดาอ่าน
"ดูข่าว"
สุดารับมาอ่าน
"เราได้รับแจ้งข่าวด่วนว่า ทายาทรูปงามแห่งบ้านเพชรลดา “คุณหนึ่ง - อนวัช พัชรพจนาถ” บุตรชายท่านทูตวิทย์ พัชรพจนาถ กำลังเดินทางกลับจากประเทศฝรั่งเศส จะมาถึงสยามในเร็ววันนี้ !! พี่หนึ่งกำลังจะกลับมาประเทศไทย"
รูปของอนวัชในหนังสือพิมพ์...หล่อมาก หน้าคม ตาหวานซึ้ง มีความเป็นผู้ดีเด้งออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

ที่สนามบิน อนวัช พัชรพจนาถเดินมาตามทางอย่างเท่ สาวๆมองมาตามทาง
ภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ ตีพิมพ์ข่าว
"หนึ่ง - อนวัช พร้อมแล้วที่จะกลับมาทำให้สาวสาวทั้งพระนครได้อึงคะนึง"
ณ สนามบิน..หนึ่งเดินผ่านผู้คนที่หันมามองเป็นตาเดียว สาวๆ บางคนถึงกับของร่วงจากมือ อึ้งในความหล่อ
หนังสือพิมพ์อีกฉบับ เป็นภาพตอนที่อนวัชอยู่ต่างประเทศถ่ายกับฝรั่งดูโก้ไปอีกแบบ
"อนวัช พัชรพจนาถ ... ยิ่งกว่าชายในฝัน!"
อนวัชเดินเข้ามาในบริเวณผู้โดยสารขาเข้า มองหาคนมารับ เจอเป้าหมายและยิ้มอย่างหล่อ สาวๆข้างๆแทบกรี๊ด
สลบ เขาหันมามองด้วยสายตาไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะเจออาการแบบนี้ของสาวๆ เขาเชิดใส่อย่างเย่อหยิ่ง
ภาพของอนวัชในหนังสือต่างๆ อีก 5-6 ฉบับพร้อมพาดหัว “อนวัช พัชรพจนาถ “หนึ่งในทรวง” ของ
สาวๆหลายต่อหลายคน” / “บ้านเพชรลดาเตรียมต้อนรับอย่างอบอุ่น” / “เทพบุตรเดินดิน” / “หนึ่ง” นี้ไม่มีสอง
“อนวัช พัชรพจนาถ” ที่รูปในหนังสือฉบับหนึ่ง...หล่อมาก
วิทย์ พัชรพจนาถ ยืนรอต้อนรับอยู่มุมหนึ่งของสนามบิน เสียงอนวัชเรียกขึ้น
"คุณพ่อครับ"
วิทย์หันมาเห็นลูกชายก็ยิ้มด้วยความดีใจ
"หนึ่ง"
เขายกมือไหว้
"สวัสดีครับคุณพ่อ"
วิทย์ดึงลูกชายมากอดด้วยความคิดถึง
"สวัสดี สวัสดี กลับมาสักทีนะลูกนะ คราวนี้เรียนจบหมดแล้ว ไม่ต้องไปไกลบ้านอีกแล้วนะ เหนื่อยมั้ยลูก"
"ไม่เหนื่อยเลยครับ ตื่นเต้นมากกว่า คิดถึงคุณพ่อ แล้วก็คิดถึงอะไรตั้งหลายอย่างในประเทศไทย"
"พ่อก็คิดถึงลูก และคงมีหลายคนที่คิดถึงลูกเหมือนกัน..โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้ ทั้งคิดถึง ทั้งเฝ้ารอให้เรากลับมาทุกลมหายใจ.. ไม่ได้รอเปล่า ยังตื่นมาทำกับอาหาร จัดห้องหับให้เราตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยนะ เดาสิว่าใคร"
"ผู้หญิง" อนวัชคิดแล้วก็ยิ้มนึกออก "นมพิมพ์"

นมพิมพ์ ยืนรอน้ำตาคลออยู่หน้าบ้านเพชรลดาด้วยความตื่นตัน
"คุณหนึ่ง ของบ่าว"
อนวัชถลามากอดนมพิมพ์และหอมแก้มเบาๆ น่ารัก
"คุณหนึ่งคิดถึงนมพิมพ์เหลือเกินจ้ะ"
พิมพ์ยิ้มน้ำตาคลอ
"พิมพ์ก็คิดถึงคุณหนึ่งเหลือเกินค่ะ..ทูนหัวของพิมพ์... เห็นภาพในหนังสือพิมพ์ว่างามแล้ว ตัวจริงยิ่งงามกว่าหลายเท่า" พิมพ์พูดพลางลูบหน้าตา
อนวัชยิ้มพราว
"นมพิมพ์พูดแบบนี้ เดี๋ยวคุณหนึ่งอิ่มลูกยอ ไม่ได้กินอาหารที่เตรียมไว้นะ"
พิมพ์หัวเราะ อารมณ์ดี
"งั้นพิมพ์เก็บลูกยอไว้ก่อน คุณหนึ่งจะได้รับประทานมากๆ อ่อ..งั้นพิมพ์ให้เด็กตั้งสำรับเลยนะคะ"
อนวัชกับวิทย์ยิ้มรับ พิมพ์รีบหันไปสั่งงาน
"ไปนังเมี้ยน ไปตั้งเตาอุ่นแกง คุณหนึ่งจะได้ซดร้อนๆ ส่วนนังแม้นไปลำเลียงผักสดที่แกะสลักไว้ขึ้นโต๊ะ" พิมพ์เดินไปสั่งงานไป "แล้วก็ไปสั่งให้นังมะยมกับนังรำพึงมาช่วยจัดโต๊ะด้วย เร็วๆนะ"
คนรับใช้รับพร้อมกัน "ค่ะ!"
อนวัชมองพิมพ์ไปแล้วก็ยิ้มๆ พอใจกับการต้อนรับที่แสนอบอุ่น
"ระหว่างรอ..เราไปเดินดูรอบๆบ้านกันดีกว่า พ่อให้ช่างเค้ามาตกแต่งเพิ่มเติม แล้วก็ทำห้องจัดเลี้ยงไว้สำหรับจัดงานเลี้ยงต้องรับหนึ่งโดยเฉพาะ พ่อคิดว่าจะจัดสักสัปดาห์หน้า"
"ดีครับ ผมก็อยากเจอเพื่อน ๆ เหมือนกัน ไม่ได้เจอกันตั้งนานไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง"
วิทย์ยิ้มรับ
"ไป เดี๋ยวพ่อพาไปดูห้องจัดเลี้ยง"

อนวัชยิ้มรับ วิทย์เดินนำ เขาหันไปมองรอบๆ บ้านอีกครั้งด้วยความคิดถึง

เวลาเช้า หลายวันต่อมา ในบ้านเดือนประดับ ภาพของอนวัชในหน้าหนังสือพิมพ์ ถูกสุดาเปิดหราต่อหน้าหทัยรัตน์
 
หทัยรัตน์มองรูปนั้นอย่างงงๆ แววตาของเธอว่างเปล่า หาไม่เจอความปลื้มแม้แต่น้อย
"รูปใครคะ"
"ปุ้มจำไม่ได้จริงๆเหรอ ดูดีๆ ดูแบบพิจารณา" สุดายื่นเข้ามาใกล้
หทัยรัตน์ยื่นหน้าเข้าไปอีก... แล้วก็ส่ายหน้า
"จำไม่ได้จริงๆค่ะ "แล้วก็รีบขอตัว "พี่แป้นคะ ปุ้มต้องรีบไปแล้วค่ะ มีนัดสัมภาษณ์งานตอนสิบเอ็ดโมง อาจารย์กำชับว่าห้ามสาย ตอนบ่ายปุ้มค่อยกลับมาเล่นทายปัญหาใครเอ่ยต่อนะคะ"
เธอทำท่าจะเดินไป สุดาไม่ยอม ยังตามยื้อ
"เดี๋ยวสิปุ้ม อยู่ทายก่อน ผู้ชายคนนี้เป็นญาติห่างๆของพี่ เคยมาเล่นกับพวกเราที่นี่ตอนเด็กๆ แล้วเราก็เคยไปเล่นที่บ้านเค้าด้วยนะ คิดดูให้ดีๆ" สุดายื่นรูปมาอีก
หทัยรัตน์กดรูปลง เห็นฃ
"โถ..พี่แป้นขา.. ตอนเด็กๆ มีคนมาเล่นที่นี่และเราก็ไปเล่นที่บ้านเค้าตั้งหลายคน ปุ้มจำได้ไม่หมดหรอกค่ะ ปุ้มไปก่อนนะคะ"
สุดาโพล่งออกมาเลย
"พี่เฉลยก็ได้..ผู้ชายคนนี้คือ พี่หนึ่ง ลูกคุณลุงวิทย์ แห่งเพชรลดา" หทัยรัตน์ชะงัก สุดาย้ำอีกที "พี่หนึ่ง อนวัช พัชรพจนาถ ! ปุ้มจำพี่หนึ่งได้หรือเปล่า"
หทัยรัตน์สะอึกกึก ! หยุดเดินอัตโนมัติ ความทรงจำในอดีตถูกดึงกลับเข้ามาในสมองทันที

ภายในห้องรับแขก บ้านเดือนประดับในอดีต ขณะที่ทุกคนยังอยู่ในวัยเด็ก ตอนนั้น หทัยรัตน์กับสุดาอายุราวๆ 11 ขวบ ส่วนอนวัชอายุมากกกว่าสัก 2 ปี
อนวัชวัยเด็กแต่งตัวสะอาดเรียบร้อย ท่าทางถือตัว ยืนอยู่ข้างกับทิพย์
"หนึ่งจ้ะ นี่ปุ้มหลานของอาเอง ปุ้มเป็นลูกของน้องสาวอาเอง เพิ่งย้ายเข้ามา ปุ้ม สวัสดีพี่หนึ่งสิจ้ะ พี่หนึ่งเค้าเป็นลูกชายของคุณลุงวิทย์ ญาติของคุณลุงสุทธิ์จ้ะ"
ตอนนั้นหทัยรัตน์เป็นเด็กมอมแมม หน้าตาดื้อรั้น ดูต่างกับหนึ่งราวฟ้ากับดิน เธอหันไปทางวิทย์ และ สุทธิ์ที่ยืนคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง ประมวลผลตามที่ป้าพูด แล้วก็หันมาทางหนึ่ง
เธอยกมือไหว้อนวัช
"สวัสดีค่ะ"
หนึ่งไม่สนใจรับไหว้ แต่หันไปเห็นสัทธากับสุดาเดินมาพอดี อนวัชตะโกนเรียกขึ้นด้วยความดีใจ
"ปุ๊ แป้น รอด้วย" อนวัชวิ่งไปเลย
หทัยทิพย์ยกมือไหว้ค้าง งงๆ เอ๋อๆ ได้แต่หันไปมองดูหนึ่งที่วิ่งไปหาปุ๊กับแป้น และเล่นกับสองคนนั้นอย่างสนิมสนม ทิพย์มองเธอด้วยความสงสาร หทัยทิพย์จ๋อยๆ งงๆ

กองของขวัญปีใหม่วางไว้เต็มโต๊ะ มีเด็กๆ วิ่งเล่นไปมา อนวัชมองไปที่ลูกบอลสีสวยด้วยความอยากได้ เด็กๆ เริ่มจับฉลาก และหทัยทิพย์เป็นคนที่ได้ลูกบอลที่หนึ่งอยากได้ไป เธอดีใจมาก
หอนวัชไม่พอใจ เดินเข้ามาหา และดึงลูกบอลไปเลย ปุ้มมองตาม งง !! เขาส่งตุ๊กตาให้แทน
"เธอเป็นเด็กผู้หญิงเอาตุ๊กตาไปเล่นไป ลูกบอลมันเป็นของเด็กผู้ชาย"
เธอยื่นตุ๊กตาคืน จะคว้าจะเอาลูกบอล
"แต่ปุ้มไม่เอาตุ๊กตา ปุ้มจะเอาลูกบอล"
หนึ่งก็ไม่ยอมให้ ทั้งสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกัน
"ไม่ให้"
"เอามานะ"
"ปล่อยสิ"
"ไม่ปล่อยนี่มันของฉันนะ"
ทิพย์รีบวิ่งมาดู
"อะไรกันลูก ปุ้มเป็นอะไร"
อนวัชรีบแย่งตอบด้วยความฉลาด
"หนึ่งเห็นปุ้มได้ลูกบอลเลยสงสาร ขอตุ๊กตาจากแป้นมาแลก เพราะคิดว่าผู้หญิงเหมาะกับตุ๊กตามากกว่า แต่ปุ้มเค้าคงจะยังเด็กเลยไม่เข้าใจคิดว่าหนึ่งจะไปแย่งของของเค้า"
"แต่ปุ้มอยากได้ลูกบอลนี่คะ"
ทิพย์ตัดสิน
"ปุ้มให้ลูกบอลพี่หนึ่งเค้าไปเถอะลูก หนูเล่นตุ๊กตาอย่างที่พี่เค้าบอกก็ดีแล้วไงจ้ะ นะ..อย่าดื้อนะ"
หทัยทิพย์เห็นหน้าทิพย์ ด้วยความเป็นเด็กดีเลยยอมให้ และรับตุ๊กตามาอย่างไม่เต็มใจ
อนวัชรับลูกบอลมาแล้วยิ้มน่ารักให้ทิพย์
"ขอบคุณครับอาทิพย์"
ทิพย์ยิ้มตอบและเดินจากไป
อนวัชหันมาพูดด้วยน้ำเสียงกวน
"จำไว้..คนอย่างคุณหนึ่ง ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องได้"
อนวัชเดินจากไปด้วยความสะใจ ทิ้งรอยยิ้มเยาะไว้ให้เธอต้องเจ็บใจ หทัยทิพย์กัดริมฝีปากแน่น จำฝังใจ


บริเวณสนามเด็กเล่น อนวัชกับหทัยทิพย์ สัทธา และ สุดา วิ่งแข่งกันมีเด็กอื่นวิ่งอยู่ด้วยอีก 2-3 คน หทัยทิพย์กับอนวัชวิ่งนำมาสองคน และเธอกำลังจะแซง
อนวัชทนไม่ได้แกล้งวิ่งชน หทัยทิพย์ล้มลง อนวัชวิ่งเข้าแทนที่ ชนะไป เธอนั่งอยู่ด้วยความเจ็บ อนวัชเดินมาหาและพูดเบาๆ
"ฉันต้องชนะที่หนึ่งเท่านั้น"
เธอเพิ่มความแค้นในใจอย่างแรง
อนวัชพูดต่อว่า
"เธอก็เป็นแค่ยัยกระปุกตังฉ่าย ตัวกลมๆ ขาก็สั้น แขนก็สั้น คอก็ไม่มีเหมือนกระปุกตังฉ่ายไม่มีผิด ฮึๆๆๆ" อนวัชขำ หทัยทิพย์กัดฟันกรอด เขาพูดต่อ
"จำไว้...เด็กไม่มีพ่อ ไม่มีแม่อย่างเธอ ไม่มีวันชนะฉัน"
ปุ้มกัดฟันกรอด แค้นสุดๆ น้ำตาปริ่มจะไหลแต่ไม่ไหลเพราะทิฐิ

จากเด็กหญิงหทัยทิพย์ในอดีตกลับสู่ปัจจุบัน เธอยืนค้างอยู่ที่หน้าหนังสือพิมพ์ แววตาแข็งขึ้นเหมือนครั้งเป็นเด็ก เสียงดังก้องตอกย้ำ
"จำไว้...เด็กไม่มีพ่อ ไม่มีแม่อย่างเธอ ไม่มีวันชนะฉัน"
เสียงสุดาแทรกเข้ามา
"ปุ้ม"
เธอสะดุ้ง
"นิ่งไปเลย..ตกลงจำได้หรือเปล่า"
"ถึงแม้ไม่อยากจำ แต่ไม่เคยลืม ปุ้มจำได้ว่าตอนเด็กเค้าเคยทำอะไรปุ้มไว้บ้าง ปุ้มจำได้ขึ้นใจ ชีวิตนี้ไม่มีวันลืม" หทัยรัตน์แววตาขัดเคืองเห็นได้ชัด
สุดาหุบยิ้มเลย
"โธ่ปุ้ม..เรื่องมันตั้งนานมาแล้วนะ ลืมๆ มันไปซะเถอะ ตอนนี้พี่หนึ่งเค้าโตแล้ว ปุ้มก็โตแล้ว คงไม่เหมือนกับตอนเด็กๆแล้วหล่ะ ขนาดปุ้มยังเปลี่ยนไปตั้งเยอะ ไม่ใช่กระปุกตั้งฉ่ายเหมือนเมื่อก่อน"
หทัยรัตน์หน้ายู่..เหมือนโดนฆ้อนยักษ์ทุบหัว สุดาชะงักรู้สึกตัว รีบยิ้มเจื่อนๆ แก้ตัว
"เอ่อ..พี่แค่เปรียบเทียบให้เข้าใจ .. ตอนนี้พี่หนึ่งก็อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้น่ะจ้ะ"
"ถ้านายอนวัชเปลี่ยนไปจนทำให้ปุ้มลืมเด็กชายอนวัชที่เอาแต่ใจตัวเอง ชอบเอาชนะ และดูถูกคนอื่นได้ ปุ้มก็อาจจะลืมความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตได้ แต่ถ้าเค้ายังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีทางที่ปุ้มจะลืม"
เธอเชิดหน้า ปรายตามองมาที่รูปของหเขาในหนังสือ แล้วก็เบ้หน้าใส่...
"ปุ้มไปก่อนนะคะ อาจารย์ที่ปรึกษารออยู่" เธอขอตัวอีกครั้ง อย่างสุภาพแต่เด็ดขาด

เธอก้มหน้าแล้วก็เดินออกไปเลย สุดาได้แต่ยืนเอ๋อ...

อาจารย์สดใสดินเข้ามาในห้องรับแขก ปุ้มนั่งรออยู่
 
"หทัยรัตน์พร้อมหรือยัง ครูจะพาเธอไปพบกับหม่อมราชวงศ์กรกนก จรูญลักษณ์"
"ค่ะ"
สดใสเดินนำเธอเข้าไปด้านในบ้านกนกพร เธอมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นนิดๆ
"คุณหญิงเป็นลูกศิษย์ที่ครูสอนมาตั้งแต่เล็กๆ เธอไม่สะดวกจะไปเรียนที่โรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ ก็เลยต้องหาครูมาสอนประจำที่บ้าน แต่ครูสอนไม่ไหวแล้วก็เลยหาครูคนใหม่มาทาน คุณหญิงจะสัมภาษณ์พร้อมกับตัดสินใจว่าจะรับเธอเป็นครูใหม่ของเธอหรือเปล่า คุณหญิงถามอะไรมาก็ตอบไปดีๆ หล่ะเพราะเธอช่างเลือกมากๆ ...ครูพามาสัมภาษณ์ตั้งหลายคนแล้วไม่มีใครได้งานนี้สักคน"
หทัยรัตน์เหวอ ... แล้วจะได้มั้ยเนี่ย สดใส เปิดประตูห้อง และหันมาทางปุ้ม
"ครูรออยู่ข้างนอกนะ"
"ค่ะ"
เธอสูดลมหายใจรวบรวมความกล้า แล้วก็เดินเข้าห้อง ประตูปิดลง... !!

เธอยืนอยู่ในห้องเรียนหนังสือ ในบรรยากาศขรึมๆ และมีฉากกั้นระหว่างปุ้มกับห้องอีกด้านหนึ่ง..ในห้องนี้ไม่มีคน เธอมองไปรอบๆด้วยความสงสัย...ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจาก...
"เชิญนั่งก่อนสิคะ"
หทัยรัตน์สะดุ้ง หันไปที่หลังม่าน แต่มองไม่เห็นคนต้นเสียง ได้ยินแต่เสียงเอี๊ยดอ๊าดของโลหะสีกันเบาๆ
"ขอบคุณค่ะ"
เธอเดินไปนั่งเก้าอี้ เสียงกรกนกดังมาจากหลังฉาก เป็นเสียงทุ้มต่ำ แม้จะเป็นเสียงเด็กแต่แฝงไว้ด้วยความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย
"หญิงมีคำถามจะถามคุณ 3 ข้อ คุณต้องตอบหญิงทีละข้อ ข้อที่หนึ่งถ้าหญิงทำผิด คุณจะตีหญิงมั้ยคะ"
ข้อแรกก็ยากมาก ปุ้มคิด...แล้วก็ตัดสินใจตอบตรงๆ อย่างกล้าหาญ
"ตีค่ะ"
เงียบกริบ..ไม่มีเสียงตอบจากหลังม่าน..ปุ้มคิดๆ แล้วก็อธิบายต่ออย่างชัดเจน
"แต่ไม่ใช่ในครั้งแรกที่ทำผิด แต่ดิฉันจะบอกให้ท่านหญิงทราบว่าผิดยังไง และเด็กที่ดีจะไม่ทำผิดซ้ำๆ จนถึงกับต้องลงโทษด้วยการตี"
เงียบกริบ..เธอลุ้น..หนึ่งอึดใจต่อมา กรกนกถามต่อ
"ข้อที่สอง ..." เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
"คุณทราบมั้ยว่า เด็กที่กำพร้าแม่มีความรู้สึกอย่างไร"
"ดิฉันทราบดีค่ะ เพราะดิฉันกำพร้าทั้งพ่อและแม่ ท่านจากไปตั้งแต่ดิฉันอายุ 4 ขวบ แต่ถึงดิฉันจะกำพร้า แต่ก็ยังมีคนที่คอยรักและห่วงใยดิฉันอยู่มากมาย ทั้งคุณลุงคุณป้า และพี่ๆ ดิฉันคิดว่าถ้าเราเป็นคนดีคงไม่มีใครรังเกียจเรา"
ปุ้มลุ้น มองมาที่ม่านยังเงียบเหมือนเดิม แต่ปุ้มรู้สึกได้ว่ามีการเคลื่อนไหวบางอย่าง..พร้อมกับเสียงเสียดสีของเหล็กดังเอี๊ยดๆ พร้อมกับเสียงคำถามข้อต่อมา
"คุณคิดว่าเด็กพิการจำเป็นต้องเรียนหนังสือมากกว่าคนอื่นหรือเปล่าคะ"
"ดิฉันคิดว่าเด็กทุกคนต้องเรียนหนังสือมากๆ ทั้งนั้นค่ะไม่ว่าจะพิการหรือไม่ก็ตาม เพราะความรู้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนเท่าๆ กัน ความพิการไม่ใช่อุปสรรค ถ้าเราต้องการจะเรียนรู้"
ที่หลังฉาก..นิ่งเงียบ แต่รู้สึกได้ว่ามีการฟังอย่างตั้งใจ ปุ้มพูดต่อ ด้วยความจริงใจ
"ถ้าเรามีความรู้ ใครก็มาดูถูกเราไม่ได้ และถ้ามีคนมาดูถูก เราก็จะไม่อ่อนไหวไปกับคำดูถูกนั้น เพราะความรู้ทำให้เรามีปัญญา..ปัญญาจะทำให้เราเข้มแข็ง และ..."
กรกนกตัดบท
"พอได้แล้ว..ไม่ต้องตอบแล้ว"
หทัยรัตน์ตกใจสะอึกและหยุดพูดมองไปที่ฉาก dลืนน้ำลายเอื้อก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นกว่าเดิมพร้อมๆกับผู้ที่อยู่หลังม่านค่อยๆเปิดเผยตัวออกมา... เธอกระพริบตาถี่ๆมองผู้ที่อยู่หลังฉากด้วยความแปลกใจอย่างแรง
หม่อมราชวงศ์กรกนก เป็นเด็กหญิงอายุประมาณ 12 ขวบ หน้าตาผิวพรรณสดใสแต่ในดวงตามีแววเศร้าแฝงอยู่ นั่งอยู่บนรถเข็นมาหยุดรถเข็นอยู่ตรงหน้า หทัยรัตน์มองลุ้น และกรกนกก็ยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร และพูดว่า
"ตกลงหญิงรับคุณเป็นครูของหญิงค่ะ"
เธอมองกรกนกด้วยความเอ็นดูอย่างสุดใจ เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ และคุกเข่าตรงหน้ากรกนกพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มอิ่มใจ
"ขอบคุณมากค่ะคุณหญิง"
กรกนกจับมือหทัยรัตน์
"หญิงจะเป็นลูกศิษย์ที่ดีของคุณค่ะ"
เธอใช้มืออีกข้างจับมือกรกนกอย่างนุ่มนวล และยิ้มรับด้วยความโล่งอก ดีใจ ทั้งสองคนยิ้มให้กัน มิตรภาพที่งดงามเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในเวลากลางคืน 2-3 วันต่อมา ที่สโมสรตอนกลางคืน บรรยากาศคึกคัก หนุ่มสาวแต่งตัว สวยมาประชันกันสุดฤทธิ์ ผ่องฉวี หรือผ่อง เพื่อนของหทัยรัตน์ยืนชะเง้อมองหาปุ้ม มีประสงค์ยืนอยู่ข้างๆ
ปุ้มเดินเข้ามาในชุดเรียบเก๋ หนุ่มๆ มองกันเป็นแถว ผ่องฉวีหันไปเห็น ก็เรียกขึ้น
"ปุ้ม"
เธอหันไปตามเสียง แล้วก็ยิ้ม
"ผ่อง !! เพื่อนคนอื่นมากันหรือยัง"
"มากันเกือบครบแล้วจ้ะ ตอนนี้เข้าไปนั่งข้างในกันเกือบหมดแล้ว ..นี่ปุ้ม ฉันจะแนะนำให้รู้จักกับ..คุณประสงค์ จ้ะ..คุณประสงค์เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลที่พ่อฉันทำงานอยู่จ้ะ แล้วก็..." ปุ้มรอฟัง ผ่องพูดเบาๆ อาย "เป็นแฟนเราเอง"
เธอยิ้มแซว ก่อนจะหันไปทักทายประสงค์
"สวัสดีค่ะคุณประสงค์"
"สวัสดีครับ"
"เรารีบเข้าไปข้างในกันดีกว่านะปุ้ม..เพื่อนๆ รออยู่"
"จ้ะ"
ผ่องฉวีจับมือหทัยรัตน์และเดินเข้าไปในสโมสร ประสงค์เดินตามไปไม่ห่าง พอปุ้มเดินเข้าไปในสโมสร
รถคันหรูของอนวัชก็แล่นเข้ามาจอด ผู้คนหันไปมองด้วยความสนใจ ทันใดนั้น หนึ่งลงมาจากรถในชุดสูทภูมิฐาน
สาวๆ ที่ยืนอยู่แทบช็อก...พยายามส่งสายตาและรอยยิ้มมาให้ อนวัชเดินเข้าไปในสโมสรโดยไม่ได้ใส่ใจ

หทัยรัตน์ ผ่องฉวี และประสงค์เดินมาหาเพื่อนที่เรียนจบจุฬามาด้วยกันประมาณ 10 กว่าคนที่นั่งอยู่เป็นโต๊ะใหญ่ ต่างคนต่างทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ โดยเฉพาะเรื่องงาน เธอดูสดใสน่ารักโดดเด่นเป็นพิเศษกว่าคนอื่น นั่งลงที่เก้าอี้ตัวซึ่งหันหลังให้ประตู พอเธอนั่งลงปุ๊บ เห็นว่า อนวัชยืนอยู่ที่หน้าประตูกำลังมองหาเพื่อน
สาวๆ ในสโมสรหันไปมองอนวัชด้วยความตื่นเต้น และซุบซิบกันด้วยแววตาเป็นประกาย
ที่โต๊ะเพื่อนอนวัชเป็นกลุ่มคนหนุ่มดูฐานะดี ศิษย์เก่าฝรั่งเศส นั่งอยู่ประมาณเกือบสิบคน เพื่อนคนหนึ่งหันมาเห็นห เรียก
"หนึ่ง !"
อนวัชหันไปตามเสียง เห็นเพื่อนก็ดีใจส่งยิ้มให้ และเดินไปหา
แต่หทัยรัตน์ชะงัก เหมือนได้ยินชื่อคู่อริ ไม่แน่ใจ หันไปอย่างมีฟอร์มเหล่ๆ ไปที่ประตู แต่ไม่เห็นใคร..เธอโล่งอก

ภายใน สโมสร อนวัชเดินมาหาเพื่อนๆ ทักทายด้วยความสนิทสนม สาวๆ โต๊ะข้างๆ มองเขาตาวาว...
เพื่อนที่โต๊ะปุ้หทัยรัตน์เริ่มสะกิดๆ กันมอง และคลื่นความนิยมก็หลั่งไหลมาเข้าหูปุ้มจนได้
เพื่อน 1บอก
"เธอดูผู้ชายคนนั้นสิ..คนที่ใส่สูทดำนั่งอยู่ที่โต๊ะคุณอิสราน่ะ หล๊อหล่อ เค้าเป็นใครหน่ะเธอ รู้จักหรือเปล่า"
เธอยังไม่ได้ใส่ใจ หันไปหยิบน้ำมาดื่ม
เพื่อน 2 บอก
"นี่เธอไปอยู่ชายแดนมาเหรอจ๊ะ..ถึงได้ไม่รู้จักคุณอนวัช พัชรพจนาถ"
พรวด.. ปุ้มแทบสำลัก
ผ่องฉวีหันมาส่งกระดาษทิชชูให้
"นี่จ้ะ.. ปุ้มเป็นไงบ้าง"
เพื่อน 2พูดต่ออยู่ข้างๆ
"คุณหนึ่งแห่งบ้านเพชรลดาไงหล่ะเธอ"
"ไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจมากจ้ะ" หทัยรัตน์บอก
เพื่อน 1
"อ๋อ..คุณอนวัชที่ว่าเพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศสใช่มั้ย อุ้ยตาย เริ่มคุ้นแล้ว นี่ตัวจริงหล่อกว่าในหนังสือพิมพ์อีกนะเนี่ย"
เพื่อความแน่ใจ เธอค่อยๆ ปรายตามองไปอย่างรักษาท่าที จนเห็นอนวัชนั่งอยู่จริง ! ความหล่อโดดเด้งอย่างเห็นได้ชัด เป็ฯจังหวะที่เขาหันหน้ามาทางเธอพอดิบพอดี เธอรีบหันหลังกลับ รู้สึกอึดอัด เซ็งขึ้นมาทันใด
เพื่อน 2 บอก
"ฉันต้องผัดหน้าหน่อยแล้ว เผื่อคุณอนวัชจะมาขอฉันเต้นรำบ้าง"
เพื่อน 1บอก
"น้อยหน่อยจ้ะ ก่อนเค้าจะเห็นเธอ เค้าต้องเห็นฉันก่อน..ฉันไม่ยอมน้อยหน้าหรอกจ้ะ"
แล้วเพื่อนสาวสองคนก็จับหน้าจับผมให้เข้าที่ เพื่อทำให้ตัวเองเด่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอเห็นแล้วเซ็งทวีคูณขึ้นไปอีก เธอตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า
"ผ่อง...ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้เตรียมแบบเรียนที่จะสอนคุณหญิงวันพรุ่งนี้เลย ฉันคงจะต้องขอตัวกลับก่อน"
ผ่องฉวีไม่ยอม
"หะ..จะกลับได้ยังไง เพิ่งมาเองนะปุ้ม อยู่ต่ออีกหน่อยสิ"
เธอจะลุกขึ้น
"ไม่ได้หรอก...ฉันเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่กี่วัน ถ้าสอนไม่ดีขึ้นมาต้องโดนไล่ออกแน่ๆ เอาไว้เราค่อยนัดกันอีกทีนึงนะ"
"ไม่นะ..ฉันไม่ยอมให้เธอกลับ"

ผ่องฉวีไม่ยอมดึงมือหทัยรัตน์ไว้ ปุ้มหน้าเสีย

บนเวทีสโมสร พิธีกรขึ้นไปประกาศ
 
"สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ในค่ำคืนนี้ทางสโมสรรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่าน"

ที่โต๊ะ ผ่องฉวียังรั้งหทัยรัตน์ไว้
"พวกเรา ปุ้มจะหนีกลับบ้าน"
เพื่อนๆ บอก "ไม่ได้นะ ไม่ให้กลับนะ"
"น่านะ...ฉันขอร้องหล่ะ วันนี้ขอตัวก่อน"
พิธีกรเสียงดังมาจากเวที
"เพื่อให้สมกับที่คืนนี้เป็นคืนพิเศษ ทางสโมสรจึงจัดกิจกรรมเพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมสนุก และ ร่วมลีลาศ ในบรรยากาศที่แปลกใหม่"
บนเวทีพิธีกรประกาศต่อ
"กระผมขออาสาสมัคร 20 ท่านร่วมสนุกกับเรา โดยแบ่งเป็นสองฝ่าย สุภาพสตรี 10 ท่าน และสุภาพบุรุษ 10 ท่าน ขอเชิญผู้ต้องการจะร่วมสนุกออกมาที่ฟลอร์ได้เลยครับ"
คนอื่นๆ ในสโมสร ซุบซิบกันอื้ออึง เริ่มมีชายหนุ่มลุกเดินออกไป หญิงสาวยังอายๆ แต่ก็เดินออกมากับเพื่อน 2-3 คน
ผ่องฉวียื่นคำขาด
"ฉันจะให้เธอกลับก็ได้ แต่ต้องอยู่เล่นเกมนี้กับทางสโมสรก่อน"
เพื่อนๆ บอก "ใช่ๆ..ออกไปเลยปุ้ม"
เธออึกอัก น้ำท่วมปาก
"แต่ว่า"
เพื่อน 2 บอก
"ฉันออกไปเป็นเพื่อนก็ได้..ไปปุ้ม"
เพื่อน 2 คว้าข้อมือเธอก้าวเดินออกไปเลย
ที่โต๊ะเพื่อนๆ ก็คะยั้นคะยอให้อนวัชลุกออกไป
"ไปเลยหนึ่ง..ออกไปเลย"
อนวัชเขินๆ เพื่อนลากไปด้วย
"เอ้ยไป...ไม่ไปเสียชื่อนักเรียนเก่าฝรั่งเศสหมด...ไป"
เพื่อนลากอนวัชออกไปเลย... ตอนนี้ทั้งเขาและเธอถูกดึงไปที่ฟลอร์...

พนักงานของสโมสรกำลังลากฉากกั้นยาวประมาณ 6-7 เมตร ที่ขึงด้วยผ้าหนามาวางไว้กลางฟลอร์เพื่อกั้นไม่ให้เห็นกัน อนวัชถูกลากมาอีกฟากหนึ่ง หทัยรัตน์ถูกลากมาอีกฟากหนึ่ง
พิธีกรประกาศต่อ
"กติกาง่ายๆ นะครับ เราจะให้สุภาพสตรีอยู่อีกฝั่งหนึ่ง และสุภาพบุรุษก็จะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง"
เธอยืนอยู่ข้างเพื่อน หน้าตาเหมือนปลาสำลักน้ำอึดอัดสุดๆ พนักงานสโมสรขยับเธอให้อยู่ในตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้
"ทั้งสองฝั่งจะไม่เห็นกัน และเมื่อฉากกั้นถูกเลื่อนออก สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่ยืนอยู่ จะต้องกลับหลังหันมาเจอกัน...และเมื่อเจอกันแล้ว ไม่ว่าจะรู้จักกันหรือไม่ ถูกใจกันหรือไม่ก็ตาม..แต่จะต้องเต้นรำด้วยกัน"
อนวัชถูกลากมาอยู่อีกฟาก เพื่อนยืนประกบ พนักงานขยับหนึ่งให้อยู่ตรงตำแหน่ง พิธีกรพูดต่อเนื่อง
"และเมื่อเต้นจนจบเพลง เราจะใช้เสียงตบมือของแขกผู้มีเกียรติในสโมสรเพื่อตัดสินหาคู่ลีลาศยอดเยี่ยมประจำค่ำคืนนี้"
เพื่อนอนวัชเข้ามากระซิบ
"ฉันว่าต้องมีแต่สาวๆ อยากเต้นรำกับแกแน่ๆ เลยว่ะหนึ่ง"
"เฮ้ย..มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก "
อนวัชยิ้มรับแบบไม่อยากรับ แต่ในใจก็คิดอย่างนั้นอยู่แล้วด้วยความรู้ตัว มั่นใจมากมาย !
"ขณะนี้เราได้ผู้มีเกียรติครบตามจำนวนที่ต้องการแล้วนะครับ"
เธอยืนอยู่ เพื่อนลุ้นสุดๆ
เพื่อนเธอพึมพำเบาๆ
"เพี้ยงขอให้ได้คู่กับคุณอนวัชด้วยเถอะ"
เธอปรายตามองหน้า แล้วพูดเสียงเบากว่า
"เพี้ยงขออย่าให้เจออีตาบ้านั่นด้วยเถิด"
" ทุกท่านพร้อมแล้วนะครับ เราจะนับถอยหลังพร้อมกันและฉากกั้นจะถูกเลื่อนออก 5...4..."
ทุกคนในสโมสรช่วยกันนับ
อนวัชยิ้มอย่างมั่นใจ คาดหวังว่า ใครที่เจอเราต้องกรี๊ดแน่ๆ ฮึๆๆๆๆ ส่วนเธอลุ้น - อย่าเจอนะๆๆ
พิธีกรนับต่อ ทุกคนลุ้น
3...2...1..."
ม่านค่อยๆ ถูกเลื่อนออก ทั้งคู่ต่างลุ้น อนวัชกระหยิ่มยิ้มมั่น และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้เห็นหน้ากัน
หทัยรัตน์เหวอ แต่อนวัชแอบอึ้งเบาๆในความสวยของเธอ...ทั้งสโมสรเงียบกริบ เธอก็เงียบนิ่ง อึ้งคิดเครียดทำไงดี..แต่อนวัชยิ้มนิดๆ ส่งให้อย่างมีมารยาท และมั่นใจ แต่ทันใดนั้นเองเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เธอตะโกนขึ้น
"ดิฉันขอสละสิทธิ์ค่ะ"
เธอไม่พูดเปล่า แต่หันหลังและรีบเดินออกไปเลย หนึ่งรู้สึกเหมือนหน้าแตก แหลกละเอียดป่นปี้ลงในวินาทีนั้น ทุกคนเงียบกริบ เสียงซ้นสูงของเธอ ย่ำออกไปเหมือนต้องการไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และทุกคนก็ต้องช็อกต่อเมื่อหนึ่งไม่ยอมและตะโกนขึ้น
"นี่คุณ...หยุดก่อน ผมบอกให้หยุด"
เธอไม่หยุด แถมยังวิ่งให้เร็วขึ้นอีก ทุกคนชะเง้อมองตามไป ผ่องฉวีเหวอ
"ยัยปุ้ม"
พิธีกรเหงื่อตก เห็นทุกคนเอ๋อก็รีบหันไปทางวงดนตรีให้เล่นเพลงเลย...ดนตรีขึ้น
พิธีกรรีบแก้บรรยากาศ
"ขอเชิญคู่เต้นรำเริ่มเต้นได้เลยครับ..เพราะตอนนี้ทุกสายตากรรมการในสโมสรแห่งนี้กำลังจับตามองท่านอยู่..เต้นเลยครับ...เต้นให้เต็มที่"
คนที่แข่งขันเริ่มเต้น

หทัยรัตน์วิ่งออกมาหน้าสโมสร ตอนนี้ไม่มีคนแล้ว เธอเดินมาถึงที่สวนมุมโรแมนติก เดินลงมาจากบันไดเหมือนเจ้าหญิงกำลังวิ่งหนีเจ้าชาย ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังไล่หลัง
"นี่คุณ..หยุดนะ "
เธอหน้าเสีย..แย่แล้ว..รีบวิ่งต่อไป..แต่เสียหลักเชือกรัดรองเท้าซ้นสูงขาดและหลุดออกมาข้างนึงระหว่างที่วิ่งลงบันได
รองเท้าที่หลุดกลิ้งห่างออกไปสองสามขั้น ปุ้มหันไปมอง เสียงหนึ่งดังไล่หลัง
"คุณ..หยุดก่อน..คุณ"
เธอลังเลเอาไงดี ตัดสินใจไม่เก็บรองเท้าและวิ่งกระเผกต่อไป
เขาวิ่งมาถึงรองเท้าเธอ
"นี่คุณ คุณจะไปไหน หยุดก่อนคุณ"

เขายังคงวิ่งตามเธอไปต่อ

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 1 (ต่อ)

เธอวิ่งไม่ถนัด ตัดสินใจหยุดถอดรองเท้าอีกข้าง และกำลังจะวิ่งต่อ ทันใดนั้น เขาก็จับที่แขนเธอไว้
 
"นี่คุณ..หยุดก่อนอย่าเพิ่งไป"
เธอตกใจ สะบัดแขน
"หะ... ปล่อยฉันนะ"
เธอจะวิ่งหนีต่อ เขารีบวิ่งมาดักหน้าพูดเสียงเข้มกึ่งออกคำสั่ง
"ผมไม่ให้คุณไป..คุณต้องเข้าไปเต้นรำกับผม"
"ฉันบอกแล้วไงว่าฉันสละสิทธิ์..ฉันไม่เต้นรำกับคุณ"
เขารวบรวมสติมองหน้าเธอชัดๆ อีกครั้ง เห็นแววตาดื้อดึง และจองหองเต็มสองตา เขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง และพูดด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นแกมบังคับ
"ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณไม่ยอมเต้นรำกับผม"
"ฉันไม่เต้น ก็เพราะฉันไม่อยากเต้น"
"นี่คุณไม่มีเหตุผลเลยนะ คุณทำแบบนี้คนอื่นเค้าจะคิดกับผมยังไง"
เธอหันมายิ้มเยาะ เขาไม่พอใจ
"คุณยิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไง"
"ฉันจะยิ้มยังไงก็เรื่องของฉัน..ไม่เกี่ยวกับคุณ"
"ทำไมจะไม่เกี่ยวก็คุณมองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม มันก็ต้องเกี่ยวกับผมสิ"
"ฉันบอกให้ก็ได้ ฉันคิดว่าที่แท้คุณก็ห่วงหน้าตาของตัวเองนี่เอง คงจะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนวิ่งหนีคุณหล่ะสิ ถึงได้โกรธจนต้องวิ่งมาลากฉันกลับเข้าไปแบบนี้"
"ใช่..ไม่เคยมีใครหันหลังให้ผม และจะไม่มีใครทำแบบนั้นได้ คุณต้องไปเต้นรำกับผม"
เขาจับข้อมือไว้ เธอสะบัดมือ
"ฉันไม่ไป ฉันโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ ที่คุณจะมาบังคับให้ทำอะไรก็ได้ตามใจคุณ และกรุณาจำไว้ด้วยนะคะ ไม่มีใครที่จะได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ และฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่หันหลังให้คุณ"
เธอดึงรองเท้าของตัวเองมาจากเขาและเชิดหน้าหันหลังใส่แล้วก็วิ่งเท้าเปล่าไปเลยด้วยความสะใจ
อนวัชราวกับโดนหมัดตรงอึ้งไป..งง...
"คุณ"
เธอวิ่งขึ้นรถแท๊กซี่ไปแล้ว เขาทั้งงง อึ้ง และ ฉุน สับสนไปหมด

"นี่มันอะไรกัน"
อนวัชโวยวายให้พิมพ์ฟัง
"คุณหนึ่งไม่อยากจะเชื่อเลย ประเทศไทยจะมีผู้หญิงจองหองแบบนี้อยู่ด้วย มีอย่างที่ไหน พอเค้าเห็นหน้าคุณหนึ่งแค่นั้นก็วิ่งหนียังกะเห็นผี..แล้วยังเถียงคำไม่ตกฟาก ทำยังกะโกรธเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน นี่ถ้าเค้าแต่งตัวมอมแมม ผมเผ้ากระเซิง คุณหนึ่งต้องคิดว่าเค้าเป็นคนบ้าแน่ๆ แต่นี่แต่งตัวก็ดี หน้าตายังสวยอีกต่างหาก"
พิมพ์ยิ้มด้วยแววตารู้ทัน
"เพราะสวยใช่มั้ยคะ ถึงได้ทำให้คุณหนึ่งหงุดหงิดถึงขนาดปลุกพิมพ์ดึกๆ ดื่นๆ เพื่อมาฟังเรื่องนี้ สงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ"
ในห้องนอนพิมพ์ อนวัชเล่าต่อ
"ใช่..ผิดปกติมากๆ คุณหนึ่งอยากรู้จริงๆ ผู้หญิงไม่มีมารยาท จอมจองหองคนนี้เป็นใคร คอยดูนะถ้าคุณหนึ่งเจออีกครั้ง ไม่ปล่อยให้ได้ลอยหน้ายิ้มแบบนั้นเป็นครั้งที่สองอีกแน่ๆ"
เขาแค้นเธอฝังใจ
รอยยิ้มที่มุมปากอันกวนประสาท และน่าหยิกของเธอแว่บเข้ามาในสมองของอีกครั้ง

ภายในบ้านเดือนประดับ ที่ห้องนอนหทัยรัตน์ สุดามองรองเท้าที่วางอยู่ แล้วถามด้วยความแปลกใจ
"ปุ้มเนี่ยนะ วิ่งหนีจนรองเท้าขาด แล้วทำไมต้องหนีด้วย วิ่งหนีอะไร"
เธออยู่ในชุดเตรียมนอน สองคนคุยกันอยู่
สุดาตกใจ
"หะ... แล้วเค้ามายุ่งอะไรกับปุ้ม ไหนเล่ามาสิ เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้ให้พี่ปุ๊ไปจัดการ"
"ใจเย็นๆค่ะพี่แป้น..คือ..ไม่มีอะไรมากเค้าคงแค่อยากจะแสดงอำนาจตามประสา แต่ปุ้มหนีมาได้ ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกค่ะ ชีวิตนี้ปุ้มคงไม่ต้องเจอคนแบบนี้อีกแล้ว"
"เฮ่อ..แล้วไป..ทีหลังปุ้มต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะ ถ้ามีอะไรไม่น่าวางใจก็โทรศัพท์มา พี่จะได้ให้คนรถไปรับ รู้มั้ย"
"ค่ะ"
สุดายังเป็นห่วงไม่หาย เธอยิ้มรับกลบเกลื่อน สุดานึกได้แล้วก็พูดต่อ
"เออ..มัวแต่ตกใจจนเกือบลืม..นี่...วันนี้พี่มีข่าวดี 2 ข่าว ข่าวแรก..คืนพรุ่งนี้พี่กับพี่ปุ๊จะพาปุ้มไปเลี้ยงข้าวฉลองที่ได้งาน"
หทัยรัตน์ตาวาว กอดสุดา
"ไชโย ขอบคุณมากค่ะพี่แป้น"
สุดายิ้มรับ ฟทันรัตน์คลายกอด แต่จับมือไว้ด้วยความตื่นเต้น
"ข่าวดีที่สองหล่ะคะ"
"คุณลุงวิทย์จะจัดเลี้ยงต้อนรับพี่หนึ่ง คุณพ่อบอกให้เราสามคนเตรียมตัวให้พร้อมและไปด้วยกับท่านด้วย" เธอปุ้ชะงักกึก "งานนี้เป็นงานดังมากเลยนะ ใครๆก็อยากไป แต่คุณลุงเชิญแค่ไม่กี่ครอบครัว นี่ถ้าเพื่อนพี่รู้จะต้องอิจฉาตาร้อนผ่าวแน่ๆ ตอนนี้สาวๆทั้งพระนครใครๆก็อยากอยู่ใกล้คุณหนึ่งอนวัชกันทั้งนั้น ปุ้มต้องแต่งตัวสวยๆนะ พี่อยากให้พี่หนึ่งตกตะลึงที่เห็นว่าปุ้มของพี่เปลี่ยนไปมากแค่ไหน"
เธอผงะ หน้าเสีย แววตาบอกว่า “ไม่นะ ไม่ไป”

หน้าร้านอาหารหรู เวลากลางคืน รถเข้ามาจอดเทียบ คนรถมาเปิดประตู ส่องแสง พิเศษกุล ลุกออกมาจากรถ ยืนอยู่ในชุดราตรีแดงสดใส ส่องเดินเชิดอย่างมั่นใจว่า สวยสุดเข้าไปในร้าน
ที่ประตูอีกด้านเปิดออก ชุลี หญิงสาวรุ่นเดียวกัน เพื่อนสนิทของส่องแสง ชุลีดูด้อยกว่าทั้งเสื้อผ้าและหน้าตา ชุลีมองส่องแสดงที่เดินเข้าไปในร้านโดยไม่รอก็หงุดหงิด รีบเดินตามไป
"ส่อง...รอฉันด้วย"
ส่องแสงไม่หยุดตามคำขอ เดินเชิดเข้าไปในร้านอย่างมั่นใจ ชุลีรีบเดินตามไปด้วยความเซ็ง

ในร้านอาหารประตูเปิดออก ส่องแสงเดินเข้ามา...หนุ่มที่กำลังนั่งกินข้าวกับสาว พอหันมาเห็นส่องแสงถึงกับมองค้างในความสวยเปรี้ยว ชุลีเดินพรวดพราดเข้ามาประกบ ส่องแสงเดินไปที่โต๊ะว่าง หนุ่มๆมองเป็นทาง ชุลีมองหนุ่มๆแล้วก็ลอยหน้าพูดกึ่งชมกึ่งแหนะแหนจนยากจะแยกแยะ
"นี่ส่องฉันไม่น่าชวนเธอมาด้วยเลย"
ส่องแสงหันขวับ
"อ้าวทำไมพูดแบบนี้หล่ะชุลี"
"เธอดูสิ...หนุ่มๆ พากันมองแต่เธอคนเดียว อย่างนี้ฉันก็ขายไม่ออกกันพอดี"
ส่องแสงยิ้มพอใจ ยิ้มจริงใจ
"แหม..อย่าคิดมากเลยชุลี เดี๋ยวเราไปนั่งโต๊ะที่อยู่หลังต้นไม้ ตรงนั้นก็ได้ มีใบไม้บังหน้าไว้ หนุ่มจะได้เห็นไม่ชัด อาจจะทำให้มีคนสนใจเธอก็ได้นะ"
ชุลีมองเหล่ ตอบกลับไป
"ขอบใจ"
ชุลีค้อน แต่ส่องแสงไม่สนใจ นั่งส่งยิ้มให้หนุ่มๆ ที่มองมา แล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ... พอนั่งได้ปุ๊บก็เงยหน้าขึ้นมอง แต่ทันใดนั้นเอง ผู้ชายรอบๆ ข้างก็พากันสะกิดและเบนสายตาจากส่องแสงไปที่ผู้มาใหม่ ทุกคนเลิกสนใจส่องแสงในทันที จนส่องแสงแปลกใจ....จนอดไม่ได้ ต้องค่อยๆ ปรายตาไปที่ผู้มาใหม่
หทัยรัตน์ สุดา สัทธา เดินเข้ามา ความสวยของเธอโดดเด้งจนเห็นได้ชัด เรตติ้งดีกว่าส่องแสงอย่างเห็นได้ชัด...ทั้งสามคนเดินไปนั่งที่โต๊ะไม่ห่างออกไป
"เธอสั่งอาหารได้เลยนะ .. เดี๋ยวฉันมา"
ส่องแสงลุกเดินไปหาเป้าหมายทันที ชุลีงง

"อ้าวส่อง !... ส่องแสงจะไปไหน"

ทั้งสามกำลังสั่งอาหาร
 
"วันนี้อยากกินอะไรสั่งเลยนะ"
สองสาวร้อง "ไชโย"
ส่องแสงเสียงดังสวนขึ้นมา
"คุยอะไรกันคะ เสียงดังลั่นร้านเลย นี่ถ้าไม่เห็นหน้าคนพูดคงคิดว่า พี่ปุ๊กับแป้นพาแม่ค้าตลาดท่าน้ำมาเที่ยวสโมสร"
หทัยรัตน์สะอึก สองพี่น้องหันไปทางส่องแสง ไม่ค่อยพอใจ แต่ต้องฝืนทักทาย
"สวัสดีค่ะพี่ส่อง..บังเอิญจังนะคะ"
"ใช่บังเอิญมาก แล้วนี่..มีอะไรสำคัญเหรอ ถึงได้มากันพร้อมหน้าแบบนี้"
"ปุ้มเค้าเพิ่งได้งานน่ะ พี่เลยพามาฉลอง"
ส่องแสงหมั่นไส้
"ก็ดีนะคะ เด็กในบ้านจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาเห็นโลกภายนอกบ้าง ไม่ใช่อุดอู้อยู่แต่ในครัว" ส่องแสงปรายตามาทางหทัยรัตน์
"เธอนี่โชคดีนะที่เกิดเป็นหลานภรรยาคุณลุงฉัน ถ้าไปอยู่ในอุปการะของคนอื่นคงจะไม่มีวาสนาแบบนี้"
เธอพยายามอดกลั้น แต่ทนไม่ได้สวนกลับไปนิ่ง
"ดิฉันทราบเสมอค่ะ ถ้าดิฉันเกิดตกฟากผิดไปเป็นลูกของญาติคุณส่องแสง ดิฉันคงจะไม่มีโอกาสเช่นนี้"
ส่องแสงสะบัดหน้าเชิดขึ้น สวนกลับอย่างถือตัว
"แน่นอน..เพราะฉันเลี้ยงคนให้รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่งั้นจะลืมตัว นึกว่าตัวเองเป็นหงส์ทั้งที่จริงๆ แล้วก็เป็นแค่เป็ดท้องนาที่ว่ายอยู่ในฝูงหงส์เท่านั้น"
ส่องแสงพูดจบก็เดินกลับไปที่โต๊ะ
หทัยรัตน์สะท้อนใจวูบ ... สองพี่น้องอึ้งแทน รีบปลอบ
" ส่องนี่ทำตัวขวางจริงๆ อยู่ๆ ก็เดินมากวนน้ำให้ขุ่น แล้วก็กลับไปหน้าตาเฉย" สัทธาบอก
"ปุ้มอย่าคิดมากเลย ไม่ว่าใครจะคิดยังไง ปุ้มก็เป็นน้องของพี่" สุดาว่า
"เป็นน้องพี่ด้วย ถ้าปุ้มเป็นเป็ด พวกพี่ก็จะเป็นเป็ดจะได้ว่ายน้ำไปด้วยกัน ปล่อยให้ยัยส่องเป็นหงส์หงอยไปตัวเดียว เอ้อ คนเดียว เถอะ .. ไม่มีใครคบ"
สัทธาพูดจบ สองสาวก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน บรรยากาศดีขึ้นทันที
สุดาแกล้งส่งเสียงรั " ก๊าบๆๆ"
เธฮขานรับบ้าง"ก๊าบๆๆ" ทั้งสามคนก็หัวเราะครึกครื้น "ขอบคุณมากค่ะ..ขอบคุณพี่ปุ๊ กับ พี่แป้นมากค่ะ"
เธอยิ้มออก แต่ในใจก็ยังแอบเจียมตัว และรู้ตัวดีว่า สิ่งที่ส่องแสงพูดก็มีความจริงอยู่

ภายในบ้านพิเศษกุล ตอนกลางคืน สีสุก หญิงไทยวัยกลางคน แม้อายุจะมาก แต่ยังแต่งตัวจัด โดยเฉพาะเครื่องทอง ใส่เหมือนอยากอวด แล้วเธอก็โวยวาย
"ตาปุ๊กับยัยแป้นพายัยเด็กปุ้มไปชูคอในร้านอาหารเนี่ยนะ"
ส่องแสงกับสีสุกนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น บ้านพิเศษกุล บ้านขนาดกลาง ตกแต่งแบบพยายามดูหรู แต่หรูไม่จบ
"ใช่ค่ะ แค่ได้งานทำจะดีใจอะไรกันนักกันหนา หมั่นไส้ !! ขนาดส่องเดินไปด่ามันยังไม่สำนึก แถมยังย้อนอีกนะคะ ลับหลังส่องก็หัวเราะคิกคัก มันคงนึกว่าส่องไม่ได้ยิน"
"คนมันหน้าหนา ด่ายังไงไม่รู้สึกหรอกลูก นังเด็กปุ้มเนี่ยยิ่งโตยิ่งร้าย แม่ทิพย์น่ะเลี้ยงหลานให้เป็นเทวดา อีกหน่อยเถอะ พอมันได้ดีคงจะถีบหัวส่ง"
"เด็กอนาถาแบบนั้นน่ะเหรอคะ จะได้ดี....ไม่มีวันหรอกค่ะ ส่องตราหน้าได้เลย ไม่นานหรอกความก๋ากั่นของมันจะทำให้เหม็นโฉ่กันไปทั้งเดือนประดับ"
ส่องแสงคิดร้ายต่อหทัยรัตน์ด้วยความริษยา
"พูดถึงเดือนประดับแล้วก็นึกขึ้นมาได้ เรื่องงานเลี้ยงต้อนรับคุณหนึ่ง แม่ถามลุงสุทธิ์ให้แล้วนะลูก คุณพี่วิทย์เชิญไปงานทั้งเดือนประดับ"
ส่องแสงตาวาว
"เหรอคะ แล้วเราหล่ะคะ .. เราจะได้ไปหรือเปล่าคะ"
สีสุกยิ้มกริ่ม
"ฝีมือระดับแม่แล้ว.. แม่ต้องทำให้เราได้ไปให้ได้ ส่องรีบไปตัดชุดได้เลยนะ เลือกแบบที่สวย และเด่นที่สุด อย่าให้น้อยหน้าคนอื่นหล่ะ"
ส่องแสงยิ้มมั่นใจ
"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลยค่ะ ลูกสาวของแม่คนนี้จะต้องเป็นผู้หญิงที่คุณหนึ่งประทับใจมากที่สุด ... คุณอนวัช พัชรพจนาถ ที่สาวๆต่างหมายปอง จะต้องมาสยบตรงหน้าส่องแสง พิเศษกุล ... อย่างไม่ต้องสงสัย"
ส่องแสงเชิดมั่นใจโคตรๆ มั่นใจมากๆ มั่นใจไม่เกรงใจแม่

อนวัชยืนอยู่ในชุดลำลอง ช่างตัวเสื้อกำลังวัดตัว ทางด้านหลังกำลังมีการจัดเตรียมงานกันยกใหญ่
พิมพ์เตรียมจัดงาน ทำอาหาร จัดเตรียมจาน ชาม ช้อน เครื่องทองเหลือง จานกระเบื้องอย่างดี นำมา
ผสมผสานใช้อย่างลงตัว
เวลาต่อมา ท่ามกลางบรรยากาศของการเตรียมงาน และ อนวัชเตรียมตัว จนทุกอย่างพร้อม...สถานที่สวยงาม งานไม่ใหญ่ แต่อบอุ่นและ ดูดี
เขายืนอยู่ในชุดสูทที่สวยงาม เท่ สมาร์ท สุดๆ ช่างเก็บรายละเอียดชุดอีกเล็กน้อยๆ และเดินถอยห่างออกมา เขา ยืนอยู่ในชุดสูทอย่างเท่...

ในวันงาน อนวัช เสื้อผ้าหน้าผมพร้อม งานเลี้ยงต้อนรับถูกจัดอย่าง พ่อกับลูกยืนอยู่ด้วยกัน แขกค่อยๆทยอยเข้ามา สองพ่อลูกยกมือไหว้ต้อนรับ และเชิญไปนั่งที่โต๊ะ
แขกชุดต่อมา เป็นสามี ภรรยามากับลูกสาว
"สวัสดีครับ .. หนึ่งจำท่านทูตรุจน์ได้มั้ยลูก"
อนวัชยกมือไหว้
"สวัสดีครับ จำได้ครับ ตอนเด็กๆผมไปเล่นที่บ้านสวนของท่านบ่อยๆ"
ท่านทูตรุจน์ยิ้มพอใจ ภรรยาที่มาด้วยรีบแทรกขึ้นทันที ดันลูกสาวออกหน้า
"แล้วจำน้องมะปราง ได้หรือเปล่าคะ น้องมะปรางที่เมื่อก่อนเคยเล่นด้วยกันน่ะค่ะ ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วนะคะ..มะปรางสวัสดีพี่หนึ่งสิลูก"
มะปรางยกมือไหว้
"สวัสดีค่ะ"
เขารับไหว้
"สวัสดีครับ .. จำได้สิครับ น้องมะปรางที่ชอบรับประทานขนมทองหยอดฝีมือพิมพ์ ตอนเด็กๆ พิมพ์จะทำฝากไปให้ น้องมะปรางรับประทานหมดเรียบทุกครั้ง"
มะปรางอายหน้าแดงกล่ำ ก้มหน้างุดๆ เกาะแขนแม่ด้วยความปลาบปลื้มใจ
"คุณแม่ขา....พี่หนึ่งจำมะปรางได้ด้วย"
เขาเห็นมะปรางยิ้มอายก็ยิ้มกริ่ม ... การโปรยเสน่ห์สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
"ผมว่ายืนคุยกันนานเดี๋ยวจะขาแข็งซะก่อน เชิญนั่งดีกว่านะครับ งานยังไม่เริ่มดี เรายังมีเวลาคุยกันอีกนาน..เชิญครับเชิญ"
วิทย์เดินนำไปที่โต๊ะ ท่านทูตรุจน์ ภรรยา เดินตามไป มะปรางยังยืนบิดอาย ทิ้งสายตาด้วยความสะเทิ้นเขินแล้วก็เดินไป
เขายิ้มนิดๆ ตามไปด้วยมารยาท พอคล้อยหลังน้องมะปรางก็ถอนใจเบาๆ..เฮ่อ..แล้วก็ส่ายหน้า ยักไหล่ แอบเบื่อหน่ายเบาๆ กับผู้หญิงให้ท่า .. พลันทันใดนั้นเอง.. ปรายตาไปสะดุดเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินอยู่ด้านหน้าของห้องรับรอง ฟึ่บ!
เขาชะงักกึก..มองเพ่งด้วยความสงสัย
ผู้หญิงร่างสูง เดินผ่านหน้าห้องรับรองไป เห็นแค่ข้างหลังไวๆ ดูแล้วละหม้ายคล้ายกับ... เขาชะงักคิด...ผู้หญิงคนนี้ !
ภาพแล่นเข้ามาในหัวทันที ... เธอวิ่งหนีเขาในคืนที่เจอกัน... อนวัชชะงักคิด มั่นใจ คนเดียวกันแน่ๆ เขารีบเดินออกไปหาทันที

บริเวณทางเดินหน้าห้องจัดเลี้ยง เขาเดินออกมาจากห้อง รีบมองหา และเจอหญิงสาวเดินอยู่ไม่ไกล หนึ่งรีบเรียกขึ้น

"นี่เธอ..เธอคนนั้นน่ะ หยุดก่อน"

หญิงสาวไม่หยุดเดินเลี้ยวหายไป เขารีบเดินตามไปทันทีด้วยความไม่ได้ดั่งใจ
 
เขาเดินมาจนประชิดตัวหญิงสาวและเดินปาดมาดักทันทีพร้อมกับออกคำสั่ง
"ฉันบอกให้หยุด ! ไม่ได้ยินหรือ"
เขาเห็นหน้าหญิงสาวเต็มๆแล้วก็ชะงักกึก... หญิงสาวไม่ใช่หทัยรัตน์ เธอตกตะลึงเห็นเขายืนอยู่ในระยะประชิด หญิงสาวเขินอายหน้าแดงก่ำ
"คุณอนวัชเรียกดิฉันเหรอคะ ดิ....ดิฉันขอโทษที่ไม่ทราบ ไม่อย่างนั้นคงจะหยุดไปตั้งแต่คำแรกแล้ว"
เขารีบขอโทษ
"เอ่อ ขอโทษด้วย ฉัน ทักคนผิด"
แล้วเขาก็เดินกลับไป หญิงสาวได้แต่ยืนเหวอ อนวัชส่ายหน้าด้วยความเสียดายที่ไม่ใช่ยัยจองหองคนนั้น

ที่หน้าบ้านเพชรลดา รถของสุทธิ์ขับเข้ามา สัทธาเป็นคนขับ สุดานั่งหน้าคู่กัน พ่อแม่นั่งหลัง
คนรับใช้เปิดประตูให้อย่างสุภาพ ทั้งสี่ลงจากรถ .... ไม่มีหทัยรัตน์
"แป้น..ปุ้มบอกหรือเปล่าทำไมไม่มางานด้วยกัน" ทิพย์ถาม
"เอ่อ..เห็นบอกว่านัดเพื่อนตีเทนนิสน่ะค่ะ"
"แค่นี้เนี่ยนะ เลื่อนไปก็ได้ ทำไมไม่เลื่อน ปุ้มนี่ ไม่น่ารักเลย เจอหน้าต้องเอ็ดหน่อยแล้ว"
สุทธิ์บอก
"อาน่า ..ไม่ต้องดุปุ้มหรอก เค้าอาจจะไม่อยากมาก็ได้ งานแบบนี้ก็ใช่ว่าทุกคนจะอยากมา"
เสียงสีสุกดังขึ้น
"คุณพี่"
ทั้งสี่คนหันมาตามเสียง ด้วยความงง
สีสุกกับส่องแสงเดินมาในชุดอย่างสวย อลัง
"ลุงวิทย์เชิญอาสีสุกด้วยเหรอครับคุณพ่อ"
"เปล่านะ"
"อ้าว แล้วอาสีสุกกับพี่ส่องมาได้ยังไงคะ" สุดาว่า
สีสุกกับส่องแสงเดินมาถึงพอดิบพอดี สีสุกตีเนียน ไม่สนใจ
"สวัสดีค่ะคุณพี่ รีบเข้าไปในงานเถอะค่ะ คนมาเกือบเต็มแล้ว ยุ่งมากไปกว่านี้ คุณหนึ่งจะมองไม่เห็นพวกเรา ไปค่ะ"
สัทธาทนไม่ได้
"เดี๋ยวครับ อาสีสุก..เอ่อ.. อามาได้ยังไงครับเนี่ย เท่าที่ทราบเหมือนลุงวิทย์จะ..ไม่ได้เชิญ"
สีสุกร้อง
"ตายแล้ว !! ตาปุ๊ พูดแบบนี้ได้ยังไง เรานี่ไม่รู้จักมารยาทอะไรเลยใช่มั้ย ถึงคุณพี่วิทย์ไม่เชิญ แต่อาก็ต้องมา เพราะอาเป็นน้องสาวของพ่อเธอ และคุณพี่วิทย์ก็มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆของเรา คุณพี่วิทย์เชิญพ่อเธอ...อาไม่มาไม่ได้ เสียมารยาทแย่เลย เฮ่อ..เสียเวลาต้องมาสาธยาย คุณพี่เรารีบเข้าไปในงานเถอะค่ะ ไปแม่ส่อง"
สีสุกลากส่องแสงด้วยมืออีกข้าง
"อ้าวๆ ใจเย็นๆ ปุ๊พาแม่กับน้องตามมานะลูก" สิทธิ์ว่า
สุทธิ์จำใจต้องเดินตามแรงลากของสีสุก ปุ๊มองตามแล้วก็ส่ายหน้า
"ผมว่า..อาสีสุกมีปัญหาเรื่อง เหตุและผลนะครับ เพราะเหตุผลที่พูดมาเมื่อกี๊ฟังแล้วมันไม่มีเหตุผลยังไงก็ไม่รู้"
สุดาเสริม
"ก็เหตุผลแบบข้างๆคูๆไงคะ ไม่บอกก็รู้ว่าอาสีสุกอยากพาพี่ส่องมาอวดพี่หนึ่งแน่ ๆ"
"เลิกจับผิดแล้วรีบตามคุณพ่อเข้าไปเถอะ ชะเง้อมองใหญ่แล้ว ไป"
ทิพย์เดินนำไป สองพี่น้องมองหน้ากัน ส่ายหน้า เอือมญาติตัวเอง

อนวัชยืนอยู่กลางงานอย่างเท่ สีสุก ส่องแสง เดินเข้ามากับสุทธิ์ ด้านหลังเป็นทิพย์เดินตามเข้ามา สีสุก กับส่องแสงรีบมองหาอนวัชทันที แล้วส่องแสงก็อึ้ง..ตะลึงในความหล่อ สมาร์ท ข้างๆเห็นสีสุกมองด้วยความชื่นชมไม่แพ้กัน
"คุณหนึ่งหล่อกว่าในรูปอีกนะลูก" สีสุกเสียงสั่นด้วยความปลื้มปริ่ม ส่องแสงมองไม่วางตา
สองพี่น้องเดินตามเข้ามา อยู่หลังส่องแสง หนึ่งหันมาเห็นพอดี อนวัชเขม่นตามองสัทธาด้วยความคุ้น พร้อมกับคิด
ส่องแสงชะงัก คิดว่า อนวัชมองตัวเอง เขาเดินตรงมา ส่องแสงตื่นเต้น ทันใดนั้นเอง เขาก็พูดขึ้น
"ปุ๊ใช่มั้ย"
เขาเรียกสัทธาที่ยืนอยู่หลังส่องแสง พร้อมกับเดินผ่านส่องแสงไปอย่างไม่ไยดี ทักทายสัทธาด้วยความดีใจ
"โห..ฉันเกือบจำแกไม่ได้ บึกบึนสมกับเป็นนายตำรวจจริงๆ" เขาพูดพลางจับต้นแขน
สีสุกกับส่องแสงปั้นหน้าไม่ถูก...
"แกก็สมาร์ทสมกับเป็นว่าที่ท่านทูต และขวัญใจสาวๆทั่วทั้งพระนคร"
หนึ่งยิ้มรับเขินๆ เสียงวิทย์ดังแทรกเข้ามา
"คุณสุทธิ์ คุณทิพย์มาถึงกันนานหรือยังครับเนี่ย "
ทุกคนยกมือไหว้ ทักทายวิทย์
วิทย์รับไห
"สวัสดีครับทุกคน หนึ่งจำคุณอาสุทธิ์กับคุณอาทิพย์ได้หรือเปล่า"
อนวัชยกมือไหว้อย่างสวย
"สวัสดีครับคุณอา ผมต้องขอโทษด้วยที่มองเดินผ่านมาไม่ได้ทัก เพราะเห็นนายปุ๊ซะก่อน เลยตื่นเต้นมากไปหน่อย"
"ไม่เป็นไร อารู้ใจคนหนุ่ม สองคนนี้ก็ดีนะ ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปี พูดกันไม่กี่คำก็ต่อกันติด" สุทธิ์ว่า
หนึ่งกับปุ๊มองหน้ากัน ยิ้มเห็นด้วย
ส่องแสงเริ่มขยับๆ จนสีสุกต้องดึงส่องแสง แทรกเข้าไปในกลุ่ม และยิ้มเสนอหน้า
สุทธิ์นึกได้
"อ้อ...แล้วนี่ก็คุณอาสีสุก น้องสาวของอาเอง"
"สวัสดีครับคุณอาสีสุก"
วิทย์หันไปเห็นส่องแสงกับสุดา
"แล้วหนึ่งจำน้องสาวสองคนนี้ได้มั้ยลูก"
เขาหันมาทางส่องแสงที่ยืนยิ้มอย่างมั่นใจ และสุดาที่ยืนอยู่ข้างๆ
"จำได้สิครับ..ทำไมผมจะจำไม่ได้"
ส่องแสงยิ้มดีใจเป็นสองเท่า
"นี่..แป้นใช่มั้ยจ๊ะ"
ส่องแสงหุบยิ้มลงนิดนึง ที่เขาทักข้ามไปหาสุดา
"ไม่ได้เจอกันตั้งนานยังน่ารักเหมือนเดิม"
แป้นยกมือไหว้
"ขอบคุณค่ะพี่หนึ่ง"
หนึ่งหันมามองหน้าส่องแสงแล้วก็พยายามคิด..แต่จำไม่ได้.. ส่องเจื่อนลงเล็กน้อย สีสุกรีบเข้ามาช่วย ทำทีเป็นถามนำทาง
"มองแบบนี้แสดงว่าต้องจำน้องไม่ได้แน่ๆ เนี่ยหนูส่อง..ส่องแสง พิเศษกุล ลูกสาวอายังไงคะ จำได้หรือยังเอ่ย"
เขาประหลาดใจ
"นี่ส่องแสงเหรอเนี่ย..พี่จำไม่ได้เลย... ส่องสวยขึ้นมากจริงๆ สวยจนพี่จำไม่ได้ ต้องขอโทษด้วย"
คำชมของเขาทำให้ส่องยิ้มแก้มแทบฉีก
สีสุกยิ้มไม่แพ้กัน
"อุ้ยไม่เป็นไรค่ะ..อาเข้าใจ ส่อง..รีบขอบคุณพี่หนึ่งสิลูก"
ส่องแสงยกมือไหว้
"ขอบคุณค่ะพี่หนึ่ง"
"ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ผมจะมีน้องสาวเป็นผู้หญิงไทยที่สวยกว่าผู้หญิงฝรั่งเศส"
คำชมของเขาทำให้ส่องแสงยิ้มมากกว่าหัวใจพองโตจนแทบจะทะลักออกมา
เขาพูดต่อ
"ถึงสองคนด้วยกัน"
ส่องแสงหุบยิ้มลงนิดนึง ที่หนึ่งชมสองคน สุดายิ้มรับน้อยๆ พองาม ส่องแสงแอบค้อนด้วยความไม่พอใจที่แย่งคำชมของเขาไปครึ่งนึง สัทธามองส่องแสงแล้วก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจ แอบกระซิบกับสุดา
"นี่ขนาดโดนหารคำชมออกเป็นสองส่วน ยัยส่องยังค้อนมาตั้งครึ่งวง นี่ถ้ายัยปุ้มมาด้วย มีหวังยัยส่องคงได้ค้อนจนหน้าคว่ำ"

ทั้งสองขำกันคิกๆคักๆ ส่องแสงตวัดสายตามาเหมือนรู้ สองคนรีบเก๊กทำหน้านิ่ง ส่องแสงเชิดไม่พอใจ

หทัยรัตน์กับ ผ่องฉวี และประสงค์เดินอยู่ที่สนามเทนนิส บรรยากาศร่มรื่น มีหนุ่มๆที่กำลังตีเทนนิสมองปุ้เธอด้วยความสนใจ แต่ทั้งสองคนไม่สน
 

"ปุ้ม .. นึกยังไงถึงได้นัดมาตีเทนนิสกะทันหันแบบนี้"
เธอเฉไฉ
"ก็...วันก่อนที่ฉันรีบกลับจากงานเลี้ยง ฉันบอกว่าจะนัดเจอกันใหม่เพื่อเป็นการขอโทษ ฉันก็ทำตามสัญญาไงจ้ะ"
"อ๋อ.. แล้วไปนึกว่านัดกระทันหันเพราะหนีอะไรมาซะอีก" เธอสะอึก แอบโดนใจดำ "คุณประสงค์ตีกับปุ้มก่อนก็ได้นะคะ ผ่องขอนั่งพักสักครู่"
"ครับ"
ประสงค์วิ่งมาอย่างว่าง่าย
เธอกำลังจะเดินไป ผ่องฉวีนึกขึ้นมาได้ เรียกไว้
"เอ้ยปุ้มๆๆ ฉันมีเรื่องนึงจะถาม เธอจำผู้ชายคนที่วิ่งตามเธอไปในวันที่เราไปสโมสรได้มั้ย เพื่อนๆบอกว่า เค้าชื่อคุณอนวัช พัชรพจนาถ ที่สาวๆกำลังพูดถึงทั้งพระนครเลยนะ แล้ววันนี้ที่บ้านเค้ามีงานเลี้ยงต้อนรับด้วย เธอรู้เรื่องหรือเปล่า คุณลุงเธอได้รับเชิญหรือเปล่า"
" ก็..ไม่รู้สิ คงได้รับเชิญมั้ง แต่พอดีฉันไม่ได้สนใจ อยากตีเทนนิสมากกว่า ฉันก็เลยไม่ได้ถามคุณลุง ฉันไปตีเทนนิศก่อนนะ คันไม้คันมือมากเลย"
หทัยทิพย์ยิ้มทะเล้น แล้วก็เดินลงสนามไป ลับหลังผ่องฉวี เธอเบ้หน้า...หนีไม่พ้น จริงๆ

หทัยทิพย์เตรียมเสิร์ฟ ประจำตำแหน่ง ดูลูกบอลในมือ คิดถึงหน้าอนวัช โยนลูกเทนนิสขึ้นแล้วก็ตบอย่างแรง
อนวัชอยู่ในงานเลี้ยงพูดคุยกับแขก เขาดูสง่างามโดดเด่น สาวๆในงานมองไม่วางตา ส่องแสงที่พยายามส่งสายตาให้เขาสุดฤทธิ์ เขากวาดสายตามองหาหญิงสาวปริศนา ด้วยหวังว่าจะเจอ ...
เขามองไปทั่วๆงาน แล้วก็มาสะดุดที่ส่องแสงที่พยายามส่งสายตามา ส่องแสงยิ้มให้ เขายิ้มตอบตามมารยาท สีสุกเห็นแล้วก็แทบกรี๊ด เนื้อเต้นดีอกดีใจ
เธอตีเทนนิสอย่างเท่ ตีไปก็นึกถึงหน้าอนวัชไป พร้อมกับหวดด้วยความแค้น ในขณะที่ อนวัชอยู่ในงาน มองหาผู้หญิงที่ไม่รู้จักด้วยความค้างคาใจ แต่ทุกครั้งก็จะเห็นส่องแสงส่งสายตามา ส่องแสงเองก็คิดไปเองว่าหนึ่งมองตัว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความดีใจ
เธอหวดอย่างแรงฟึ่บ ! ลูกเทนนิสลงเส้นพอดิบพอดี ประสงค์รับไม่ทัน ผ่องฉวีลุกปรบมือให้ ประสงค์ก็ปรบมือให้ด้วย หนุ่มๆรอบๆสนามปรบตาม เธอยกมือไหว้รับเขินๆ !

สีสุกกับส่องแสงคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกในบ้าน เพิ่งกลับมาถึง สีสุกยังไม่ทันจะวางกระเป๋า
"นี่แม่ส่อง..วันนี้คุณหนึ่งเธอทั้งพิศทั้งเพ่งลูกของแม่ตลอดทั้งงาน หันซ้ายหันขวามองหาไม่ว่างเว้น แม่มองไปทีไรต้องเห็นสายตาของคุณหนึ่งมองมาตลอด แล้วยังชมว่าสวยกว่าผู้หญิงฝรั่งเศสอีก แม่น่ะหน้าบานหุบไม่ลงเลยลูก"
ส่องแสงหน้าง้ำ
"แต่พี่หนึ่งชมสองคนนะคะ ชมส่องแล้วก็ชมแป้นด้วย"
สีสุกรีบแก้
"คุณหนึ่งชมยัยแป้นเป็นมารยาท คงกลัวว่าจะเสียใจถ้าชมส่องของแม่คนเดียว"
"คุณแม่คิดอย่างนั้นเหรอคะ"
"แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมจะดูไม่ออก วันนี้หนูส่องของแม่สวยชนะเลิศ ไม่มีใครดึงสายตาคุณหนึ่งไปจากหนูได้เลยนะจ้ะ..เชื่อแม่..แม่ดูออก"
"ส่องเชื่อคุณแม่ค่ะ คุณแม่คอยดูนะคะ ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันไหน ส่องจะต้องเป็นคนที่สวยที่สุดในสายตาของพี่หนึ่ง และพี่หนึ่งจะต้องมองส่องคนเดียวเท่านั้น"
ส่องแสงยิ้มได้ใจ มุ่งมั่นอย่างเต็มที่

ผ่านเวลา... หทัยรัตน์ตรวจแบบฝึกหัดให้กรกนก มีเครื่องหมายถูกทุกข้อ ปุ้มส่งสมุดให้ พร้อมกับรอยยิ้ม
"คุณหญิงทำถูกทุกข้อเลย เก่งมากค่ะ คุณครูให้รางวัลเป็น ดาวสามดวงนะคะ"
กรกนกเปิดดูมีเครื่องหมายดวงดาวสามดวงน่ารักเขียนไว้ข้างล่าง ปิดท้ายแบบฝึกหัด กรกนกยิ้มดีใจ
"ขอบคุณมากค่ะ คุณครูอย่าเพิ่งรีบกลับได้มั้ยคะ วันนี้พี่ชายบอกว่าจะรีบกลับบ้าน หญิงอวดพี่ชายไว้ว่าคุณครูหญิงสวยที่สุดในโลก หญิงอยากให้พี่ชายได้เจอกับคุณครูค่ะ"
เธอตกใจ
"เอ่อ...คุณครูว่า รสนิยมของคนเราไม่เหมือนกันนะคะ เรามองว่าสิ่งนี้สวย คนอื่นอาจจะมองไม่สวยก็เป็นได้"
"แต่สำหรับพี่ชาย ต้องเห็นว่าคุณครูสวยเหมือนที่หญิงเห็นแน่นอนค่ะ คุณครูอยู่พบพี่ชายก่อนนะคะ" กรกนกอ้อน เธอพยายามต่อรอง
"คุณครูว่า ไว้วันหลังก็ได้ค่ะ คุณครูไม่อยากกลับผิดเวลา เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง"
กรกนกสีหน้าผิดหวัง
"ว้า....น่าเสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรค่ะ หญิงไม่ยอมแพ้ หญิงจะต้องทำให้พี่ชายเจอกับคุณครูให้ได้"
เธอทำหน้าไม่ถูกเลย ได้แต่ยิ้มแหยๆ ... แหะๆ

เธฮเดินออกมาจากบ้าน ถอนใจเบาๆ แอบหนักใจนิดๆ กับคำพูดของกรกนก เธอพยายามไม่คิดมากแล้วก็เดินไป
ที่สวนเห็นผู้ชายอยู่ในชุดลำลอง ใส่หมวกสานเห็นใบหน้าไม่ชัด กำลังยกกระถางต้นไม้อยู่ ด้านหลังเห็นปุ้มเดินมา ชายคนสวนปรายตาไปเห็นแล้วมีอาการสะดุดกึก ทำให้กระถางต้นไม้ที่ถืออยู่หล่นลงที่เท้าอย่างแรง ตุ๊บ!
"โอ้ย"
เธอหันไปตามเสียง เห็นกระถางต้นไม้หล่นแตกกระจาย และคนสวนกำลังทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บ เธอรีบเดินเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง
"เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่าคะ"
ชายคนสวนยังไม่ได้ตอบ เธอก็เห็นว่าที่หลังเท้ามีเลือดไหล จากรอยบาดของกระถาง
"อุ้ย มีเลือดไหลด้วย" เธอรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและส่งให้ "เอาผ้าเช็ดก่อนค่ะ เลือดไหลใหญ่แล้ว"
"ไม่เป็นไรครับคุณ..ผ้าเช็ดหน้าคุณจะสกปรกเปล่าๆ"
"รับไปเถอะ ผ้าผืนนี้ฉันเย็บเอง ไม่ใช่ของราคาแพงอะไร แล้วก็ไม่ต้องเอามาคืนนะ ทิ้งไปเลยก็ได้"
คนสวนรับผ้ามา
"ขอบคุณมากครับ"
"ห้ามเลือดไว้ก่อนแล้วรีบไปทำความสะอาดแผล ใส่ยาซะนะคะ จะให้ฉันไปบอกคนในบ้านเอายามาให้มั้ยคะ เดินไหวหรือเปล่า"
"ไหวครับไหว .. เดี๋ยวผมเดินไปเองครับ เอ่อ.. คุณเป็นแขกของคุณหญิงเหรอครับ ผมไม่เคยเห็นหน้า"
"ฉันเป็นคุณครูของคุณหญิงค่ะ มาสอนเธอได้สักพักแล้ว..อย่าลืมรีบไปล้างแผลหล่ะ จะได้ไม่ติดเชื้อ ฉันไปก่อนนะคะ"
"ครับ...ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"
เธอยิ้มรับแล้วก็เดินไป
คนสวนค่อยๆเงยหน้าขึ้น .. มองตามเธอที่เดินออกไป .. ใบหน้าคมสัน ผิวพรรณผู้ดีที่ซ่อนอยู่ใต้เงาหมวกสานค่อยๆถูกเผย ม.ร.ว. ประสาทพร จรูญลักษณ์ มองตามพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มของความประทับใจที่ไม่คิดฝัน

ประสาทพรยืนอยู่หน้ากระจก เปลี่ยนจากชุดคนสวนหมวกสาน มาเป็นชุดลำลองเก๋ หวีผมเปิดใบหน้า ขับให้
ความเข้มคมเด่นชัด ด้านหลังประสาทพรเห็นแม่โอ เข็นรถกรกนกเข้ามา
"พี่ชายคะ !! พี่ชายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ได้เจอคุณครูของหญิงหรือเปล่าคะ คุณครูเพิ่งออกไปเมื่อกี๊นี้เอง สวนกันหรือเปล่าคะ"
ประสาทพรถึงกับหันมาหัวเราะ แม่โอก็ขำๆ ในความกระตือรือร้นของกรกนก
แม่โอย่อตัวมานั่งข้างๆ
"คุณหญิงถามเป็นชุด คุณชายตอบไม่ทันเลย คุณชายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แม่โอไม่ได้ยินเสียงรถเลย มาเงี๊ยบเงียบ"
"กลับมาได้สักพักแล้ว พอดีรถเสีย คนที่กระทรวงขับรถมาส่ง ฉันขอลงที่หน้าบ้าน แล้วเดินเข้ามา เห็นสวนรกๆก็เลยเปลี่ยนชุดลงไปจัดสวน"
"คุณชายจัดสวน !! คราวหน้าคราวหลังบ่าวไพร่ในบ้านให้ไปทำเถอะค่ะ"
"ถ้าฉันไม่ทำเอง ฉันก็คงไม่ได้เห็นน้ำใจใครบางคน"
แม่โอกับกรกนกทำหน้างงๆ ประสาทพรตัดบท
"แม่โอไปเตรียมของว่างเถอะ เดี๋ยวฉันพาน้องหญิงไปเอง"
"ค่ะ"
แม่โอยิ้มรับและค่อยค้อมตัวเดินออกไป กรกนกหันมาถามประสาทพรต่อด้วยความตื่นเต้น
"ตกลงพี่ชายได้เจอคุณครูมั้ยคะ"
ประสาทพรย่อตัวลงมาคุกเข่านั่งตรงหน้า และพยักหน้ายิ้มๆ กรกนกตาโตวาว
กรกนกลุ้นกว่าเดิม
"คุณครูหญิงน่ารักสมกับที่หญิงบอกมั้ยคะ"
ประสาทพรอมยิ้ม..แล้วก็พยักหน้าอีกที...อย่างเท่...กรกนกแทบกรี๊ด ดีใจอย่างแรง
"ไม่ใช่แค่น่ารักธรรมดา แต่น่ารัก .. มากครับ"
" ไชโย !! พี่ชายคิดเหมือนหญิงเลหญิงดีใจมากๆเลยค่ะที่พี่ชายเห็นว่าคุณครูน่ารัก อ้อ...พี่ชายคะ..พี่ชายคิดว่าถ้าพี่หนึ่งได้เจอคุณครู พี่หนึ่งจะชอบคุณครูเหมือนพี่ชายมั้ยคะ แม่โอบอกว่าพี่ชายชวนพี่หนึ่งมารับประทานอาหาร หญิงอยากอวดคุณครูกับพี่หนึ่งจังเลยค่ะ อยากรู้ว่าพี่หนึ่งจะบอกว่าคุณครูน่ารักเหมือนเราหรือเปล่า"
ประสาทพรนึกสนุกด้วย
"จริงสินะ พี่ก็อยากรู้เหมือนกัน เอาเป็นว่า .. วันที่พี่หนึ่งมาเราชวนคุณครูน้องหญิงอยู่รับประทานอาหารด้วยกันนะคะ"
กรกนกพยักหน้าเห็นด้วย ดีใจ ประสาทพรยิ้มรับด้วยความยินดี
หทัยรัตน์โดนต้อนเข้ามุมมากขึ้นเรื่อย เริ่มไม่มีทางให้หนี

บ้านเดือนประดับ สีสุกจิกหน้าถามสุดา น้ำเสียงเหวี่ยง
"อาได้ข่าวว่า คุณพ่อคุณแม่เธอเชิญคุณหนึ่งมากินข้าวที่บ้านวันพรุ่งนี้ .. แล้วนังปุ้มรู้เรื่องหรือเปล่า"
"แป้นไม่ทราบหรอกค่ะว่า พรุ่งนี้ปุ้มจะอยู่รับประทานอาหารกับพี่หนึ่งด้วยหรือเปล่า เพราะยังไม่ได้คุยกัน ปุ้มยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่หนึ่งจะมา"
ที่หน้าห้อง หทัยรัตน์เดินมาพอดี เสียงดังจากห้องดังลอดมา
" ยังไม่รู้ก็ดีแล้ว ถ้าเด็กนั่นรู้คงขออยู่ด้วย แป้นก็ไม่ต้องให้อยู่หรอกนะ เพราะไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกับคุณหนึ่ง"
เธอถึงกับชะงักกึก !
สีสุกจีบปากจีบคอพูดต่อ
"อย่าลืมบอกพ่อเธอด้วยหล่ะ เดี๋ยวเด็กปุ้มเห็นว่า แป้นไม่ให้อยู่แล้วจะไปขอกับคุณพี่"
"แต่แป้นไม่เห็นว่า การที่ปุ้มอยู่เจอพี่หนึ่งมันจะเป็นเรื่องเสียหาย ทำไมต้องกีดกันด้วย .. คุณอากลัวอะไรเหรอคะ " สุดาแกล้งถามจี้ใจดำ
"อาไม่ได้กลัว แต่มันไม่สมควร"
บริเวณหน้าห้อง ปุ้มพยายามฟังด้วยความอดกลั้น ..
"เด็กนั่นถึงจะเป็นลูกของน้าเธอแต่ก็ไม่ได้มีสายเลือดของเดือนประดับแม้แต่นิดเดียว การที่คุณหนึ่งเธอให้เกียรติมาที่บ้านนี้ เพราะวงศ์ตระกูลของพ่อเธอ เพราะฉะนั้น..เด็กนั่นไม่เกี่ยว"
เธอพยายามกัดฟันทน ไม่ตอบโต้ หันหลังจะเดินออกไป แต่ประโยคสุดท้ายมันเสียดแทงใจ
" ที่อามาเตือนเพราะเป็นห่วง ยัยเด็กนั่นทะเยอทะยานจะตาย คงจะหาทางตะเกียกตะกายมาให้คุณหนึ่งเธอเห็นหน้า"
เธอจี๊ด ทนไม่ได้ ชะงักเท้ากึก....
ในห้องสีสุกยังลอยหน้าลอยตาพูดจาด้วยความดูถูก
"เด็กใฝ่สูง ต้องคอยดึงให้มันลงมาติดดิน จะได้ไม่ลืมกำพืดตัวเอง !"
ทันใดนั้นเสียงปุ้มก็ดังเข้าขึ้น
"คุณสีสุกไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดิฉันไม่เคยลืมกำพืดตัวเอง และไม่คิดที่จะตะเกียกตะกายใฝ่สูงเกินตัว"
สีสุกได้ยินเสียงเธอก็เชิดขึ้น เก็บความตกใจไว้อย่างแนบเนียน สุดาหันไปมองเธอเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับสีสุก
"ขอบคุณคุณสีสุกมากนะคะที่กรุณามายุ่งเรื่องของดิฉัน"
สีสุกหันขวับมา
"ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของเธอหรอกนะ ฉันแค่เป็นห่วงพี่ชายฉัน ไม่อยากให้ขายหน้า ถ้าคุณหนึ่งมาเจอกริยาระริกระรี้ของเด็กในบ้าน เค้าจะเข้าใจผิด คิดว่าเดือนประดับไม่อบรมให้รู้จักสมบัติผู้ดี"
เธอสะอึก เจ็บ..แต่พยายามไม่ตอบโต้ แป้นหน้าเสีย มองปุ้มด้วยความสงสาร
สุดาหันมาทางสีสุก
คุณอาพูดแรงไปแล้วค่ะ ปุ้มไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย"
"ใช่หรือไม่ใช่ เจ้าตัวก็คงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าไม่เที่ยวให้ท่าคนไปทั่ว มีเหรอผู้ชายบ้านโน้น บ้านนี้จะมาหลงหัวปักหัวปำ จำไว้นะ เธอจะเที่ยวหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายทั้งพระนคร ฉันไม่เคยว่า ... แต่กับคุณหนึ่งอย่าแม้แต่จะคิด"

สีสุกพูดใส่หน้าและเดินเชิดออกไป เธอทั้งโกรธทั้งเสียใจ สุดามองหทัยรัตน์ด้วยความสงสาร

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 1 (ต่อ)

สัทธาพูดปลอบใจหทัยรัตน์ที่นั่งคุยอยู่กับเขาและสุดาที่มุมหนึ่งของเดือนประดับ
 
“พี่ว่า เราอย่าไปใส่ใจเลย อาสีสุกจะจับคู่หนึ่งกับยัยส่องก็เลยมาขวาง กันท่าไปอย่างนั้น และที่หนึ่งมาวันพรุ่งนี้ก็เพราะคุณพ่อคุณแม่เชิญ ไม่ได้เกี่ยวกับอาสีสุกสักนิด”
เหตุการณ์หลังงานเลี้ยงต้อนรับเลิกย้อนกลับมา อนวัชเดินออกมาส่งสัทธา สุทธิ์ ทิพย์ สุดา สีสุก และส่องแสง
“งานวันนี้สนุกมาก อาหารก็อร่อยทุกอย่าง” สัทธาบอก
“ฝีมือนมพิมพ์คงเส้นคงวา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี รสยังดีไม่มีเปลี่ยน” อนวัชชม
สุทธิ์พูดขึ้นบ้าง “หนึ่งต้องหาเวลาให้พวกเราที่บ้านเดือนประดับได้เลี้ยงต้อนรับบ้างนะ ไปลองดูสิว่า อาหารฝีมืออาทิพย์ยังอร่อยเหมือนที่หนึ่งเคยชอบหรือเปล่า”
สีสุกตาลุกวาว ในขณะที่ส่องแสงดีใจแต่ก็ไม่แสดงออกมาก เธอยังคงวางฟอร์ม
เหตุการณ์ปัจจุบัน สุดารีบสนับสนุนสัทธา
“ใช่ ถ้าพรุ่งนี้ปุ้มจะอยู่รับประทานอาหารกับพี่หนึ่งก็ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก”
“ปุ้มจะอยู่ หรือไม่อยู่ ไม่ใช่เพราะคำพูดของคนอื่น แต่เป็นเพราะการตัดสินใจของปุ้มเอง และปุ้มก็ไม่คิดที่จะอยู่ เพราะปุ้มไม่ได้ยินดีกับการกลับมาขอเค้า นี่ขนาดมาถึงได้ไม่นานชีวิตปุ้มก็เริ่มวุ่นวายแล้ว ถ้าเข้าไปยุ่งมากกว่านี้ ชีวิตคงจะไม่มีทางสงบแน่” หทัยรัตน์ว่า
“พี่ว่ามันคงไม่เลวร้ายแบบนั้นหรอก อย่าคิดมากเลยนะ” สุดาบอก
สัทธายุส่ง “ปุ้ม พี่อยากให้ปุ้มได้เจอกับหนึ่ง เจอกันต่อหน้าสองแม่ลูกนั่นแหละ แล้วก็ทำให้รู้กันไปเลยว่าปุ้มไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าคิด”
สุดาจับมือให้กำลังใจ “พี่เห็นด้วย ถ้าปุ้มมัวแต่หนี ปุ้มก็จะไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง”
สัทธาย้ำ “เพราะฉะนั้นวันพรุ่งนี้ปุ้มต้องอยู่เจอกับหนึ่งให้ได้ เชื่อพี่”
สุดากับสัทะาทั้งยุ ทั้งให้กำลังใจหทัยรัตน์


หทัยรัตน์โผล่หน้าออกมาหน้าบ้านเดือนประดับอย่างระมัดระวัง เธอมองซ้ายมองขวาพอเห็นทางสะดวก ก็รีบย่องออกมาเตรียมหนี

สัทธากับสุดายืนอยู่กลางห้องนอนหทัยรัตน์ที่ว่างเปล่า
“ยัยปุ้มหายไปไหน” สัทธาสงสัย
กระดาษโน้ตวางไว้บนโต๊ะในห้อง สุดาหยิบมาอ่านแล้วก็หันมาทางสัทธา
“ปุ้มทำงานที่คุณป้ามอบหมายเรียบร้อยแล้วนะคะ ทั้งจัดดอกไม้ แกะสลัก และเตรียมอาหารว่าง ปุ้มต้องรีบไปรับหนังสือแบบฝึกหัดชุดใหม่ที่สั่งไว้สำหรับสอนคุณหญิง กลับก่อนค่ำค่ะ”
สัทธาหยิบกระดาษมาดูและจับที่หมึกบนกระดาษ “หมึกยังไม่แห้งดี แสดงว่าเพิ่งเขียน เรารีบลงไปดูข้างล่าง เผื่อยัยปุ้มยังไม่ออกไป จะได้จับไว้ไม่ให้หนี”
“ค่ะ”
ทั้งสองคนรีบเดินออกไปเหมือนกำลังปฏิบัติการอะไรสักอย่างอยู่

หทัยรัตน์เดินย่องๆ ออกมาที่หน้าบ้านด้วยความโล่งอกเพราะคิดว่ารอดแล้ว ทันใดนั้น รถของอนวัชก็แล่นเข้ามา
“แย่แล้ว มาก่อนเวลาได้ยังไงเนี่ย ไม่มีมารยาทเลย ทำไงดี”
หทัยรัตน์รีบผลุบเข้าบ้านไปอีกรอบแล้วหลบอยู่หลังประตู
อนวัชจอดรถและกำลังเดินเข้ามา หทัยรัตน์จะเดินไปด้านหลังแต่ก็เห็นสุดากับสัทธาเดินมาพอดี ทั้งสองคนเดินกวาดสายตาไปทั่วเพื่อมองหาหทัยรัตน์ หทัยรัตน์เครียดเพราะไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี ด้านหนึ่งอนวัชก็กำลังเดินมา ส่วนสุดากับสัทธาก็เฝ้าอยู่ด้านในทำให้เธอเดินเลี่ยงหนีไปไม่ได้ อนวัชเดินใกล้มาทุกที หทัยรัตน์หลับตาปี๋
ทันใดนั้นอนวัชก็นึกขึ้นได้ เขาหันหลังเดินกลับไปที่รถ หทัยรัตน์ลืมตามาอย่างงงๆ ก่อนจะโผล่หน้ามาแอบมองอนวัชก็เห็นว่าเขาเดินกลับไปที่รถ แล้วก็เปิดประตูเหมือนจะหยิบของ หทัยรัตน์ถือโอกาสจังหวะที่อนวัชหันหลังรีบพุ่งพรวดออกมานอกบ้านแล้วก็กระโดดหลบหลังต้นไม้ทันที
อนวัชชะงักแล้วหันมามองแต่ก็ไม่เห็นใครจึงหันไปหยิบของต่อ หทัยรัตน์รีบโผล่มาจากหลังต้นไม้ ทั้งหัวและตัวของเธอมีใบไม้เกาะอยู่มอมแมม หทัยรัตน์รีบย่องหลบไปด้านหลังทันที


หทัยรัตน์เดินพรวดเข้ามาในห้องครัวที่แหววกำลังยืนทอดปลาอยู่ แหววหันมามองหทัยรัตน์ด้วยความแปลกใจ
“อ้าวคุณปุ้ม” แหววเห็นกระเป๋าและรองเท้าของหทัยรัตน์ก็สงสัย “เอ่อ คุณปุ้มจะไปไหนคะ”
“เปล่าจ้ะ ก็ มาช่วยแหววนี่แหละ เออ แหววช่วยไปบอกพี่ปุ๊ กับ พี่แป้นหน่อยสิ บอกพวกเค้าว่าแขกคุณคุณลุงคุณป้ามาแล้ว พาเค้าเข้ามาในบ้านเลยก็ได้นะ”
แหววมองปลาแต่คิดว่าแป๊บเดียวเลยรับคำ “ค่ะ”
แหววรีบเดินออกไป หทัยรัตน์ชะเง้อมองลุ้นๆ


สัทธากับสุดาเดินมาจากคนละทางแล้วมาเจอกันตรงกลาง ทั้งสองต่างคนต่างส่ายหน้า สักพักเสียงอนวัชก็ดังขึ้น
“ปุ๊ แป้น มาอยู่ตรงนี้นี่เอง เดินตามมาตั้งนาน ไม่มีใครอยู่บ้านเลย”
สุดากับสัทธาหันมาเห็นอนวัชก็ตกใจนิดๆ
“หนึ่ง / พี่หนึ่ง”
“ใช่ ฉันเอง ตกใจอะไรกัน”
แหววเดินมาแล้วก็พูดซื่อๆ
“อ้าว คุณปุ๊ กับ คุณแป้น เจอกับแขกของคุณท่านแล้วนี่คะ สงสัยคุณปุ้มจะไม่ทราบ เลยให้แหววมาตามคุณๆ มาพบกับคุณค่ะ”
สุดากับสัทธาหันขวับมาทันที “ปุ้มอยู่ไหน”
“อยู่ในครัวค่ะ” แหววบอก
“แป้นไปดูในครัว พี่จะไปดักที่หน้ารั้ว เผื่อว่าจะเป็นแผน ส่วนแหวว ดูแลคุณหนึ่งไปก่อน” สุดาบอก
สุดากับสัทธารีบไปโดยทิ้งแหววให้อยู่กับอนวัชที่ทำหน้างง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“แหววก็ไม่ทราบค่ะ”
แหววเองก็งงพอกัน


สัทธารีบเดินมาที่ครัว ส่วนสุดารีบเดินออกจากครัว สัทธารีบเดินมาดักที่รั้วบ้าน สุดารีบเดินเข้ามาในครัว แต่ก็ไม่เห็นใคร สุดาเจ็บใจ
“นั่นไง เป็นแผนยัยปุ้มจริงๆด้วย ดีนะที่ให้พี่ปุ๊ไปดักที่หน้าบ้าน ไม่งั้นรอดไปได้แน่ๆ”
สุดายังยิ้มมั่นใจโดยไม่เห็นว่าข้างหลังมีควันลอยโขมงขึ้นมาจากกระทะทอดปลาที่กำลังไหม้ได้ที่
หทัยรัตน์เดินมาที่รั้วพร้อมกับยิ้มกระหยิ่มแต่แล้วก็ต้องชะงักกึก เพราะเห็นสัทธายืนอยู่
“พี่ปุ๊”
หทัยรัตน์รีบหลบวูบ สัทธามองซ้าย มองขวาเพื่อหาหทัยรัตน์
สุดาจะเดินออกจากครัวแต่ก็ได้กลิ่นไหม้ พอหันมาเห็นควันขโมง ไฟลุกท่วมกะทะก็ตกใจมาก
“เฮ้ย ปลาไหม้ ช่วยด้วยค่ะปลาไหม้”
สุดาลนลาน
แหววตกใจ “ว้าย ปลาไหม้”
อนวัชขมวดคิ้วตกใจ
สัทธาได้ยินเสียงสุดาร้องดังมาจากในครัว
“ปลาไหม้ๆ ช่วยด้วยค่ะ”

“หะ ปลาไหม้”

สัทธาตกใจรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที ส่วนหทัยรัตน์งง
“ปลาไหม้ คงไม่มีอะไรมากมั้ง อยู่กันตั้งหลายคน ปุ้มขอตัวก่อนนะคะ”
หทัยรัตน์ได้ทีก็รีบวิ่งออกไปโดยรอดได้อย่างหวุดหวิด
ไฟไหม้ควันท่วมกะทะ สักพักขี้เถ้าก็ถูกเทลงมาดับไฟพรวด ไฟสงบ อนวัชเป็นฮีโร่ที่เอาขี้เถ้ามาดับ สุดายืนหายใจหอบด้วยอาการตื่นเต้น สุทธิ์กับทิพย์วิ่งเข้ามา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” สุทธิ์ถาม
“แป้น หนึ่ง” ทิพย์ตกใจ
สัทธาวิ่งพรวดเข้ามาพร้อมกับถังน้ำ
“ไฟไหม้ที่ไหน ไหน ๆ ไฟอยู่ไหน”
สัทธาถามด้วยความลนลาน ทุกคนหันขวับมามองเหมือนจะบอกว่า “ดับแล้วโว้ย”

สุทธิ์พูดด้วยความเกรงใจ
“อาต้องขอโทษหนึ่งด้วยนะ ที่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น อาเอ็ดเด็กๆในครัวไปแล้ว”
“อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ครับ คุณอาไม่ต้องขอโทษเลยครับ ผมเข้าใจดี” อนวัชว่า “ที่ผมมาวันนี้ นอกจากมารับประทานอาหารตามคำเชิญแล้ว ผมมีของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากฝรั่งเศส มีเนคไทสำหรับคุณอาสุทธิ์และน้ำหอมสำหรับคุณอาทิพย์”
สุทธิ์รับมา “ขอบใจมากนะ ยังอุตส่าห์คิดถึง”
สุทธิ์ ทิพย์ สัทธา สุดา และอนวัชนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก
“ในระหว่างที่เรารออาสีสุกกับยัยส่อง ผมขออนุญาตพาหนึ่งเดินรอบๆ เดือนประดับ ระลึกความหลังสักหน่อยนะครับ รับรองคราวนี้ไม่มีปลาไหม้ หมูไหม้ หรือ วัวไหม้ใดๆทั้งสิ้น” สัทธายิ้มทะเล้น “ไปมั้ยหนึ่ง”
“ไปสิ ฉันไม่ได้มาที่นี่ตั้งนานอยากรู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง” อนวัชว่า
สัทธากับอนวัชลุกจะเดินออกไป สุดาหันมาทางทิพย์
“แป้นไปด้วยนะคะ”
ทิพย์จับตัวสุดาไว้ “เดี๋ยวแป้น นี่ปุ้มหายไปไหน เห็นตื่นมาช่วยงานในครัวตั้งแต่เช้ามืด แต่พอสายๆไม่เห็นหน้าเลย”
อนวัชชะงักนิดๆ ตอนได้ยินชื่อหทัยรัตน์
สุดายิ้มแห้งๆ “ปุ้มเค้าออกไปทำธุระน่ะค่ะเห็นว่าจะกลับเย็นๆ”
อนวัชหันมาถามสัทธาด้วยความอยากรู้
“ปุ้มคือใคร ตั้งแต่มา ฉันได้ยินชื่อนี้หลายครั้งแล้ว ตกลงปุ้มคือใคร ใครคือปุ้ม”
หนึ่งถามตรงๆ เพราะอยากรู้

สัทธาเฉลยต่อหน้าสุดากับอนวัชที่ย้ายมานั่งคุยกันอีกห้องหนึ่ง
“ก็ยัยปุ้มไง แกลืมยายกระปุกตั้งฉ่ายคู่กรณีของแกแล้วหรือไงหา” สัทธาขำ
“กระปุกตั้งฉ่าย” อนวัชขำเบาๆ เพราะเพิ่งนึกออก “โธ่ นี่ฉันลืมยัยเด็กนั่นไปสนิท ป่านนี้คงจะอ้วนจนเดินไม่ไหวแล้วมั้ง ตอนนั้นอายุไม่ถึงสิบขวบยังอ้วนเหมือนหมูเดินแทบไม่ไหว”
“ใครว่าคะ ตอนนี้ปุ้มเค้าผอมกว่าแป้นอีกหุ่นดียังกะดาราภาพยนตร์ แล้วก็เคยเป็นถึงดาวจุฬามาแล้วนะ มีแต่หนุ่มๆ ตามจีบ” สุดาบอก
อนวัชแค่นหัวเราะเพราะยังไม่เชื่อ “พี่ไม่เชื่อ เราโฆษณาเกินความจริงแน่ๆ”
“ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องดูด้วยตาตัวเอง” สุดาเดินไปหยิบรูปหทัยรัตน์ที่ใส่กรอบไว้แล้ววางคว่ำไว้ที่โต๊ะ “รับรองได้เลยว่าถ้าพี่หนึ่งเห็นแล้วจะต้องจำปุ้มไม่ได้แน่ๆ”
สัทธาหยิบรูปปุ้มตอนเด็กที่ใส่กรอบและวางคว่ำไว้ใกล้กันขึ้นมา “เพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจน เรามีรูปเปรียบเทียบในตอนเด็กให้ดู นี่คือเด็กหญิงกระปุกตั้งฉ่ายตอนอายุ 12 ขวบ แท่น แทน แท้น”
สัทธาหันรูปหทัยรัตน์ตอนเด็กให้อนวัชดูด้วยท่าทางเหมือนนักมายากล อนวัชขำในท่าทางของสัทธา
สุดารีบพูดต่อ “และนี่คือนางสาวกระปุกตั้งฉ่าย ณ ปัจจุบัน”
อนวัชยิ้มพร้อมกับรอดู สุดาค่อยๆ หันรูปหทัยรัตน์มาให้อนวัชดู อนวัชอึ้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นรูปหทัยรัตน์ในปัจจุบัน สัทธากับสุดายิ้ม
“เป็นไงหล่ะ อึ้งไปเลย” สัทธาว่า
“ยัยผู้หญิงไม่มีมารยาทคืนนั้น คือ ยัยกระปุกตั้งฉ่ายเหรอเนี่ย” อนวัชว่า
สัทธากับสุดางง “ผู้หญิงไม่มีมารยาท”
“คืออะไร” สัทธาถาม
“ฉันไปงานเลี้ยงต้อนรับที่เพื่อนนักเรียนเก่าฝรั่งเศสจัดให้ คืนนั้นมีการแข่งขันเต้นรำโดยไม่ให้คู่เต้นเห็นหน้ากันก่อน พอม่านเปิดออกเค้าก็วิ่งหนีไปเลย ไร้มารยาทที่สุด” อนวัชว่า
สุดานึกได้แล้วก็ขำ อนวัชกับสัทธาหันไปมองด้วยความสนใจ
“แป้นนึกออกแล้ว ต้องเป็นคืนนั้นแน่ๆ ปุ้มวิ่งหนีจนรองเท้าซ้นสูงขาดใช่มั้ยคะ” สุดาถาม
“ใช่ พี่วิ่งตามเค้ามา บอกให้หยุดก็ไม่หยุด วิ่งจนรองเท้าขาด พี่เก็บให้ ขอบคุณสักคำยังไม่มี” อนวัชว่า
สุดาขำต่อ “ปุ้มบอกแป้นว่าเค้าวิ่งหนีพวกนักเลงหัวไม้ที่ชอบรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ”
อนวัชสะอึก
สุดาพูดต่อ “ที่แท้ก็เป็นพี่หนึ่งนี่เอง”
คราวนี้สัทธาหัวเราะด้วย มีแต่อนวัชที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว
“ร้ายกาจจริงๆ นี่เค้าคงจะจำไม่ได้หล่ะสิว่าผู้ชายคนที่เค้าวิ่งหนีเป็นฉันเอง”
สัทธารีบบอก “ปุ้มเค้าเห็นรูปแกจากหนังสือพิมพ์แล้ว เพราะยัยปุ้มจำได้ถึงวิ่งหนีแก”
“ทำไม”
“ก็ตอนเด็กๆ พี่หนึ่งแกล้งปุ้มไว้มากน่ะสิคะ เค้าไม่ลืมนะคะ จำแม่นมาก” สุดาบอก
“ยัยเด็กนี่หน้าตาน่าแกล้งนี่ มอมแมม สกปรก แถมยังดื้อรั้นอีกต่างหาก ใครเห็นก็ต้องอยากแกล้งทั้งนั้น” อนวัชบอก
อนวัชพูดถึงหทัยรัตน์ตอนเด็กๆ ด้วยความหมั่นไส้

ณ บ้านเพชรลดาในอดีต เด็กๆ 6-7 คนกำลังเล่นกันอยู่ที่สนามหน้าบ้าน โดยมี นมพิมพ์คอยดูอยู่
พิมพ์พูดกับอนวัชในวัยเด็ก “คุณหนูคะ อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของคุณท่านแล้ว ปีนี้คุณหนูจะเล่นละครเรื่องอะไรให้คุณท่านดูดีคะ”
“หนึ่งอยากเล่นเป็นเจ้าชายน่ะนมพิมพ์ มีเรื่องไหนที่มีเจ้าชายบ้าง” อนวัชถาม
“เรื่องซินเดอเรลล่าสิคะ จะได้มีฉากเต้นรำด้วย” สุดาวัยเด็กบอก
“ก็ดีนะหนึ่ง” สัทธาวัยเด็กสนับสนุน “แกเล่นเป็นพระเอก เราจะได้เล่นเป็นพ่อพระเอก”
“แป้นขอเป็นนางฟ้านะคะ เป็นคนมาช่วยซินเดอเรลล่า”
“อ้าว แล้วใครจะเป็นซินเดอเรลล่าหล่ะ” อนวัชถาม
“ก็ปุ้มไงคะ ให้ปุ้มเป็นซินเดอเรลล่า” สุดาบอก
อนวัชหันมาทางสุดาด้วยแววตาไม่เห็นด้วย หทัยรัตน์ตกใจและกำลังจะปฏิเสธแต่อนวัชพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่เอา พี่ไม่เอายัยกระปุกตั้งฉ่ายนี่มาเป็นซินเดอเรลล่าหรอก ดูสิ อ้วนก็อ้วน ขาก็สั้น ยังกะกระปุกตั้งฉ่าย”
หทัยรัตน์สะอึก เด็กๆ คนอื่นที่ยืนอยู่ขำคิกคัก
เด็กคนอื่นส่งเสียงล้อหทัยรัตน์ทันที “กระปุกตั้งฉ่ายๆ”
“ไม่เอาค่ะ ไม่ล้อนะคะ” พิมพ์ปรามแต่ไม่มีใครฟัง
สุดากับสัทธามองหทัยรัตน์ด้วยความสงสาร หทัยรัตน์ทั้งโกรธทั้งเสียหน้า
อนวัชยิ้มได้ใจ เขาเดินเข้ามาใกล้หทัยรัตน์ “ถ้าแป้นจะเอายัยกระปุกตั้งฉ่ายนี่มาเป็นซินเดอเรลล่า พี่ว่าไปยืมหมูที่เจ๊กโกเลี้ยงไว้มาเป็นยังเหมาะกว่า”
อนวัชพูดจบเด็กคนอื่นๆ ก็ขำคิกคัก บางคนทำเสียงหมูล้อ “อู๊ดๆๆๆๆ” อนวัชยิ้มอย่างผู้ชนะ
หทัยรัตน์โกรธมาก เธอมองหน้าอนวัชที่กำลังยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นสุดาก็คว้าข้อมืออนวัชมากัดอย่างแรง
อนวัชร้องเสียงหลง “โอ้ย ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย”
พิมพ์ตกใจ “คุณหนูคะ คุณหนู”
อนวัชสะบัดตัวสุดาออกจนสุดาล้มก้นกระแทก เด็กคนอื่นตกใจวิ่งหนีไป พิมพ์รีบเอามือของอนวัชมาดูก็เห็นเลือดไหลซิบๆ
อนวัชร้อง “โอ้ย”
“เจ็บมั้ยคะคุณหนู” พิมพ์ถาม
สุดากับสัทธารีบวิ่งไปพยุงหทัยรัตน์ “ปุ้ม”

อนวัชหันมาทางสุดา “เด็กบ้า ดุร้ายจริงๆ ฉันพูดแค่นี้ก็ต้องมากัดด้วยเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้วยังอวดดี เกลียดนัก”
 
พิมพ์รีบตัดบท “พอเถอะค่ะคุณหนู รีบเข้าไปทำแผลดีกว่าค่ะ”
พิมพ์รีบพาอนวัชไปทำแผล
สุดาหน้าง้ำน้ำตาปริ่ม อนวัชค้อนใส่แบบไม่ได้ดั่งใจสุดๆ


เหตุการณ์ปัจจุบัน อนวัชมองดูรูปหทัยรัตน์ในมือแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อ อนวัชเบ้หน้าใส่นิดๆ อย่างขัดใจ


สีสุกกับส่องแสงเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นทิพย์กำลังคุมเด็กจัดโต๊ะ โดยมีสุทธิ์คอยช่วย สีสุกกับส่องแสงกวาดสายตาไปทั่วแต่ก็ไม่เห็นหนึ่ง
“คุณหนึ่งหล่ะ” สีสุกถาม


สุดายังแหย่อนวัชต่อ
“แต่ตอนนี้ปุ้มไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว แกยังแกล้งลงหรือเปล่า”
“ฉันจะแกล้งหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ” อนวัชว่า “นี่ถ้าฉันรู้ว่าเป็นยัยเด็กปุ้มนะ ฉันจะลากเข้าไปเต้นรำกับฉันให้ได้ แล้วจะไม่ปล่อยกลับจนกว่าสโมสรจะปิด”
“แล้วพี่หนึ่งคิดว่าคนอย่างปุ้มจะยอมเหรอคะ” สุดายิ้มแหย่
ส่องแสงกับสีสุกเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่สองแม่ลูกได้ยินชื่อหทัยรัตน์ก็ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
อนวัชตอบทันควัน
“ไม่ยอมก็ต้องยอม ตอนเด็กๆ ฉันยังปราบพยศได้ ทำไมตอนนี้จะทำไม่ได้ แล้ววันนี้ฉันจะได้เจอเค้ามั้ย ฉันอยากจะเห็นจริงๆ เค้าจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าฉันรู้ความจริงแล้ว”
ส่องแสงที่อยู่บริเวณหน้าห้องกำมือแน่นเพราะไม่พอใจสุดๆ สีสุกใจร้อนจึงเดือดพั่บๆ
สุดาที่อยู่ในห้องรีบตอบ
“คงจะไม่ได้เจอหรอกค่ะ เพราะปุ้มไม่อยู่ และคงไม่กลับจนกว่าพี่หนึ่งจะกลับ”
สัทธาเอ่ยขึ้น “ถ้าแกอยากเจอจริงๆ ก็ลอง”
สัทธายังพูดไม่จบส่องแสงก็แทรกเข้ามาทันที
“พี่หนึ่งอยู่ที่นี่นี่เอง..ส่องตามหาตั้งนาน”
สัทธา สุดา และอนวัชหันมาตามเสียง ส่องแสงและสีสุกเดินกรีดกรายเข้าปั้นหน้าโดยทำเป็นไม่รู้ว่าคุยอะไรกันอยู่
ส่องแสงยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง”
อนวัชรับไหว้แล้วสวัสดีสีสุก “สวัสดีครับคุณอาสีสุก”
สีสุกรับไหว้ “สวัสดีค่ะ อาจะมาตามคุณหนึ่งไปรับประทานอาหาร คุณพี่ทิพย์ตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้วค่ะ เรารีบไปกันเถอะค่ะ อย่ามัวแต่คุยเล่นกันอยู่เลย” สีสุกหันมาทางสุดากับสัทธา “เราสองคนก็เหมือนกัน รีบไปที่ห้องกินข้าวได้แล้ว” สีสุกพูดเบาๆ “คุยเล่นไม่รู้เวล่ำเวลา” แล้วสีสุกก็หันมาฉีกยิ้มกับอนวัช “ไปกันเถอะค่ะ”
ส่องแสงยิ้มหวาน “เชิญค่ะพี่หนึ่ง”
อนวัชยิ้มรับก่อนจะปรายตามามองรูปปัจจุบันของหทัยรัตน์ที่วางไว้ด้วยความหมั่นเขี้ยว แล้วก็เบือนหน้ากลับ เดินออกไปกับส่องแสง สีสุกเดินตามประกบหลัง สัทธากับสุดามองตามอย่างเซ็งๆ


พินิจกำลังยืนดูรูปหนึ่งที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็อมยิ้มอย่างเป็นมิตร พินิจเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับอนวัช มีรูปร่างผอม ผิวขาวซีด ใส่แว่นกรอบทอง แต่งตัวแบบคนมีฐานะแต่อ่อนแอขี้โรค นมพิมพ์เดินเข้ามาถามพินิจ
“คุณมาหาคุณหนึ่งเหรอคะ”
พินิจหันมา “ครับ ผมทราบข่าวว่าหนึ่งกลับมาจากต่างประเทศ เลยแวะมาทักทาย ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า”
“คุณหนึ่งไม่อยู่ค่ะ เธอออกไปธุระข้างนอก น่าจะกลับเย็นๆ จะให้อีฉันเรียนคุณหนึ่งว่าใครมาขอพบคะ”
“พินิจครับ ผมชื่อพินิจเป็นเพื่อนกับหนึ่ง ผมก็คิดไว้อยู่ว่าอาจจะไม่ได้เจอกับหนึ่ง ผมรบกวนฝากจดหมายให้หนึ่งด้วยนะครับ”
พินิจพูดพลางล้วงหยิบจดหมายจากกระเป๋ากางเกง ขณะล้วงมีกระเป๋าสตางค์ติดออกมาด้วยโดยไม่ตั้งใจ กระเป๋าสตางค์ใบนั้นร่วงหล่นลงพื้น กระเป๋าสตางค์พินิจเปิดออกทำให้เห็นรูปของพินิจที่ถ่ายคู่กับหทัยรัตน์ใส่ไว้ในกระเป๋าอย่างดี พินิจรีบเก็บกระเป๋าสตางค์แล้วส่งจดหมายให้พิมพ์
“นี่ครับจดหมาย ขอบคุณมากครับ”
พิมพ์ยิ้มรับ “ค่ะ”
พินิจยิ้ม หันหลังแล้วจะเดินออกไป แต่แล้วก็เกิดอาการแน่นที่หน้าอกขึ้นมา พินิจเซจนจะล้ม พิมพ์ตกใจ
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
พินิจฝืน “หน้ามืดนิดหน่อย ค่อยยังชั่วแล้วครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พินิจฝืนเดินออกไป พิมพ์มองตามด้วยความแปลกใจแล้วก็มองจดหมายในมือที่จ่าหน้า “ถึง...อนวัชเพื่อนรัก”


รถของอนวัชแล่นเข้ามาในบ้านพิเศษกุลก่อนจะจอดเทียบที่หน้าบ้าน คนรถวิ่งเข้ามาเปิดประตูให้สองแม่ลูกลงจากรถ
“ขอบคุณคุณหนึ่งมากนะคะพี่ขับรถมาส่งอากับน้องถึงบ้าน” สีสุกบอก
“ด้วยความยินดีครับ” อนวัชยิ้มรับ
“ตอนนี้คุณหนึ่งก็รู้จักบ้านอาแล้ว คราวหน้าต้องขอเชิญมารับประทานอาหารที่นี่บ้าง หวังว่าคุณหนึ่งคงจะไม่รังเกียจนะคะ”
“ไม่รังเกียจเลยครับ ผมต้องยินดีมากกว่า” อนวัชบอก
ส่องแสงได้ช่องจึงเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“เอ่อ พี่หนึ่งคะ เมื่อกลางวันก่อนที่ส่องจะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ได้ยินพี่หนึ่งพูดถึงชื่อของเด็กปุ้มดังมาแว่วๆ พี่หนึ่งถามถึงปุ้มเหรอคะ”
อนวัชรีบแย้ง “ไม่ใช่ครับ พี่ไม่ได้ถามถึงเด็กนั่น แต่สองคนนั้นเค้าพูดถึงให้พี่ฟัง”
สีสุกสนใจขึ้นมาทันที “พูดถึงว่ายังไงเหรอคะ”
“ก็บอกว่าตอนนี้เด็กปุ้มโตขึ้นแล้วสวยมาก มีหนุ่มๆ มาตามจีบอยู่หลายคน”
สีสุกกับส่องแสงไม่พอใจขึ้นมาทันที
“คุณหนึ่งอย่าไปเชื่อนะคะ ยัยแป้นกับตาปุ๊น่ะพูดเกินความจริง เด็กปุ้มไม่ได้จะสวยมากมายอะไร ก็แค่ดีกว่าตอนที่เป็นเด็กเท่านั้น” สีสุกว่า
ส่องแสงพูดนิ่มๆ “แต่ส่องคิดว่าพี่ปุ๊กับแป้นพูดก็เป็นความจริงนะคะ เด็กนั่นเป็นคนสวย ไม่ใช่สวยธรรมดาแต่ทั้งสวยทั้งฉลาด”
สีสุกทั้งงงและไม่พอใจ
ส่องแสงพูดต่อ “รู้จักใช้ความสวยของตัวเองให้เป็นประโยชน์ โบราณว่านารีมีรูปเป็นทรัพย์ เด็กปุ้มถึงได้หว่านเสน่ห์ให้กับผู้ชายไปทั่ว ใครที่หลงใหลได้ปลื้มก็ยอมทุ่มเททุกอย่าง”
ส่องแสงพูดพลางยิ้มใสทำเป็นหวังดี สีสุกเริ่มรู้ทันความคิดของส่องแสงก็ยิ้มพอใจแล้วก็ผสมโรงทันที
“จริงค่ะ ใครๆเค้าก็ลือกันว่าเด็กนั่นชอบเข้าสมาคมกับคนร่ำรวย คงหาโอกาสมาตีสนิทกับคุณหนึ่งแน่ๆ คุณหนึ่งเองก็ระวังตัวไว้นะคะ จะหลงเสน่ห์เด็กนั่นไปอีกคน”
อนวัชยิ้มมั่นใจ “ผมไม่ใช่คนชอบอะไรที่เปลือกนอก ถ้าผมจะหลงใหลผู้หญิงสักคน ผมจะต้องรักที่หัวใจ ที่ความดี ไม่ใช่ที่ความสวยแต่เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ”

อนวัชพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ส่องแสงกับสีสุกยิ้มด้วยความพอใจ สองแม่ลูกสบตากันด้วยความสะใจ

สีสุกยิ้มร่า
 
“เมื่อกี๊ลูกส่องของแม่เนี่ยหัวไวจริงๆ ที่พูดกันท่าแบบนั้น นี่ถ้าคุณหนึ่งได้เจอนังเด็กปุ้มจะได้คอยระวังตัวไม่ไปยุ่งกับมัน”
“แต่ส่องยังเคืองยัยแป้นกับพี่ปุ๊ไม่หายนะคะ ที่เยินยอปอปั้นนังเด็กนั่นกับพี่หนึ่ง” ส่องแสงบอก
“หรือยัยแป้นรู้ว่าตัวเองไม่สวยพอ ทำยังไงคุณหนึ่งก็ไม่สนใจ ก็เลยผลักดันนังเด็กปุ้มขึ้นแท่นมาเทียบคุณหนึ่ง”
“เชอะ อย่างนังปุ้มต่อให้ชุบตัวด้วยทองก็ไม่ทำให้มีราคาขึ้นมาได้หรอกค่ะ”
“แต่เราก็ไม่น่าจะวางใจไปนะลูก คุณหนึ่งสนิทกับสองคนนั้น ถ้าทนแรงยุไม่ได้ อาจจะหวั่นไหวก็ได้ (กังวล) ไม่ได้แล้ว แม่ต้องรีบตัดไปแต่ต้นลม ก่อนที่มันจะลามปามไปมากกว่านี้”
สีสุกร้อนใจขึ้นมาทันที


หทัยรัตน์ค่อยๆย่องเข้ามาในบ้าน พอเห็นทางโล่งเธอก็รีบก้มหน้างุดๆ เพื่อจะเดินเข้าห้องนอนแต่แล้วก็ชะงักกึก เพราะสุดากับสัทธาโผล่มาขวางทางไว้พอดี
“อะแฮ่ม”
หทัยรัตน์ยิ้มเจื่อนๆ “พี่ปุ๊ พี่แป้น สวัสดีค่ะ” หทัยรัตน์ยกมือไหว้ “วันนี้ปุ้มไปซื้อหนังสือสำหรับสอนคุณหญิงมาตั้งเยอะแยะเลยค่ะ” หทัยรัตน์ชูถุงหนังสือให้ดู “อากาศข้างนอกก็ร้อนๆ ปุ้มเหนียวตัวชะมัดเลยค่ะ ปุ้มขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” หทัยรัตน์ยกมือไหว้อีกที “สวัสดี และราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
หทัยรัตน์เอาตัวรอดแบบเนียนๆ แล้วก็เดินเบี่ยงเข้าห้องตัวเองไปทันที สุดากับสัทธาได้แต่ยืนเหวอ
“อ้าว ปุ้ม”
“ยัยปุ้ม”
หทัยรัตน์ทำเป็นไม่ได้ยิน เธอเข้าห้อง ปิดประตู แล้วล็อคทันที
สุดากับสัทธาได้แต่ถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ดูท่าทางยัยปุ้มจะไม่ยอมเจอพี่หนึ่งง่ายๆนะคะพี่ปุ๊”
“นั่นสิ พี่ก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าจะหนีไปได้อีกสักกี่ยก”
หทัยรัตน์ยืนพิงประตูแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่รอดมาได้ เธอเดินมาที่โต๊ะทำงาน วางถุงหนังสือไว้บนโต๊ะแล้วจะเดินไปอาบน้ำ แต่ก็ต้องชะงักกึก เดินถอยกลับมาแล้วก็อึ้งที่เห็นรูปอนวัชจากหนังสือพิมพ์วางอยู่บนโต๊ะ บนรูปมีปากกาเขียนไว้ตัวใหญ่พออ่านชัด หทัยรัตน์หยิบมาอ่าน
“คิดหรือว่าฉันจะไม่รู้ ยัยกระปุกตั้งฉ่ายเธอไม่มีวันหนีฉันไม่พ้น หนึ่ง”
หทัยรัตน์อึ้ง เธอมองหน้าอนวัชในรูปเขม็ง


เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ รูปของอนวัชวางอยู่ในห้องรับแขก อนวัชเดินมาเห็นพอดี เขาคิดๆ แล้วก็หยิบหนังสือติดมือมาหาสุดาที่กำลังช่วยคนรับใช้จัดของหวานเพื่อจะเสิร์ฟในห้องกินข้าว
“แป้นพี่ขอรูปนี้ได้มั้ย”
“ได้เลยค่ะ พี่หนึ่งจะเอาไปทำอะไรคะ”
อนวัชไม่ตอบ แต่เขียนข้อความไว้ที่รูปแล้วส่งให้สุดา
“พี่ฝากให้ “เด็กปุ้ม” ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่วางไว้เฉยๆ วางไว้ตรงไหนก็ได้ แต่ให้เค้าเห็นชัดๆ”
อนวัชพูดด้วยแววตาสะใจที่ได้แกล้งคืน สุดารับมาด้วยความแปลกใจ เธอก้มดูรูปอีกทีก็เห็นว่าเป็นรูปอนวัชในหนังสือพิมพ์

เหตุการณ์ปัจจุบัน หทัยรัตน์ยืนมองรูปอนวัชด้วยความแค้นใจ เธอกัดฟันกรอดก่อนจะขยำรูปจนยับยู่คามือ แล้วก็ทิ้งลงในถังขยะ แล้วก็เอาฝาปิดแรงและแน่นมากเหมือนไม่อยากเห็น หทัยรัตน์คิดแล้วก็แค้น


อนวัชเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างอารมณ์ดี เขากำลังจะเปลี่ยนชุด ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นจดหมายที่วางไว้บนโต๊ะ อนวัชชะงักแล้วหยิบมาอ่าน พอเห็นชื่อ “พินิจ พนัสพงษ์” เขาก็ยิ้มดีใจ
“พินิจ” อนวัชยิ้มดีใจ
อนวัชรีบเปิดจดหมายออกอ่าน
“อนวัชเพื่อนรัก ฉันได้จดหมายฉบับสุดท้ายที่แกบอกถึงกำหนดการกลับประเทศไทยแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้ไปรับ เพราะสุขภาพร่างกายของฉันไม่อำนวย ทำให้เดินทางไม่ค่อยสะดวก แต่ที่วันนี้มาได้ เพราะหมอเปลี่ยนยาให้ใหม่ ทำให้มีไม่เหนื่อยง่ายเหมือนก่อน ตอนแรกฉันคิดจะโทรศัพท์นัดล่วงหน้า แต่เกรงว่าแกจะกำลังยุ่ง เลยแวะมาเพื่อฝากจดหมายทักทาย ถามไถ่กันก่อน ถ้าแกมีเวลาเมื่อไหร่ ก็แวะมาเยี่ยมกันที่พนัสพงษ์ได้ สุดท้ายนี้ขอแสดงความยินดี และต้อนรับกลับบ้าน รักเสมอ พินิจ พนัสพงษ์”
อนวัชอ่านแล้วก็ยิ้มเพราะคิดถึงเพื่อน


ภาพถ่ายของอนวัชกับพินิจสมัยเรียนมัธยมต้นใส่กรอบเอาไว้อย่างดี ในรูปพินิจดูแข็งแรงกว่าปัจจุบัน รอบๆรูปนี้ยังมีภาพพินิจในช่วงวัยต่างๆกันอีก ๓-๔ ใบ ตั้งแต่สมัยเด็กที่ถ่ายเดี่ยว โตขึ้นถ่ายกับเด็กผู้หญิงอีกคน และภาพตอนอยู่มหาวิทยาลัยที่ถ่ายกับ “พรรณี” หญิงสาวหน้าหวาน แววตาแอบเศร้า และรอยยิ้มที่แสนละมุนละไม พรรณีถ่ายคู่กับ สุดาและสัทธา ข้างๆ ยังมีรูปพรรณีเดี่ยวๆ และรูปพรรณีกับสุดา และสัทธา ข้างๆกันเป็นภาพวาดสุดาในมุมต่างๆ
ทันใดนั้นเองก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาดึงภาพวาดและภาพถ่ายสุดาออกจากผนังด้วยความรุนแรง เสียงพรรณีดังขึ้น
“คุณแม่ทำอะไรคะ”
พรรณี เดินเข้ามาในห้องแล้วมองด้วยความแปลกใจ นวล แม่ของพรรณีหันขวับมาตามเสียงพร้อมกับดึงรูปสุดท้ายออก
“ก็เอารูปพวกนี้ไปเผาทิ้งน่ะสิ”
“แต่นี่มันรูปพรรณีกับเพื่อนๆนะคะ คุณแม่เผาไม่ได้นะคะ”
“ทำไมจะเผาไม่ได้ เพื่อนของแกพวกนี้ มันไม่จริงใจ มันคบเราเพราะอยากจะใกล้ชิดกับพี่ชายเรา โดยเฉพาะนังเด็กกำพร้า มักใหญ่ใฝ่สูง พ่อแม่ก็ไม่มี ยังจะหวังสูง”
พินิจที่เดินมาพอดีได้ยินเต็มๆ
นวลพูดต่อ “หนอย คนอย่างคุณนายนวลเจ้าของตลาดที่ใหญ่ที่สุดในพระนคร แถมยังมีเรือกสวนไร่นาอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ คิดเหรอว่าฉันจะยอมยกลูกชายให้ ผู้หญิงที่มีแต่ตัวอย่างมัน แม่ไม่เอามาเป็นสะใภ้ให้อับอายขายขี้หน้า”
พินิจพูดแทรกขึ้นมา “พรรณี พี่พร้อมแล้ว นัดหมอไว้สิบโมงใช่มั้ย รีบไปเถอะ เดี๋ยวสาย”
พรรณีอึกอัก “เอ่อ” พรรณีมองรูปในมือนวล
นวลพูดต่อ “เอ้า มายืนเลิ่กลั่กทำไม พี่เราจะไปหาหมอแล้ว รีบพาไปสิ ไป” นวลพูดกับพินิจ “พ่อพินิจเอาแกงส้มพุงปลาที่แม่เตรียมไว้ ไปให้คุณหมอด้วยนะ บอกว่าแม่ฝากมาให้ แล้วก็อย่าลืมถามถึงลูกสาวคุณหมอด้วยนะ”
พินิจส่ายหน้าแล้วรีบเดินมาดึงแขนพรรณีให้รีบเดินออกไปเลย นวลยังตะโกนไล่หลัง
“แม่ได้ข่าวว่าเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาจากปีนัง ชวนมากินข้าวที่บ้านก็ได้นะลูก อย่าลืมหล่ะ”
นวลสั่งไล่หลังไป พินิจกับพรรณีไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว นวลพูดจบแล้วก็หันมามองรูปในมือ

“ลูกสะใภ้คุณนายมันต้องเป็นเลิศในทุกๆด้าน ไม่ใช่ “กาฝาก” อย่างหล่อน” นวลว่า

หนึ่งในทรวง ตอนที่ 1 (ต่อ)

กระถางเล็กๆ ถูกวางไว้บนพื้นในสวน นวลโยนรูปวาดและภาพถ่ายลงไปในกระถาง
 
ใส่น้ำมันแล้วจุดไฟเผา รูปโดนไฟก็ค่อยๆ ไหม้ นวลยืนมองด้วยความสะใจ รถอนวัชแล่นเข้ามาจอดด้านหลัง นวลหันไปมองด้วยความแปลกใจ

อนวัชและนวลนั่งคุยกันที่ห้องพัก เด็กรับใช้เอาน้ำมาให้ นวลยิ้มแย้มแจ่มใสผิดจากเมื่อครู่เป็นอย่างมาก
“ไม่เจอกันตั้งหลายปี คุณอนวัชเปลี่ยนไปมาก กลับมาจากฝรั่งเศสนานหรือยังคะ” นวลว่า
“สักพักแล้วครับ พอได้รับจดหมายของพินิจเลยเป็นห่วง รีบแวะมาเยี่ยม เสียดายที่ไม่ได้เจอกัน ตอนนี้อาการของพินิจเป็นอย่างไรบ้างครับ” อนวัชถาม
“ทางกายก็ทรงๆค่ะ ดีที่ใช้ยาหมอรักษาได้ แต่จิตใจนี่สิคะยาไหนๆ ก็รักษาไม่หาย”
“จิตใจ คุณน้าหมายถึงอะไรครับ”
“อ้าว ตานิจไม่ได้เขียนเล่าเรื่องผู้หญิงคนนั้นให้คุณฟังเหรอคะ”
“ไม่มีนะครับ ใครเหรอครับ”
นวลแกล้งทำอึกอัก อนวัชคาดคั้น
“คุณน้ากรุณาเล่ามาเถอะครับ เผื่อว่าผมจะพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง”
“ตานิจไปหลงรักผู้หญิงอยู่คนนึงเป็นเพื่อนของพรรณี น้องสาวพินิจน่ะค่ะ เรียนที่อักษรด้วยกัน เมื่อก่อนก็ไปๆ มาๆ ที่บ้านเกือบทุกวันแต่พอรู้ว่าตานิจป่วย ไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ ก็ไม่เยี่ยมกรายมาเลย ตานิจเสียใจมาก โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง วันๆ ก็เอาแต่ซึมไม่ร่าเริงเหมือนเดิม”
“ผู้หญิงใจร้ายแบบนั้นไม่น่าจะต้องอาลัยอาวรณ์เลยนะครับ”
“ใช่ น้าก็บอกตานิจทุกวัน แต่ก็ไม่เคยฟัง ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสวยค่ะ มารยาเหลือรับ คอยจับแต่คนรวยๆ คงเห็นตานิจไม่มีประโยชน์เลยทิ้งไป”
“เอ่อ..คุณน้าบอกผมได้มั้ยครับว่าผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร”
“บอกได้สิคะ แม่ผู้หญิงใจดำคนนั้นน่ะชื่อ หทัยรัตน์ นามสกุล ราชพิทักษ์ค่ะ” นวลบอก
อนวัชฟังชื่อของหทัยรัตน์อย่างจดจำ
“หทัยรัตน์..ราชพิทักษ์” อนวัชรู้สึกว่าไม่คุ้นเลย

กองรูปที่โดนเผาไฟแล้วมอดจนเหลือแต่ควันจางๆ ลอยอยู่ อนวัชเดินมายืนดู เสียงนวลพูดยังดังแว่วอยู่ในหูต่อเนื่อง
“คุณหนึ่งจำชื่อไว้แล้วอยู่ให้ห่างที่สุด ผู้หญิงคนนี้ร้ายมาก ทำจนตาพินิจหลงโงหัวไม่ขึ้น น้าต้องขนรูปเก่าๆไปเผาทิ้ง เผื่อจะทำให้ลืมแม่นี่ได้บ้าง”
อนวัชยืนมองอยู่แล้วก็ส่ายหน้าในความลุ่มหลงของเพื่อน อนวัชหันหลังกำลังจะเดินไป ทันใดนั้นเองลมก็พันมาวูบหนึ่ง พาเอาขี้เถ้าลอยไปเผยให้เห็นว่าที่ก้นกระถางยังมีรูปที่เผาไม่หมดเหลืออยู่บางส่วน และส่วนนั้นคือ “ใบหน้าของหทัยรัตน์” อนวัชชะงักกึกแล้วค่อยๆ เพ่งมองอย่างตั้งใจ
“นี่มัน รูปเด็กปุ้มนี่ ทำไมมาอยู่ที่นี่”
อนวัชหยิบรูปขึ้นมาดูด้วยความสงสัย
รูปหทัยรัตน์ที่โดนเผาจนเหลือแต่ใบหน้าของเธอที่เห็นชัดโดนเด่นเหมือนจะเยาะเย้ยอนวัชชอบกล


หทัยรัตน์กำลังสอนกรกนก
“คุณหญิงลองอ่านการบ้านของวันนี้ ถ้ามีข้อสงสัยจะได้ถาม เดี๋ยวคุณครูไปบอกแม่โอให้เตรียมของว่างหลังเลิกเรียนให้นะคะ”
ทันใดนั้นเสียงประสาทพรก็ดังขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแม่โอเรียบร้อยแล้ว”
หทัยรัตน์หันไปตามเสียงก็เห็นประสาทพรเดินเข้ามาพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร หทัยรัตน์งง กรกนกเงยหน้ามาเห็นประสาทพรก็ยิ้มรับด้วยความดีใจ
“พี่ชาย”
พอรู้ว่าเป็นใครหทัยรัตน์ก็ลุกขึ้นยกมือไหว้แล้วแนะนำตัว “สวัสดีค่ะคุณชาย ดิฉันเป็นคุณครูของคุณหญิงค่ะ”
“อ้าว ทำไมคุณครูต้องแนะนำตัวด้วยคะ พี่ชายบอกว่าเจอกับคุณครูแล้วนี่คะ” กรกนกว่า หทัยรัตน์งง
ประสาทพรยิ้ม “ก็ตอนเจอกัน คุณครูยังไม่รู้ว่าพี่ชายเป็นใครนี่คะ” หทัยรัตน์งงหนักกว่าเดิม ประสาทพรส่งผ้าเช็ดหน้าคืน “ขอบคุณมากนะครับ โชคดีที่แผลที่ลึกมาก ตอนนี้หายสนิทแล้ว”
หทัยรัตน์รับมาอย่างงงๆ แล้วก็นึกออก “อ๋อ นายคนสวน” หทัยรัตน์นึกได้ “อุ๊ย! ขอโทษนะคะ” หทัยรัตน์รีบยกมือไหว้ “คือวันนั้นดิฉันไม่ทราบว่าเป็นคุณชาย ก็เลย”
ประสาทพรรีบบอก “ผมผิดเองที่ไม่ได้แนะนำตัว ไม่ใช่ความผิดของคุณที่จะเข้าใจผิด วันนี้ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผมหม่อมราชวงศ์ประสาทพร พี่ชายของน้องหญิงครับ ยินดีที่ได้รู้จัก น้องหญิงพูดถึงบ่อยๆ และสิ่งที่พูดก็ไม่ได้เกินจริงเลย” หทัยรัตน์งง
กรกนกยิ้มแล้วกระซิบบอกหทัยรัตน์ “หญิงบอกว่าคุณครูหญิงน่ารักมากน่ะค่ะ และพี่ชายก็เห็นด้วย”
หทัยรัตน์เขินจนทำหน้าไม่ถูก
ประสาทพรหันมาทางกรกนก “แล้วหญิงบอกเรื่องแขกพิเศษให้คุณครูทราบหรือยังคะ”
“จริงด้วย หญิงเกือบลืม” กรกนกหันมาทางหทัยรัตน์ “คุณครูขา บ่ายนี้จะมีแขกพิเศษเป็นลูกชายของพี่สาวท่านพ่อ แต่หญิงก็รักเหมือนกับเป็นพี่ชายแท้ๆ หญิงอยากแนะนำให้คุณครูรู้จัก และหญิงก็อยากอวดคุณครูกับพี่ชายด้วย คุณครูยินดีจะพบพี่ชายหญิงหรือเปล่าคะ”
หทัยรัตน์คิด กรกนกมองด้วยแววตาคาดหวัง
หทัยรัตน์ยิ้มอย่างใจอ่อน “ยินดีค่ะ”
“ไชโย หญิงรับรองเลยค่ะ ถ้าคุณครูได้เจอพี่หนึ่ง คุณครูต้องชอบพี่หนึ่งแน่ๆ”
หทัยรัตน์ชะงัก “พี่หนึ่ง”
“ครับ หนึ่ง อนวัช พัชรพจนาถ เป็นลูกของคุณป้าผมเองครับ”
หทัยรัตน์รีบถาม “ไม่ทราบว่า คุณอนวัชจะมาถึงที่นี่ตอนกี่โมงคะ”

หทัยรัตน์เริ่มร้อนรน

อนวัชขับรถมุ่งหน้ามาที่บ้านกนกพร รถแล่นมาถึงหน้ารั้วและกำลังจะเลี้ยวเข้ามา
 
หทัยรัตน์รีบเดินออกจากบ้านกนกพรพร้อมมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าไม่มีรถจอดอยู่ หทัยรัตน์ก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วรีบตรงไปที่รั้ว
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ปุ้มที่รู้ว่าเป็นอนวัชก็อึ้ง เธอรีบคิดหาทางออก “เอ่อ คุณหญิงคะ คุณครูเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าบ่ายนี้คุณครูมีนัด คงจะอยู่พบแขกของคุณหญิงไม่ได้”
กรกนกผิดหวัง “อ้าว แต่เมื่อครู่คุณครูรับปากหญิงแล้วนี่คะ”
“คุณครูขอโทษค่ะ คุณครูเพิ่งนึกได้จริงๆ ขอผลัดเป็นวันพรุ่งนี้คุณครูจะอยู่ทานน้ำชากับคุณหญิงเป็นการขอโทษนะคะ”
“แต่วันพรุ่งนี้ก็ไม่พบพี่ชายแล้วนี่คะ” กรกนกบอก
หทัยรัตน์ทำหน้าลำบากใจ ประสาทพรเห็นใจจึงพูดออกมา
“อย่าทำให้คุณครูลำบากใจเลยครับน้องหญิง เดี๋ยวเราค่อยนัดหนึ่งมาพบกับคุณครูอีกก็ได้นี่ครับ พี่หนึ่งไม่ได้มาที่นี่เพียงครั้งเดียวไม่ใช่เหรอครับ” ประสาทพรบอก กรกนกหน้าง้ำ “นะครับ นะ”
“ก็ได้ค่ะ..แต่คราวหน้าคุณครูห้ามปฎิเสธหญิงนะคะ”
หทัยรัตน์ไม่รับปาก เธอได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ด้วยความโล่งอกแล้วก็นึกขึ้นได้จึงรีบถาม
เหตุการณ์ปัจจุบัน หทัยรัตน์รีบเดินออกมา ทันใดนั้นรถของอนวัชก็เลี้ยวเข้ามา หทัยรัตน์หันมาเห็นพอดีก็รีบก้มหน้าแล้วเดินอ้อมไปหลังต้นไม้โดยใช้ต้นไม้เป็นเกราะกำบัง อนวัชที่อยู่ในรถเห็นหทัยรัตน์แว่บๆ แต่ก็ไม่ชัด อนวัชชะงัก แล้วรีบมองตามไป อนวัชเห็นหทัยรัตน์ในมุมที่ไม่ชัดเจน หทัยรัตน์รีบก้มหน้าแล้วเดินหลบพร้อมกับเดินจ้ำอ้าวออกไปจากรั้วด้วยความรวดเร็ว อนวัชได้แต่งุนงงและค้างคาใจ แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ หทัยรัตน์เดินออกจากรั้วมาได้ก็รีบเดินไปอย่างรวดเร็ว

อนวัชเดินเข้ามาในบ้าน เสียงกรกนกตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ
“พี่หนึ่ง”
อนวัชหันมาตามเสียงก็เห็นกรกนกนั่งรถเข็น โดยมีประสาทพรเป็นคนเข็นมาต้อนรับ อนวัชยิ้มแล้วรีบเดินเข้ามาหา
กรกนกยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง”
อนวัชรับไหว้ “สวัสดีค่ะน้องหญิง สวัสดีครับคุณชาย”
ประสาทพรยิ้มทักทาย “ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ไปร่วมงานวันก่อน”
“ไม่เป็นไรครับ วันนั้นไม่ได้เจอ วันนี้ก็ได้เจออยู่ดี” อนวัชย่อตัวลงนั่งคุยกับกรกนก “พี่หนึ่งดีใจมากนะครับที่คุณหญิงจำพี่หนึ่งได้ พี่หนึ่งมีของฝากมาให้คุณหญิงด้วยนะครับ”
อนวัชส่งตุ๊กตาสุนัขให้ กรกนกดีใจแล้วยิ้มรับ
“ขอบคุณพี่หนึ่งมากค่ะ ดีเลย หญิงจะเอาไว้ที่หัวเตียง จะได้อยู่เป็นเพื่อนหญิงตอนที่พี่ชายต้องไปราชการต่างประเทศนานๆ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ต่อจากนี้ไป ถ้าคุณชายไม่อยู่ พี่หนึ่งจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงเองครับ”
“ขอบคุณพี่หนึ่งมากค่ะ”
กรกนกยิ้มมีความสุข อนวัชมองหน้ากรกนกด้วยความรักและเอ็นดู
“หญิงให้แม่โอจัดโต๊ะอาหารเลยนะคะ เดี๋ยวหญิงจะไปช่วยแม่โอด้วย พี่ชายกับพี่หนึ่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นก่อนนะคะ ถ้าพร้อมแล้วเดี๋ยวหญิงให้แม่โอมาเชิญ” กรกนกกระตือรือร้นและภูมิใจที่ตัวเองทำหน้าที่เหมือนแม่งาน กรกนกตะโกนเรียก “แม่โอมารับหญิงไปที่ห้องกินข้าวด้วยค่ะ หญิงจะไปดูแลจัดโต๊ะอาหารให้พี่ชายกับพี่หนึ่งค่ะ”
กรกนกพูดด้วยแววตาเป็นประกายและมีความสุข อนวัชกับประสาทพรยิ้มตามด้วยความดีใจที่กรกนกดูมีชีวิตชีวาอย่างนี้

รูปครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วยกรกนก ประสาทพร และ พ่อตั้งอยู่ อนวัชเดินออกมาพร้อมกับประสาทพร
“ท่านน้ามาเยี่ยมคุณหญิงบ้างหรือเปล่าครับ” อนวัชถาม
“ท่านพ่อไม่ได้มาสี่ห้าเดือนแล้ว เพราะหม่อมคนใหม่ของท่านป่วย ท่านพ่อไม่อยากมาที่นี่เพราะเกรงว่าจะคิดมาก จนอาการทรุด เดือนแรกน้องหญิงก็บ่นบ้าง แต่พอรู้เหตุผลก็ไม่พูดอะไรนอกจากบอกว่า “ท่านพ่อคงจะไม่รักเราแล้ว” ประสาทพรบอก
“น่าสงสารคุณหญิงคงจะเศร้ามาก”
“เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่พอมีคุณครูคนใหม่มาสอน หญิงก็ร่าเริงขึ้นและไม่พูดน้อยใจท่านพ่ออีกเลย คุณครูคนนี้เป็นผู้หญิงที่น่ารัก สดใส มีเสน่ห์ อ้อ แล้วก็จิตใจดีมาก น่าเสียดายที่หนึ่งไม่ได้เจอ เธอเพิ่งกลับไปเมื่อกี๊นี้เอง”
อนวัชชะงัก “ใช่ผู้หญิงผมยาวๆ ใส่ชุดสีฟ้า เพิ่งเดินออกไปใช่หรือเปล่าครับ”
ประสาทพรคิด “ใช่ หนึ่งเจอด้วยเหรอ”
“เค้าเดินสวนออกไปตอนขับรถเข้ามา เห็นหน้าแล้วรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเจอมาก่อน แต่คิดๆ แล้วไม่น่าใช่ เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่น่าจะเป็นคนดีอย่างที่ท่านชายพูด” อนวัชนึกได้ “เกือบลืมไป” อนวัชหยิบรูปออกมาจากกระเป๋า “คุณครูคุณหญิงใช่ผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าครับ”
อนวัชส่งรูปหทัยรัตน์ให้ประสาทพรดู ประสาทพรรับมาพอเห็นหน้าหทัยรัตน์ก็รีบบอก
“ใช่ครับ คนนี้หล่ะครับ คุณครูของน้องหญิง คุณหทัยรัตน์ ราชพิทักษ์”
อนวัชอึ้ง
“หทัยรัตน์ ราชพิทักษ์”
อนวัชอึ้งสุดๆ คำพูดของนวลดังลอยเข้ามาในความคิด
“แม่ผู้หญิงใจดำคนนั้นน่ะชื่อ หทัยรัตน์ นามสกุล ราชพิทักษ์ค่ะ คุณหนึ่งจำชื่อไว้แล้วอยู่ให้ห่างที่สุด ผู้หญิงคนนี้ร้ายมาก”
อนวัชชอคกับชื่อจริงของหทัยรัตน์ ประสาทพรถามด้วยความแปลกใจ
“แล้ว ทำไมหนึ่งถึงมีรูปเธอติดกระเป๋า รู้จักกันด้วยเหรอ”
“ครับ ผู้หญิงคนนี้เป็นเด็กในอุปการะของคุณน้าสุทธิ์ที่เป็นญาติห่างๆ แต่เป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อ เราสองครอบครัวค่อนข้างสนิทกัน ส่วนรูปนี้ผมได้มาจากเพื่อนที่ก็บังเอิญรู้จักเธอเช่นกัน”
ประสาทพรยิ้ม “โลกกลมจริงๆ”
“ใช่ครับ กลมมากๆ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ”

อนวัชคิดถึงปุ้มด้วยความประหลาดใจอย่างเหลือแสน เขามองรูปหทัยรัตน์ในมือแล้วก็คิด

กลางดึก อนวัชที่อยู่ในชุดนอนคิดถึงสิ่งที่นวลพูดถึงหทัยรัตน์
 
“ตานิจไปหลงรักผู้หญิงอยู่คนนึงเป็นเพื่อนของพรรณี น้องสาวพินิจน่ะค่ะ เรียนที่อักษรด้วยกัน เมื่อก่อนก็ไปๆ มาๆ ที่บ้านเกือบทุกวันแต่พอรู้ว่าตานิจป่วย ไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ ก็ไม่เยี่ยมกรายมาเลย”
เสียงนวลพูดต่อ “ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสวยค่ะ มารยาเหลือรับ คอยจับแต่คนรวยๆ คงเห็นตานิจไม่มีประโยชน์เลยทิ้งไป”
อนวัชนึกถึงคำพูดของส่องแสงกับสีสุกที่พูดถึงหทัยรัตน์
“คุณหนึ่งอย่าไปเชื่อนะคะ ยัยแป้นกับตาปุ๊น่ะพูดเกินความจริง เด็กปุ้มไม่ได้จะสวยมากมายอะไร ก็แค่ดีกว่าตอนที่เป็นเด็กเท่านั้น”
“แต่ส่องคิดว่าพี่ปุ๊กับแป้นพูดก็เป็นความจริงนะคะ เด็กนั่นเป็นคนสวย ไม่ใช่สวยธรรมดาแต่ทั้งสวยทั้งฉลาด รู้จักใช้ความสวยของตัวเองให้เป็นประโยชน์ โบราณว่านารีมีรูปเป็นทรัพย์ เด็กปุ้มถึงได้หว่านเสน่ห์ให้กับผู้ชายไปทั่ว ใครที่หลงใหลได้ปลื้มก็ยอมทุ่มเททุกอย่าง”
“จริงค่ะ ใครๆเค้าก็ลือกันว่าเด็กนั่นชอบเข้าสมาคมกับคนร่ำรวย คงหาโอกาสมาตีสนิทกับคุณหนึ่งแน่ๆ คุณหนึ่งเองก็ระวังตัวไว้นะคะ จะหลงเสน่ห์เด็กนั่นไปอีกคน”
อนวัชคิดโต้แย้ง ไม่เชื่อ
เขานึกถึงตอนที่ประสาทพรชมหทัยรัตน์
“คุณครูคนนี้เป็นผู้หญิงที่น่ารัก สดใส มีเสน่ห์ อ้อ แล้วก็จิตใจดีมาก”
อนวัชยิ่งคิดหนักเข้าไปอีก เขานึกถึงตอนที่หทัยรัตน์วิ่งหนีวันที่เจอกันครั้งแรก นึกถึงตอนที่หทัยรัตน์หนีที่หน้าบ้านประสาทพร คิดแล้วก็เชิดหน้าด้วยแววตาเหยียด
“ฉันเริ่มจะรู้แล้วว่า ทำไมเธอถึงต้องหลบหน้าฉัน ยัยกระปุกตั้งฉ่าย”
อนวัชคิดถึงหทัยรัตน์ด้วยความไม่พอใจ แล้วเขาก็ปรายตามาที่โต๊ะในห้อง ก่อนจะมองดูเศษเสี้ยวรูปที่เหลืออยู่ไม่มากนักที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความหมั่นไส้

เช้าวันต่อมา วิทย์เดินมาหาพิมพ์ที่กำลังจัดโต๊ะอาหารเช้า
“พิมพ์โทรศัพท์ไปเดือนประดับหน่อยสิ ถามคุณทิพย์หรือคุณสุทธิ์ทีสิว่าวันเกิดครบ 60 ของคุณสุทธิ์ปีนี้ที่ว่าจะจัดใหญ่น่ะ มีอะไรให้ทางเราช่วยเหลือบ้าง เผื่อเค้าต้องการคนเพิ่ม พิมพ์ก็ดูส่งเด็กเราไปช่วย”
“ค่ะ” พิมพ์รีบคำแล้วจะเดินไปโทร
ทันใดนั้นเสียงอนวัชก็ดังขึ้น
อนวัชพูดขึ้น “แม่พิมพ์ไม่ต้องจ้ะ”
พิมพ์หันไป อนวัชเดินเข้ามา
“วันนี้คุณหนึ่งมีธุระต้องผ่านแถวนั้นพอดี เดี๋ยวคุณหนึ่งจะแวะไปที่เดือนประดับเอง”
อนวัชพูดจิกตาแบบแอบร้าย

หทัยรัตน์ที่กำลังร้อยมาลัยถึงกับเข็มทิ่มนิ้ว จึ้ก หทัยรัตน์สะดุ้ง
“อุ้ย”
แหวว คนรับใช้ประจำบ้านซึ่งช่วยร้อยอยู่ข้างๆ หันมามองด้วยความตกใจ
“คุณปุ้ม เลือดไหลด้วย เดี๋ยวแหววเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดแผลให้นะคะ”
แหววจะลุกไป ทันใดนั้นเสียงรถแล่นก็ดังเข้ามา รถจอดที่หน้าบ้าน หทัยรัตน์ได้ยินจึงหันไปสั่งแหวว
“แหววไม่ต้องจ้ะ เดี๋ยวปุ้มจัดการเอง แหววไปดูที่หน้าบ้านสิว่าใครมา”
“ค่ะ”
แหววรีบเดินไป ปุ้มเดินไปหยิบผ้าเช็ดมือแถวนั้นมากดแผลไว้ พลางชะเง้อๆ มองออกไปที่ห้องรับแขก
“ใครมานะ”

อนวัชยืนอยู่ในห้องรับแขกแบบเชิดหน้านิดๆ เขาถามเสียงขรึมๆ อย่างคนฟอร์มจัด
“เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ”
“แหววเรียนว่า ตอนนี้ที่ตึกยังไม่มีใครกลับมาเลยค่ะ ทั้งคุณท่าน คุณแป้น คุณปุ๊ มีแต่คุณปุ้มอยู่ที่ตึกหลังค่ะ”
นี่แหละคำตอบที่อนวัชต้องการ
อนวัชอมยิ้มอย่างถูกใจแว่บเดียวแล้วก็กลับมาขรึมอีกครั้ง “งั้นฉันขอพบใครก็ได้ที่อยู่ เพื่อสั่งธุระสัก 5 นาที”
อนวัชยิ้มด้วยความมั่นใจว่าอีกไม่นานหทัยรัตน์ต้องรีบออกมาตามคำสั่ง

หทัยรัตน์อึ้ง ผ้าที่กดซับเลือดไว้ถึงกับร่วงหล่นจากมือ
“เมื่อกี๊แหววพูดว่าใครมานะ”
แหววเก็บผ้าจากพื้น มาวางไว้ข้างๆ ถาดร้อยมาลัยก่อนจะตอบ
“คุณหนึ่งค่ะ คุณหนึ่ง อนวัช”
หทัยรัตน์อึ้งเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
แหววพูดเบาๆ “เอ ทำไมวันนี้แหววพูดอะไร มีแต่คนไม่ได้ยิน ต้องถามซ้ำทั้งคุณปุ้มทั้งคุณหนึ่งเลย”
หทัยรัตน์ไม่ได้ยินเพราะมัวแต่คิดหาทางออก หทัยรัตน์เชิดคอแข็งตั้งขึ้น
“แหววไม่ได้บอกคุณหนึ่งเหรอว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่”
“บอกแล้วค่ะ”
“อ้าว รู้ว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่แล้วยังนั่งอยู่อีกทำไมนะ”
“แต่เธอทราบว่าคุณปุ้มอยู่ค่ะ เธอบอกว่าจะขอพบใครก็ได้ค่ะ เพื่อสั่งอะไรบางอย่างสัก 5 นาที”
“ในเมื่อเป็นใครก็ได้ ก็ให้คุณหนึ่งฝากธุระไว้กับแหววก็แล้วกัน บอกเค้าว่าฉันไม่ว่างกำลังร้อยมาลัย”
หทัยรัตน์ตอบกวนๆ แล้วก็หันมานั่งร้อยมาลัยต่อ

อนวัชปรี๊ดทันทีที่ได้ยิน
“คุณปุ้มของเธอไม่ยอมมาพบฉันเพราะกำลังร้อยมาลัย”
แหววตกใจกับเสียงของอนวัช “คะ ค่ะ”
“เค้ารู้หรือเปล่าว่าฉันขอเวลาแค่ 5 นาที”
“ทราบค่ะ คุณปุ้มเธอให้คุณหนึ่งสั่งธุระกับแหววค่ะ ถ้าคุณหนึ่งเกรงว่าแหววจะฟังคำสั่งไม่ทราบเรื่อง คุณหนึ่งเขียนข้อความฝากไว้ก็ได้นะคะ”
อนวัชยิ่งโกรธหนัก เขาเดินเข้าไปด้านในด้วยความโกรธ
แหววเรียก “อ้าว คุณหนึ่งคะ คุณหนึ่ง”

หทัยรัตน์ยังร้อยมาลัยอยู่ เธอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาก็ถามขึ้นโดยไม่มองหน้า
“คุณอนวัชกลับไปแล้วใช่มั้ยแหวว”
เสียงของอนวัชดังสวนขึ้นมา
“เธอคิดว่าฉันจะกลับไปง่ายๆ งั้นเหรอ”
หทัยรัตน์ตกใจ เธอรีบหันมาตามเสียงก็เห็นอนวัชยืนอยู่ หทัยรัตน์ยืนขึ้นโดยอัตโนมัติ ทั้งสองเผชิญหน้ากัน
“ทำไมเธอไม่ออกไปพบฉัน” อนวัชถาม
“คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง” หทัยรัตน์ถามกลับ
“ทำไมฉันจะเข้ามาไม่ได้ ในเมื่อบ้านนี้ก็เป็นบ้านของคุณอาฉัน ท่านอนุญาตให้ฉันเดินเข้าเดินออกได้โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตคนที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน”
หทัยรัตน์เชิดหน้า “แต่คุณก็ควรที่จะส่งเสียงหรือเคาะประตูก่อนที่จะเดินเข้ามาอย่างไม่มีมารยาท”
“แล้วการที่เธอวิ่งหนีฉัน และไม่ยอมออกไปพบฉัน มันแสดงความเป็นคนมีมารยาทตรงไหน” อนวัชพูดเน้น “ไม่ทราบ”
หทัยรัตน์ไม่ตอบแต่เชิดหน้าขึ้น อนวัชได้ทีก็รุกหนัก
“เธอจะกลัวอะไรฉันนักหนา ถึงได้หนีฉันหัวซุกหัวซุนแบบนี้”
หทัยรัตน์สวนขวับ “ดิฉันไม่ได้หนี แต่ดิฉันไม่ต้องการพบคุณ”
อนวัชชะงักกึก เพราะไม่เคยโดนผู้หญิงพูดต่อหน้าแบบนี้
“ที่ไม่ต้องการพบฉัน เพราะไม่อยากเจอคนที่รู้ทันเธอใช่มั้ย” อนวัชย้อน
อนวัชจ้องตาไม่หลบ ในขณะที่หทัยรัตน์ก็สู้ตาไม่ถอย หทัยรัตน์เชิดหน้าขึ้นแล้วพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่
“ดิฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายว่าอะไร และดิฉันก็ไม่มีเวลามากพอจะซักถามเพื่อทำความเข้าใจ หรือฟื้นฝอยหาตะเข็บกับเรื่องไร้สาระ ในเมื่อคุณมาเพื่อพูดธุระแค่ 5 นาทีก็เชิญพูดมาได้ ฉันมีเวลาให้ตามที่คุณต้องการเท่านั้น เริ่มต้นจับเวลา”

หทัยรัตน์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเพื่อเป็นการจับเวลา อนวัชปรี๊ดแตก เขาคิดในใจว่ามันจะมากเกินไปแล้ว

แหววที่ยืนอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมา
 
“โอ้ย ทำไงดีนังแหวว เฮ่อ ใครก็ได้รีบกลับมาสักคนเถอะค่ะ”
แหววยืนสั่นด้วยความกลัว

อนวัชจิกตาพูดดักคอเหมือนจะแกล้งยั่วโทสะ
“เธอคงจะยังโกรธที่ฉันเคยแกล้งเธอไว้ตอนเด็กๆ หล่ะสิ ถึงได้หาทางแก้แค้นโดยการหักหน้าฉันกลางสโมสรแบบนั้น” อนวัชแค่นหัวเราะ “เธอนี่ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้”
หทัยรัตน์ทนไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากนาฬิกาแล้วตอกกลับไปแบบกวนๆ
“ถ้าดิฉันทำตัวเป็นเด็ก แสดงว่าการที่คุณวิ่งตามดิฉันออกมา และพยายามฉุดกระชากลากถู บังคับให้ดิฉันกลับเข้าไป คงจะเป็นการกระทำของผู้ใหญ่กระมังคะ ดิฉันเพิ่งทราบ”
“เวลาผ่านไปสิบกว่าปีคงจะมีแต่ไขมันที่หลุดออกไปจากตัวเธอ” อนวัชว่า หทัยรัตน์สะดุดที่โดนจี้ปม “แต่ความจองหอง อวดดี ยังอยู่เหมือนเดิม” อนวัชปรายตามอง “หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะมั่นใจแบบผิดๆที่คิดว่าตัวเอง สวย”
หทัยรัตน์ใจเต้นตุบๆ ที่โดนด่าต่อหน้า เธอกัดฟันไม่ตอบโต้ อนวัชได้ทีก็ใส่ต่อ
“ฉันยังไม่ทันจะชำระความเรื่องที่เธอวิ่งหนีฉัน แล้วยังบอกแป้นว่าฉันเป็นนักเลงหัวไม้ที่รังแกผู้หญิง รวมทั้งเรื่องหลบหน้าฉันที่บ้านคุณหญิง วันนี้สร้างคดีใหม่ ไม่ยอมออกไปพบฉันตามคำสั่ง เธอกำลังคิดจะทำอะไร จะท้าทายฉันหรือไง”
หทัยรัตน์ไม่ตอบแต่ก้มดูนาฬิกาแล้วเงยหน้าขึ้นพูดหน้าตาเฉย
“หมดเวลาที่คุณขอไว้แล้ว ดิฉันขอตัว”
พูดจบหทัยรัตน์ก็เดินไปเลย อนวัชไม่ยอมจึงจับข้อมือเธอไว้
“เธอยังไปไม่ได้”
หทัยรัตน์พยายามสะบัดแต่ก็ไม่หลุด “คุณขอดิฉันห้านาที และมันก็หมดแล้ว กรุณาเคารพกติกาด้วย” หทัยรัตน์พูดเน้น “ปล่อย”
อนวัชจับแน่นกว่าเดิม ต่างคนต่างก็ไม่ยอมกัน

รถของสุดาแล่นเข้ามาที่หน้าบ้านเดือนประดับ สุดากับสัทธากำลังลงจากรถ ทันใดนั้นแหววก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมา
“คุณปุ๊ คุณแป้นคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
“ใจเย็นๆ แหวว มันเกิดเรื่องอะไรหะ” สุดาถาม


อนวัชยังบีบข้อมือหทัยรัตน์แน่นแล้วดึงเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้ม
“ฉันเคารพกติกาอยู่แล้ว แต่เธอต่างหากที่ไม่เคารพ เธอยอกย้อนฉัน ทำให้ฉันต้องเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเธอ จนไม่ได้พูดธุระ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องทดเวลาให้ฉันสี่นาทีเป็นอย่างน้อย” อนวัชยักคิ้วกวน
หทัยรัตน์สะบัดมือสุดแรงแต่ก็ไม่หลุด เธอยิ่งแค้น “ดิฉันไม่ทด เพราะคุณเองที่ไม่มีขันติ ไม่รู้จักระงับอารมณ์ เป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอคะ จะมาต่อปากต่อคำกับ “เด็ก” ทำไม”
อนวัชยิ้มร้าย “ในที่สุดก็ยอมรับว่าตัวเองเป็น เด็ก”
หทัยรัตน์สะอึก อนวัชรีบพูดต่อ
“รู้ตัวก็ดี แล้วก็จำไว้นะ ต่อให้เธอพยายามจะหนีฉันสักแค่ไหน แต่เธอไม่มีวันจะหนีสิ่งที่เธอทำไปได้ เวลาทำให้เธอเปลี่ยนแค่ภายนอกเท่านั้น แต่เธอก็ยังเป็นเด็กจองหอง ดื้อรั้น ร้ายกาจเหมือนเดิม อย่ามาอวดดีกับฉัน เธอไม่มี “ดี” มากพอ”
หทัยรัตน์แค้น เธอใจเต้นตุบๆ จนพูดไม่ออก อนวัชพูดต่อ
“นับจากวันนี้เธอจะไม่มีโอกาสหันหลังและเดินหนีฉันไปอีกเป็นครั้งที่สอง”
อนวัชปล่อยมืออย่างแรงด้วยความสะใจ หทัยรัตน์เซนิดๆ อนวัชเดินเชิดออกไปแบบคนที่เหนือกว่า หทัยรัตน์จับที่ข้อมือของตัวเองด้วยความเจ็บ เธอมองตามอนวัชไปด้วยความแค้น


สุดากับสัทธารีบเดินมาด้วยความร้อนใจ โดยมีแหววเดินตามมาติดๆ
“พี่ปุ๊รีบไปสิคะ ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง”
“พี่ก็รีบเดินอยู่เนี่ย”
อนวัชเดินหน้าหงิกออกมา สัทธาเห็นก็รีบเรียกขึ้น
“หนึ่ง”
อนวัชชะงักเท้า พอเห็นสุดากับสัทธามาก็พยายามทำสีหน้าให้ดีขึ้น แต่ในใจยังเต้นปุดๆ
สุดาบอกสัทธา “แป้นรีบไปดูปุ้มก่อนนะคะ พี่หนึ่งโกรธหน้าแดงแบบนี้ไม่รู้ปุ้มเป็นยังไงบ้าง”


หทัยรัตน์ตอบเสียงแข็ง
“ปุ้มไม่ได้เป็นอะไรคะ ก็แค่ฝึกกับความอดทนกับคนที่พยายามจะมาหาเรื่อง”
สุดาเลิกคิ้วด้วยความงุนงง
“พี่หนึ่งเนี่ยนะ หาเรื่องปุ้ม”
อนวัชโวยใส่สัทธาที่ห้องรับแขก
“น้องสาวแกหาเรื่องฉันก่อน เค้าไม่ยอมออกมาพบฉัน ทั้งที่ฉันบอกว่าต้องการฝากธุระแค่ไม่ถึง 5 นาที” อนวัชพูดเหยียดๆ “ไม่มีมารยาท”
อีกด้านหนึ่ง หทัยรัตน์ก็โวยใส่สุดาด้วยอาการฉุนไม่แพ้กัน
“ก็คุณอนวัชบอกว่าใครก็ได้ ปุ้มก็ให้เค้าฝากธุระไว้กับแหวว เค้าก็เดินเข้ามาถึงห้องนั่งเล่นไม่ให้ซุ่มให้เสียง พอมาถึงก็ต่อว่าปุ้มใหญ่เลย แล้วยังหาว่าปุ้มทำตัวเป็นเด็กๆ”
อนวัชโวยไม่หยุด
“หรือว่าไม่จริง คนโตๆ กันแล้วเค้าไม่แบบนี้หรอก”
หทัยรัตน์ฉุน
“พูดยังกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ซะเต็มประดา เที่ยวใช้อำนาจบังคับคนโน้นคนนี้ เอาแต่ใจตัวเอง ชอบเอาชนะ แล้วก็ชอบดูถูกคนอื่น เพราะเป็นแบบนี้ปุ้มถึงไม่อยากจะเจอหน้า”
อนวัชส่ายหน้า
“คนอะไร ทั้งยโส ทั้งจองหอง แล้วยังดื้อรั้นอีกต่างหาก เถียงคำไม่ตกฟาก น้องสาวแกนี่เหลือรับจริงๆ ฉันไม่เข้าใจคนอื่นชอบเข้าไปได้ยังไง”
สัทธางง “แล้วคนอื่นของแกน่ะใคร”
อนวัชชะงักกึก แล้วก็เฉไฉ
“ก็แกบอกฉันเองไม่ใช่เหรอ ว่าเค้ามีคนมารุมชอบตั้งมากมาย”
อีกด้านหนึ่ง หทัยรัตน์หันมาอธิบาย
“ไม่รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นหลงใหลได้ปลื้มเข้าไปได้ยังไง ปุ้มว่าเพราะสาวๆพวกนั้นไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเค้าเป็นยังไง”
อนวัชตอกย้ำ
“ฉันอยากรู้จริงๆ ถ้าผู้ชายพวกนั้นรู้จักตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้แล้วยังจะหลงใหลกันอยู่หรือเปล่า”
สุดาสงสัย “แล้วปุ้มไม่สนใจพี่หนึ่งบ้างเหรอ”
อีกด้านหนึ่ง อนวัชก็ตอบสัทธา
“ไม่มีทาง ต่อให้สวยกว่านี้ 10 เท่า ฉันก็ไม่มีวันจะหลงใหลได้ปลื้มน้องสาวแก”
หทัยรัตน์พูดนักแน่น
“ต่อให้ หล่อเหลาปานเทพบุตรเหาะลงมาจากสวรรค์ ปุ้มไม่มีวันจะปลาบปลื้มผู้ชายคนนี้”
อนวัชย้ำหนักแน่น
“ฉันชอบไม่ลง”
ส่วนหทัยรัตน์ก็ย้ำหนักแน่นไม่แพ้กัน
“ปุ้มเกลียดนายอนวัช”

สุดาอึ้งไป ในขณะที่สัทธาก็อึ้งไม่แพ้กัน


จบตอนที่ 1 
กำลังโหลดความคิดเห็น