บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 10
เกื้อทั้งกังวลและเป็นห่วงเรื่องปานรุ้งไม่กลับบ้านมาสักที กินข้าวคลุกน้ำปลาเสร็จโดยไว สีหน้าร้อนรุ่มกลุ้มใจ ปรกถือขันน้ำมาให้เกื้อรับมาดื่มอย่างรวดเร็ว
“ขอบใจมากลูก ปรกไม่ต้องล้างจานนะ ขึ้นไปอ่านหนังสือกับพี่ปานเทพเถอะ เดี๋ยวพ่อกลับมาล้างให้เอง”
“พ่อจะไปไหนเหรอจ๊ะ”
“พ่อจะไปตลาด เป็นห่วงคุณแม่ ป่านนี้ยังไม่กลับ พ่อเป็นห่วง”
เกื้อเดินออกไปจากบ้านไปทันที เด็กชายปรกได้แต่มองตามพ่อไป
วาสุเทพกับปานรุ้งเดินออกจากร้านอาหาร ปานรุ้งครุ่นคิดหาเหตุผลมาอ้าง ไม่อยากให้วาสุเทพไปส่งที่บ้าน และไม่อยากให้รู้ว่าเธออยู่บ้านเกื้อ โดยไม่รู้ว่าวาสุเทพรู้เรื่องหมดแล้ว ในที่สุดปานรุ้งบอกออกมาว่า
“เดี๋ยวรุ้งกลับเองก็ได้ค่ะ พี่เทพกลับบ้านเถอะ”
“ไม่เป็นไร พี่ไปส่งรุ้งที่บ้านได้”
“แต่บ้านรุ้งไกล รุ้งไม่อยากรบกวน”
“ไม่ไกลนี่ บ้านรุ้งห่างจากที่นี่ไปไม่กี่กิโลเอง”
ปานรุ้งชะงักมองวาสุเทพนิ่ง
“พี่เทพรู้จักบ้านรุ้งเหรอคะ”
วาสุเทพมองปานรุ้ง แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงยอมรับว่ารู้ ปานรุ้งอึ้ง
ฝ่ายเกื้อเที่ยวเดินมองหาปานรุ้งไปทั่วตลาด เพราะไม่รู้ว่าปานรุ้งขายเสื้อผ้าอยู่ตรงไหน
แม่ค้า คนรู้จักกันเห็นเข้า “อ้าว ไอ้เกื้อ มาตามหายายปิ่นเหรอ เห็นเดินเถียงกับพ่อเอ็งออกจากตลาดไปแล้วนะ”
“เปล่า ฉันไม่ได้มาตามแม่ ฉันมาตามหาเมีย เจ๊เห็นร้านขายเสื้อผ้าของคุณรุ้งไหม”
“ถ้าในตลาดนี่ ตอนนี้ไม่มีร้านเสื้อผ้าเปิดแล้ว เมียเอ็งคงกลับบ้านแล้วมั้ง”
เกื้อมองหารอบๆ ตลาดอีกครั้ง
“สงสัยคงจะสวนทางกัน งั้นฉันกลับบ้านก่อนนะเจ๊”
เกื้อเดินออกจากตลาดไปขึ้นรถแท็กซี่ตัวเอง ขับกลับบ้าน
วาสุเทพเดินมาส่งปานรุ้งที่หน้าบ้าน ปานรุ้งเดินตามวาสุเทพด้วยสีหน้าอึ้งๆ เดาไม่ออกว่าวาสุเทพรู้เรื่องอะไรของตัวเองบ้าง
“พี่เทพรู้ได้ยังไงคะว่าบ้านรุ้งอยู่ที่นี่”
วาสุเทพถอนใจ ก่อนจะบอกความจริง “พี่ให้คนตามมาดูอาการเกื้อ”
ปานรุ้งใจหายวูบ อดกังวลไม่ได้ว่าวาสุเทพรู้เรื่องเธออยู่กินเป็นผัวเมียกับเกื้อหรือยัง
“นอกจากพี่เทพรู้ว่ารุ้งอยู่ที่นี่ พี่เทพยังรู้เรื่องอื่นอีกไหมคะ”
วาสุเทพก้มหน้า ไม่อยากให้ปานรุ้งเห็นสายตายุ่งยากลำบากใจของตัวเอง
“พี่รู้เรื่องรุ้งกับเกื้อแล้ว”
ปานรุ้งอึ้งไป พยายามทำตัวปกติ “เกื้อบอกเหรอคะ”
“ยาบอก”
ปานรุ้งฟังแล้วยิ่งอึ้งหนักกว่าเก่า คิดว่ากติยาคงบอกวาสุเทพอย่างสะใจที่ตัวเองตกต่ำจนเอาคนขับรถเป็นผัว
ปานรุ้งพูดเสียงเย้ยหยันชีวิตตัวเอง “ยาคงสะใจสินะคะ ที่รู้ว่าชีวิตรุ้งเป็นอย่างนี้ พี่เทพกลับไปเถอะค่ะ
ปานรุ้งจะเดินหนี วาสุเทพจับแขนรั้งไว้ “เดี๋ยวก่อนรุ้ง”
ปานรุ้งสะบัดออก “พี่เทพก็เห็นแล้วนี่คะ ว่าตอนนี้ชีวิตรุ้งเป็นยังไง รุ้งเป็นเมียใคร รุ้งมันผู้หญิงมักง่าย จนตรอก หาใครไม่ได้จนต้องคว้าคนขับรถตัวเองทำผัว พี่เทพก็เลิกยุ่งกับรุ้งได้แล้ว”
ปานรุ้งจะเดินหนีอีกวาสุเทพจับแขนปานรุ้งไว้
บังเอิญว่ากอบกับปิ่นถือถุงของสดที่จะทำกับข้าวขายเดินเข้ามา ปิ่นเห็นวาสุเทพจับแขนปานรุ้งก่อน มองตาค้าง กอบมองแล้วชะงักตามเมีย
วาสุเทพยังจับแขนปานรุ้งไว้
“ถ้าพี่เลิกห่วงรุ้งได้ พี่คงทำตั้งแต่รุ้งแต่งงานกับชูนามแล้ว”
ปานรุ้งมองวาสุเทพอย่างอึ้งๆ
ปิ่นคุมแค้นมองปานรุ้งกับวาสุเทพด้วยสายตาเอาเรื่อง !
เกื้อขับรถเข้ามาในซอยบ้านแล้ว มองไปเห็นรถของวาสุเทพขับสวนทางออกมา และเห็นวาสุเทพนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลัง เกื้อชะงัก ไม่คิดว่าจะเจอวาสุเทพแถวนี้
“คุณวาสุเทพ”
เกื้อสงสัยมากว่าวาสุเทพมาทำอะไรแถวนี้
ปานรุ้งเดินเข้าบ้านมาด้วยอารมณ์สับสน รู้ตัวดีว่ามีสามีแล้ว แต่พอเจอคนที่ตัวเองเคยรักและเขาเองก็ยังแสนดีเหมือนเก่า แถมมีฐานะ และอนาคตดีกว่า ก็อดไม่ได้ที่จะปันใจไปคิดถึงเขา
ปิ่นเดินหน้าตึง พรวดพราดตามเข้ามา โดยมีกอบตามมาคอยห้าม
“เดี๋ยวก่อนยายปิ่น มันไม่มีอะไรหรอกน่า”
ปิ่นตวาดผัว “ไม่มีอะไรได้ยังไง” แล้วหันไปเหน็บปานรุ้ง “ก็เห็นอยู่ว่ายืนจับมือถือแขนกับผู้ชาย”
ปานรุ้งมองปิ่นกับกอบอึ้งๆ ตกใจที่รู้ว่าสองคนเห็นตัวเองกับวาสุเทพ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
เกื้อเดินเข้าบ้านมา ได้ยินเสียงปานรุ้งโต้เถียงกับปิ่นพอดี
ปรกกับปานเทพเดินลงบันไดมาเพราะเสียงโวยวายของปิ่น สองพี่น้องยืนมองอยู่ที่บันได
“แม่ว่าอะไรคุณหนูอีกแล้วเนี่ย” เกื้อโมโหแม่
ปิ่นมองเกื้อด้วยสายตาเยาะเย้ย
“มาก็ดีแล้ว รู้ไหมว่าเมื่อกี้เมียเอ็งทำอะไร ข้าจะบอกให้ เมียเอ็งยืนพลอดรักกับผู้ชายหน้าบ้าน”
เกื้อชะงัก
กอบปราม “นั่นมันคุณวาสุเทพนะเว้ย ท่านไม่ทำอะไรอย่างที่แกคิดหรอก”
เกื้อชะงักอีก มองหน้ากอบอึ้งๆ คาดไม่ถึง
“คุณวาสุเทพ”
“วัวมันเคยค้า ม้ามันเคยขี่” ปิ่นตวาดผัว แล้วหันไปมองปานรุ้งด้วยสายตาแข็งกร้าว “แล้วคนมันก็มีประวัติเรื่องนี้มาก่อน ถ้าอยากจะเอา ขนาดเป็นคู่หมั้นเพื่อน ก็แย่งมาแล้ว ไม่เห็นหัวเพื่อน ไม่เห็นหัวแม่ นับประสาอะไรจะเห็นหัวผัวขี้ข้าอย่างไอ้เกื้อ”
ปานรุ้งหันไปมองปรกกับปานเทพที่ยืนฟังปิ่นด่าแม่ตัวเอง เห็นสายตาลูกที่มองมายิ่งทำให้ทั้งเจ็บแค้น และโกรธปิ่นสุดขีด ตวาดกลับ
“อย่ามาพูดอย่างนี้ ต่อหน้าลูกฉันนะยายปิ่น”
“หึ ห่วงความรู้สึกลูกงั้นเหรอ ฉันก็ห่วงลูกฉันเหมือนกัน ฉันขอบอก ว่าถ้าตอนนี้ท้อง ฉันไม่รับเลี้ยงแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพ่อ ฉันจะไม่ทนเห็นไอ้เกื้อทำงานเป็นวัวเป็นควายหาเงินเลี้ยงลูกคนอื่นอีก”
เกื้อปรามปิ่นเสียงเข้มขึ้น “แม่”
ปานรุ้งมองปานเทพกับปรก ห่วงความรู้สึกลูก ปานเทพร้องไห้ออกมา มองปานรุ้งด้วยสายตาผิดหวัง เดินหนีขึ้นบ้านไป
“ปานเทพ” ปานรุ้งใจหล่นวูบรีบเดินตามลูกขึ้นไป
ปานเทพเดินร้องไห้เข้าห้องมาลงนั่งสะอึกสะอื้นต่อบนที่นอน น้อยใจ เสียใจที่ไม่มีพ่อ
ปานรุ้งเปิดประตูเข้ามาเห็น ปวดใจเหลือเกินที่เห็นลูกต้องมาเจ็บช้ำในวัยเพียงเท่านี้ ปานรุ้งเดินมานั่งข้างๆ ลูก ฝืนสะอื้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่ต้องการให้ลูกเห็น แม้ยามนี้หัวใจจะอ่อนแอเหลือแสนก็ตาม
“ปานเทพ ไม่ต้องร้องลูก อย่าไปฟังที่ย่าพูด อย่าไปฟัง”
ปานเทพร้องไห้สะอึกสะอื้นน่าสงสาร “ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วครับคุณแม่ ไม่อยากอยู่แล้ว”
ปานรุ้งกอดปลอบลูก สายตามองเลยไปทางกระเป๋าถือ คิดถึงตอนวาสุเทพให้นามบัตรไว้
วาสุเทพเขียนเบอร์โทรศัพท์มือถือใส่กระดาษโน้ต แล้วยื่นให้ปานรุ้ง
“นี่เบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ของพี่ ถ้ารุ้งอยากให้พี่ช่วยเหลืออะไร ติดต่อพี่ได้ตลอด”
ปานรุ้งมองกระดาษโน้ตอย่างลังเล ไม่อยากรับ วาสุเทพยัดกระดาษใส่มือปานรุ้ง
“พี่กลับก่อนนะ”
วาสุเทพมองปานรุ้งแล้วเดินออกไป ปานรุ้งมองตาม
ปานรุ้งเอาแต่เฝ้าคิดถึงวาสุเทพ
ปานรุ้งเดินมาที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าตลาดแถวบ้าน มองตู้โทรศัพท์อย่างใคร่ครวญอีกครั้ง แล้วตัดสินใจเข้าไปในตู้ หยิบกระดาษเขียนเบอร์โทร.วาสุเทพออกมาจากกระเป๋า กดหมายเลขโทร.หา ยืนรอสาย
“สวัสดีครับ ผมวาสุเทพพูดครับ”
ปานรุ้งได้ยินน้ำเสียงอบอุ่นนั้นแล้ว ความรู้สึกโหยหาที่พึ่งพิง ทะลักล้น จนทำนบน้ำตาแตก ร้องไห้โฮออกมา
“พี่เทพ”
น้ำเสียงวาสุเทพดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“รุ้งเหรอ รุ้งเป็นอะไร รุ้ง”
กติยากำลังจัดโต๊ะเตรียมอาหารเช้า สาวใช้ถือจานใส่มะม่วงเปรี้ยวและผลไม้อื่นๆ มาให้
“คุณกติยาจะให้หนูเอาจานผลไม้ไปแช่เย็นก่อนไหมคะ”
กติยาเห็นมะม่วงในจาน แล้วน้ำลายสอ “อุ้ย มีมะม่วงด้วยเหรอ กำลังอยากกินเชียว เอาจานผลไม้วางไว้ตรงนั้นเลยแล้วกัน”
สาวใช้วางจานมะม่วงตรงปลายโต๊ะ กติยาจัดช้อนกับถ้วยข้าวต้มให้วาสุเทพเสร็จ แล้วตัดสินใจหยิบมะม่วงมากินอย่างเอร็ดอร่อย กิริยาเหมือนอาการคนแพ้ท้องยังไงยังงั้น
ระหว่างนี้ วาสุเทพเดินรีบร้อนผ่านห้องทานข้าวจะออกจากบ้านไป
กติตาเห็นพอดี “อ้าว พี่เทพ จะไปไหนคะ”
วาสุเทพพยายามเก็บอาการร้อนใจเป็นห่วงปานรุ้งไว้ “เอ่อ พอดีพี่มีประชุมด่วน”
“ประชุมวันเสาร์เนี่ยนะคะ”
“พอดีเจ้านายเรียกด่วน พี่ไปก่อนนะ”
วาสุเทพรีบเดินออกไปเลย
กติยามองตามสามีด้วยสีหน้าสงสัยนิดๆ
ปานรุ้งนั่งรอปานเทพที่เก้าอี้ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เปิดกระเป๋าหยิบชุดราตรีตัวเดียวที่ตัดเตรียมไว้รอไปเต้นรำกับเกื้อ แต่สุดท้ายเกื้อก็ไม่มีเงินพาไปสักที ปานรุ้งมองชุดสวยด้วยแววตาครุ่นคิด
วาสุเทพเดินเข้ามาทางด้านหลัง มองปานรุ้งด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“รุ้ง”
ปานรุ้งเก็บชุดราตรีใส่กระเป๋า แล้วลุกหันไปมองวาสุเทพ
“พี่เทพ”
วาสุเทพรีบเดินเข้ามานั่งข้างๆ แล้วมองหน้าปานรุ้งชัดๆ วาสุเทพค่อยๆ ยกมือขึ้นมาปาดเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าปานรุ้งให้ อย่างทะนุถนอม
“เกิดอะไรขึ้น รุ้งร้องไห้ทำไม ไหนบอกพี่สิ
ปานรุ้งเห็นสายตาวาสุเทพที่มองมาด้วยความห่วงใยแล้วก็ยิ่งตื้นตัน แหละมันได้ทำลายกำแพงความรู้ผิดชอบชั่วดีในใจเธอทิ้งไปเรื่อยๆ
ปานรุ้งก้มหน้าหลบตา “ไม่มีอะไรค่ะ”
“ไม่มีได้ยังไง บอกพี่เถอะ พี่ยินดีจะช่วยรุ้งทุกอย่าง”
ปานรุ้งค่อยๆ เงยหน้ามองวาสุเทพ
“งั้นพี่เทพช่วยพารุ้งไปจากตรงนี้ ได้ไหมคะ”
วาสุเทพมองปานรุ้งด้วยสีหน้าฉงนฉงาย ประหลาดใจยิ่งนัก
ปิ่นกับกอบช่วยกันตักแกงราดข้าว เสิร์ฟลูกค้าที่นั่งรออยู่ตามโต๊ะ เกื้อเดินออกจากบ้านมาด้วยท่าทางกระวนกระวาย ตรงไปหาพ่อ
“พ่อ คุณหนูไปส่งลูกเรียนพิเศษกลับมารึยัง”
“ยังเลย” กอบมองท่าทางลูก “นี่เมื่อคืนเอ็งยังไม่ได้คุยกับคุณหนูเหรอ”
เกื้อหน้าเครียด “ฉันอยากคุย แต่คุณหนูนอนหลับ เขาคงไม่อยากคุย”
กอบมองไปทางปิ่นอย่างหงุดหงิด “เพราะปากแม่เอ็งคนเดียว” พลางถอนใจเป็นห่วงปานรุ้ง “เอ็งลองไปดูคุณหนูที่ตลาด เผื่อคุณหนู ไม่อยากกลับมาเจอแม่เอ็ง เลยไปขายเสื้อผ้าที่โน้นเลย”
ปิ่นตะโกนแทรกเข้ามา “หรือไม่ ก็นัดไปกับคนอื่น”
กอบตวาดเมียเสียงดัง “ถ้ายังพูดอย่างนี้อีกคำเดียว ข้าจะไม่ทนแล้วนะ”
ปิ่นแหวเข้ามาอีก “ทำไม เอ็งจะทำอะไรข้า”
กอบพูดกับเกื้อ “ไปตามคุณหนูเถอะ เดี๋ยวพ่อจัดการแม่แกเอง”
เกื้อพยักหน้า แล้วรีบเดินออกไป
ดรุณีมองกติยาด้วยสีหน้าสงสัย
“ยาอยากไปหาหมอเรื่องมีลูก”
“ค่ะ คนมีลูกยากอย่างยาน่าจะไปหาหมอ หมอสมัยนี้เก่ง ถ้าไปปรึกษา อาจมีวิธีช่วยให้มีลูกก็ได้”
“แม่ก็ได้ยินมา แต่ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ นะลูก แถมบางคนไปหาหมอ ใช่ว่าจะมีลูกสมใจทุกคน แม่ว่าไหนๆ ยาก็รอมานานแล้ว รออีกสักหน่อยไม่ดีเหรอลูก”
กติยาเผลอแสดงอาการเครียด “ยาไม่อยากรอแล้วค่ะ ยาอยากมีลูกกับพี่เทพแล้ว”
ดรุณีมองกติยาด้วยสีหน้าสงสัย
“ยายังคิดมากเรื่องปานรุ้งใช่ไหม”
กติยาชะงัก ที่แม่อ่านใจเธอออก “เรื่องลูก เป็นเรื่องของครอบครัวของยาไม่เกี่ยวกับรุ้งค่ะ”
ดรุณีมองลูก ไม่เชื่อนัก “ยา การมีลูกว่ายากแล้ว แต่การเลี้ยงเขามันยากยิ่งกว่า เขาคือชีวิตหนึ่งชีวิต ถ้าจะมี ก็เพราะพร้อมที่จะรัก ไม่ใช่มีเพราะเหตุผลอย่างอื่น”
วาสุเทพพาปานรุ้งเดินเข้ามาในล็อบบี้โรงแรมหรู ปานเทพหยุดเดิน แล้วหันไปพูดกับปานรุ้ง
“รุ้งมีปัญหากับเกื้อใช่ไหม”
ปานรุ้งไม่ตอบคำถามปานเทพ “รุ้งขอขึ้นไปทานร้านที่พี่เทพพารุ้งมาเดท ครั้งแรกนะคะ”
วาสุเทพมองปานรุ้งด้วยสายตาสงสัย อยากรู้ว่ารุ้งมีปัญหาอะไรในใจ “รุ้ง”
ปานรุ้งรีบแทรกขึ้น “พี่เทพขึ้นไปรอรุ้งก่อนนะคะ รุ้งขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ปานรุ้งเดินออกไป วาสุเทพมองตาม
ปานรุ้งสวมชุดราตรีที่ตัวเองออกแบบและตัดเย็บเอง เป็นชุดเดรสสั้นเปลือยหลัง แลดูเซ็กซี่ ปานรุ้งยืนแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก ทาลิปสติกเสร็จ มองตัวเองที่สวยเกือบเป็นปานรุ้งคนเดิมแล้ว
ขณะเก็บลิปสติกคืนใส่กระเป๋า ปานรุ้งเห็นแผงยาคุมอยู่ในนั้น เธอหยิบขึ้นมามองนิ่งๆ แล้วตัดสินใจโยนแผงยาทิ้งใส่ถังขยะ ด้วยแววตารู้สึกผิด
“ขอโทษนะเกื้อ”
จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำไป
แผงยาคุมถูกทิ้งไว้ บ่งบอกว่าปานรุ้งจะจับวาสุเทพอย่างจริงจัง
เกื้อเดินตามหาปานรุ้งทั่วตลาด แต่ไม่เจอ ตัดสินใจเดินไปถามแม่ค้าคนเดิมที่เคยคุยกันคราวก่อน
“เจ๊ เห็นเมียฉันไหม”
“ไม่เห็นนี่ ..เมียแกมาขายของเหรอ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ”
“ฉันว่าไม่น่านะ เมื่อกี้ฉันเดินไปซื้อของทั่วตลาด ยังไม่เห็นเลย เมียแกไปทำผมทำเล็บรึเปล่า” แม่ค้าเหน็บ “เขารักสวยรักงามไม่ใช่เหรอ”
เกื้อไม่สนใจที่แม่ค้าพูดเหน็บแนม ยังมองหาปานรุ้งต่อ
“หรือคุณหนูไปเฝ้าลูกที่เรียนพิเศษ”
ส่วนวาสุเทพนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ปานรุ้งเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“ขอโทษนะคะที่ให้รอ”
วาสุเทพลุกขึ้นแล้วหันไปมองช้าๆ เห็นปานรุ้งในชุดราตรีเดินตรงมาที่โต๊ะ วินาทีนั้นวาสุเทพตะลึงในความสวยงามของปานรุ้ง ไม่คาดคิดว่าขนาดมีลูกสอง ปานรุ้งจะยังสวยเพียงนี้
“ชุดนี้รุ้งตัดเอง สวยไหมคะ”
“สวยจ้ะ” วาสุเทพเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้ปานรุ้ง “พี่สั่งเครื่องดื่มให้รุ้งแล้วนะ น้ำส้มคั้นสด ไม่ใส่น้ำเชื่อม”
ปานรุ้งเยื้อนยิ้ม “ขอบคุณนะคะ ที่พี่เทพไม่เคยลืมอะไรเกี่ยวกับรุ้ง”
“รุ้งจะบอกพี่ได้รึยัง ว่ารุ้งมีเรื่องอะไร”
ปานรุ้งไม่ตอบ เสไปมองบรรยากาศโดยรอบอย่างโหยหา และคิดถึง
“ที่นี่ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลยนะคะ”
“รุ้ง...”
ปานรุ้งฟังเพลงที่ทางร้านเปิด เป็นเพลงสากลช้าๆ หวานซึ้ง
“รุ้งชอบเพลงนี้จัง”
ปานรุ้งลุกขึ้นเดินไปหาวาสุเทพ แล้วยื่นมือไปตรงหน้าเขา
“เต้นรำกันไหมคะพี่เทพ”
วาสุเทพจ้องหน้าปานรุ้ง
ด้านเกื้อยังเที่ยวตระเวนเดินตามหาปานรุ้งอยู่ในตลาด จนเห็นปานเทพเดินมากับปรก
ปรกเรียกเกื้ออย่างดีใจ “พ่อ”
เกื้อหันไปมองปานเทพกับปรก ปานเทพยืนนิ่ง ไม่มีอาการดีใจที่เจอเกื้อ เพราะยังรู้สึกแย่ที่เกื้อขับรถแท็กซี่ รวมทั้งที่ปิ่นด่าว่าแม่
เกื้อเดินมาหาลูก หวังว่าจะเจอปานรุ้ง “เลิกเรียนกันแล้วเหรอลูก คุณแม่ล่ะ”
ปรกมองเกื้องงๆ “คุณแม่ไม่อยู่ครับ”
เกื้ออึ้ง “อ้าว คุณแม่ไม่ได้ไปรับลูกเหรอ”
“เปล่าครับ ผมกับพี่ปานเทพรอคุณแม่ตั้งนาน จนทนหิวข้าวไม่ไหว เลยเดินกลับกันเองน่ะพ่อ”
เกื้อชะงัก “ตอนคุณแม่ส่งปรกกับปานเทพ คุณแม่บอกรึเปล่าว่าเขาไปไหน”
ปรกหันไปมองหน้ากับปานเทพเพราะแม่ไม่ได้บอกอะไร เกื้อมองหน้าลูกๆ อย่างร้อนใจ
วาสุเทพมองจ้องปานรุ้งที่ยังยืนยื่นมือมาให้
“รุ้ง...”
“รุ้งอยากเต้นรำเหมือนตอนที่เรารักกัน”
“รุ้งมีปัญหากับเกื้อเพราะพี่ใช่ไหม”
ปานรุ้งคิดถึงเกื้อด้วยสีหน้าขื่นขม
“ไม่มีหรอกค่ะ เกื้อไม่เคยทำให้รุ้งทุกข์ใจ มีแต่รุ้ง ที่ทำให้เขาเป็นทุกข์
“รุ้ง”
“เกื้อเป็นคนดีค่ะ เป็นผู้ชายที่ไม่รู้ว่าชาตินี้ จะมีใครทำเพื่อรุ้งได้อย่างที่เกื้อทำรึเปล่า”
“เพราะอย่างนั้น รุ้งถึงเลือกเกื้อ”
ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยแววตาหม่นเศร้า
“ไม่ใช่ค่ะ ที่รุ้งเลือกเกื้อเพราะรุ้งเห็นแก่ตัวต่างหาก”
เกื้อจูงมือปรกเดินคุยกับตำรวจออกมาหน้าสน. ปานเทพเดินตามมา
ปานรุ้งเล่าให้วาสุเทพฟังอีกว่า “หลังจากบ้านโดนยึด รุ้งกับลูกก็ไม่ต่างจากขอทาน อุ้มลูกไปขออาศัยบ้านเขาอยู่ แต่ก็ไม่มีใครต้อนรับ ถ้าไม่ได้เจอเกื้อ รุ้งกับลูกก็ คงนอนตายกันอยู่ที่วัด”
ส่วนตำรวจบอกปลอบเกื้อว่า
“ผมว่าคุณใจเย็นๆ ดีกว่า ผมยังไม่ได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุอะไร ภรรยาคุณคงไม่เป็นอะไรหรอก”
เกื้อร้อนใจมาก “แต่ภรรยาผมหายไปตั้งแต่เช้า คุณตำรวจช่วยตามหาภรรยาผมหน่อยได้ไหมครับ ให้ผมแจ้งความคนหายก็ได้”
“แจ้งความไม่ได้หรอกคุณ ภรรยาคุณยังหายไม่ครบ 24 ชั่วโมงเลย”
เกื้อยกมือไหว้ตำรวจ อ้อนวอนขอร้อง “ผมขอร้องล่ะครับ คุณตำรวจช่วยหาภรรยาผมหน่อยนะครับ เขาไม่เคยหายไปอย่างนี้ ผมกลัวเขาจะเป็น อันตราย”
“ผมว่าคุณกลับไปดูภรรยาคุณที่บ้านอีกทีดีกว่า บางทีอาจจะสวนทาง กันก็ได้”
เกื้อเป็นห่วงปานรุ้งจับจิต
ปานรุ้งกับวาสุเทพยังเต้นรำกัน แล้วปานรุ้งก็หยุดเต้น เหมือนชีวิตมันหนักหนาจนแทบก้าวเท้าไม่ไหว
“รุ้งรู้ว่ารุ้งไม่มีวันรักเกื้อได้ แต่เพื่อปากท้องของลูก รุ้งต้องมีใครสักคนช่วยเหลือ ดูแล”
“ทำไมรุ้งไม่บอกพี่ ทั้งๆ ที่พี่บอกรุ้งเสมอ ว่าพี่พร้อมจะช่วย”
ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยแววตาอันเจ็บปวด “เพราะรุ้งรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย รุ้งไม่อยากโดนกติยาหัวเราะเยาะ ไม่อยากโดนใครดูถูก แค่สิ่งที่เกิดกับชีวิตรุ้ง ก็เหยียบเกียรติของรุ้งจนจมดินพอแล้ว”
วาสุเทพสงสารเหลือเกิน “รุ้ง”
“เกื้อก็เหมือนชูนาม หวังว่าจะใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ ต่อให้รุ้งพยายามใช้ความดีของเกื้อให้เกิดเป็นความรัก แต่มันก็ทำไม่ได้ เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา มีเพียงภาพผู้ชายคนเดียวเท่านั้น ที่รุ้งเห็นชัดเจนทั้งยามหลับและยามตื่น พี่เทพเคยเห็นไหมคะ ยิ่งห่างใครสักคน เรากลับยิ่งเห็นภาพเขาชัดขึ้นในหัวใจ”
วาสุเทพลังเลนิดๆ ก่อนจะพูดถึงความรู้สึก ที่กดเก็บในหัวใจมานานแสนนาน
“เคย ยิ่งไม่เจอ ยิ่งได้เสียงเขาก้องในหัวใจ”
ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยสายตาเปิดเผยความรู้สึกในใจ
“แต่มันสายไปแล้วใช่ไหมคะ ถ้าเราจะบอก ว่าคนที่อยู่ในหัวใจเป็นใคร”
วาสุเทพมองปานรุ้ง ปานรุ้งมองวาสุเทพอย่างลุ้นๆว่าวาสุเทพจะพูดอย่างไร
วาสุเทพไม่อาจพูดอะไรได้ ความรักที่มีต่อปานรุ้งที่เขาเก็บซ่อนไว้มานาน มันล้นปรี่จนเขาไม่อาจ ต้านทานได้ วาสุเทพค่อยๆ ใช้สองมือประคองหน้าปานรุ้งขึ้นมา
“พี่ไม่รู้ว่าสายรึเปลา พี่รู้แต่ว่า พี่ยังรอคนในหัวใจพี่เสมอ”
ปานรุ้งมองวาสุเทพตาเป็นประกาย เพราะคำพูดของเขาคือคำตอบว่าเขายังรักเธอ ปานรุ้งค่อยๆ เลื่อนใบหน้าขึ้นไปจูบวาสุเทพอย่างดูดดื่ม
เกื้อ ปรก และ ปานเทพเดินจูงมือกันตามหาปานรุ้งออกมาหน้าตลาด สายตาเกื้อเห็นผู้หญิงที่เหมือนปานรุ้งเดินอยู่อีกฝั่งถนน
“คุณหนู” รีบหันไปบอกลูก “อยู่นี่นะลูก พ่อข้ามไปหาคุณแม่ก่อน”
เกื้อรีบวิ่งไปที่ถนน มองซ้ายมองขวาอย่างรีบร้อนไม่ทันระวัง ทันใดนั้นนั้นเองมีรถกระบะขับตรงมา บีบแตรเตือนเกื้อที่วิ่งข้ามถนนตัดหน้าเสียงดัง ปรี๊นๆๆ เกื้อหันไปมองด้วยสีหน้าตกใจ
ส่วนวาสุเทพกอดปานรุ้งเต็มรัก ประคองใบหน้าปานรุ้งมาบรรจงหอมแก้มละมุนละไม
เกื้อถูกรถกระบะเฉี่ยวเฉียดๆ ไม่ได้ชน เขากระโดดหลบจนล้มลงข้างถนน เกื้อไม่เป็นอะไรมาก แต่แผลที่สีข้างปริจนเลือดออก ปานเทพกับปรกมองเกื้ออย่างตกใจ
“พ่อเกื้อ”
ปานเทพกับปรกเข้าไปประคองเกื้อ สองพี่น้องร้องไห้เป็นห่วงพ่อ
“พ่อ พ่อเป็นยังไงบ้าง”
เกื้อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น โดยไม่สนใจเลือดที่ซึมออกจากแผลเก่าตรงสีข้าง เอาแต่มองไปทางผู้หญิงที่เหมือนปานรุ้ง
“พ่อไม่เป็นไร” ขึ้นพยายามลุกขึ้น ปากตะโกนเรียกผู้หญิงที่เหมือนปานรุ้ง “คุณหนู”
เกื้อเดินกระเผลกๆ ชนิดลืมเจ็บตรงไปหาผู้หญิงที่เหมือนปานรุ้ง ซึ่งกำลังจะเดินออกไปจากตลาด
ร่างปานรุ้งนอนลงบนเตียง ร่างวาสุเทพนอนตามลงไป สองคนจ้องตากันลึกซึ้งวาบหวาม
เกื้อเดินโผเผเข้าไปหาผู้หญิงที่เหมือนปานรุ้ง
ปานเทพกับปรกวิ่งตาม สองพี่น้องร้องไห้ ทั้งตกใจ และห่วงเกื้อที่มีเลือดออกไม่หยุด
ปรกร้องไห้หนัก “พ่อ พ่อเลือดออก พ่อไปหาหมอเถอะ”
เกื้อไม่ฟังลูก รีบเดินไปหาผู้หญิงที่เหมือนปานรุ้ง จนถึง รีบจับแขนผู้หญิงคนนั้นไว้
“คุณหนูครับ”
ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามา แต่ไม่ใช่ปานรุ้ง เกื้อชะงัก
อีกฟากมือปานรุ้งกับมือของวาสุเทพจับกับแน่นขึ้น อารมณ์โลดละลิ่วเข้าสู่ห้วงหฤหรรษ์
ผู้หญิงที่เหมือนปานรุ้งเดินจากไป เกื้อทรุดกายลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดแรง ปานเทพกับปรกเข้าไปนั่งประคองเกื้อ สองพี่น้องร้องไห้โฮๆ
“พ่อเกื้ออย่าเป็นอะไรนะ” ปานเทพใจหาย
ปรกหันไปตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน “ใครก็ได้ พาพ่อผมไปหาหมอที”
เกื้อยังมองหาปานรุ้ง โดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง
“คุณหนู...คุณหนูอยู่ไหนครับ”
คุณหนูของเกื้ออยู่ในวิมานห้องพักหรูของโรงแรม มีมือวาสุเทพกอบกุมกำมือเธอไว้จนแน่นเขม็งเกลียว แล้วค่อยๆ คลายออก
ทั้งคู่สุขสมอิ่มเอมในรสรัก ในขณะที่เกื้อเจ็บปางตาย
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 10 (ต่อ)
กอบกับปิ่นนั่งอยู่ในห้องโถง ชะเง้อมองไปที่ประตูบ้านอย่างกังวลใจว่าทำไมเกื้อ ปรก และปานเทพยังไม่กลับมาสักที
“หายกันไปตั้งแต่กลางวัน ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก”
ปิ่นห่วงมาก และหงุดหงิดมาก “มันมุดหัวอยู่ไหนกันวะ”
ปรกกับปานเทพเดินเข้ามา สภาพเสื้อผ้าสองพี่น้องเปรอะเปื้อนดินเลอะเลือดของเกื้อ กอบกับปิ่นเห็นสภาพหลานแล้วตกใจ
“หายไปไหนกันมา...ทำไมเนื้อตัวมอมแมมอย่างนี้”
“แล้วพ่อเอ็งไปไหนไอ้ปรก” กอบถาม
ปรกกับปานเทพมองหน้ากัน
เกื้อเดินด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ริมรั้วบ้านนทีพิทักษ์ เพื่อเช็คดูว่ารถวาสุเทพอยู่บ้านรึเปล่า แต่เพราะมืดมาก จึงมองไม่ค่อยเห็นอะไร
เกื้อร้อนใจตัดสินใจปีนรั้วเข้าไปในบ้าน จะได้เห็นถนัดๆ
สาวใช้ออกมา ดูความเรียบร้อยด้านนอก เห็นเกื้อกำลังปีนรั้วกำแพง ก็ตกใจ
“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ” พลางหันตะโกนเข้าไปในบ้านเรียกคนช่วย “ช่วยด้วยค่ะ ขโมยเข้าบ้าน”
เกื้อตกใจ จะปีนลงจากรั้วกำแพง แต่เสื้อดันไปเกี่ยวกับเหล็ก ทำให้ยังลงจากรั้วไม่ได้
กติยาได้ยินเสียงสาวใช้โวยวายวิ่งออกมาจากในบ้าน
“เกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้ชี้ไปที่เกื้อ “ขโมยค่ะคุณยา ขโมยปีนรั้วจะเข้าบ้านเราค่ะ”
“โทร.เรียกตำรวจเลย”
เกื้อได้ยินว่าจะเรียกตำรวจ ก็ตกใจรีบร้องเรียกกติยา
“คุณยาครับ ผมเกื้อเองครับ”
กติยาชะงัก เขม้นมองไปทางเกื้อที่ยังปีนค้างที่รั้วกำแพง สีหน้าฉงนฉงาย
“เกื้อ เธอมาทำอะไรที่นี่”
เกื้อมองกติยาด้วยสีหน้าอึกอัก ไม่อยากบอกจุดประสงค์ตัวเอง แต่ก็ต้องบอก
“ผมมาหาคุณวาสุเทพครับ”
กติยาชะงัก มองจ้องหน้าเกื้ออย่างจับผิดว่ามาหาวาสุเทพทำไม
ปานรุ้งยืนมองตัวเองในกระจกห้องน้ำด้วยสีหน้าสับสน กับสิ่งที่ตัวเองเลือกทำ ถูกต้องแล้วหรือ วูบหนึ่งนั้นเธอนึกสงสารเกื้อ แต่สุดท้ายบอกตัวเองว่า
“เธอก้าวมาแล้วปานรุ้ง เธอหยุดไม่ได้แล้ว”
ปานรุ้งแต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ วาสุเทพแต่งตัวเรียบร้อยก่อนแล้ว และนั่งรอปานรุ้งอยู่ สองคนมองสบตากัน ก่อนที่วาสุเทพลุกเดินไปหาปานรุ้ง
ปานรุ้งจดสายตามองวาสุเทพทุกท่วงท่า รอคอยว่าเขาจะพูดอะไรออกมา
วาสุเทพสวมกอดปานรุ้งอย่างเต็มรัก ถ่ายทอดความอบอุ่นส่งไปแสดงให้ปานรุ้งเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทิ้งเธอแน่นอน ปานรุ้งใจชื้น ซุกหน้าในอ้อมกอดแก่งรักของวาสุเทพ
“พี่จะไปหาเกื้อ”
ปานรุ้งชะงัก อดห่วงความรู้สึกเกื้อไม่ได้
“อย่าเลยค่ะ”
“พี่ต้องคุยกับเกื้อ พี่ทำอะไร พี่กล้าที่จะยอมรับ”
“ไม่ค่ะ ถ้าเกื้อรู้ ถึงเป็นพี่เทพ รุ้งก็กลัวเกื้อจะทำอะไ...”
“ไม่ว่าเกื้อจะทำอะไร พี่จะไม่ว่าอะไรเกื้อเลย เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะทำ พี่ยอมให้เกื้อพูดจาดูถูกเกียรติของพี่ หรือทำร้ายพี่ แต่พี่ยอมให้รุ้งกลับไปใช้ชีวิตอย่างนั้นอีกไม่ได้ พี่จะไม่ทนเห็นรุ้งโดนชาวบ้านดูถูก พี่ไม่ยอมทนให้ยายปิ่นพูดจาเหน็บแหนมรุ้งอีกแล้ว”
ปานรุ้งเต็มตื้น “พี่เทพ”
“นับต่อจากนี้ พี่จะดูแลและปกป้องรุ้ง จะทำให้รุ้งมีความสุข มีชีวิตอย่างสมเกียรติ”
ปานรุ้งมองวาสุเทพอย่างซึ้งใจ แต่ยังไงก็ยังสำนึกในความดีของเกื้อ เธอขอเป็นคนพูดกับเกื้อเอง ดีกว่าให้วาสุเทพไปพูด มันเจ็บปวดเกินไป
“แล้วกติยาล่ะคะ ถ้าพี่เทพจะให้เกียรติรุ้ง แล้วกติยาจะรู้สึกยังไง ถึงยังไง เขาก็เป็นภรรยาของพี่”
วาสุเทพชะงักนิดๆ ก่อนจะพูดสิ่งที่เขาตัดสินใจแล้ว
“พี่จะหย่ากับยา”
คืนนั้น วาสุเทพกลับถึงบ้านเดินเข้ามาในห้องนอน พบว่ากติยานอนหันหลังอยู่บนเตียง วาสุเทพเดินไปข้างเตียงยืนมองกติยานิ่ง ในใจอยากจะพูดเสียคืนนี้ วาสุเทพยื่นมือออกไป เหมือนจะปลุกกติยา แต่ชะงักค้างมือไว้ ปล่อยให้กติยานอนก่อน เอาไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้ แล้วเดินไปอาบน้ำ
กติยาที่นอนตะแคงอยู่ ลืมตาขึ้น ด้วยสีหน้าเครียด คิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เกื้อปีนรั้วบ้านมาหาวาสุเทพ
ในตอนนั้นกติยาชะงัก มองเกื้อที่บอกว่ามาหาวาสุเทพอย่างจับสังเกต
“เธอมาหาพี่เทพทำไม”
เกื้ออึกอัก นิ่งงันไปชั่วขณะ
กติยาใจหายวับ สังหรณ์ใจถึงปานรุ้ง “เกื้อ มีอะไรก็บอกฉันมา”
“เปล่าครับ ผมแค่จะมาถามว่าคุณวาสุเทพจ่ายค่ารักษาพยาบาลผมไปเท่าไร เดี๋ยวเงินเดือนผมออก ผมจะเอามาคืนท่านครับ”
“แค่เรื่องเงิน ถึงกับต้องมาดึกดื่นอย่างนี้เลยเหรอ”
เกื้อพยายามอ้าง “ผมเกรงใจท่านน่ะครับ”
กติยามองเกื้อนิ่งๆ ดูเหมือนเชื่อตามนั้น แต่ในใจไม่เชื่อสักนิดเดียว
กติยาดึงตัวเองกลับมา มองตามวาสุเทพที่เดินเข้าห้องน้ำไป รำพึงออกมาอย่างคุมแค้น
“จะไม่มีประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ไม่มีวัน”
กติยาคลี่ผ้าห่มออก เผยให้เห็นว่าเธออยู่ในชุดนอนอันเซ็กซี่นิดๆ นอนหันหลังท่าเดิมอยู่บนเตียง วาสุเทพเปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อยเดินออกจากห้องน้ำมานั่งริมเตียง มองไปอีกครั้ง เห็นกติยานอนระทวยหันหลังให้ วาสุเทพตัดสินใจลองเรียกดู
“ยา”
โดยไม่รอให้วาสุเทพพูดอะไรอีก กติยารีบลุกขึ้นกอดจากด้านหลังใช้หน้าอกแนบชิดกับแผ่นหลังวาสุเทพจงใจปลุกอารมณ์สามี วาสุเทพชะงัก
“วันนี้ยาไปคุยกับหมอเรื่องการมีลูกมาค่ะ คุณหมอบอกว่าถ้าเราอยากมีลูก ลองใช้วิธีง่ายๆ คือให้ยานับวันไข่ตก”
วาสุเทพรู้ว่ากติยาพยายามหาทางหนีความจริง “ยา”
กติยาใช้มือที่กอดเอววาสุเทพ เคลื่อนไปลูบไล้หน้าอกของเขา
“แล้วยาก็เลยกลับมาเช็ควันที่ประจำเดือนหมดครั้งสุดท้าย แล้ววันนี้ ก็เป็นวันไข่ตกพอดี”
กติยาขยับมาชิดตัววาสุเทพมากขึ้น
แต่วาสุเทพกลับขยับออกห่าง “ยา”
กติยารวบกอดตัววาสุเทพไว้ แล้วยื่นหน้าไปจูบแก้มและไล้ลงมาที่ซอกคอ พูดเสียงเครือ เหมือนคนที่พยายามกลั้นสะอื้นไว้
“ยารักพี่เทพนะคะ รักมาก ยาอยากมีลูกกับพี่เทพ”
กติยาพยายามกอดจูบลูบไล้วาสุเทพอย่างลืมอาย ตอนนี้เพียงสิ่งเดียวที่เธอคิดได้คือต้องดึงรั้งวาสุเทพไว้ให้ได้
วาสุเทพดันตัวกติยาออกอย่างแรง จนกติยาล้มลงไปบนที่นอน วาสุเทพก้าวถอยออกมาจากเตียง
“อย่าทำอย่างนี้ยา”
กติยามองจ้องพูดกับวาสุเทพด้วยความเจ็บปวด
“ทำไมล่ะคะ เราเป็นสามีภรรยากันนะคะ ยาทำเพราะรัก ยาผิดตรงไหน”
“ยาไม่ผิดหรอก คนผิดคือพี่ ที่พี่ทำไม่ได้เพราะ...”
กติยาทั้งอับอายทั้งเสียใจกับคำพูดและการกระทำของสามี และกลัววาสุเทพจะพูดในสิ่งที่ตัวเองกลัวจึงรีบหาทางพูดขัด
ในจังหวะนั้น ได้ยินเสียงรถของท่านนายพลภัทรและคุณหญิงสุดใจ ที่กลับมาจากข้างนอกพอดี กติยาพยายามกลั้นสะอื้น
“คุณพ่อ คุณแม่มาแล้ว พี่เทพรีบไปหาท่านเถอะค่ะ ท่านบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่เทพตั้งแต่เย็นแล้ว” จากนั้นกติยาลุกเดินออกจากเตียงไป
วาสุเทพอยากพูดทุกอย่างให้จบ “แต่พี่อยากพูดกับยา”
กติยาตัดบท จูงมือวาสุเทพพาออกจากห้องไป “พี่เทพลงไปคุยกับคุณพ่อ คุณแม่ก่อนเถอะค่ะ”
ทันทีที่สามีพ้นออกไปนอกห้อง กติยารีบปิดประตูห้องทันที
ราวกับต้องการปิดประตูกั้นความจริงที่เธอไม่อยากได้ยิน และไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นกระนั้น
คุณหญิงสุดใจกับท่านนายพลภัทร ในอาภรณ์โก้หร่านดูออกว่าเพิ่งกลับจากงานเลี้ยง เดินเข้ามาในห้องโถง ขณะวาสุเทพเดินลงบันไดมา
“อ้าว ตาเทพยังไม่นอนอีกเหรอลูก” คุณหญิงทักลูกชาย
“ยาบอกว่าคุณแม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับผม”
คุณหญิงสุดใจมองหน้าท่านนายพลผู้เป็นสามีงงๆ
“ถ้าจะมี ก็มีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องหลาน เห็นหนูยาไปหาหมอ เทพก็ควรไปหาหมอด้วยนะ เผื่อว่า...”
วาสุเทพตัดสินใจพูดสวนออกมา “ผมมีลูกกับยาไม่ได้ครับ”
ทั้งบิดามารดาชะงักกึก มองหน้าผู้สืบสันดานด้วยสีหน้าสงสัยทั้งคู่
“ทำไมล่ะ” ท่านนายพลถาม
วาสุเทพมองหน้าพ่อและแม่อย่างตัดใจเด็ดขาด พร้อมจะพูดเรื่องปานรุ้ง
“ผมกับรุ้ง...”
สามคนมาคุยกันต่อในห้องทำงานวาสุเทพ ทันทีที่ฟังจบ คุณหญิงสุดใจตบหน้าวาสุเทพดังเผียะ แล้วมองจ้องด้วยสายตาอันเจ็บปวด วาสุเทพยืนนิ่งขึงอย่างพร้อมยอมรับผิด
นายพลภัทรเดินเข้าไปกอดคุณหญิงภริยาไว้ พาออกห่างจากลูกชาย
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าลูกชายที่ฉันเลี้ยงมา สั่งสอนให้มีความเป็นสุภาพบุรุษ จะทำเรื่องอับปรีย์อย่างนี้”
“ใจเย็นๆ คุณหญิง”
คุณหญิงสุดใจไม่ฟัง “ผู้หญิงคนนั้นไม่ต่างจากส้วมที่ถูกคนใช้แล้ว นับไม่ถ้วน แกไปแตะต้องมันได้ยังไง แกไม่รู้สึกขยะแขยงทุเรศตัวเองบ้างเลยเรอะ หรือมันยั่วแก มอมยาแก” พลางเข้าไปผลักไหล่ลูกชายเต็มแรง ระบายความโกรธ “บอกฉันมา ฉันจะไปจัดการมัน บอกฉันมา”
“ผมรู้ว่าเรื่องของผมกับรุ้ง เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากการมอมเมา ไม่มีใครยั่วใคร เรามีสติ เราทำเพราะรัก”
“รักบ้าบออะไร อายุแกเท่าไรแล้ว เป็นถึงเจ้าคนนายคนมาพูดเรื่องความรัก ฟังแล้วมันทุเรศ” คุณหญิงแผดเสียงใส่
“เอาเถอะคุณหญิง พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว”
คุณหญิงสุดใจมองวาสุเทพอย่างโกรธจัดถึงขีดสุด จะเข้าไปตบหน้าอีก แต่นายพลภัทรกอดตัวห้ามไว้
“ฉันอยากฆ่าแกนัก ไปเลยนะ ไปขอโทษหนูยา แล้วไปสัญญาสาบานยังไงก็ได้ ว่าเรื่องนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก แกจะรักและเทิดทูนหนูยาคนเดียว”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับคุณแม่”
“ต้องได้” คุณหญิงเสียงแข็ง
วาสุเทพยืนกราน “ไม่ได้ครับคุณแม่”
“ตาเทพ”
วาสุเทพระบดระบาย “ผมเคยคิดว่าแต่งงานกับยาแล้ว คือการทำให้ยามีความสุข แต่ชีวิตการแต่งงานที่ผมเป็น ผมไม่เคยทำให้ยามีความสุขเลย นั่งข้างกันแต่ผมอยากคุยกับคนอื่น เดินข้างกันผมรู้สึกหนักที่ยาเกาะแขน ทั้งๆที่มือของยาก็เบานิดเดียว แม้แต่นอนข้างกัน ผมรู้สึกนอน
คนเดียวบนพื้นแข็งๆ ยังสบายกว่านอนบนที่นอนข้างยา”
“ไม่ว่าแกจะพูดยังไง ฉันไม่มีวันยอมให้แกหย่า แกต้องรักหนูยา”
“ผมพยายามแล้วครับคุณแม่ ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ผมพยายามรักยา แต่ผมทำไม่ได้ มันทำให้ผมรู้ว่าที่ผมแต่งงานกับยา ไม่ใช่เพื่อยา แต่เพื่อตัวเองจะได้ลืมรุ้ง ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ดี แต่ผมเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว ที่เอาผู้หญิงคนนึงเข้ามาในชีวิตเพื่อให้ลืมผู้หญิงอีกคน ให้ผมหย่ากับยาเถอะครับ ผมโกหกยาต่อไปอีกไม่ได้ ในชีวิตของผม ผมรักได้แค่ รุ้งคนเดียว”
ระหว่างนี้ กติยายืนอยู่หน้าประตูห้องทำงาน ได้ยินทุกคำพูดของวาสุเทพ
เธอเจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน ต้องเอามือขึ้นมาปิดปากเพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงสะอื้นจากหัวใจที่แตกสลาย
กติยาไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับวาสุเทพ ไม่อยากได้ยินเขาบอกเลิก ขอหย่า ต่อหน้าเธอ
ที่สำคัญกติยาไม่มีวันยอมยกวาสุเทพให้ปานรุ้งเด็ดขาด เธอตัดสินใจวิ่งหนีทุกสิ่งออกจากบ้านไป
ทางด้านปานรุ้งเดินเข้าซอยมาท่ามกลางความมืดสลัว จนมาหยุดยืนตรงหน้าบ้านเช่า คำพูดของวาสุเทพตอนอยู่ในโรงแรมดังก้องขึ้นในความทรงจำของปานรุ้ง
“ให้พี่คุยกับเกื้อเถอะรุ้ง”
“พี่เทพมีเรื่องของยา ก็หนักมากพออยู่แล้ว ส่วนเกื้อขอรุ้งคุยกับเกื้อเองดีกว่าค่ะ เกื้อโอบอุ้มดูแลรุ้งกับลูกมาเยอะ ถ้ารุ้งจะไป ขอรุ้งเป็นคนบอกเขาเอง”
ปานรุ้งมองบ้านหลังซอมซ่อเหมือนจะมองมันเป็นครั้งสุดท้าย นึกถึงสิ่งที่เกื้อพยายามทำเพื่อตัวเองกับลูกตลอดมา
ระหว่างนี้เกื้อเดินเข้ามาทางด้านหลัง เห็นปานรุ้งยืนอยู่หน้าบ้าน ก็ดีใจสุดขีด รีบวิ่งเข้าไปกอดไว้จากทางด้านหลัง
“คุณหนู ผมตามหาคุณหนูไปทั่ว กลัวคุณหนูจะเป็นอะไรคุณหนูไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
ปานรุ้งมองมือเกื้อที่กอดเอวอยู่ จะเอื้อมมือไปจับมือออกแต่ก็ไม่กล้าทำ ด้วยยังมีความรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำและกำลังจะทำกับเกื้อ ปานรุ้งจึงละตัวออกจากอ้อมกอดของเขา หันหน้ามาพูดกับเกื้อว่า
“เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
เกื้อรีบพูดเอาใจ “คุณหนูกลับมาเหนื่อยๆ ทานข้าวรึยังครับ เดี๋ยวผมไปหาอะไรให้ทานนะ”
พร้อมกันนั้น เกื้อจะเดินเข้าบ้าน ปานรุ้งรีบเรียกไว้ “เกื้อ”
เกื้อหยุดกึก สีหน้าเครียดเคร่ง กลัวปานรุ้งจะพูดในสิ่งที่เขานึกภาวนาไม่ให้มันเกิดขึ้น รีบปรับสีหน้าหันมายิ้มให้
“ครับคุณหนู”
“เธอจะไม่ถามฉันสักคำเหรอ ว่าฉันหายไปไหนมา”
เกื้อมองปานรุ้งด้วยสายตาหวาดหวั่นนิดๆ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร
ปานเทพกับปรกวิ่งออกมาจากบ้าน ส่งเสียงเรียกด้วยความดีใจที่เห็นปานรุ้ง
“คุณแม่กลับมาแล้ว” ปานเทพถลาเข้าไปกอดปานรุ้งแน่น
“คุณแม่หายไปไหนมาครับ” ปรกยิ้มดีใจ
ปานรุ้งมองเกื้อนิ่งๆ เกื้อรีบเดินหนีเข้าบ้าน จงใจตัดบทว่าไม่อยากรับรู้ว่าปานรุ้งหายไปไหนมาเกือบทั้งคืน
ปานรุ้งมองตามเกื้อ นัยน์ตาแข็งกร้าว ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
เกื้อยืนนิ่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า จมอยู่ในความคิดอันเจ็บปวด กับเรื่องราวที่ตัวเองรู้อยู่เต็มอก แต่พยายามหนี
ปานรุ้งพาปานเทพกับปรกเข้ามาในห้อง เห็นเกื้อแล้วพยายามจะคุยให้จบ
“เกื้อ”
เกื้อรีบทำตัววุ่นวายอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ทั้งจัดเสื้อผ้าในตู้ แล้วหอบเอาเสื้อผ้าที่ซักแล้วเพื่อจะนำไปซัก หาเรื่องยุ่งไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องคุยกับปานรุ้ง
“คุณหนูกับลูกนอนก่อนเลยนะครับ ไม่ต้องรอผม ผมเห็นมีแมลงในตู้เดี๋ยวผมเอาเสื้อผ้าไปเลือกดูก่อน ว่าตัวไหนถูกแมลงกัดบ้าง”
เกื้อรีบหอบเสื้อผ้าเดินเร็วรี่ออกไป ปานรุ้งมองตาม
“คุณแม่ยังไม่บอกผมเลย คุณแม่ไปไหนมาครับ” ปานเทพถาม
“แม่ไปหาบ้านใหม่มาจ้ะ”
สองพี่น้องมีท่าทางตื่นเต้น โดยเฉพาะปานเทพ “บ้านใหม่”
“บ้านใหม่ที่เมืองนนท์ เป็นบ้านของเพื่อนแม่ มีระเบียงติดแม่น้ำ ปานเทพจะได้มีที่สงบๆไว้ท่องหนังสือ” ปานรุ้งหันมาทางปรก “ส่วนปรกจะได้มีที่ สวยๆ ไว้วาดรูปเล่น”
ปานเทพตื่นเต้นไม่หาย “จริงเหรอครับ” แต่แล้วก็ชะงัก กังวลขึ้นมา “แล้วย่าจะไปด้วยรึเปล่าครับ”
“ไม่จ้ะ จะมีแค่แม่กับปานเทพและปรกที่จะย้ายไป”
ปานเทพดีใจ แต่ปรกชะงักสะดุดหูที่แม่บอกว่า “จะย้ายไปแค่ปานรุ้งกับปรกและปานเทพ”
“แล้วพ่อล่ะครับ พ่อไม่ไปด้วยเหรอครับคุณแม่”
ปานรุ้งชะงักนิดๆ เหลียวมามองหน้าปรก “พ่อต้องอยู่ดูแลย่ากับปู่ที่นี่ ไม่ต้องห่วงนะ แม่จะให้พ่อไปเยี่ยมเราบ่อยๆ”
ปรกมองแม่อย่างไม่เข้าใจนัก
“แล้วเราจะย้ายไปเมื่อไหร่ครับ” ปานเทพถาม
“พรุ่งนี้”
ปรกตกใจจนพูดเสียงดัง “อะไรนะครับ”
ปานรุ้งรีบจุ๊ปาก “อย่าเสียงดังสิปรก จำไว้นะลูก ห้ามบอกเรื่องนี้กับพ่อ ปู่ ย่า”
ปรกร้อนใจ เพราะห่วงพ่อ “ทำไมถึงบอกพ่อไม่ได้ล่ะครับคุณแม่”
“เพราะแม่เป็นคนออกค่าเช่าบ้านใหม่เอง ถ้าพ่อรู้ พ่อจะไม่ยอมให้แม่จ่าย แล้วพ่อก็จะทำงานหนักเพื่อหาเงินให้แม่ ปรกอยากเห็นพ่อทำงานหนักกว่านี้เหรอลูก”
ปรกหน้าสลดลง “ไม่อยากครับ”
“งั้นก็ห้ามบอกพ่อ คืนนี้แม่จะเก็บของ พรุ่งนี้เช้าแม่จะทำเหมือนพาลูกไปส่งโรงเรียนตามปกติ แต่ความจริง แม่จะพาลูกไปรอเพื่อนแม่มาพาเราไปบ้านใหม่...เข้าใจไหมลูก”
ปานเทพนั้นตอบอย่างดีใจ “ครับคุณแม่”
ส่วนปรกตอบเสียงอ่อยๆ เพราะไม่อยากไปจากพ่อ ปู่ และย่า
“ครับ”
ขณะที่ ปิ่นกับกอบเข้ามุ้งกำลังจะนอน ปรกเปิดมุ้งเข้ามานอนแทรกตรงกลางระหว่างปู่กะย่า สองคนมองหลานอย่างตกใจ
“อ้าว ไอ้ปรก พรุ่งนี้ไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ แม่เอ็งปล่อยให้เดินดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้ได้ยังไงวะ” สุดท้ายปิ่นอดเหน็บลูกสะใภ้ไฮโซไม่ได้ “หรือตอนนี้ไม่สนใจลูก ผัวแล้ว หัวใจมันใฝ่คิดถึงแต่คนอื่น”
กอบระอาเหลือ “เมื่อไหร่แกจะหยุดพูดแบบนี้สักที คุณหนูก็บอกแล้วว่าเขาไปซื้อผ้าตัดเสื้อที่พาหุรัด ไม่ได้หายไปทำอะไรอย่างที่แกคิด” กอบหันไปถามหลาน “ลงมาทำไมไอ้ปรก”
ปรกเดินมานั่งตรงกลางระหว่างยายปิ่นกับกอบ
“คืนนี้ฉันขอนอนกับปู่ ย่านะ”
ปิ่นกับกอบมองหลานชายด้วยสายตาสงสัย
“โดนแม่เอ็งบ่นมารึไง ถึงหนีมานอนกับย่า”
ปรกกอดแขนปิ่น “เปล่า ฉันอยากนอนกับปู่ ย่า เอง”
“ตามใจ อยากนอนก็นอน” กอบบอก
เกื้อเดินจากห้องครัว ได้ยินปรกพูดดังออกมาจากในมุ้งของพ่อกับแม่
“ถ้าฉันไม่อยู่ ปู่กับย่าจะคิดถึงฉันไหม”
เกื้อชะงัก รู้สึกหวั่นกลัวว่าปานรุ้งบอกอะไรลูก
ปานเทพหลับไปแล้ว ปานรุ้งกำลังเก็บของเท่าที่จำเป็นใช้ใส่กระเป๋า เกื้อเปิดประตูห้องเข้ามา ปานรุ้งรีบยืนหันหลังให้ ดันกระเป๋าซ่อนไว้ แล้วหยิบผ้าขนหนูทำทีเหมือนจะไปอาบน้ำ
เกื้อมองปานรุ้งพยายามหาทางเอาใจ ทำตัวเหมือนเดิม
“พรุ่งนี้เราไปดูบ้านใหม่กันไหมครับคุณหนู”
ปานรุ้งชะงัก หันมามองเกื้อ
“แต่เธอไม่มีเงินนะเกื้อ”
“มีครับ ผมยังมีเงินเก็บ แล้วเมื่อวาน ผมเจอลูกค้าคนนึง เขาทำงานไปด้วย เรียนต่อปริญญาไปด้วย ผมว่าจะเรียนต่อ ถ้าได้ปริญญามาผมคงได้เลื่อนตำแหน่ง เงินเราก็จะเยอะขึ้น พรุ่งนี้เราไปดูบ้านกันนะครับ”
ปานรุ้งมองเกื้ออย่างเข้าใจและรู้ทัน
“เกื้อ ถ้าไม่ไหว ก็หยุดเถอะ”
ปานรุ้งพูดจบรีบเดินไป กลัวจะแสดงอาการเจ็บปวดอ่อนแอให้เกื้อเห็น เกื้อหันมาคว้าตัวกอดปานรุ้งไว้จากทางด้านหลัง
“ไหวครับ ขอแค่คุณหนูยังให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมจะทำให้คุณหนูกับลูกมีความสุขให้ได้”
ปานรุ้งฟังเกื้อพูดแล้วกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แอบร้องไห้แต่กลั้นก้อนสะอื้นไม่ให้เกื้อเห็น เพราะรู้เต็มอกว่า ไม่มีโอกาสสำหรับเกื้ออีก ทุกอย่างสายไปแล้ว
เช้ามืด กติยาเดินออกจากในบ้านมาขึ้นรถด้วยท่าทางเอาเรื่อง คุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“มลทิพย์ ฉันขอที่อยู่บ้านของปานเทพหน่อยได้ไหม ฉันมีเรื่องต้องไปคุยกับแม่เขา”
พลฯชิต เดินถือถังน้ำตรงไปเช็ดรถวาสุเทพ เห็นและได้ยิน กติยาคุยโทรศัพท์พอดี
ทางด้านปานรุ้งมองไปรอบๆ ห้องอันซอมซ่อ ว่ายังมีของอะไรหลงลืมเหลืออยู่อีก แล้วเดินไปที่โกศของคมขวัญ
“ไปอยู่บ้านใหม่กันนะคะแม่”
ปานรุ้งหยิบโกศกระดูกคมขวัญใส่กระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่ แล้วโยนกระเป๋าออกไปทางหน้าต่างที่เล็งไว้แล้ว โดยจะไปหยิบเอาภายหลัง ไม่ให้เกื้อและกอบกับปิ่นรู้ว่าแอบเก็บของหนี
ปานรุ้งมองห้องอีกครั้งเหมือนบอกลา แล้วเดินออกไป
ส่วนปรกแอบมาเขียนใส่กระดาษที่ฉีกออกมาจากสมุดเรียนบอกพ่อว่า
“คุณแม่พาพวกผมไปอยู่บ้านเพื่อนที่เมืองนนท์”
เด็กชายเขียนตัวเบ้อเริ่มให้เห็นชัดๆ เกือบเต็มหน้ากระดาษ พอเขียนเสร็จรีบพับกระดาษแล้วนำไปใส่ในกระเป๋าเสื้อชุดฟอร์มโรงงานของเกื้อที่แขวนอยู่ตรงผนังบ้านริมประตู
ปานรุ้งเดินลงบันไดมาพร้อมปานเทพ
“ไปกันได้แล้วปรก”
กอบกับปิ่นถือหม้อแกงหม้อข้าวออกมาจากในครัว กอบบอกว่า
“คุณหนูรอไอ้เกื้อไปส่งไหมครับ มันออกไปซื้อกระเทียมให้ยายปิ่นเดี๋ยวก็มาครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันนัดรถสามล้อมารับอยู่แล้ว”
ปิ่นไม่วายเหน็บแหนม “นัดรถสามล้อหรือรถเก๋ง”
กอบดุ “แกนี่นะ”
ปานรุ้งไม่ใส่ใจปิ่นแล้ว หันไปพูดกับปานเทพและปรก “ลาปู่กับย่าสิลูก”
เด็กชายปานเทพยกมือไหว้ตามมารยาท ไม่มีความผูกพันใดๆ “ฉันไปก่อนนะปู่ ย่า”
“ตั้งใจเรียนนะลูก” กอบยิ้ม
เด็กชายปรกผู้น้องเดินเข้าไปกอดปิ่นกับกอบอีกครั้งอย่างอาวรณ์ ปิ่นมองปรกอย่างงงๆ
“อะไรของเอ็งเนี่ยไอ้ปรก เอ็งอ้อนข้ากับปู่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ”
ปานรุ้งทำเป็นดุเตือนลูกในที กลัวปรกทำให้ความลับแตก
“ปรก เราไปแค่นี้ เดี๋ยวก็เราก็กลับมาเจอปู่กับย่า”
ปรกพยายามไม่ร้องไห้ ยกมือไหว้ลาปู่กับย่า
“ฉันไปก่อนนะ ปู่ ย่า”
ปรกมองปิ่นกับกอบราวกับจะจดจำไว้ในใจ แล้วเดินไปกับปานรุ้ง และปานเทพ
ปิ่นกับกอบมองตาม ก่อนจะหันมาตามงานต่อ แต่ปิ่นสังหรณ์ใจโดยประหลาด
“ตากอบ แกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไหม”
ขณะเดียวกัน วาสุเทพมองพลฯชิตอย่างตกใจ
“อะไรนะ ยาไปหารุ้ง แล้วทำไมนายไม่รีบบอกฉัน”
“ผมเห็นท่านยังอยู่บนห้อง เลยรอท่านลงมาก่อนน่ะครับ”
“พาฉันไปบ้านรุ้งเดี๋ยวนี้”
วาสุเทพรีบเดินนำไปที่รถทันที
ปานรุ้ง ปานเทพ และปรกยืนอยู่ริมถนนตรงปากทางเข้าสลัม รอวาสุเทพมารับ
“คุณแม่ครับ ผมปวดท้อง ขอกลับไปเข้าห้องน้ำที่บ้านก่อนได้ไหมครับ”
ปานรุ้งไม่อยากให้ปานเทพไปยุ่งกับปิ่นอีก เพราะกลัวความลับอาจแตก มองไปทางร้านค้า
“อย่าเลยลูก เดี๋ยวไปขอเข้าที่ร้านค้านั่นดีกว่า”
ปานรุ้งจูงปานเทพกับปรกเดินเข้าร้านค้า เฉียดฉิวกับรถกติยาที่ขับผ่านเข้าซอยไป
ส่วนยายปิ่น กับ กอบกำลังช่วยกันเตรียมขายของ จัดโต๊ะ จัดเก้าอี้ รอรับลูกค้า
ทันใดนั้นเอง กติยาก้าวฉับๆ เข้ามา
“ปานรุ้งอยู่ไหน”
ปิ่นกับกอบชะงักงัน มองกติยาอย่างคาดไม่ถึง
เกื้อเดินถือถุงกระเทียม ถุงโจ๊กกับน้ำเต้าหู้เข้ามา พอเห็นกติยาก็ชะงัก
“คุณกติยา”
กอบรีบเอาเก้าอี้ให้กติยานั่ง “สวัสดีครับคุณกติยา เชิญนั่งก่อนนะครับ”
กติยาอารมณ์กรุ่นๆ อยู่ รับเก้าอี้แล้วโยนเก้าอี้ไปทางปิ่น โดยไม่ได้ตั้งใจ
“ฉันถามว่าปานรุ้งอยู่ไหน”
ปิ่นกระโดดเหย็ง หลบเก้าอี้ที่กติยาโยนมาอย่างเฉียดฉิว แล้วโวยใส่กติยา
“อ้าวๆๆๆ ใครแย่งผัวใครก็ไปคุยกันเองสิ มาทำลายข้าวของคนอื่นอย่างนี้ได้ยังไงคุณยา”
กติยาฟังพูดคำว่า “แย่งผัว” แล้วตวัดสายตามองปิ่นอย่างเอาเรื่อง
“นี่รู้ด้วยเหรอว่าลูกสะใภ้ตัวเองแย่งสามีคนอื่น แล้วทำไมไม่ห้ามกัน” กติยาพาลเต็มที่ กราดตามองบ้านเห็นสภาพโกโรโกโส มาหยุดสายตามองปิ่นกับกอบด้วยสีหน้าเยาะหยัน “อ้อหรือว่าสุมหัวกันทำให้พี่เทพเจอปานรุ้ง จะได้พากันสบายทั้งบ้าน”
“อย่ามาดูถูกกันนะคุณยา ถึงฉันจะจน แต่ฉันไม่เคยคิดเอาเงินใครมากิน คุณมีเรื่องกับใคร ก็ไปจัดการคนนั้น อย่ามาพาลกับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันด่าไม่เกรงใจนะ”
เกื้อห้ามปิ่นแล้วหันมาอธิบายกับกติยา “หยุดก่อนแม่...ถ้าที่คุณยามาหาคุณหนู เพราะผมไปหาคุณวาสุเทพเมื่อคืน มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ ผมไม่ดีเองที่ใจร้อน คิดระแวงไปเอง ความจริงคุณหนูกับคุณวาสุเทพ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย”
เกื้อเข้าใจว่าที่กติยามาเอาเรื่องปานรุ้ง เป็นเพราะระแวงที่เมื่อคืนเขาไปตามวาสุเทพ และแม้ลึกๆ จะหวั่นใจว่าปานรุ้งอาจหนีไปกับวาสุเทพ แต่เกื้อต้องปกป้องปานรุ้งให้ถึงที่สุด
ระหว่างนี้มี ชาวบ้านวิ่งเข้ามาหาปิ่นกับกอบ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ป้าปิ่น ลุงกอบ เมื่อกี้ฉันเห็นลูกสะใภ้ป้าพาหลานชายป้าขึ้นรถคันเบ้อเริ่ม คนมารับแต่งตัวเป็นนายทหารโก๊โก้ ใครอ่ะป้า”
เกื้อ กติยา ปิ่น และกอบ ฟังที่ชาวบ้านพูดแล้วชะงัก
เกื้อเปิดประตูพรวดเข้ามา มองไปรอบๆ ห้อง เห็นที่โต๊ะหนังสือของปรก ปานเทพ ไม่มีหนังสือสักเล่ม เกื้อไม่อยากเชื่อ จึงรีบไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า
เกื้อแทบทรุด เมื่อพบว่าในตู้ ไม่เหลือเสื้อผ้าของปานรุ้งและลูกสักตัว
เกื้อช็อคไปแล้ว มองไปในตู้เสื้อผ้าแววตาเลื่อนลอย พยายามจะหลอกตัวเองให้ถึงที่สุดว่า “มันไม่จริง” แล้วค่อยๆ เงยหน้าไปมองที่โกศใส่กระดูกคมขวัญ
คำตอบของคำถาม คือหิ้งอันว่างเปล่า ไม่มีโกศใส่กระดูกคุณนายแล้ว
เกื้อตะโกนออกมาสุดเสียง เหมือนต้องการจะส่งความเจ็บปวดรวดร้าวให้ได้ยินไปถึงปานรุ้ง
“คุณหนู.....”
ส่วนกติยาน่ะหรือ ยืนอึ้งตะลึงตะไล นิ่งเป็นหุ่นสลักอยู่หน้าประตูห้องนั่นเอง
ตระหนักชัดว่า ปานรุ้งกับวาสุเทพหนีตามกันไปแล้วจริงๆ
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 10 (ต่อ)
รถแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกบ้านนทีพิทักษ์อย่างแรง กติยารีบร้อนลงมาวิ่งเข้าบ้านไปสวนกับคุณหญิงสุดใจที่เดินออกมาหา ทำเอาคุณหญิงงงว่าเกิดอะไรขึ้น
จู่ๆ รถแท็กซี่ของเกื้อแล่นเข้ามาจอดต่อท้ายกติยา เกื้อโลดลิ่วลงจากรถ ตั้งใจจะตรงขึ้นตึกไป แต่ทหารยามวิ่งตามมาพุ่งเข้ารวบตัวเกื้อไว้อย่างรวดเร็ว
“ปล่อย! ปล่อยผม ผมมาหาเมียผม ปล่อย”
คุณหญิงสุดใจตกใจ นายพลภัทรได้ยินเสียงโวยวาย เดินออกมาสมทบรีบร้องห้ามเกื้อ
“หยุดนะ! นี่กล้าดียังไงถึงเข้ามาโวยวายในบ้านฉัน” พลางหันไปสั่งทหารยาม “ทหาร เอาตัวออกไป”
เกื้อไม่ยอม สะบัดจนหลุด แล้วรีบพุ่งตรงไปเกาะขาท่านนายพลภัทรอย่างน่าเวทนา
“เมียผมอยู่ไหนครับ”
“ใจเย็นๆ ก่อน เมียเธอเป็นใคร ถึงมาตามหาเมียเธอที่นี่”
“คุณปานรุ้งไงครับ เมียของผมที่ลูกชายท่านพาหนีไป”
ท่านนายพลกับคุณหญิงชะงัก
“อะไรนะ ใครพาหนี อย่ามาพูดเหลวไหลนะ”
“ผมก็อยากให้มันเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ชาวบ้านเขาเห็นกันทั้งสลัมว่าคุณวาสุเทพพาลูกเมียผมหนี”
คุณหญิงสุดใจรับไม่ได้ จะเป็นลม “ไม่จริง”
เกื้อยกมือไหว้ปลกๆ ขอความเห็นใจ
“ให้ความกรุณากับผมด้วยครับท่าน คุณวาสุเทพมีคุณกติยาอยู่แล้ว ถึงผมจะเป็นแค่คนขับแท็กซี่จนๆ แต่ผมรักลูกรักเมียของผม ได้โปรดเถอะครับท่าน ให้ความยุติธรรมกับผม ช่วยบอก คุณวาสุเทพอย่าแย่งเมียผมไปเลย ขอเมียกับลูกผมคืนเถอะครับ”
คุณหญิงสุดใจฟังเกื้อแล้วเซไปอีก จะเป็นลมกับสิ่งที่วาสุเทพทำ นายพลภัทรประคองคุณหญิงไว้
คืนนั้นกติยานั่งริมเตียงใช้โทรศัพท์บ้านบนโต๊ะข้างเตียง โทร.เข้าโทรศัพท์มือถือวาสุเทพ
กติยายังคงพยายามพูดหลอกตัวเองอยู่อย่างนั้น “พี่เทพรับสายสิคะ บอกยาว่าพี่เทพไม่ได้ไปกับปานรุ้ง พี่เทพไม่ได้ทิ้งยาไป”
โทรศัพท์วาสุเทพปิดเครื่อง หูโทรศัพท์ในมือกติยาหลุดร่วงลง
กติยาเหม่อมองรูปคู่กับวาสุเทพในชุดแต่งงานด้วยสายตาเจ็บปวด
“พี่เทพทิ้งยาอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ายาไม่มีพี่เทพ ยาไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ทำไม”
กติยาเลื่อนลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง เห็นมีดคัตเตอร์อยู่ในนั้น
กติยาเอื้อมมือไปหยิบมีดขึ้นมา น้ำตานองใบหน้า
“วันนี้พี่เทพจะได้เห็นว่ายารักพี่ขนาดไหน”
กติยากดคมมีดคัตเตอร์ออกมาจากฝัก จรดปลายมีดกรีดข้อมือตัวเองทันที
เลือดสีแดงฉานหยดลงพื้นมากมายบอกให้รู้ว่าเป็นแผลขนาดใหญ่ กติยามองเลือดตัวเองนิ่งๆ
คุณหญิงสุดใจกับนายพลภัทรเปิดประตูมาเห็นพอดี
คุณหญิงช็อค ตะโกนก้อง “หนูยา”
กติยาเป็นลม ล้มลงไปกองกับพื้นนอนจมกองเลือดตัวเอง
เย็นนั้น ปานรุ้งจูงมือปานเทพกับปรกมายืนดูหน้าบ้าน โดยมีวาสุเทพเดินตามหลังมา
“นี่บ้านเพื่อนพี่ เขาไปประจำอยู่ที่ภูเก็ต พี่ไปดูก่อนว่ามีอะไรขาดเหลือบ้าง เดี๋ยวเราได้ออกไปซื้อกัน”
ปานรุ้งจับมือวาสุเทพมากุม “ขอบคุณค่ะพี่เทพ”
สองพี่น้อง มองผู้ใหญ่สองคนที่จับมือกัน วาสุเทพยิ้มให้ปานรุ้งแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
ปานรุ้งมองตามวาสุเทพ แล้วละสายตามามองบ้านอย่างสมใจที่ได้พาลูกมาอยู่ในที่อันสุขสบายมากขึ้น
ปานเทพกับปรกมองบ้าน แต่ไม่ได้มีสีหน้าดีใจ เพราะต่างสงสัยเรื่องปานรุ้งกับวาสุเทพ
“ลูกชอบบ้านนี้ไหมลูก ลุงวาสุเทพบอกว่ามีห้องนอนตั้ง 3 ห้อง ทีนี้ ลูกก็จะได้มีห้องของตัวเองอย่างที่ฝันแล้ว ดีใจไหมลูก”
ปานเทพ และปรกตอบรับนิ่งๆ “ครับ”
ปานรุ้งแปลกใจ “เป็นอะไรกันรึเปล่าลูก”
ปานเทพตัดสินใจถาม “ผมจำได้ว่าลุงคนนั้นเป็นสามีคุณครูกติยา”
ปานรุ้งชะงัก
“แล้วทำไมคุณแม่จับมือคุณลุงล่ะครับ” ปรกซัก
ปานรุ้งชะงัก พยายามหาคำอธิบาย
“มันก็เหมือนปานเทพเคยสนิทกับโหน่ง แต่วันนึงโหน่งขโมยเงินของลูก ปานเทพก็เลิกคบกับโหน่ง แล้วไปสนิทกับเพื่อนที่ชื่อดำรงแทน ก็เหมือนคุณลุงวาสุเทพกับคุณครูกติยา เขาเคยสนิทกันแล้วทะเลาะกัน เขาก็เลิกคบกัน แล้วคุณลุงก็มาสนิทกับแม่แทน เข้าใจไหมลูก”
ปานเทพกับปรกพยักหน้า แม้จะไม่เข้าใจนัก
“แล้วพ่อจะยอมให้คุณแม่สนิทกับคุณลุงวาสุเทพเหรอครับ”
ปานรุ้งมองปรกด้วยความสงสาร
เกื้อกลับเข้าบ้านมานั่งเป็นซากชีวิตอยู่กลางโถงอย่างคนไร้หัวใจ ไม่อยากทำอะไร ไม่รู้จะหายใจไปเพื่อใครอีก ปิ่นกับกอบเดินเข้ามาดูอาการ กอบมองสงสาร
“ไอ้เกื้อเอ๊ย ลงไปกินข้าวปลามั่งเถอะลูก”
ปิ่นโมโห เดินถือเสื้อช็อปโรงงานตัวที่ปรกเอากระดาษโน้ตใส่กระเป๋าเสื้อไว้ให้ มาปาใส่เกื้อ ทำให้กระดาษโน้ตในกระเป๋าเสื้อหลุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อตกที่พื้น แต่ไม่มีใครเห็น
“คร่ำครวญให้ตายตรงนี้ เขาก็ไม่กลับมา ผู้หญิงเลวๆ อย่างอย่างนั้น ลืมไปซะ แล้วไปทำงานไป๊”
กอบปรามเมีย “ลูก เมีย มันหายไป ใครจะมีกะจิตกะใจไปทำงานเล่า”
ปิ่นคุมแค้น พูดออกมาด้วยความโกรธ แล้วลงนั่งร้องไห้คิดถึงหลานชาย
“นังคนใจร้าย จะไปทำเลวก็ไม่ไปคนเดียว เอาหลานข้าไปด้วยทำไม พาไปอยู่กับผัวใหม่ เขาจะทำอะไรมันไหม เลว เห็นแก่ตัว”
เกื้อลุกขึ้นจะเดินออกจากห้อง กอบกับปิ่นช่วยกันจับตัวไว้
“เอ็งจะไปไหนไอ้เกื้อ”
“ฉันจะไปตามหาลูก เมีย ฉัน”
ปิ่นโมโหผลักตัวเกื้อสุดแรง จนเกื้อล้มลงกับพื้นข้างๆ เสื้อพนักงานที่กระดาษโน้ตตกอยู่ข้างๆ
“วันนี้เอ็งตะลอนตามหาเขาอย่างกับคนบ้า แล้วเจอไหม คนเขาไม่มีใจเอ็งจะไปลากเขากลับมาทำไม”
เกื้อนั่งหมดสภาพ ร้องไห้ครวญคร่ำอย่างไม่อายใคร
“ฉันอยากเจอลูก...ฉันเป็นห่วงลูก”
ปิ่นกับกอบมองลูกด้วยความสงสาร เกื้อน้ำตาร่วง จนสายตาไปเจอกระดาษโน้ตข้างๆ ตัว หยิบออกมาเปิดดู เห็นเป็นลายมือปรกเขียนตัวหนังสือตัวเบ้อเริ่ม เกื้อรีบคลี่กระดาษเปิดอ่าน พึมพำออกมาอย่างตื่นเต้น
“เมืองนนท์”
ค่ำคืนนั้น เกื้อพากายสังขารอันทรุดโทรมมายืนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านนทีพิทักษ์อีกครั้ง กดกริ่งหน้าบ้านระรัวเพราะความร้อนใจ
เกื้อชะเง้อมองในบ้านรอคนมาเปิดประตู แต่ไม่มีคนมาเปิดสักที เกื้อกดกริ่งรัวๆ จนทนไม่ไหว ตะโกนเรียกคนในบ้าน
“มีใครอยู่ไหม...เฮ้”
สักครู่สาวใช้เคี้ยวข้าวเต็มปากวิ่งกระหืดกระหอบมา
ทหารยามออกจากป้อมเดินตรงมาเห็นเกื้อ “อ้าว พี่นั่นเอง คุณวาสุเทพยังไม่กลับมาหรอก พี่กลับไปเถอะ” พลางจะเดินเข้าป้อม
เกื้อรีบถาม “เดี๋ยวๆๆๆ น้องพอจะถามใครได้ไหมว่าบ้านเพื่อนของคุณวาสุเทพที่เมืองนนท์ อยู่ตรงไหน”
เช้าวันนี้ เกื้ออยู่ในสภาพทรุดโทรม ดูออกว่าไม่ได้นอน ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง แอบปีนรั้วเข้ามาในเขตบ้านพักวาสุเทพแล้ว เกื้อสะท้อนใจเมื่อมองตัวบ้าน แล้วพบว่าหลังใหญ่โตกว้างขวาง น่าอยู่กว่าบ้านเช่าของเขามากมาย จนได้ยินปานรุ้งดังมาจากท่าน้ำ
“พี่เทพคะ พระมาแล้วค่ะ”
เกื้อเหลียวมองไปทางเสียง เห็นปานรุ้งกับวาสุเทพนั่งเคียงคู่กันรอใส่บาตร ปานรุ้งนั้นแต่งตัวสวยงามขึ้น เกือบจะเป็นคุณหนูไฮโซคนเก่า ใบหน้าสวยแจ่มใส ไม่มีวี่แววอมทุกข์เหมือนตอนอยู่กับตัวเอง
สักครู่ เด็กวัดพายเรือพาหลวงพ่อที่นั่งมาจอดเทียบท่าเรือบ้าน
เกื้อมองปานรุ้งกับวาสุเทพที่ช่วยกันตักข้าวใส่บาตร ใส่ของคาว หวาน และวางดอกไม้ร่วมกัน หลวงพ่อให้ศีลให้พร
ปานรุ้งกับวาสุเทพรับพรเคียงกัน หันไปมองหน้ากันยิ้มให้กันอย่างสุขใจ
เกื้อมองภาพนั้นด้วยความขมขื่น เพราะปานรุ้งกับวาสุเทพช่างดูเหมาะสมกันเหลือเกิน
เสียงปิ่นดังก้องขึ้นในความคิด ตอกย้ำความรู้สึกของเกื้อ
“ไอ้เกื้อ ยอมรับความจริงเถอะ ผู้หญิงคนนั้นเขาไม่มีวันกลับมาอยู่กับเอ็ง เขาอยากไปก็ให้เขาไป แต่เอ็งต้องเอาลูกกลับมา ไอ้ปรกเป็นลูกของเอ็ง มันต้องอยู่กับเอ็ง”
เกื้อมองไปทางบ้านพัก สอดตาหาปรก
ถัดมา ปานรุ้งจูงมือปานเทพเดินเข้ามาในห้อง เห็นปรกนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง
“ปรก คุณลุงวาสุเทพชวนไปตลาดน้ำ ลุกขึ้นเร็วลูก”
“ผมไม่ไปได้ไหมครับ”
“อ้าว ทำไมไม่ไปล่ะปรก” ปานเทพแปลกใจ
ปรกอึกอักนิดหนึ่ง
“ผมอยากอ่านหนังสืออยู่บ้านครับคุณแม่ วันนี้หยุดเรียน ผมกลัวตามเพื่อนไม่ทัน”
“เราไม่เชื่อ คนอย่างนายเนี่ยนะ จะห่วงเรียน”
ปานรุ้งมองปรก เข้าใจว่าลูกยังไม่ชินกับวาสุเทพ
“ไม่เป็นไร อยากอยู่บ้านก็ตามใจ...ไปเถอะปานเทพ”
ปานรุ้งจูงปานเทพออกไป ปรกมองตาม แล้วรู้สึกเหงา เคว้งคว้าง เหงา คิดถึงพ่อขึ้นมา
ทุกคนออกจากบ้านไปสักระยะแล้ว เด็กชายปรกนั่งกอดเข่าร้องไห้ คิดถึงพ่อ ย่า และปู่
“พ่อจ๋า...ผมคิดถึงพ่อ”
เกื้อเปิดประตูห้องเข้ามา เรียกลูกเบาๆ “ปรก”
ปรกชะงักเงยหน้ามองมา นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างดีใจสุดขีด ลุกจากเตียงวิ่งเข้าไปกอดพ่อเต็มแรง
“พ่อ”
เกื้อกอดลูกเต็มรัก เต็มคิดถึง
ในรถที่แล่นมาตามถนน ปานรุ้ง วาสุเทพ และ ปานเทพ นั่งเบาะตอนหลัง ปานรุ้งกระสับกระส่าย สังหรณ์ใจโดยประหลาด วาสุเทพมองฉงน
“รุ้งเป็นอะไรรึเปล่า”
“รุ้งว่าเรากลับไปรับปรกเถอะค่ะ รุ้งรู้สึกไม่อยากทิ้งลูกไว้บ้านคนเดียว”
“ก็ได้...พลชิต วนรถกลับบ้าน”
เกื้อกับปรกนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ซึ่งจอดอยู่ริมรั้วหน้าบ้านวาสุเทพ เกื้อสตาร์ตรถมาสักพัก แต่สตาร์ตเท่าไหร่แต่ก็ไม่ติด ปรกร้อนใจยกมือไหว้เลียนแบบท่าย่าปิ่น
“เจ้าประคุ๊ณ ขอให้รถพ่อหนูติดทีเถอะ”
เกื้อพยายามสตาร์ตรถอีก แต่รถยังไม่ยอมติด
เกื้อบอกปรก “รอพ่อเดี๋ยวนะลูก”
เกื้อลงรถ ไปเปิดกระโปรงดูว่าทำไมสตาร์ตไม่ติด
ปรกลงรถตามมา แต่สายตาเด็กน้อยมองไปทางด้านหลังรถพ่อ ปรกเห็นรถคันหนึ่งกำลังขับตรงมา พร้อมกับรถคนติดตามของวาสุเทพ ปรกเพ่งมองรถคันหน้าแล้วจำได้ รีบเดินไปบอกเกื้อ
“พ่อ นั่นรถคุณลุง”
เกื้อมองไปทางรถวาสุเทพ แล้วตัดสินใจดึงมือปรกให้วิ่งตามตัวเองไปโดยเร็ว
“ไปกับพ่อลูก”
พ่อกับลูกวิ่งหนีเข้าป่าข้างทาง เพื่อให้รถของวาสุเทพขับตามไม่ได้
พลฯชิต รถจอดลงข้างทาง ปานรุ้ง วาสุเทพ และปานเทพรีบลงจากรถ
“เกื้อ จะพาลูกไปไหน เกื้อ” ปานรุ้งร้องเรียกไว้
วาสุเทพตะโกนบอกเกื้อ “เกื้อ เดี๋ยว”
แต่เกื้อไม่ยอมหันมา วาสุเทพรีบวิ่งตามเกื้อไปพร้อมกับพลฯ ชิต ปานรุ้งพาปานเทพวิ่งตามท้ายไป
เกื้อจูงปรกวิ่งหนีวาสุเทพมาสักพักหนึ่ง ปรกคอยมองไปข้างหลังอย่างพะวงกลัว เกื้อเห็นมุมหนึ่งของป่าหญ้าพอจะหลบซ่อนได้ รีบจูงปรกไปหลบหลังกอหญ้าแห้ง ปรกกอดเกื้อไว้แน่น
“พ่อ พ่ออย่าทิ้งผมนะ ให้ผมกลับบ้านกับพ่อนะ”
เกื้อกอดลูกแน่น “ไม่ต้องกลัวลูก พ่อไม่ให้ใครเอาลูกไปทั้งนั้น”
เกื้อกับปรกกอดกันอย่างไม่มีใครอยากแยกจากกัน
วาสุเทพกับพลฯชิตเข้ามามองหาเกื้อ แต่หาไม่เจอ
“เกื้อ ออกมาเถอะ อย่าทำอย่างนี้เลย” วาสุเทพตะโกนบอกไป
เกื้อกอดปรกแน่น ให้รู้ว่าเกื้อไม่ให้ปรกกับปานรุ้ง
ปานรุ้งจูงปานเทพเข้ามาอย่างร้อนใจ
“เกื้อ เอาลูกคืนฉันเถอะนะ ฉันพาลูกมาสบาย ไม่ได้ลำบาก...ได้ยินไหมเกื้อ” ปานรุ้งเดินตามหาเกื้อกับปรกอย่างร้อนใจ “ปรก ปรกได้ยินแม่ไหมลูก ปรก บอกพ่อเกื้ออย่าทำอย่างนี้”
ปานรุ้งมัวแต่มองหาลูก จนไม่ทันมองทาง สะดุดกับกอหญ้าล้มลง ปรกมองอยู่เห็นแม่ล้ม เผลอร้องเรียกด้วยความตกใจ
“คุณแม่”
ทั้งสี่คนหันไปมองทางปรกกับเกื้อ
“ปรก”
เกื้อรีบดึงมือปรกให้ลุกขึ้น วิ่งหนีทันที
“เกื้อ หยุดก่อนเกื้อ” วาสุเทพร้องบอก
เกื้อไม่ฟัง จูงลูกวิ่งออกไปโดยไว วาสุเทพรีบวิ่งตาม
เกื้อจูงปรกวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ปรกสะดุดล้ม จนหัวเข่าเลือดซึมออก เกื้อห่วงลูกเลยหยุดวิ่ง
“เจ็บไหมลูก”
“เจ็บครับ แต่ผมยังวิ่งไหว”
เด็กชายพยายามลุกขึ้นวิ่งกระเผลกๆ ตาม เกื้อเห็นหัวเข่าลูกเลือดออกมากจึงให้ปรกขี่หลัง
“ขี่หลังพ่อลูก วิ่งอีกนิดเดียวก็ถึงถนนแล้ว เดี๋ยวเราโบกรถกลับบ้านกันนะลูก”
ปรกรีบขี่หลังพ่อ เกื้อรีบวิ่งทั้งๆที่หนักและเหนื่อย แต่เกื้อไม่สนใจกับความหนักและเหนื่อย ตอนนี้หัวใจมีแค่ เรื่องลูก
วาสุเทพวิ่งเข้ามา โดยมีพลฯชิตวิ่งตามหลัง
“เกื้อ ขอร้อง หยุดฟังฉันก่อน”
เกื้อไม่หยุดวิ่ง แถมรีบวิ่งไปให้ถึงถนนใหญ่ด้วยความหวังจะพาลูกหนีให้ได้
พลฯ ชิตเห็นเกื้อไม่หยุดวิ่ง จึงตัดสินใจคว้าปืนออกมายิงขึ้นฟ้า เปรี้ยง!
เกื้อตกใจสุดขีด กระโจนหมอบหลบกระสุนตามสัญชาตญาณจนเสียหลักล้มกลิ้งตกร่องน้ำ เกื้อกอดปกป้องปรกทั้งตัว ไม่ให้ลูกเจ็บ ทว่าแรงกระแทกทำให้ร่างเกื้อไปชนก้อนหินใหญ่ในนั้นจนหัวแตก ร่างปรกหลุดมือกระเด็นอยู่อีกมุมหนึ่งของท้องร่อง
สภาพเกื้อยามนี้บอบช้ำสุดขีด สิ้นจนหนทาง น่าเวทนาเป็นที่สุด
วาสุเทพหันไปผลักอกพลฯชิตอย่างไม่พอใจ “ใครสั่งให้ยิง”
“ขอโทษครับท่าน”
วาสุเทพรีบเข้าไปดูเกื้อกับปรก
“เกื้อ ปรก เป็นยังไงบ้าง”
ปานรุ้งจูงปานเทพวิ่งตามเข้ามา แล้วรีบเข้าไปหาปรก
“ปรกเป็นยังไงบ้างลูก”
ปรกจะเข้าไปดูเกื้อ “พ่อ”
ปานรุ้งกอดรั้งตัวปรกให้ออกห่างจากเกื้อไว้
“ปรก อย่าเข้าไป อยู่กับแม่”
เกื้อนอนมึนอยู่ที่ก้นร่องน้ำ เลือดซึมออกที่หัวจนเลือดอาบ เนื้อตัวเปื้อนโคลน เกื้อได้ยินเสียงปรกจึงรีบลุกขึ้นเพื่อไปหาลูก
“ปรก”
วาสุเทพเข้าไปประคองตัวเกื้อไว้ กึ่งช่วย กึ่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้ปรก
“หยุดก่อนเกื้อ”
“ปล่อยผม ผมจะไปหาลูก”
ปรกเห็นวาสุเทพจับตัวเกื้อ จึงสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดปานรุ้งวิ่งไปกอดเกื้ออย่างปกป้อง
“ปรก” ปานรุ้งตกใจ
“พ่อจ๋า” ปรกพูดอ้อนวอนขอร้องวาสุเทพ “คุณลุง อย่าทำอะไรพ่อผม พ่อผมเจ็บอยู่”
ปรกมองแผลบนหัวพ่อ แล้วใช้ชายเสื้อตัวเองเช็ดเลือดบนใบหน้าให้ เกื้อมองลูกชายที่ดูแลตัวเองด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
“โธ่ ลูกพ่อ”
“พ่อไม่ต้องกลัวนะ ปรกจะปกป้องพ่อเอง”
เกื้อกอดปรกเต็มรัก ปานรุ้งมองภาพนั้นด้วยความปวดร้าวไม่ต่างกัน เธอเดินเข้าไปนั่งตรงหน้าเกื้อ
“เกื้อ”
เกื้อมองปานรุ้งด้วยแววตาเว้าวอน
“อย่าเอาลูกผมไปเลยนะครับ ผมรักลูกของผม ลูกเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ผมมี ยกลูกให้ผมเถอะ ผมกราบล่ะครับคุณหนู”
เกื้อจะก้มลงกราบ ปานรุ้งรีบจับไว้ ไม่ยอมให้กราบ
“เกื้อจะโกรธ จะเกลียด จะด่าฉันยังไงก็ได้ แต่ฉันยอมให้ลูกกลับไปกับเกื้อไม่ได้ ฉันรู้ว่าตลอด 8 ปีที่อยู่ด้วยกัน เกื้อทำเพื่อฉันกับลูก ไม่ใช่เกื้อทำไม่ดี เกื้อทำดีที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้มีทางที่ดีกว่า เกื้อไม่อยากเห็นลูกมีบ้านดีๆ อยู่เหรอ เกื้อไม่อยากเห็นลูกมีที่เรียนดีๆ เหรอ เกื้อไม่อยากเห็นอนาคตที่ดีของลูกเหรอ” ปานรุ้งเอื้อมไปจับมือเกื้อ “ฉันยอมถูกคนตราหน้าว่าแย่งผัวชาวบ้านก็เพื่อลูก แล้วเกื้อล่ะ จะยอมปล่อยลูกให้ฉันกับพี่เทพ เพื่อลูกๆจะมีอนาคตที่ก้าวไกลกว่านี้ไหม”
เกื้อมองปานรุ้งอึ้งๆ เพราะสิ่งที่ปานรุ้งพูดนั้นล้วนเป็นความจริง ปานรุ้งยอมเสียสละชื่อเสียง เกียรติยศตัวเองเพื่อลูก ดังนั้นเขาเองควรเสียสละเพื่อให้ลูกได้มีชีวิตที่ดีกว่า
เกื้อมองปรกนิ่งนาน ลูบหน้าลูกทุกจุด ทุกตารางชีวิต เหมือนอยากมองชัดๆ ก่อนจะจากกัน
“ไปอยู่กับคุณแม่นะลูก”
ปรกร้องไห้ฟูมฟาย ไม่อยากจากพ่อไปไหน “ไม่ครับ ผมจะอยู่กับพ่อ”
เกื้อฝืนกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ไม่ให้ไหล ปาดเช็ดน้ำตาให้ลูก
“พ่อเคยสอนไว้ว่ายังไง เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ ลูกผู้ชายต้องไม่อ่อนแอ พ่อไม่อยู่แล้ว ไปอยู่กับคุณแม่ ดูแลคุณแม่แทนพ่อ อย่าดื้อ อย่าซน คุณแม่พูดอะไรต้องตั้งใจฟัง เพราะทุกอย่างที่คุณแม่ทำ ท่านทำเพื่อลูก”
ปรกยังกอดเกื้อแน่น ไม่ยอมไป “พ่อ”
“คุณลุงวาสุเทพเป็นคนดี รักท่านให้เหมือนที่ปรกรักพ่อ”
วาสุเทพได้ยินคำนั้น จึงพูดให้คำมั่นกับเกื้อ
“ฉันให้สัญญานะ ว่าฉันจะรักลูกของเกื้อให้เหมือนกับลูกของฉันเองเกื้อไม่ต้องห่วง แล้ววันข้างหน้า ถ้าเกื้อพร้อมดูแลลูก เกื้อไปรับลูกคืนได้เลย ฉันยินดี”
เกื้อมองวาสุเทพอย่างขอบคุณ แล้วกอดปรกแน่นอีกครั้ง เหมือนจะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ เพื่อรอจนวันที่เขาพร้อม
ปานรุ้งเดินเข้ามานั่งข้างๆ เกื้อกับปรกเอื้อมมือไปจับมือเกื้อ “ขอบใจนะเกื้อ ที่เธอเข้าใจฉันเสมอ”
เกื้อมองปานรุ้ง แล้วจำใจต้องดึงปรกออกจากอ้อมกอดส่งตัวคืนให้ปานรุ้งซึ่งช่วยดึง
แต่ปรกไม่ยอมออกจากห่างจากอกเกื้อ “พ่อ”
เกื้อบอกลูกทั้งน้ำตา “พ่อสัญญา พ่อจะรีบสร้างเนื้อสร้างตัว แล้ววันที่พ่อสำเร็จ พ่อจะกลับมารับปรก”
เกื้อดันตัวปรกให้ปานรุ้ง ปรกเอามือเกาะแขนเกื้อไว้แน่น ปานรุ้งดึงตัวปรกออกจากเกื้อจนได้
ปรกพยายามดิ้นใช้ขาตะกายเกี่ยวพ่อไว้ จนรองเท้ากระเด็นตกข้างๆ เกื้อนั่นเอง เกื้อมองปรกที่พยายามดิ้นมาหาตัวเองอย่างปวดร้าว
ปานรุ้ง อุ้มปรกเดินออกไปด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน วาสุเทพประคองปานเทพตามกันไป
เกื้อร่างสั่นสะท้าน ใจจะขาดรอนๆ มองตามปานรุ้งที่อุ้มปรกค่อยๆ เดินจากไป
“ปรก” เกื้อยกมือขึ้นมาตรงหน้า หมายจะควานคว้าลูกเอาไว้
ปานรุ้งอุ้มปรกที่ร้องไห้น้ำตาเต็มตา ห่างจากเกื้อไปทีละก้าวๆ
เกื้อมองตามลูกเหมือนคนหัวใจแตกสลาย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าของปรกที่หล่นอยู่ตรงหน้ามากอดแนบอกด้วยความรัก แล้วก้มหน้าร้องไห้อย่างหนักหน่วง
บ่ายวันเดียวกันนั้น วาสุเทพนั่งมองโทรศัพท์หน้าเครียดอยู่ในห้องโถง สักครู่ปานรุ้งเดินมาจากห้องของปรกมาหาวาสุเทพ
“ปรกเป็นยังไงบ้าง”
ปานรุ้งถอนใจสงสารลูก “หลับไปแล้วค่ะ คงต้องให้เวลาเขาหน่อย วันนึงเขาจะเข้าใจรุ้ง”
วาสุเทพพยักหน้ารับรู้ “ถ้าเรื่องรุ้งกับลูกไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวพี่ขอกลับบ้านก่อน เมื่อกี้พี่เปิดโทรศัพท์ คุณพ่อฝากข้อความไว้ว่ายากรีดข้อมือตัวเอง”
ปานรุ้งตกใจ “อะไรนะคะ”
กติยานอนหลับอยู่บนเตียงห้องพักฟื้นโรงพยาบาล รอบข้อมือข้างหนึ่งมีผ้าพันแผล อีกข้างถูกเสียบสายน้ำเกลือ ดรุณีนั่งเฝ้าลูกอยู่ข้างๆ เตียง จนกติยาสะดุ้งตื่น
“พี่เทพ”
ดรุณีลุกเข้าไปกอดลูก “ยา ใจเย็นๆ มีสติ” พลางจับมือกติยากุมไว้ปลอบประโลม “แม่อยู่นี่”
กติยามองรอบห้อง “พี่เทพล่ะคะ พี่เทพไม่ได้ไปกับปานรุ้งใช่ไหม”
ดรุณีมองลูกด้วยความสงสาร อึกอักไม่รู้จะตอบยังไง
วาสุเทพเปิดประตูเข้ามาในจังหวะนี้ กติยามองมาด้วยความดีใจ
“พี่เทพ! พี่เทพไม่ได้ไปกับปานรุ้งใช่ไหมคะ”
วาสุเทพมองกติยานิ่ง กติยาต้องการฟังในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยินจึงเร่งเร้าถาม
“พี่เทพไม่ได้ไปกับปานรุ้งหรอก ปานรุ้งมันไปกับคนอื่น ยารู้พี่เทพรักยา”
วาสุเทพตัดสินใจพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “เราหย่ากันเถอะยา”
กติยา และ ดรุณีชะงัก มองวาสุเทพอย่างอึ้งๆ ไม่อยากเชื่อ กติยาแผดเสียงตะโกนอย่างคนสติแตก ควบคุมตัวเองไม่ได้
“ไม่.....ยาไม่มีวันยอมหย่า ยาไม่ยอมยกพี่เทพให้กับนางปานรุ้ง พี่เทพต้องอยู่กับยา”
“ทุกอย่างที่เราสร้างมาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือเงิน พี่ยกให้ยาหมด”
“ทำไมพี่เทพถึงพูดอย่างนี้ พี่เทพก็รู้ว่าในชีวิตยา ยาไม่เคยต้องการอะไร นอกจากพี่เทพคนเดียว” กติยายกมือที่มีผ้าพันแผลขึ้น “เห็นไหมคะ เห็นความรักที่ยามีให้กับพี่เทพไหม ถ้าไม่มีพี่เทพ ชีวิตยาก็ไม่มีความหมาย”
“พี่รู้ว่ายารักพี่ พี่ขอบคุณกับความรู้สึกนี้ที่ยามีให้ แต่คนสองคนจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ในเมื่อคนนึงรัก แต่อีกคนไม่เคยรักเลย”
“ถ้าไม่มีปานรุ้งสักคนพี่เทพก็คงรักยาไปแล้ว” กติยาลุกลงจากเตียงคนไข้ “ยาจะไปฆ่ามัน”
ดรุณีกับวาสุเทพช่วยกันจับตัวกติยาไว้ กลัวสายน้ำเกลือหลุด
“ยา ฟังแม่ อย่าทำอย่างนี้ลูก”
กติยาพยายามดิ้นหนี “ปล่อยยา ยาจะไปฆ่านังรุ้ง”
“มันไม่เกี่ยวกับรุ้ง ถ้าพี่จะรักยา พี่คงรักยาก่อนที่พี่เจอรุ้งแล้ว”
กติยาชะงัก มองวาสุเทพด้วยความเจ็บปวด
“พี่เข้าใจความรู้สึกยาว่าการรักคนๆ นึงหมดทั้งชีวิตมันเป็นยังไงเพราะถ้าพี่รักใคร ทั้งชีวิตของพี่ก็มีแต่เขาเหมือนกัน ถ้าพี่รักยา ต่อให้มีสิบปานรุ้ง ร้อยปานรุ้งก็ทำอะไรหัวใจพี่ไม่ได้”
“แต่ปานรุ้งมันเลว พี่เทพจำไม่ได้เหรอคะว่ามันทิ้งพี่ไปหาผู้ชายคนอื่น จนตกต่ำต้องเอาคนขับรถเป็นผัว พี่เทพต้องเกลียดมันสิคะ ไม่ใช่ยอมมัน”
“พี่ก็เลว เพราะพี่เคยทิ้งยาไปหาผู้หญิงคนอื่น พอพี่โดนเขาทิ้ง พี่ก็กลับมาหายา แล้วทำไมยาไม่เกลียดพี่ ทำไมถึงยอมอภัยให้พี่”
กติยาแหกปากสุดเสียง “มันไม่เหมือนกัน”
“เหมือนกันสิ ที่เรายอม เพราะเรารักเขา”
กติยามองวาสุเทพด้วยแววตาอันเจ็บปวด ส่ายหน้าไม่เชื่อและไม่ยอมรับ
“ไม่จริง ยาไม่เชื่อ”
กติยาดึงสายน้ำเกลือออกจากแขน แล้วถือเข็มน้ำเกลือจ่อที่เส้นเลือดบนคอตัวเอง
“ถ้าพี่เทพไป ยาจะตายให้ดู”
สองคนชะงักงัน ดรุณีทนไม่ไหว เข้าไปกอดลูกไว้ด้วยความรักและความสงสาร
“พอเถอะลูกทำอย่างนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ชายเขาไม่รักต่อให้ยาอ้อนวอน หรือตายตรงหน้า เขาก็ไม่กลับมา”
กติยามองจ้องรอฟังคำตอบ วาสุเทพมองมาด้วยสายตายอมรับผิด
“พี่ขอโทษ พี่จะให้ทนายจัดการเรื่องหย่าของเรา”
วาสุเทพมองกติยาอีกอึดใจ แล้วเดินออกจากห้องไปเลย กติยามองวาสุเทพที่เดินจากไปอย่างคนหัวใจสลาย ทิ้งเข็มน้ำเกลือร่วงหล่นลงพื้นห้อง
กติยาล้มพับนั่งกองกับพื้นร้องไห้อย่างเจ็บปวด ดรุณีกอดลูกด้วยหัวใจที่เจ็บปวดไปกับลูก
“ไม่เป็นไรลูก อย่าร้อง เขาไม่รัก ก็ปล่อยเขาไป ยายังมีแม่”
กติยากอดดรุณียึดเป็นที่พึ่งเดียว ร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจตาย
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ผ่านไปอีกราวสามเดือน ประเทศไทยล่วงเข้าสู่เทศกาลลอยกระทง
เสียงเพลงลอยกระทงของวงสุนทราภรณ์ดังคลอขึ้นภายในบ้าน ที่ปานรุ้งนั่งบนเก้าอี้ช่วยปานเทพกับปรกทำกระทงกันอยู่ในห้องโถง
“คุณแม่ทำกระทงสวยจังครับ”
วาสุเทพเพิ่งกลับมาจากข้างนอก เดินเข้ามา หยุดยืนมองมาสามคนแม่ลูก ในมือถือเอกสารหย่ากับกติยามาด้วย
“ตอนแม่อายุเท่าปานเทพ แม่ทำกระทงแจกคนในบ้านคุณยายเป็นสิบๆ กระทงเลยนะ พอถึงกลางคืน ก็พากันไปลอย”
“แล้วคุณยายพาคุณแม่ลอยกระทงที่ไหนครับ” ปรกถาม
ปานรุ้งหน้าเศร้าลงเมื่อคิดถึงคมขวัญ “คุณยายไม่มีเวลาพาแม่ไปลอยกระทงหรอก คุณยายต้องทำงาน ไม่เคยมีวันหยุดอย่างคนอื่น แต่แม่รู้ว่าคุณยายอยากลอยกระทงกับแม่ เดี๋ยววันนี้ แม่ทำกระทงไปลอยเผื่อคุณยายดีกว่า”
วาสุเทพยืนฟังปานรุ้งอีกอึดใจหนึ่ง จึงเดินเข้ามาหายื่นซองเอกสารตรงหน้าปานรุ้ง
ปานรุ้งมองซองงงๆ แล้วเงยขึ้นมองหน้าวาสุเทพ
“ยายอมหย่าให้พี่แล้ว”
พร้อมกันนั้นวาสุเทพคุกเข่าตรงหน้า ปานรุ้งมองอย่างตกใจ
“พี่เทพ พี่เทพทำอะไรคะ”
วาสุเทพหยิบแหวนขึ้นมาขอปานรุ้งแต่งงาน
“รุ้งพร้อมจะเปลี่ยนนามสกุล มาร่วมใช้ นทีพิทักษ์ กับพี่ไหม”
ปานรุ้งชะงัก ความตื้นตันแผ่เป็นริ้วๆ ทั่วกาย ไม่คิดว่าวาสุเทพจะขอแต่งงานเป็นทางการ
“โธ่...พี่เทพ”
“แต่บอกก่อนนะ ว่าตอนนี้พี่เหลือแต่ตัวแล้วนะ เพราะเงินที่พี่เคยมี พี่ก็เอาไปจองท่าน้ำไว้ให้รุ้งกับลูกลอยกระทงกันจนหมดตัว”
“ถ้าพี่จะยกเงินให้ยา รุ้งก็ไม่ว่า ยาเขาสมควรได้”
วาสุเทพเยื้อนยิ้ม “เรื่องเงินของยา พี่จัดการแล้ว แต่เรื่องเงินของเรา พี่พูดจริงๆ พี่เอาไปจองท่าน้ำไว้ให้ลูกกับรุ้งลอยกระทงคืนนี้หมดแล้ว”
“ท่าน้ำบ้านเราก็มี ทำไมต้องเสียเงินจองท่าน้ำด้วยล่ะคะ” ปานรุ้งฉงน
“ท่าน้ำบ้านนี้ กับท่าน้ำที่พี่จอง มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกันยังไงคะ”
วาสุเทพมองปานรุ้งยิ้มๆ
รถยนต์ของวาสุเทพที่มีพลฯชิตเป็นคนขับ แล่นมาตามท้องถนน
ในรถตคันนั้น ปรกวางกระทงไว้บนตัก นั่งด้านหน้าข้างๆ พลฯ ชิตมองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ ส่วนปานเทพถือกระทงไว้บนตักนั่งติดปานรุ้งและวาสุเทพที่เบาะหลัง เด็กชายมองข้างทางอย่างตื่นเต้นเหมือนน้องชาย
“คุณลุงจะพาเราไปลอยกระทงที่ไหนครับ” ปรกถามขึ้น ตายังมองไปข้างหน้า
วาสุเทพยิ้มให้ปรก โดยที่ไม่ตอบ แต่หันมามองปานรุ้งนัยน์ตาเป็นประกาย
ปานรุ้งเริ่มอึ้ง มองสองข้างทางจำทางได้ว่า มันคือทางไปบ้านสมุทรเทวา แต่ปานรุ้งไม่กล้าคิดว่าวาสุเทพจะพาไปบ้านสมุทรเทวา หรือไม่ อย่างไร
“รุ้งพอจะรู้ไหม ว่าทางนี้จะไปที่ไหน” วาสุเทพถาม ยิ้มบางๆ
ปานรุ้งหันมามองวาสุเทพด้วยสีหน้าฉงนฉงาย
“จำได้สิคะ รุ้งเกิดที่นี่ โตที่นี่ มีความสุขที่สุดที่นี่ และเสียใจที่สุดที่นี่ แต่รุ้งไม่รู้ว่าพี่เทพจะพารุ้งไปที่นั่นรึเปล่า”
วาสุเทพเพียงยิ้ม แต่ไม่ตอบ
ปานเทพถามปานรุ้งอย่างสนใจ “ที่ไหนเหรอครับคุณแม่”
รถวาสุเทพแล่นผ่านประตูรั้วเข้ามาบนถนนในอาณาเขตบ้านสมุทรเทวาเพียงนิดเดียว ยินเสียงปานรุ้งร้องสั่งดังออกมาจากในรถ
“จอดรถตรงนี้”
รถจอดสนิท ปานรุ้งค่อยๆ เปิดประตูรถก้าวลงมา เธอเหลียวมองไปยังตึกใหญ่บ้านสมุทรเทวา ช้าๆ ด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่อยากจะเชื่อว่า วันนี้เธอจะได้กลับมาเหยียบบ้านเกิดหลังนี้อีก
ความรัก ความหลัง ความสุข และมากมายความทรงจำแสนเจ็บปวดผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิดของปานรุ้งราวสายน้ำไหล ขณะเธอสืบท้าวก้าวเดินตรงไปยังตึกใหญ่เบื้องหน้า
บ้านสมุทรเทวาเด่นตระหง่าน ทับซ้อนกับบ้านสมุทรเทวาหลังเก่าเมื่อในอดีต ปานรุ้งมองไปสีหน้ารำลึก
เธอเห็นภาพคมขวัญเพิ่งกลับจากทำงาน ลงรถ เดินเข้าบ้านมา
ปานรุ้งเดินไปตามทางช้าๆ ตรงไปยังประตูทางเข้าตึก
ฉากชีวิตตอนเธอที่เพิ่งกลับจากเมืองนอก ชีวิตเต็มไปด้วยความสุข
ปานรุ้งเดินไปตามทาง
ภาพปานรุ้งกับวาสุเทพในวันหมั้นหมาย สองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ปานรุ้งเดินมาหยุดยืนหน้าประตูเข้าบ้าน มองเข้าไปในโถงกลางบ้าน
เธอเห็นภาพอดีตที่ตัวเองเดินกอดกับชูนามอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน
ปานรุ้งเดินมายืนกลางห้องโถงตรงหน้าบันไดเวียน มองภาพอดีตที่ตำรวจมาตามจับตัวชูนามออกจากห้องปานรุ้งลงบันไดมา และปานรุ้งอุ้มลูกอายุเพียง 4 วัน วิงวอนตำรวจให้ปล่อยตัวชูนามอย่างน่าเวทนา
ปานรุ้งเหลียวมองไปทางมุมที่เคยจัดงานศพคมขวัญ
เห็นภาพจำตอนเธออุ้มลูกนั่งหน้าโลงศพแม่อย่างคนสำนึกผิดสุดซึ้ง
ปานรุ้งเหลียวมองไปรอบๆ ทุกตารางของบ้าน เห็นภาพตอนทนายมาแจ้งเรื่องบ้านโดนยึด จนต้องหอบลูกออกจากบ้านสมุทรเทวา
ปานรุ้งยืนน้ำตาไหลริน ซึมซับรับรู้สุขและทุกข์ที่ผ่านมาในชีวิตอยู่กลางโถงบ้านนิ่งนาน
ระหว่างนี้น้อยเดินเช็ดน้ำตาเข้ามา มองคุณหนูปานรุ้งด้วยหัวใจที่แสนคิดถึง
“คุณหนู”
ปานรุ้งมองน้อยอย่างดีใจ “น้อย”
น้อยวิ่งเข้ามากอดเอวปานรุ้ง ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความรักและคิดถึง
“คุณหนูของน้อย ตอนน้อยรู้ว่าคุณวาสุเทพจะซื้อที่นี่ น้อยดีใจที่สุดในที่สุด คุณหนูก็กลับมาเป็นเจ้าของสมุทรเทวาอีกครั้ง น้อยมีความสุขเหลือเกิน”
วาสุเทพพาปานเทพกับปรกเดินเข้าบ้านมา ปานรุ้งมองวาสุเทพและลูกๆ
“เมื่อกี้พี่พาลูกไปที่ท่าน้ำที่เราจะลอยกระทงกัน”
ปานเทพยิ้มบอก “ผมชอบท่าน้ำที่นี่มากๆ เลยครับคุณแม่”
“ผมก็ชอบครับ” ปรกยิ้มน่าเอ็นดู
“แล้วรุ้งล่ะ ชอบไหม” วาสุเทพถามเสียงนุ่ม
ปานรุ้งไม่ตอบ แต่เดินเข้าไปกอดวาสุเทพร้องไห้อย่างหนักหน่วง ซาบซึ้งเหลือแสน
“ชอบค่ะ ชอบมาก ชอบมากที่สุด”
วาสุเทพกอดปลอบปานรุ้งอยู่อย่างนั้น
ถัดมา ทั้งห้าคนลอยกระทงกันที่ท่าน้ำด้วยกัน ปานรุ้งนั้นลอยกระทง 2 อัน อันหนึ่งลอยให้คมขวัญ ปานเทพมองกระทงที่แม่ลอยให้ยาย
“คุณแม่ลอยกระทงแทนคุณยายแบบนี้ คุณยายจะรับรู้ไหมครับ”
น้อยยิ้มบอก “รู้สิคะ คุณยายของคุณหนูท่านรับรู้แน่นอน เพราะท่านรักคุณแม่ของคุณหนูมาก”
ปานรุ้งเหลียวมองไปทางตึกใหญ่บ้านสมุทรเทวา พูดระบายออกมา
“แต่แม่สิ แม่ไม่เคยรู้ว่าคุณยายรักแม่ แม่คิดแต่ว่าคุณยายรักงานแม่เลยทำตัวไม่ดี ทำอะไรแย่ๆ เพื่อให้คุณยายเสียใจ กว่าแม่จะรู้ว่าคุณยายรักแม่ ก็วันที่สายไป”
ปานรุ้งกอดปานเทพและปรก
“หลังจากคุณยายเสีย ชีวิตแม่จากที่เคยอยู่จุดสูงสุด ต้องตกอยู่ที่จุดต่ำสุด จากคนที่เคยกินภัตตาคาร ต้องทุกข์ลำบากแย่งข้าวขอทานกินทุกอย่างเป็นเพราะชีวิตที่ผิดพลาดของแม่” ปานรุ้งมองจ้องลูก “แม่จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นกับชีวิตลูกเด็ดขาด แม่จะเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้ชีวิตของลูก แม่จะคอยดูแลและปกป้องลูก ไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำให้ ชีวิตลูกต้องเกิดความผิดพลาดเหมือนแม่”
ปานรุ้งกอดลูกด้วยความรักสุดหัวใจ วาสุเทพมองปานรุ้งด้วยสีหน้ามีรอยกังวลบางอย่าง
ร้อยกรองมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ริมรั้วบ้านสมุทรเทวา เห็นปานรุ้งอยู่กับวาสุเทพ ปานเทพ และ ปรก เดินเล่นกันอยู่ มีน้อยคอยตามดูแล
“ที่เขาลือกันว่านางปานรุ้งซื้อบ้านสมุทรเทวากลับ เป็นความจริงเหรอเนี่ย”
ร้อยกรองจดจ้องไปยังปานรุ้งด้วยสายตาใคร่ครวญครุ่นคิด
สายวันนั้นดรุณีนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ กติยาเดินใจลอยออกมากับหมอ ดรุณีรีบเดินเข้าไปสองคน
“ยาเป็นยังไงบ้างลูก แม่บอกแล้วว่าให้กินอะไรบ้าง ยาไม่ยอมกินอะไรเลย เดินไปไหนก็เป็นลมเป็นแล้งอย่างนี้”
กติยายืนอึ้ง พูดไม่ออก ยังช็อคอยู่
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ต่อไปคนไข้คงทานอาหารมากขึ้น เพราะต้องบำรุงน้องในท้องด้วย”
ดรุณีมองหมอสีหน้าฉงน
“เมื่อกี้คุณหมอพูดว่ายังไงนะคะ”
หมอยิ้ม “แสดงความยินดีด้วยนะคะ คนไข้ตั้งครรภ์ได้ 9 สัปดาห์แล้ว”
“ยาท้อง”
ดรุณีตะลึงตะไลคาดไม่ถึง มองกติยาที่ยืนอึ้งอยู่เช่นกัน
เสียงนักข่าวรายงานข่าวเศรษฐกิจดังไปทั่วทุกหัวระแหงของกรุงเทพมหานคร และประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2557
“เกิดข่าวสะเทือนวงการธุรกิจขนส่ง เมื่อบริษัทผู้นำด้านการทรานสปอร์ต อย่างบริษัท JS ทรานสปอร์ต ของมิสเตอร์ เจสัน ผู้เคยล้ม นักธุรกิจหญิง อย่างคมขวัญ สมุทรเทวามาแล้ว ต้องประสบปัญหา ขาดทุนหนัก จากผลกระทบช่วงภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ในปี พ.ศ. 2540”
รถตู้ของช่องทีวีดิจิตอล แล่นเข้ามาจอดหน้าตึกใหญ่โดยเร็ว กลุ่มนักข่าว ช่างภาพ วิ่งออกจากในตัวตึกสถานีไปขึ้นรถอย่างรีบร้อน เสียงรายงานข่าวดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“จนกระทั่งเช้าวันนี้ ได้มีข่าวว่าอดีต CEO ของ JS ทรานสปอร์ต มิสเตอร์ เจสัน ยอมขายกิจการ เพื่อหาเงินชดใช้หนี้มากกว่าพันล้านบาท”
ถัดมาไม่นานรถนักข่าวหลายคัน รวมบรรดานักข่าวสายเศรษฐกิจจอมเผือก ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ และทีวีดิจิตอลราว 20 คน ขับผ่านป้ายชื่อบริษัทขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตึกสูงตระหง่าน เห็นป้ายชื่อบริษัทเด่นหราว่า “P&ST AIRLINES CO.LTD.”
นี่คือ “พีแอนด์เอสที” บริษัทสายการบินที่มีมูลค่าหลายพันล้าน เป็นอาณาจักร สมุทรเทวา ที่ ปานรุ้ง นทีพิทักษ์ กอบกู้คืนมา และสร้างตัวจนยิ่งใหญ่ ในระยะเวลา 20 กว่าปี มานี้ หลังตัดสินใจอยู่กินกับ วาสุเทพ
กลุ่มนักข่าวแยกย้ายกันรายงานข่าวสดกลับเข้าสถานีอยู่ตามมุมต่างๆ หน้าอาคาร นักข่าว 1 ผู้เกาะติดข่าวนี้ ยึดสนามหญ้าหน้าตึกสูงวิวสวยยืนรายงานอยู่หน้ากล้อง
“คนที่เข้าไปเทคโอเวอร์ บริษัทของมิสเตอร์ เจสัน ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นประธานบริษัทสายการบิน P&ST ผู้เป็นทายาทคนเดียวของคุณคมขวัญ”
รถนักข่าวจอดอยู่ตรงลานจอดรถของบริษัท บรรดานักข่าวตากล้องลงจากรถ แล้ววิ่งกรูไปที่ประตูหน้าบริษัทเพื่อรอสัมภาษณ์
สักครู่หนึ่งได้ยินเสียงนักข่าวฮือฮาขึ้น เมื่อมีรถแวนคันหรูขับเข้ามาจอดที่หน้าประตูเข้าตัวบริษัท ทุกคนจำได้ว่ามันคือรถของ คุณหญิงปานรุ้ง นทีพิทักษ์ สมุทรเทวา
“คุณหญิงมาแล้วๆๆๆๆ”
นักข่าวต่างมาออกันที่ประตูรถแวนคันหรู แย่งกันยื่นไมค์ มือถือ ไปยังประตูรถที่กำลังจะเลื่อนเปิดออก มั่นใจว่าต้องได้คำตอบจากปานรุ้ง แน่ๆ
แต่ทว่าคนที่ก้าวลงมาจากรถคือ ธันวา เลขาหนุ่มของปานรุ้ง
นักข่าว1 ถามขึ้นทันที “คุณเลขา แล้วคุณหญิงล่ะคะ”
“วันนี้รถติด คุณหญิงจึงไม่ได้มาทางนี้ครับ”
นักข่าว 2 แปลกใจ “อ้าว แล้วท่านมาทางไหนครับ”
ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังมาจากไกลๆ เหนืออาคารสูงละแวกนี้
เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวจอดนิ่งอยู่กลางลานจอดชั้นดาดฟ้าอาคาร บริษัท P&ST AIRLINES
รอบๆ ลานจอด มีบอดี้การ์ดยืนอารักขาตามจุด หนึ่งในทีมบอดี้การ์ดรอเปิดประตูเครื่องบินให้
วาสุเทพซึ่งบัดนี้อายุเพิ่มมากขึ้นตามวัยวัน แต่ยังดูเท่ห์และภูมิฐาน ก้าวออกจากเฮลิคอปเตอร์นำมาก่อน แล้วค่อยๆ หันไปยื่นมือเพื่อรับปานรุ้ง
มืออันสวยงามสมวัยของปานรุ้ง ยื่นออกมาจับมือวาสุเทพไว้
ปานรุ้งสวมแว่นกันแดดหรู ลงจากเฮลิคอปเตอร์ด้วยชุดแบรนด์เนมราคาแพงระยับ ทรงผมและใบหน้า ได้รับการจัดแต่งอย่างสวยสง่า สมกับเป็นเจ้าของธุรกิจบริษัทสายการบินแถวหน้า ราคาหลายพันล้าน สองคนเดินควงกันเข้าตัวตึกไป
ธันวารออยู่แล้วรีบเดินเข้ามาหาทันทีที่เห็นเจ้านาย รายงานเรื่องนักข่าวมารอทำข่าวด้านล่าง ปานรุ้งเดินควงวาสุเทพพร้อมฟังธันวารายงานไปด้วย
“คุณหญิงครับ นักข่าวมารอขอสัมภาษณ์เรื่องที่คุณหญิงเทค โอเวอร์ บริษัท JS ทรานสปอร์ต ท่านมีแผนอะไรต่อ”
“ไปบอกนักข่าวพวกนั้น ฉันไม่มีแผน”
ธันวาชะงักนิดๆ “แล้วคุณหญิงจะซื้อมาทำไมครับ”
ปานรุ้งถอดแว่นกันแดดออกอย่างสง่า แล้วพูดกับธันวาด้วยสายตายิ้มๆ
“ทุบทิ้ง”
พูดจบ ปานรุ้งก็เดินควงวาสุเทพเข้าภายในออฟฟิศหรูไป
บอดี้การ์ดเดินมากดปุ่มลิฟท์แก้ว พร้อมกับพูดวิทยุวอแจ้งเจ้าหน้าที่ควบคุมลิฟท์
“ส่งลิฟท์ตัว 1 มาได้แล้ว”
ปานรุ้งและวาสุเทพเดินเข้ามาตามทาง ธันวาเดินตามหลัง
ปานรุ้งสั่งงานกับธันวาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “วันนี้เธอเอารายงานการประชุมที่นิวยอร์กมาให้ฉัน แล้วเลื่อนนัดคุณวิบูลย์จากวันอังคารไปเป็น วันพฤหัส แล้วจองเครื่องบินไปเนปาลให้ฉันอาทิตย์หน้า ภริยาของนายพลประจักษ์ท่านจะพากลุ่มเพื่อนไปแสวงบุญ สั่งกำชับพนักงานว่าให้ดูแลและบริการท่านให้ดี ท่านเป็นพี่สาวรัฐมนตรี เราพึ่งท่านเรื่องประมูลในอนาคตได้”
“ครับคุณหญิง”
วาสุเทพถามขึ้น “รุ้งจะทุบบริษัท JS ทรานสปอร์ตทิ้งจริงๆ เหรอ”
“จริงค่ะ แต่รุ้งไม่ได้ทุบเพราะแก้แค้นเล่นๆ นะคะ รุ้งมีแพลนจะใช้พื้นที่ตรงนั้นสร้างโรงแรมริมน้ำค่ะ”
ประตูลิฟท์แก้วเปิดพอดี ปานรุ้งเดินนำเข้าลิฟท์ไป วาสุเทพตาม ธันวาเดินตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย
สามคนอยู่ในลิฟท์แก้วที่กำลังเลื่อนลง ปานรุ้งยืนมองวิวด้านนอกลิฟท์ ขณะที่ลิฟท์กำลังไต่ระดับลง
“แค่ธุรกิจสายการบิน รุ้งก็ยุ่งแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว รุ้งจะยังจะมีแผนสร้างโรงแรมริมน้ำอีกเหรอ”
ปานรุ้งสนทนากับสามีนายพลเรือโทโดยที่สายตายังจับตามองที่วิวด้านนอกของตึก
“พี่เทพจำที่ดินผืนแรกที่รุ้งชวนพี่เทพซื้อได้ไหมคะ ที่ดินที่ปากช่องทั้งแห้งแล้ง ทั้งเปลี่ยว ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้าเข้ามา อย่าว่าแต่ปลูกบ้านเลย แค่ปลูกต้นไม้สักต้นยังลำบาก แต่รุ้งก็สู้อดทน
ปรับปรุงที่ดิน ถอนหญ้าทุกต้นด้วยมือของรุ้งเอง จากที่ดิน 1 ไร่ เพิ่มเป็น 10 ไร่ 100 ไร่ จนเป็นพันๆไร่ แล้วที่ดินที่ไม่มีใครเหลียวแล กลายเป็นเงินเป็นทองให้เราตั้งตัวจนมีตึกที่สูงเหนือใครๆ จนถึงทุกวันนี้”
ปานรุ้งหันหน้ามามองสามี
“สำหรับคนอื่น รุ้งอาจจะอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว”
คุณหญิงยอดนักธุรกิจหันไปมองท้องฟ้าภายนอก
“แต่สำหรับรุ้ง ยังค่ะ รุ้งแค่ยืนบนตึกที่สูงที่สุดเท่านั้น ซึ่งวันนึง ก็จะมีคนสร้างตึกที่สูงเท่าเรา เพราะฉะนั้น เราจะไม่อยู่สูงแค่ยอดตึก แต่รุ้งพาธุรกิจของเราไปให้สูงอยู่เหนือผืนเมฆ”
ปานรุ้งพูดโดยที่สายตายังจับจ้องมองที่วิวด้านนอกของตึกตลอดเวลา
บอดี้การ์ดยืนมาดเข้มรออยู่หน้าประตูลิฟท์ พอประตูเปิดออก ปานรุ้งเดินออกมาวาสุเทพเดินตามปานรุ้ง ธันวาเดินรั้งท้าย
พนักงานในชุดฟอร์ม สีเดียวกับสายการบิน เดินมาเห็นปานรุ้งและวาสุเทพ ทุกคนทำความเคารพนอบน้อม
“แต่รุ้งเพิ่งเปิดเส้นทางการบินใหม่ ถ้าจะสร้างโรงแรมริมน้ำ มันต้องใช้เงินทุนมากอยู่ พี่ว่ารุ้งน่าจะระงับไว้ก่อน”
ปานรุ้งหันไปพูดกับวาสุเทพด้วยสีหน้ายิ้มๆ อย่างคนที่มีแผนทุกอย่างในสมองอยู่แล้ว
“ไม่ค่ะ รุ้งต้องการจะเปิดโปรเจกต์นี้ไว้ให้ผู้จัดการฝ่ายบริหารคนใหม่”
วาสุเทพมองปานรุ้งอย่างฉงนฉงาน
“ผู้จัดการคนใหม่ ใคร”
ปานรุ้งยิ้มกริ่มยังไม่ทันตอบ พุดดิ้ง เลขาอีกคนของปานรุ้ง เดินนำนักข่าวต่างชาติ 2-3 คนเข้ามาหาปานรุ้ง ธันวาเห็นนักข่าวฝรั่งแล้วรีบรายงานปานรุ้ง
“คุณหญิงครับ นี่คือทีมงานจากนิตยสาร Strange นิตยสารธุรกิจจากประเทศอเมริกาที่จะเลือกสัมภาษณ์แต่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศและระดับโลกวันนี้เขาขอสัมภาษณ์คุณหญิงครับ”
ปานรุ้งยิ้มทักนักข่าวผมทองอย่างเป็นมิตร แต่ไว้ตัว
ภายในห้องทำงานอันใหญ่โต ตกแต่งหรูหราโมเดิร์นของปานรุ้งเวลานั้น คุณหญิงเพิ่งจะวางนิตยสาร Strange ซึ่งหน้าปกเป็นรูปนักธุรกิจชื่อดังระดับโลก สตีฟ จอบส์ ลงบนโต๊ะตรงโซฟามุมรับรองแขก ทีมงานของนิตยสารนั่งอยู่ตรงหน้าปานรุ้ง
วาสุเทพนั่งข้างปานรุ้ง ธันวายืนเยื้องออกมาทางข้างหลัง
ปานรุ้งบอกกับทีมงานว่า “ก่อนอื่น ฉันต้องขอบคุณพวกคุณที่ให้เกียรติสัมภาษณ์ฉัน...ฉันติดตามอ่านนิตยสารของพวกคุณมานานแล้ว ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาที่ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเท่านั้น”
“ไม่จริงหรอกครับ ได้ข่าวว่าคุณหญิงเพิ่งตกลงเปิดเส้นทางการบินเพิ่ม กรุงเทพ - ลอนดอน ในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง”
ปานรุ้งหัวเราะ พูดสัพยอก “รู้ข่าวจากไหนเนี่ย”
“นี่ยังไม่รวมที่คุณหญิงวางแผนจะสั่งซื้อเครื่องบิน เพื่อขยายธุรกิจเช่าเหมาลำอีกนะครับ”
ปานรุ้งชอบใจ หัวเราะเบาๆ “คุณนี่ทำการบ้านใช้ได้เลยนะ เรื่องธุรกิจเช่าเหมาลำ
จะเป็นส่วนที่สามีของฉัน” เธอผายมือไปทางวาสุเทพ “พลเรือโทวาสุเทพ นทีพิทักษ์ ท่านลาออกจากราชการมาเป็นที่ปรึกษาและช่วยดิฉันดูแลธุรกิจค่ะ”
“ผมชอบอ่านนิตยสาร Strange เพราะพวกคุณเลือกสัมภาษณ์นักธุรกิจ แต่คุณไม่พูดเรื่องธุรกิจ คุณจะมีหัวข้ออื่นสัมภาษณ์แขกของคุณ มันเป็นมุมที่คนอื่นคิดไม่ถึงว่านักธุรกิจบางคนจะมี ...แล้วอย่างปานรุ้ง พวกคุณเห็นมุมอะไรในตัวเขาครับ” วาสุเทพเป็นฝ่ายถาม
“นั่นสิค่ะ ฉันก็อยากรู้ว่าพวกคุณเห็นมุมไหนของฉันที่น่าสนใจ”
นักข่าวยิ้ม “มุมแม่ครับ”
สัมภาษณ์เสร็จ ปานรุ้งเดินออกจากลิฟท์ ตรงไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าประตูทางเข้าบริษัท วาสุเทพเดินตามหลังปานรุ้งมา
ธันวาเลขาปานรุ้งเดินตามหลังวาสุเทพอีกที วุ่นวายอยู่กับการคุยมือถือเกี่ยวกับเรื่องนัดประชุมของปานรุ้ง
บอดี้การ์ดเดินนำปานรุ้งมา คอยเปิดทางให้ และรักษาความปลอดภัย
พนักงานในชุดยูนิฟอร์มเครื่องแบบสายการบินต่างยืนเคารพปานรุ้งและวาสุเทพ
ปานรุ้งเดินตรงไปที่รถ นึกถึงนักข่าวที่สัมภาษณ์เธอเมื่อครู่นี้
โดยนักข่าวถามขึ้นอีก “ใครๆ ก็รู้ว่าบริษัท พี แอนด์ เอสที แอร์ไลน์ ก่อตั้งได้แค่ 10 กว่าปี แต่กำลังเติบโตเทียบระดับ แคร์แอร์ไลน์ สายการบินอันดับต้นของเอเชีย แสดงว่าคุณปานรุ้งต้องทุ่มเททำงานเต็มที่ แต่คุณปานรุ้งกลับ ไม่เคยทิ้งหน้าที่ของแม่ดูแลลูกทั้ง 4 คน”
ปานรุ้งหัวเราะก่อนตอบว่า “ใช่ค่ะ ฉันยอมรับว่ากว่าจะสร้าง P&ST มาถึงตรงนี้ได้ฉันเหนื่อยมาก แต่ถึงเหนื่อยยังไง ฉันต้องดูแลทุกอย่างของลูกเองอย่างน้อยได้กอด ได้เห็นเขายิ้ม ฉันก็หายเหนื่อย เพราะพวกเขา คือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน”
บอดี้การ์ดเปิดทาง ปานรุ้งเดินออกจากประตูบริษัท ถนอมคนขับรถ เปิดประตูรถรอท่า ปานรุ้งกำลังจะขึ้นรถ
ธันวาที่คุยมือถืออยู่รีบกดวางสาย แล้วเดินเข้าไปทักท้วงไว้ ก่อนที่ปานรุ้งจะขึ้นรถ
“คุณหญิงครับ อีกครึ่งชั่วโมงท่านจะมี Conference กับทางบริษัทลอนดอน”
ปานรุ้งชะงัก แล้วหันมาพูดแย้ง น้ำเสียงจริงจังกับธันวา ว่า
“เมื่อวานฉันให้เธอนัด Conference 5 โมงเย็นไม่ใช่เหรอ”
“ครับ แต่ทางโน้นเพิ่งโทร.มาเลื่อนเวลาครับ”
“บอกทางโน้นว่าช่วงเวลา 4 โมงถึง 5 โมงเย็น ฉันไม่ทำงาน เวลาช่วงนี้ฉันต้องไปรับลูก”
“แต่ว่า...”
วาสุเทพเดินตามออกมา เอ่ยขึ้น “งั้นรุ้งไปรับลูก เดี๋ยวพี่อยู่ประชุม Conference เอง เพราะโปรเจกต์นี้ เป็นโปรเจกต์ของพี่อยู่แล้ว”
“ได้ค่ะ แต่พี่เทพต้องจดรายงานให้รุ้งด้วยนะคะ รุ้งอยากรู้รายละเอียดด้วยเหมือนกัน” ปานรุ้งสั่งถนอมขณะก้าวขึ้นรถ
“ไปรับลูกสาวกับลูกชายคนเล็กของฉัน”
ปานรุ้งขึ้นรถ ใบหน้าสวยสง่ายิ้มพราย เมื่อนึกถึงทายาท 2 คน ที่เกิดจากความรักของเธอกับวาสุเทพ
อ่านต่อตอนที่ 11