หนึ่งในทรวง ตอนที่ 7
นวลเดินงุ่นง่านตามหาพินิจ แล้วหันมาถามกับพรรณี
“ตกลงเจอตานิจหรือยังยัยณี โทร.ไปหาเพื่อนพี่เขาหมดหรือยัง”
“โทร.แล้วค่ะ ไม่มีใครเห็นพี่นิจเลยค่ะ”
“หายไปไหนนะตานิจ”
นวลทั้งเป็นห่วง และไม่พอใจ ขณะนั้น อนวัชขับรถมาจอดส่งพินิจ
“อะไรนะ นี่แก ขอหทัยรัตน์แต่งงานเหรอ”
พินิจพยักหน้า
“แล้วเขาว่ายังไงบ้าง”
“ปุ้มไม่ยอมแต่งงานกับฉัน เขาบอกว่าไม่ได้รักฉัน”
“ใจร้ายจริงๆ”
“เขามีคนรักที่เขาจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว คนดีที่เพียบพร้อมทุกอย่าง”
อนวัชรู้สึกใจเต้นแรงด้วยความอยากรู้และถามน้ำเสียงซ่อนหวัง
“เธอบอกหรือเปล่าว่าเป็นใคร”
พินิจมองออกไปไกล และตอบด้วยเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“หม่อมราชวงศ์ประสาทพร จรูญลักษณ์”
อนวัชอึ้งไป
“เขาพูดแบบนั้นจริงเหรอ”
“อาจจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็เดาได้ไม่ยาก เพราะคุณชายเป็นคนที่เพียบพร้อมและเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับผู้หญิงอย่างหทัยรัตน์ ฉันไม่มีอะไรที่คู่ควรกับเธอแม้แต่นิดเดียว”
พินิจพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า อนวัชยังอึ้ง พูดไม่ออก ขัดเคืองใจอย่างมาก
นวลครุ่นคิดเรื่องพินิจแล้วนึกขึ้นได้
“นังเด็กปุ้ม”
นวลรีบหันไปทางโทรศัพท์ พรรณีแปลกใจ
“คุณแม่จะทำอะไรคะ”
“แม่จะโทรศัพท์ไปที่เดือนประดับ จะถามนังเด็กกำพร้า ว่าตานิจไปหามันหรือเปล่า”
“คุณแม่คะ อย่าโทร.เลยค่ะ พี่นิจคงไม่ได้ไปที่นั่นหรอกค่ะ อย่านะคะแม่”
“ปล่อยมือแม่นะยัยณี แม่บอกให้ปล่อย”
“อย่าโทร.นะคะแม่”
“ปล่อยแม่นะยัยณี”
นวลผลักพรรณีจนล้ม ทันใดนั้นพินิจเดินเข้ามา พรรณีและนวลตกใจ พินิจเดินตัวลอยผ่านไป สองแม่ลูกอึ้งไป
“เดี่ยวสิคะพี่นิจ”
“หยุดคุยกันก่อนพ่อนิจ”
“ผมอยากอยู่คนเดียว”
“ยัยณีรีบไปเค้นมาให้ได้ว่าพี่เราไปไหนมา และเป็นอะไร”
“แต่พี่นิจบอกว่าอยากอยู่คนเดียว”
“ฉันบอกให้ไป ก็ไป ไปสิ”
“ค่ะ”
พรรณีจำใจต้องเดินตามพินิจไป พินิจเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงอย่างเศร้าสร้อย พรรณีรีบเดินตามเข้ามา
“พี่นิจ พี่ไปไหนมา แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
พินิจหันมาเห็นพรรณียืนอยู่คนเดียว ก็ตอบออกมาอย่างเศร้าๆ
“พี่ไปหาปุ้มมา”
“แล้วเป็นยังไงบ้างคะ”
“ปุ้มเขาบอกว่า เขาไม่เคยรักพี่ และไม่มีวันที่เขาจะรักพี่ ไม่มีวันที่เขาจะแต่งงานกับพี่”
พินิจน้ำตาร่วง
“พี่ไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว ไม่มีอะไรให้หวังอีกแล้ว”
พินิจเศร้า พรรณีเห็นพี่ชายแล้วเศร้าใจตามไปด้วย
พรรณีออกมาเล่าเรื่องของพินิจให้นวลฟัง นวลโพล่งออกมา
“ตานิจไปขอนังเด็กกำพร้าแต่งงาน”
“คุณแม่คะ เลิกเรียกปุ้มแบบนั้นได้มั้ยคะ”
“นี่เรากล้าขึ้นเสียงกับแม่เหรอยัยณี นังเด็กนั่นมันมีดีอะไร เราถึงกล้าตวาดแม่เพื่อปกป้องมัน”
“ปุ้มเขาไม่ได้มีอะไรดีหรอกค่ะ แต่ณีทนไม่ได้อีกแล้ว ปุ้มไม่ได้เป็นอย่างที่คุณแม่คิด และสิ่งที่คุณแม่ต่อว่าปุ้มในวันนั้น มันไม่จริงแม้แต่นิดเดียว”
พรรณีชะงักเพราะหลุดปาก นวลสงสัย
“วันนั้น วันไหน”
พรรณีตาแข็ง เหลืออดจริงๆ ความหลังย้อนกลับมา วันนั้น พรรณีพูดกับพินิจและสุดา
“ณีเปลี่ยนใจแล้ว พี่แป้นกับพี่นิจไปกันสองคนนะคะ ณีขออยู่ช่วยปุ้มในครัวดีกว่าค่ะ”
สุดาและพินิจพยักหน้ารับ พรรณีเดินกลับเข้าไปในบ้าน มาถึงหน้าห้องครัว ได้ยินเสียงนวลดังออกมาพอดี
“ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ฉันจะไม่อ้อมค้อม พูดกันตรงๆ เลยก็แล้วกัน อย่าเอาความทะเยอทะยานของหล่อน มาทำลายอนาคตของลูกชายฉัน “
พรรณีชะงัก หน้าชา รีบหลบ กลัวแม่เห็น แล้วแอบฟัง หทัยรัตน์ยืนงง
“หมายความยังไงคะ”
“ก็หมายความตรงๆ ว่า สะใภ้พนัสพงษ์ต้องเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้วงศ์ตระกูลเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งฐานะทางครอบครัว และฐานะทางสังคม เด็กกำพร้าที่มีแต่ตัวอย่างเธอ ไม่คู่ควรกับลูกชายของฉัน เป็นได้อย่างมากก็นางบำเรอก้นครัว”
“คุณน้าเข้าใจผิดแล้วค่ะ ดิฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว”
“ไม่ต้องมาปฏิเสธ ฉันเห็นว่าเธอพยายามใกล้ชิดกับตานิจ อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออก เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่คิดจะมาจับลูกชายฉัน ฉันรู้ เธอคิดจะเลื่อนขั้นจากเพื่อนยัยณีมาเป็นพี่สะใภ้ เลิกคิดได้แล้ว เพราะบ้านฉันมีคนรับใช้มากพอแล้ว ฉันไม่ต้องการเพิ่ม”
พรรณีทั้งเศร้า ทั้งเครียด ทั้งไม่เข้าใจแม่ตัวเอง
พรรณีแววตาแข็ง สู้ และไม่กลัวแม่อีกแล้ว
“ณีได้ยินหมดทุกอย่าง แต่ณีไม่เคยบอกพี่นิจเพราะไม่อยากให้พี่นิจรู้ว่าคนที่ทำให้ปุ้มไม่มาเยี่ยม ไม่มาเหยียบบ้านนี้ และคนที่ทำให้พี่นิจต้องเสียใจแบบนี้ก็คือคุณแม่”
“หยุดนะแม่ณี แม่ไม่ได้ทำ คนที่ทำคือเพื่อนตัวดีของเราต่างหาก มันใช้มารยาหลอกล่อพินิจ พอแม่จับได้ก็แกล้งทำให้พี่เราต้องเสียใจ หวังจะให้แม่ไปงอนง้อขอโทษ ฝันไปเถอะ แล้วดูสิเนี่ย มันคงจะเล่นตัว กระบิดกระบวนมารยา จนตานิจหลงหักปักหัวปำ ถึงกับไปขอมันแต่งงาน”
“คุณแม่ ปุ้มเขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ และที่พี่นิจไปขอปุ้มแต่งงานก็เพราะคุณแม่บังคับให้เขาต้องแต่งงานกับคนที่เขาไม่รัก และยัยส่องแสงก็มาเป่าหู ยุพี่นิจ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับปุ้ม”
“มันจะไม่เกี่ยวได้ยังไง ถ้ามันไม่มายุ่งกับครอบครัวเรา ไม่เหยียบเข้ามาในชีวิตแก แกจะกล้าลุกขึ้นมาเถียงแม่แบบนี้มั้ย”
พรรณีน้ำตาร่วง
“แม่ไม่เคยเข้าใจณีเลย”
“พวกแกก็ไม่เข้าใจฉันเหมือนกัน ที่ฉันทำทุกอย่าง สะสมสมบัติไว้มากมาย เพื่อใคร เพื่อพวกแกทั้งนั้น ฉันถึงไม่ยอมให้อ้าย อี หน้าไหน เข้ามาผลาญสิ่งที่ฉันสร้างไว้ นังเด็กนั่นมันต้องชดใช้กับสิ่งที่มันทำกับตานิจ”
นวลระเบิดออกมาจนหมด ทั้งความโกรธ ความแค้น ความชิงชัง พรรณีส่ายหน้า
“อีนังปากแดงลูกคุณนายสีสุกอีกคนที่จะต้องรับผิดชอบ ธุระตัวเองก็ไม่ใช่ สาระแนไม่เข้าเรื่อง”
นวลคิดถึงส่องแสงด้วยความแค้น
หทัยรัตน์ยืนอยู่ที่ระเบียงเดือนประดับ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน ที่พินิจมาหา และเธอพูดเรื่องที่มีคนรักแล้ว ด้วยความไม่สบายใจ
“ขอโทษที่ต้องโกหก แต่มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
หทัยรัตน์ถอนใจเบาๆ
เวลาเดียวกันนั้น อนวัชยืนคิด หน้าเครียด ไม่พอใจ ตอนที่พินิจบอกว่าหทัยรัตน์จะแต่งงานกับประสาทพร เขาเคืองใจมาก
“เธอหวังสูงมากเกินไปแล้ว หทัยรัตน์”
อนวัชคิดถึงหทัยรัตน์ด้วยความชัง ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่า แท้จริงแล้ว แค่ผิดหวังที่ไม่ใช่ตัวเอง
ตอนเช้า หทัยรัตน์เดินออกมาที่สนามหน้าบ้านเดือนประดับ ด้วยความไม่พอใจ
“คุณป้าบอกว่าคุณมีเรื่องสำคัญมากจะคุยกับดิฉัน กรุณารีบคุยด้วยนะคะ เพราะดิฉันมีงานอีกมากมายต้องทำ”
อนวัชยืนหันหลังอยู่ หันมา พร้อมหาเรื่อง
“ทำไมเธอไม่แต่งงานกับพินิจ”
“นี่เหรอคะเรื่องสำคัญของคุณ”
“ใช่”
“แต่ดิฉันคิดว่าดิฉันไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะมันไม่ใช่ธุระของคุณ”
“ทำไมจะไม่ใช่ธุระของฉัน ในเมื่อคนที่เธอปฏิเสธคือเพื่อนฉันและคนที่เธอบอกเขาว่ารักและจะแต่งงานด้วยคือญาติของฉัน เพราะฉะนั้นเธอต้องตอบฉัน”
หทัยรัตน์มองด้วยความคับแค้น
“ก็ได้ค่ะ ดิฉันจะตอบ ดิฉันไม่รับปากแต่งงานกับคุณพินิจเพราะฉันไม่ได้รักเขา ฉันจะไม่แต่งงานกับคนที่ฉันไม่รัก และฉันจะไม่แต่งงานกับคนที่ฉันเกลียด ส่วนเรื่องคุณชายประสาทพร ฉันไม่ขอตอบ เพราะพูดไปคุณก็คงไม่เชื่อ ฉันไม่อยากเสียพลังงานขยับปาก”
“เธอต้องการเอาชนะฉันใช่มั้ย เธอตั้งใจพูดเรื่องแต่งงานกับคุณชาย เพราะต้องการประชดฉัน”
หทัยรัตน์สุดจะเซ็ง โดนหาเรื่อง
“ครั้งก่อนที่ฉันพูดเรื่องแต่งงาน ฉันก็แค่พูดไปตามความรับผิดชอบ ฉันเป็นลูกผู้ชาย กล้าทำกล้ารับ แต่นับจากนี้มันจะไม่ใช่แค่นั้น ฉันจะทำให้เธอแต่งงานกับคนที่เธอเกลียดให้ได้”
“ชีวิตฉันไม่ใช่ของเล่น หรือเกมที่ใช้สำหรับแข่งขัน”
“ไม่ใช่สำหรับเธอ แต่มันใช่ สำหรับฉัน และเกมนี้ ฉันจะต้องเป็นผู้ชนะ”
อนวัชยิ้มกวน หทัยรัตน์แค้น กำหมัดแน่น อนวัชปรายตาไปมองที่มือแล้วยิ้มๆ
“จะต่อยหรือจะตบฉันดี แต่ถ้าทำแล้วระวังตัวไว้ด้วย เธอก็รู้ว่าฉันไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง แต่ฉัน จะตอบโต้ด้วยวิธีอื่น และเธอคงจำได้ว่ามันคืออะไร”
อนวัชยื่นหน้าเข้ามา เหมือนจะจูบ หทัยรัตน์แค้น ถอยตัวออกห่าง และมองด้วยความโกรธ ก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังเดินกำหมัดกลับเข้าบ้านไปเหมือนเด็กๆ อนวัชระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสะใจ หทัยรัตน์ยิ่งแค้น แต่กลั้นใจไม่ตอบโต้ จ้ำอ้าวเข้าบ้านไป
อนวัชมองหญิงสาวแล้วมีความสุขโดยไม่รู้ตัว
นวลนั่งหน้ายักษ์อยู่ในห้องรับแขก สีสุกกับส่องแสงเดินเข้ามา พอเห็นหน้านวลก็หันมองหน้ากัน
“นั่งหน้าเป็นตะบวยเลยค่ะคุณแม่ เราจะปลอดภัยมั้ยคะ”
สีสุกหวั่นพอกัน แต่ฝืนทำเสียงแข็ง
“มาทำไม”
นวลลุกพรวด สีสุกกับส่องแสงตกใจถอยกรูด
“ว้าย”
“ระวังค่ะคุณแม่”
ส่องแสงกับสีสุก ถอยมาอยู่ในระยะปลอดภัย นวลแผดเสียงใส่
“มายุ่งกับลูกฉันทำไม”
“ลูกเธอ เกี่ยวอะไรกับพวกฉัน”
สีสุกไม่รู้เรื่อง ส่องแสงหน้าเสียนิดๆ
“ฉันก็ไม่อยากจะเกี่ยวนักหรอก ถ้าลูกสาวเธอไม่สาระแนมายุให้พินิจไปขอนังปุ้มแต่งงาน”
ส่องแสงอึกอัก แล้วก็สวนกลับ
“ฉันก็แค่สงสาร ที่ให้คำแนะนำเพราะต้องการให้ลูกชายคุณสมหวัง ถ้านังปุ้มมันยอมแต่งด้วย ลูกชายคุณก็มีความสุข เราก็จะหมดศัตรูคู่แข่งแย่งพี่หนึ่งไปอีกคน ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย”
“นี่แกวางแผนให้ลูกชายฉันไปแต่งกับนังเด็กไม่มีสมบัติ เพื่อกำจัดคู่แข่ง แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่มีอะไรเสียหาย นังนี่มันเรียนน้อยใช่มั้ยเนี่ย ดูท่าทางความรู้คงไม่มาก สติปัญญานี่แทบจะไม่มี ถึงคิดได้แค่นี้”
“อ๊าย ยัยป้า มาด่าฉันทำไม แล้วป้าดีนักเหรอ เป็นแค่เจ้าของตลาด เก็บค่าเช่าแผง มีหน้าจะพูดเรื่องการศึกษา”
สีสุกสะกิดให้ส่องแสงใจเย็นๆ
“ถึงฉันเป็นแค่เจ้าของตลาด แต่ฉันส่งลูกเรียนสูงทุกคน ไม่เหมือนแม่เธอ คงเห็นลูกสาวหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ เลยจับแต่งหน้าทาปาก ฝังหัวให้วันๆ คิดแต่เรื่องหาแต่ผัว”
“อ้าว อีนังคุณนาย ฉันอุตส่าห์ให้เกียรติไม่ต่อปากต่อคำ แต่มาด่ากราดแบบนี้ฉันจะไม่ทน บ้านฉัน ไม่ใช่ตลาด อย่ามาแสดงกริยา วาจา หยาบคายที่นี่”
“จ้า แม่ผู้ดี ถ้าดีจริง ก็หัดอบรมสั่งสอนลูกตัวเองซะบ้าง อย่าได้เที่ยวมาจุ้นจ้านเรื่องของคนอื่น ถ้ายังมายุยงส่งเสริมให้ลูกสาวฉันไปทำเรื่องโง่อีก ฉันจะโพนทะนาไปทั้งพระนคร ว่าลูกสาวบ้านนี้ มัวแต่ร่อนหาผัวจนไม่มีสติ”
“ยัยป้า ยัยป้าปากตลาด”
“ใช่ ฉันปากตลาด และไม่ใช่ตลาดธรรมดา แต่เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จำไว้ซะด้วย”
นวลทิ้งระเบิดเสร็จก็สะบัดหน้าเดินเชิดออกไป ส่องแสงกรีดร้องส่งท้าย สีสุกต้องเข้ามาประคอง ปลอบใจ
“ลูกส่อง ใจเย็นๆ นะลูก ใจเย็นๆ”
ส่องแสงแค้น
สุดา สัทธา และหทัยรัตน์นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก หทัยรัตน์ถามย้ำด้วยความตกใจ
“พี่แป้นไปสอนคุณหญิงไม่ได้แล้วเหรอคะ”
“ใช่ พอดีพี่ได้รับมอบหมายงานพิเศษจากที่โรงเรียน ให้ทำช่วงปิดเทอมนี้ ครูใหญ่เรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวเมื่อวานนี้เอง พี่คงไปสอนแทนปุ้มไม่ได้แล้ว”
“แต่”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงนะ พี่บอกแม่โอกับนมพิมพ์ให้ช่วยดูแลให้แล้ว”
สัทธาเงยหน้าจากหนังสือ
“เรื่องนั้น เรื่องอะไร”
สองสาวอึกอักมองหน้ากัน นึกถึงเรื่องที่นวลไปอาละวาด สุดาจึงตอบเลี่ยงๆ
“ก็เรื่องพี่หนึ่งนั่นแหละค่ะ ปุ้มเขาพยายามเลี่ยงไม่เจอกับพี่หนึ่ง ก็ปัญหาเดิมๆ ใช่มั้ยปุ้ม”
“ค่ะ”
“พูดถึงเรื่องหนึ่งก็ดีแล้ว พี่มีเรื่องจะถาม มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่เห็นทะเลาะกันอยู่ในห้องรับแขก แล้วหนึ่งก็พูดเรื่องแต่งงาน พูดทำนองว่า ทำอะไรเสียหาย ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ และเรื่องแต่งงานพูดจริงหรือพูดเล่น”
สุดาตกใจ
“เรื่องแต่งงาน จะมาพูดกันเล่นๆ ได้ยังไงคะพี่ปุ๊ ปุ้ม มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมปุ้มกับพี่หนึ่งคุยกันเรื่องแต่งงาน แล้วไม่บอกพี่”
“ไม่ใช่นะคะ ปุ้มไม่ได้จะแต่งงาน หรือคุยเรื่องแต่งงานกับเขา ไม่มีแม้แต่แว่บเดียวที่จะคิดด้วยซ้ำ”
“แล้วหนึ่งพูดขึ้นมาทำไม”
“เขาต้องการจะยั่วโมโหปุ้ม แค่นั้นค่ะ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น”
“พูดเรื่องแต่งงาน เพื่อยั่วโมโหเนี่ยนะ ไม่มีใครเขาทำกัน”
“มีค่ะ หนึ่งเดียวบนโลก นี่แหละคือ นายอนวัช ทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะ เพราะฉะนั้น คำว่าแต่งงานที่หลุดออกมาจากปากคนนี้ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”
หทัยรัตน์พูดถึงอนวัชน้ำเสียงไม่พอใจ แต่ในแววตาลึกๆ แอบเสียใจ ที่อนวัชไม่เห็นคุณค่าของคำนี้แม้แต่นิดเดียว
ทิพย์นำหีบเครื่องเพชรมาวางตรงหน้าสัทธา
“ตาปุ๊ นึกยังไง ถึงมาขอดูแหวนของแม่ หรือว่าจะเตรียมไปหมั้นสาว”
สัทธายิ้มเขิน
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คุณแม่จะอนุญาตหรือเปล่าครับ”
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนกริยามารยาทอ่อนหวาน อ่อนน้อมถ่อมตัว แกะสลักผักได้สวย ทำอาหารได้อร่อย และเป็นคนที่ลูกรัก แม่ก็ไม่รู้จะห้ามไปทำไม”
“ฮ่าๆๆ คุณแม่ไม่ต้องห่วงครับ ผู้หญิงที่ผมหมายตาไว้ ตรงตามคุณสมบัติทุกอย่างเลยครับ ผมขอดูหน่อยนะครับคุณแม่”
“เชิญจ้ะ นี่ๆ วงนี้ก็น้ำงามนะ วงนี้ก็สวยน่าจะเหมาะกับหนูณี”
ทิพย์กับสัทธาเลือกดูแหวนเพชรกันอย่างมีความสุข
นวลกำลังสั่งพินิจเสียงเข้ม
“พ่อนิจ แม่ปรึกษากับคุณนายลำเจียกเมื่อวานนี้ และเราก็ตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้ว เราจะให้พ่อนิจหมั้นกับหนูจำปี”
พินิจนั่งอยู่ที่ระเบียง กำลังเศร้าเรื่องปุ้ม ได้ยินเรื่องหมั้นก็อึ้ง
“เพราะหนูจำปีเขาเป็นพี่สาว ควรที่จะได้ออกเรือนไปก่อน แม่เองก็สงสารหนูจำปาเหมือนกัน พอรู้เข้าก็ร้องไห้โฮ แม่กับคุณนายลำเจียกต้องปลอบกันอยู่ตั้งนาน”
“ทำไมคุณแม่ไม่ปรึกษาผมก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้”
“อ้าว อย่าบอกนะว่าพ่อนิจชอบหนูจำปามากกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรลูก แม่บอกคุณนายลำเจียกใหม่ก็ได้”
“ไม่ครับ ผมไม่ชอบใครทั้งนั้น ทั้งแม่ดอกจำปีหรือดอกจำปาของคุณแม่ เพราะผมไม่ได้รักเขา และผมจะไม่มีวันแต่งงานกับเขา”
พินิจยืนยันเสียงแข็งและเดินไปด้วยความไม่พอใจ นวลตกใจ
“พ่อนิจ พ่อนิจมาคุยกันก่อน ตานิจ ไม่ได้ดั่งใจเลย เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่ แข็งข้อทั้งพี่ทั้งน้อง เพราะแกคนเดียว นังปุ้ม”
นวลนึกโทษหทัยรัตน์
หทัยรัตน์เดินเข้ามาในห้องรับแขกและต้องแปลกใจกับแขกที่มาเยือน นวลนั่งหน้านิ่ง หันมา
“สวัสดีค่ะ”
นวลเชิดไม่รับไหว้ หทัยรัตน์พยายามกลั้นอารมณ์
“คุณนายมีธุระกับดิฉันเหรอคะ”
“ถ้าไม่มีแล้วฉันจะมาทำไม ฉันไม่ได้อยากจะเจอเธออยู่แล้ว ฉันไม่ต้องการให้เธอติดต่อพินิจ เพราะฉันได้เลือกคู่ครองที่เหมาะสมกับเขาไว้แล้ว เธออย่ามาทำให้เขาต้องพะวักพะวงเพราะความสงสารเธออีกเลย มันไม่มีประโยชน์ และบอกพี่ชายเธอด้วย เลิกมายุ่งกับแม่ณีได้แล้ว ออกไปจากชีวิตลูกฉันทั้งสองคน”
“ดิฉันออกมาตั้งนานแล้วนะคะ”
“ไม่จริง วันก่อนเธอยังใช้มารยาหลอกล่อเขามาหาเธออยู่เลย ถึงขนาดฝืนคำสั่งฉันมาขอเธอแต่งงาน รู้ไว้ซะด้วย ฉันไม่มีวันยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้”
“ดิฉันก็ไม่อยากเป็นลูกสะใภ้ของคุณ ฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับลูกชายคุณ เขาเป็นคนมาขอฉันเอง”
“ถ้าเธอไม่ใช้มารยา เขาก็คงไม่มา เธอนั่นแหละที่อยากจะแต่งงานกับเขา คงจะอยากรวยทางลัดล่ะสิ เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ได้แล้ว มันไม่มีทางเป็นจริง”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันอยู่บนโลกความเป็นจริงเสมอ ดิฉันถึงได้ปฏิเสธคุณพินิจและแนะนำให้เขาทำตามคำสั่งของคุณนาย เพราะดิฉันรู้ตัวว่า ไม่ได้รักเขา และไม่เคยรักเขาเลย ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงที่ไม่มีสมบัติอะไร แต่สิ่งที่ฉันมีคือศักดิ์ศรี ฉันจะไม่ไปยุ่งกับลูกชายคุณ คุณช่วยบอกลูกชายคุณด้วยว่าอย่ามายุ่งกับดิฉัน”
หทัยรัตน์เดินออกไปเลย นวลยังอึ้ง พอรู้ตัวก็คว้ากระเป๋าเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
หทัยรัตน์เดินออกมาจากห้องรับแขกด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทันใดนั้นก็ชะงัก
“พี่ปุ๊”
“ทำไมปุ้มไม่เล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟัง”
“เอ่อ เรื่องอะไรคะ”
“พี่ได้ยินที่ปุ้มคุยกับคุณนายนวลหมดแล้ว ทำไมไม่มีใครบอกพี่ว่าตัวจริงของแม่ณีเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาต้องมาดูถูกปุ้ม คำพูดแต่ละคำมันช่างต่างจากสิ่งที่ณีบอกกับพี่ ทำไมทุกคนต้องปิดบัง และโกหกพี่”
“เอ่อ ปุ้มไม่อยากให้พี่ปุ๊ทราบ เพราะไม่อยากให้พี่ปุ๊กับพรรณีผิดใจกันค่ะ”
“พี่โตแล้วนะปุ้ม พี่แยกแยะได้”
“ปุ้มขอโทษ”
“คราวหน้า อย่าปิดบังพี่อีกนะ”
“ค่ะ แต่ พี่ปุ๊อย่าไปโกรธณีนะคะ”
“พี่ไม่โกรธที่แม่เขาเป็นแบบนี้ ถ้าพี่จะโกรธมีเหตุผลเดียว คือณีไม่จริงใจ ไม่พูดความจริง และโกหกพี่ ถ้าณีเป็นแบบนั้น พี่คงจะเสียใจมาก”
สัทธาคิดถึงพรรณี
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ที่ร้านอาหารดังแห่งยุค ส่องแสงนั่งร้องไห้กระซิกๆ อยู่กับอนวัช
“ส่องไม่ได้คิดร้ายกับคุณพินิจเลยนะคะ แนะนำให้ทำเพราะความรัก ความห่วงใย แต่ปุ้มต่างหากที่ใจร้าย พูดจาไม่รักษาน้ำใจกันเลย แถมคุณนายนวลยังโยนความผิดทุกอย่างมาให้ส่อง ส่องเสียใจจริงๆ ค่ะพี่หนึ่ง“
ส่องแสงทำเป็นจะเซมาซบ อนวัชมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง และค่อยๆ ดันส่องแสงออกให้นั่งในระยะพองาม ส่องแสงแอบขัดใจ แต่ก็ยังทำเป็นบีบน้ำตาต่อ
“พี่ว่าส่องอย่าคิดมากเลย คุณน้านวลท่านก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ อาจจะอารมณ์ร้อนไปบ้าง แต่อีกไม่นานก็คงลืม”
“จริงๆ แล้ว เขาจะไม่ลืมก็เรื่องของเขา ส่องไม่แยแสหรอกค่ะ ที่ส่องมาเล่าให้พี่หนึ่ง เพราะห่วงพี่หนึ่งมากกว่า”
อนวัชแปลกใจ ส่องแสงเริ่มเข้าประเด็น
“พักหลังส่องเห็นพี่หนึ่งใกล้ชิดกับลูกสาวคุณนายนวล เขาลือให้ทั่ว ว่าพี่หนึ่งเทียวไปเทียวมา รับส่ง พาไปเล่นเทนนิส ตีกอล์ฟ ส่องก็เลยเป็นห่วง โบราณว่าดูช้างให้ดูที่หาง ดูนางให้ดูที่แม่ แม่เป็นแบบนี้ ลูกก็คงจะไม่ไกลกันนัก ส่องไม่อยากให้พี่หนึ่งต้องเสียใจ”
“ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง แต่พี่กับพรรณี ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปว่าพี่น้อง พรรณีเป็นน้องสาวของพินิจ ก็เปรียบเหมือนน้องสาวพี่ ก็แค่นั้น”
“จริงเหรอคะ แหม ส่องได้ยินแบบนี้ก็เบาใจ ไม่ห่วงแล้วค่ะ”
ส่องแสงตาวาวระริก สะใจ
พรรณีนั่งแกะสลักผลไม้ มีเด็กรับใช้นั่งเป็นลูกมือ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น พรรณีหันมาบอกเด็กรับใช้
“เดี๋ยวฉันรับเอง ยกผลไม้ไปให้คุณพินิจนะ”
“ค่ะ”
เด็กรับใช้ยกของออกไป พรรณีเดินไปรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
สัทธาพูดโทรศัพท์เสียงขรึม
“โทรศัพท์ใช้งานได้แล้วเหรอ”
พรรณีตกใจ รีบมองซ้ายมองขวาว่านวลอยู่หรือไม่
“พี่ปุ๊”
“พี่ถามว่าโทรศัพท์ใช้งานได้แล้วเหรอ ตกลงว่ามันไม่เสียแล้ว หรือมันไม่เคยเสียเลย”
พรรณีหน้าซีด เสียงสั่น ใจสั่น
“พี่ปุ๊ ฟังณีอธิบายก่อนนะคะ”
“ที่ผ่านมา พี่ไว้ใจ เชื่อใจ และเชื่อทุกอย่างที่ณีพูด แต่ตอนนี้ พี่ไม่รู้ว่าพี่จะเชื่ออะไรได้อีก เมื่อวานแม่ณีมาต่อว่าปุ้มที่บ้าน พี่ได้ยินทุกอย่าง ได้รู้ว่าเขาเป็นยังไง และรู้ว่าเขาไม่ยอมรับพี่ ทำไมณีไม่บอกพี่ตรงๆ”
พรรณีน้ำตาคลอ
“ณีขอโทษ พี่ปุ๊ ณี”
“ตอนนี้พี่เข้าใจแล้ว ทำไมณีต้องโกหกพี่ว่าโทรศัพท์เสียและไม่ให้พี่โทรศัพท์ไปหาที่บ้าน ทำไมไม่มางานวันเกิดคุณพ่อ ทำไมไม่ไปเที่ยวหัวหิน และทำไมไม่เคยเชิญพี่เข้าบ้าน ตอนนี้พี่เข้าใจหมดแล้ว”
สัทธาค่อยๆ วางโทรศัพท์ไปด้วยความเสียใจ พรรณีตกใจ
“พี่ปุ๊ พี่ปุ๊ คะ พี่ปุ๊”
พรรณีรีบหมุนโทรศัพท์กลับไปหา มือสั่น รอสัญญาณมีคนรับ เธอรีบพูดทันที
“พี่ปุ๊คะ”
“ไม่ใช่คุณปุ๊ค่ะ”
แหววพูดโทรศัพท์ ด้านหลัง สัทธาเดินออกไปอย่างเศร้าๆ
“คุณปุ๊ฝากบอกว่า ไม่มีอะไรต้องคุยแล้วค่ะ”
พรรณีอึ้ง น้ำตาร่วง โทรศัพท์ค่อยๆ ไหลลงจากมือ ทรุดลงนั่งร้องไห้ พินิจเดินเข้ามาด้วยความตกใจ
“ณี เสียงอะไร ณี ณีเป็นอะไร”
พรรณีพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้ออกมา พินิจเข้ามากอดน้องสาวด้วยความเป็นห่วง และงุนงง
วันต่อมา ภายในสโมสร อนวัชเดินมากับสัทธา สัทธาหน้าเครียด เศร้า
“วันนี้นึกยังไงถึงได้ชวนฉันมาสโมสร ฉันบอกไม่อยากมาก็ ฉุดกระชากลากถูกมาจนได้”
“ที่ฉันทำก็เพราะไม่อยากให้แกอยู่บ้านให้จิตใจหดหู่ ออกมาดูโลกภายนอก เปิดตาดูความจริง เผื่อจะทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น”
อนวัชพาสัทธาเดินมา สัทธาชะงักเมื่อเห็นพรรณีนั่งอยู่
“พี่ปุ๊”
สัทธาอึ้ง มองหน้าอนวัชและพรรณี
“รวมหัวกันหลอกฉันมาที่นี่เหรอ”
“ฉันไม่ได้หลอก แค่ไม่ได้บอกความจริง”
“นายหนึ่งอย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น ฉันไม่สนุกไปด้วย”
สัทธาหันหลังจะเดินกลับ อนวัชขวางไว้
“ยังไปไม่ได้ จนกว่านายจะได้รู้ความจริง นอกจากนายไม่กล้าจะรับความเป็นจริง”
พรรณีรีบเดินมาหา
“พี่ปุ๊คะ ณีขอโทษที่ไม่เคยบอกเรื่องคุณแม่กับพี่ปุ๊ ณีไม่กล้า ณีกลัวว่าถ้าพี่ปุ๊รู้ พี่ปุ๊จะเกลียดณี และมันก็เป็นจริง วันนี้พี่ปุ๊รู้ พี่ปุ๊ก็เกลียดณีแล้วจริงๆ”
“ปุ๊ ฉันขอพูดในฐานะที่ฉันเป็นคนออกหน้าพาณีออกจากบ้านเพื่อมาเจอแก ฉันบอกได้เลยว่าณียอมทำทุกอย่างเพื่อจะหลบคุณน้ามาเจอแก บางครั้งมันทั้งเสี่ยง และยากลำบาก”
สัทธามองพรรณีครุ่นคิด พรรณีน้ำตาร่วง
“แต่ณีก็พร้อมจะผ่านทุกอุปสรรคเพื่อมาเจอนาย ด้วยเหตุผลแค่นี้ มันยังไม่พออีกเหรอที่จะทำให้นายรู้ว่าณีรักนายมากแค่ไหน”
พรรณีเศร้า แอบลุ้นอยู่ในใจ แล้วสัทธาก็หันหลังเดินไป พรรณีหน้าเสียน้ำตาร่วงหนัก
กว่าเดิม
“ปุ๊ ปุ๊”
ทันใดนั้นสัทธาก็เดินกลับมาพร้อมกับส่งผ้าเช็ดหน้าให้พรรณี แล้วยิ้มให้
“ร้องไห้กลางสโมสรแบบนี้ไม่อายเขาหรือไง ถ้าอยากจะร้องต่อ ตามพี่ไปข้างนอก จะได้ไม่ต้องมีใครเห็น”
สัทธาเดินนำออกไป พรรณียังงงๆ อนวัชพยักหน้าให้ตามไป
สัทธาเดินออกมายืนรออยู่ที่มุมหนึ่งของสวน พรรณีเดินตามมา เก้อๆ เขินๆ สัทธาลดทิฐิลงแล้ว
“คราวหน้า ณีสัญญากับพี่ได้มั้ยว่าจะไม่ปิดบัง หรือโกหกพี่อีก”
“ณีสัญญาค่ะ เพราะจริงๆ ณีก็ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ พี่ปุ๊ยกโทษให้ณีแล้วใช่มั้ยคะ”
“พี่เองก็ต้องขอโทษที่หุนหันพลันแล่น เอาแต่อารมณ์มากไป พี่ก็ขอให้ณียกโทษให้พี่ด้วย เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”
สัทธายิ้มอบอุ่น อารมณ์เย็นลง
“ค่ะ”
พรรณียิ้มรับทั้งน้ำตา สัทธากับพรรณีมองตากันอย่างมีความสุข อนวัชยืนยิ้ม มองดูสองคนปรับความเข้าใจกันได้แล้ว สัทธาหันมามองอนวัชยิ้มแทนการขอบคุณ
พินิจยิ้มมีความสุข เมื่อพรรณีเล่าเรื่องสัทธาให้ฟัง
“พี่ดีใจด้วยนะณี”
พินิจนอนหน้าซีดๆ อยู่บนเตียง พรรณีนั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มมีความสุข
“ณีขอบคุณพี่นิจมากนะคะ ที่ขอให้พี่หนึ่งมาช่วย พี่หนึ่งช่วยพูดจนพี่ปุ๊เข้าใจณี ถ้าไม่ได้พี่นิจกับพี่หนึ่ง ณีกับพี่ปุ๊คงไม่มีวันเข้าใจกันได้”
“ณี ณีโชคดีมากนะที่ได้เจอคนที่ณีรัก และเขาก็รักณีแบบนี้ ดูแลรักษาความรักนี้ไว้ดีๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีแบบนี้”
พินิจพูดแล้วก็คิดถึงตัวเอง คิดถึงหทัยรัตน์ พรรณีมองด้วยความเห็นใจ
กลางคืน พินิจนอนอยู่บนเตียง ไข้ขึ้นสูง เหงื่อออกชุ่มไปทั้งตัว เขาจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่หัวเตียง แต่ไม่มีแรง มือกวาดของบนโต๊ะหัวเตียงหล่นลงพื้นแตกกระจาย และตัวก็ร่วงลงจากเตียง นวลรีบวิ่งเข้ามา ตามมาด้วยพรรณี
“ตานิจ ตานิจเป็นยังไงบ้างลูก”
“พี่นิจ พี่นิจ”
พรรณีกับนวลรีบเข้ามาประคอง
“พี่นิจตัวร้อนมากเลยค่ะ ณีว่า ณีไปเรียกหมอดีกว่านะคะ”
“เดี๋ยว แม่ไปเอง เราดูพี่เราอยู่ตรงนี้แหละ”
นวลรีบวิ่งออกไป พรรณีพยายามจะพยุงพินิจขึ้น
“พี่นิจทำใจดีๆ ไว้นะคะ”
พินิจเพ้ออย่างลืมตัว
“หทัยรัตน์ หทัยรัตน์ เธออยู่ไหน หทัยรัตน์”
พรรณีมองพี่ชายด้วยความสงสาร
เวลาต่อมา พินิจนอนหลับตาอยู่บนเตียง ข้างๆ ประสงค์คุยกับพรรณี และนวล
“ผมให้ยาชุดใหม่ไว้แล้วนะครับ แต่ไม่แน่ใจว่าร่างกายจะรับหรือเปล่า เพราะตอนนี้คุณพินิจอ่อนแอมาก ยาค่อนข้างแรง ถ้าร่างกายรับชุดนี้ไม่ไหว หมออาจจะต้องปรับยาอีกครั้ง”
“คุณหมอจัดมาเลยค่ะ เอายาที่ดีที่สุด แพงที่สุด เท่าไหร่ดิฉันก็ยอมจ่าย ขอให้ตานิจหายแค่นั้นค่ะ”
“ผมเข้าใจครับ แต่โรคกษัยโลหิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับยาอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้ป่วยด้วย ต้องพักผ่อน ออกกำลังกาย และสำคัญที่สุดคือต้องไม่เครียด ไม่คิดมาก ทำจิตใจให้สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าจิตใจอ่อนแอร่างกายก็กลับมาแข็งแรงยากครับ”
พินิจค่อยๆ ลืมตา ได้ยินทุกอย่างที่ประสงค์พูด เขาคิดหนัก
ตอนเช้า พรรณีเดินมาที่หน้าห้องพินิจพร้อมกับเด็กถือถาดอาหารตามมา เธอเคาะประตูห้อง
“พี่นิจคะ อาหารเช้ามาแล้วค่ะ พี่นิจคะ พี่นิจ”
พรรณีเห็นเงียบผิดปกติ
“ณีเข้าไปนะคะ”
พรรณีเปิดประตูเข้าไปแล้วก็ตกใจ เพราะห้องว่างเปล่า
“พี่นิจ พี่นิจหายไปไหน ลงไปดูข้างล่างสิ พี่นิจลงไปเดินเล่นหรือเปล่า”
คนรับใช้วางถาดอาหาร แล้วรีบเดินไป พรรณีเดินเข้ามาในห้องดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ พลันก็เห็นกระดาษวางอยู่บนโต๊ะ จึงรีบหยิบมาอ่าน แล้วตกใจ
“หะ พี่นิจ”
พรรณีรีบนำจดหมายของพินิจไปให้อนวัช อนวัชอ่านจดหมาย พรรณีนั่งหน้าเสียด้วยความวิตกกังวล
“ณีน้องรัก ตอนที่ณีเห็นจดหมายฉบับนี้ พี่ได้ออกเดินทางไปแล้ว ที่พี่ตัดสินใจออกจากบ้าน จากแม่และน้องที่พี่รัก เพราะพี่ไม่อยากให้ทั้งสองต้องทุกข์ใจเพราะพี่อีกแล้ว พี่ได้ยินที่หมอพูดถึงอาการของพี่ พี่รู้เลยว่า พี่ไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้อีกแล้ว เพราะจิตใจของพี่ไม่มีทางจะฟื้นฟูกลับมาดีดังเดิมได้ นับตั้งแต่วินาทีที่ได้คำตอบจากหทัยรัตน์"
"หัวใจของพี่ได้หมดเรี่ยวแรง พร้อมจะหยุดทำงานได้ทุกเมื่อ”
อนวัชกัดฟันกรอด กำมือแน่นด้วยความเจ็บแค้นแทนเพื่อน
“ไม่ว่ายาขนานใดก็ไม่สามารถทำให้พี่กลับมาแข็งแรงได้ สิ่งเดียวที่ทำให้พี่มีกำลังใจมีชีวิตอยู่ต่อไปคือ หทัยรัตน์ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อชีวิตนี้พี่ไม่ได้เจอเธออีก พี่ขอใช้ชีวิตในลมหายใจห้วงสุดท้ายเพียงลำพัง เพื่ออำลาไปอย่างสงบ ฝากบอกคุณแม่ด้วยว่าพี่ขอโทษ”
พินิจเดินเข้ามาในบ้านพักตากอากาศริมทะเลอย่างอ่อนแรง เกือบล้ม ต้องใช้มือยันไว้ มีคนขับรถโดยสารช่วยถือกระเป๋ามาส่ง พินิจค่อยๆ ทรุดลงนั่ง หน้าแดงกร่ำ หายใจรวยริน
“รักน้องของพี่เสมอ พินิจ”
พรรณีนั่งร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงพินิจ อนวัชพับจดหมาย หน้าเครียด
“แล้วณีรู้หรือเปล่าว่าพินิจหนีไปที่ไหน”
“ณีให้คนขับรถเข้าไปถามพวกรถรับจ้างในตลาด จนได้ความมาว่าพี่นิจให้เด็กในบ้านถือจดหมายมาจ้างรถไปศรีราชา และกำชับไม่ให้เด็กเดินจดหมายบอกใคร พี่นิจออกเดินทางไปตอนเช้ามืด ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง”
“ไปศรีราชา ทำไมต้องศรีราชา”
“คุณแม่มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นั่นค่ะ เป็นบ้านที่คุณพ่อรักมาก ท่านเสียที่นั่นค่ะ นี่คงเป็นเหตุผลที่พี่นิจเลือกไปที่นั่น”
“แล้วคุณน้าทราบเรื่องหรือยัง”
“ยังค่ะ ท่านทราบแค่ว่าพี่นิจหายตัวไป แต่ไม่เห็นจดหมาย ณีไม่อยากให้ท่านอ่าน ไม่อยากให้ท่านโทษว่าที่พี่นิจหายไปเป็นเพราะปุ้ม”
“ถ้าท่านจะคิดแบบนั้น มันก็ไม่ผิด ไม่มากก็น้อย ผู้หญิงคนนั้นจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
“แต่ พี่หนึ่งคะ ปุ้มเขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
“ใช่ เพราะเขาไม่ทำ ไม่สนใจจะทำ พินิจถึงต้องเป็นแบบนี้ พี่ไม่ยอมให้พินิจต้องเสียใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว ณีเขียนแผนที่ทางไปบ้านพักที่ศรีราชาไว้ให้พี่ แล้วไปรอที่นั่น บอกให้พินิจแข็งใจไว้ อย่าเพิ่งเป็นอะไร พี่จะพาหทัยรัตน์ไปหาเขาเอง”
พรรณีตกใจ
พรรณีคุยกับนวลไปจัดกระเป๋าไป นวลถามด้วยความร้อนใจ
“ตกลงพินิจหนีไปอยู่ไหนกันแน่ พี่เราหายไปไหน”
“ณีก็ไม่รู้แน่ชัดค่ะ แต่สองสามวันก่อน เห็นพี่นิจบ่นถึงบ้านพักที่บางปู ณีก็เลยตั้งใจว่าจะไปตามหาที่นั่นดู”
“บางปู เดี๋ยวแม่ไปด้วย”
“คุณแม่จะไปกับณีทำไมคะ เรามีกันสองคน แยกกันไปคนละทางดีกว่าค่ะ เผื่อว่าพี่นิจไม่ได้อยู่บางปู เราจะได้ไม่เสียเที่ยว”
“อ้าวแล้วทำยังไง จะให้แม่ไปหาที่ไหน”
“งั้นคุณแม่ไปหาพี่พินิจที่บางปูก็ได้ค่ะ ณีไปหาที่อื่นเอง ณีรีบไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะคุณแม่”
พรรณีรีบถือกระเป๋าไปเลย นวลตะโกนถามไล่หลัง
“อ้าว แล้วเราจะไปหาที่ไหน ยัยณี เราจะไปไหนหะ”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงณีค่ะ ถ้าณีได้ข่าวจะรีบโทรศัพท์มาบอก คุณแม่รีบไปบางปูเถอะค่ะ”
“เออจริงๆ ด้วย ตานิจอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะลูก รอแม่ด้วย”
นวลรีบเดินออกไปทันทีด้วยความร้อนใจ
พรรณีนั่งอยู่บนรถ มุ่งหน้าไปศรีราชา พินิจนอนอย่างอ่อนแรงอยู่ในบ้านพักตากอากาศ ในขณะที่อนวัชขับรถมาที่เพชรลดาด้วยความร้อนใจ แล้วเดินเข้ามาในห้องเรียนหนังสือ
“อ้าว ทำไมคุณหญิงนั่งอยู่คนเดียวล่ะครับ”
กรกนกนั่งอ่านหนังสือ มีพิมพ์นั่งเตรียมขนมให้อยู่ข้างๆ
“ใครว่าคุณหญิงอยู่คนเดียว แม่พิมพ์นั่งอยู่นี่ทั้งคน คุณหนึ่งมองไม่เห็นหรือคะ”
“ผมไม่ได้หมายถึงแม่พิมพ์ แต่ผมหมายถึงคุณครูของคุณหญิงน่ะ นี่ยังไม่หมดเวลาสอนเลยนะ หายตัวไปไหน”
อนวัชร้อนใจ ในใจตอนนี้ต้องพาตัวหทัยรัตน์ไปหาพินิจให้ได้
หทัยรัตน์กับผ่องฉวีเดินออกมาจากหน้าโรงหนัง มีหนุ่มๆ มองตามเป็นแถว ผ่องฉวียิ้ม
“หนังสนุกดีนะปุ้ม ถึงนางเอกจะขี้งอนไปหน่อย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมพระเอกจนได้ ไม่รู้ว่าในชีวิตจริงจะมีหรือเปล่า”
“เพ้อใหญ่แล้วคุณนายผ่องฉวี ชีวิตกับหนังมันไม่มีทางเหมือนกันหรอกจ้ะ คนที่เกลียดกันขนาดนั้นมีเหรอจะมาดีกันได้ ฉันว่าไม่มีทาง”
เสียงอนวัชดังขึ้น
“สวัสดีครับคุณผ่องฉวี”
หทัยรัตน์ชะงัก จำเสียงได้ แต่ไม่ยอมหันหน้ามามองอนวัช หันหนีไปอีกทาง ผ่องฉวีหันมาตามเสียงแล้วแปลกใจ
“คุณอนวัช บังเอิญจัง มาดูหนังเหมือนกันเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมแวะมาทำธุระแถวๆ นี้ พอดีเดินมาเห็นคุณผ่องฉวีมากับเพื่อนก็เลยเดินเข้ามาทัก บังเอิญจังนะครับ”
อนวัชพูดยิ้มๆ แต่เห็นแววเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ เขานึกถึงเรื่องที่คุยกับพิมพ์ก่อนหน้านี้ พิมพ์พูดกับอนวัชด้วยความกระตือรือร้น
“คุณครูบอกแม่พิมพ์ว่านัดกับเพื่อนดูหนัง โรงหนังเฉลิมเขตต์ แต่หนังจะจบตอนกี่โมงแม่พิมพ์ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าคุณหนึ่งมีธุระสำคัญ ลองไปดักรอคุณครูดูนะคะ”
อนวัชยิ้มเจ้าเล่ห์
“บังเอิญจริงๆ ด้วย อ้อ ที่บังเอิญยิ่งกว่านั้นเพื่อนผ่อง คุณอนวัชก็รู้จักดีค่ะ ปุ้มไงคะ”
ผ่องฉวีจับหทัยรัตน์หันหน้ามาทางอนวัช หทัยรัตน์หันมาสบตากับชายหนุ่ม จำใจต้องฝืนยิ้มนิดหนึ่งพอเป็นมารยาท
“อ้าว คุณหทัยรัตน์นี่เองนึกว่าใคร เมื่อกี๊เห็นด้านหลังจำไม่ได้เลยนะครับ”
หทัยรัตน์ปรายตาใส่ งงๆ แต่ไม่ใส่ใจ
“ผ่องจ้ะ ฉันต้องรีบกลับแล้วไม่ได้บอกคุณป้าว่าจะกลับผิดเวลา เธอจะอยู่คุยต่อก็ได้นะ เดี๋ยวฉันกลับเอง”
“อ้าว จะรีบกลับเลยเหรอ”
“ถ้าคุณหทัยรัตน์รีบ กลับพร้อมกันก็ได้ครับ ผมต้องไปทำธุระที่เดือนประดับพอดี ระหว่างทางจะได้แวะส่งคุณผ่องฉวีด้วย”
“ขอบคุณแต่ไม่รบกวนค่ะ”
“ตอนนี้คุณผ่องฉวีพักอยู่ที่บ้านหมอประสงค์ใช่มั้ยครับ บังเอิญจริงเป็นทางผ่านพอดี ผมส่งคุณผ่องฉวีก่อน แล้วค่อยไปส่งคุณหทัยรัตน์ต่อนะครับ”
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าไม่รบกวน”
“รถผมจอดอยู่ด้านหน้า เชิญคุณผ่องฉวีกับคุณหทัยรัตน์ตามมาทางนี้เลยครับ”
หทัยรัตน์จะอ้าปากแย้งแต่ผ่องฉวีสวนแทน
“ด้วยความยินดีค่ะ”
หทัยรัตน์หันขวับมามองเพื่อน อนวัชเดินนำไป หทัยรัตน์ยังยืนอยู่ที่เดิม ผ่องฉวีเดินกลับมาแล้วลากหทัยรัตน์ไปด้วยกัน
รถของอนวัชเข้ามาจอดที่หน้าบ้านผ่องฉวี
“ขอบคุณคุณอนวัชมากนะคะที่มาส่ง ฝากปุ้มด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเพื่อนคุณผ่องฉวีอย่างดี”
หทัยรัตน์นั่งเชิดทำไม่สนใจ
“ปุ้มจ๊ะ มานั่งหน้ากับคุณอนวัชสิจ้ะ มาสิปุ้ม”
ผ่องฉวีรีบดันตัวหทัยรัตน์เข้ารถ
“ไม่ได้บอกคุณป้าว่าจะกลับผิดเวลาไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวคุณป้าจะเป็นห่วง โชคดีนะคะคุณอนวัช”
อนวัชยิ้มรับ และขับรถออกไป หทัยรัตน์นั่งหน้าบึ้ง อนวัชขับรถ มองไปข้างหน้าไม่สนใจหทัยรัตน์ เธอเริ่มสังเกตว่าอนวัชขับออกนอกเส้นทาง หทัยรัตน์มองซ้ายมองขวา ทนไม่ได้หันมาถาม
“ทางนี้ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่คะ คุณจะพาดิฉันไปไหน”
“ฉันจะพาเธอไปทำธุระสำคัญ”
“ธุระอะไร”
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่อีกไม่นาน เธอก็รู้เอง”
“ฉันไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น กรุณาส่งฉันกลับบ้าน หรือไม่ก็หยุดรถฉันจะลงตรงนี้”
“เธอคิดว่าจะออกคำสั่งกับฉันได้เหรอ ฉันต่างหากที่จะเป็นคนสั่งให้เธอทำทุกอย่างที่ฉันต้องการ และวันนี้เธอต้องไปกับฉัน”
“คุณอนวัช”
หทัยรัตน์เสียงสั่นด้วยความโกรธที่มีพอๆ กับความกลัว
บ้านพักที่ศรีราชา พินิจนอนเหงื่อออกท่วม หน้าแดงเพราะพิษไข้ หันมาทางโต๊ะข้างๆ จะหยิบแก้วน้ำ มือไม่มีแรงปัดแก้วน้ำตกแตกกระจาย เสียงพรรณีดังขึ้น
“พี่นิจ พี่นิจอยู่เฉยๆ ค่ะ เดี๋ยวณีเก็บเอง”
“ณี มาได้ยังไง”
“ณีก็มีวิธีสืบในแบบของณี”
“ณีกลับเถอะ พี่อยากอยู่คนเดียว”
“ไม่ได้ค่ะ ณีไม่กลับ และพี่นิจก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เพราะคุณหนึ่งบอกว่าจะพาปุ้มมาเยี่ยมพี่นิจที่นี่”
พินิจอึ้ง
“ถ้าพี่นิจอยากเจอปุ้ม พี่นิจต้องเข้มแข็งไว้นะคะ”
“หนึ่งจะพาปุ้มมาหาพี่จริงเหรอณี”
พรรณีพยักหน้า พินิจน้ำตาซึม
“ณีอย่าหลอกพี่นะ อย่าหลอกพี่นะณี”
พรรณีร้องไห้ตาม พินิจร้องไห้ด้วยความดีใจและมีหวัง
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา09.30น.
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 7 (ต่อ)
รถอนวัชแล่นไปอย่างเร็ว หทัยรัตน์นั่งอยู่บนรถด้วยความโกรธและวิตก ยังคงโวยวายเสียงแข็ง
“นี่มันจะออกจากกรุงเทพแล้วนะคะ”
“ฉันรู้”
“คุณต้องการอะไรจากฉัน บอกมาเลยดีกว่า”
“ฉันไม่ต้องการอะไร นอกจาก ต้องการเอาชนะผู้หญิงอวดดี จองหอง และใจร้ายอย่างเธอ”
อนวัชหันมามองหญิงสาวตาเข้ม และแข้งกระด้าง หทัยรัตน์นิ่งอึ้งไป พูดสวนอย่างหนักแน่น
“ฉันบอกได้เลย คุณไม่มีวันจะได้สิ่งที่คุณต้องการ”
หทัยรัตน์สะบัดหน้าออกไปนอกหน้าต่าง และไม่หันกลับมามองอนวัชอีกเลย ชายหนุ่มปรายตามองหญิงสาวนิดๆ ต่างคนต่างไม่ยอม
ชุลีกำลังขับรถอยู่และเห็นรถของอนวัชขับเข้ามาใกล้
“นี่มันรถคุณอนวัชนี่”
ชุลีเพ่งมอง รถอนวัชขับสวนไป เห็นอนวัชนั่งอยู่กับหทัยรัตน์
“คุณอนวัชกับเด็กปุ้ม”
ชุลีรีบหันมาดูนาฬิกา เป็นเวลา 6 โมงเย็น เธอมองอย่างสงสัย
พรรณีเช็ดตัวให้พินิจ แต่พินิจยังตัวแดง ไข้ขึ้นสูง
“ตัวร้อนจี๋เลย ณีว่า เราไปหาหมอกันก่อนดีมั้ยคะ ณีพยายามเช็ดตัวให้ แต่ไข้ไม่ลดเลย”
“ไม่ พี่ไม่ไปไหน ณีบอกพี่เองว่าไม่ให้พี่ไปไหน ให้พี่อยู่ที่นี่”
“แต่เราไปหาหมอไม่นานนะคะ กลับมาก็น่าจะทัน”
“ไม่ พี่จะรอปุ้ม ณีไม่ต้องห่วง พี่จะไม่เป็นอะไรจนกว่าจะได้เห็นหน้าปุ้ม พี่จะอยู่ที่นี่ อยู่รอเธอ หทัยรัตน์ ฉัน ฉันจะรอเธอ”
พินิจเริ่มเพ้อ ตัวสั่นเพราะพิษไข้
“หทัยรัตน์”
พินิจหายใจช้าๆ พรรณียิ่งสงสาร
หน้าเดือนประดับ เริ่มมืด ทิพย์เดินไปมาด้วยความร้อนใจ สุทธิ์ และสัทธานั่งอยู่ข้างๆ ร้อนใจพอกัน สุดาเดินเข้ามา ทิพย์รีบถาม
“ว่ายังไงบ้างแป้น มีใครเห็นปุ้มบ้างมั้ย”
“ไม่มีค่ะ ตาบุญบอกว่าทำสวนอยู่ตั้งแต่บ่ายก็ยังไม่เห็นปุ้มกลับมา”
“ยัยปุ้มหายไปไหนของเขานะ หกโมงกว่าแล้ว ธรรมดาไม่เคยกลับผิดเวลาแบบนี้”
“แป้นลองโทรศัพท์ไปถามที่เพชรลดาดูสิ เผื่อว่าปุ้มจะยังอยู่ที่นั่น”
“ค่ะ”
สุดารีบเดินไป
รถของอนวัชยังขับไปอย่างเร็ว หทัยรัตน์นั่งนิ่งเชิดหลังตรง ไม่มองหน้าอนวัชเลยแม้แต่นิดเดียว
“นี่เธอ นั่งแบบนั้นไม่เมื่อยหรือไง”
หทัยรัตน์ไม่ตอบ
“นั่งนิ่งเป็นหินก็ดี ไม่ต้องโวยวายให้หนวกหู ฉันจะได้พาเธอไปไหนต่อไหนได้ง่ายหน่อย”
หทัยรัตน์ยิ่งฟังยิ่งโกรธ
สุดาคุยโทรศัพท์กับพิมพ์ด้วยความตกใจและแปลกใจ
“ปุ้มออกมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงเหรอคะ”
ทิพย์ สุทธิ์ และ สัทธาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตกใจ และเริ่มวิตก พิมพ์คุยโทรศัพท์ด้วยความร้อนใจ
“ค่ะ นี่ คุณครูยังกลับไม่ถึงบ้านเหรอคะ”
“ค่ะ ปุ้มเขาบอกแม่พิมพ์หรือเปล่าคะ ว่าเขาจะไปทำอะไร ที่ไหนต่อ”
สุดาถามด้วยความกังวล จากนั้นก็โทรศัพท์ไปหาผ่องฉวี ผ่องฉวีคุยโทรศัพท์ด้วยความตกใจ
“ปุ้มแยกจากผ่องไปตั้งแต่ตอนดูหนังจบแล้วค่ะพี่แป้น”
สุดาวิตกหนักกว่าเดิมอีก ทิพย์ สัทธา สุทธิ์ เริ่มนั่งไม่ติด
“แล้วหนังจบกี่โมงคะ“
“ประมาณสี่ ห้าโมงเย็นค่ะ อ้อ พี่แป้นลองถามคุณอนวัชสิคะ เพราะปุ้มกับผ่องเจอคุณอนวัชที่หน้าโรงหนัง เธออาสามาส่งผ่องที่บ้าน แล้วบอกว่าจะไปส่งปุ้มที่เดือนประดับค่ะ”
“พี่หนึ่งเหรอ”
สุดาโทรศัพท์ไปหาพิมพ์อีกครั้ง พิมพ์ตกใจ
“อ้าว คุณหนึ่งไปรับคุณปุ้มเหรอคะเนี่ย แม่พิมพ์ไม่รู้เลย”
“แล้วตอนนี้พี่หนึ่งอยู่มั้ยคะแม่พิมพ์”
“คุณหนึ่ง เธอยังไม่กลับเหมือนกันค่ะคุณแป้น”
พิมพ์เริ่มคิดด้วยความหวาดหวั่นใจ สุดาหันมาบอกพ่อ แม่ และพี่ชาย
“พี่หนึ่งยังไม่กลับเพชรลดาเลยค่ะ”
สัทธาดึงโทรศัพท์มา
“มา พี่พูดเอง แม่พิมพ์ นี่คุณปุ๊นะ ไอ้หนึ่งมันบอกแม่พิมพ์หรือเปล่าว่ามันพาปุ้มไปไหน”
“เอ่อ ไม่ได้บอกเลยค่ะ คุณหนึ่งเข้ามาที่เพชรลดาตอนกลางวัน ถามหาคุณครู พอแม่พิมพ์บอกว่า คุณครูไปดูหนังกับเพื่อน คุณหนึ่งก็รีบออกไป แล้วก็ยังไม่กลับมาเลยค่ะ นี่แสดงว่า คุณหนึ่งกับคุณครูอยู่ด้วยกัน และยังไม่กลับบ้านทั้งคู่เหรอคะ”
“จากข้อมูลที่ได้ตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น เอาอย่างนี้ ถ้าหนึ่งกลับมาเมื่อไหร่ แม่พิมพ์โทร.บอกที่เดือนประดับด้วย และถ้าปุ้มกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะรีบโทร.บอกทันที”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
พิมพ์วางสายไป หน้าเครียด วิทย์เดินเข้ามา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอแม่พิมพ์ คุยกับใครทำไมหน้าเครียดๆ”
พิมพ์ตกใจหันมา
“แล้วนี่ตาหนึ่งไปไหน ค่ำมืดแล้วทำไมยังไม่กลับอีก”
พิมพ์อึกอัก ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
หนึ่งขับรถผ่านป้ายชลบุรี หทัยรัตน์เห็นป้ายแล้วตกใจ หน้าเสียนิดๆ
“ชลบุรี”
“อีกไม่นานเธอก็จะรู้เองว่าทำไมฉันถึงต้องพาเธอมาถึงที่นี่”
หทัยรัตน์คิดเครียด
ทิพย์ สัทธา สุดา และสุทธิ์ นั่งหน้าเครียดปรึกษากัน
“ไอ้หนึ่งพายัยปุ้มไปไหนนะ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีก”
“พ่อว่าเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าปุ้มอยู่กับหนึ่งเลยนะ ทั้งสองคนอาจจะแยกกันไปแล้วก็ได้ เพราะถ้าหนึ่งพาปุ้มไปจริงๆ ก็น่าจะบอกกล่าวให้เรารู้บ้าง ไม่ใช่พากันหายไปเงียบๆ แบบนี้”
“ผมไม่ได้ด่วนสรุป แต่มีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่ผมคิดจะเป็นความจริง”
สัทธามั่นใจ
อนวัชขับรถด้วยความเร็ว ท้องฟ้าเริ่มมืด ถนนเริ่มแคบ ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมา หทัยรัตน์ยังนั่งนิ่งไม่พูดไม่เคลื่อนไหว อนวัชเพ่งมองไปข้างหน้า ฝนตกหนักแทบจะมองไม่เห็นถนน
“ทำไมฝนต้องตกลงมาด้วยนะ”
หทัยรัตน์ยิ้มนิดๆ อนวัชเห็นและพูดขึ้นลอยๆ อย่างจงใจ
“แต่ไม่ต้องห่วง ถึงฝนจะตกหนักแค่ไหน ฉันก็ต้องพาเธอไปถึงจุดหมายให้ได้”
หทัยรัตน์หุบยิ้ม นั่งนิ่งไม่สนใจ ทันใดนั้นเสียงยางระเบิดก็ดังขึ้นอย่างแรง รถเสียหลัก อนวัชตกใจรีบบังคับพวงมาลัยให้ตรงทาง
“เฮ้ย อะไรเนี่ย”
หทัยรัตน์ตกใจ เอามือจับรถไว้ อนวัชประคองรถจอดนิ่งสนิทอยู่ข้างทาง
“บ้าจริงๆ”
หทัยรัตน์ตกใจ เริ่มกลัว อนวัชคิดและตัดสินใจเปิดประตูเดินลงไป หทัยรัตน์ปรายตามอง แอบเป็นห่วงเพราะฝนตก
อนวัชลงจากรถมาดูยางหน้าที่แตก เดินไปท้ายรถ แต่ไม่มียางอะไหล่ เขาเดินกลับมาที่รถ หทัยรัตน์มองดู ในใจแอบเป็นห่วงและอยากรู้ แต่พออนวัชเดินกลับมาที่รถ ก็รีบนั่งหลังตรงทำไม่สนใจ
“ยางล้อหน้าแตก ยางอะไหล่ไม่มี เราคงจะต้องเข็นรถไป”
“เรา”
“คุณไม่ต้องเข็นหรอก ผมเข็นเอง แต่คุณต้องจับพวงมาลัยให้ผม”
“ไม่ ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ฉันบอกแล้วว่าสิ่งเดียวที่ฉันจะทำคือกลับบ้าน”
“ก็ตอนนี้มันกลับไม่ได้ ถ้าคุณไม่ช่วยผม คุณก็ไม่ได้กลับอยู่ดี”
“แต่ถ้าคุณไม่ลักพาตัวฉันมาแบบนี้ฉันก็ได้กลับบ้านไปนานแล้ว”
“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ไหนๆ มาถึงที่นี่แล้วคุณต้องช่วยผม”
“คุณนั่นแหละพูดไม่รู้เรื่อง ฉันบอกคุณตั้งแต่ตอนเย็นแล้วว่าฉันไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น และตอนนี้ฉันก็จะไม่ช่วยคุณด้วย”
“ถ้าคุณไม่จับพวงมาลัยให้ผม คุณก็ต้องลงไปเข็นรถ เลือกเอา”
“ฉันไม่เลือก ฉันจะนั่งเฉยๆ คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ”
หทัยรัตน์พูดจบก็สะบัดหน้าใส่ หันหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่สนใจ
อนวัชเห็นท่าทางเฉยเมยของหทัยรัตน์แล้วทนไม่ได้ ลงจากรถไป หทัยรัตน์แปลกใจ แอบมองตามว่าเขาจะทำอะไร อนวัชเดินอ้อมมาหลังรถไปเปิดประตูฝั่งหทัยรัตน์ออก
“คุณจะทำอะไร”
“ก็ในเมื่อคุณไม่ยอมจับพวงมาลัย คุณก็ต้องลงมาเข็น ผมจะจับพวงมาลัยเอง ลงมา”
“คุณจะบ้าเหรอ คุณเป็นผู้ชายนะ คุณจะให้ฉันเข็นรถแล้วคุณนั่งเฉยๆ เหรอ”
“ก็ผมให้คุณเลือกแล้ว คุณไม่เลือก ผมก็เลือกให้คุณไง ลงมา”
อนวัชดึง
“ฉันไม่ลง ปล่อยฉันนะ”
“ลงมา ถ้าไม่ลงมาก็ไปจับพวงมาลัยให้ผม”
“ไม่”
“ลงมา”
ทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันจนหทัยรัตน์สู้แรงไม่ไหว ตะโกนขึ้น
“ก็ได้ๆ ฉันจับพวงมาลัยให้คุณก็ได้”
อนวัชหยุดมองหน้าหทัยรัตน์อีกที หทัยรัตน์ก้มหน้าจนแต้ม
“งั้นก็ขยับไป ผมจะบอกคุณเองว่าต้องทำยังไง”
หทัยรัตน์ยังนั่งนิ่ง
“ขยับไปสิ”
หทัยรัตน์เลื่อนไปที่นั่งคนขับ อนวัชเข้ามานั่งแทนที่ ตัวเปียกซก
“เวลาจับพวงมาลัยให้คุณดูข้างหน้าด้วย ถ้ารถจะชนอะไรคุณก็เหยียบที่นี่ มันเป็นเบรค แล้วก็มองกระจกข้างด้านนี้ แล้วก็มองกระจกด้านนี้ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินให้บีบแตร แล้วถ้าผมมีปัญหา ผมจะตีที่กระจก คุณต้องคอยฟังด้วย เข้าใจนะ”
หทัยรัตน์พยักหน้าอย่างฝืนใจ
“แล้วที่ที่คุณบังคับพาฉันไป มันอีกไกลมั้ย”
“ก็ไกลพอสมควร”
“แล้วเราต้องเข็นไปอย่างนี้เนี่ยนะ”
“ต้องลองเสี่ยงดู ถ้าเราโชคดี ข้างหน้าอาจจะมีบ้านหรืออู่ซ่อมรถ เฮ่อ ไม่น่าเลย”
“สมน้ำหน้า อย่างนี้ล่ะน้า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว”
หทัยรัตน์ลอยหน้าลอยตาไม่มองอนวัข อนวัชไม่อยากต่อล้อต่อเถียงเปิดประตูและลงจากรถไปเลย หทัยรัตน์มองหน้าปัดรถ แล้วก็เซ็งๆ กับชะตาชีวิตตัวเอง อนวัชเห็นหทัยรัตน์ไม่จับพวงมาลับจึงตีกระจก บุ้ยใบ้ทำท่าให้จับพวงมาลัย หทัยรัตน์หันไปจับอย่างเสียไม่ได้ แล้วเงอะๆ งะๆ ไม่รู้จะเอามือเอาขาวางตรงไหนให้ถูกท่า
หทัยรัตน์มองแป้นเบรกแล้วยิ้มมีเลศนัย เหยียดเท้ายันเบรกสุดแรง อนวัชเข็นรถไม่ไป เข็นอีกทีก็ยังไม่ไป เขาเริ่มไม่ไหว วิ่งมาหาหทัยรัตน์และตบกระจกเรียก
“นี่คุณ ทำไมรถเข็นไม่ไป คุณทำอะไร”
“อ้อ ฉันเหยียบเบรกไว้น่ะ ลืมไป”
“นี่คุณจะแกล้งผมใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้แกล้งสักหน่อย ฝนตกหนักคุณต้องยืนตัวเปียกตากฝน ใครจะแกล้งได้ลงคอ”
หทัยรัตน์ยิ้มสะใจ อนวัชแค้น
“เอ้า แล้วคุณจะยืนตากฝนอีกนานไหม ไปเข็นรถต่อสิ ฉันจะจับพวงมาลัยให้”
“คราวนี้จับอย่างเดียว ไม่ต้องเหยียบเบรกรู้หรือเปล่า”
หทัยรัตน์ทำเป็นพยักหน้ากวนๆ อนวัชจำใจต้องเดินไปหลังรถและเข็นอย่างหนัก หทัยรัตน์จับพวงมาลัยไม่ค่อยถนัด และตื่นเต้นเล็กน้อย รถค่อยๆ ฝ่าดงฝนไปอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก
ส่องแสงโวยใส่ชุลีทันทีที่ชุลีนำเรื่องอนวัชกับหทัยรัตน์มาเล่าให้ฟัง
“พี่หนึ่งไปกับนังปุ้มสองต่อสอง”
“ใช่ อุ้ย กระหนุงกระหนิงกันใหญ่ นี่ ตอนฉันเห็นก็โพล้เพล้แล้วนะ แล้วรถพี่หนึ่งก็มุ่งไปทางชลบุรี ไม่ได้จะกลับเข้ากรุงเทพ ดูท่าทางคงจะไปเที่ยวด้วยกัน”
“ตาฝาดหรือเปล่า คุณหนึ่งเขาจะไปต่างจังหวัดค่ำๆ มืดๆ กับเด็กปุ้มสองต่อสองได้ยังไง เป็นไปไม่ได้”
“แต่ชุลีเห็นจริงๆ นะคะ ไม่ได้โกหก เอาอย่างนี้สิคะ เราก็ลองโทร.ไปถามที่เพชรลดากับที่เดือนประดับแล้วดูว่าทั้งสองคนอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่อยู่ทั้งคู่ ก็แสดงว่าที่ชุลีเห็นมันก็เป็นความจริง”
ชุลียั่วยุ ส่องแสงคิดลังเล
อนวัชเข็นรถจนหอบเหนื่อย เริ่มหมดแรง ตัดสินใจหยุดเข็นและเดินมาที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่ง
หทัยรัตน์หันมามองด้วยความสงสัย
“นี่คุณ ข้างหน้าไม่มีแสงไฟเลย เข็นไปก็คงจะเหนื่อยเปล่า ผมจะลองเดินย้อนลงไป เพราะเมื่อกี๊ตอนผ่านมาเห็นมีตลาดเล็กๆ อยู่ อาจจะมีใครช่วยเราได้ เดี๋ยวคุณเดินไปกับผม”
“ไม่ไป ฉันไม่ไปกับคุณ ฉันจะรออยู่ที่นี่”
“ตามใจ แต่อยู่คนเดียวก็ระวังตัวให้ดี ได้ข่าวว่าถนนเส้นนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ส่วนมากก็จะตายคาที่ อ้อ นอกจากจะเกิดอุบัติเหตุแล้วยังมีการดักปล้นกันอยู่เรื่อยๆ และโจรพวกนี้ถ้ามันเจอสาวๆมันก็มักจะไม่ปล้นอย่างเดียว แต่มันจะทำอะไรก็คิดเอาเอง”
หทัยรัตน์ฟังแล้วสยอง
“ขอให้โชคดี”
อนวัชลงจากรถไป หทัยรัตน์นั่งอยู่คนเดียว มองไปรอบๆ อย่างหวั่นใจ อนวัชเดินมาเปิดท้ายรถและหยิบผ้าใบผืนเล็กๆ ออกมา ปิดท้ายรถอย่างแรง หทัยรัตน์นั่งอยู่ในรถสะดุ้งตกใจ อนวัชสะบัดผ้าใบและกางกันฝน หันมามองหทัยรัตน์อีกทีก่อนจะเดินไป
หทัยรัตน์เริ่มใจคอไม่ดี มองซ้ายมองขวา ทั้งมืดทั้งเปลี่ยว น้ำฝนที่ไหลผ่านหน้าต่างทำให้ดูหลอนหนักขึ้นไปอีก เธอมองกระจกหลัง เห็นอนวัชเดินห่างออกไปทุกที หทัยรัตน์ตัดสินใจเปิดประตูรถและเรียกหนึ่ง
“คุณอนวัช”
อนวัชยิ้มร้าย
“รอฉันด้วย”
หทัยรัตน์รีบลงจากรถฝ่าสายฝนและวิ่งมาหาชายหนุ่ม
“เปลี่ยนใจแล้วเหรอ”
“ก็เห็นอยู่แล้วยังจะมาถามอีก”
อนวัชยิ้มกวนและกางผ้าใบบังฝนให้หทัยรัตน์
“โธ่ คิดว่าจะแน่”
หทัยรัตน์ตาขวาง อนวัชไม่สนใจยิ้มกริ่ม ทั้งสองเดินฝ่าสายฝนที่กระหน่ำลงมา ภายใต้ผ้าใบผืนไม่ใหญ่มาก บีบให้ต้องเดินชิดกัน ถึงแม้หทัยรัตน์จะพยายามเดินตัวลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ก็ยังต้องโดนตัวอนวัชอยู่ดี หทัยรัตน์อึดอัดขัดใจ แต่อนวัชกลับยิ้มอย่างมีความสุข แขนของอนวัชถือผ้าใบเหมือนโอบหทัยรัตน์ไว้ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงแขนของอนวัชที่โอบผ่านตัวเอง ทนไม่ได้ พูดขึ้น
“ฉันถือเอง”
หทัยรัตน์แย่งปลายผ้าใบไปถือ โดยไม่รอให้อนวัชตอบ ทันใดนั้นลมก็พัดวูบ หทัยรัตน์ไม่ทันระวัง ยังจับผ้าไม่ถนัด ปลายผ้าใบด้านหทัยรัตน์จึงหล่นลงมา
“ว้าย”
“ระวัง”
หทัยรัตน์ตกใจ รีบคว้าปลายผ้าขึ้น ทำให้อ้อมแขนอนวัชโอบเธอเข้ามาใกล้ตัวกว่าเดิมและหทัยรัตน์ยังเซมาซบหน้าอกอนวัช
“โอ๊ย”
หทัยรัตน์ช้อนตามองหน้าอนวัชอย่างกระอักกระอ่วน เขาสบตาหญิงสาวแล้วพูดกวนๆ
“ทำเป็นหวงเนื้อ หวงตัว แล้วเป็นไง จะซบอีกนานมั้ย”
หทัยรัตน์ผงะ รีบดันตัวออกห่างทันทีแต่ออกไม่ได้ เพราะเส้นผมพันกับกระดุมเสื้ออนวัช
“โอ๊ย ผมฉัน”
หทัยรัตน์พยายามดึงออก อนวัชขมวดคิ้วห้าม
“นี่ อยู่เฉยๆ เลย หาเรื่องจริงๆ เอ้าจับไว้”
อนวัชส่งผ้าใบด้านหทัยรัตน์ให้ เธอเอื้อมมือมาจับปลายผ้าใบด้านตัวเอง อนวัชใช้มือข้างที่ว่างมาแกะเส้นผมออกอย่างอ่อนโยน หทัยรัตน์รีบดึงตัวออก แล้วก็ปั้นหน้านิ่งๆ ทั้งที่ในใจเสียฟอร์มมาก
“ต่อจากนี้ไปก็เดินเฉยๆ อย่ามาทำจองหองจนเกินงาม และไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัว ทำตัวให้ดีๆ ว่านอนสอนง่าย จะได้กลับบ้านไวๆ”
อนวัชสรุปแบบจอมบงการ หทัยรัตน์ได้แต่กัดฟันกรอด แล้วก็สะบัดหน้าใส่ อนวัชยิ้มสะใจ หทัยรัตน์พยายามเดินตัวเกร็งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังต้องโดนตัวอนวัชอยู่ดี เธออึดอัดขัดใจ แต่อนวัชกลับยิ้มอย่างมีความสุข เหมือนไม่อยากให้ถึงจุดหมายปลายทาง
โทรศัพท์บ้านเพชรลดาดังขึ้น พิมพ์รีบวิ่งไปรับด้วยความตื่นเต้น
“สวัสดีค่ะ คุณส่องแสง”
ส่องแสงหน้าเครียด
“พี่หนึ่งยังไม่กลับ แล้วพี่หนึ่งบอกหรือเปล่าว่าไปไหน”
“ไม่ได้บอกค่ะ คุณส่องแสงมีธุระอะไรฝากไว้มั้ยคะ”
ส่องแสงแค้น
“ไม่มี แค่นี้นะ”
ส่องแสงกระแทกวางหูไปเลย พิมพ์สะดุ้ง และวางหูไปด้วยความเซ็ง วิทย์รีบถาม
“หนึ่งหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณส่องแสงค่ะ”
“เจ้าหนึ่งมันหายไปไหนของมันนะ”
วิทย์ไม่สบายใจ
หนึ่งในทรวง ตอนที่ 7 (ต่อ)
อนวัชกับหทัยรัตน์เดินอยู่ใต้ผ้าใบ สายฝนกระหน่ำ หทัยรัตน์เดินกอดอกด้วยความหนาว
อนวัชมองอย่างเห็นใจ แล้วมองทางข้างหน้า เมื่อเห็นแสงไฟก็ให้กำลังใจหทัยรัตน์
“ข้างหน้ามีแสงไฟแล้วคุณ ทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
หทัยรัตน์พยักหน้ารับ ตัวเริ่มสั่นด้วยความหนาว น้ำฝนนองพื้นถนน เธอเดินไปไม่ทันระวังจึงเสียหลักลื่นล้มลง
“โอ๊ย”
อนวัชตกใจรีบคว้าเอวหทัยรัตน์ไว้
“คุณเป็นอะไรมั้ย”
หทัยรัตน์ผละจากตัวอนวัช
“ฉันไม่เป็นไร”
หทัยรัตน์ผละมาเดินเอง แต่พอเท้าสัมผัสพื้นก็รู้สึกเจ็บแปลบ
“โอ๊ย”
อนวัชจะเข้าไปช่วย
“ไหนบอกว่าไม่เป็นไร”
หทัยรัตน์ฝืนเดินต่อก็เจ็บอีก
“โอ๊ย”
“ไหนดูซิ ข้อเท้าแพลงรึเปล่า”
อนวัชจะก้มลงไปดู หทัยรัตน์รีบห้าม
“ไม่ต้อง ฉันทนได้”
เมื่อหทัยรัตน์เหยียบพื้นอีก ก็เจ็บแปลบกัดฟันไม่ยอมร้องออกมา อนวัชส่ายหน้า รู้ว่าหทัยรัตน์ฝืน จึงรีบเข้ามาพยุงไว้ด้วยความเป็นห่วง แต่หญิงสาวสะบัดตัวหนี
“ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้”
อนวัชปล่อยมือแล้วปรายตามองดูอาการ หทัยรัตน์ขยับจะเดินเจ็บแปลบขึ้นมาอีก อนวัชเข้ามาประคอง
“นี่เหรอเดินเองได้ ทำเป็นอวดเก่ง”
อนวัชจับมือหทัยรัตน์ให้มาโอบตัวเองไว้
“นี่คุณ จะทำอะไรน่ะ”
“ก็ช่วยให้คุณเดินสะดวกขึ้นไง”
อนวัชโอบมือรอบเอวหทัยรัตน์
“คุณอนวัช ปล่อยฉันนะ”
“นี่ คุณอย่าโวยวายนักได้มั้ย ผมก็ไม่ได้อยากจะทำนักหรอกแต่มันต้องทำ เพราะถ้าคุณเดินไม่ได้ ผมก็ไปหาคนมาช่วยเปลี่ยนยางรถไม่ได้ เข้าใจหรือยัง”
หทัยรัตน์สะบัดหน้าหนี จำใจยอม อนวัชคอยประคองเดินต่อไป หทัยรัตน์หันหน้าหนีไม่ยอมสบตา อนวัชมองหญิงสาวในระยะประชิด ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งเห็นเสน่ห์ของหทัยรัตน์มากขึ้น
เขาอมยิ้มพอใจ
สุดา ทิพย์ สุทธิ์ สัทธานั่งรอหทัยรัตน์ใจจดใจจ่อ เสียงโทรศัพท์ดัง ทุกคนสะดุ้งจะลุก
“แป้นรับเองค่ะ”
สุดารีบมารับโทรศัพท์ ยังไม่ทันกล่าวสวัสดี เสียงส่องแสงก็ดังขึ้นก่อน
“แป้น นี่นังปุ้มน้องสาวตัวดีของเธอมันยังไม่กลับบ้านใช่มั้ย”
“พี่ส่องมีธุระอะไรเหรอคะ”
“ที่จริงมันก็ไม่ใช่ธุระของฉันหรอก เพียงแต่ฉันทนอับอายขายขี้หน้าไม่ไหว เลยต้องบอกให้เธอเตรียมตัวรับความฉาวโฉ่ของญาติเธอไว้ให้ดี แม่นางฟ้า นางสวรรค์ ที่ใครๆ ก็ชื่นชมนักหนาว่าเป็นคนดี ที่แท้ก็เที่ยวตะลอนๆ กับผู้ชายค่ำๆ มืดๆ”
ชุลีกับสีสุกยืนเชียร์อยู่ข้างๆ ส่องแสงยิ่งใส่สุดอารมณ์
“พี่ส่องพูดถึงอะไรคะ”
“ฉันจะบอกให้นะ ฉันเห็นนังปุ้มมันนั่งรถไปกับพี่หนึ่ง ดูเหมือนจะออกไปชลบุรี ตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาทั้งสองคน”
“พี่ส่องเห็นพี่หนึ่งไปกับปุ้มจริงๆ เหรอคะ”
ทิพย์ สุทธิ์ สัทธา หันมาด้วยความสนใจ ส่องแสงคิดๆ แล้วก็ยิ้มร้าย โกหกสวมรอยทันที
“ใช่ และพี่ก็ไม่ได้เห็นคนเดียว เพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันก็เห็นหมด พี่คงไม่ต้องบอกนะว่าเขาคิดยังไง ที่แม่ปุ้มไปต่างจังหวัดกับผู้ชายสองต่อสอง พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าสักวันเดือนประดับต้องเหม็นโฉ่เพราะนังปุ้ม ผิดคำพี่ที่ไหน อีกหน่อยเถอะ เขาคงจะได้ลือกันทั้งตลาด และมันคงจะงามหน้าเข้าไปอีก ถ้าสักวันนังปุ้มมันท้องไม่มีพ่อ”
ส่องแสงวางหูไปด้วยความแค้น สีสุก ชุลี ตบมือ
“เก่งมากลูกแม่”
“ดีมากจ้ะส่อง ชนะเลิศ”
ส่องแสงยิ้มอย่างสะใจ สุดาวางหูไปอึ้งๆ ทิพย์รีบถาม
“ใครโทร.มาแป้น”
“พี่ส่องค่ะ พี่ส่องบอกว่าเห็นพี่หนึ่งขับรถไปกับปุ้มตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ดูเหมือนสองคนนั้นจะไปชลบุรีค่ะ”
“ชลบุรี”
ทิพย์แทบทรุดอยากจะเป็นลม
หทัยรัตน์กับอนวัชเดินประคองกันมาถึงที่บ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้ขนาดกลาง
“อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ยังไหวใช่มั้ย หรือจะให้ฉันอุ้มเข้าไป”
“ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้”
อนวัชอมยิ้ม สองคนเดินผ่านป้าย “บ้านกำนันไสว” ป้าขมิ้นออกมาต้อนรับ
“ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย ออกไปช่วยงานแต่งงานคนข้างบ้านทั้งพ่อกำนันผัวฉัน ทั้งลูกชายไปกันหมดบ้านเลย เอาอย่างนี้ คุณสองคนก็รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันไปตามพวกหนุ่มๆ มาให้”
ทั้งสองนั่งตัวเปียก
“ขอบคุณคุณป้ามากครับ”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”
ป้าขมิ้นเดินออกไป อนวัชหันมาเห็นหทัยรัตน์ตัวเปียกชุ่ม แถมยังจาม ท่าทางจะเป็นหวัด
“ฮัดเช้ย”
อนวัชคิดแล้วเดินตามป้าขมิ้นออกไป
“ป้าครับ ป้า”
หทัยรัตน์มองตามด้วยความแปลกใจ
ที่บ้านพักพินิจ ฝนตกหนักไม่แพ้กัน พินิจนอนตัวสั่นและเพ้อ หน้าซีด ปากสั่น
“หทัยรัตน์”
พรรณีนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ตัวร้อนมากเลย ทำไงดี พี่นิจ พี่นิจ”
“หทัยรัตน์ หทัยรัตน์”
“แย่แล้ว นี่ไข้ขึ้นจนไม่รู้สึกตัวเลยเหรอเนี่ย”
พรรณีคิดหนัก
หทัยรัตน์นั่งจับขาด้วยความเจ็บปวด อนวัชเดินเข้ามา หทัยรัตน์ตกใจ เงยหน้ามามองอนวัชตาเขียว
“จะบ้าเหรอ คุณจะทำอะไรฉัน ฉันไม่ยอมนะจะบอกให้ ถ้าคุณเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียวฉันจะฆ่าคุณจริงๆ ด้วย”
หทัยรัตน์หันไปหยิบมีดเล็กๆ สนิมเขรอะที่วางอยู่ในเชี่ยนหมากข้างๆ มาชี้ไปที่อนวัช อนวัชเห็นท่าหญิงสาวแล้วขำ
“นี่เธอจะบ้าเหรอ เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอ นี่ ฉันไปยืมเสื้อผ้าป้ามาให้เธอเปลี่ยน อยู่ชุดนี้ทั้งคืนมีหวังเธอต้องเป็นปอดบวมแน่ๆ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรอกน่า”
หทัยรัตน์จ๋อย ค่อยๆ ลดมีดลง
“ก็ ใครจะไปรู้ล่ะ”
อนวัชส่งเสื้อผ้าให้ แล้วมองหทัยรัตน์ยิ้มๆ
“จะบอกให้นะ และถ้าฉันคิดจะทำจริงๆ แค่มีดทื่อๆ เล่มเดียวมันหยุดฉันไม่ได้หรอก”
“เปลี่ยนชุดซะ เดี๋ยวฉันจะเอาเสื้อที่เปียกไปผิงไฟให้”
อนวัชเดินออกไป หทัยรัตน์ปรายตามอง
“เปลี่ยนชุดซะ เดี๋ยวฉันจะเอาเสื้อที่เปียกไปผิงไฟให้”
หทัยรัตน์กางชุดออก อนวัชยังยืนอยู่ไม่ออกไปไหน
“จะให้เปลี่ยนก็ออกไปซะทีสิ ยืนอยู่แบบนี้ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ยังไง”
อนวัชชะงัก แต่ยังมีฟอร์ม ทำเป็นพูดกวนๆ
“อย่างกับน่ามองตายแหละ”
อนวัชพูดลอยๆ แล้วเดินออกไป
หน้าบ้านกำนัน ฝนเริ่มซา ใต้ถุนมีเตาไฟจุดอยู่ เสื้อผ้าหทัยรัตน์วางในตะกร้า อนวัชบิดน้ำออก และสะบัดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็นำไปแขวนใกล้เตาไฟอย่างเรียบร้อย หทัยรัตน์ใส่ผ้าถุงและเสื้อผ้าฝ้ายดูแล้วสวยใสสบาย แปลกตา เธอเดินเข้ามาเห็นอนวัชจัดการเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเขาทำได้ ทันใดนั้นอนวัชก็ถอดเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นเรือนร่างส่วนบน หทัยรัตน์ชะงัก
“ว้าย”
อนวัชชะงักหันมาตามเสียง หทัยรัตน์รีบหลบวูบ อนวัชขำๆ มีความสุข
ป้าขมิ้นดินเข้ามา อนวัชยืนหันรีหันขวางอยู่กลางบ้าน
“พ่อหนุ่ม ยายไปบอกกำนันให้แล้วนะ เดี๋ยวพอเสร็จจากบ้านงานเขาจะมาช่วย แล้วนี่กินอะไรกันมาหรือยัง หิวมั้ย”
“ก็ ยังไม่ได้กินอะไรกันมาตั้งแต่เที่ยงครับ”
“เดี๋ยวป้าไปทำให้ พอดีมีข้าวกับหมูเหลืออยู่หน่อย เดี๋ยวทำข้าวต้มให้นะ”
“ขอบคุณมากครับคุณป้า แต่เดี๋ยวผมทำเองดีกว่าครับ”
“คุณเนี่ยนะ ทำเป็นเหรอ”
“ก็พอเป็นอยู่บ้าง ข้าวต้มนี่ก็เคยทำบ่อยๆ ครับ ผมขอบพระคุณคุณป้ามากนะครับที่มีน้ำใจ”
“ไม่เป็นไร แค่นิดหน่อยๆ มาเดี๋ยวป้าบอกให้ว่าครัวอยู่ไหน”
“คุณป้าครับ ก่อนไปครัว ผมจะขอความช่วยเหลือสักอย่างหนึ่งครับ”
อนวัชถามด้วยน้ำเสียงแสนจะเกรงใจ และอ่อนน้อม
อนวัชเดินเข้ามาในห้องพร้อมขวดยา หทัยรัตน์นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง
“มานั่งตรงนี้”
“ทำไมฉันต้องไปนั่งตรงนั้น”
“มาเถอะน่า นั่งตรงนี้สว่างหน่อย”
“ฉันจะไม่ทำจนกว่าคุณจะบอกก่อนว่าทำไม”
“ฉันจะทายาให้ ขาเธอแพลงอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“คุณส่งยามาให้ฉัน ฉันทาเองได้”
“ไม่เป็นไร ฉันทาให้”
“ฉันไม่”
อนวัชเดินมาหา นั่งคุกเข่าข้างหน้าหทัยรัตน์ แล้วดึงเท้ามา
“โอ๊ย”
หทัยรัตน์จะดึงกลับ แต่อนวัชจับไว้
“อยู่เฉยๆ”
อนวัชเทยาลงที่ฝามือ หทัยรัตน์เปรยๆ
“คนอะไรไม่รู้ชอบบังคับ พวกบ้าอำนาจ”
“รู้ไว้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ขัดใจฉัน”
อนวัชยิ้ม หทัยรัตน์ค้อนใส่ อนวัชค่อยๆ นวดขาหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“เจ็บหรือเปล่า”
หทัยรัตน์นิ่งไม่ตอบ อนวัชแกล้งบีบแรงๆ
“โอ๊ย นี่คุณ จะหักขาฉันหรือไง”
“ก็ฉันทดสอบดูว่าเธอยังมีความรู้สึกอยู่หรือเปล่า เห็นถามก็ไม่ตอบ ตอนนี้เป็นไงบ้าง ฉันนวดแรงไปหรือเปล่า ยังเจ็บอยู่มั้ย”.
หทัยรัตน์จะไม่ตอบ อนวัชเตรียมจะบีบขา หญิงสาวรีบตอบ
“ไม่เจ็บ”
อนวัชยิ้มพอใจ หทัยรัตน์งอน อนวัชตั้งใจนวดขาให้อย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม หทัยรัตน์ปรายตามอง เห็นความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ เธอหวั่นไหวเล็กน้อย รีบดึงขาออก
“พอแล้วค่ะ ฉันไม่เจ็บแล้ว”
“แน่ใจ”
“ค่ะ”
อนวัชก้มเก็บขวดยา เสียงหทัยรัตน์ดังแผ่วๆ
“ขอบคุณมาก”
อนวัชชะงักเงยหน้าขึ้นมามอง หทัยรัตน์ทำหน้านิ่งๆ ในใจเขินๆ แล้วก็หันหน้าไปทางอื่น
“เมื่อกี๊เธอพูดอะไรนะ ฉันฟังไม่ถนัด”
“ฉันรู้ว่าคุณได้ยิน และได้ยินถนัดชัดดี ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ ฉันเหนื่อย ฉันจะนอนพักอยู่ตรงนี้ รอเวลากลับบ้าน”
หทัยรัตน์ล้มตัวลงนอน อนวัชเห็นหญิงสาวหันหลังก็อมยิ้มนิดๆ ครึ้มอกครึ้มใจ
“นอนพักไปก่อนนะ ฉันจะทำข้าวต้มมาให้”
อนวัชเดินออกไป หทัยรัตน์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น พึมพำเบาๆ
“ทำข้าวต้ม”
วิทย์เดินไปมา และหยุดที่นาฬิกาเรือนโตบอกเวลาเที่ยงคืน เขาร้อนใจ เดินไปที่โทรศัพท์
“สวัสดี ปุ๊ใช่มั้ย นี่ลุงเองนะ ปุ้มกลับมาหรือยัง”
“ยังครับ แล้วหนึ่งล่ะครับ ติดต่อมาบ้างหรือเปล่า”
“ยังเลย ปุ๊ได้ข่าวอะไรเพิ่มเติมบ้างมั้ย”
“เอ่อ มีครับ มีคนเห็นหนึ่งขับรถออกไปทางชลบุรีกับปุ้มตอนหัวค่ำครับ”
วิทย์ตกใจ แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ไม่แสดงออกมาก
“อย่างนั้นก็แสดงว่าตอนนี้ไอ้หนึ่งมันอยู่กับหนูปุ้มจริงๆ สินะ ปุ๊ ลุงฝากขอโทษคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะ ที่ไอ้ลูกชายตัวแสบของลุงก่อเรื่องแบบนี้ ลุงจะถามเพื่อนที่ทางหลวงให้ตรวจสอบรายชื่อรถที่ประสบอุบัติเหตุวันนี้ ดูว่ามีรถหนึ่งหรือเปล่า รู้ข่าวแล้วลุงจะรีบบอก บอกทั้งสองคนด้วยว่าถ้าไอ้หนึ่งมันกลับมาเมื่อไหร่ ลุงจะรีบโทร.ไปบอกทันที”
“ครับ”
สัทธาวางสาย ทิพย์เดินมาหา
“ปุ๊ไม่น่าบอกคุณลุงเรื่องที่แม่ส่องบอกเลยลูก คุณลุงจะเป็นห่วงเปล่าๆ”
“แต่ผมคิดว่าคุณลุงน่าจะรู้นะครับ เพราะไอ้หนึ่งมันทำผิดจริงๆ และเรื่องนี้คุณลุงเท่านั้นที่จะจัดการกับมันได้ ไอ้หนึ่งน่ะไอ้หนึ่ง มันทำอะไรของมันอยู่วะ”
สัทธาทั้งไม่พอใจและไม่เข้าใจ
อนวัชกำลังสับหมูสับ พอได้ที่ก็นำมาปั้นเป็นก้อนๆ
ใส่ในหม้อข้าวต้ม คนข้าวในหม้อพักหนึ่ง แล้วหันไปหั่นต้นหอม คื่นช่าย
หทัยรัตน์ได้กลิ่นข้าวต้มหอมลอยมา พร้อมเสียงท้องร้อง อนวัชตักข้าวต้มใส่ชาม หทัยรัตน์ลุกขึ้น หลับตาดมกลิ่นข้าวต้ม หอมมาก ทันใดนั้น ประตูห้องเปิดเข้ามา หทัยรัตน์รีบล้มตัวลงนอน อนวัชเดินเอาข้าวต้มหมูมาให้ แต่เห็นหทัยรัตน์หลับ
“ฉันทำข้าวต้มมาให้ กินซะ เมื่อกี๊ป้าบอกว่ามีคนมาช่วยแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปดูเปลี่ยนยางที่รถ ถ้าเรียบร้อยแล้วจะรีบมารับ”
หทัยรัตน์ทำเป็นหลับไม่ได้ยิน อนวัชค่อยๆ เอื้อมมือมาปาดผมที่ปรกหน้าหทัยรัตน์ให้พ้นทางและมองดูหน้าหญิงสาวอย่างชัดๆ อีกครั้ง ใบหน้าหทัยรัตน์ตอนหลับดูสวยสงบและน่าทะนุถนอม หทัยรัตน์แอบใจสั่น
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้หลับ และได้ยินฉันพูดทุกอย่าง ถ้ายังไม่ลืมตา ฉันจะ”
อนวัชทำเป็นก้มหน้ามาเหมือนจะจูบ หทัยรัตน์ลืมตาทันที แล้วก็ลุกพรวดขึ้นมา
“ฉันตื่นแล้ว”
อนวัชยิ้ม รู้ทัน
“ดี กินซะเดี๋ยวฉันมารับ”
อนวัชเดินออกไป ยิ้มกวนๆ ด้วยความพอใจ หทัยรัตน์มองตามทั้งเขิน ทั้งอาย พอเห็นข้าวต้มท้องก็ร้องขึ้นมา เธอเดินมาที่ชามข้าวต้ม
หทัยรัตน์มองด้วยความแปลกใจ ระคนประทับใจ เธอแอบสับสนในใจ
จบตอนที่ 7