ปริศนา ตอนที่ 1
บ้านสุทธากุล เป็นเรือนไม้สองชั้น สร้างบนเนื้อที่ในราว 1 ไร่ อยู่ค่อนไปทางปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ มีถนนสายเล็กๆ ตัดผ่าน และบ้านเรือนผู้คนละแวกเดียวกัน ไม่แออัดมากนัก
ระหว่างที่ คุณนายสมร สุทธากุล ซึ่งสวมหมวกใส่เสื้อแขนยาว นุ่งผ้าถุงยาว ถือกรรไกรตัดแต่งต้นไม้ริมรั้วหน้าบ้าน พร้อมนายช่วง คนสวนอยู่นั้น เสียงกระดิ่งรถจักรยานดังขึ้น เจ้าของบ้านวัยกลางคนหันไปยิ้มรับ ด้วยจำได้ว่าเป็นเสียงจักรยานของบุรุษไปรษณีย์
"มีจดหมายหรือจ๊ะ"
"ไม่ใช่ขอรับ มีโทรเลขมาขอรับ"
บุรุษไปรษณีย์พูดพลางยื่นซองใส่โทรเลขให้ แล้วขยับหมวกแสดงความเคารพ ก่อนจะออกรถไป ขณะที่สมรค่อยๆ แกะซองออก แล้วเปิดอ่านข้อความในโทรเลข ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความยินดี
"ปริศนา"
นางอุทานด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนจะหันไปหาช่วง
"ช่วง เก็บกิ่งไม้ไปทิ้งหลังบ้านด้วยนะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน"
"ขอรับ"
ช่วงวางมือจากภารกิจในสวน แล้วเริ่มเก็บของ ขณะที่สมรรีบคว้ากระติกน้ำที่ติดตัวมาซึ่งวางอยู่ที่พื้น เดินเข้าบ้านไปอย่างเร่งรีบ
ภายในห้องโถงที่บ้านสุทธากุล
อนงค์ บุตรีคนที่ 3 ของสมร กำลังช่วยกันจัดตะกร้าที่มีขวดน้ำ แก้วน้ำ มีดปอกผลไม้ ช้อนส้อมจานชาม โดยมีจำเนียรช่วยเป็นลูกมืออย่างแข็งขัน
สมรกระวีกระวาดเข้ามา
"อนงค์ เราคงอยู่หัวหินถึง 10 วันไม่ได้แล้ว" สมรบอกลูกสาว
"มีอะไรหรือคะแม่" อนงค์หันมาถามมารดา
"ปริศนาน่ะสิ เปลี่ยนใจ ว่าเบื่อเรือแล้ว ถึงสิงคโปร์เมื่อไหร่จะจับเครื่องบินกลับมา"
ผู้เป็นแม่ยื่นโทรเลขให้บุตรีดู อนงค์ยิ้มอย่างดีใจ ที่จะได้เจอปริศนา ผู้เป็นน้องสาวคนสุดท้อง
"หรือว่าเราจะงดไปหัวหินกันคะ"
"คงไม่หรอกลูก คุณสร้อยอุตส่าห์จัดการให้ได้พักถึงในบริเวณตำหนักมโนรมย์ สิรีก็ลางานแล้ว"
สิรีที่สมรพูดถึง คือบุตรีคนที่ 2 ของนาง บ้านนี้มีลูกสาวด้วยกัน 4 คน คืออุบล สิรี อนงค์ และปริศนาตามลำดับ
"ปริศนากลับมาเมืองไทยแล้ว เราน่าจะพาแกไปเที่ยวหัวหินด้วย" อนงค์บอกกับมารดา
"ปีหน้าก็ได้ นั่งเรือมาจากอเมริกา แม่ว่าปริศนาอยากนอนพักมากกว่า คงเบื่อทะเลแย่ไปแล้ว ถึงบอกจะขึ้นเครื่องบินกลับทันทีที่ถึงสิงคโปร์ อีก 3-4 วันเท่านั้น ก็ทนไม่ไหว"
พอมารดาพูดเสร็จ อนงค์ก็หันไปสั่งจำเนียร
"จำเนียรยกตะกร้าไปวางรวมกัน แล้วคืนนี้จัดกระเป๋ามาวางรวมไว้เลยนะ เวลายกของขึ้นรถจะได้ไม่ตกหล่น"
"ค่ะ"
สาวใช้รับคำ พร้อมกับยกตระกร้าถอยห่างออกไป สมรก้มอ่านโทรเลขอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามาบอกกับบุตรีคนรองสุดท้อง
"อนงค์ ลูกคงจำปริศนาไม่ได้แน่ นานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นกัน"
สมรย้อนคิดถึงอดีต
ณ สนามหน้าบ้านคุณย่าของปริศนา สมรเงยหน้าขึ้นจากการมองทารกในอ้อมกอด
"คุณย่าตั้งชื่อให้แกว่าปริศนาค่ะ คุณวิรัช" เสียงของนางส่อความสะเทือนใจ
วิรัชมองนิ่งๆ อย่างเห็นใจในตัวพี่สะใภ้ "พี่สมร หลานคนนี้ ยกให้ฉันเถิดนะ"
สมรมองวิรัชอย่างงงๆ
"เสียดาย ที่พี่วิสุทธิ์อยู่ไม่ทันได้เห็นลูกสาวคนนี้ ฉันอยากให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีอย่างสุทธากุลคนอื่นๆ แต่จะรับเลี้ยงตอนนี้ แกจะอ่อนเกินไปนัก ฝากพี่สมรเลี้ยงแกให้โตสักหน่อย"
พูดพลางยื่นซองใส่เงินให้พี่สะใภ้
"แล้วฉันจะไปรับมาเลี้ยง ส่งเสียให้แกได้เล่าเรียน"
สมรทำท่าจะไม่รับเงิน แต่วิรัชคะยั้นคะยอ
"รับไว้เถิดพี่สมร ลูกยังอีกหลายคน ต้องกินต้องใช้ กำลังโตทั้งสิ้น ปริศนาคนนี้ ให้มาเป็นลูกของฉันเสียเถอะ"
ผู้เป็นมารดาถึงกับน้ำตาไหล หากพยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้น
ผ่านเวลาไป 7 ปี ขณะนั้นบรรดาพี่สาวทั้ง 3 คน ได้แก่ อุบล สิรี และอนงค์ อยู่ในวัย 15-16 ปี กำลังยืนมองอยู่หน้าบ้าน
ปริศนา ในวัย 7 ขวบถามวิรัชผู้เป็นอา
"คุณอาขา ปริศนาจะไปเที่ยวเมืองนอกกับคุณอาหรือคะ"
"จ้ะ ไปเที่ยวและก็ไปเรียนหนังสือที่อเมริกา"
ปริศนาเต้นอย่างดีใจ พร้อมกับพร่ำพูดประสาเด็ก
"ไปอเมริกา ไปอเมริกา"
สมรดึงตัวลูกสาวคนสุดท้องมากอด และหอมแก้มซ้ายขวา ก่อนจะปล่อยให้ผู้เป็นอาจูงมือเด็กหญิงออกไป พร้อมกับที่ช่วงยกหีบของใช้จากตัวบ้านไปขึ้นรถ ปริศนาเต้นตามไป และหันมาโบกมือให้สมร ผู้เป็นแม่ยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะค่อยๆ โบกมือให้ลูกสาวคนสุดท้อง พร้อมกับที่อุบล สิรี และอนงค์ โบกมือให้น้องสาวคนเล็ก
"ต้องจัดห้องให้ปริศนาด้วยนะ ปีนี้ปริศนา อายุจะ 19 ปีแล้ว"
สมรหันมาบอกกับอนงค์
"ให้น้องนอนห้องเดียวกับอนงค์ก็ได้ค่ะ พอจะเลื่อนของจัดห้องใหม่ได้ วางเตียง วางตู้สำหรับ 2 คน"
สมรลุกขึ้นทันที
"เราจะไปจัดกันเลยไหม อนงค์"
"แม่ขา อย่าเพิ่งเลย จำเนียรกับช่วง เพิ่งช่วยลูกจัดของไปหัวหินเสร็จ มัวไปจัดห้องอีก ขัดยอกขึ้นมา จะไปหัวหินไม่สนุก ไว้กลับมา เราค่อยจัดห้องกันค่ะ"
จังหวะนั้น อุบลลูกสาวคนโต กับสมศักดิ์ ผู้เป็นสามี ก็ก้าวเข้ามาในบ้าน
"ดูเหมือนมีเรื่องสำคัญกันอยู่ทีเดียว"
"ปริศนาน่ะสิ จะกลับมา" สมรหันมาบอกลูกสาวคนโต
"มาเมื่อไหร่ครับ กระผมจะไปรับให้" สมศักดิ์ขันอาสา
"อีก 7 วัน ต้องไปรับที่ดอนเมือง แต่ว่าอุบลจะจำปริศนาได้ไหม ตอนไปอเมริกากับอาวิรัช ตัวนิดเดียว"
"จำไม่ได้มังคะแม่ รูปที่มีอยู่ ก็หลายปีแล้ว"
สมศักดิ์หัวเราะ "คุณแม่ไม่ต้องกังวลหรอกครับ กระผมจะพาอุบลไปรอรับปริศนาเอง ประเดี๋ยวจะเขียนชื่อปริศนา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ชูไว้ ไม่พลาดแน่ครับ"
สมรพยักหน้ายิ้มๆ "เออ จริงสิ ไม่ทันคิด ขอบใจนะ สมศักดิ์ มาๆ มากินข้าวกัน"
"ให้จำเนียรตั้งโต๊ะซิ เดี๋ยวสิรีคงมาถึง นายช่วงเอารถออกไปรับอยู่" อนงค์บอก
สมรลุกขึ้นไปที่โต๊ะอาหาร อุบล และอนงค์ตามไปช่วยด้วย
ณ ชายหาดหัวหิน บริเวณหน้าตำหนักมโนรมย์ ยามเย็นเมื่อแดดร่มแล้วชายทะเลแลดูเงียบสงบ น้ำทะเลเป็นสีเขียวมรกต 2 พี่น้องสิรี และอนงค์เดินเล่นอยู่ริมทะเล
"7 วัน ผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ สิรี" อนงค์บอก
"ป่านนี้ นงลักษณ์ชะเง้อคอยแล้ว ลูกค้าเร่งกันทุกคน"
"มาเที่ยวแล้วยังห่วงงาน กลับไปจะช่วยเองนะ สิรี"
"ดูเหมือนเธอยังไม่อยากจะกลับเลย อนงค์" สิริเย้า
"ตั้งใจจะมาสัก 10 วัน มาได้แค่ 7 วัน เอง เสียดายเหลือเกิน"
"ไม่ตื่นเต้นที่จะได้เจอปริศนาหรือ คุณแม่กังวลเรื่องจะไปรับปริศนามาก"
อนงค์ยิ้มให้พี่สาว "ไม่ได้เจอกันเป็น 10 ปี ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดานะ สิรี ยังนึกไม่ออกเลยว่า ปริศนาจะเป็นยังไง คนไปโตเมืองนอก จะเป็นเหมือนฝรั่งไหม"
พออนงค์พูดจบ ประวิช ก็เดินมาจากตำหนักมโนรมย์ ตรงเข้ามาหา 2 สาว
"อนงค์ สิรี ป้าสร้อย ให้มาตามไปรับประทานอาหาร จัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว"
สิรีรีบจูงมืออนงค์ "มาอนงค์ วิ่งแข่งกัน ใครจะไปถึงโต๊ะอาหารก่อนกัน"
ขาดคำก็รีบวิ่งนำไป แต่อนงค์ไม่ได้วิ่งตาม หากเมื่อเดินผ่านประวิช ก็ชายตามองเขาอย่างสนใจ ก่อนจะหลบตาอย่างเอียงอาย
แล้วเริ่มวิ่งตามพี่สาวออกไป
อีกด้านหนึ่ง สมรนั่งคุยอยู่กับสร้อยที่โต๊ะอาหาร
“เสียดาย จะกลับกันแล้ว พรุ่งนี้เช้าไปส่งคุณสมร แล้วก็จะรอรับท่านหญิงรัตน์กับวิมล แล้วเพื่อนๆ ท่านอีก 3 คนมาค้างที่นี่”
สร้อยเอ่ยขึ้นมา สมรหันมาถามอย่างต้องการจะให้แน่ใจ
“ท่านหญิงเสด็จหัวหินด้วยเหรอคะ”
“ ปิดเทอมทีนึง ท่านพี่ ก็ส่งท่านหญิงไปเที่ยว ไปเชียงใหม่ เพิ่งกลับกันมา ท่านพี่ต้องทรงงาน ส่วนท่านหญิง ยังว่างอีกนานกว่าจะเปิดเทอม”
สมรพยักหน้ายิ้มๆ “ท่านชายคงจะต้องทรงงานหนัก การรักษาไข้ด้วยการผ่าตัด เป็นผลดี แต่หมอผ่าตัด ก็ยังมีน้อย”
สร้อยถอนหายใจอย่างเป็นห่วง
“วันไหน คนไข้หลายคน ท่านก็เด็จกลับมืดๆ ค่ำๆ ฉันเตือนว่าท่านจะเหนื่อย ท่านก็รับสั่งว่า ฉันแค่เหนื่อย แต่ชีวิตคนไข้ทั้งชีวิต ท่านอยากช่วยเขาก่อน เวลาพักของท่านอีกถมเถ”
จังหวะนั้นอนงค์กับสิรีก็เดินเข้ามา ประวิชที่เดินตามเข้ามาทีหลังรีบเลื่อนเก้าอี้ให้อนงค์อย่างเอาใจ ส่วนคนของตำหนักเลื่อนเก้าอี้ให้สิรี
“ได้ข่าวว่าคุณ 2 คนจะกลับพรุ่งนี้เช้า คืนนี้ไปกินไอสครีม ที่ โฮเต็ลกันไหม” ประวิชหันมาถาม นัยน์ตาเป็นประกาย
อนงค์ก้มหน้าเอียงอาย “อย่าเลยค่ะ ต้องเก็บของอีก เกรงว่าจะต้องรีบ”
“โธ่ มาเที่ยวหัวหินทั้งที ยังต้องห่วงเก็บของ”
สร้อยหันมายิ้มให้ประวิชอย่างเอ็นดู
“สาวๆ เขาไม่เหมือนเราหรอกคุณวิช คุณน่ะ มีคนของท่านชายตามเก็บให้เป็นขบวน”
“เป็นอันว่า มาหัวหินครั้งนี้ ดีกว่ามาหัวหินครั้งอื่นๆทั้งหมดทีเดียว ผมอยากเลี้ยงส่งคุณอนงค์ กับคุณสิรี จริงๆ ไปโฮเต็ลกันเถอะ”
ประวิชสบตาตรงๆ จนอนงค์สะเทิ้นอาย รีบก้มหน้าก้มตาลง
ณ สถานีรถไฟหัวหิน เช้าวันรุ่งขึ้น
รถไฟขบวนยาวจอดนิ่งอยู่ที่ชานชาลา ประวิช ยืนอยู่ข้างๆ สร้อย ครู่หนึ่งเสียงระฆังและหวูดรถไฟก็ดังขึ้นมา พร้อมกับที่รถไฟค่อยๆ เคลื่อนออกจากสถานี
สร้อยโบกผ้าเช็ดหน้าไหวๆ ประวิชโบกมือลา สมรที่อยู่บนขบวนรถไฟ พร้อมกับลูกสาวทั้ง 2 คน ยกมือโบก สิรียกมือไหว้ลาสร้อย และโบกมือให้ ส่วนอนงค์เพียงไหว้ลาเฉยๆ
อนงค์นั่งเหม่อมองออกไปนอกขบวนรถไฟเพียงคนเดียว ส่วนสิรีนั่งคุยจ้ออยู่กับมารดา ขณะที่ ประวิชนั่งอยู่กับสร้อยที่สถานีรถไฟเพื่อรอรถเที่ยวจากกรุงเทพฯ รับท่านหญิงรัตนาวดี
“แม่อนงค์คนนี้ น่าเอ็นดูเสียจริง เสียดายที่เวลาน้อยเหลือเกิน ทำไม วิช ถึงไม่เคยเจอมาก่อน”
ประวิชบ่นอย่างเสียดาย สร้อยหันมามองค้อนอย่างหมั่นไส้
“ก็คุณวิช มัวแต่วิ่งตามสาวๆ คนอื่นอยู่น่ะสิคะ แต่แม่สมรน่ะ พาลูกๆ มาหัวหินทุกปี หลายปีแล้ว ลูกสาวคนกลาง แม่สิรีน่ะ ช่วยร้านแม่นงลักษณ์ตัดเสื้อผ้า เห็นว่างานมากเหน็ดเหนื่อย พามาเปิดสมอง ส่วนแม่อนงค์ ก็ไม่ค่อยแข็งแรง อยู่บ้านกับแม่ แม่ก็อยากให้ได้อากาศดีๆ บ้าง”
ประวิชยิ้มกรุ้มกริ่ม “ต่อแต่นี้ไป วิชจะมาหัวหินทุกปีเลยทีเดียว คุณป้าสร้อย บอกด้วยก็แล้วกัน ว่า บ้านคุณนายสมรนี่จะมาเมื่อไหร่ จะได้ลางานมาให้ตรงกัน แล้วต้องวานขอทางไปบ้านด้วยเถอะ จะแวะไป
เยี่ยม”
“คุณวิช เป็นเอามากเหมือนเคยนะคะ พบกันแค่ 7 วัน ถึงวันที่ 10 คุณก็ท่าจะลืม อนงค์เป็นเด็กดี เรียบร้อย สมรเขาก็เป็นครูเก่า ไม่น่าจะสนับสนุนให้ลูกคบกับหนุ่มลอยชายอย่างคุณหรอกค่ะ”
ประวิชทำหน้าอ้อน “ผมไม่ดียังไงป้าสร้อย ผมไปหาลูกสาวบ้านไหน ไม่มีใครปฏิเสธ หากไม่คบหากัน จะดูใจกันได้อย่างไร เขาว่าคู่ครองที่ดี เป็นศรีชีวิต จะสนับสนุนหน้าที่การงานให้ก้าวหน้า และเติมเต็มชีวิต
ของคนเรา”
“แต่คุณคบหาใครต่อใครเยอะแยะไปหมดค่ะ ได้ดูใจตัวเองหรือยังว่าตกลงปลงใจกับใคร จนอิฉันว่า สาวๆ น่าจะระย่อกันไปเสียหมดแล้ว” สร้อยไม่วายพูดเหน็บ
“ป้าสร้อย อย่าหัวโบราณสิ ให้ตั้งใจไว้ว่าจะชอบเสียก่อนรึ ถึงจะมาดูใจ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่ารักนั้นแท้จริงหรือไม่ หรือว่าพอคบกันไป ก็ต้องจำใจแต่งงานกันเพราะเกรงคำครหา ทั้งๆ ที่ยังไม่ถูกใจ ชีวิตสมรสก็จะขมขื่น ไม่สมควรหรอก”
สร้อยส่ายหน้าช้าๆ “เวียนหัวค่ะ อิฉันเวียนหัวกับคนสมัยนี้เหลือเกิ๊น ใจตัวเอง ยังไม่รู้ว่ารักกัน
รึเปล่า เฮ้อ จะเป็นลม แล้วเรื่องแม่อนงค์ คุณวิชคงจะลืม เมื่อกลับไปถึงพระนครแล้วเป็นแน่นอน”
ประวิชนึกขัดใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก เพราะยังเกรงใจสร้อยอยู่ในที
ห้องนอนของอนงค์ถูกจัดใหม่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเตียงวางขนานกันอยู่ 2 เตียง โต๊ะ เครื่องแป้ง และโต๊ะเขียนหนังสืออย่างละ 1 ตัว
สมรมองไปรอบๆ ห้อง แล้วเอ่ยขึ้นมา
“โต๊ะเขียนหนังสือ ได้เพียงตัวเดียว เต็มห้องซะแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่ ผลัดกันได้ ลูกไม่ชอบเขียนหนังสือสักเท่าไหร่”
อนงค์ยิ้มให้มารดา พร้อมๆ กับที่สิรีหอบปลอกหมอน และผ้าปูที่นอนเข้ามา
“ผ้าปูที่นอน ที่ลูกทำเก็บไว้ ให้ปริศนาไปใช้ก่อน”
“ลูกมีผ้าห่ม 2 ผืน แบ่งให้ปริศนาผืนหนึ่งได้ค่ะ แม่” อนงค์พูดพลางเปิดตู้ หยิบผ้าห่มสีสวย
ออกมา “ลองซื้อผ้าแพรมาปักเพิ่ม เพิ่งเสร็จเมื่อเดือนที่แล้วเอง ให้ปริศนาเป็นของขวัญต้อนรับน้อง”
ช่วงกับจำเนียร รับผ้ามาจากสิรี แล้วช่วยกันลงมือปูเตียงให้ปริศนา สิรีมองน้องสาวยิ้มๆ
“คืนนี้อนงค์ จะนอนหลับไหม”
“นั่นน่ะสิ สิรี พลอยตื่นที่ไปด้วย อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ อยากเจอปริศนา”
สมรรีบบอก “พรุ่งนี้ สมศักดิ์จะไปรับปริศนา อนงค์กับแม่รอที่บ้านนะ ไม่รู้ว่าข้าวของอะไร
จะมีมากไหม”
“ค่ะ แม่”
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 1 (ต่อ)
อนงค์นั่งปักผ้าเช็ดหน้าเงียบๆ อยู่ระเบียงหน้าเรือน มีตะกร้าใส่อุปกรณ์การปักและผ้าที่ใช้ทำผ้าเช็ดหน้าข้างๆ ตัว
ชุดผ้าเช็ดหน้านี้ เธอตั้งใจจะให้เป็นของขวัญในวันเกิดมารดา แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยมีสมาธิมากนัก รังแต่เหลือบมองไปทางประตูบ้าง เหม่อลอยไปเบื้องหน้าบ้าง
ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย ปักเป็นรูปทะเล และปลา ประหนึ่งว่าผู้ปักกำลังใจลอยคิดถึงทะเล มือเรียวบางค่อยๆ ลูบไล้ลายปักอย่างแผ่วเบา พลางคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับประวิชในขณะที่ไปเที่ยวหัวหิน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันที่ริมหาดราวกับคู่รัก
แล้วเสียงเปิดประตูใหญ่หน้าบ้านก็ดึงให้อนงค์ตื่นจากภวังค์
สมศักดิ์ขับรถเข้ามาในบ้าน ปริศนานั่งอยู่เบาะหลัง มีกระเป๋าหีบใส่วางอยู่บนหน้าตัก
สมรรีบวิ่งลงมาจากบ้าน อนงค์รีบเก็บของใส่ตะกร้า แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนก้าวลงไปช้าๆ มองเข้าไปในรถอย่างสนใจ
สมศักดิ์ขับรถมาจอดหน้าบ้าน พร้อมกับที่ปริศนาเปิดประตูลงมาจากรถ
อนงค์อุทานด้วยความดีใจ “ปริศนา ?”
ปริศนาทำหน้างงๆ ก่อนจะพูดด้วยสำเนียงไทยแปร่งๆ “อโนงงงง ใช่ไหม?”
สมรยิ้มกว้าง “ปริศนา มาถึงแล้วหรือลูกแม่”
ปริศนามองแม่เต็มตา
“แม่ แม่จ๋า แม่ของปริศนา”
เธอรีบโผเข้าสวมกอดมารดาค้วยความคิดถึง พอหันไปเห็นอนงค์ยืนน้ำตาซึมอยู่ข้างๆ ก็ถามซ้ำอีกครั้ง
“นี่อโนงใช่ไหม”
อนงค์น้ำตารื้น “ปริศนา?”
2 พี่น้องสวมกอดกันแนบแน่น
จำเนียรและช่วงออกมาจากด้านในบ้านช่วยสมศักดิ์ขนกระเป๋า สมรหันมาบอกกับลูกสาวคนเล็ก
“ยินดีต้อนรับปริศนากลับบ้านนะจ๊ะ”
ปริศนามองไปรอบๆ สมศักดิ์ยิ้มให้น้องภรรยาอย่างเอ็นดู
“เป็นยังไง จำได้บ้างไหม”
“บ้านเรา เหมือนเดิมๆ เลย นานแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนเท่าไหร่ แต่อนงค์สวยขึ้น สิรีเล่าอยู่ไหน อุบลด้วย”
สมศักดิ์รีบบอก
“สิรีไปร้าน คงกลับเย็นๆ อุบลก็เหมือนกัน เย็นนี้จะพามาแวะหาปริศนาพร้อมหน้ากัน ผมกลับไปทำงานก่อนนะครับ”
สมรยิ้มรับลูกเขย “ขอบใจมากนะ สมศักดิ์”
สมศักดิ์ยกมือไหว้ลา แล้วเดินออกไป สมรหันมาทางปริศนา
“ห้องของอนงค์ จัดแบ่งให้ปริศนาอยู่ด้วยแล้วลูก ขึ้นไปดูห้องก่อน”
“ลูกพาน้องขึ้นไปเองค่ะแม่” อนงค์บอกกับแม่ ก่อนจะพยักหน้าเรียกปริศนา ช่วงกับจำเนียร ช่วยกันยกกระเป๋าเข้าบ้านไปแล้ว
ปริศนายิ้มอย่างปลื้มใจ
“That’s nice! ขึ้นไปดูห้องนะ ของอื่นๆ มาทางเรือหมด วันหลังปริศนา เอาของฝากให้แม่นะคะ”“ จ้ะ แล้วลงมากินของว่างกันนะ”
“ค่ะ แม่”
อนงค์จูงมือปริศนาขึ้นไปข้างบน พร้อมหิ้วตะกร้าผ้าปักไปด้วย สมรมองตามลูกสาวทั้ง 2 คน พลางยิ้มอย่างภูมิใจ และมีความสุข
กระเป๋าของปริศนาที่ยกลงจากรถถูกวางไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว อนงค์เดินเข้ามาหน้าเตียงที่เตรียมไว้ให้น้องสาวคนเล็ก
“ปริศนานอนเตียงนี้นะ ตู้เสื้อผ้าอยู่นี่ มีที่ให้ปริศนาเก็บของ แต่เราใช้โต๊ะเครื่องแป้ง กับโต๊ะเขียนหนังสือด้วยกัน”
ปริศนาพยักหน้านยิ้มๆ “good”
“เดี๋ยวเย็นๆ เราต้องขึ้นมากางมุ้ง ไม่อย่างนั้นยุงจะกัด”
ปริศนาทำหน้าขยาด
“ยุงเรอะ mosquitos น่ากลัว อืมม์ ต้องกางมุ้ง”
จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปเปิดกระเป๋าเพื่อรื้อเสื้อผ้าออกมา
“เสื้อผ้าของปริศนา มีไม่มากเลย แต่เอาเกือกมาหลายคู่ที่ใส่แล้วเดินสบาย”
อนงค์ยิ้มให้น้องสาว “สิรีตัดเสื้อ พี่ก็ตัดเป็น ช่วยสิรีตัดเย็บเสื้อผ้าบ่อย อยากได้เสื้อไหม พี่ตัดให้”
“ตัดเสื้อ เปิดร้านรึ”
“สิรีทำงานอยู่ร้านคุณนงลักษณ์ มีลูกค้ามาก เพราะฝีมือดี เสื้อไปงานก็ได้ราคาดี แต่งานมาก สิรีบ่นเหนื่อย”
ปริศนาทำหน้าสงสัย “ทำไมไม่เปิดร้านเอง”
“เราไม่มีทุนหรอกปริศนา ตอนนี้แม่ก็ไม่ได้ทำงาน คุณยายก็ป่วยกระเสาะกระแสะ แม่เตียง ต้องดูแลคุณยายอย่างเดียวเลย เราต้องจ้างคนทำงานบ้าน ตั้งหลายคน”
สีหน้าของปริศนาเครียดขึ้นมาทันที “สิรีทำงานคนเดียวหรือ”
พูดพลางมองเห็นชุดที่สอยค้างอยู่บนเตียงของอนงค์ ก็ยกขึ้นมาดู อนงค์รีบบอก
“ไม่หรอก ที่สิรีเขาทำไม่ทัน ก็มาจ้างพี่ให้ช่วยทำบ้าง”
“ทุกคนต้องทำงาน ดีแล้ว ปริศนาต้องทำงานด้วยเหมือนกัน แม่ มีภาระมาก รายได้น้อยมากๆ คุณอาจึงขอปริศนาไปเลี้ยง แล้วส่งเสียให้เรียน ถูกไหม?”
สีหน้าของอนงค์สลดวูบ
“ช่วงที่ปริศนาเกิด คุณพ่อเสียแล้ว ถ้าปริศนาไม่ได้ไปอเมริกากับคุณอา ก็คงไม่ได้เรียนหนังสือ คงจะแค่อ่านออกเขียนได้อย่างพี่”
ปริศนายิ้มให้พี่สาวอย่างรักใคร่
“อนงค์ ไม่สบาย ป่วยบ่อย ไม่ใช่หรือ แม่เลยสอนหนังสือให้เองที่บ้าน อย่าน้อยใจซิ แล้วปริศนาจะช่วยทำงาน”
“เย็บผ้าเป็นไหม ปริศนา”
ปริศนาพยักหน้าหงึก
“เป็น เสื้อสวยๆ ทำไม่เป็น อยู่โน่น ซื้อใส่เอา ปริศนาเรียน Secretary ทำกับพวกบริษัทฝรั่ง น่าจะดี”
“จะไปทำกับพวกพ่อค้าอย่างนั้นหรือ น่ากลัวจัง”
“ต้องได้ซิ เรียนมาแล้วต้องทำได้”
ปริศนายิ้มอย่างมั่นใจ อนงค์แอบเป็นห่วงน้องสาว
ปริศนาเปิดหีบใบหนึ่ง แล้วหยิบซองกระดาษใส่ใบประกาศนียบัตรออกมา ก่อนจะมาอวดมารดา
“นี่ไงคะ Certificate ของปริศนา แม่รู้จักใครที่ต้องการ secretary บ้างไหมคะ ปริศนา ช้อตแฮนด์ได้ด้วยนะคะ”
สิรีหันมาถามน้องสาว “ปริศนา จะทำงานกับใคร บริษัทฝรั่งหรือ”
“ ฮื่อ น่าจะหางานได้ไม่ยากนัก”
สมรมองลูกสาวคนเล็กอย่างห่วงใย
“ปริศนาอายุ 19 เองลูก จะไปนั่งทำงานในบริษัทฝรั่งมังค่า ที่มีพวกผู้ชายทั้งนั้นได้ยังไง”
“ทำได้สิคะ ที่เมืองนอก ใครๆ เขาก็ทำกัน”
“ถ้ามีคนรู้จักอยู่แม่ก็ไม่ค่อยห่วง แต่ไม่มีใครรู้จักเลย แม่ห่วงจ้ะ”
สิรีรีบบอก “ต้องลองถามกันดูนะคะ รู้จักที่ไหน ที่ต้องการเลขาบ้าง พี่จะช่วยถามให้ ที่ร้านลูกค้าเยอะ”
อนงค์พูดขึ้นมาบ้าง “หรือจะเขียนหนังสือ ทำงานที่บ้าน เป็นเพื่อนพี่”
ปริศนาย่นจมูกให้พี่สาว
“ม่าย ปริศนาไม่อยากอยู่บ้าน อยากทำงานพบกับคนอื่นๆ บ้าง ยังไม่รู้เลยว่า คนอื่นๆ ในเมืองไทยนี่ เขาเป็นยังไงกัน”
สิรีจับมือปริศนาขึ้นมา “พี่จะลองหาช่องทางให้ดู”
สมรพยักหน้า อนงค์มองท่าทางของสิรีอย่างชื่นชม ปริศนาพยักหน้ารับช้าๆ
รตีขับรถคันโก้เข้ามาจอดที่หน้าร้านตัดเสื้อของนงลักษณํ ก่อนจะก้าวลงมาด้วยท่าทางเชิด หยิ่งหล่อนแต่งตัวสวยจัด สีสันฉูดฉาดบาดตายิ่งนัก เมื่อเพ่งมองดูร้านจนแน่ใจ ก็รีบหยิบห่อกระดาษสีน้ำตาลในรถ แล้วก้าวฉับๆ เข้าไปในร้าน
ขณะที่สิรีกำลังแปะกระดาษทำแพทเทิร์นอยู่บนโต๊ะตัดผ้า ส่วนนงลักษณ์ กำลังลองชุดให้สงวนอยู่หน้ากระจกที่ตั้งอยู่บนพื้น ใกล้กันมีห้องลองเสื้อ ที่เป็นม่านปิด
รตีเดินเข้ามาภายในร้าน พร้อมทั้งห่อผ้า เมื่อมองเห็นสิรีก็พูดข่ม
“อ้าว นงลักษณ์ไม่อยู่หรอกหรือ”
“อยู่ค่ะ จะตัดเสื้อหรือคะ”
รตีเชิดหน้า “ใช่ จะมาตัดเสื้อกับนงลักษณ์”
“คอยประเดี๋ยวนะคะ นงลักษณ์กำลังลองเสื้อให้ท่านอาจารย์สงวนอยู่”
รตีปรายหางตาไปทางสงวน ก่อนจะหันมาบอกกับสิรี
“แกะห่อผ้าดูสิ มาจากนอก”
นงลักษณ์ส่งอาจารย์สงวนกลับไปในห้องลองเสื้อเพื่อเปลี่ยนชุด แล้วก็เดินมาต้อนรับรตี
“คุณรตี กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“หลายวันแล้ว มาถึงก็ต้องออกงาน เลยต้องมาตัดเสื้อเพิ่ม”
“ตายจริง คุณรตียังไว้ใจให้ดิฉันตัดเสื้อให้อีกหรือคะ ได้ข่าวว่าจบตัดเสื้อมาจากฟิลิปปินส์”
รตียิ้มหยัน “ทำไมล่ะ นงลักษณ์ ก็เป็นช่างตัดเสื้อมือหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือ ฉันไม่ว่างหรอก แต่จะเขียนแบบให้ดู ว่าอยากได้อย่างไหน”
นงลักษณ์รีบส่งสมุดให้รตี พร้อมกับจับเนื้อผ้าที่สิรีแกะห่อไว้ให้
“ 3 ชุดนี่ ฉันอยากได้วันศุกร์ ตัวนี้ขอแบบหรู จะไปวังท่านชายพจน์”
สิรีเหลือบหางตามองรตี ที่เอ่ยชื่อท่านชายพจน์ปรีชาอย่างจับจอง
จังหวะนั้นสงวนก็ออกมาจากห้องลอง สิรีรีบเข้าไปช่วยดูความเรียบร้อยของชุดเดิม แล้วเอาชุดที่ลองเมื่อสักครู่พับอย่างสวยงามแล้วใส่ห่อกระดาษให้
“คุณป้าสงวนรีบกลับโรงเรียนหรือคะ”
“ต้องไปจัดการเรื่องครูฝรั่งเขาจะกลับบ้าน นี่โรงเรียนกำลังจะเปิดแล้ว ป้ายังหาครูฝรั่งแทนไม่ได้เลย ครูคนนี้ต้องประจำชั้นเสียด้วยนะ“
สิรีส่งห่อผ้าให้ สงวนหยิบกระเป๋าคล้องแขน แล้วจะเดินออกไป สิรีกับนงลักษณํยกมือไหว้ลา
รตีทำคอแข็งไม่สนใจ แต่พอสงวนเดินลับไปแล้ว ก็ถามขึ้นอย่างคนที่อยากรู้เรื่องคนอื่น
“นั่นเจ้าของโรงเรียนสิกขาลัยใช่ไหม”
นงลักษณ์พยักหน้ารับ “ค่ะ คุณป้าสงวน เจ้าของโรงเรียนสิกขาลัย”
รตีวางสมุดที่สเก็ตช์แบบเสื้อ ให้นงลักษณ์ “ทำชุดแบบนี้”
“จะต้องใส่โครงไหมคะ เสื้อคอลึก เกรงจะเปิด หรือจะซับผ้าบาง หรือทำไส้ไก่เป็นเส้นเชื่อมไว้”
พูดพลางเขียนเพิ่มให้ในแบบ รตีมองอย่างไว้ตัว
“แบบนี้ก็ได้ แต่ที่สำคัญต้องให้พอดีตัว”
สิรีเหลือบมองรตี แล้วทำหน้านิ่ง
“ยายรตี นี่แปล๊กแปลก นงลักษณ์บอกว่าไปเรียนตัดเสื้อที่ฟิลลิปปินส์ อยู่ตั้ง 2 ปี ทำไมต้องมาจ้างให้นงลักษณ์ตัดเสื้อให้ นี่แกเพิ่งกลับจากนอกมาหมาดๆ เลยนะ”
สิรีเอ่ยกับมารดา หลังจากที่อิ่มจากอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ปริศนาทำหน้าคลับคล้ายคลับคลา
“รตีเหรอ รตี รตี”
สมรรีบอธิบาย “น่าจะลูกสาวพระยาราชพัลลภ”
สิรีถามต่ออย่างสงสัย
“เขาเป็นคู่หมายท่านชายพจนปรีชาหรือคะ แม่ เห็นพูดถึงท่านชายออกบ่อย”
“แม่ของรตี เป็นน้องแท้ๆ ของแม่ หม่อมแม่ท่านชายไง อาจจะหมายๆ เอาไว้ให้กันอยู่ก็ได้”
“มิน่าล่ะ เอ แต่พระยาราชพัลลภ นี่ก็เป็นพ่อของคุณประวิชเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ”
อนงค์ได้ยินชื่อประวิช ก็สะดุ้งขึ้นมาทันที สมรอธิบายต่อ
“ลูกพระยาเหมือนกัน แต่คนละแม่ หม่อมแม่ท่านชาย เลยขอมาเลี้ยงเป็นเพื่อนท่านชายที่วัง ศิลาขาว”
สิรีหยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ มิน่าเล่า ดองกันแนบแน่น แม่ขา วันนี้ ลูกพบคุณป้าสงวนด้วย ท่านบ่นว่าขาดครูภาษาอังกฤษ ปริศนาจะลองไปเป็นครูดูไหม”
ปริศนาส่ายหน้าทันที
“NO! ปริศนาไม่ชอบเป็นครู”
“ที่สิกขาลัยน่ะหรือ เป็นครูก็ดีนะลูก แม่เคยสอนการฝีมือกับภาษาไทย ที่สิกขาลัยนี่แหละ”
“ไหนว่าอยากทำงานยังไงล่ะ”
สิรีย้อนถาม ปริศนาทำท่าจะเถียง แต่ก็พูดไม่ออก เพราะนึกถึงการที่จะมีรายได้
“โอเค ลองไปคุยดูก็ได้ แม่พาปริศนาไปหน่อยนะคะ โรงเรียนอยู่ที่ไหน ไม่รู้จักเลย”
“พรุ่งนี้แม่จะออกไปโทรศัพท์ถามว่า คุณป้าพอมีเวลาว่างช่วงไหน ปริศนาหาชุดเรียบร้อยหน่อยนะ รื้อของหมดหรือยัง”
“หมดแล้วค่ะ”
ปริศนาตอบแม่ ก่อนจะหันไปยิ้มให้อนงค์อย่างขอกำลังใจ
ปริศนาเดินตามสมรเข้ามาด้านในโรงเรียนสิขาลัย
“ท่าคุณป้าสงวนจะอยู่ในห้องทำงาน”
ปริศนาทำหน้างง “โรงเรียนปิดเทอม คุณป้ายังมาทำงานหรือคะ”
“คุณป้า อยู่ในโรงเรียนนี่แหละ สิกขาลัย เป็นโรงเรียน แล้วก็เป็นบ้านของคุณป้าด้วย”
ปริศนาแอบหวั่นใจ เมื่อนึกถึงความทุ่มเทของสงวน แต่ก็ทำได้เพียงรีบเดินตามมารดาเข้าไปในอาคาร
ห้องทำงานสงวน เป็นห้องกว้าง มีโต๊ะทำงาน และชุดรับแขกขนาดใหญ่ ด้านหลังเป็นตู้เก็บเอกสาร
สงวนเงยหน้าจากกองเอกสาร เมื่อสมรพาปริศนาก้าวเข้ามาในห้อง
“มากันแล้วหรือจ๊ะ”
สมรยกมือไหว้ “พาปริศนามาคุยค่ะ ทราบว่าขาดครูฝรั่ง”
ปริศนายกมือไหว้ตาม สงวนรับไหว้ พลางมองลูกสาวคนเล็กของสมรแล้วทำหน้าฉงน
“ลูกเพิ่งกลับมาจากอเมริกา ไปอยู่มาตั้งแต่ 7 ขวบ เรียนจบวิชาเลขานุการมา ไม่รู้ว่าจะพอสอนภาษาอังกฤษได้บ้างไหม”
สมรรีบอธิบาย สงวนมองปริศนาอย่างพิจารณา
“ยังเด็กเหลือเกิน ชั้นพิเศษ 1 ครูประจำชั้นมิสฮอลล์ เขาลาไปแต่งงาน ลองมาทดสอบภาษากันหน่อยก่อน เด็กชั้นพิเศษ อายุไม่ต่ำกว่า 15 สักคน และซนมากด้วย”
สงวนถอนหายใจ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องพักด้านใน จังหวะเดียวกับที่ครูถวิลเดินนำท่านชายพจน์ ปรีชาและหญิงรัตนาวดีมาตามทาง
ขณะที่สงวนเชิญสมร และปริศนาให้นั่งลงที่มุมรับแขก ครูถวิลก็มาหยุดอยู่หน้าประตู
“ท่านผู้อำนวยการคะ ท่านชายพจน์เสด็จฯ พาท่านหญิงรัตน์มาด้วย ว่าจะคุยเรื่องเรียนเทอมหน้าของท่านหญิง”
“ถวิลเชิญเสด็จท่านไปที่ห้องเขียวหน่อยเถอะ ประเดี๋ยวจะตามไป”
สมรรีบบอก “พี่สงวน ไปรับท่านชายฯ ก่อนเถอะ ฉันกับปริศนาคอยได้”
“ท่านหญิงรัตฯ น่ะ อยากไปเรียนเมืองนอก แต่ท่านชายท่านห่วงน้องของท่าน ว่ายังเด็กอยู่นักอยากให้อยู่ในเมืองไทยไปก่อน ท่านจะเรียนห้องพิเศษ 1 นี่แหละ รอสักพักนะ ไม่นานหรอก เดี๋ยวครูกลับมา”
สงวนหันมาบอกกับปริศนา ก่อนจะรีบเดินออกไป
“ท่านชายฯ นี่เป็นคนสำคัญนักหรือแม่”
สมรหันมาตอบลูกสาว
“ก็สำคัญอยู่ ท่านชายให้ที่พักที่หัวหินที่บ้านเราไปมาเมื่ออาทิตย์ก่อนยังไงล่ะ ปริศนา ถ้าจะต้องสอนท่านหญิงรัตฯ ปริศนาต้องหัดพูดราชาศัพท์ให้ถูกด้วยนะ”
ปริศนาหน้าเหรอ “What?”
“ภาษา ที่ใช้พูดกับเจ้านาย”
“คุณอา สอนมาบ้าง แต่ปริศนาไม่เคยใช้ ไม่แน่ใจ ว่าจะใช้ถูกรึเปล่า”
“ท่านจะเป็นนักเรียนของปริศนาน่ะ ถ้าปริศนาได้สอนที่นี่ แล้วแม่จะสอนให้”
ปริศนาแอบรู้สึกหนักใจ
ปริศนาถือกุญแจรถ และกองหนังสือ เดินนำสมรขึ้นมาบนบ้าน ก่อนจะวางกุญแจรถและหนังสือบนโต๊ะ แล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง อนงค์วางมือจากการปักผ้าเช็ดหน้า เดินเข้ามาใกล้ๆ
“เป็นอะไรไป ปริศนา คุณป้าสงวน ว่ายังไงบ้าง”
สมรรีบตอบแทน “ตกลงรับแล้ว ให้ปริศนาเป็นครู สอนชั้นพิเศษ 1 แทนมิสฮอล์”
“ดีจริง ปริศนาอยากได้งานทำ พอไปหางาน ก็ได้งานเลย”
ปริศนาทำหน้าหนักใจ
“โอว อาทิตย์หน้า เปิดเทอม แล้วต้องไปสอนเลย”
อนงค์เดินไปหยิบหนังสือที่ปริศนาวางไว้
“นี่คือ หนังสือที่ปริศนา จะใช้สอนเหรอ”
ปริศนาพยักหน้า
“ 2 เล่ม ของชั้นพิเศษ แล้วอีก 3 เล่มของเด็กมัธยม ที่ต้องไปช่วยสอน”
อนงค์ทำหน้าตื่นเต้น “น่าตื่นเต้นเสียจริงๆ ปริศนาจะไปเป็นครู เตรียมเสื้อผ้าหรือยัง”
ปริศนาลุกพรวดทันที
“อูยยย ยังเลย ต้องเตรียมชุด ต้องหัดพูดกับท่านหญิง ต้องเตรียมสอนอีก”
พูดพลางทำตาเหลือก แล้วหงายหลังลงไปอีกครั้ง สมรมองลูกสาวคนเล็กอย่างเอ็นดู
“ไปเป็นครู อย่าทำท่าอย่างนี้ให้เด็กเห็นเชียวนะ เด็กจะไม่เคารพ”
“พี่มีผ้าตัดเสื้ออยู่ 2 ชิ้น จะตัดให้ปริศนา ใส่กับผ้านุ่ง ไปสอนหนังสือนะ”
ปริศนาลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง “โอว้ ยังต้องแต่งตัวให้เป็นผู้ใหญ่อีกนะ เป็นแม่แก่ ข่มเด็ก”
พูดจบก็หัวเราะร่วน แล้วรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างเร็ว อนงค์หันมาถามแม่
“จะเด็กเกินไปสำหรับเป็นครูหรือเปล่าคะแม่”
“เห็นบอกว่าจะตั้งใจทำงาน ต้องดูกันไป แต่ป้าสงวน พอใจนะ ต้องขอบคุณอาวิรัชจริงๆ ให้ปริศนา ได้เรียนอย่างดี มีความรู้”
ท่านชายพจน์ปรีชายกน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนหันมาบอกกับท่านหญิงรัตนาวดี
“อีก 2 ปี น้องหญิง อายุ 18 เต็มแล้ว พี่จะไม่ห้ามเลย”
ท่านหญิงรัตนาวดีทำหน้าบึ้ง “อีกตั้ง 2 ปี”
“ 2 ปี ไม่นานนะคะ น้องหญิง มีเพื่อนออกมากมาย ที่สิกขาลัย ไปเมืองนอกตอนนี้สิ จะยังไม่มีเพื่อน”
“วันหญิงไปโรงเรียน พี่ชายต้องไปส่งหญิงนะเพคะ”
ท่านชายแห่งวังศิลาขาวพยักหน้ารับ
“ไปส่งแน่นอน แต่หญิงต้องจัดกระเป๋าเองให้เรียบร้อยตามตารางสอน ไม่ลืมนั่น ลืมนี่ ต้องให้ใครเอารถไปส่งให้อีก”
“เรื่องตั้งปีมะโว้ หญิงลืมไปหมดแล้ว”
“จะไปเมืองนอก ต้องรู้จักพึ่งตัวเองให้มากที่สุดค่ะ ต้องทำทุกอย่างเอง ต้องดูแลตัวเอง ต้องจัดระเบียบวินัยให้ตัวเอง หาไม่แล้ว ที่จะไปร่ำเรียนวิชา จะไม่ได้อะไรกลับมาเลย”
ท่านชายพจน์ปรีชาพูดเตือนน้องสาวด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพี่ไม่เคยเชื่อใจหญิงเลย”
“เชื่อสิคะ ทำไมจะไม่เชื่อ แต่อยากให้น้องหญิง ฝึกหัดให้ชินเสียก่อน อีก 2 ปีเท่านั้น”
ท่านหญิงรัตนาวดีเบ้ปาก
“ภาษาคงจะดีหรอก เรียนกับครูคนไทย ไม่ใช่ฝรั่งอย่างเคย”
“ครูสงวน ต้องรักษาชื่อเสียงของสิกขาลัย ครูคนไทย หรือครูฝรั่งไม่สำคัญ แต่ต้องมีความรู้ดี มีสำเนียงดี พอๆ กับเจ้าของภาษา รู้ไหมแหม่มแอนนา ที่มาถวายพระอักษรพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ขณะยังทรงพระเยาว์นั้นก็มิใช่แหม่มอังกฤษ เป็นแต่มีเชื้อสายเท่านั้น”
“อย่างนั้นหรือเพคะ”
ท่านหญิงผู้เป็นน้องสาวแอบทำหน้าดื้อ
มุ้งสองหลังกางอยู่ในความมืด มีแต่เพียงแสงจันทร์นวลจากภายนอกส่องเข้ามา เสียงสะอื้นของปริศนาดังแผ่วๆ อยู่ในความมืด
อนงค์ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงสะอื้นของน้องสาว
“ปริศนา เป็นอะไรหรือเปล่า”
พูดพลางรีบเปิดมุ้งของตัวเองออกมา เห็นปริศนาพลิกตัวไปอีกทาง แล้วนอนนิ่งอยู่ เสียงสะอื้นถูกกลั้นกลืนหายไป
“สงสัยจะนอนละเมอ”
อนงค์ขยับตัวเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นปริศนายังนอนอยู่ในท่าเดิม ก็ถอยออก กำลังเดินไปที่ที่นอนของตัวเอง พลันสายตาก็เหลือบมองไปที่โต๊ะ เห็นหนังสือแบบเรียนวางตั้งอยู่และมีสมุดเขียนโน้ตวางอยู่เป็นตั้ง
“พรุ่งนี้ก็ต้องออกไปทำงานแต่เช้า”
อนงค์ถอนหายใจ แล้วเดินกลับมาเข้ามุ้งตัวเอง พลางล้มตัวลงนอน ทว่ายังลืมตาโพลง ด้วยความเป็นห่วงน้องสาว
ปริศนาเดินถือหนังสือเรียน และสมุดโน้ตขึ้นรถ แล้วรีบขับออกไป อนงค์ที่ยังคงสวมเสื้อคลุมรีบวิ่งลงมาจากชั้นบน สมรหันกลับมาจากมองดูปริศนา มองลูกสาวคนรองสุดท้องอย่างสงสัย
“มีอะไรหรืออนงค์”
“ปริศนาล่ะคะแม่”
“ออกไปแล้วจ้ะ วันนี้เขาต้องไปทำงานแต่เช้าไง อนงค์เป็นอะไร หน้าซีดจัง”
อนงค์รีบยกมือลูบหน้าตัวเอง “เหรอคะ นอนไม่ค่อยหลับค่ะแม่ ปริศนาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่จ๊ะ ดื่มนม แล้วก็รีบออกไป บอกว่าต้องไปเช้ากว่านักเรียน ท่าทางจะตื่นเต้นไม่เบาเหมือนกัน แม่ถามว่า เตรียมสอนเรียบร้อยดีแล้วหรือ เขาก็ว่าเรียบร้อยดี แต่ไม่รู้เท่านั้นว่านักเรียนจะเป็นยังไง อนงค์ เป็นอะไรหรือลูก”
อนงค์ส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ ไม่เป็นอะไรค่ะแม่ ลูกเป็นห่วงปริศนา ถ้าเขาร่าเริง ก็ดีแล้ว”
“แม่ว่าหน้าตาอนงค์ตอนนี้ น่าห่วงกว่าปริศนานะลูก ไปนอนพักก่อนไหม”
“ลูกไปอาบน้ำ แล้วจะลงมากินข้าวค่ะ”
อนงค์หมุนตัวกลับไปช้าๆ อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ก่อนจะหันกลับมาหาสมรอีกครั้ง
“ปริศนานี่ เขาเป็นปริศนา สมชื่อจริงๆ นะคะ”
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 1 (ต่อ)
นักเรียนในห้องพิเศษ 1 กำลังยืนคุยกันเป็นกลุ่มอยู่ 4-5 คน ที่เหลือค่อยๆ ทยอยเดินมาจากด้านนอก
หม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี ปรีชา เดินเข้ามา โดยมีวิมล ประไพ และมณีเดินตามมาอย่างใกล้ชิด ท่าทางเป็นกลุ่มที่เฮี้ยวที่สุด จังหวะนั้นเสียงออดเข้าเรียนก็ดังขึ้นมา วิมลรีบบอก
“นี่พวกเรา อาจารย์พาครูใหม่ มาแล้วล่ะ”
ประไพทำหน้างง “ครูอะไรอีกล่ะ”
ท่านหญิงรัตนาวดีเบ้ปากแบบเหยียดๆ
“ก็ครูที่จะมาสอนภาษาอังกฤษแทนแหม่มของเราไง”
“สวยสู้แหม่มของเราได้ไหม” มณีถามต่ออย่างอยากรู้
“เทียบไม่ได้ ไม่ใช่แหม่ม ไทยแท้ๆ”
ประไพทำหน้ารับไม่ได้ “อึ๋ย ฉันไม่ยอมหรอก ไม่ยอมเด็ดขาด เรียนภาษาอังกฤษกับคนไทย
ใครจะยอม เก่งขนาดเรา”
“แล้วแหม่มฮอล์ล ไปไหนซะล่ะ”
ท่านหญิงรัตนาวดีรีบตอบ “ลาออกไปแต่งงาน”
เพื่อนๆ คนอื่นเบ้ปากอย่างดูแคลน ประไพจุ๊ปากบอกทุกคน
“เบาๆ หน่อย มากันแล้ว”
ท่านหญิงรัตนาวดีเอียงตัวไปด้านหลัง มองเห็นปริศนาเดินมาพร้อมกับครูสงวน
“นั่งให้เรียบร้อยได้แล้ว เดี๋ยวอาจารย์กลับไป แล้วค่อยจัดการ ไม่น่าจะซักเท่าไหร่”
พุดจบก็เดินกรีดกรายไปนั่งที่โต๊ะ พร้อมกับคนอื่นๆ ที่วิ่งเข้าประจำที่
เสียงคุยในห้องเงียบลงทันทีที่ปรากฏร่างของครูสงวนที่ประตูห้อง ปริศนายืนอยู่ด้านหลังสูดลมหายใจลึก เชิดหน้า แล้วรีบเดินตามเข้าห้องไป
นักเรียนลุกยืนกันพรึ่บ ก่อนจะพูดทักทาย
“Good Morning teacher”
สงวนยิ้มรับ “Good Morning, take your seats.”
นักเรียนนั่งลงอย่างเรียบร้อย ราวกับผ้าพับไว้ สงวนรีบแนะนำ
“นักเรียน นี่คือคุณครูปริศนา เธอจะมาสอนภาษาอังกฤษ และมาเป็นครูประจำชั้นพวกเธอแทนมิสฮอล์นะ”
ท่านหญิงรัตนาวดีกับเพื่อน ๆ แอบสบตากัน แต่สีหน้ายังยิ้มแย้ม และทีท่าทีเรียบร้อยอยู่
สงวนหันมาทางปริศนา
“เด็กๆ คงพร้อมที่จะเรียนแล้ว ครูปริศนา”
พูดพลางยิ้มให้อย่างใจดี ก่อนเดินออกจากห้องไป พอครูสงวนลับร่างออกไป เด็กๆ ก็เริ่มยุกยิกกันทันที ปริศนานึกรู้ทันทีว่าถูกลองเชิง ก็เรียกอำนาจในตัวให้ขึ้นมา ด้วยการก้าวเข้าไปหน้าห้อง วางหนังสือลงบนโต๊ะของครู แล้วมองหน้าเด็กๆ ทุกคน
เด็กๆ คุยกันเสียงดัง หัวเราะคิกคัก ไม่มีใครสนใจ ปริศนาแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนไม่ได้ยิน ไม่เห็นปฏิกริยานักเรียน
“เรียนอะไร ถึงไหนกันแล้ว”
ท่านหญิงรัตนาวดีหัวเราะคิก แล้วมองไปรอบๆ เหมือนให้สัญญาณเพื่อน ก่อนจะตอบพร้อมกันทั้งห้อง
“เรียนอังกฤษค่ะ”
ปริศนาตระหนักชัดว่าถูกลองดีแน่แล้ว
“นั่นแหละ เรียนอะไรบ้างล่ะ”
นักเรียนทุกคนตอบพร้อมๆกัน แต่ไม่เหมือนกันเลย ปริศนานั่งลงที่โต๊ะครูอย่างไม่ในใจคำตอบนักเรียนเห็นว่าปริศนาไม่มีปฏิกิริยาอะไร จึงเงียบเสียงลง
“ฟังดีๆ นะนักเรียน”
ปริศนาเริ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ติดมาด้วย อย่างไม่สนใจใครเลย มณีหันไปยักคิ้วกับท่านหญิงรัตาวดี ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มหันมาคุยกันอย่างไม่ใส่ใจปริศนา
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ปริศนาอ่านถึงตอนจบย่อหน้าพอดี พร้อมกับเสียงออดสัญญานหมดคาบเรียน
ปริศนาลุกขึ้นยิ้มให้กับนักเรียนทุกคน
“เขียนเรื่องที่ฉันอ่านนี่ มาเป็นการบ้าน ส่งพรุ่งนี้เช้า อย่าเหลว”
สั่งการบ้านเสร็จ ก็เดินออกจากห้องไปทันที ขณะที่เหล่านักเรียนตะลึงตาค้าง
ประไพหน้าเหรอ “เอ้า ยังไม่ได้ Thank you teacher เลย”
มณีทำหน้างง “ครูอ่านเรื่องอะไร ไม่ได้ฟังเลย”
ทุกคนต่างพูดกันเซ็งแซ่ว่าไม่ได้ฟังเหมือนกัน ท่านหญิงรัตนาวดีแว้ดขึ้นมาทันที
“ไม่ทำส่ง เดี๋ยวแกจะไปฟ้องอาจารย์แน่ๆ”
“โอย พวกฉันอยู่ประจำ โดนตัดเบี้ยเลี้ยงแน่ๆ”
“คนสวยใจร้าย”
นักเรียนบ่นกันอุบ ท่านหญิงรัตนาวดีเบ้หน้า
“ฉันว่าแกพิกล ตั้งแต่เห็นใส่เน็ตขาวแล้ว”
วิมลรีบแย้ง “แกสวยนะท่านหญิง”
“พอก่อน เลิกพูดเรื่องสวย พูดเรื่องการบ้านกันก่อนจะทำกันยังไง มีใครรู้เรื่องบ้างไหม”
ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย วิมลหน้าเครียด
“ทำไงดีเพคะ ท่านหญิง ไม่มีใครทำให้ลอกได้แล้ว”
ท่านหญิงรัตนาวดีหยุดคิดนิดหนึ่ง
“เอางี้ก็แล้วกัน ต่างคนต่างเขียน คิดเรื่องอะไร ก็เขียนเรื่องนั้น ไม่ต้องตรงกันเลยก็ได้ ก็ไม่มีใครรู้นี่ ว่าอ่านเรื่องอะไร ก็แค่ทำให้มีการบ้านส่งพอ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ท่านหญิงรัตนาวดีแอบรำพึงเบาๆ
“ครูปริศนา ร้ายเหมือนกันนะ”
ท่านชายพจน์ ปรีชา ยืนรออยู่หน้าโรงเรียน ครู่หนึ่ง ครูสุมน ก็เดินนำท่านหญิงรัตนาวดีมาส่ง
“ขอบคุณคุณครูมาก”
ครูสุมนยิ้มรับ “ท่านหญิง กำลังจะลงจากห้องพอดีเพคะ”
ท่านหญิงหันมาถามพี่ชาย “ท่านพี่จะรีบเด็จไปโรงพยาบาลหรือเพคะ”
“มีผ่าตัดช่วงเย็น น่าจะถึงค่ำ เลยแวะมารับน้องหญิงก่อน”
ท่านหญิงรัตนาวดีไหว้ลาครูสุมน ก่อนจะเดินตามพี่ชาย ไปที่รถ
อีกด้านหนึ่ง ปริศนาและครูถวิล นั่งมองอยู่ที่หน้าต่างห้องพักครู
“หม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี ร้ายมาก”
ครูถวิลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ห้องนี้ ร้ายทั้งห้องแหละ ท่านหญิงนี่หัวโจกทีเดียว”
“เห็นอยู่ค่ะครูถวิล พี่ชาย ทนุถนอมอย่างนี้นี่เอง ฤทธิ์ถึงมากนัก ต้องไปรับไปส่ง”
“เช้ามาส่ง เย็นมารับ ด้วยองค์เองทุกวัน ยกเว้นเสด็จต่างจังหวัด ถึงจะให้คนรถมารับ”
ปริศนาทำหน้าเย้ย “สปอยล์”
“ท่านก็มีกัน 2 พี่น้องเท่านั้น น้องท่านก็ยังเล็ก ท่านชายเองก็ไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่เด็ก จนจบทางหมอผ่าตัดมา โชคดีที่เสด็จพ่อท่าน มีทรัพย์สมบัติ และไม่ได้ไปสุรุ่ยสุร่ายที่ไหน ท่านชายเองก็ดูแลทรัพย์สมบัติเป็น”
จังหวะนั้นครูสุมนก็เดินเข้ามาสมทบ
“แถมรูปร่างหน้าตา ราวกับพระเอกหนังฮอลีวู้ด ครูถวิล จึงเฝ้าชื่นชมเสมอ”
ถวิลยิ้มเขิน “ท่านชายพจน์นี่แหละ พระเอกตัวจริง แต่ท่านยังไม่มีนางเอก ครูต๊อกต๋อยอย่างเรา ก็ได้แต่เฝ้าฝัน ทุกครั้งที่ได้เห็น แม้ว่าท่านชายพจน์ จะไม่เคยเหลือบแลมาเลย”
ปริศนาหัวเราะคิก
“สำหรับคนไทย เราบอกผู้ชายไม่ได้ใช่ไหมคะ ว่าเราชอบเขา”
ครูถวิลทำหน้าตกใจ
“อุ๊ย ว้าย ครูปริศนาคะ แค่คิดยังแทบจะไม่ได้ ที่คุยกันเนี่ยให้อาจารย์ได้ยินไม่ได้เชียวนะ”
ปริศนารีบบอกต่อ
“ที่อเมริกาไม่ถืออย่างที่ครูถวิลว่านะคะ แต่อาจจะเสียหน้า ถ้าผู้ชายเขาไม่ตอบรักเรา”
“อูย นึกไม่ออกเลย ว่าจะพูดยังไง ถ้าไปยืนตรงหน้าเขา แล้วบอกว่า เรารักเขาจนหมดหัวใจ เราคงจะหัวใจหยุดเต้นไปเสียก่อนแล้ว”
ครูถวิลทำท่าเหมือนยืนต่อหน้าผู้ชาย แล้วก็อายม้วนต้วนอยู่ตรงนั้น ปริศนาเก็บของไป หัวเราะขันไป
“กลับบ้านแล้วค่ะ”
ปริศนายิ้มให้ ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป
เจ้านโปเลียนนั่งอยู่หน้าตำหนัก โดยมีท่านหญิงรัตนาวดีนั่งพูดกับมันอยู่ข้างๆ
“ดูสิ นโปเลียน แกกับฉันก็เหมือนกัน เฝ้าคอย ท่านพี่ เป็นชั่วโมงๆ ป่านนี้ก็ยังไม่เสด็จกลับ พรุ่งนี้ต้องส่งการบ้าน ไม่รู้จะเอาการบ้านที่ไหนไปส่ง ยายครูคนใหม่แสนรู้นัก ไม่ส่งการบ้านแล้วจะเป็นยังไงบ้าง เฮ้อ ถ้าท่านพี่รู้ แย่แน่ นโปเลียน ฉันก็เหมือนแกนั่นแหละ ท่านห้ามเข้าไปซุกในพุ่มไม้ ขืนทำ ก็โดนตีใช่ไหม”
ประวิชชะโงกหน้าออกมาจากตัวตำหนัก
“ท่านหญิง มาทำอะไรตรงนี้ อ้อ คุยกับหมา”
“ไม่ใช่ ประวิช หญิงรอท่านพี่ นโปเลียนนั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ”
“น่าจะดึกละวันนี้ พรุ่งนี้ท่านหญิงต้องเด็จไปโรงเรียนแต่เช้า ไม่ทมก่อนล่ะเพค่ะ รอท่านพี่ทำไม”
“หญิงทำการบ้านไม่ได้ยังไงล่ะ”
“การบ้านอะไร กระหม่อม”
ท่านหญิงรัตนาวดีทำหน้าเจ้าเล่ห์ “เรียงความภาษาอังกฤษ เรื่องอะไรก็ได้” แล้วนึกออก “ประวิชก็เป็นนักเรียนนอกเหมือนกัน ช่วยเขียนให้หน่อยได้ไหม”
ประวิชสะดุ้งพร้อมกับถอยหลังกรูด
“กระหม่อมไม่ได้เรียนกับท่านหญิงด้วย จะเขียนเรียงความให้ท่านหญิงได้อย่างไร”
ท่านหญิงรัตน์เริ่มงอแง “เขียนเรื่องอะไรก็ได้ ครูใหม่ เขาไม่รู้หรอกว่าใครเขียน”
ประวิชยิ่งทำหน้างงหนักเข้าไปใหญ่
“การบ้านนี้มันคือเรื่องที่ครูให้นักเรียนไปฝึกฝนสิ่งที่เรียนในห้องเรียนที่บ้านไม่ใช่หรือ กระหม่อมไม่เคยไปอยู่โรงเรียนท่านหญิงสักหน่อย จะเขียนให้ได้อย่างไร”
รถของท่านชายพจน์ ปรีชา แล่นเข้ามาจอด สนเข้าไปจับนโปเลียนที่วิ่งเข้าไปรับไม่ให้ตะกายรถ ท่านหญิงรัตนาวดีหันไปมอง
“หญิงไม่ง้อประวิชแล้ว ให้ท่านพี่ช่วยก็ได้”
“ท่านพี่เพิ่งกลับจากทรงงาน เหนื่อยมากแล้ว”
ท่านหญิงรัตนาวดีเม้มปาก “ถ้าวันนี้ไม่เสร็จ พรุ่งนี้หญิงจะเอาอะไรไปส่งครู”
ท่านชายพจน์หิ้วกระเป๋าหมอลงจากรถแล้วทักทายนโปเลียน
“มีอะไรหรือจ๊ะ น้องหญิง ขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถอะ”
ท่านชายเดินนำเข้าไปในตัวตำหนัก ท่านหญิงและประวิชเดินตามไป
ท่านชายพจน์เดินนำมา ท่านหญิงรัตนาวดีเดินตาม โดยมีประวิชตามหลังสุด ท่านชายพจน์เอากระเป๋าวาง
“พี่เข้าใจแล้วน้องหญิง ว่าการบ้านของน้องสำคัญมาก แต่น้องทำไม่ได้”
ท่านหญิงรัตนาวดีชักจะพาล “เพราะเป็นครูคนไทยค่ะ หญิงไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“แต่เดี๋ยวพี่ต้องอ่านตำราอีก มีเรื่องที่ศึกษาค้างไว้ พรุ่งนี้จะได้ใช้สอนนักศึกษา”
“ท่านชายทรงงานมาเหนื่อยมาก ท่านหญิง นี่ถ้ากระหม่อมมีเงินเหมือนท่าน จะไม่ทำอะไรเลย จะอยู่เฉยๆ นั่งกินนอนกิน” ประวิชว่า
“คนเราจะเปล่าประโยชน์ได้ถึงเพียงนั้นหรือ เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน แล้วจะกลับมางอมืองอเท้าเสีย มองเห็นคนชาติเดียวกัน เจ็บป่วย รู้วิธีรักษาเขา แต่ไม่ยอมช่วย ฉันคนจะปล่อยให้ตัวเองไร้ค่าถึงเพียงนั้นไม่ได้หรอกประวิช” ท่านชายพจน์บอก
“การเป็นคนดีนี่มันเหนื่อยหนักหนา”
“รู้ว่าเหนื่อย ก็ช่วยแบ่งเบากันบ้างสิ พี่ขออาบน้ำอาบท่าก่อน ประวิชไปเขียนเรียงความ ให้น้องหญิงแล้วกัน”
“ตกลงกระหม่อมต้องทำการบ้านให้ท่านหญิง” ประวิชถามย้ำ
“ช่วยกันหน่อย ไม่เช่นนั้นคืนนี้คงไม่ได้นอนกัน อีกครึ่งชั่วโมงเรามาพบกันที่นี่ ดีไหม น้องหญิง”
“ค่ะ พี่ชาย หญิงจะไปจัดกระเป๋าเรียนก่อน”
ประวิชจะเดินออกไป ท่านชายพจน์ถอนใจก่อนจะถอดเสื้อสูทออกอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วจัดของวางเพื่อจะได้ไปอาบน้ำ
ปริศนานั่งแปรงผมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง อนงค์เดินเข้ามาในห้องที่มุ้งเอาลงเรียบร้อยแล้ว
“หายขึ้นมาตั้งนาน จะลงไปข้างล่างอีกไหม ปริศนา”
“ไม่หรอก จะนอนแล้ว” ปริศนาตอบ
“ขยันแปรงผมจัง”
“ติดมาจากที่โรงเรียนประจำ ครูให้แปรงผม ร้อยครั้งก่อนนอน”
“วันนี้นอนเร็ว เตรียมชุดพรุ่งนี้หรือยัง เน็ตขาวนั่นจะใส่ไปอีกหรือ”
“ไม่แล้ว มันแก่มาก ใส่ไปวันแรก ข่มนักเรียนก่อน แต่พรุ่งนี้ปริศนาต้องไปแต่เช้า จะไปดูหน้าเด็กดื้อ”
“จะดูทำไมกัน” อนงค์ถาม
“ดูพวกเขาส่งการบ้าน ปริศนาอยากรู้ว่า จะเอาอะไรมาส่ง”
ปริศนาวางแปรงแปรงผมแล้วเดินเข้ามุ้งไป
ปริศนาพูดออกมาจากในมุ้ง “อนงค์ปิดไฟให้ด้วยนะ”
อนงค์ยังยืนงงกับปริศนาที่ท่าทีเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แบบนี้
ท่านชายพจน์แต่งชุดนอนเดินเข้ามาในห้อง สนถือถาดใส่น้ำขิงร้อนเข้ามาให้ท่านชายพร้อมสมุดเรียงความของประวิช
“คุณประวิชถวายให้มาทอดเนตร กระหม่อม”
ท่านชายพจน์หยิบมาพลิกดู “อือ ช่วยให้ใครไปตามน้องหญิงที บอกให้เอาสมุดเรียงความของน้องหญิงลงมาด้วย”
สนวางแก้วน้ำขิงไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไป ท่านหญิงรัตนาวดีโผล่หน้าเข้ามาพอดี
“ประวิชเขียนเรียงความเสร็จแล้วใช่ไหมเพคะ”
“ใช่”
ท่านหญิงรัตน์เดินมาหยิบ
“เดี๋ยวก่อน หญิงกลับไปเอาสมุดของน้องหญิงที่จะส่งครูลงมา มาลอกเรียงความที่นี่” ท่านชายพจน์บอก
“หญิงง่วงแล้ว”
“ลอกไม่นานหรอก ลอกแล้ว จะได้อ่านออกเสียงให้พี่ฟังด้วย พี่จะคอย”
ท่านหญิงรัตนาวดีมองอย่างงอนๆ แล้วก็รู้ว่าเอาชนะท่านชายพจน์ไม่ได้จึงหันกลับเดินออกไป
ท่านชายพจน์หยิบหนังสือไปนั่งอ่าน
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 1 (ต่อ)
วิมลลอกการบ้านของหญิงรัตนาวดีลงสมุดตัวเอง เพื่อนๆ อีกสองสามคนพยายามเอา สมุดมายืนลอกด้วย รัตนาวดีเดินเข้ามาจากด้านนอก
“อะไรกัน วิมล บอกแล้วไงว่า ให้เธอลอกคนเดียว เพราะเรียงความนี่ พี่ชายของวิมล เป็นคนเขียน ครูบอกให้ต่างคนต่างเขียน”
“ก็บอกว่าเราเขียนด้วยกันไง ครูอ่านเรื่องเดียว มันก็ต้องเหมือนกันสิ”
วิมลเงยหน้าขึ้นมา “เสร็จแล้ว”
ท่านหญิงรัตนาวดีเดินไปดึงสมุดมา
“เดี๋ยวก่อนสิ ท่านหญิง”
ท่านหญิงรัตน์กอดสมุดเอาไว้ “ไม่ ไปนั่งที่ ได้แล้ว ครูกำลังมา”
พอท่านหญิงรัตนาวดีนั่งลงที่โต๊ะ ปริศนาก็เดินเข้ามาในห้องพอดี นักเรียนพากันไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองหลายคนที่ยังลอกไม่เสร็จก็พยายามเขียนให้เสร็จเองเงียบๆ ที่โต๊ะของตัว
ปริศนายืนหน้าห้องกวาดตามองไปรอบๆ นักเรียนคิดได้จึงลุกขึ้นยืนกันทีละคนสองคน แล้วกล่าวสวัสดีครูก่อนจะนั่งลง
“ก่อนที่จะเรียนอะไรกันต่อ เอาการบ้านที่ครูสั่ง เมื่อวานนี้มาส่งไว้ที่โต๊ะนี่ ทุกคนก่อนค่ะ” ปริศนาบอก
ท่านหญิงรัตนาวดีลุกขึ้นและยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะเดินเอาสมุดมาวางไว้บนโต๊ะเป็นคนแรก วิมลลุกขึ้นมาแอบมองปริศนาอย่างชั่งใจแล้วเอาสมุดวางลง หลังจากปล่อยให้เพื่อนวางกันไปสี่ห้าคนแล้ว ท่านหญิงรัตนาวดีกลับไปนั่งที่แล้วมองปริศนาอย่างไม่กลัวเกรง ส่วนปริศนาก็ทำหน้าเฉย
สมร อนงค์ และจำเนียรกำลังวุ่นวายกับการจัดโต๊ะอาหารว่าง ทั้งสามได้ยินเสียงรถที่หน้าบ้าน สมรและอนงค์หันไปดู
“แน่ะ ปริศนากลับมาแล้ว” สมรพูดขึ้น
ปริศนาลงจากรถ ช่วงช่วยยกกองสมุดการบ้านเด็กลงมาจากรถ
“ลุงช่วง ช่วยเอาสมุดไปไว้บนโต๊ะ ที่ห้องข้างบนทีนะ” ปริศนาสั่ง
“เอาสมุดอะไรมาหลายเล่ม ปริศนา” สมรถาม
“การบ้านนักเรียนค่ะ โทษของครูที่ให้การบ้านเด็ก คือต้องตรวจการบ้าน”
“ไปสอนสองวัน การบ้านเป็นตั้ง แล้วจะตรวจหมดหรือ”
“หมดซิ แต่ตรวจที่โรงเรียนไม่มีเวลา”
ปริศนาเดินไปกินของว่างด้วย เมื่อกินแล้วจึงหันมาถาม
“เรียกขนมอะไรคะแม่”
“ช่อม่วง จ๊ะ” สมรตอบ
“อร่อย สวย ใช่ ปริศนาเคยกินตอนเด็กๆ จำได้ รสไม่เปลี่ยนเลย”
สมรพูดกับอนงค์ “ถ้าปริศนา สอนชั้นเดียว ก็คงตรวจหมดที่โรงเรียน นี่สอนสามชั้น ปริศนาอยากสอนวาดรูปจัง แต่ไม่ได้สอน”
“ปริศนาวาดรูปเก่งเหรอ พี่ไม่ยักรู้”
“นี่ไง ปริศนาชอบวาดรูป วาดการ์ตูน”
พูดจบปริศนาก็ส่งสมุดส่วนตัวที่เป็นกระดาษขาวๆ มีรูปวาดให้อนงค์ดูแล้วลงนั่งกิน
“ปริศนาเขียนการ์ตูนเก่งจัง” อนงค์ชม
อุบลกับสมศักดิ์ที่แต่งชุดเล่นเทนนิสเดินเข้ามาในบ้าน
“อ้าว อุบล สมศักดิ์ ทำไมมาเงียบๆ” สมรทัก
“มาดูค่ะ ว่ามีใครอยู่บ้าง” อุบลบอก
“สมศักดิ์ จะไปตีเทนนิสเหรอ กินของว่างกันก่อนไหม” สมรชวน
“เรียบร้อยมาแล้วครับ” สมศักดิ์ตอบ “กระผมจองคอร์ทเทนนิสไว้ที่สโมสรพอดีเพื่อนที่ชวนไว้ ขาดไปคนนึง เลยกะว่าจะมาชวนปริศนา ปริศนาเล่นเทนนิสได้ไม่ใช่เหรอ”
ปริศนาที่ยังคงกินขนมอยู่หันไปมอง
“ตีได้ค่ะ แต่ไม้ยังไม่ได้เอาออกจากลังเลย”
“ไปกับพี่หน่อยเถอะ ขาดคู่ คิวคอร์ทที่สโมสร จองยากจองเย็น คิวเขายาวเหยียด อีกไม่นาน พี่ก็ต้อง ย้ายไปเมืองจันท์ แล้ว เสียค่าสมาชิกไว้ จะไม่คุ้มเสียแล้ว”
“โอเค ปริศนา ไปด้วยก็ได้ พี่สมศักดิ์คอยประเดี๋ยวนะคะ เออ แล้วทำไม พี่อุบล ไม่ไปกับพี่สมศักดิ์ล่ะ”
“พี่ไม่ชอบ แล้ว คุยกับพวกผู้ชายไม่สนุก”
ปริศนาทำหน้ามึนใส่อุบล
“แล้วคุยกับผู้หญิง มันต่างกับคุยกับผู้ชายยังไงหรือคะ” ปริศนาถาม
“ก็คุยเรื่องอะไรที่เราไม่รู้เรื่องน่ะสิ ฟังแล้วปวดหัว” อุบลตอบ
ปริศนาทำท่าจะเป็นลม
“ปริศนาไปเอง Wait just a minute”
พูดจบปริศนาก็กระวีกระวาดออกไป
สมศักดิ์พาปริศนาตรงไปที่คอร์ท โดยที่ทั้งสองถือไม้เทนนิสของต้วเอง เอนก เพื่อนของสมศักดิ์นั่งรออยู่แล้ว
“อ้าว เพื่อนนายล่ะ เอนก”
“เขาพาพี่สาวมา ไปส่งให้กินข้าวกับท่านชายพจน์ที่ห้องอาหารโน่นแน่ะ” เอนกบอก
“โล่งใจ นึกว่ายังขาดคู่อีก นี่เจ้าชัย ติดธุระกระทันหัน เลยพาน้องสาวของอุบลมา แทน” สมศักดิ์บอก
“ถือไม้ท่าทางทะมัดทะแมง ตีคู่คงพอได้” เอนกว่า
ประวิชเดินเข้ามาที่สนามเทนนิสแล้วมองปริศนาด้วยอาการชื่นชม
“ปริศนา นี่เอนกเพื่อนพี่” ศมศักดิ์แนะนำ
ปริศนาไหว้เอนก เอนกรับไหว้
“ประวิช นี่สมศักดิ์ แล้วก็น้องสาวของภรรยาเขาชื่อปริศนา” เอนกแนะนำ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ไม่ค่อยได้เห็นผู้หญิงเล่นเทนนิส” ประวิชบอก
“พอดีเคยเล่นมาบ้างค่ะ”
“ปริศนาเขาไปโตที่อเมริกา เลยเป็นแหม่ม สมัยใหม่”
“ตีคู่นะ”
ทั้งหมดเดินลงสนาม แล้วเริ่มตีเทนนิสกัน
รตีรับประทานของหวานอยู่ที่ห้องอาหารในสปอร์ตคลับ ส่วนท่านชายพจน์ดื่มกาแฟหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว
“นี่ถ้าประวิชไม่ชวนมา ท่านชายก็คงไม่เด็จมาดินเนอร์กับรตี” รตีตัดพ้อ
“ประวิชว่าเธอกลับมาหลายวันแล้วรตี ก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมอยู่ ก็ติดเรื่องคนไข้ เรื่องน้องหญิง”
“ท่านหญิงน่ะ จะเป็นสาวแล้ว ให้ดูแลองค์เองเถอะเพคะ”
“ให้ถึง 18 ก่อนเถอะ ฉันตั้งใจไว้ว่าจะดูแลน้องหญิงให้ดี แกไม่มีพ่อแม่ดูแลแล้ว มีแต่ฉันคนเดียว ทำยังไงได้ ก็ต้องเป็นทั้งพี่ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ไปในตัว”
“ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ รตีเป็นห่วงท่านชายนะเพคะ งานรักษาคนไข้ งานผ่าตัด เป็นงานหนักทั้งสิ้น ท่านชายวุ่นแต่เรื่องคนอื่นเสียจนไม่มีเวลาสำหรับองค์เอง”
“การได้ช่วยคนอื่นให้หายเจ็บหายป่วยนี่แหละ เป็นความพอใจของฉัน พ่อแม่ที่ส่งเสริมมาตลอดและทุนพระราชทานมา ให้ไปเรียนก็หวังจะให้กลับมาช่วยบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
หากไม่ได้ทำถือว่าสูญเปล่า ทั้งเงินทุน ทั้งเวลา ทั้งแรงที่ทุ่มเทไป การเรียนยากเย็น นัก กว่าจะได้ภาษา กว่าจะได้เข้าเรียน กว่าจะได้ฝึกงาน เรียกว่าทุ่มไปแล้วทั้งชีวิต”
“รตีรู้เพคะ ว่าท่านชายทรงรักงานหมอมาก แต่วันนี้ มาถึงสปอร์ตคลับแล้ว วันหลัง มาทรงกีฬาบ้างสิเพคะ”
“วันหลังมาตีเทนนิสกับ ประวิชไหมล่ะ ให้ประวิชพาเพื่อนมาอีกคน”
“รตี ไม่ถนัดตีเทนนิสเพคะ หากเป็นขี่ม้า หรือว่ายน้ำ จะดีกว่า”
“อย่างนั้นต้องมาวันหยุดวันอื่น ประวิชเลยได้สนุกคนเดียว เล่นกีฬาทุกอย่าง” พจน์บอก
“รตีขอมาเป็นเพื่อนท่านชายให้ทรงสำราญก็เพียงพอแล้วเพคะ”
รตียิ้มอย่างมีความสุขมาก
สมศักดิ์ตีคู่กับประวิช ส่วนปริศนาตีคู่กับเอนก ทั้งสองคู่กำลังตีเทนนิสด้วยกัน ประวิช และคู่พยายามรุมปริศนา แต่ปริศนาก็ตีโต้กลับไปได้ทุกครั้งจนลูกตาย ปริศนาเก็บลูกมาเสิร์ฟ ประวิชมองด้วยความชื่นชม
“น้องเมียคุณสมศักดิ์นี่เล่นเทนนิส ดีจริงๆ เก่งกว่าผู้หญิงคนไหนๆ ในสังคมบ้านเรา” ประวิชชม
“ที่อเมริกา เค้าคงเล่นกีฬากัน เพราะสนใจกีฬาจริงๆจังๆ ไม่เล่นกีฬา เล่นๆ สักแต่ว่าโก้ๆเก๋ๆ เท่านั้นมังครับ” สมศักดิ์บอก
ปริศนาตั้งท่าเสิร์ฟ
“สวยจริงๆ นะ ทั้งรูปร่างทั้งกริยา” ประวิชชมไม่หยุด
ประวิชมัวแต่มองทำให้ตีโต้ไม่ทัน
“อ้าว ทำไมไม่รับลูกล่ะ คุณประวิช”
ประวิชหัวเราะเขินๆ “มัวแต่ดูคนเสริฟ์ ลืมดูลูกเลย แพ้แล้วสิเรา”
ปริศนาและเอนกเดินออกมาจากสนามแล้วตรงเข้ามุมพัก
“ปริศนา ไม่ได้ฝึกมือมานานแล้ว” ปริศนาพูด
“นี่ยังไม่ได้ฝึกมือหรือครับ เราก็แพ้เสียแล้ว”
“มิน่า อุบล บอกน้องสาวเก่งทุกอย่าง คะยั้นคะยอให้ชวนปริศนามา” สมศักดิ์บอก
“มาบ่อยๆ นะครับ จะได้มาตีด้วยกัน” ประวิชชวน
“ถ้าขาดคู่ ก็ชวนปริศนาได้ค่ะ สอนหนังสือเสร็จแล้ว ก็ว่าง”
ทันใดนั้นเสียงรตีก็ดังมาก่อน “ประวิช ท่านชายจะไปส่งฉัน ไม่ต้องรอแล้วนะ”
ประวิชหันไปดูรตีพลางซับเหงื่อไปด้วย
ปริศนาก็หันไปดู
“จะกลับแล้วหรือ คุณรตี” ประวิชถาม
ปริศนาพึมพัมกับตัวเอง “รตี”
รตีทำเป็นไม่สนใจปริศนาตรงๆ แต่ปรายตามองแล้วเดินไปเกาะแขนท่านชายพจน์ที่ยืนห่างออกไป ปริศนามองตาม เธอไม่ได้สนใจท่านชายพจน์แต่ไม่ชอบหน้ารตี
“ไม่นึกเลยว่าจะมีผู้หญิงไทย เก๋อย่างนี้” เอนกว่า
ประวิชมองทางปริศนาก่อน “คุณเอนก หมายถึงใคร”
“คุณรตีของคุณน่ะสิ ไปกับหนุ่มอื่นเสียแล้ว คุณพาเธอมาหรือ” เอนกถาม
ประวิชหัวเราะเสียงดังพลางนั่งลงดื่มน้ำ “โอ้ย คุณๆ คุณรตี เธอไม่ใช่ของผมหรอกครับ เธอเป็นพี่สาวของผม”
ปริศนาเปรยออกมา “พี่สาวของคุณ”
“ครับ แต่คนละแม่ เราใช้ราชพรรลภเหมือนกัน” ประวิชว่า
“แต่คุณพาเธอมาสปอร์ตคลับนี่ แล้วทิ้งเธอ ให้กลับกับคนอื่น”
ประวิชหัวเราะดังขึ้น “ผมไม่ได้ทิ้งเธอเลย หามิได้ คุณปริศนา เธอต่างหากที่ทิ้งผม คุณรตีนี่เขากลับจากฟิลลิปปินส์มาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ได้พบท่านชายพจน์ สักครั้ง รู้ว่าวันนี้ผมนัดตีเทนนิสกับคุณเอนก เลยขอให้ผมไปรับมาจากบ้าน แล้วให้นัดท่านชายพจน์ มาเสวยเย็นที่นี่”
“ท่านชายพจน์ ปรีชา เหรอ ผมเพิ่งเห็นใกล้ๆ ท่านโก้นัก มิน่าสาวๆบอกว่า ท่านหล่อเหลาราวกับ ดาราฮอลลีวู้ด”
“ท่านน้ำพระทัยดี ทรงเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว สมเป็นนักเรียนอังกฤษ”
“ท่านชายไหนคะ” ปริศนาถาม
“ท่านเด็จกลับแล้วจ้ะ เมื่อกี้ที่ไปกับคุณรตีอย่างไรเล่า” ประวิชบอก
“สมศักดิ์ ต้องรีบกลับบ้านไหม อยากหารืออะไรด้วยสักหน่อย ไปหาอะไรกินที่ห้องอาหาร สักนิด” เอนกชวน
“ต้องกลับไปส่งปริศนาที่บ้านก่อนน่ะซี กลับดึกนัก คุณแม่จะเป็นห่วง”
“ผมอาสา ไปส่งปริศนาให้เอง บอกมาเถอะ บ้านอยู่ไหน” ประวิชบอก
สมศักดิ์มองดูประวิชอย่างชั่งใจแล้วหันกลับไปถามปริศนาด้วยความเกรงใจ
“พี่ให้ปริศนากลับบ้านก่อน โดยไปกับประวิช จะได้ไหม”
“บ้าน เป็นทางผ่านหรือเปล่าคะ ออกไกล” ปริศนาถาม
“ไม่เป็นไร ผมยินดี เทียวรับเทียวส่งใครๆเป็นปกติอยู่แล้ว”
“ได้ค่ะ ปริศนากลับก่อนนะคะ”
ปริศนายกมือไหว้เอนก ประวิชลาเอนกกับสมศักดิ์
ปริศนาเดินออกไป ประวิชรีบตามไป
จำเนียรกำลังเก็บโต๊ะอาหารเพื่อไปล้าง อนงค์ สมร และสิรีรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว สักพักปริศนาที่แต่งชุดเทนนิสเดินเข้ามาในบ้าน
“อ้าว กลับมาแล้วหรือ คุณสมศักดิ์ล่ะ” สมรถาม
“คุณสมศักดิ์ ไปกินข้าวกับเพื่อนต่อค่ะ” ปริศนาตอบ
“แล้วปริศนากลับมายังไงล่ะ” สิรีถาม
“เพื่อนสมศักดิ์มาส่งค่ะ ชื่อประวิช”
อนงค์รู้สึกเหมือนไฟกระตุกผ่านหัวใจ
“ประวิชไหน ราชพรรลภหรือเปล่า” สมรซัก
“ใช่มังคะ เห็นว่า เขาเป็นน้องชาย ยายรตี ที่ปริศนาเจอในเรือ”
“อ้อ ที่ปริศนาเล่าให้ฟังว่า แกเฟลิ้ตเหลือเกิน จนรำคาญ”
“แค่เจ็ดวันในเรือ ยังทนไม่ได้” ปริศนาว่า
ปริศนาหันไปเห็นอนงค์ที่ทำท่าจะเดินขึ้นไปข้างบน
“อ้าว อนงค์จะขึ้นข้างบนแล้วหรอ”
“จ้ะ พี่เวียนหัว” อนงค์บอก
อนงค์หันหน้าหนี
“นั่งพักก่อนไหม” ปริศนาถาม
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
พูดจบอนงค์ก็เดินโผเผขึ้นบันไดไป
“ป่วยอีกแล้ว จำเนียร เธอพาคุณอนงค์ขึ้นไปที ปริศนากินอะไรมารึยัง จะเก็บข้าวอยู่พอดี” สิรีพูด
“ยังเลย คุณประวิชก็ว่าจะพาไปกินข้าวเยาวราช แต่ปริศนาไม่กล้าไป กลัวแม่เป็นห่วง หิวจัง”
ปริศนานั่งลงที่โต๊ะ สมรสนใจฟัง
คำว่าประวิชชวนกินข้าวเยาวราชทำให้อนงค์รู้สึกสะดุด โดยที่คนอื่นๆไม่ทันสังเกต
อนงค์เดินขึ้นบันได จำเนียรเดินตามขึ้นมาเหมือนจะดูแลแต่อนงค์เข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงกลอนทันที อนงค์หันหลังพิงประตูเพราะคิดถึงประวิช เธอมีลางสังหรณ์ว่าประวิชจะชอบปริศนา
ปริศนานั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะที่มีสมรและสิรีนั่งอยู่ด้วย
“สรุป ยายรตี นี่ก็เป็นคู่หมายของท่านชายพจน์จริงๆ มิน่าแกโอ้อวดเหลือเกิน” สิรีว่า
จำเนียรเดินกลับลงมา
“คุณอนงค์ นอนแล้วหรือ” สมรถาม
“ค่ะ เข้าห้อง ไปแล้ว” จำเนียรตอบ
“ดู สุขภาพไม่ค่อยดีนะคะ แย่จริง” สิรีบอก
“อนงค์ ไม่ยักแข็งแรงเหมือนปริศนานะคะ พรุ่งนี้คงตื่นสายอีก”
“แต่เราสองคนตื่นสายไม่ได้ พรุ่งนี้ปริศนา ไปส่งพี่ที่ร้าน แล้วขากลับรับกลับด้วยนะ ไปด้วยกันทุกวัน” สิรีบอก
“โอเคค่ะ ปริศนาจะขับรถให้”
ปริศนายิ้มรื่นเริง
ท่านชายพจน์อ่านตำราโดยมีถ้วยน้ำชาวางอยู่ตรงหน้า ประวิช เดินไปเดินมาอย่างตื่นเต้น
“เธอชื่อปริศนา…ปริศนา สุธากุล” ประวิชบอก
“สุธากุล คุ้นจริง” ท่านชายพจน์ว่า
“ลูกสาวคุณนายสมร ที่สนิทสนมกับป้าสร้อยไงกระหม่อม”
“แต่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย เพิ่งได้ยินครั้งนี้ล่ะ ประวิช”
“กระหม่อมก็เพิ่งจะเคยพบเธอเป็นครั้งแรก ปริศนาคนนี้เป็นน้องคนสุดท้อง ไปเรียนอเมริกาตั้งแต่เล็ก เพิ่งกลับมาเมืองไทย”
“ประเดี๋ยวก่อน ประวิช ถ้าปริศนาคนนี้ เป็นลูกคนสุดท้องของคุณนายสมร ก็แปลว่า เธอเป็นน้องของ ใครนะ แม่อนงค์ ที่ประวิชไปชื่นชมมากมาย หลังจากกลับจาก หัวหิน น่ะสิ”
“ได้พบปริศนาแล้ว กระหม่อม ลืมอนงค์ไปได้หมดทีเดียวจะพูดถึงหน้าตาแล้ว ก็งดงามคล้ายกัน อนงค์นั่นเหมือนตุ๊กตาแต่ปริศนา โอ้ว เธอช่างเป็นคนที่งดงาม แข็งแรง เต็มเปี่ยมไป
ด้วยชีวิตชีวา”
ระหว่างประวิชรำพัน ท่านชายพจน์มองดูขำๆ ในกริยาท่าทางของประวิชประมาณว่าช่างบ้ามากได้ใจ
“สรุป เลิกรักแม่อนงค์ ที่เพ้ออยู่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน หลังจากกลับจากหัวหิน มาหลงไหล แม่ปริศนาคนนี้แทน”
“หมดหัวใจ หมดหัวใจ กระหม่อม เพิ่งรู้ตัว ว่าไม่เคยรักใครจริงๆจังๆอย่างนี้มาก่อนเลย อนงค์นั้น เป็นคนดี งามทั้งกายและใจ แต่ปริศนาคือคนที่กระหม่อมจะยกหัวใจให้ทั้งดวงกระหม่อมอยากจะแต่งงานกับปริศนาคนนี่ล่ะ ฝ่าบาท”
ท่านชายพจน์มองประวิชอย่างไม่แน่ใจ
“คราวนี้ ดูจะแปลกกว่าคราวอื่นก็จริง แต่ฉันเป็นห่วงว่า การที่นายเที่ยวไปรักใครจนเป็นตุเป็นตะง่ายๆเช่นนี้เสมอ จะเป็นเรื่องวุ่นวาย”
“วุ่นวายอย่างไร กระหม่อม มันจะเป็นเรื่องราบรื่นน่ะสิ คนเราไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการรู้ใจตนเอง”
“สำหรับประวิช การรู้ตัวว่าเริ่มรัก คงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเห็นรักคนโน้น รักคนนี้อยู่เสมอ” ท่านชายพจน์ยกมือห้ามเมื่อเห็นประวิชจะเถียง “ฉันอยากเห็นประวิชพูดว่าจะหยุดรักคนอื่นทั้งหมด จะขอรักแต่ผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น จะดีกว่า”
“คนนี้แหละ กระหม่อม” ประวิชตอบ
“อะไรกัน เพียงพบครั้งแรก จะพูดอย่างนี้ได้เทียวหรือ อย่าลืมนะว่ายุคนี้แล้ว สุภาพบุรุษ สมควรที่จะรักผู้หญิงเพียงคนเดียว จะรักไปเลอะเทอะอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ลูกเมียจะลำบากเดือดร้อน”
“โลกเปลี่ยนไปมากมาย และปริศนานี่แหละ ที่จะเป็นผู้หญิงที่จะเคียงข้างกระหม่อมไปได้ ในทุกสังคม ตีเทนนิสก็ทะมัดทะแมง ภาษาก็ดี ท่านทรงทราบหรือไม่กระหม่อมว่า ปริศนาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่สิกขาลัยด้วย สอนวิมล กับท่านหญิงรัตน์ด้วย”
ท่านชายพจน์เงยหน้าขึ้นอย่างให้ความสนใจเรื่องราวของปริศนาอย่างจริงๆ จังๆ
“เสียดายจริง ที่ไม่ได้เห็นปริศนา ของประวิชใกล้ๆ เห็นทีจะต้องขอพบบ้างเสียแล้ว”
“นัดไปตีเทนนิสกัน จัดงานเลี้ยง หรืออย่างไรดี กระหม่อม”
ท่านชายพจน์ยิ้มขัน แล้วระเบิดหัวเราะออกมาในท่าทีกระตือรือร้นของประวิช
อ่านต่อตอนที่ 2