หนึ่งในทรวง ตอนที่ 8
พินิจเพ้อเพราะพิษไข้
“หทัยรัตน์ หทัยรัตน์”
พินิจหมดสติ นิ่งไป พรรณีตกใจ
“พี่นิจ ลุงชม ลุงชมโทร.หาหมอเร็ว”
ชมยกโทรศัพท์ขึ้นและหันมาทางพรรณี
“โทรศัพท์โทร.ออกไม่ได้ครับ สงสัยจะฝนตกหนัก สายเลยขาด”
“แล้วโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน”
“อยู่ในตลาด ผมรู้จักครับ คุณหนูจะให้ผมพาคุณพินิจไปเลยมั้ยครับ”
“จ้ะ แต่เดี๋ยวจะมีคนมาที่นี่น่ะสิ ทำไงดี เอาอย่างนี้ เดี๋ยวลุงพาพี่นิจไปหาหมอนะ แล้วฉันจะอยู่รอเพื่อนพี่นิจที่นี่ พอเจอกันแล้วฉันจะรีบพาเขาไปหาพี่นิจที่โรงพยาบาล”
พรรณีออกคำสั่ง
หน้าบ้านพัก รถของพินิจขับฝ่าฝนออกไป พินิจนั่งเบาะหลังหลับตานิ่ง อาการหนัก พรรณีมองตามด้วยความเป็นห่วง
กำนันใส่ยางอะไหล่ให้รถของอนวัชเรียบร้อย กำลังขันประแจให้แน่น
“โชคดีที่มียางอะไหล่อยู่ แต่มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ คงจะใช้วิ่งได้ไม่ไกล”
“ไม่เป็นไรครับ อีกสักพักก็คงจะถึงบ้านเพื่อนผมแล้ว ค่อยเปลี่ยนยางอีกที เชิญกำนันขึ้นรถครับ ผมจะขับไปส่งที่บ้าน”
อนวัชเชิญกำนันอย่างนอบน้อม ทั้งสองคนขึ้นรถ อนวัชขับรถออกไป
หทัยรัตน์เปลี่ยนใส่ชุดเดิมที่ใส่มา
“หนูใส่เสื้อผ้าป้าไปก่อนก็ได้นะ ชุดหนูมันยังไม่แห้งไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ แต่มันก็พอใส่ได้ค่ะ ส่วนชามข้าวต้ม ปุ้มล้างคว่ำไว้ในครัวนะคะ ขอบคุณคุณป้ามากค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ต้องไปขอบคุณผัวหนู เขาเป็นคนทำข้าวต้ม ไม่ใช่ป้าหรอก เออ ผัวหนูตายยากจริง พูดถึงก็มาพอดี”
“เอ่อ เขาไม่ใช่สามีหนูค่ะป้า”
“อ้าว ไม่ใช่ผัวแล้วทำไมมาด้วยกันดึกดื่นๆ แบบนี้ล่ะ นี่แล้วเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า”
“เอ่อ เปล่าค่ะ”
“ตายแล้ว ไม่ได้เป็นผัวเมียกัน ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน แล้วมาด้วยกันได้ยังไง นี่ถ้าเป็นลูกเป็นหลานป้า ป้าไม่ยอมหรอกนะ เป็นขี้ปากชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน เป็นสาวเป็นนางทำแบบนี้ไม่ได้ แล้วที่บ้านปล่อยออกมาได้ยังไง เขาไม่ห่วงกันเหรอ”
ป้าขมิ้นใส่เป็นชุด หทัยรัตน์สะอึก นิ่งเครียดตอบไม่ถูก
ที่บ้านเพชรลดา กลางคืน ไฟยังสว่างอยู่ นาฬิกาบอกเวลาตีสอง วิทย์นั่งเครียดและตัดสินใจไปโทรศัพท์ สุดาฟุบหลับอยู่ที่ห้องรับแขก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอสะดุ้งตื่นและรีบมารับสาย
“สวัสดีค่ะ คุณลุงเหรอคะ แป้นพูดเองค่ะ พี่หนึ่งกลับมาหรือยังคะ”
“ยังจ้ะ แล้วพ่อกับแม่ยังรออยู่หรือเปล่าแป้น”
“แป้นให้คุณพ่อกับคุณแม่ไปพักแล้วค่ะ”
“แป้นบอกพ่อกับแม่ด้วยนะว่าลุงสอบถามจำนวนรถที่ประสบอุบัติเหตุในวันนี้แล้ว ไม่มีรถของหนึ่งรวมอยู่ด้วย สบายใจได้ว่าทั้งสองคนไม่ได้ประสบอุบัติเหตุที่ไหน นี่ก็ดึกมากแล้วแป้นไปนอนเถอะ ไม่ต้องกังวล ลุงฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยว่า วันพรุ่งนี้ลุงจะไปหาที่เดือนประดับแต่เช้า เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลุงจะจัดการเอง”
“ค่ะ”
สุดาวางโทรศัพท์ไปด้วยความกังวล
พรรณีนั่งไม่ติด กระวนกระวาย ผุดลุกผุดนั่ง มองออกมาหน้าบ้านตลอดเวลาและก็ยิ้มที่เห็นไฟรถของอนวัช พรรณีรีบวิ่งมารับ หทัยรัตน์มองรอบๆ งงว่าที่นี่ที่ไหน
“ที่นี่เป็นบ้านของใคร”
อนวัชไม่ตอบ จู่ๆ พรรณีวิ่งออกมาอย่างดีใจ หทัยรัตน์ตกใจ
“ปุ้ม”
“พรรณี นี่คุณ”
หทัยรัตน์หันมาทางอนวัช
“ฉันทำเพื่อพินิจ”
หทัยรัตน์ทั้งโกรธทั้งอึ้ง พูดไม่ออก
อนวัชคุยกับพรรณีอยู่ที่หน้าบ้าน
“พินิจเข้าโรงพยาบาลด่วน”
“ค่ะ ไปได้สักพักแล้ว ไปกับคนขับรถ ณีตั้งใจว่าพอพี่หนึ่งกับปุ้มมาถึงเราก็ตามไปที่โรงพยาบาล”
“แต่ยางอะไหล่ที่พี่เปลี่ยนมา มันไม่ค่อยดี เมื่อกี๊ขับมาก็ต้องระวัง พี่กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุกลางทางเสียก่อน ที่นี่มียางอะไหล่ให้พี่เปลี่ยนหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกค่ะ จะมีก็อยู่ที่รถ ต้องรอให้คนขับรถกลับมาก่อน ซึ่งณีก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”
อนวัชเครียดคิดหนัก
“ณีต้องขอโทษพี่หนึ่งด้วยนะคะที่ทำให้ลำบากแบบนี้”
“พี่น่ะไม่ลำบากหรอก เรื่องแค่นี้ พี่ทนได้ เพื่อพินิจ จะห่วงก็แต่”
อนวัชคิดถึงหทัยรัตน์
หทัยรัตน์นั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องพัก พรรณีถือแก้วน้ำมาให้พร้อมกับผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า ผ้าห่ม และหมอน
“ปุ้ม นี่จ้ะน้ำดื่ม ผ้าเช็ดตัว แล้วก็เสื้อผ้าของฉัน ถ้าเธอต้องการจะเปลี่ยน ส่วนนี่ก็ผ้าห่ม กับหมอน เธอพักในห้องนี้ตามสบายนะ มีอะไรที่เธอต้องการอีกหรือเปล่า”
“ฉันต้องการกลับบ้าน”
พรรณีอึ้งไป
“ฉันไม่ต้องการมาที่นี่ และฉันก็ไม่ต้องการพักที่นี่ ขอโทษนะพรรณีที่ฉันต้องพูดตรงๆ แต่ฉันต้องการกลับบ้านจริงๆ ฉันไม่ได้บอกใครที่เดือนประดับเลย ป่านนี้ไม่รู้ว่าคุณลุงคุณป้าพี่ปุ๊พี่แป้นจะเป็นห่วงฉันแค่ไหน”
“ฉันเข้าใจปุ้ม แต่ฉันขอโทษที่ทำตามไม่ได้ เพราะต้องรอให้คนขับรถฉันกลับมาก่อน ถึงจะพาเธอกลับบ้านได้ ซึ่งอาจจะเป็นพรุ่งนี้เช้า โทรศัพท์ที่นี่ก็เสีย ฉันเองก็จนปัญญา คืนนี้คงต้องรบกวนให้เธอค้างที่นี่”
หทัยรัตน์ชะงัก
“เธอคงจะไม่โกรธนะปุ้ม”
หทัยรัตน์เสียใจ น้อยใจในโชคชะตา อนวัชเดินมาหน้าห้อง ชะงักแอบฟังหทัยรัตน์ตอบด้วยความเศร้าใจในโชคชะตา
“ฉันจะไปโกรธใครได้นอกจากโกรธตัวเอง ที่ทำตัวเป็นผู้หญิงเหลวไหล ค่ำมืดดึกดื่นก็ยังไม่กลับบ้าน ถ้าคนอื่นรู้ว่าฉันมากับผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อมาหาผู้ชายอีกคน เขาจะคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงยังไง”
“ปุ้ม อย่าคิดมากเลยนะ”
อนวัชฟังแล้วคิดตาม เริ่มรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ทำ ในขณะที่หทัยรัตน์เครียด เสียใจ น้ำตาตก
“ฉันก็ไม่อยากคิดมาก ถ้าฉันไม่ใช่เด็กในการปกครองของคุณลุง คุณป้า ท่านทั้งสองเลี้ยงดูฉันมาอย่างดีแต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับฉัน กำลังทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย แล้วแบบนี้เธอจะไม่ให้ฉันคิดมากได้ยังไง”
หทัยรัตน์คิดถึงทิพย์ สุทธิ์ แล้วก็ยิ่งเสียใจ
“ที่ผ่านมา ฉันพยายามทำตัวอยู่ในกรอบปฏิบัติอันดี แต่วันนี้ ทุกคนทำเหมือนฉันไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ จะจูงไปไหน จะสั่งให้ทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครคิดถึงใจฉันเลย แล้วสุดท้ายเมื่อทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องการ ทุกคนพอใจ แต่คนที่ต้องเสียใจ คนที่โดนดูถูกก็คือฉัน คนเดียวเท่านั้น”
หทัยรัตน์ร้องไห้ พรรณีเศร้า อนวัชยืนอยู่หน้าห้อง อึ้งไปด้วยความสำนึกผิด
ที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด หมอ พยาบาล วิ่งวุ่น เข้าออกห้องฉุกเฉิน พยาบาลวิ่งมาหาคนรถที่ยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
“คุณเป็นคนขับรถของคนไข้ชื่อพินิจ พนัสพงษ์ใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
“ตอนนี้คนไข้อาการหนักมากนะคะ คุณติดต่อกับญาติผู้ป่วยได้มั้ยคะ”
คนรถคิดว่าจะทำอย่างไรดี
หทัยรัตน์นั่งอยู่บนเตียงในชุดเดิม ใบหน้าหมองเศร้า และคิดมาก เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครคะ”
“ฉันเอง”
“ฉันต้องการพักผ่อนไม่อยากเจอใครทั้งนั้น กรุณาอย่ามายุ่งกับฉัน”
อนวัชชะงัก คิด และพูดกลับไปเสียงอ่อนโยน
“ถ้างั้นก็พักผ่อนให้สบายนะ ฉันเปลี่ยนยางรถได้เมื่อไหร่ ฉันจะรีบไปส่งเธอที่บ้านแต่ระหว่างทางฉันจะขอแวะเยี่ยมพินิจที่โรงพยาบาล ส่วนเธอจะขึ้นไปเยี่ยมหรือไม่ ก็ตามแต่ใจ”
อนวัชอ่อนลงนิดๆ แต่หทัยรัตน์ไม่รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย
“ขอบคุณค่ะ ที่ยังอุตส่าห์ให้ดิฉันมีสิทธิ์ในการกำหนดชีวิตของฉันเอง”
อนวัชมองด้วยความรู้สึกผิด อยากจะพูดขอโทษ แต่พูดไม่ออก
“หทัยรัตน์ ฉัน”
หทัยรัตน์รอฟัง
“ไม่มีอะไรแล้ว ราตรีสวัสดิ์”
อนวัชตัดใจ เดินกลับออกไป หทัยรัตน์แปลกใจที่อนวัชยอมไปแต่โดยดี เธอถอนใจเบาๆ ด้วยความกลุ้ม
ตอนเช้า พรรณีเคาะประตูหน้าห้องหทัยรัตน์
“ปุ้ม ฉันเองนะ ตื่นหรือยัง”
หทัยรัตน์เปิดประตูออกมา หน้าซีดเซียว
“ปุ้ม นอนไม่หลับเหรอ”
“มีอะไรเหรอ”
“คุณอนวัชเปลี่ยนยางรถเรียบร้อยแล้ว ให้ฉันมาตามเธอลงไป”
“ขอบใจนะ”
“ปุ้ม ฉันขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องพี่นิจและเรื่องคุณแม่ คำขอโทษของฉันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรให้มันดีขึ้น แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่า เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ดีจนบางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ”
พรรณีร้องไห้ หทัยรัตน์เข้าใจ
“ณี อย่าคิดแบบนั้น เราสองคนไม่ได้มีใครดีไปกว่าใคร เราต่างมีหน้าที่ มีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในบทบาทอะไร อยากให้ณีจำไว้ว่าเรายังเป็นเพื่อนกันเสมอ มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
หทัยรัตน์ยิ้มให้นิดๆ พรรณียิ้มรับทั้งน้ำตาและจับมือเพื่อนไว้แน่น
“ขอบใจมากปุ้ม”
ทั้งสองยิ้มให้กัน
บริเวณหน้าบ้าน อนวัชยืนคุยกับพรรณีอยู่ข้างรถ คนรถรออยู่ที่รถของพรรณี
“ณีนั่งรถไปกับลุงชม พี่หนึ่งขับตามมานะคะ”
“ครับ แต่พี่ไม่รับปากว่าปุ้มเขาจะขึ้นไปเยี่ยมพินิจหรือไม่ พี่ให้ตัดสินใจเอง”
“ณีเข้าใจ และทำใจแล้วค่ะ ณีก็ไม่อยากบังคับปุ้มเหมือนกัน เท่านี้ก็รู้สึกว่ามันมากเกินไปแล้ว”
อนวัชรู้สึกไม่ต่างกัน หทัยรัตน์เดินออกมาจากบ้าน พรรณีหันไปเห็น
“ปุ้มมาแล้ว เรารีบไปกันเถอะค่ะ พี่หนึ่งกับปุ้มจะได้รีบกลับ”
พรรณีหันไปยิ้มให้หทัยรัตน์ด้วยความเกรงใจ ก่อนจะรีบเดินไปที่รถ
“ฉันไปกับพรรณีนะคะ”
อนวัชขวาง
“ไม่ได้ เธอมากับฉันก็ต้องไปกับฉัน”
อนวัชเปิดประตูรถให้ หทัยรัตน์มองชายหนุ่มตาดุ รถพรรณีแล่นออกไปแล้ว
“ตอนนี้เธอไม่มีตัวเลือกแล้ว เสียใจด้วย”
หทัยรัตน์จำใจขึ้นไปนั่งในรถ
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล คนขับเปิดรถให้พรรณี
“คุณพินิจอยู่ที่ตึกครับ เดี๋ยวผมพาไปที่ห้องพักครับ”
อนวัชลงจากรถ กำลังจะเดินตามพรรณีไป นึกได้หันมาถามหทัยรัตน์ที่นั่งอยู่ในรถอีกที
“เธอจะไม่ลงมาจริงๆ ใช่มั้ย”
หทัยรัตน์นิ่ง อนวัชถอนใจเบาๆ แล้วเดินตามพรรณีไป หทัยรัตน์หน้าเศร้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ
พรรณีกับอนวัชรีบเดินเข้ามาที่ห้องพักของพินิจ พร้อมกับคนขับรถ ในขณะที่นวลเดินมาหน้าโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ เธอรู้ว่าพินิจอยู่ที่นี่จากคนขับรถซึ่งโทรศัพท์ไปหาเธอเมื่อวาน
“พ่อนิจอยู่โรงพยาบาล แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมแกไปอยู่ที่นู่นแล้วพรรณีอยู่ไหน”
“คุณพรรณีอยู่รอเพื่อนที่บ้านพักที่ศรีราชาครับ คุณพินิจอาการหนัก คุณหมออยากคุยกับญาติ ผมเลยโทรศัพท์มาหาคุณนาย คุณนายคุยกับคุณหมอนะครับ”
“ได้ๆ สวัสดีค่ะคุณหมอ ฉันเป็นแม่ของพินิจค่ะ”
นวลรีบพูดด้วยความร้อนใจ
นวลเดินผ่านมาบริเวณที่จอดรถของโรงพยาบาล บ่นพึมพำ
“ยัยณีอยู่รอเพื่อน ไม่สนใจพี่ชายได้ยังไง แล้วเพื่อนมันเป็นใคร”
นวลเดินบ่นหงุดหงิด
พินิจนอนหลับอยู่บนเตียง อนวัชกับพรรณียืนอยู่ข้างเตียง
“พี่นิจยังหลับอยู่เลย จะให้ปลุกมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าอีกสักพักไม่ตื่นค่อยปลุก”
“ลุงชม ลงไปดูแลกับคุณปุ้ม ถ้าเธอต้องการอะไรรีบมาบอกฉัน”
“ครับ”
คนรถรีบเดินออกไป อนวัชมองพินิจด้วยความสงสาร
หทัยรัตน์ยังนั่งอยู่ในรถ เซ็งๆ คิดวุ่นวายไปหมด นวลเดินมาหยุดแถวๆ รถ แล้วก็มองซ้ายมองขวา
“ตายแล้ว ดูสิ ลืมถามว่าอยู่ห้องไหน”
นวลคิดๆ แล้วก็หันไปเห็นรถพรรณี รีบเดินไปดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ หทัยรัตน์นั่งอยู่ในรถที่เดิม ไม่ไกลจากรถพรรณี นวลเดินมาถึงที่รถ และทันใดนั้นก็เห็นหทัยรัตน์นั่งอยู่ในรถอนวัช
“นังปุ้ม”
หทัยรัตน์หันมาเห็นนวลก็ตกใจ
“คุณนายนวล”
นวลเดินตรงดิ่งมาที่หทัยรัตน์ทันที
“แกมาทำอะไรที่นี่ แกแอบมาหาตานิจใช่มั้ย ลงมานี่เลย ลงมา ฉันบอกให้ลงมา”
หทัยรัตน์เลิ่กลั่ก ทำตัวไม่ถูก นั่งใจสั่นอยู่บนรถ ชมเดินมาถึงพอดี นวลกำลังโวยวาย
“ฉันสั่งให้แกลงมาจากรถ ทำไมไม่ลง”
“คุณนาย คุณปุ้ม”
ชมคิดแล้วก็รีบวิ่งกลับขึ้นตึกไปทันที
นวลกระชากประตูรถเปิดออกอย่างแรง
“ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”
หทัยรัตน์ตกใจยังนั่งอึ้งอยู่ นวลกระชากลากตัวลงมาจากรถ
“นี่แกนัดพรรณีวางแผนแอบมาหาตานิจลับหลังฉันใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้วางแผนอะไรเลยนะคะ”
“ไม่ได้วางแผน แล้วแสรนมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แกมันนังตัวซวย ตานิจอยู่ใกล้แกไม่นานอาการทรุดปางตาย แก แก นังตัวกาละกิณี ใจหล่อนทำด้วยอะไร ทำไมถึงได้เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ขนาดนี้”
“ก่อนที่คุณจะต่อว่าคนอื่น กรุณาตรวจสอบก่อนว่าความจริงคืออะไร ฉันขอย้ำ ฉันไม่ได้อยากมาหาลูกชายคุณ และฉันไม่ต้องการอะไรจากใครทั้งนั้น”
“หนอย ไม่ต้องมาทำเป็นพูดจาให้ตัวเองดูดี ถ้าหล่อนไม่อยากได้ใคร่มี จะตามมาเสนอตัวถึงโรงพยาบาลทำไม คนป่วย คนไข้ยังไม่เว้น”
หทัยรัตน์น้ำตาร่วง
“ไม่ต้องมาทำเป็นบีบน้ำตา มารยาของหล่อนทำอะไรฉันไม่ได้”
ชมวิ่งพรวดนำอนวัชและพรรณีออกมา และรีบชี้ไปที่รถ
“นี่ครับ คุณนายโกรธคุณปุ้มใหญ่แล้วครับ”
อนวัชกับพรรณี เห็นนวลกำลังอาละวาดเสียงดังลั่น
“ถ้าหล่อนไม่ได้อยากยุ่งกับตานิจ แล้วจะถ่อมาถึงที่นี่ทำไม”
อนวัชตกใจ รีบวิ่งไปทันที พรรณีรีบตามไปติดๆ หทัยรัตน์ปาดน้ำตา
“มาเฝ้าตั้งแต่เช้าแบบนี้ คงจะออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืนล่ะสิ ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนออกจากบ้านค่ำมืดดึกดื่นเพื่อจะมาเจอผู้ชาย”
“พอได้แล้วค่ะ ฉันจะไม่ยอมให้คุณยืนด่าดิฉันอีกแล้ว ถ้าคุณยังไม่หยุดฟัง ฉันจะไม่พูดกับคุณอีก”
“ฉันไม่ฟัง เพราะคำพูดหล่อนไม่มีค่าพอที่ฉันจะหยุดฟัง คำพูดที่เต็มไปด้วยจริตมารยา ฉันจะฟังทำไม”
หทัยรัตน์แค้นใจ หันหลังจะกลับขึ้นรถ
“นี่หล่อนกล้าดียังไงมาหันหลังใส่ฉัน นังเด็กไม่มีมารยาท หันมาเดี๋ยวนี้ กลับมาคุยกับฉันให้รู้เรื่อง”
หทัยรัตน์ไม่หยุด นวลกระชากกลับมาอย่างแรง
“ฉันบอกให้หยุด นังปุ้ม อยากจะลองดีกับฉันใช่มั้ย”
“ปล่อยนะคะ ดิฉันจะไม่คุยกับคนที่คุยไม่รู้เรื่อง”
“นี่แกกล้าด่าฉันเหรอ นังเด็กกำพร้า นังเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ แกคิดว่าแกเป็นใคร แกอยากลองดีกับฉันใช่มั้ย ได้ ฉันจะตบแกต่อหน้าทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ จะได้หราบจำไม่กล้ากำเริบมาต่อปากต่อคำกับฉัน”
นวลเหวี่ยงหทัยรัตน์ล้มลงกับพื้น
“โอ๊ย”
นวลกำลงจะพุ่งมาตบหทัยรัตน์ อนวัชก็เข้ามาแทรกกลางและกอดหทัยรัตน์ เอาตัวบังฝ่ามือของนวลไว้
“ปุ้มระวัง”
หทัยรัตน์ตกใจที่อนวัชเข้ามาช่วย อนวัชมองหทัยรัตน์ด้วยความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณหนึ่งหลบไป น้าบอกให้หลบ”
พรรณีรีบจับนวลไว้
“คุณแม่พอได้แล้ว คุณหนึ่งคะรีบพาปุ้มกลับไปเถอะค่ะ”
“อย่านะ อย่าเอามันไป”
“ลุงชมมาช่วยฉันจับคุณแม่ไว้หน่อย”
ชมกับพรรณีช่วยกันจับนวล อนวัชรีบประคองหทัยรัตน์ไปที่รถ
“กลับบ้านเถอะ”
หทัยรัตน์เบือนหน้าหนี ไม่อยากจะฟัง ไม่อยากจะเห็นหน้า อนวัชจะประคอง หทัยรัตน์สะบัดตัวกำลังจะเดินไปที่รถ แล้วชะงัก เพราะสายตาของคนรอบๆ มองมาด้วยความรังเกียจและอยากรู้อยากเห็น เธอก้มหน้าเดินไปที่รถด้วยความเจ็บปวด อนวัชมองด้วยความเห็นใจและรีบเดินตามไป
พรรณีกับชมล็อคตัวนวลไว้
“ปล่อยฉัน ฉันบอกให้ปล่อย ฉันจะสั่งสอนมัน มันทำให้ตานิจต้องเป็นแบบนี้ ฉันจะตบมัน นังปุ้ม นังหน้าด้าน แน่จริงอย่าไปสิ กลับมาสิเว้ย”
อนวัชขับรถออกไป นวลด่าตามหลัง
“ฉันบอกให้กลับมา”
อนวัชขับรถอย่างเร็ว หทัยรัตน์นั่งร้องไห้ มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มองหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว อนวัชเหลือบมองหญิงสาว คิด เป็นห่วง ทนไม่ได้ จอดรถข้างทาง หยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้
“เช็ดซะ”
“ฉันไม่ต้องการผ้าเช็ดหน้าของคุณ”
“ฉันรู้ว่าเธอโกรธฉัน แต่ถ้าเธอไม่ดื้อจนเกินไป ตามฉันขึ้นไปเยี่ยมพินิจที่ห้องพัก คุณน้าก็อาจจะไม่เห็น เธอก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้”
“เพราะคุณเป็นคนคิดแบบนี้ มองทุกอย่างจากตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น”
อนวัชสะอึก หทัยรัตน์พรั่งพรูความอัดอั้นออกมา
“ถ้าฉันขึ้นไปเยี่ยมพี่พินิจ เท่ากับฉันเป็นไปตามคำดูถูกของคุณนายนวล ฉันจะมีหน้าไปบอกใครเขาได้ว่าฉันไม่ได้อยากมา ในเมื่อเสนอหน้าขึ้นไปหาเขาถึงที่ห้องพัก ใครจะเชื่อว่าฉันโดนบังคับ ฝืนใจให้มาโดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ”
อนวัชอึ้ง หทัยรัตน์น้ำตาไหลพราก
“คุณทำทุกอย่าง พูดทุกอย่างเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะคุณคือ คุณหนึ่ง อนวัช ผู้ไม่เคยผิด ไม่เคยแพ้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรคุณ แต่ฉันไม่ใช่ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่จะต้องรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว”
หทัยรัตน์ระบายออกมาจนหมด พร้อมกับปาดน้ำตา และเบือนหน้าหันหลังให้อนวัช อนวัชจ๋อย ไม่กล้าพูดอะไรต่อด้วยความรู้สึกผิด
ในห้องพัก พินิจนอนหน้าซีด อาการหนัก นวลลากตัวพรรณีเข้ามาในห้อง
“มานี่เลยแม่ตัวดี”
“คุณแม่ขา ณีเจ็บนะคะ”
“บอกมาสิ นังเด็กปุ้มมันมาที่นี่ได้ยังไง บอกมาสิ มันมาหาพี่เราได้ยังไง มันหลอกให้คุณอนวัชพามันมาใช่มั้ย แกกับมันรวมหัวกันหลอกคุณหนึ่งใช่มั้ย”
พรรณีร้องไห้ ไม่ยอมพูด นวลทั้งตี ทั้งคาดคั้น ระหว่างนั้น พินิจขยับตัว เริ่มรู้สึกตัว
“บอกมา แม่ถามไม่ได้ยินหรือไง นังเด็กปุ้มมันแอบมาหาพี่เราใช่มั้ย เราเป็นคนพามันมาใช่มั้ย”
“โอ้ย คุณแม่”
พินิจพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ปุ้ม ปุ้มมาหาพี่จริงๆ เหรอณี”
นวลอึ้งไป ค่อยๆ หันมาทางพินิจที่นอนเพ้ออยู่อย่างนั้น พรรณีได้ทีรีบวิ่งไปหาพินิจ
“พี่นิจ”
“ปุ้มล่ะณี ปุ้มอยู่ไหน”
นวลแทบกรี๊ด
“หยุดเลยนะพ่อนิจ จะไปถามถึงมันทำไม ไม่ต้องเจอ แม่ไม่ให้เจอ แม่ไล่มันกลับไปแล้ว”
พรรณีทนไม่ได้ หันมาตวาดแม่
“เงียบก่อนได้มั้ยคะคุณแม่ ขอณีคุยกับพี่นิจก่อนได้มั้ยคะ”
นวลสะอึกไปที่พรรณีตวาดใส่ แทบเป็นลม พรรณีหันมาคุยกับพินิจ
“ปุ้มมาหาพี่นิจจริงๆ ค่ะ แต่พี่นิจหลับอยู่ ตอนนี้ปุ้มกลับไปแล้วค่ะ”
“หะ โอย ฉันจะเป็นลม”
“ปุ้มมาเยี่ยมพี่จริงๆ ด้วย ณีไม่ได้โกหกพี่นะณี”
พรรณีจับมือพินิจ น้ำตาคลอ
“ค่ะ ณีไม่ได้โกหกค่ะ ปุ้มมาหาพี่นิจจริงๆ ค่ะ”
“แค่พี่รู้ว่าเขามาหาพี่ พี่ก็พอใจแล้ว แค่นี้ พี่ก็พอ แล้ว พอแล้ว”
พินิจยิ้มกับตัวเอง และค่อยๆ หมดแรงลง หลับตา มือค่อยๆ หลุดจากมือของพรรณี จากไปอย่างสงบ พรรณีร้องเสียงดัง
“พี่นิจ พี่นิจ”
นวลยืนจะเป็นลมอยู่ปลายเตียงก็หันมาด้วยความตกใจ
“ตานิจ ตานิจ พูดกับแม่สิลูก ตานิจ”
นวลเริ่มร้องไห้ พรรณีตั้งสติได้ รีบวิ่งออกไปเรียกพยาบาลที่หน้าห้อง
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยตามหมอด้วย ใครก็ได้ ช่วยเรียกหมอให้ที”
นวลกอดร่างไร้วิญญาณของลูกชาย ร้องไห้แทบขาดใจ
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 8 (ต่อ)
วิทย์ ทิพย์ สุทธิ์ นั่งหน้าเครียดอยู่ที่ห้องรับแขกภายในเดือนประดับ
ทุกคนหน้าโซ อดนอน สัทธากับสุดาดูลาดเลาอยู่หน้าห้องรับแขก
“คุณลุงมาตั้งแต่เจ็ดโมงเลยนะพี่ปุ๊ มาถึงก็นั่งคุยกับคุณพ่อคุณแม่คุยกันมาตั้งหลายชั่วโมง หน้าเครียดตลอดเลยค่ะ”
“ไม่เครียดได้ยังไง อยู่ๆ ลูกชายก็ลักพาตัวลูกสาวบ้านอื่นหายไปค่อนวันค่อนคืน ถ้าไม่เครียดก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ไอ้หนึ่งมันกลับมาเมื่อไหร่ได้เจอดีแน่”
ทันใดนั้นเสียงรถอนวัชก็ดังเข้ามา สุดารีบหันไป
“พี่หนึ่งกับปุ้มกลับมาแล้วค่ะ”
วิทย์สั่งสุดา
“แป้นไปตามพี่หนึ่งเข้ามาที่ห้องนี้ บอกว่าลุงรอพบอยู่”
“ค่ะ”
สุดารีบเดินไป ทิพย์รีบพูดกับวิทย์
“คุณพี่คะ อย่าเพิ่งต่อว่าหนึ่งเลยนะคะ หนึ่งอาจจะมีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้”
“พี่ไม่เห็นว่าเขาจะมีความจำเป็นอะไร นี่ดีนะที่เป็นเธอสองคน ถ้าปุ้มเป็นลูกเป็นหลานบ้านอื่น แล้วไอ้เจ้าหนึ่งไปทำแบบนี้ พี่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“แต่หนึ่งอาจจะเห็นว่าปุ้มไม่ใช่คนอื่นก็ได้นะครับ”
“ปุ้มไม่ใช่แป้นนะสุทธิ์ ถ้าเราพูดกันตามความจริง หนึ่งกับปุ้มก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย อีกคนเป็นหนุ่มอีกคนเป็นสาว ยังไงพี่ก็เห็นว่าไม่ถูกต้อง”
วิทย์พูดด้วยความโมโห สุทธิ์กับทิพย์ และสัทธานิ่งอึ้งไป ได้แต่มองหน้ากันตาปริบๆ
อนวัชจอดรถหน้าบ้าน หทัยรัตน์รีบลงจากรถทั้งที่รถยังจอดไม่สนิทดี อนวัชรีบลงตามมา และเรียกไว้
“หทัยรัตน์”
หทัยรัตน์ไม่ฟัง รีบเดินไป อนวัชรีบวิ่งมาดักและจับมือไว้
“นี่เธอจะไม่พูดอะไรกับฉันเลยเหรอ”
หทัยรัตน์สะบัดมือ
“คุณต้องการให้ดิฉันพูดอะไรอีก ในเมื่อคุณเป็นคนชนะทุกอย่าง คุณต้องการพาดิฉันไปหาคุณพินิจ คุณก็ทำสำเร็จ แล้วคุณจะมาสนใจอะไรกับคำพูดของฉัน”
“ที่ฉันพาเธอไป เพราะคิดว่าคงจะกลับไม่เกิน 4 ทุ่ม ฉันไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ฉัน เสียใจ”
“คุณควรจะพูดว่า สะใจ หรือ สมใจ มันถึงจะถูกต้อง”
“หทัยรัตน์ ฉัน”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ นอกจากชัยชนะแล้วยังมีอีกสิ่งที่คุณได้ คุณทำให้ฉันเกลียดคุณมากขึ้น”
หทัยรัตน์ผลักอนวัชออกไปพ้นทางและรีบวิ่งเข้าบ้านไป อนวัชยืนอึ้งอยู่ หทัยรัตน์วิ่งเข้าบ้าน สวนกับสุดา
“ปุ้ม”
“ปุ้มขอตัวก่อนนะคะ”
หทัยรัตน์รีบเดินเข้าบ้านไป สุดาหันมาทางหนึ่ง อนวัชยืนจ๋อย
“พี่หนึ่งคะ คุณลุงวิทย์ให้มาเชิญไปที่ห้องรับแขกค่ะ”
อนวัชชะงัก
“คุณพ่อ อยู่ที่ห้องรับแขก”
วิทย์มองหน้าอนวัชและพูดเสียงเข้ม
“แกไปไหนมา”
ทิพย์และสุทธิ์ มองหน้ากันด้วยความเป็นห่วงอนวัช
“ผมไปบ้านพักของพนัสพงษ์ที่ศรีราชามาครับ”
“แล้วแกไปทำไม”
“คือ”
อนวัชพยายามจะอธิบาย
หทัยรัตน์อยู่ในห้อง ร้องไห้ สุดาเดินมาที่หน้าห้อง
“ปุ้ม ปุ้ม เป็นยังไงบ้าง”
หทัยรัตน์รีบเช็ดน้ำตา และตอบกลับไป
“ปุ้ม ไม่เป็นอะไรค่ะ แค่ปวดหัว ปุ้มขออยู่คนเดียวสักพักนะคะพี่แป้น”
สุดาเป็นห่วงแต่ก็ต้องยอม
“จ้ะ ถ้าปุ้มต้องการอะไรเรียกพี่ได้นะ”
สุดาจำใจต้องเดินจากไปทั้งที่ยังห่วง หทัยรัตน์น้ำตาไหลไม่หยุดด้วยความเสียใจและแค้นใจ
ทิพย์กับสุทธิ์ พยายามคลี่คลายสถานการณ์ วิทย์ยังหน้าขรึม อนวัชหน้าจ๋อย ส่วนสัทธาจับตามองอนวัช
“อาเข้าใจแล้ว ทุกอย่างที่หนึ่งเล่ามา มันก็เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ในเมื่อไม่มีใครเป็นอันตรายอะไร อาก็สบายใจ”
“ใช่จ้ะ ที่เราห่วงก็เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น ตอนนี้หนึ่งก็ทำใจให้สบายนะ อาเชื่อว่าที่หนึ่งเล่าเป็นความจริง”
“ขอบคุณคุณอาทั้งสองที่ไว้ใจผม”
“แต่ยังไงๆ พ่อก็ไม่พอใจที่แกทำแบบนี้ แกน่ะมันรนหาเรื่องแท้ๆ ทั้งหมดที่เล่ามามันไม่ใช่เรื่องอะไรของแกสักหน่อย ถึงอาสองคนจะเข้าใจ แต่ชาวบ้านล่ะ เขาจะคิดยังไง จู่ๆ ก็หายไปด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ตัวแกอาจจะไม่เสียหาย แต่ปุ้มเขาเป็นผู้หญิง แกคิดหรือเปล่าว่า เขาจะเป็นยังไงบ้างจากการกระทำของแก”
“ผม เสียใจครับ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง”
“แน่ใจนะว่าทุกอย่าง”
“แน่ใจครับ”
“ดีแล้ว พูดแล้วก็จำคำพูดของตัวเองไว้ด้วย ไม่ช้าก็เร็วเราต้องได้รับผิดชอบแน่”
วิทย์พูดเป็นนัยๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ อนวัชพยักหน้ารับอย่างจนแต้ม สัทธามองหนึ่งจากเรื่องที่ฟัง ทำให้คิดถึงพรรณี
อนวัชเดินออกมาจากบ้าน กำลังจะขึ้นรถ สัทธาเรียกไว้
“หนึ่งเดี๋ยวก่อน เมื่อกี๊ที่เล่าว่าพาปุ้มไปเยี่ยมพินิจ สรุปแล้วตอนนี้อาการพินิจเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนฉันไปเยี่ยมพินิจยังไม่ตื่น แต่เท่าที่เห็น อาการหนักเอาการ”
“ฉันห่วงทั้งพรรณี ทั้งพินิจ ณีเขารักพี่ชายมาก ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ฉันจะพยายามติดต่อพรรณีให้ได้ ถ้าได้ข่าวแล้วจะบอก”
สัทธาคิดหนัก เป็นห่วงทั้งพินิจ และพรรณี
รูปพินิจตั้งอยู่บนโต๊ะ พรรณีหยิบมาดู น้ำตาร่วง เธอกำลังเก็บของในห้องนอนของพินิจ ห้องโล่งน่าใจหาย พรรณีมองรอบๆ ห้องแล้วก็ร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึงพี่ชาย
สัทธาคุยโทรศัพท์กับพรรณีหน้าเครียด
“พี่แสดงความเสียใจด้วยนะณี แล้วพี่จะบอกปุ้มให้ สวัสดีครับ”
สัทธาวางโทรศัพท์ไป พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
หทัยรัตน์นั่งฟังนิ่งอึ้งไป สัทธายืนอยู่ข้างๆ
“คุณพินิจเสียแล้ว”
“พรรณีเพิ่งโทร.มาบอกพี่เมื่อกี๊นี้เอง”
“เสียตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อวาน หลังจากที่ปุ้มกับหนึ่งออกมาได้สักพักใหญ่ๆ พี่จะไปรดน้ำศพคุณพินิจเย็นนี้ ปุ้มจะไปกับพี่มั้ย”
“ปุ้มไม่ไปค่ะ ปุ้มฝากพี่ปุ๊รดน้ำคุณพินิจแทนปุ้มด้วยนะคะ”
หทัยรัตน์พูดเสียงสั่น ถึงแม้ไม่รักแต่ก็อดเสียใจและสงสารไม่ได้ ในขณะที่อนวัชนั่งเศร้าอยู่ในสวน ถือจดหมายที่พินิจเคยเขียนมาหา เขาคิดถึงพินิจด้วยความอาลัย
พระสวดศพบนศาลา นวลนั่งร้องไห้อย่างหนัก ไม่สนใจใครทั้งนั้น ข้างๆ มีจำปี กับ จำปา ร้องไห้ไม่น้อยไปกว่ากัน อนวัชกับสัทธาเดินเข้ามาในศาลาวัด พรรณีเดินมาต้อนรับ ทักทาย
“พี่ปุ๊ พี่หนึ่ง สวัสดีค่ะ”
“เสียใจด้วยนะครับ”
“เสียใจด้วยนะณี”
“ขอบคุณค่ะ เชิญพี่หนึ่งกับพี่ปุ๊ด้านในค่ะ”
พรรณีเดินนำไป ทั้งสองเดินตามเข้าไป อนวัชนั่งดูรูปของพินิจด้วยความอาลัย
หน้าศาลาสวดศพ คนทยอยกลับ อนวัชเดินออกมาจากวัดกับสัทธา
“น้องสาวแกนี่ใจร้ายจริงๆ ขนาดงานศพพินิจยังไม่ยอมมา”
“ไม่มานั่นแหละดีแล้ว ถ้ามาก็คงจะโดนคุณนายนวลด่าต่อหน้าคนอื่น”
อนวัชชะงัก
“คุณนายนวลเคยบุกมาด่าปุ้มถึงเดือนประดับมาแล้ว และยื่นคำขาดไม่ให้มายุ่งวุ่นวายหรือติดต่อกับพินิจ เพราะอย่างนี้ปุ้มมันถึงต้องใจแข็งไม่ไปเยี่ยม”
อนวัชฟังแล้วอึ้งไป
“ที่หทัยรัตน์ไม่ได้ไปเยี่ยมพินิจ เพราะคุณน้าสั่งห้ามไว้เหรอ ฉันคิดว่าที่เขาไม่มาเยี่ยม เพราะรังเกียจ”
“ปุ้มต่างหากที่โดนรังเกียจ วันที่มาด่าปุ้ม ฉันได้ยินเองกับหู ไม่ใช่ด่าธรรมดา ทั้งด่าทั้งดูถูก ฉันเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังทนฟังแทบไม่ได้เลย สมแล้วที่ยัยปุ้มไม่อยากจะไปยุ่งกับลูกชายแก”
อนวัชอึ้ง เริ่มคิดปะติดปะต่อกับเรื่องราว เขาเริ่มเข้าใจหทัยมากขึ้น ความรู้สึกผิดก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย
ตอนเช้า หทัยรัตน์ยืนใส่บาตรอยู่ที่หน้าบ้าน กรวดน้ำที่ใต้ต้นไม้หลังบ้าน
“คุณพินิจ ดิฉันขอให้วิญญาณของคุณจงไปสู่สุขคติภพเถิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นโปรดอโหสิให้ดิฉันด้วย”
หทัยรัตน์ค่อยๆ เทน้ำลงพื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างสงบ
หน้าบ้านพิเศษกุล สีสุกเสียงดังกระหืดกระหอบเข้ามา
“ส่อง ส่องอยู่ไหนลูก แม่ได้ข่าวมาแล้วลูก”
“ตกลงเรื่องพี่หนึ่งกับนังปุ้มเป็นยังไงคะ รีบๆ ล่ามาสิคะคุณแม่”
“ใจเย็นๆ สิลูก แม่กำลังจะเล่าอยู่แล้วเนี่ย แม่ไปแอบถามพวกเด็กรับใช้ที่เดือนประดับกับที่เพชรลดา ทั้งสองที่พูดตรงกันว่า คืนนั้นทั้งคุณหนึ่งกับนังปุ้มไม่ได้กลับบ้าน หายกันไปทั้งคืน กลับมาอีกทีก็สายๆ ของอีกวันหนึ่งแน่ะลูก”
“นังปุ้ม มันไปกับพี่หนึ่งทั้งคืน นังปุ้ม มันจะเกินไปแล้ว มันกล้าทำถึงขนาดนี้ เรายอมไม่ได้นะคะคุณแม่ ส่องไม่ยอม”
ส่องแสงทั้งแค้นใจ และอิจฉา
หทัยรัตน์นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนหลังบ้าน สีสุกกับส่องแสงเดินเข้ามา
“เธอนี่ช่างเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญชาญชัยจริงๆ นะ ทำเรื่องน่าอับอายไว้ แล้วยังมานั่งประจานตัวเองอยู่หน้าบ้าน ไม่รู้สึกรู้สาอะไร”
“ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องอาย”
“แล้วไอ้ที่หายไปกับผู้ชายทั้งคืนน่ะ ยังเรียกว่าไม่ได้ทำอะไรผิดอีกเหรอ หรือว่าแค่คืนเดียวเลยยังไม่พอจะทำให้เธอรู้สึกอาย”
หทัยรัตน์ชะงัก
“ลูกส่องอย่าเอาตัวเองมาเป็นมาตรฐานวัดคนอื่นแบบนี้สิคะ ลูกน่ะหน้าบาง ผู้ดีอย่างเราผิดนิด ผิดหน่อยก็อายจะแย่ แต่ผู้หญิงบางคนสะกดคำว่าอายไม่เป็น ต่อให้ทำเท่าไหร่มันก็ไม่อาย แบบที่เราเรียกว่าไร้ยางอาย ไงคะลูก”
ส่องแสงและสีสุกยิ้มเยาะหทัยรัตน์ด้วยความสะใจ
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยนะปุ้มว่าเธอจะเป็นผู้หญิงใจถึงขนาดนี้ รู้ทั้งรู้ว่าพี่หนึ่งเขาไม่สนใจ ถึงกับเอาตัวเข้าแลก แต่ก็อย่างว่า ผู้หญิงอย่างเธอมันก็ไม่มีอะไร นอกจากตัว”
“แต่มันก็ดีกว่าผู้หญิงบางคนทั้งเสนอหน้าและเสนอตัวแต่ผู้ชายเขาก็ไม่เอา”
“แกหมายถึงใครนังปุ้ม”
“นี่ ลูกสาวฉันไม่ต้องออกไปเร่เสนอตัวที่ไหน ก็มีแต่คนมารอรับถึงหน้าบ้าน เดินเข้าเดินออกหัวกะไดไม่แห้ง ไม่ทำตัวมักง่ายอย่างหล่อนหรอกย่ะ”
“ดิฉันไม่ได้ว่าคุณส่องแสงสักหน่อย ไม่ต้องร้อนตัวขนาดนี้ก็ได้นี่คะ และอีกอย่าง ดิฉันไม่ได้เป็นคนเสนอตัวไปกับคุณอนวัช แต่เขาต่างหากที่เป็นคนบังคับขู่เข็ญให้ฉันไปด้วย ฉันปฏิเสธยังไงก็ไม่ยอม ดื้อดึงจะพาตัวฉันไปให้ได้”
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ แกโกหก”
“จะเป็นเรื่องโกหกหรือเรื่องจริง คุณส่องแสงไปถามคุณอนวัชเอาเองนะคะ เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น มีแต่ฉันกับคุณอนวัชเท่านั้นที่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
หทัยรัตน์พูดปั่นหัว แล้วเดินเข้าบ้านไป ส่องแสงกับสีสุกแค้น ด่าไล่หลัง
“จองหอง ลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย หน้าด้าน”
“ทำปากดีนักนังปุ้ม ฉันอยากรู้นักถ้าชาวบ้านรู้เรื่องนี้ แกยังจะลอยหน้าอยู่อย่างนี้ได้หรือเปล่า” ส่องแสงจิกหางตาร้าย
ชุลีนั่งหน้าตาตื่นกับข่าวใหญ่
“ตกลงเด็กปุ้มไปค้างกับคุณหนึ่งทั้งคืนจริงๆ เหรอเนี่ย ตายแล้วน่าอิจฉา”
ส่องแสงหันขวับ
“เอ๊ย น่าเกลียดที่สุด เป็นผู้หญิงซะเปล่า ไม่รักนวลสงวนตัวซะเลย เออ แล้วคุณหนึ่งว่ายังไงบ้าง เขาจะรับผิดชอบมันมั้ยเนี่ย”
“ฮึ ไม่มีทางหรอก นี่ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว พี่หนึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะมาสู่ขอมันเลย”
“ตายแล้ว แบบนี้เด็กปุ้มก็มีแต่เสียกับเสียสิ”
“แต่แค่นี้มันยังเสียไม่พอ ฉันอยากจะให้มันเสียมากไปกว่านี้อีก ชุลี ฉันมีเรื่องอยากจะให้เธอช่วยหน่อย ฉันอยากให้เธอกระจายข่าวของนังปุ้มให้คนอื่นได้รู้ จะได้ช่วยกันดูถูกเหยียดหยามมัน เธอก็รู้นี่ว่าคติของฉัน คนล้มต้องซ้ำ”
“อู้ย ได้เลย ไม่ต้องห่วง เรื่องแบบนี้ฉันถนัด”
ส่องแสงยิ้มพอใจ
วันต่อมา ชุลีซุบซิบกับเพื่อนสาวรวม 5 คนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีสาวอ้วน
สาวอ้วนไปซุบซิบต่อกับเพื่อนอีก 3 คนในสโมสร หนึ่งในนั้นมีสาวผอมผมดัดหยิกแต่งหน้าจัดรวมอยู่ สาวคนนี้ไปนินทาต่อที่ร้านทำผม
ชุลีไปนินทาที่ร้านเสื้อผ้า พนักงานร้านเสื้อก็แอบฟังแล้วไปพูดต่อกับพนักงาน พนักงานอีกคนไปคุยให้แม่ค้าที่ตลาดสดฟัง
ช่างทำผมพูดกันเรื่องของหทัยรัตน์ จนไปเข้าหูทิพย์ซึ่งมาทำผม พิมพ์ไปตลาดก็ได้ยินแม่ค้าคุยกันเรื่องนี้ พนักงานร้านเสื้อยืนคุยกันกับลูกค้า สุดากับหทัยรัตน์ได้ยินเต็มสองหู
พิมพ์ไปเล่าให้วิทย์ฟัง วิทย์เครียด
“คนที่ตลาดเขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“ไม่ทราบค่ะเนี่ยแล้วก็ยังว่าคุณปุ้มเธอเสียๆ หายๆ หลายอย่างเลยค่ะ อีฉันไม่อยากจะเล่าค่ะมัน ละอายปาก”
“ฉันใจเย็นเกินไป มัวแต่รอฤกษ์ยาม สงสัยจะรอไม่ได้แล้ว”
วิทย์เรียกอนวัชมาพบ
“คุณพ่อต้องการพบผมเหรอครับ”
“ใช่ นั่งก่อนสิ พ่อมีเรื่องจะถามหน่อย แม่พวกสาวๆ ที่เราควงออกงานอยู่ทุกวันนี้ มีใครที่เราสนใจเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ ทุกคนที่ผมคบอยู่ เป็นแค่เพื่อนและน้องเท่านั้น คุณพ่อถามทำไมครับ”
“ก็ถ้าหนึ่งยังไม่มีใครเป็นพิเศษ พ่อจะหมั้นผู้หญิงให้”
“คุณพ่อจะหมั้นผู้หญิงให้ผม”
“ใช่”
“ใครครับ”
“ก็คนที่แกไปทำให้เขาเสียชื่อเสียงน่ะสิ”
“หทัยรัตน์”
อนวัชหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น
“ใช่ ตอนนี้เรื่องหนึ่งกับปุ้มน่ะ บานปลายไปใหญ่ ใครต่อใครเขาก็พูดถึงปุ้มเสียๆ หายๆ และถ้าเราไม่รับผิดชอบ ปุ้มเขาจะต้องมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต พ่อเลยคิดว่าการหมั้นของหนึ่งจะทำให้ข่าวไม่ดีพวกนี้เงียบลงได้”
อนวัชพยายามเก็บความดีใจไว้
“ตกลงว่าจะขัดข้องมั้ยถ้าพ่อจะหมั้นหมายปุ้มให้หนึ่ง”
“ผมเคยเรียนคุณพ่อแล้วว่าผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และผมยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง”
อนวัชตอบด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจที่ซ่อนไว้ภายใต้แววตาที่รู้สึกผิด
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา09.30น.
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 8 (ต่อ)
หทัยรัตน์ตกตะลึง เมื่อฟังสิ่งที่ทิพย์บอก
“คุณป้า ว่าอะไรนะคะ”
“คุณลุงวิทย์มาขอหมั้นปุ้มให้หนึ่งจ้ะ”
“แล้วคุณป้าตอบไปว่ายังไงคะ”
“ป้าบอกว่าขอปรึกษาปุ้มก่อน คุณลุงเลยให้เวลาปุ้มคิด 3 วันจ้ะ”
“ปุ้มไม่ต้องใช้เวลาถึงสามวันหรอกค่ะ ปุ้มให้คำตอบตอนนี้เลยว่า ปุ้มไม่ตกลงค่ะ”
สุดารีบหันมาทักท้วงปุ้ม
“ปุ้ม ค่อยๆ คิดก็ได้นะ ยังมีเวลา ปุ้มลองคิดดูให้ดีๆ”
“ปุ้มคิดดีแล้วค่ะพี่แป้น ปุ้มทนไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะให้ใครต่อใครมาหัวเราะเยาะ หาว่าปุ้มถือโอกาสผูกมัดคุณอนวัชด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
“แต่เรื่องนี้ไม่เล็กนะปุ้ม ใครๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้น ปล่อยไว้ปุ้มจะเสียชื่อเปล่าๆ”
“แต่ความจริงมันไม่ใช่นี่คะ คุณอนวัชเขาไม่ได้ล่วงเกินปุ้ม ยังไงปุ้มก็ไม่รับหมั้นคุณอนวัชค่ะ”
หทัยรัตน์ยืนยันเสียงแข็ง สุดากับทิพย์มองหน้าปรึกษากัน
“เอาเถอะ ป้าว่าตอนนี้ปุ้มอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ในเมื่อยังมีเวลา ปุ้มก็คิดดูอีกที อีกสามวันค่อยตอบป้าอีกครั้ง”
ทิพย์พยายามไกล่เกลี่ย หทัยรัตน์นั่งนิ่งไม่ตอบ แววตายังยืนยันคำตอบเดิม
สัทธาหัวเราะสะใจ สุดาแปลกใจ
“พี่ปุ๊ แค่คุณลุงมาขอหมั้นปุ้มให้พี่หนึ่ง ทำไมต้องหัวเราะถูกใจขนาดนี้คะ”
“อ้าว ก็พี่สะใจน่ะสิ นี่ถ้าไอ้พวกปากหอยปากปูมันรู้ว่า เพราะคำพูดของพวกมันทำให้คุณลุงตัดสินใจยกขันหมากมาหมั้นไอ้ปุ้ม คงจะหัวเราะกันไม่ออก ฮึ”
สัทธาคิดแล้วก็สะใจ
ส่องแสงแต่งตัวสวยเดินฮัมเพลงลงมาจากบ้านอารมณ์ดี สีสุกนั่งเล่นไพ่อยู่ร้องทักขึ้น
“ลูกส่องจะออกไปไหน”
“ส่องจะแวะไปที่เดือนประดับหน่อยค่ะคุณแม่ อยากจะแวะไปดูหน้านังปุ้มมันหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง หลังจากที่ข่าวคาวของตัวเองถูกลือสะพัดไปทั้งเมือง ป่านนี้ผูกคอตายไปหรือยังก็ไม่รู้”
ส่องแสงเดินหน้าแฉล้มออกไปอย่างมีความสุข
พิมพ์คุยกับอนวัช แล้วแกล้งทำเป็นคิดๆ
“เอ พิมพ์ก็ไม่รู้สิคะ ไม่แน่ใจว่าคุณปุ้มให้คำตอบเรื่องงานหมั้นมาหรือยัง แม่พิมพ์แก่แล้วหลงๆ ลืมๆ น่ะค่ะ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะให้มาแล้ว เอ๊ะ หรือว่ายังไม่ให้นะ คุณหนึ่งลองถามคุณท่านสิคะ”
อนวัชนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ผิดหวังที่ไม่ได้คำตอบที่ต้องการ
“ถ้าคุณพ่ออยู่ คุณหนึ่งก็ไม่มาถามแม่พิมพ์หรอก ในเมื่อแม่พิมพ์ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร คุณหนึ่งไปถามเจ้าตัวเค้าเองก็ได้”
อนวัชลุกเดินออกไปเลย
“อ้าว คุณหนึ่งจะใจร้อนไปทำไมคะ คุณหนึ่ง ใจร้อนอยากรู้คำตอบแบบนี้ คงอยากได้ข่าวดีแน่ๆ”
พิมพ์ยิ้มรู้ทัน
สุดาวางกล่องแหวนไว้ตรงหน้าหทัยรัตน์
“ปุ้ม คุณแม่ให้ปุ้มวัดขนาดแหวนจ้ะ คุณลุงจะเอาแหวนหมั้นไปปรับขนาดให้เท่ากับนิ้วปุ้ม”
“ไม่ต้องวัดหรอกค่ะพี่แป้น เพราะปุ้มไม่หมั้นกับคุณอนวัช”
“วันนี้ ไม่หมั้น แต่มะรืนนี้ ไม่แน่”
“พี่แป้นคะ”
“พี่วางแหวนไว้ที่นี่นะ ลองดูว่าวงไหนพอดีที่สุดแล้วค่อยเอาไปให้คุณแม่”
“พี่แป้น”
สุดายิ้มๆ เดินออกไปเลย ไม่ฟังเสียง หทัยรัตน์ถอนใจเบาๆ และก้มดูแหวนขนาดต่างๆ ที่วางอยู่ในกล่อง ครุ่นคิด คำพูดของส่องแสงดังเข้ามา
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยนะปุ้มว่าเธอจะเป็นผู้หญิงใจถึงขนาดนี้ รู้ทั้งรู้ว่าพี่หนึ่งเขาไม่สนใจ ก็ยอมแม้แต่เอาตัวเข้าแลก แต่ก็อย่างว่าผู้หญิงอย่างเธอมันก็ไม่มีอะไร นอกจากตัว”
หทัยรัตน์คิดแล้วทั้งเครียดทั้งเศร้า แหววเดินเข้ามาในห้อง
“คุณปุ้มคะ คุณอนวัชมาขอพบค่ะ ตอนนี้รอที่สวนหน้าบ้าน คุณอนวัชบอกว่ามีธุระสำคัญมาก”
“แต่ฉันไม่สะดวก”
“เธอฝากบอกว่า ถ้าคุณปุ้มไม่สะดวกลงไป เธอจะขึ้นมาหาเองค่ะ”
หทัยรัตน์ชักสีหน้านิดๆ ที่อนวัชทำเป็นรู้ทัน
ภายในสวน อนวัชกับหทัยรัตน์เผชิญหน้ากัน
“อาทิพย์คุยกับเธอเรื่องการตัดสินใจของคุณพ่อแล้วใช่มั้ย”
“คุยแล้วค่ะ”
“ดี จะได้รู้ว่าฉันมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ ฉันไม่ต้องการทำให้เธอเสียชื่อ ฉันยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้เธอพ้นคำครหา”
“ขอบคุณ คุณอนวัชมากนะคะ ที่มีน้ำใจกับดิฉัน”
อนวัชยิ้มนิดๆ
“แต่ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะรับหมั้นคุณเพียงเพราะต้องการเอาตัวรอดจากการโดนนินทา”
อนวัขหุบยิ้มทันที
“คุณไม่จำเป็นต้องเสียสละเพื่อดิฉันมากขนาดนั้น เก็บโอกาสของคุณไว้หมั้นและแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ที่ไม่ใช่ฉันเถอะค่ะ”
“เธอหมายความว่า”
“ดิฉันไม่รับหมั้นคุณ”
หทัยรัตน์ตอบเสียงแข็ง
แหววกำลังเช็ดฝุ่นอยู่ในห้องรับแขก สัทธาเดินเข้ามามองซ้ายมองขวาไม่เห็นเป้าหมายก็หันมาถามแหวว
“แหวว เห็นปุ้มมั้ย ฉันไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ”
“อ๋อ คุณปุ้มไปพบคุณอนวัชที่สวนค่ะ”
“อ้าว หนึ่งมาเหรอ”
สัทธาแปลกใจ
อนวัชยังยืนนิ่งอึ้ง และถามกลับไปเสียงเข้ม
“ทำไมเธอไม่รับหมั้นฉัน”
“ดิฉันทนไม่ได้ที่จะให้คนอื่นมาดูถูกว่าฉวยโอกาสผูกมัดคุณ”
“ถ้าเธอไม่รับหมั้นเธอก็โดนดูถูกเหมือนกัน”
“เรื่องนั้นดิฉันทนได้ และมั่นใจว่าในอนาคตเมื่อคุณหรือดิฉันแต่งงานกับคนอื่น จะทำให้ทุกคนลืมเรื่องนี้ไปเอง”
“แต่งงานกับคนอื่น พูดเหมือนมีเป้าหมายอยู่ในใจ ใคร”
“ใครก็ได้ ที่ไม่ใช่คุณ”
หทัยรัตน์ตอบอย่างหนักแน่น มั่นใจ อนวัชไม่ยอม
“ผู้หญิงอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธฉัน คำว่า ไม่ใช่ฉัน ต่อให้เธอย้ำเป็นล้านครั้ง ฉันก็ไม่สน เพราะสุดท้าย เธอต้องรับหมั้นฉัน และแต่งงานกับฉันเท่านั้น”
หทัยรัตน์หันขวับ สะบัดมือออก และสวนกลับ
“ดิฉันไม่เข้าใจ ทำไมคุณต้องบังคับให้ฉันรับหมั้นคุณด้วย ทั้งๆ ที่คุณก็คงไม่อยากหมั้นกับดิฉัน แล้วจะบังคับฉันทำไม”
อนวัชสะอึก ตอบไม่ถูก
“ตอบมาสิคะว่าทำไม”
อนวัชชะงัก ไม่ตอบ
“ทำไมเราถึงต้องหมั้นกัน ในเมื่อคุณไม่ได้รักฉัน มีแต่หาเรื่องกลั่นแกล้งสารพัด เราก็ไม่ได้รู้สึกดีต่อกัน แล้วจะมาหมั้นกันทำไม ทำไมคะ ทำไม บอกมาสิคะว่าทำไม”
อนวัชโดนคาดคั้นก็กดดัน ด้วยทิฐิแรงจึงโกหกไป
“เพราะฉันต้องการเอาชนะเธอ”
หทัยรัตน์อึ้ง อนวัชตอบแล้วเงียบไป อยากจะถอนคำพูดแต่สายเกินไป หญิงสาวเจ็บอยู่ในใจ และตอบเสียงเย็นชา
“ถ้าคุณต้องการหมั้นเพียงเพราะต้องการเอาชนะฉัน คุณเตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ได้เลย เพราะฉันไม่มีวันหมั้นกับคุณ”
หทัยรัตน์หันหลังและเดินกลับเข้าบ้านไป อนวัชยืนนิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตอบแบบนั้น อยากจะเรียกหทัยรัตน์ไว้และคุยกันใหม่ แต่ทิฐิดึงรั้งไว้ไม่ให้ทำตามใจต้องการ
อนวัชเดินหน้าเครียดมาที่รถ ขึ้นรถและขับออกไปอย่างเร็ว สัทธาเดินมาไม่ทัน
“หน้าหงิกแบบนี้ ทะเลาะกันอีกแน่ๆ”
ส่องแสงขับรถสวนกับรถอนวัชเข้ามา
“พี่หนึ่งนี่ มาทำไม”
ส่องแสงแปลกใจ สัทธากำลังเดินเข้าบ้าน เสียงส่องเรียก
“พี่ปุ๊ เมื่อกี๊พี่หนึ่งมาที่นี่ใช่มั้ยคะ แล้วพี่หนึ่งมาหาใคร แล้วมาทำไมคะ”
สัทธามองส่องแสงเซ็งๆ แล้วตอบกวนๆ
“คำตอบที่ 1 ใช่หนึ่งมาที่นี่ คำตอบที่ 2 หนึ่งมาหาปุ้ม คำตอบที่ 3 หนึ่งคงจะมาคุยกับปุ้มเรื่องงานหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้”
ส่องแสงพยักหน้า
“อ๋อ หะ มะ เมื่อกี๊พี่ปุ๊พูดว่า พี่ พี่หนึ่งมาคุยกับปุ้มเรื่องอะไรนะคะ”
“เรื่องงานหมั้น”
“แล้ว งานหมั้นอะไร ใครหมั้นกับใครคะ”
“งานหมั้นของหนึ่งกับปุ้มไงจ๊ะ หรือจะให้พี่หมั้นกับเจ้าหนึ่ง ฟ้าผ่าแน่”
ส่องแสงแทบช็อค ไม่ขำ
“งานหมั้นของพี่หนึ่งกับนังปุ้ม ไม่จริง”
ส่องแสงกรีดร้องดัง สัทธาเอามืออุดหูแทบไม่ทัน
“นี่ส่อง เบาๆ หน่อยสิ หูพี่จะแตกแล้ว นี่ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามคุณลุงวิทย์ก็ได้ คุณลุงเป็นคนมาขอหมั้นยัยปุ้มเมื่อวันก่อน”
“ทำไม ทำไมคุณลุงต้องมาขอหมั้นมันด้วยคะ”
“เรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณพวกผู้หญิงขี้อิจฉาที่ปากอยู่ไม่สุขชอบเอาเรื่องของปุ้มกับหนึ่งไปพูดเสียๆ หายๆ คุณลุงไม่อยากให้ปุ้มต้องอับอายขายขี้หน้า เลยมาขอหมั้นเพื่อสยบข่าวลือทั้งหมด”
ส่องแสงอึ้งไป สัทธาพูดต่ออย่างสนุกปาก
“พวกผู้หญิงปากบอนคงจะหน้าหงายกันไปเป็นแถว ถ้ารู้ว่าคำพูดมั่วๆ ของตัวเองทำให้หนึ่งกับปุ้มลงเอยกันด้วยดีแบบนี้ จริงมั้ยจ๊ะน้องส่อง”
สัทธาเดินกลับเข้าบ้านไป ส่องแสงช็อค
"ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง"
อนวัชเดินไปมาในห้องครุ่นคิดถึงคำพูดของหทัยรัตน์
“ถ้าคุณต้องการหมั้นเพียงเพราะต้องการเอาชนะฉัน คุณเตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ได้เลย เพราะฉันไม่มีวันหมั้นกับคุณ”
อนวัชคิดหนัก หาทางทำให้หทัยรัตน์รับหมั้นให้ได้
“ไม่ ฉันไม่ยอม ฉันจะต้องทำให้เธอรับหมั้นฉันให้ได้ จะให้ใครช่วยดี”
อนวัชนึกถึงหน้าคนที่จะช่วยตนได้ แล้วก็นึกถึงสุดา เขาจึงนัดสุดาออกมาพบกันที่ร้านอาหาร
“พี่หนึ่งอยากให้แป้นช่วยพูดกับปุ้ม”
“ใช่ พี่เห็นด้วยที่คุณพ่อแก้ปัญหาแบบนี้ แต่พี่คิดว่าปุ้มเค้าคงไม่เข้าใจ แป้นก็รู้ว่าปุ้มเจ้าทิฐิขนาดไหน ถ้าจะให้รับหมั้นนายอนวัช คงยอมกัดลิ้นตัวเองตายมากกว่า พอคิดแบบนี้แล้วพี่ก็เลยเป็นห่วง ถึงได้เรียกแป้นมา อยากให้แป้นช่วยพูดกับปุ้ม”
“แล้วพี่หนึ่งจะให้แป้นพูดอะไรคะ”
อนวัชยิ้มพอใจ
หลังจากพูดคุยกับอนวัชแล้ว สุดาก็มาคุยกับหทัยรัตน์
“พี่แป้นไม่ต้องเกลี้ยกล่อมปุ้มแล้วล่ะค่ะ ยังไงปุ้มก็ไม่หมั้นกับคุณอนวัช”
“ปุ้ม คิดดูดีๆ นะ การตัดสินใจของปุ้มมันจะมีผลต่อชีวิตปุ้มในอนาคตนะจ๊ะ ปุ้มจะทนให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดและพูดจาดูถูกได้เหรอ”
“ได้ค่ะ”
สุดามองหทัยรัตน์อ่อนใจ และตัดสินใจใช้ไม้ตาย
“แล้วปุ้มคิดถึงคุณพ่อ คุณแม่บ้างหรือเปล่า ว่าท่านจะเสียชื่อตามไปด้วย”
หทัยรัตน์ชะงัก
“ถึงแม้ว่าการหมั้นครั้งนี้จะเป็นการหมั้นของปุ้ม แต่มันส่งผลถึงคนรอบข้างอีกหลายคน ไหนจะคุณลุงวิทย์ที่เป็นคนเอ่ยปากขอหมั้นปุ้มให้พี่หนึ่ง แล้วยังคุณพ่อกับคุณแม่ที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายปุ้ม ถ้าคนอื่นนินทาว่าปุ้มก็อาจจะพาดพิงถึงท่านทั้งสามคน”
หทัยรัตน์เริ่มครุ่นคิด
“วันนี้พี่ไปสอนคุณหญิงแทน ตามที่ปุ้มต้องการ ปุ้มอยู่บ้านทั้งวัน พี่อยากให้ปุ้มลองคิดดูให้ดีๆ วันพรุ่งนี้จะให้คำตอบที่เหมาะสมที่สุดกับคุณลุงวิทย์ เพราะถ้าปุ้มตอบไปแล้ว เราจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีกเลย”
หทัยรัตน์คิดหนัก สุดาจับมือให้กำลังใจ ก่อนจะหยิบกระเป๋า และหนังสือเดินออกไป ปล่อยให้หทัยรัตน์ครุ่นคิดตามลำพัง
หน้าเรือนสีฟ้า สุดาส่งหนังสือให้กรกนก
“วันนี้พี่แป้นจะสอนภาษาอังกฤษนะคะ พี่แป้นมีนิทานภาษาอังกฤษอยู่สามเล่ม คุณหญิงเลือกเล่มที่อยากอ่านที่สุดมาหนึ่งเล่มค่ะ”
“เล่มไหนก็ได้ค่ะ ให้พี่แป้นเลือกเลยค่ะ เรื่องไหนหญิงก็ชอบทั้งนั้น เพราะช่วงนี้หญิงอารมณ์ดีมากๆ เลยค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“พี่ชายเขียนจดหมายมาบอกว่าใกล้จะกลับมาแล้วค่ะ หญิงมีความสุขมากๆ”
“อ๋อ พี่แป้นเข้าใจล่ะ เออจริงสินะใกล้ถึงกำหนดกลับแล้ว จริงสิ คุณชายกำลังจะกลับมา ลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงนะ”
สุดาเริ่มจะเป็นห่วงประสาทพร เมื่อนึกถึงเรื่องที่หทัยรัตน์จะหมั้นกับอนวัช
หทัยรัตน์เดินไปมาในห้องนอนคิดหนัก เครียด.เสียงรถส่องแสงดังเข้ามา เธอชะโงกหน้าออกไปดู
ส่องแสงและสีสุกนั่งคุยกับทิพย์ในห้องรับแขก
“ฉันได้ข่าวว่าคุณพี่วิทย์มาขอหมั้นแม่ปุ้ม”
หทัยรัตน์ค่อยๆ ย่องมาแอบฟังอยู่หน้าห้องรับแขก
“ตอนนี้ใครต่อใครเขาก็ลือกันไปทั่วว่าคุณทิพย์กับแม่ปุ้มรวมหัวกันขุดหลุมดักคุณหนึ่ง”
หทัยรัตน์ชะงักกึกไม่พอใจ ทิพย์ชักสีหน้าด้วยความขัดเคือง ในขณะที่ส่องแสงยุต่อ
“จริงค่ะ ส่องเที่ยวเถียงแทนใครต่อใครคอเป็นเอ็นว่ามันไม่จริง เรื่องนี้คุณป้าไม่เกี่ยวแม้แต่นิดเดียว แต่ไม่มีใครเชื่อเลยค่ะ”
“ขอบคุณมากนะจ๊ะ ที่อุตส่าห์ไปเถียงกับพวกมนุษย์ปากเสียที่ชอบด่าว่าคนอื่นเสียๆ หายๆ แต่เรื่องของตัวเองกลับเอาฝังดินไม่พูดถึง”
ส่องแสงชะงัก แต่ทำไม่สน
“แหมแต่ปุ้มเขาก็หายไปกับพี่หนึ่งทั้งคืน คนอื่นเขาก็มีสิทธิ์คิดอกุศลแบบนั้นนะคะ”
“ข้อนี้ป้าก็เข้าใจ เราเอาความจริงยันกับคำพูดชาวบ้านไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณพี่วิทย์ถึงต้องมาขอหมั้นแม่ปุ้ม เอางานหมั้นสยบข่าวลือ”
“แล้วคุณทิพย์ตอบตกลงคุณพี่ไปหรือยัง”
“ตอนนี้ยังค่ะ คุณพี่จะมาฟังคำตอบวันพรุ่งนี้ ถ้าคุณสีสุกเป็นดิฉัน คุณสีสุกจะตอบว่ายังไงคะ”
“อุ้ย ถ้าฉันเป็นคุณทิพย์นะ ฉันตอบไปเลยว่า ไม่ตกลง เพราะถ้าตกลงก็เท่ากับยอมรับว่าเราขุดหลุมดักไว้จริงๆ เราน่ะเป็นฝ่ายหญิงมีแต่เสียกับเสีย ยังไงๆ ก็ไม่ยอมรับหมั้นเป็นอันขาด”
ทิพย์ยิ้มนิดๆ
“แต่ดิฉันคิดตรงข้ามกับคุณสีสุกนะคะ ในเมื่อไหนๆ เราถูกกล่าวหาแล้ว เราก็ควรจะดักเอาไว้จริงๆ จะได้ไม่อับอายขายหน้าซ้ำสองว่าคว้าน้ำเหลว ให้ชาวบ้านสมน้ำหน้าว่าขุดหลุมแล้วก็ยังพลาด”
หทัยรัตน์แอบฟังและคิดตาม สีสุกกับส่องแสงมองหน้ากันรีบช่วยกันแก้
“มะ ไม่ดีมั้งจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ ป้าทิพย์ไม่อายเขาเหรอคะ”
“ป้าจะต้องอายทำไม ในเมื่อป้าไม่ได้เป็นคนเอาหลานสาวไปเร่ขาย แต่ฝ่ายชายเสนอมา เราก็แค่ตอบรับ ยิ่งไปกว่านั้น การรับหมั้นครั้งนี้ ก็เท่ากับได้ตอกหน้าพวกปากอยู่ไม่สุข ที่รอกระทืบซ้ำถ้าเราล้ม การตอบรับเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของเราสมศักดิ์ศรีที่สุดแล้วค่ะ”
ทิพย์ยิ้มนิดๆ อย่างสุขุม สีสุกกับส่องแสงนั่งแทบไม่ติด หทัยรัตน์แอบฟังย่างเคร่งเครียด
อนวัชโทรศัพท์มาคุยกับสุดา
“แป้นคุยกับปุ้มหรือยัง”
“คุยแล้วค่ะ แป้นก็พูดตามที่พี่หนึ่งบอกทุกคำ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปุ้มเขาจะตัดสินใจยังไง เพราะเห็นเขาฟังแล้วก็เงียบๆ คงต้องรอวันพรุ่งนี้ล่ะค่ะถึงจะรู้ใจเขา แล้วพี่หนึ่งจะมาฟังคำตอบพร้อมคุณลุงหรือเปล่าคะ”
“พี่ไม่ไปหรอกครับ เอ่อ เพราะมีงานต้องสะสางนิดหน่อย พี่รอฟังคำตอบอยู่ที่บ้านแล้วกัน พี่ไม่รบกวนแป้นแล้วนะ สวัสดีครับ”
อนวัชวางโทรศัพท์ คิดกังวล
หทัยรัตน์เดินเข้ามาในห้องนอน ครุ่นคิดถึงคำพูดของสีสุก ส่องแสง และสุดา แล้วยกมือพนมตั้งจิต
“พ่อคะ แม่คะ ขอให้สิ่งที่ปุ้มตัดสินใจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนด้วยนะคะ”
หทัยรัตน์ตั้งจิตอธิษฐานด้วยความกล้ำกลืนใจลึกๆ
ตอนเช้า วิทย์ สุทธิ์ ทิพย์ สัทธา สุดาและหทัยรัตน์นั่งที่ห้องรับแขก
“ว่ายังไงปุ้ม นี่ครบกำหนดสามวันแล้วนะ ลุงมาฟังคำตอบ หลานตัดสินใจได้หรือยังว่าจะรับหมั้นพ่อหนึ่งของลุงหรือเปล่า”
“ปุ้มตัดสินใจแล้วค่ะ”
ทุกคนลุ้นรอฟังคำตอบ
“ปุ้มรับหมั้นคุณอนวัชค่ะ”
ทุกคนยิ้มดีใจ
“ดี ถ้าอย่างนั้นลุงจะได้รีบจัดงานหมั้นให้เร็วที่สุด”
“ปุ้มขอจัดงานแบบง่ายๆ ไม่ต้องใหญ่ ปุ้มอยากจัดแบบเงียบๆ น่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ พี่ว่าไหนๆ จะจัดแล้วก็จัดใหญ่ไปเลย พวกชาวบ้านขี้นินทามันจะได้รู้กันไป” สัทธาท้วง
“ปุ้มไม่อยากตกเป็นขี้ปากคนอื่นอีกแล้วค่ะ ยิ่งจัดใหญ่ คนอื่นจะคิดว่าเราร้อนตัว”
“งั้นก็ตามใจปุ้ม เพื่อความสบายใจเราก็จัดเงียบๆ แบบกันเองแล้วกัน คุณพี่มีความเห็นว่าอย่างไรครับ” สุทธิ์ถาม
“พี่ไม่มีความเห็นอะไร ในเมื่อเป็นงานของปุ้ม ก็ตามใจเขาแล้วกัน”
สุดากระซิบกระซาบกับสัทธา
“ถ้าพี่หนึ่งรู้คำตอบจะต้องดีใจมากๆ แน่เลยค่ะ”
สุดาพูดยิ้มๆ สัทธาขำคิกคัก
อนวัชยิ้มกว้างอย่างดีใจมาก เมื่อวิทย์กลับมาบอกถึงคำตอบของหทัยรัตน์
“หทัยรัตน์ยอมรับหมั้นเหรอครับ”
“ใช่ ดีใจมั้ยล่ะ”
อนวัชหุบยิ้มรักษาฟอร์ม
“ผมก็ ดีใจที่แก้ปัญหาทั้งหมดได้มากกว่าครับ”
พิมพ์อมยิ้มรู้ทัน
“แค่นั้นเหรอคะ”
“แค่นั้นสิ แม่พิมพ์คิดว่ามีอะไรมากกว่านั้นเหรอ”
“ไม่มีก็ไม่มีสิคะ ทำไมต้องทำเสียงเขียวใส่แม่พิมพ์ด้วย แม่พิมพ์ก็แค่ถามดูเท่านั้น ไม่ได้จะรู้ทันสักหน่อย”
อนวัชสะอึก แอบค้อน
“คุณท่านได้ฤกษ์หมั้นมาหรือยังคะ”
“ได้แล้ว วันอังคารหน้า ปุ้มเขาอยากให้จัดแบบเงียบๆ กันเอง เราก็คงจะไม่ต้องเตรียมอะไรมาก เราล่ะ หมั้นอาทิตย์หน้าเตรียมตัวทันมั้ย”
“ทันครับ ไม่มีปัญหาครับ ผมอยากรีบจัดการให้มันจบๆ ไปเหมือนกัน”
อนวัชทำเป็นนิ่งๆ แต่ก็อดยิ้มพอใจไม่ได้
กรกนกยิ้มดีใจที่อนวัชมาบอกเรื่องการหมั้น
“คุณครูกับพี่หนึ่งจะหมั้นกันเหรอคะ”
“ครับ งานหมั้นจะมีอาทิตย์หน้า”
“หญิงดีใจกับพี่หนึ่งด้วยนะคะ”
“คุณหญิงไม่เสียใจใช่มั้ยครับ”
“เสียใจเรื่องอะไรคะ”
“เสียใจที่คุณครูเป็นคู่หมั้นกับพี่หนึ่ง แทนที่จะเป็น เอ่อ เป็นควีนของคุณชาย”
“หญิงไม่เสียใจหรอกค่ะ เพราะพี่หนึ่งก็เป็นพี่ชายคนหนึ่งของหญิง และถ้าการหมั้นเป็นความพอใจของพี่หนึ่งและคุณครู หญิงก็ยินดีค่ะ และหญิงคิดว่าถ้าพี่ชายรู้ พี่ชายก็คงจะคิดเหมือนหญิง”
กรกนกยิ้ม
ส่องแสงคิดเรื่องหมั้นของอนวัชกับหทัยรัตน์ก็ยิ่งแค้นใจ
“นังปุ้มมันรับหมั้นพี่หนึ่ง นี่ป้าทิพย์ไม่อบรมสั่งสอนมันหรือยังไง ขนาดเราไปพูดถึงขนาดนั้นเขายังยอมให้นังปุ้มหมั้นกับพี่หนึ่งจนได้ หน้าด้านจริงๆ”
ส่องแสงกับสีสุกนั่งโวยวายกันอยู่ในบ้าน สีสุกกระพือพัดด้วยความร้อนใจ
“แม่ทิพย์จะไปว่าทำไม มีแต่จะเห็นดีเห็นงามล่ะสิไม่ว่า พอกันทั้งป้าทั้งหลาน ป่านนี้คงจะเตรียมเอานังปุ้มใส่พานถวายให้คุณหนึ่งอยู่ล่ะสิ หมั่นไส้จริงๆ เออนี่ส่อง แล้ววันงานส่องจะไปกับแม่มั้ยลูก”
“ส่องไม่ไปหรอกค่ะ ตอนนี้เป็นทีของมัน ปล่อยให้มันหัวเราะไปก่อน เมื่อไหร่ที่เป็นคราวส่องบ้าง จะหัวเราะให้ดังกว่ามันคอยดู เรื่องนี้มันยังไม่จบ คนแต่งกันยังหย่าได้.แค่หมั้น ทำไมจะถอนหมั้นไม่ได้ นังปุ้มอย่าคิดนะว่าฉันจะยอมแพ้”
ส่องแสงกัดฟันด้วยความริษยา
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 8 (ต่อ)
หทัยรัตน์เดินออกมาที่สวน พอเห็นแขกที่ยืนรอ ก็ชะงัก รวบรวมทำใจก่อนจะเดินมาหา
“สวัสดีค่ะ แหววบอกว่าคุณต้องการพบดิฉัน”
อนวัชยืนรอ พอได้ยินเสียงก็หันมา ทั้งสองเผชิญหน้ากันครั้งแรกหลังจากตอบรับการหมั้น
“คนกำลังจะเป็นคู่หมั้นกัน พูดจากันให้มันดีๆ หน่อย ไม่ใช่ทำตัวห่างเหินเหมือนคนไม่คุ้นเคย”
“คนที่กำลังจะหมั้น เพราะความจำเป็น และความจำใจ คงจะฝืนทำตัวให้สนิทสนมได้มากที่สุดเท่านี้”
อนวัชเจ็บในใจ ตอกกลับด้วยทิฐิ
“ไม่ต้องย้ำว่าเธอหมั้นกับฉันเพราะความจำเป็น และจำใจ เพราะฉันเองก็หมั้นกับเธอเพราะ“
“เพราะต้องการเอาชนะ”
อนวัชเจ็บนิดๆ แต่ยังฝืนทำเป็นยอมรับ
“จำได้ก็ดี ฉันเองก็ไม่อยากให้เธอคิดไปเป็นเหตุผลอื่น”
“คนอย่างฉันไม่เคยคิดเอง เออเองอยู่แล้ว ฉันคิดตามสิ่งที่เห็น และสิ่งที่เป็น เราสองคนไม่ได้ รักกัน การหมั้นครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรัก ถ้าคุณจะมาเพียงเพื่อตอกย้ำในจุดนี้ ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจำได้ขึ้นใจ ฉันขอตัวก่อนนะคะ มีธุระต้องทำอีกมาก”
หทัยรัตน์จะหันหลังเดินเข้าบ้าน อนวัชพูดสวนขึ้น
“หทัยรัตน์ ถึงฉันจะเป็นผู้ชนะ ทำให้เธอยอมรับหมั้นฉัน แต่ฉันก็จะทำหน้าที่คู่หมั้นของเธอให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าเธอต้องการอะไรบอกมาได้เลย ฉันพร้อมจะทำให้ทุกอย่าง”
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ฉันไม่ต้องการอะไร นอกจากรีบจัดการงานหมั้นให้จบเร็วที่สุด เพื่อความสบายใจของทุกคน และฉันจะกลับไปใช้ชีวิตของฉันตามปกติ นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันต้องการ”
อนวัชอึ้งอย่างบอกไม่ถูก
ประสาทพรอยู่ในที่พักที่ต่างประเทศ เก็บของจากชั้นหนังสือใส่กล่อง ยกหนังสือบางส่วนมาตั้งวางกองรวมไว้ และลากกระเป๋าเดินทางมาเตรียมขนของใส่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาหันไป เป็นจดหมายสอดเข้ามาใต้ประตู 2-3 ฉบับ ประสาทพรรีบเดินมาหยิบดู และดีใจที่จดหมายฉบับที่อยู่ล่างสุดมาจากหทัยรัตน์ เขารีบเปิดอ่านอย่างมีความสุข
สุดาพยายามเขียนจดหมายบอกเรื่องหมั้นของหทัยรัตน์กับประสาทพร
“สวัสดีค่ะคุณชาย จดหมายฉบับนี้คงเป็นฉบับสุดท้าย เพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาที่คุณชายจะเดินทางกลับมาแล้ว ข่าวนี้ทำให้ดิฉันยินดีนัก แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกอึดอัด เพราะมีบางเรื่องที่สายลับคนนี้ยังไม่ได้รายงานคุณชาย เรื่องนั้นก็คือ ปุ้มกำลังจะหมั้นกับพี่หนึ่ง”
สุดาหยุดเขียน แล้วมองจดหมายอย่างไม่ชอบใจ เอาจดหมายมาขยำทิ้ง เพราะไม่กล้าบอกเรื่องหมั้นกับประสาทพร
“มันตรงเกินไป ถ้าคุณชายอ่านถึงประโยคนี้ต้องตกใจมากแน่ๆ เอาใหม่ๆ เฮ่อ เขียนไม่ออก จะบอกคุณชายยังไงดีนะ ปุ้มก็ต้องเริ่มเตรียมงานหมั้นจะมีเวลาเขียนบอกคุณชายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เฮ่อ”
สุดาหนักใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ทิพย์ลองชุด ทำผม หาเครื่องประดับให้หทัยรัตน์ ที่นั่งเป็นตุ๊กตาให้แต่งตัวอย่างสนุกสนาน และมีความสุข
อนวัชลองชุดหมั้นอยู่หน้ากระจกมีช่างเสื้อ 2 คน คอยจับเสื้อผ้าดูความเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด พิมพ์คอยดูแลอยู่ข้างๆ และมองอนวัชด้วยความชื่นชม
สุทธิ์ และสัทธา ควบคุมคนรับใช้จัดสถานที่ที่จะทำพิธีหมั้น วิทย์และพิมพ์ ช่วยกับควบคุมการจัดของหมั้น และขบวนขันหมาก หทัยรัตน์มองดูบรรยากาศที่สุทธิ์ ทิพย์ สัทธาและสุดา ช่วยกันเตรียมงาน แล้วรู้สึกหวั่นใจนิดๆ ในขณะที่อนวัชมองดูของหมั้น ยิ้มอย่างมีความสุข
นวลนั่งมองชมพู่ที่จัดในจานเรียงสวยงาม แล้วก็ถอนใจพูดกับคนรับใช้แก่ๆ
“ถ้าตานิจยังอยู่ ป่านนี้เรียบไปทั้งจานแล้ว ของโปรดเขาเลยล่ะ”
พรรณีเดินมาพอดี ถอนใจสงสาร แต่ก็ต้องทำใจให้เข้มแข็ง
“คุณแม่คะ ณีออกไปหาพี่หนึ่งนะคะ”
พรรณีจะรีบเดินออกไป นวลนึกได้เรียกไว้
“เดี๋ยวๆ ณี.แม่ไปด้วย แม่ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว คิดถึงตานิจ”
พรรณีตกใจ รีบเก็บอาการและปฏิเสธไม่ให้มีพิรุธ
“ณีว่า อย่าเลยนะคะแม่ วันนี้เห็นพี่หนึ่งบอกว่าอาจจะพาไปเจอกับเพื่อนๆ ถ้าเราไปกันสองคนแม่ลูก จะวางตัวกันไม่ถูก ถ้าคุณแม่อยากให้ณีกับพี่หนึ่งสนิทสนมกันมากๆ ปล่อยณีไปกับพี่หนึ่งแค่สองคนดีกว่านะคะ”
“ก็ได้ๆ ไม่ไปก็ได้”
“ณี รีบไปรีบกลับนะคะ”
พรรณีรีบปลีกตัวออกไป นวลมองตามแอบสงสัย คล้อยหลังพรรณี นวลเดินไปโทรศัพท์หาอนวัช
“สวัสดีค่ะ คุณอนวัชเหรอคะ”
“ใช่ครับ ผมนัดกับณีไว้ ที่ไม่ได้ไปรับที่บ้านเพราะยังสะสางงานไม่เรียบร้อย คุณน้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
นวลยิ้มหน้าบาน
“อ๋อ ไม่มีค่ะ ไม่มี น้าแค่เป็นห่วงแม่ณีน่ะค่ะ ถ้านัดกันจริงๆ ก็ดีค่ะ น้าก็ฝากดูแลน้องด้วยนะคะ ตอนนี้น้าก็เหลือลูกสาวอยู่คนเดียว น้าก็ขอให้คุณอนวัชเมตตาแม่ณีให้มากๆ นะคะ น้าขอแค่นี้ล่ะค่ะ สวัสดีค่ะ”
นวลวางสายไป ยิ้มโล่งอก
“แล้วไปที่ไม่ได้โกหก”
อนวัชวางโทรศัพท์ลง แล้วเป็นห่วงพรรณี
“เฮ่อ ไม่รู้จะโกหกแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน”
พรรณีกับสัทธาตีเทนนิสสนุกสนาน จากนั้นก็นั่งคุยกันต่อตอนพัก
“ฝีมือพัฒนาขึ้นมากจริงๆ พี่ขอยกนิ้วให้”
“ณีมีครูเก่งอย่างพี่ปุ๊ ฝีมือก็ต้องพัฒนาเป็นธรรมดา”
“มีลูกศิษย์ปากหวานแบบนี้ สงสัยต้องทำหน้าที่เป็นคุณครูที่ดีพาไปเลี้ยงอาหารสักหนึ่งมื้อ แล้วต่อด้วยดูหนังสักหนึ่งเรื่องดีมั้ย”
“ณีรับปากกับแม่ว่าจะรีบกลับบ้านน่ะค่ะ ท่านดูเหงาๆ ตั้งแต่ไม่มีพี่นิจ ขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องขอโทษพี่ ณีไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย วันนี้ไปไม่ได้ วันหน้าก็ยังมี อ้อ แล้วณีขออนุญาตมางานหมั้นของปุ้มกับเจ้าหนึ่งหรือยัง พรุ่งนี้วันงานแล้วนะ”
พรรณีหนักใจเพราะยังไม่ได้เอ่ยปากขอ สัทธาเห็นสีหน้าหญิงสาวก็เดาออก
“ทำหน้าแบบนี้แปลว่า มาไม่ได้หรือไม่ให้มา”
“คือ ณียังไม่กล้าบอกคุณแม่เลยค่ะ”
“ณี ถ้าเรื่องแค่นี้ณียังไม่กล้าบอก แล้วเมื่อไหร่ณีจะกล้าพูดเรื่องของเรา และถ้าณีไม่กล้า สักวันพี่จะพูดเอง พี่จะไม่ยอมหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้อีกแล้ว พี่พร้อมจะทำทุกอย่างให้คุณแม่ณียอมรับพี่ในฐานะลูกเขยให้ได้”
“ขอบคุณมากนะคะพี่ปุ๊ ขอบคุณมากๆ”
สัทธายิ้มรับมองพรรณีด้วยความรัก
อนวัชนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก หยิบกล่องแหวนหมั้นที่จะให้หทัยรัตน์มาดู ยิ้มนิดๆ และคิดถึงหญิงสาว เขาหันไปมองโทรศัพท์
สุดา หทัยรัตน์ ทิพย์ สุทธิ์ นั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น
“แม่คะ พรุ่งนี้แป้นกับพี่ปุ๊ขอกั้นประตูสุดท้ายนะคะ พี่ปุ๊บอกว่าจะเรียกพี่หนึ่งหนักๆ เลยค่ะ”
“นี่เราสองคนน่ะ อย่าเรียกให้มันมากนัก เดี๋ยวเขาจะยกขันหมากกลับไม่ขอหมั้นน้องสาวเรานะ”
“ก็ดีสิคะ”
หทัยรัตน์พูดขึ้น ทุกคนหันมา
“พูดเล่นน่ะค่ะ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สุดาเดินไปรับ
“เดือนประดับค่ะ รอสักครู่นะคะ ปุ้ม พี่หนึ่งจะพูดด้วยน่ะ”
หทัยรัตน์อึกอัก สุดารู้ใจ
“คุณพ่อคุณแม่คะ แป้นว่านี่ก็ดึกแล้ว เราไปนอนเก็บแรงกันดีกว่านะคะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมรับขบวนขันหมากแต่เช้า”
“นั่นสินะ เราไปนอนกันดีกว่าค่ะคุณ”
ทุกคนค่อยๆ เดินออกไปจากห้องนั่งเล่น หวังจะให้อนวัชกับหทัยรัตน์คุยกันตามลำพัง
“อ้าวปุ้ม มารับโทรศัพท์เร็วสิ พี่หนึ่งรออยู่”
“ค่ะ”
หทัยรัตน์เดินไปรับโทรศัพท์เขินๆ สุดาส่งโทรศัพท์ให้
“อย่าคุยให้มันดึกนักล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสายไม่รู้ด้วยนะ”
หทัยรัตน์เขิน แต่ปั้นหน้าทำเป็นโกรธ แล้วทำใจให้ปกติก่อนจะพูดโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ”
อนวัชตื่นเต้น
“ดึกแล้วนะ ยังไม่นอนอีกเหรอ”
หทัยรัตน์ตื่นเต้นพอกันแต่ทำเป็นเสียงเข้ม
“กำลังจะนอนแล้วค่ะ”
อนวัชอึกอัก อยากพูดหลายอย่าง แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร จึงกลายเป็นเงียบ หทัยรัตน์เริ่มสงสัย ทำไมเงียบ แต่ตัวเองก็เงียบ จึงตัดบท
“ถ้าจะถามแค่นี้ วางนะคะ “
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งวาง”
หทัยรัตน์ชะงัก
“ที่ฉันโทร.มาก็แค่ เอ่อ นึกถึงเธอขึ้นมา”
“นึกถึง”
“นึกถึงว่า เธอจะมีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า”
หทัยรัตน์ผิดหวังนิดๆ
“ไม่มีค่ะ ทุกอย่างคุณลุงคุณป้าจัดไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
อนวัชโกรธตัวเองที่ไม่ยอมพูดตรงๆ แล้วก็จำยอมต้องตัดบท
“งั้นก็ ไม่มีอะไร แค่นี้นะ”
“ค่ะ”
อนวัชเหมือนไม่อยากวาง แล้วก็วางหูไปด้วยความตื่นเต้น พูดกับโทรศัพท์
“ราตรีสวัสดิ์นะ หทัยรัตน์”
หทัยรัตน์วางหูไปแล้ว ไม่ได้ยิน เธอคิดถึงวันพรุ่งนี้แล้วก็แอบหนักใจ
เช้าวันหมั้น ขบวนขันหมากขนาดย่อมๆ มีวิทย์ อนวัช พิมพ์ เริ่มเดินขบวนเข้ามาในเขตบ้านเดือนประดับ
คนใช้วิ่งวุ่นไปมา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสดชื่น สดใส ดอกไม้ประดับสวยงาม ประตูเงินประตูทองเตรียมกั้นรอ ทั้งผ่องฉวี หมอประสงค์ กรกนก แม่โอ มาร่วมพิธีอย่างสนุกสนาน
สุทธิ์ ทิพย์ และเถ้าแก่ที่ทำหน้าที่ดำเนินพิธีหมั้น นั่งรอขบวนขันหมาก สีสุกนั่งเชิดอยู่ไม่ห่าง สัทธาค่อยๆ กระเถิบเข้ามาหา
“สวัสดีครับคุณอาสีสุก”
“สวัสดี”
“อ้าววันนี้มาคนเดียวเหรอครับ ลูกสาวสุดที่รักไม่มาด้วยเหรอ”
“เห็นหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่เห็นก็แปลว่าไม่ได้มา”
“แล้วทำไมไม่มาล่ะครับ”
“ก็ ยัยส่องเขาไม่ค่อยสบายน่ะ ปวดหัว”
“อ๋อ สงสัยจะเห็นคนอื่นได้ดีกว่าเลยคิดมากจนปวดหัว ใจ”
สีสุกเหล่สัทธาไม่สบอารมณ์ สัทธาแอบขำคิกคัก
หทัยรัตน์นั่งอยู่ที่หน้ากระจกในชุดหมั้นสวยงาม สุดาเดินมาหา
“สวยมากเลยปุ้ม รับรองว่าพี่หนึ่งต้องตะลึงแน่ๆ”
หทัยรัตน์พยายามเก็บความเขินไว้
อนวัชค่อยๆ ผ่านประตูเข้ามาทีละชั้น จนรอดเข้ามาข้างในได้ เถ้าแก่กำลังนับสินสอด นับเสร็จบอกให้พาตัวหทัยรัตน์ออกมา อนวัชตื่นเต้น ชะเง้อรอ สุดาเดินออกมา สักพักหทัยรัตน์เดินตามออกมาในชุดไทยสวยงาม
อนวัชมองตะลึงในความสวย หทัยรัตน์เดินมาด้วยความนิ่งสงบ และนั่งคู่กับอนวัช อนวัชมองหญิงสาวไม่วางตา สีสุกหมั่นไส้ หทัยรัตน์ไม่สบตาอนวัชด้วยความอาย แต่อนวัชกลับมองเธอเหมือนโดนสะกด
“ผู้ชายสวมแหวนให้ผู้หญิง”
อนวัชหยิบแหวนมาและบรรจงสวมให้หทัยรัตน์
“ผู้หญิงสวมแหวนให้ผู้ชาย”
หทัยรัตน์สวมแหวนให้ อนวัชยิ้ม หญิงสาวยิ้มหลบตา ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข อนวัชมองหทัยรัตน์ไม่วางตา จนหญิงสาวเขิน สีสุกมองหมั่นไส้
ส่องแสงแต่งตัวสวยเตรียมจะเดินออกไปข้างนอกด้วยความเซ็ง เสียงชุลีดังเข้ามา
“ส่อง ส่อง ส่องอยู่หรือเปล่า”
ส่องแสงเซ็งสุดๆ หันหลังเตรียมจะเดินกลับเข้าบ้าน ชุลีหันมาเห็นพอดี
“อ้าวส่อง อยู่จริงๆ ด้วย”
ส่องแสงชักสีหน้า เซ็งจริงๆ
“ฉันคิดไว้แล้วว่าเธอต้องอยู่บ้านแน่ๆ นี่ แล้ววันนี้ไม่ได้ไปงานหมั้นของพี่หนึ่งเหรอจ้ะ”
“จะเสียเวลาไปทำไม งานหมั้นจอมปลอมแบบนั้น”
“แหม แต่ข่าววงในเขาว่าคุณวิทย์ ให้สินสอดอย่างหนักเลยนะ คงจะไม่ได้หมั้นกันปลอมๆ ซะล่ะมั้ง”
ส่องแสงชะงักคิดหาเหตุผล
“ก็ คุณลุงเขาไม่อยากเสียหน้าต่างหาก และอีกอย่างก็คงจะเอาเงินฟาดหัวเป็นค่าเสียหายให้นังปุ้มมันก็เท่านั้น”
“ฉันว่านะจะให้เพราะอะไรก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้เขาก็หมั้นกันจริงๆ เธอไม่อิจฉาบ้างเหรอส่อง”
ส่องแสงโดนจี้ใจดำ รีบแก้เสียงแข็ง
“อย่างฉันเนี่ยนะจะอิจฉานังปุ้ม มันเป็นได้ก็แค่คู่หมั้นในนามของพี่หนึ่งเท่านั้น พี่หนึ่งไม่ได้รักมันและอีกไม่นานพี่หนึ่งก็จะถอนหมั้นจากมันคอยดูก็แล้วกัน”
ส่องแสงประกาศก้อง แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ชุลีมองด้วยสายตาเยาะหยันไม่อยากเชื่อ
“อ้าว แล้วเธอจะไปไหนน่ะส่อง”
ชุลีรีบเดินตามไป
เถ้าแก่ดำเนินงานหมั้นต่อ
“เชิญถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกทางด้านนี้ครับ”
สุดากับสัทธา ช่วยกันจัดให้สุทธิ์ วิทย์ และทิพย์ นั่งบนโซฟา อนวัชกับหทัยรัตน์นั่งพับเพียบที่พื้น ทั้งสองคนห่างกันมาก สัทธาต้องรีบบอก
“หนึ่ง ปุ้ม ขยับมาใกล้ๆ กันหน่อยรูปจะได้สวยๆ”
สองคนเงอะงะ แต่ก็ยอมขยับเข้ามาอีกนิด
“เข้าไปอีก เข้าไป”
“ใช่ค่ะ ปุ้มขยับเข้าไป พี่หนึ่งจับมือปุ้มด้วยนะคะ ภาพจะได้สวยๆ”
สุดาจัดการเสร็จสรรพ หทัยรัตน์ชักสีหน้านิดๆ สุดาทำท่าฉีกยิ้มให้หทัยรัตน์ยิ้ม หทัยรัตน์จำต้องยิ้มนิดๆ อนวัชขยับเข้ามาใกล้หทัยรัตน์ตามคำสั่งอย่างเต็มใจ
“ดีมาก จับมือด้วย”
สัทธาบอก อนวัชหันมามอง และกระซิบบอกหทัยรัตน์
“ฉันต้องทำตามคำสั่ง”
อนวัชพูดจบก็คว้ามือหทัยรัตน์มาจับไว้ เธอจำต้องยอม ต่างคนต่างตื่นเต้นไม่รู้ตัว อนวัชลอบมองหทัยรัตน์แล้วอมยิ้ม หทัยรัตน์ตื่นเต้นแต่พยายามทำนิ่งๆ สัทธาพยักหน้าให้ช่างภาพถ่ายรูป สีสุกมองด้วยความไม่พอใจ
เช้าวันต่อมา หทัยรัตน์แต่งตัวเสร็จเดินมานั่งทาแป้งที่โต๊ะเครื่องแป้ง เห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายในกระจก เธอชะงัก พยายามไม่คิด แล้วหันไปหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้องไปสอนหนังสือ
หทัยรัตน์มาที่เรือนสีฟ้า แอบมองซ้ายมองขวา กลัวจะเจออนวัช ทันใดนั้นแม่โอก็วิ่งมาหา
“คุณครูคะ คุณครู เกิดเรื่องแล้วค่ะ”
“มีอะไรจ๊ะแม่โอ”
“คือ มีแขกคนสำคัญมาหาคุณหญิง แต่คุณหญิงไม่ยอมออกไปพบค่ะ”
“แล้วแขกคนสำคัญที่ว่า เป็นใครจ๊ะ”
“ท่านพ่อของคุณหญิงค่ะ”
หทัยรัตน์ชะงัก
ประสานสุขพูดด้วยความหนักใจ
“ลูกหญิงไม่ยอมออกพบฉันเหรอ”
วิทย์นั่งอยู่กับท่านชายประสานสุข แม่โอ และ หทัยรัตน์ยืนรายงานอยู่อีกมุม วิทย์มองประสานสุขอย่างเห็นใจ
“หลานหญิงอาจจะไม่อยากออกมา เราเข้าไปหาในห้องเรียนกันดีกว่าครับ”
ประสานสุขพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ แม่โอรีบรายงาน
“เอ่อ คุณหญิงขอตัวไปที่ห้องนอนแล้วค่ะ บอกว่าปวดศีรษะ”
ประสานสุขเศร้า
“ลูกหญิงคงไม่อยากเจอหน้าพ่อจริงๆ”
วิทย์มองประสานสุขด้วยความเห็นใจ แล้วก็คิดได้ หันมาทางหทัยรัตน์
“ปุ้มได้คุยกับหลานหญิงหรือยัง”
“ยังค่ะ พอดีเดินมาถึง แม่โอวิ่งมารายงาน แล้วก็ชวนปุ้มมาเรียนคุณลุงกับท่านชายค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ปุ้มลองไปพูดกับหลานหญิงให้มาหาท่านพ่อหน่อยสิ หลานหญิงเชื่อฟังปุ้ม เธออาจจะยอมออกมา”
หทัยรัตน์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เดินออกไป
กรกนกนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็นหันหน้าออกนอกหน้าต่าง
“คุณหญิงคะ คุณครูเองนะคะ คุณครูเข้าไปได้มั้ยคะ”
“เชิญค่ะ”
หทัยรัตน์เดินเข้ามาในห้อง
“คุณครูอย่าพยายามเลยค่ะ หญิงไม่มีวันจะออกไปหาท่านพ่อเด็ดขาด เพราะท่านพ่อไม่เคยรักหญิง นี่คงจะเห็นว่าพี่ชายกำลังจะกลับมาเลยมาหาหญิง เพื่อไม่ให้พี่ชายตำหนิ”
“คุณครูไม่ได้จะเข้ามาบังคับให้คุณหญิงออกไปหรอกค่ะ เพราะชีวิตเป็นของคุณหญิง คุณครูจะไปบอกให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ได้ยังไง แต่ที่มาเพื่อจะถามอะไรบางอย่าง”
กรกนกเอียงหน้าสงสัย.
“คุณหญิงรักท่านพ่อหรือเปล่าคะ”
“หญิงไม่รักท่านพ่อค่ะ”
“ถ้าไม่รักก็แล้วไป เพราะถ้ารักแล้วใจร้ายกับคนที่เรารัก คนที่จะต้องเสียใจก็คือตัวเราเอง”
“ทำไมคะ”
“เพราะถ้าเราใจร้ายมากๆ สักวันเราอาจจะต้องเสียคนคนนั้นไปน่ะสิคะ”
กรกนกอึ้ง
“แต่คุณหญิงไม่รักท่านพ่อก็ไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ เพราะถ้าวันหนึ่งท่านพ่อจะไม่มาเยี่ยมท่านหญิงอีกท่านหญิงก็คงจะไม่เสียใจใช่มั้ยคะ”
กรกนกไม่ตอบ
“งั้นคุณครูจะไปบอกท่านชายว่าคุณหญิงไม่รักท่านแล้ว และไม่มีวันพบกับท่านอีกนะคะ”
กรกนกคิดหนัก
“คุณครูคะ”
หทัยรัตน์อมยิ้ม
วิทย์และประสานสุขนั่งรออยู่ สักพักหทัยรัตน์เข็นรถกรกนกเข้ามา
“ลูกหญิง”
“สวัสดีค่ะท่านพ่อ”
“ลูกหญิงยอมมาหาพ่อแล้ว“
ประสานสุขกอดลูกสาว กรกนกรู้สึกอบอุ่นและยินดีอย่างที่สุด
“พ่อคิดถึงลูกหญิงเหลือเกิน ลูกหญิงสบายดีหรือเปล่า โตขึ้นเยอะเลย”
ประสานสุขมองลูกด้วยความรัก แล้วก็กอดอีกทีด้วยความคิดถึง วิทย์มองแล้วก็ยิ้มตาม แม่โอซาบซึ้งใจ หทัยรัตน์ปลาบปลื้ม
เวลาต่อมา วิทย์เดินมาส่งประสานสุขที่หน้าบ้าน
“ขอบใจคุณวิทย์มากที่ดูแลลูกหญิงอย่างดี”
“ไม่ต้องขอบใจหรอกครับ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้”
“เออ คุณวิทย์ คุณครูของลูกหญิงคนนี้ใช่คนที่ชื่อ หทัยรัตน์หรือเปล่า”
“ใช่ครับ ท่านชายรู้จักด้วยเหรอครับ”
“ประสาทพรชมให้ฟังบ่อยๆ เด็กคนนี้นอกจากจะหน้าตาน่ารักแล้ว ยังทำให้ลูกหญิงยอมใจอ่อนได้ เรียกว่าไม่ธรรมดา พิเศษแบบนี้นี่เองประสาทพรถึงได้เป็นห่วงนัก”
“ไม่ใช่แค่คุณชายเท่านั้นที่ประทับใจในตัวหทัยรัตน์ หนึ่งเองไม่เคยยอมใคร ยังต้องยอมคนนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมหมั้นกันง่ายๆ”
“อ้าว นี่พ่อหนึ่งกับคุณครูลูกหญิงหมั้นกันแล้วเหรอครับ แล้วหมั้นกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย”
ประสานสุขถามด้วยความสงสัย
วิทย์กลับมาเล่าให้อนวัชฟัง เรื่องที่ประสานสุขไม่รู้เรื่องงานหมั้น อนวัชหัวเราะชอบใจ
“แล้วท่านลุงทรงรับสั่งว่าอย่างไรต่อครับ”
“ก็กริ้ว ที่เราไม่ได้เชิญท่านมาร่วมงาน พ่อเลยบอกว่าเราจัดงานกันเล็กๆ ไม่มีมีพิธีมาก และเชิญแขกไม่กี่คน เกรงใจ เห็นท่านชายทรงงานต่างจังหวัดบ่อยๆ ท่านก็กริ้วน้อยลง บอกให้หนึ่งพาปุ้มไปที่วัง จะทรงเลี้ยงอาหาร”
“ได้ครับ ผมก็อยากพาปุ้มตระเวนพบปะกับญาติเครืออยู่เหมือนกัน แต่ก่อนไปคงต้องพาไปซื้อของใช้ส่วนตัวเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย”
“ของใช้อะไรเหรอคะ”
พิมพ์ถามอย่างสุภาพ อนวัชอมยิ้มไม่ตอบ
จบตอนที่ 8