xs
xsm
sm
md
lg

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 13

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 13

ปานรุ้งกับนิรมลยังนั่งรออยู่ในล็อบบี้ พลางเหลียวมองไปยังสองหนุ่มสาวที่พยุงกันเดินเข้าประตูโรงแรมมา

“สองคนนี้ เหมาะกันมากจริงๆ นะคะ”
“ขอบคุณคุณหญิงที่ให้เกียรติบอกว่าลูกสาวดิฉันเหมาะสมกับปานเทพ”
“ดิฉันพูดจริงๆ ค่ะ” ปานรุ้งมองไปทางนิชาอีกที “หนูนิชาทั้งกริยามารยาทก็ดี ความคิดก็ฉลาด เรียนก็มีระดับ ทำงานมีเกียรติ ฉันขอพูดอย่าง ไม่อ้อมค้อมเลยนะคะว่าอยากได้หนูนิชามาเป็นลูกสาว”
นิรมลใจเต้นโครมครามดีใจ แต่พยายามเก็บอาการไว้ ถามอย่างไว้เชิง
“คุณหญิงหมายความว่ายังไงคะ”
“คุณนิรมลรู้จักดิฉันมานาน คุณคงรู้ว่าถ้าฉันเจออะไรที่ใช่ ฉันจะไม่รั้งรอ”
นิรมลพยายามเก็บอาการดีใจไว้ “คุณหญิง”
“วันจันทร์หน้าคุณนิรมลว่างไหมคะ ดิฉันจะขอหมั้นหนูนิชาค่ะ”

สองคนปานรุ้งและวาสุเทพเดินเข้ามาในห้องนอน ทั้งคู่ยังอยู่ในชุดไปงานเลี้ยง
“พี่ว่ามันเร็วไปนะรุ้ง” วาสุเทพทักท้วง
“ช้าไปต่างหากล่ะคะ รุ้งวางใจเกินไป จนเกือบทำให้ผู้หญิงคนนั้น พังชีวิตของปานเทพได้”
วาสุเทพยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี “ก็เขารักกันมาตั้งแต่อยู่เมืองนอก ก็ไม่แปลกที่เขาจะหวงกัน อย่างน้อยก็น่าให้เวลาเขาหน่อย”
“ความรักกับความโลภ มันดูไม่ยากหรอกนะคะ สำหรับคนเคยโดนหลอกเพื่อความโลภมาแล้วอย่างรุ้ง รุ้งถึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
วาสุเทพพยายามทัดทาน “แต่ว่า...”
“เชื่อรุ้งเถอะค่ะพี่เทพ สิ่งที่รุ้งทำ มีแต่จะทำให้ลูกมีความสุข ไม่มีใครเป็นทุกข์หรอก”

ฝ่ายทางปรกนั่งคิดเรื่องปานเทพกับนิชาอยู่ในห้องคนเดียว จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ตามด้วย ปานเทพ ปานวาด ปกรณ์ ในชุดไปงานเลี้ยง พากันเดินเข้ามาในห้อง
ปานวาดบ่น “พี่ปรก ไหนบอกว่าจะไป แล้วก็ไม่ไป”
“นายแม่บ่นถึงพี่ใหญ่เลย” ปกรณ์ว่า
ปานเทพมองปรกที่เอาแต่นั่งเงียบ “เฮ้ย นายเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย”
ปรกหันไปพูดกับน้องสองคนว่า “อาบน้ำนอนซะไป ดึกแล้ว”
“แต่วาดยังไม่ได้คุยกับพี่เรื่องแฟนพี่ปานเทพเลย”
ปกรณ์กระซิบบอกปรกว่า “ผมแอบถ่ายรูปพี่นิชามาให้พี่ด้วยนะ”
ปรกบอกพูดเสียงเข้ม “พี่บอกให้กลับห้องไง พี่มีเรื่องจะคุยกับพี่ปานเทพ”
ปานวาดกับปกรณ์ชะงัก เพราะไม่เคยเห็นปรกดุอย่างนี้ จึงยอมเดินจ๋อยๆ ตามกันออกจากห้องไป

ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ปานเทพมองปรกอย่างสงสัย
“นายมีเรื่องอะไรกับฉัน”
“นิชาเป็นเพื่อนผม”
“อ้าว เหรอ”
“วันนี้คุณวิภาวีไปที่กรมทางเพื่อไปหานิชา”
ปานเทพชะงัก “อะไรนะ”
“ดีที่นิชาออกไปดูงาน ไม่อย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าพิษรักแรงหึงของผู้หญิง จะทำให้อะไรเกิดขึ้น”
“ฉันจะโทร.ไปเตือนวิภาวีเอง ขอบใจที่บอก”
ขณะปานเทพจะเดินออกไป ปรกรีบพูดน้ำเสียงจริงจัง ขยับเดินมายืนตรงหน้าพี่ชาย
“พี่ควรเลือกว่าพี่จะคบใคร เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ถ้าเลือกคุณวิภาวี ก็บอกเลิกยุ่งกับนิชา แต่ถ้าเลือกนิชา ก็เลิกยุ่งกับคุณวิภาวี”
ปานเทพชักเริ่มไม่พอใจ “นี่นายสั่งฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้สั่ง แต่ผมกำลังเตือนให้พี่เลือกเห็นแก่ตัว”
ปานเทพโกรธ “ปรก”
“ถ้าพี่ไม่เลือก ผมจะบอกนิชา”
ปรกเดินผ่านปานเทพออกไปจากห้องทันที ปานเทพมองตามอย่างไม่พอใจ

พอปรกเดินออกมาหน้าห้องแล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่าปานรุ้งยืนอยู่หน้าห้อง และคงได้ยินหมดทุกคำแล้ว
“นายแม่”

“คุยกับแม่หน่อยได้ไหมปรก”

ส่วนปานวาดยังอยู่ในชุดที่ไปงาน นอนเล่นไอแพดอยู่บนเตียง จนกระทั่งมือถือดัง เป็นโดมที่โทร.เข้ามา ปานวาดชะงัก ลังเลว่าจะรับโทรศัพท์ดีไหม สักครู่จึงตัดสินใจกดรับ

“ว่าไง”
เสียงโดมดังมาจากมือถือว่า “ไม่ทราบว่าคุณว่างพอจะคุยเรื่องมิกซ์เพลงกับผมได้หรือยัง”
“ฉันยังไม่ว่าง”
“จะไม่ว่างได้ยังไง ในเมื่อคุณนอนอยู่ที่บ้านแล้ว” ปานวาดชะงักฟังโดมพูดต่อ ”ten minute ago วีวี่กด Like ภาพ It’s time to rest...”
ปานวาดมองไปยังไอแพด หน้าเฟซบุ๊กของเธอเปิดค้างไว้ และปานวาดเพิ่งอัพภาพ Selfie ในชุดราตรี พร้อมข้อความกำกับว่า It’s time to rest
เสียงโดมดังลอดมาจากมือถือว่า “เป็นไง ผมฉลาดพอหรือยัง”
ปานวาดเสียฟอร์ม “อ่ะๆ นายอยากคุยอะไรก็ว่ามา”
“ผมไม่ชอบคุยงานผ่านโทรศัพท์ คุณลงมาคุยกับผมข้างหน้าสิ”
ปานวาดงง “ข้างหน้าไหน”
“มองออกมาทางหน้าต่างสิ”
ปานวาดรีบเดินไปเปิดหน้าต่างมองไปทางรั้วหน้าบ้าน เห็นโดมยืนโบกมือให้
“จะลงมาหาผมดีๆ หรือต้องให้ผมกดกริ่งเรียกคุณ” โดมยิ้มอย่างผู้ชนะ
ปานวาดมองตะลึง ช็อคสุดขีด “เฮ้ย...”
ฝ่ายปรกนั่งนิ่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของคุณหญิงมารดา ปานรุ้งเดินมายืนข้างๆ
“ปรกรู้จักหนูนิชาด้วยเหรอ”
“ครับ”
“รู้จักมานานแล้วเหรอ”
“3 ปี 4 เดือน 25 วันแล้วครับ” ปรกพูดโดยไม่ต้องคิด
ปานรุ้งมองลูกชายด้วยแววตาครุ่นคิด
“คงเป็นเพื่อนที่พิเศษมาก ปรกถึงจำวันเวลาได้แม่นขนาดนี้”
“ที่ผมจำได้ เพราะนิชาเข้าทำงานพร้อมผมครับ”
“เหรอ งั้นก็ดี ต่อไปถ้าหนูนิชาย้ายเข้ามาอยู่บ้านนี้ อย่างน้อยหนูนิชา ก็มีปรกเป็นเพื่อน”
ปรกชะงัก สีหน้าฉงน “ย้าย”
“ใช่ วันนี้แม่เพิ่งคุยกับคุณน้านิรมล แม่อยากให้ปานเทพหมั้นกับนิชา”
ปรกยิ่งอึ้งหนัก “หมั้น” เขาทนไม่ได้ลุกขึ้น “อย่างนั้นพี่ปานเทพก็ควรจัดการผู้หญิงอีกคนให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้น ผมคงต้องบอกนิชา”
“ปานเทพไม่ต้องทำอะไรหรอก แม่จัดการผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
ปรกมองปานรุ้งอึ้งๆ
“เพราะฉะนั้น หนูนิชาจะไม่มีวันไม่รู้เรื่องผู้หญิงคนนั้น”
ปานรุ้งเดินเข้าไปลูบผมปรก
“ปรกรู้ไหม ในบรรดาลูกทั้งหมด ปรกคือคนเดียวที่แม่ดูไม่ออกว่า ลูกคิดอะไร ลูกรู้สึกอะไร มีปัญหาอะไร ก็แก้เอง พอแม่ถามว่าทำไม ปรกไม่บอกแม่ ปรกจำได้ไหมว่าปรกตอบแม่ว่ายังไง”
“จำได้ครับ ผมตอบว่าที่ผมเห็นนายแม่ทำงานเหนื่อยแล้ว เลยไม่อยากให้นายแม่ต้องเหนื่อยเพราะผมอีก”
“แม่ถึงให้อิสระปรกที่สุดในบรรดาพี่น้องทุกคน เพราะแม่เชื่อใจว่าปรกเหมือนพ่อ ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้แม่มีความสุข ใครจะทำให้แม่ทุกข์ใจก็ตาม แต่จะไม่ใช่ปรกแน่นอน ใช่ไหมลูก”
ปรกมองแม่เก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ เข้าใจดีว่า ปานรุ้งห้ามไม่ให้เขาบอกนิชาเรื่องวิภาวี

ขณะเดียวกันปานวาดเดินออกจากตึกใหญ่มาอย่างระแวดระวัง คอยมองซ้าย มองขวากลัวคนจะเห็น จนมายืนอยู่ริมรั้วมองลอดรั้วออกไป เห็นโดมยืนพิงมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ส่งยิ้มมาให้
ปานวาดโมโหที่เขาบุ่มบ่ามขนาดนี้
“ใครให้นายบุกมาบ้านฉันแบบนี้เนี่ย”
โดมเปิดฉากปั่นหัวทันที “อ้าว ก็ผมเห็นว่าคุณว่างแล้ว ผมอยากคุยงานให้เสร็จ ผมก็เลยแวะมา แต่ถ้าคุณกลัวโดนแม่ดุ ก็เข้าบ้านไปเถอะ ผมเข้าใจว่าพวกคุณหนูต้องอาบน้ำปะแป้ง ดื่มนมนอนก่อน 4 ทุ่ม ไปๆๆ ขึ้นไปให้แม่เล่านิทานต่อเถอะ เด็กแหง่เอ๊ย”
ได้ผล ปานวาดหงุดหงิดที่โดนปรามาส
“อย่ามาเรียกฉันว่าเด็กแหง่นะ”
“เห็นชอบท้าทายคนอื่น ก็นึกว่าจะเก่ง ที่แท้ก็ ...”
ปานวาดโพล่งขึ้นมา “จะไปคุยงานที่ไหนก็ว่ามาเลย”

โดมมองปานวาด แล้วหันหน้าไปยิ้มร้ายอย่างสมใจ

ปานวาดออกทางประตูเล็กมา แล้วรีบปิดโดยไม่ได้ล็อค เดินมาหาโดม โดมมองสภาพปานวาดที่ออกมาทั้งชุดราตรีที่เพิ่งกลับจากงานแล้วขำ

เขายื่นหมวกกันน็อคให้ ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ตเครื่องทันที
ปานวาดยืนเก้ๆกังๆ เพราะไม่ค่อยได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์บ่อยนักนอกจากเวลารีบๆ
“อ้าว ไม่ขึ้นล่ะคุณ หรือคุณหนูอย่างคุณไม่เคยซ้อนมอไซค์”
“เคย”
ปานวาดขึ้นซ้อน แล้วใส่หมวกกันน็อค
“ถ้ากลัวตกแล้วจะจับผม อย่าจับเอวนะ ผมจักกะจี้ ให้จับตรงนี้ดีกว่า”
โดมวางมือลงที่หน้าอกซ้ายตัวเองให้ดู แล้วยักคิ้วกวนๆ ใส่ปานวาด
“ฉันไม่จับ”
ปานวาดพูดไม่ทันจบ โดมตบเกียร์ แล้วบิดคันเร่งออกรถทันที คุณหนูไฮโซหงายเงิบไม่ทันตั้งตัว ตกใจ
“ว้าย” แล้วรีบเอามือเกาะโดมทันที
โดมขำ ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปโดยเร็วและแรง

โดมขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่ริมสนามแข่งรถ ริมทะเลบางแสน ดับเครื่อง ปานวาดถอดหมวกกันน็อค แล้วเดินลงจากรถมองไปรอบๆ โดมตาม
“นี่เหรอ ที่ที่นายบอกว่าเหมาะกับการคุยเรื่องเพลงที่จะมิกซ์”
“เปล่า ผมอยากดูเพื่อนแข่งรถ เลยพาคุณมาดูด้วย”
“แต่ฉันไม่อยากดู”
“งั้นคุณเฝ้ารถให้ผมด้วยละกัน” โดมแกล้งจะเดินหนีไป
“ถ้านายเดินหนีไป ฉันจะปล่อยรถนาย”
โดมหันมาเห็นปานวาดยืนจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์อยู่ และจ้องหน้าเขาอย่างจะเอาชนะ
ปานวาดเอาขาดันขาตั้งรถขึ้น แต่รถมอเตอร์ไซค์หนักมากทำให้ดันขาตั้งไม่ขึ้น และทานน้ำหนักไม่ไหวทำท่าเซจะล้ม
โดมก้าวเข้าไปรับปานวาด และรถไว้ มือของโดมจับแฮนด์รถกับเบาะไว้ เพื่อไม่ให้รถล้ม ทำให้ปานวาดตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยปริยาย
“วันหลังอย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ”
“กลัวรถจะพังขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่ได้กลัวรถพัง แต่กลัวรถจะล้มทับคุณ”
ปานวาดชะงัก หวามไปกับคำหวาน ไม่คิดว่าโดมจะพูดแบบนี้
โดมได้สติรีบผละตัวออก ปล่อยปานวาดไป
ปานวาดโวยวายกลบเกลื่อน “นี่! ถ้านายไม่คิดจะทำงาน ก็อย่าชวนฉันออกมาเสียเวลา”

ปานวาดจะเดินหนีโดมออกไปทางนอกถนน

มีมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์อีกคันหนึ่ง กำลังขับเข้ามาจอดพอดี

“อ้าว ไอ้โดม”
“ไอ้ตั้ม นี่อย่าบอกนะว่ามาแข่ง”
“แล้วแกล่ะ คืนนี้เอากับเขาด้วยรึเปล่า”
“ไม่ละ วันนี้พาเด็กน้อยมาด้วย เมื่อกี้พอรู้ว่ามาดูรถแข่ง ยังโวยเลยสงสัยคงกลัว”
ปานวาดมองค้อนโดม รู้ว่าโดนพูดเหน็บจึงพูดท้าทายออกไป
“ถ้านายแข่ง เขายอมให้มีคนซ้อนท้ายด้วยไหม”
โดมมองปานวาดด้วยสายตาเป็นเชิงถามยั่วล้อว่า “เอาจริงเหรอน้อง”

ไม่นานต่อมา โดมเข็นมอเตอร์ไซค์มายังจุดสตาร์ต ปานวาดเดินตามมา ตั้ม และกลุ่มนักแข่งรถคนอื่นๆ 3 คน ยืนล้อมอยู่โดยรอบ เตรียมเชียร์
“ผมบอกแล้วไงว่าไปดูอยู่ข้างสนามก็ได้ ไม่ต้องมาซ้อน”
“ขืนฉันยืนเฉยๆ นายก็ดูถูกว่าฉันปอดแหกอีกสิ ฉันรู้ทันหรอก”
ปานวาดดึงหมวกกันน็อคจากโดมมาสวม
โดมมองปานวาดอย่างระอา จำใจใส่หมวกกันน็อคแล้วขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องมาดอย่างเท่ห์ ปานวาดขึ้นรถตาม
โดมหันมาพูดยิ้มๆ “คุณรู้แล้วนะว่าต้องจับผมตรงไหน”
ปานวาดเซ็ง เอามือไปแตะที่ไหล่โดม
สาวสวยทรงเซ็กซี่เดินนวยนาดถือผ้าเช็ดหน้า ออกมายืนตรงกลางระหว่างรถโดมกับรถของตั้มที่จุดปล่อยตัว
โดมและตั้มบิดคันเร่งเตรียมพร้อม
อนงค์นางที่จะเป็นคนปล่อยรถ มองหน้าคู่แข่งขัน เป็นเชิงบอกว่าเตรียมพร้อมนะ
สาวเจ้าโยนผ้าขึ้นฟ้าสุดแรงที่มี จนผ้าค่อยๆ ร่วงตกลงมาที่พื้น
โดมและตั้มตบเกียร์เตรียมพร้อม ทันทีที่ผ้าตกลงพื้น โดมบิดคันเร่ง ทั้งรถโดมและรถตั้มพุ่งทะยานออกไปทันที มือปานวาดที่แตะแค่ไหล่ในตอนแรก เลื่อนมากอดตรงหน้าอกโดมทันควัน

มอเตอร์ไซค์ของโดมขี่อยู่ในสนามอย่างแรงและเร็ว รถตั้มขับตามท้ายมาติดๆ โดมขี่เข้าโค้งอย่างชำนาญ โดยไม่มีความกลัวแต่อย่างใด
มือของปานวาดที่จับตรงหน้าอกซ้ายของโดมแน่นขึ้นกว่าเก่า
โดมขับเข้าโค้งซ้าย โค้งขวา ปานวาดยิ่งจับแน่นด้วยความกลัว
รถตั้มขี่ตามมาเกือบทัน โดมเหลือบมองนิดหนึ่ง แล้วบิดคันเร่งให้เร็วขึ้นอีก ปานวาดยิ่งจับแน่นขึ้นอีก โดมยิ้มเจ้าเล่ห์
โดมขี่เข้ามาใกล้ ด้านหน้าอีกราว 100 กว่าเมตรคือเส้นชัย ตั้มพยายามขี่เร่งขึ้นมาให้ทันโดม แต่รถของโดมก็ยังนำอยู่
สองคนบิดขึ้นมาจนสู่สีกันสุดๆ รถของทั้งคู่กำลังใกล้เส้นชัยเข้าเรื่อยๆ
จังหวะนั้นโดมตบเกียร์แล้วบิดครั้งสุดท้าย รถของโดมพุ่งเข้าเส้นชัยก่อนรถตั้มเพียงนิดเดียว กองเชียร์เฮกันลั่น

คุณหนูปานวาดหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวจับใจ

อ่านต่อหน้า 2

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 13 (ต่อ)

ในบรรยากาศของท้องทะเลอันเงียบสงบ ไร้ผู้คน โดมขี่รถมาจอดมุมหนึ่ง ปานวาดลงจากรถขาอ่อน เซจะล้ม แต่ปานวาดทรงตัวไว้รีบหาที่จับไม่ให้โดมรู้ว่าเธอกลัว โดมมองอย่างรู้ทัน

“ไงล่ะ ผมบอกแล้วว่าอย่าซ้อน ขาอ่อนเลยสิ”
ปานวาดยังปากเก่ง “ใครขาอ่อน” และพยายามฝืนเดินต่อ
โดมมองขำๆ แล้วเดินไปช้อนร่างปานวาดอุ้มขึ้น เดินไปริมชายหาด
ปานวาดตกใจร้องโวยวายพร้อมดิ้นหนีอุตลุด “เฮ้ย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเดินได้”
“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวก็ล้มด้วยกันทั้งคู่หรอก”
ปานวาดยังดิ้น โดมเดินลงทราย เพราะแรงดิ้นของปานวาด ทำให้เสียการทรงตัว ล้มลงกับทราย ร่างปานวาดล้มก้นกระแทกทราย ส่วนโดมล้มหน้าเกือบทิ่มกองทราย
“โอ๊ย” ปานวาดบ่นโดม “เดินยังไงให้ล้มเนี่ย ใครกันแน่ที่ขาอ่อน”
โดมขยี้ตา “เพราะคุณดิ้นนั่นแหละ ดูสิ ทรายเข้าตาผมเลย”
ปานวาดรำคาญ “ไหน ดูสิ”
พลางยื่นหน้าไปดูตาให้โดม ทำให้หน้าของสองคนอยู่ใกล้กันแค่คืบ โดมลืมตามองสบตากับปานวาดจังๆ คุณหนูผู้อ่อนต่อโลกรู้สึกใจสั่น จนทำอะไรไม่ถูก หลบตาวูบอย่างขวยเขิน
“ไม่เห็นมีทรายเลย” แล้วรีบโวยวายกลบเกลื่อน “ดูซิ ออกมางานก็ไม่ได้ทำ เพลงก็ไม่เห็นได้มิกซ์ นอนก็ไม่ได้นอน”
โดมเดินมาตรงหน้าปานวาด แล้วโดมก็เอาหูฟังที่ต่อเพลงจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ใส่เข้าที่หูของปานวาดที่กำลังบ่นทันที ปานวาดชะงัก
โดมยังเอามือจับหูฟังทั้งสองข้าง เหมือนโดมจับหน้าปานวาดให้มองหน้าตัวเอง ปานวาดอึ้งๆ แอบเขิน แต่เก็บอาการไว้ แล้วพยายามเบนสายตามองไปทางทะเล พร้อมกับฟังเพลงที่โดมมิกซ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว
โดมจ้องตาปานวาดลึกล้ำ “ชอบไหม”
ปานวาดตื่นจากภวังค์ รีบปัดมือโดมออก แล้วดึงหูฟังยื่นคืนให้
“นี่นายมิกซ์เพลงเสร็จแล้วนี่ แล้วนายจะชวนฉันออกมาคุยทำไม”
โดมตีหน้าซื่อ “อ้าว นี่ผมมิกซ์ เสร็จแล้วเหรอ ผมก็นึกว่าทำยังไม่จบเพลง โทษๆๆ งั้นกลับบ้านเถอะ ตี 3 กว่าแล้ว ง่วงและ”
ปานวาดได้ยินว่า ตี 3 รีบดูนาฬิกา “เฮ้ย! แย่แล้ว”

ปานรุ้งที่หลับตาอยู่ ผวาตัวตื่นมามองนาฬิกา แล้วลุกขึ้นนั่ง
“กี่โมงแล้วเหรอรุ้ง”
“ตี 4 ค่ะ”
“เพิ่งตี 4 เอง นอนต่อเถอะรุ้ง”
“ไม่ค่ะ พี่เทพนอนเถอะ วันนี้วันพระใหญ่ รุ้งว่าจะลงไปเตรียมอาหาร ใส่บาตรเองค่ะ”
ปานรุ้งลุกลงเตียง เดินออกจากห้องนอนไป

โดมขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่หน้าบ้านสมุทรเทวาตอนเช้ามืด ตี 4 นิดๆ ปานวาดลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคคืน แล้วรีบไปเปิดประตูเล็ก แต่พบว่าประตูดันล็อค
“ใครล็อคประตูเนี่ย”
ปานวาดมองหาที่ทางจะปีนรั้วเข้าบ้าน แต่ไม่กล้า รั้วสูงปีนไม่ไหว
โดมเดินเข้ามาจับเอวปานวาดหมับ แล้วอุ้มส่งให้ปีนขึ้นรั้ว ปานวาดตกใจ
“เฮ้ยๆๆๆ”
“ค่อยๆ เกาะรั้ว ไม่ต้องกลัวตก ผมจับคุณไว้”

ปานวาดชะงัก พยายามปีนรั้วขึ้นไปอย่างทุลักทุเล

ระหว่างนี้ที่สนามหญ้าหน้าตึก ปานรุ้งเปิดประตูบ้านออกมาสูดอากาศพอดี

“นายแม่” ปานวาดตกใจปีนต่อไม่ได้กลัวแม่เห็น ต้องรีบหย่อนตัวหลบหลังรั้ว โดมยังจับเอวปานวาดอุ้มไว้อย่างนั้น
สักครู่จึงเห็นน้อยเดินตามออกมา
“คุณหญิงคะ เตรีมเครื่องแกงไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอฉันสูดอากาศสักพัก เดี๋ยวเข้าไป”
“ค่ะ” น้อยเข้าบ้านไป
ปานรุ้งยืนสูงดอากาศ บิดเนื้อบิดตัวอยู่หน้าตึก ปานวาดยังหลบหลังรั้วตัวลีบ
โดมเริ่มหนักใช้กำลังแขนจับเอวปานวาดไม่ไหว จึงจับร่างปานวาดมาขี่บนคอตัวเอง
ปานวาดตกใจเผลอร้อง “เฮ้ย” แล้วรีบปิดปากตัวเอง

ปานรุ้งได้ยิน มองไปทางรั้วบ้านที่ปานวาดอยู่ ค่อยๆ เดินมามองตรงรั้ว
ปานวาดกับโดมยืนหลบอย่างตื่นเต้นลุ้นระทึก จนเห็นปานเทพเดินออกมาจากในบ้าน
“นายแม่ตื่นทำไมแต่เช้าครับเนี่ย”
ปานรุ้งชะงัก หันไปมองปานเทพ
“แล้วลูกล่ะ ตื่นมาทำไม”
“สงสัยยังเจ็ตแล็กอยู่ครับ...หิวด้วย”
“โถ…ไปเข้าบ้าน เดี๋ยวแม่ทำอะไรให้กิน”
ปานเทพกอดเอวอ้อนแม่
ปานรุ้งหันไปมองทางรั้วบ้านอีกที แล้วจึงเดินเข้าบ้านไป

ปานวาดคอยมองจนปานรุ้งเดินเข้าบ้านไปแล้ว เด็กสาวถอนใจโล่งอก รีบปีนรั้วกระโดดข้ามเข้าไปได้แล้วหันมามองโดม
“ขอบคุณนะที่ช่วย”
“แหม นึกว่าเสียไหล่ให้ขี่ฟรีซะแล้ว Good night นะครับ น้องวาด”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่น้องคุณ”
โดมยักไหล่ไม่สนใจ “แต่ผมชอบเรียกคุณว่า น้อง...”
ปานวาดรำคาญรีบเดินหนีเข้าบ้านไปทันที
โดมมองตามขำๆ แล้วสตาร์ตรถออกไป
ปานรุ้งเดินออกมาอีกครั้ง เกือบเจอโดมที่เพิ่งขี่รถออกไป

ยกเว้นปรก ทุกคนพร้อมหน้าในห้องทานอาหาร บ้านสมุทรเทวา
ปานรุ้ง วาสุเทพ ปานเทพ นั่งประจำที่ ปานวาด มีท่าทางง่วงงุน เหมือนคนไม่ได้นอน ปกรณ์นั่งร่วมโต๊ะ น้อยกับจำปีลำเรียงอาหารของคุณๆ มาเสิร์ฟ
ปานรุ้งเห็นปานวาดท่าทางง่วงๆ
“เมื่อคืนอ่านหนังสือดึกเหรอวาด ดูเหมือนไม่ได้นอนเลย”
ปานวาดสะดุ้ง แล้วรีบตอบ
“ค่ะนายแม่ พอดีวาดต้องรีบทำรายงานส่งอาจารย์เช้าวันนี้ค่ะ”
“ถ้าเรียนหนักขึ้น ก็เพลาๆ กิจกรรมลงบ้างก็ดีนะ วาดก็รู้ว่าพ่อกับแม่ ไม่ค่อยชอบให้วาดไปเต้นกลางสนามให้ผู้ชายโห่ร้องอย่างนั้น”
“วาดก็อยากเพลาๆ แต่อาจารย์ที่ดูแลชมรมลีดเดอร์ท่านขอไว้”
“งั้นเดี๋ยวแม่คุยกับคณบดีเอง แม่จะให้วาดเต้นปีนี้เป็นปีสุดท้าย”
“แต่ว่า...”
ปานรุ้งตัดบท “เอาตามนี้”
ปกรณ์แอบยิ้มสมน้ำหน้าพี่สาว ปานวาดเห็น เตะขาน้องที่ใต้โต๊ะ
ปกรณ์ร้อง “โอ๊ย”
“ปกรณ์เป็นอะไรลูก”
“เอ่อ ผมเคี้ยวกัดปากตัวเองน่ะครับ”
ปานวาดแอบขำปกรณ์ ปานรุ้งมองหาปรก แล้วถามน้อย
“ทำไมปรกยังไม่ลงมากินข้าวอีก”
พอได้ยินชื่อปรก ปานเทพชะงักนิดๆ คิดถึงเรื่องที่ปรกพูดเมื่อคืน
“คุณปรกออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”
“ไปตอนไหน ฉันตื่นมาใส่บาตรตั้งแต่เช้า ไม่เห็นเลย”
“ไปตอนที่คุณนายขึ้นห้องไปเปลี่ยนชุดน่ะค่ะ”
ปานรุ้งนิ่ง รู้ทันทีว่าปรกคงอยากเลี่ยงที่จะเจอทั้งเธอและปานเทพ

วาสุเทพมองปานรุ้งด้วยสีหน้ากังวล

ปานรุ้งเดินมาขึ้นรถไปทำงาน วาสุเทพเดินตามออกมา อยากจะพูดเรื่องนิชากับปรก

“รุ้ง”
“ถ้าพี่เทพจะพูดเรื่องปรกกับหนูนิชา อย่าเลยค่ะ ปรกต้องเข้าใจรุ้ง ถ้ารุ้งตัดสินใจแล้ว แปลว่านั่นดีที่สุด ไม่มีใครขวางรุ้งได้”

ชูนามฟังที่ร้อยกรองคาบข่าวงานหมั้นปานเทพมารายงานถึงห้องเยี่ยมในคุกจบลง
“หมั้น”
“ก็ใช่น่ะสิ อีพวกขี้ข้าบ้านคุณหญิงคุณนายมันมาพูดกันในวงไพ่ นังปานรุ้งนี่มันร้ายนะ มันกลัวเงินไหล มันเลยรวบหัวรวบหางปานเทพหมั้นกับลูกสาวเพื่อนมันเลย”
“แล้วยายหนูที่ชื่อวิภาวีล่ะ มันไม่คิดจะขัดขวางอะไรเลยเหรอแม่”
“ตอนแรกมันก็จะโผล่กลางงาน แต่เจอนังเมียแกสั่งคนอุ้มไปขู่ซะก่อน ตอนนี้นั่งเครียดอยู่ที่โรงแรม”
“อุ้มเลยเหรอ” ชูนามขยี้ผมอย่างหงุดหงิด “ทำไมกูไม่พ้นโทษวันนี้วะ ต้องรออีกตั้ง 1 อาทิตย์ ไม่อย่างนั้น ปานรุ้งเธอเจอฉันแน่”
“ใจเย็นๆ คิดดีๆ เราได้ลูกสะใภ้รวยจะได้ขอเงินเยอะขึ้น ขอยายวิมันให้แม่แค่พันสองพันเอ๊ง”
“แต่ถ้าให้ปานรุ้งได้สะใภ้ดี ชีวิตมันก็จะมีความสุขขึ้นไปสิแม่ มันมีความสุขบนหัวหนูมากพอแล้ว หนูจะไม่ยอมให้มันเสวยสุขอีก”
“แล้วชูนามจะให้แม่ทำยังไง”
“แม่ไปบอกให้วิภาวีแย่งปานเทพมาให้ได้สิแม่”
“จะแย่งยังไงล่ะ นังปานรุ้งจะจัดงานหมั้นจันทร์นี้แล้ว”
ชูนามยิ้มกริ่ม “แม่จำไม่ได้เหรอ ขนาดปานรุ้งหมั้นกับไอ้วาสุเทพแล้ว หนูยังแย่งมาได้ แล้วทำไมหนูจะสอนแผนชั่วให้นังหนูวิไม่ได้”

ชูนามยิ้มเจ้าเล่ห์ มีแผนชั่วไว้แล้ว ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับปานรุ้งเป็นแน่

กลับถึงห้องพัก วิภาวีกดมือถือหาเพื่อนทันที ท่าทีเครียดโคตรๆ หลังจากโดนปานรุ้งขู่

“เชอรี่ ตอนนี้แกยังอยู่พัทยารึเปล่า ได้ข่าวว่าแกได้ผัวใหม่ เป็นมาเฟียแถวนั้น แกพอจะหาปืนให้ฉันสักกระบอกได้ไหม”
น้ำเสียงเชอรี่ดังออกมาจากมือถือท่าทางตกอกตกใจ “แกจะเอาปืนไปทำอะไรนังวิ จะเอาไปยิงผัวชิง สมบัติรึไง”
“ไม่ได้ยิงผัว แต่จะซื้อมาเก็บไว้ยิงแม่ผัว แกรู้ไหม มันขู่ให้ฉันไปจากลูกชายมัน ไม่อย่างนั้นมันจะเก็บฉัน กว่าฉันจะได้ลูกชายมันมา ฉันต้องเป็นขี้ข้าหาเงินส่งมันเรียนจนจบ แล้วจะมาถีบ
หัวส่ง ฉันไม่ยอมไปหรอก”
ได้ยินเสียงคนเคาะประตูในจังหวะนี้ วิภาวีเหลียวไปมองอย่างดีใจ ด้วยคิดว่าปานเทพมา
“ปานเทพ”
วิภาวีเดินไปเปิดประตู เห็นเป็นร้อยกรองยืนยิ้มอยู่หน้าประตู
“สวัสดีจ้ะหนูวิ”
“คุณย่ามีธุระอะไรรึเปล่าคะ หนูกำลังยุ่ง”
“ย่าเอาสารของพ่อชูนามมาบอกหนูจ้ะ”
วิภาวีงง “สารอะไรคะ”
“พ่อชูนามให้หนูเก็บเสื้อผ้าไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้จ้ะ”
วิภาวีชะงัก

วิภาวีลากกระเป๋าเดินทางออกจากโรงแรมมา พร้อมกับร้อยกรอง จนเห็นปานเทพลงรถเดินเข้ามาหา ปานเทพยกมือไหว้ย่างงๆ
“คุณย่า มาได้ยังไงครับ”
ร้อยกรองแกล้งดุปานเทพ “ไงล่ะพ่อตัวดี ย่าผิดหวังในตัวปานเทพมากนะ ย่านึกว่าปานเทพจะมีความเป็นสุภาพบุรุษเหมือนพ่อ แต่ที่แท้ก็ใจง่ายเหมือนแม่ ทำให้หนูวิต้องเจ็บ จนย่าต้องตามมาดู”
ปานเทพมองกระเป๋าเดินทางของวิภาวี “นี่วิจะไปไหน”
วิภาวีตีหน้าเศร้าเล่นละครต่อทันที “แล้วจะให้วิอยู่ทำไมล่ะคะ ในเมื่อคุณกำลังจะหมั้นกับลูกสาวเศรษฐีแล้ว”
ปานเทพงง ลึกๆ ดีใจ “แต่ตอนแรกวิยืนยันว่าต่อให้ผมหมั้น คุณก็จะอยู่กับผม”
ร้อยกรองรีบแสดงละครช่วยวิภาวี “ปานเทพ ..ยังไงหนูวิก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ ถึงจะรักปานเทพขนาดไหน แต่ถ้าเห็นข่าวปานเทพกับผู้หญิงอื่นครึกโครมทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างนี้ ก็ไม่มีใครทนได้หรอก”
ปานเทพหยั่งเชิงให้แน่ใจ “แปลว่าวิจะกลับอเมริกา”
“ค่ะ”
แม้จะรู้สึกโล่งใจที่วิภาวีไป จะได้ไม่มีปัญหากับนิชาตามมา แต่ปานเทพก็อดใจหายไม่ได้เพราะที่ผ่านมาวิภาวีช่วยเหลือเขามากมาย เขาเดินเข้าไปกอดวิภาวี
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณเสียใจ แต่สิ่งที่ผมทำ ไม่ใช่ผมไม่รักคุณ แต่ผมทำเพื่อนายแม่ ถ้าคุณอยู่นี่ไม่สบายใจ งั้นกลับไปอเมริกาก่อนก็ได้เดี๋ยวผมจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ ผมจะบินไปหาคุณ”
วิภาวีตีหน้าเศร้า “ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งที่สนามบินนะ”
ร้อยกรองโวยวายลั่น “ไม่ต้องๆๆๆ ย่าไปกับหนูวิเอง กลับไปบอกแม่เรานะว่าความโลภของมัน นอกจากทำลายชีวิตพ่อชูนาม ตอนนี้มันทำลาย หัวใจผู้หญิงอีกคนแล้ว”

ปานเทพมองตามสองคนที่เดินห่างออกไป โดยไม่รู้ว่าวิภาวีกับร้อยกรองแอบยิ้มให้กันอย่างสมใจ

อ่านต่อหน้า 3

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 13 (ต่อ)

ปานเทพรีบมารายงานเรื่องวิภาวีกับปานรุ้ง เวลานี้เขาอยู่ในห้องทำงานคุณหญิงมารดา ที่ออฟฟิศ พีแอนด์เอสทีแอร์ไลน์

“วิภาวีกลับอเมริกาแล้วเหรอ” ปานรุ้งถามย้ำ
“ครับคุณแม่ เขาทนไม่ได้ที่เห็นผมจะหมั้นกับนิชา”
ปานรุ้งมีสีหน้านิ่ง เก็บความพอใจไว้ในอก แล้วลุกเดินเข้ามาลูบแก้มปลอบใจลูก
“ปานเทพเสียใจไหมลูก”
“ก็มีบ้างครับ ผมกับวิรักกันมาตั้งหลายปี อยู่ๆ เขาไปจากชีวิตผม ผมก็รู้สึกอะไรหายไปเหมือนกัน”
“แต่ปานเทพรู้ใช่ไหม ว่าที่แม่ทำ ก็เพื่อลูก ลูกเป็นลูกชายคนโตของแม่ เราเคยอดอยากมาด้วยกัน สู้ชีวิตมาด้วยกัน วันนี้แม่มีทุกอย่าง แม่ก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับปานเทพ ทั้งคู่ชีวิตและอนาคต”
“ผมเข้าใจครับนายแม่”
วาสุเทพเคาะประตู แล้วเดินเข้ามา แปลกใจที่เจอปานเทพ
“อ้าว พี่นึกว่ารุ้งอยู่คนเดียว”
ปานเทพทำหน้ายียวน
“ผมจะอยู่กับแม่ของผมไม่ได้เหรอครับ”
วาสุเทพชะงักนิดๆ แต่พยายามไม่เอาอารมณ์ของปานเทพมาใส่ใจ
ปานรุ้งรีบเปลี่ยนเรื่อง “ปานเทพกลับห้องเถอะลูก เห็นธันวาบอกว่าเดี๋ยวจะ มีการประชุมเรื่องยื่นซองประมูลก่อสร้างคอนโดของลูก ลูกรีบไปเตรียมตัวเถอะ”
“ครับ นายแม่” ปานเทพไม่เต็มใจนักจงใจเดินไปที่ประตูช้าๆ เพื่อรอฟังว่าวาสุเทพจะพูดเรื่องอะไร
“พี่เทพมีอะไรเหรอคะ”
“พี่จะมาบอกรุ้งว่าคุณนวรัตน์ เจ้าของสายการบินแอร์ไทยเปิดโครงการเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวราคาถูก เจาะไปที่บริษัททัวร์ของจีน และเพื่อนพี่ที่ทำงานอยู่ในกระทรวงส่งข่าวมาว่า ค่าน้ำมันจากที่ว่าจะลด มันกลับขึ้น มันอาจมีผลกระทบกับบริษัทใหม่ของเรา ที่จะเปิดให้เช่า เหมาลำเครื่องบินส่วนตัวเหมือนกัน”
ปานเทพเดินไปที่ประตู แอบฟังเรื่องที่ปานรุ้งจะเปิดบริษัทใหม่
“งั้นพี่เทพลองประเมินดูแล้วกันค่ะ ว่าเราต้องทำยังไงต่อ ควรเปิดตอนนี้ หรือเลื่อนไปก่อน พี่เทพตัดสินใจเลยค่ะ เพราะรุ้งให้พี่เป็นคนควบคุม ดูแลบริษัทใหม่อยู่แล้ว”
ปานเทพได้ยินว่าวาสุเทพจะได้ควบคุมบริษัทใหม่ ก็ไม่พอใจ

รอจนปานรุ้งเดินออกมาจากห้องทำงาน ปานเทพก็เดินเข้ามาหาทันที
“นายแม่จะเปิดบริษัทใหม่เหรอครับ”
“เมื่อกี้ปานเทพได้ยินด้วยเหรอลูก”
“ขอผมดูแลบริษัทนั้นแทนโครงการสร้างคอนโดได้ไหมครับ”
“ถ้าปานเทพมาดูแลทางนี้ แล้วใครจะทำงานกับหนูนิชาล่ะลูก ปานเทพทำคอนโดดีแล้ว ลูกจะได้เรียนรู้งานอสังหาริมทรัพย์ ต่อไปลูกแต่งงานกับหนูนิชา ลูกก็ต้องเข้าไปช่วยคุณนิรมลดูแล
งานโรงแรม”
“แต่ว่า”
ปานรุ้งตัดบท “ให้คุณลุงเป็นคนดูแลบริษัทใหม่เถอะลูก การเปิดตลาดใหม่ มันไม่ใช่
เรื่องง่าย คุณลุงมีประสบการณ์มากกว่า ให้คุณลุงปูทาง กว่าจะเข้าที่เข้าทาง ปกรณ์ก็เรียนจบมาช่วยดูแล”
พอได้ยินว่าปานรุ้งจะให้ปกรณ์มาดูแล ปานเทพแอบไม่พอใจ ธันวาเดินเข้ามาหาปานรุ้ง
“รถพร้อมแล้วครับคุณหญิง”
“เดี๋ยวแม่ไปหาผู้ใหญ่ที่จะให้ท่านไปสู่ขอหนูนิชาให้ลูกก่อนนะ”
ปานรุ้งเดินออกไปกับธันวา
“ที่แท้ ก็จะปูทางให้ลูกชายตัวเองเข้ามาบริหารบริษัท ถ้าฉันแต่งงานเมื่อไหร่ จะยุให้นายแม่โอนทุกอย่างเป็นของฉันให้หมด”

ปานเทพมองตามอย่างไม่พอใจ

ทางด้านปรกลงรถเดินถือแฟ้มงาน กำลังจะเข้าสำนักงานในกรมทาง นิชาเดินถือแฟ้มออกมาจากด้านใน

สองคนมัวแต่สาละวนก้มหน้าอยู่กับแฟ้มงาน จึงไม่ทันมองทางปรกกับนิชาจึงชนกันโครมใหญ่ แฟ้มในมือของสองคน หล่นกระจาย
ปรกรีบเงยหน้ามอง ”ขอโทษครับ” พอเห็นว่าเป็นนิชาก็ชะงัก “อ้าว”
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า” นิชาตกใจ
“เปล่า”
ปรกรีบเก็บเอกสารใส่แฟ้มคืนให้นิชา แล้วจะรีบเดินหนี ไม่อยากเจอเพื่อเจ็บไปกว่านี้ นิชามองปรกที่รีบร้อนเก็บเอกสาร
“เอกสารอันนั่นของฉัน ไม่ใช่ของคุณ”
ปรกชะงัก ดูเอกสารดีๆ นิชาเดินไปเก็บเอกสารของตัวเอง ปรกหยิบเอกสารแผ่นเดียวกับนิชา นั่นทำให้หัวสองคนอยู่ใกล้กันในระยะประชิด
“อันนี้ก็ของฉัน”
ปรกเงยหน้ามอง พบว่าอยู่ใกล้นิชามาก จึงรีบถอยห่าง เก็บเอกสารของตัวเองไป จนเสร็จจึงลุกขึ้นยืน
“ถ้าคุณไม่เป็นไร ผมขอตัวนะ”
ปรกรีบเดินไป นิชามองตามอย่างแปลกใจ
“ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย”
ปรกชะลอเท้าช้าลง หันมามองนิชา แล้วตัดใจเดินต่อไปที่รถ

ช่วงตอนพักเที่ยง ปรกนั่งอยู่คนเดียวในร้านอาหารละแวกออฟฟิศ สีหน้าเหม่อลอย ใบหน้าหล่อเศร้า แม่ค้าถือจานข้าวกระเพราไข่ดาวกรอบมาให้ปรก
“ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวกรอบๆ มาแล้วจ้ะคุณปรก
“ขอบคุณนะครับ”
“วันนี้นึกว่าจะหนีไปล่าตามหาร้านอร่อยซะแล้ว”
“ไปตามล่าที่ไหน ก็ไม่มีใครทำกะเพราอร่อยเท่าที่นี่ ผมให้ไปเลย 10 ดาว” ปรกฝืนทำตัวร่าเริง
“ไม่เอาดาวได้ไหม ขอเปลี่ยนเป็นเบอร์หนุ่มๆที่ไหนสักคน ที่เขาอยากมีผู้หญิงทำกับข้าวเก่งคอยดูแล” แม่ค้าว่า
ปรกยิงมุกใส่ “เสียดายจัง บ้านผมไม่มีครัว อดมีแฟนเป็นผู้หญิงทำกับข้าวเก่งเลย เดี๋ยวหาเพื่อนที่บ้านมีครัวให้นะ”
แม่ค้าตีแขนหยอก “พูดดีๆ ไม่ให้กิน เดี๋ยวจับไปฟินหลังร้านเลย” แล้วเดินกลับเข้าครัวไป
ปรกขำแล้วหยิบช้อน ส้อมจะกิน เห็นนิชาเดินเข้ามากับธนากร
“เฮ้ คุณปรก ผมกับคุณนิชาขอนั่งด้วยได้ไหม เที่ยงทีไร เต็มร้านทุกที”
ปรกมองนิชา แล้วรวบช้อนส้อม
“เอาสิ ผมกำลังจะไปพอดี”
นิชามองจานข้าวปรก “แต่คุณเพิ่งสั่งไม่ใช่เหรอ”
“ผมรีบไปดูงานน่ะ” เขาหยิบมือถือโทร.ออกหาปกรณ์ “ว่าไงปกรณ์ มีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยเหรอ” ปรกบอกลากับธนากรคนเดียวว่า “ไปนะ”
ปรกรีบเดินไป โดยไม่ยอมมองหน้านิชาแม้สักน้อย ทำเอานิชาเป็นงง และธนากรดูออก
“คุณกับคุณปรกมีปัญหากันรึเปล่า ดูวันนี้ทั้งวัน เหมือนเขาไม่อยากคุยกับคุณเลยนะ”

นิชามองตามปรกในสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

อีกฟาก ปกรณ์นั่งที่อัฒจันทร์ริมสนามบอลมหา’ลัย คุยมือถือกับปรกด้วยสีหน้างงๆ

“ผมไม่มีอะไรให้ช่วยนี่พี่ปรก พี่ปรกเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย” จู่ๆ ปรกวางสายไปเฉยเลย “ฮัลโหล พี่ปรก”
ปกรณ์วางสายงงๆ
“อะไรของเขาฟะ”
ปกรณ์มองหาเป้ของตัวเอง
“ใครเอาเป้ฉันไปวะ”
ปุ่นถือกระเป๋าเป้ของปกรณ์เข้ามา ด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม
“หาอะไรในกระเป๋าเหยอ”
ปกรณ์รีบหยิบยาพ่นในกระเป๋ามาพ่น “ก็จะเอายาน่ะสิ”
ปุ่นมองเหล่ล้อเพื่อน “อ๋อ ที่แท้ก็ตามหายาพ่นสื่อรัก ของแม่ค้าคนงาม”
“ไอ้บ้า เลิกล้อสักทีได้ไหม ฉันบอกแล้วไงว่าฉันกับรินทร์ ไม่มีอะไร” ปกรณ์ชี้ปากตัวเอง เลียนท่าน้องณัชชาลูกสาวพี่บ็อบ “ดูปากปกรณ์นะคะ...ไม่มีอะไร”
“ฉันเชื่อๆๆๆๆ ฉันถึงมีไอ้นี่มาฝากนาย” ปุ่นหยิบซองถุงยางส่งให้ปกรณ์
ปกรณ์ตกใจ “ไอ้บ้า เอามาให้ฉันทำบ้าอะไร”
“เอ้า ตอนนี้นายกับรินทร์ยังไม่มีอะไร แต่เดี๋ยวอีกหน่อยก็ต้องมี” ปุ่นหย่อนยัดถุงยางใส่กระเป๋าเสื้อปกรณ์ “วัยรุ่นสมัยใหม่ ยืดอกพกถุงเว้ย”
ปกรณ์แล้วหยิบซองถุงยางปาใส่เพื่อน “ไม่เอาเว้ย ไม่มีใครคิดบ้าๆ อย่างแกหรอก”

ฝ่ายวิรินทร์เดินตรงไปทางห้องสมุด จู่ๆ มีถุงพลาสติกใส่น้ำมะม่วงปั่น ปามาใส่
“เฮ้ย พวกเธอทำบ้าอะไรเนี่ย!”
ที่แท้เป็นกลุ่มนักศึกษาหญิงที่เคยมีเรื่องกันคราวก่อน นักศึกษาหญิง 1 เปิดฉากเสียดสีดูแคลนว่า
“เห็นเธอรุ่มร้อนกระสันผู้ชาย ฉันเลยเอาน้ำมะม่วงแรดช่วยดับร้อนให้”
หญิง 2 แกล้งต่อว่าเพื่อน “เธอทำชุดแม่ค้าเลอะ แม่ค้าจะเร่ขายของ ยังไงต่อล่ะ”
หญิง 1บอก “ก็แก้ผ้าสิ ถนัดเรื่องแก้ผ้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
นักศึกษาหญิงกลุ่มนั้นหัวเราะเยาะวิรินทร์
ปานวาดเดินผ่านมาพอดี เห็นวิรินทร์โดนแกล้งก็ชะงักหยุดมอง
วิรินทร์โกรธ จะเข้าไปเอาเรื่อง “อย่าให้ฉันเหลืออด ไม่อย่างนั้น จมูกที่เธอผลาญ เงินพ่อแม่ไปทำ เบี้ยวไหลลงมากองที่คางแน่”
วิรินทร์จะเดินหนีไป
หญิง 1 โกรธที่วิรินทร์ไม่สะทกสะท้าน จึงเดินเข้าไปด้านหลังวิรินทร์ แล้วเหยียบส้นรองเท้าจนทำให้วิรินทร์สะดุดล้ม และรองเท้าวิรินทร์ขาดคาเท้าของ หญิง 1
วิรินทร์โกรธจัดเหลียวขวับมามองรองเท้าตาเขียว “นี่มันจะมากไปแล้วนะ”
“แค่นี้ยังน้อยไป ถ้าเธอยังไม่หยุดลอยหน้าลอยตาว่าเป็นผู้หญิงของปกรณ์ เธอเจอยิ่งกว่านี้แน่”
กลุ่มนักศึกษาหญิงแสบเดินออกไป วิรินทร์มองรองเท้าทั้งโมโหทั้งเซ็งๆ

“ผู้หญิงของปกรณ์บ้าบออะไร ฉันอยู่ของฉันดีๆ พวกเธอนั่นแหละปัญญาอ่อนคิดไปเอง โธ่เว้ย”

ปานวาดเดินเข้ามาหาวิรินทร์

“น้องเป็นอะไรมากรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
วิรินทร์ค่อยๆ หยิบร้องเท้ามาพลางยันตัวลุกขึ้น แล้วเดินเท้าเปล่าออกไป สวนทางกับอริศราและวีวี่ที่เดินเข้ามาหาปานวาด สองคนมองวิรินทร์อึ้งๆ แล้วรีบเดินมาเม้าท์กับปานวาด
“วาด นั่นไง เด็กปี 2 คนนั้นน่ะ ที่กำลังเป็นข่าวกับน้องปกรณ์ของฉัน”
“ข่าวอะไร”
“ก็ข่าวที่น้องชายเธอพาผู้หญิงคนนี้เข้าไปบึ้ดจ้ำบึ้ดในห้องน้ำชายไง”
“ห๊า” ปานวาดตกใจมากกับข้อมูลนี้

เวลานั้นปกรณ์เดินถือหนังสือลงมาจากตึกเรียน มีปานวาดเดินตามซักไซ้เรื่องข่าวลือในห้องน้ำชาย
“ผมบอกเลยว่าผมกับวิรินทร์ไม่ได้มีอะไร ผมแค่เตะบอลแล้วกางเกงขาด วิรินทร์เค้าก็เลยอาสาเย็บกางเกงให้ผม ก็แค่นั้น”
“แค่นั้นก็ดี พี่เตือนไว้ก่อนเลยนะ อย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงนายแม่เด็ดขาด เพราะไม่ใช่นายคนเดียวที่จะซวย พี่ก็จะซวยไปด้วย”
ปกรณ์ เซ็ง “รู้แล้วน่า”
“ดีมาก” ปานวาดจะเดินไป แล้วคิดบางอย่างได้ “อ้อ แล้วถ้าให้ดี เธออย่าไปยุ่งกับวิรินทร์เลยดีกว่า เพราะวันนี้พี่เห็นเขาโดนแฟนคลับเธอรุม จนรองเท้าขาด”
ปกรณ์ชะงัก “จริงเหรอพี่วาด”
“ใช่ ป่านนี้คงเดินเท้าเปล่ากลับบ้านแล้วมั้ง”
ปกรณ์รีบวิ่งออกไปทันที
ปานวาดมองตามน้องงงๆ “ปกรณ์ จะไปไหน”
มีเสียงข้อความจากมือถือดังขึ้น
ปานวาดยิ้ม เพราะคิดว่าเป็นโดม พอหยิบมาดู เห็นว่าเป็นข้อความข่าว
“อย่าพลาด จองวันนี้ เข้าอยู่ได้เลย...ข้อความโฆษณาบ้าบออะไรเนี่ย คนยิ่งรอ”
จู่ๆ โดมโผล่หน้ามาพูดข้างหูปานวาด
“นึกว่าเป็นข้อความจากพี่เหรอครับน้องวาด”
ปานวาดหันไป เห็นว่าโดมยืนจ้องอยู่ก็ชะงัก

ฟากวิรินทร์ในสภาพเสื้อเลอะเปื้อน เท้าเปล่าข้างหนึ่งกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากมหาวิทยาลัย โดยไม่รู้ว่ามีปกรณ์วิ่งตามมา วิรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์เลี้ยวหลุดออกจากประตูมหาวิทยาลัยไปแล้ว ปกรณ์วิ่งมาหยุดตรงริมถนนหน้ามหา’ลัย หายใจหอบเหนื่อย หยิบสเปรย์ออกมาฉีดพ่นสองปื้ด ก่อนจะรีบวิ่งไปหยุดโบกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขี่ผ่านมาพอดี
“พี่ครับ ขี่ตามมอไซค์คันนั้นไปเลย”

ปกรณ์ขึ้นซ้อนสวมหมวกกันน็อค วินขี่รถตามมอเตอร์ไซค์วิรินทร์ไปทันที
 
อ่านต่อหน้า 4

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 13 (ต่อ)

ขณะนั้น ปานวาดเดินหนีมาตามทางในมหา’ลัย มีโดมเดินตามตื๊อมา

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้รอข้อความของนาย”
อริศรากับวีวี่มาเจอเข้า
วีวี่กรี๊ด “อร๊าย...พี่โดม มาเมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกวีวี่เลย”
“มาเมื่อกี้ครับ พอดีแวะเอาเพลงที่มิกซ์ เสร็จแล้วมาให้ ลองฟังกันดูนะ ถ้าไม่ชอบยังไงพี่จะได้แก้ให้”
“วีวี่ไม่ชอบค่ะ”
”แกยังไม่ฟังเลย แกจะไม่ชอบได้ไง” อริศราท้วง
“ต่อให้พี่โดมทำเพลงมายังไงฉันก็ไม่ชอบหรอก ฉันจะแก้ทุกครั้ง เพราะพี่ โดมจะได้มาที่นี่บ่อยๆ” วีวี่ส่งยิ้มหวานให้โดม คนถูกมองยิ้มขำ
“แต่ฉันชอบแล้ว” ปานวาดบอก
โดมสวนออกมา “ชอบเพลงหรือชอบผม”
ปานวาดชะงัก วีวี่ กับอริศราแอบมองเหล่สองคน
“ชอบเพลงสิ” ปานวาดว่า
อริศราแปลกใจ “แล้วแกได้ฟังเพลงที่พี่เค้ามิกซ์ แล้วเหรอวาด”
“ฟังแล้ว”
อริศราซัก “แกไปฟังตอนไหน”
ปานวาดชะงัก คิดปราดเดียว “ก็เค้าส่งเมลล์มาให้ฉันฟัง นายจะคิดค่ามิกซ์เพลงเท่าไหร่ล่ะ”
“ผมไม่คิดเป็นเงิน แต่ผมขอคิดเป็นอย่างอื่น”
โดมยิ้มเจ้าเล่ห์ ปานวาดมองฉงนว่าโดมจะมาไม้ไหนอีก

ไม่นานต่อมา โดมเดินนำทุกคนมาหยุดที่หน้าร้านไอติม บริเวณด้านหน้ามหา’ลัย

“ให้พวกเราเลี้ยงไอติมเป็นค่ามิกซ์ เพลงพี่โดมเนี่ยนะ”
“ใช่ ทำไมอ่ะ พวกเราไม่ชอบกินไอติมกันเหรอ”
“ชอบค่ะ โดยเฉพาะยัยคุณหนูนี่เลย” วีวี่มองไปทางปานวาด “กินได้กินดี...กินทุกวัน”
โดมมองปานวาดยิ้มๆ อีกฝ่ายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ โดมเดินนำเข้าไป ปานวาดกับเพื่อนๆ เดินตามไป
จังหวะที่โดมเปิดประตูร้านกำลังจะก้าวเข้าไป มีลูกค้าที่กินไอติมเสร็จเดินสวนออกมาพอดี โดมเลยต้องหยุดชะงัก นั่นทำให้ปานวาดที่เดินตามหลังมา หน้าชนเข้ากับแผ่นหลังโดมจังๆ และเสื้อของโดมด้านหลังมีรอยลิปสติกจางๆ จากริมฝีปากปานวาดติดอยู่ โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็น
“อยากกินไอติมขนาดนั้นเลยเหรอครับน้องวาด”
ปานวาดเขินแกล้งโมโหกลบเกลื่อน “หยุดเรียกฉันว่าน้องสักที ฉันบอกไว้เลยนะ ถ้าฉันต้องเป็นน้องนายฉันขอตายดีกว่า”
โดมมองปานวาดชะงักไปนิดหนึ่ง
จังหวะนี้มือถือโดมดังขึ้น เขากดรับสาย
“ฮัลโหลครับ ว่าไงครับ” โดมฟังแล้วชะงักงันไป “ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ” เขาวางสายแล้วลุกขึ้น “โทษทีนะครับทุกคน พอดีพี่มีธุระด่วน”
โดมรีบเดินออกไปยืนรอเรียกรถแท็กซี่ด้วยวันนี้ไม่ได้เอาบิ๊กไบค์มา ปานวาดมองตามสีหน้าฉงน
เธอเห็นโดมยืนรอรถอย่างร้อนใจ และทนรอไม่ไหว ตะโกนเรียกแท็กซี่ว่างฝั่งตรงข้าม
“แท็กซี่”
โดมวิ่งข้ามถนน บังเอิญมีรถเก๋งวิ่งมาอย่างเร็วเกือบชน บีบแตรใส่โดมดังลั่นถนน ปานวาด อริศรา และวีวี่พากันตกใจ
“เฮ้ย”
โดมรีบวิ่งผ่านไปโดยไม่มีท่าทีตกใจ รีบขึ้นรถแท็กซี่ไป
ปานวาด อริศรา และวีวี่มองโดมอย่างอึ้งๆ งงๆ จะรีบอะไรปานนั้น
“พี่โดมรีบไปไหนอ่ะ”
คำถามของอริศรา ทำเอาปานวาดสงสัยเหมือนกัน

โดมลงรถวิ่งเข้ามาหน้าบ้าน เจอสาวใช้เปิดประตูบ้านออกมาพอดี
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ”

“คุณยาอาละวาดร้องหาคุณโดมอยู่ค่ะ คุณท่านบอกว่าคุณโดมไปทำงาน คุณยาก็ไม่ยอมเชื่อ บอกแต่ว่าคุณโดมทิ้งท่านไปแล้ว”
ยินเสียงร้องกรี๊ดๆๆ ดังออกจากในบ้าน
“อร๊าย...”
โดมรีบกระโจนเข้าบ้านไป

เข้มขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าแฟลตโดยมีสาหิ้วตะกร้าผ้าซ้อนท้าย สองคนเพิ่งกลับจากการส่งผ้า และเห็นวิรินทร์จอดรถ กำลังเดินเท้าเปล่าเข้าบ้าน
“รินทร์ ไปทำอะไรมา ทำไมตัวเปื้อนแบบนี้ แล้วรองเท้าไปไหน”
“หมามันกัดรองเท้าพังน่ะพี่เข้ม”
“ไม่เป็นไร คู่นั้นพังได้ก็ดี รินทร์ใส่มาตั้งแต่ปี 1แล้ว จะได้ซื้อใหม่สักที” สาบอก
“มันเปลืองเงินนี่จ๊ะแม่”
ปกรณ์ลงรถวิน วิ่งทะเลอทะล่าเข้ามา
“รินทร์”
วิรินทร์ตกใจมองปกรณ์อย่างคาดไม่ถึง “เฮ้ย นายมาได้ยังไง”
ปกรณ์มองเท้าวิรินทร์ที่เดินเท้าเปล่าแล้วใจหาย “เราขอโทษเรื่องรองเท้าเธอด้วยนะ”
เข้มมองปกรณ์ที มองวิรินทร์ที “ตกลงรองเท้ารินทร์โดนหมากัดจริงๆ รึเปล่า”
ปกรณ์งง “หมา”
วิรินทร์รีบดึงปกรณ์ออกไป “นายกลับไปซะ นายเห็นไหม ว่านายมายุ่งกับเราทีไร เราเจอแต่เรื่องทุกที ที่มหาลัยก็ทีนึงแล้ว นี่ยังจะ ตามมาบ้านเราอีก”
“แต่ว่า...”
วิรินทร์ดันรุนหลังปกรณ์ออกไป “กลับไปเลย”
แล้วเดินกลับไปหาแม่กับเข้ม
“เข้าบ้านกันเถอะแม่”
วิรินทร์เอาตะกร้าเสื้อผ้าจากสามาถือเอง จูงแม่เข้าบ้านไป ปกรณ์มองตามวิรินทร์จ๋อยๆ แล้วเดินออกไป

เข้มมองตามปกรณ์ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ปานรุ้งกับวาสุเทพเดินคุยกันเข้าบ้านมา

“ถ้าท่านรัฐมนตรีนิยมไม่ว่าง พรุ่งนี้รุ้งจะไปเชิญท่านรัฐมนตรีสุวิทย์เป็นผู้ใหญ่สู่ขอหนูนิชาแทน พรุ่งนี้พี่เทพไปกับ รุ้งนะคะ”
“ได้จ้ะ”
น้อยวิ่งเข้ามาต้อนรับ
“จะให้ตั้งโต๊ะอาหารเย็นเลยไหมคะคุณหญิง”
“ถึงเวลาก็ต้องตั้งสิ เรื่องทำทุกวันอยู่แล้ว ทำไมต้องถามด้วยล่ะน้อย”
น้อยอึกอัก “เอ่อ เพราะคุณปรกยังไม่กลับมาค่ะ น้อยเลยถาม เผื่อคุณหญิงจะเลื่อนเวลาตั้งโต๊ะรอคุณปรก”
“นี่ปรกยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
ปานรุ้งอดคิดถึงและเป็นห่วงปรกไม่ได้

ปรกพาตัวเองนั่งดื่มเหล้าดับกลุ้มอยู่ที่โต๊ะติดริมแม่น้ำในร้านอาหารบรรยากาศชิลล์ๆ แห่งนี้ ปรกมองเหม่อไปในสายน้ำ ขณะเอื้อมมือจะไปหยิบแก้วเหล้ามาดื่ม
นิชาเดินเข้ามาคว้าแก้วเหล้าไปดื่มจนหมด ปรกชะงักมองนิชาอย่างไม่คาดคิด
“คุณ”
“ฉันเห็นในไอจี คุณแนะนำว่าบรรยากาศร้านนี้ดี กับแกล้มอร่อยเหมาะกับพวกอกหักรักคุด ฉันเลยลองมา”
“คนกำลังจะหมั้นอย่างคุณไม่น่าจะอกหักนะครับ” ปรกประชด
นิชานั่งลงตรงหน้าปรก
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจะหมั้น”
ปรกแถไปจนได้ “ข่าวหน้าสังคมลงรูปคุณแทบทุกฉบับว่าคุณกำลังจะหมั้น”
นิชาชะงักนิ่งงันไป “หมั้นแบบคลุมถุงชน คุณคิดว่าฉันจะมีความสุขเหรอ”
ปรกมองนิชา อยากจะบอกเธอเหลือเกินว่าถ้าไม่มีความสุข ก็ไม่ต้องหมั้น
“ถ้าไม่มีความสุขก็...”
นิชามองจ้องหน้าปรกรอฟัง
“ก็อะไร”
ปรกจะพูด แต่สุดท้ายพูดคำอื่นออกมา “ก็ดื่มต่อ” พลางยื่นแก้วเหล้าให้นิชา
นิชามองปรกอย่างจับสังเกต “แล้วคุณล่ะ อกหักเหรอ ถึงมานั่งที่นี่”
สองคนมองหน้ากัน
“ผมกลับละ”
ปรกล้วงเงินค่าเหล้าวางบนโต๊ะ แล้วลุกจะเดินออกไป
“ถ้าครั้งนี้คุณเดินไป ฉันจะไม่เดินตามคุณอีกแล้วนะ”
ปรกชะงัก นิชาลุกขึ้น เดินไปหาปรก
“จะไม่ตามไปถามคำถามซ้ำๆ ว่าฉันควรหรือไม่ควรหมั้นอีก เพราะฉันไม่อยากฟังคำตอบเดิมๆ ไม่อยากเห็นคุณเดินหนีเหมือนรำคาญฉัน อย่างนี้”
“ผม...”
“ขอโทษนะคะที่รบกวนคุณ ต่อไปฉันจะไม่มายุ่งกับคุณอีกแล้ว”
นิชาจะเดินไป ปรกตัดสินใจพูด
“วันจันทร์นี้ผมต้องไปดูงานที่เชียงใหม่อีกรอบ คุณอยากไปกับผมไหม”
นิชาอึ้งไป “วันจันทร์ วันหมั้นของฉันน่ะเหรอ”
นิชามองปรกอึ้งๆ เพราะเท่ากับเขากำลังชวนเธอหนี
ปรกมองรอคำตอบจากนิชาด้วยสายตาจริงจัง

บรรยากาศในห้องโถงบ้านสมุทรเทวาเปิดไฟแค่สลัวๆ เหมือนไม่มีใครอยู่ข้างล่างแล้ว จนกระทั่งปรกเดินเข้าบ้านมา ปานรุ้งลุกจากโซฟาเดินเข้าไปหาลูก ปรกชะงัก
“นายแม่ยังไม่นอนเหรอครับ”
“ถ้าแม่นอน ก็คงไม่เห็นหน้าลูก” ปานรุ้งเดินเข้าไปใกล้ๆ ลูก “หลบหน้ารึเปล่า”
“เปล่าครับ”
“ปรก”
ปรกรีบพูดบอก “นายแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่โกรธนายแม่ อย่างที่นายแม่บอก ผมเป็นลูกพ่อเกื้อ”
ปรกมองปานรุ้ง คิดถึงก่อนหน้านี้ที่ร้านอาหารริมน้ำ

หลังจากปรกตัดสินใจพูดโพล่งออกไปว่า
“วันจันทร์นี้ผมต้องไปดูงานที่เชียงใหม่อีกรอบ คุณอยากไปกับผมไหม”
“วันจันทร์ วันหมั้นของฉันน่ะเหรอ”
นิชาอึ้ง เพราะเท่ากับเขากำลังชวนเธอหนี
ปรกมองรอคำตอบจากนิชาด้วยสายตาจริงจัง
“นั่นสินะ วันจันทร์มันวันหมั้นของคุณ งั้นผมขอให้คุณมี ความสุขนะ”
ปรกมองนิชาอีกอึดใจ แล้วจึงเป็นฝ่ายเดินออกไป นิชามองปรกอึ้งๆ อยู่อย่างนั้น

ปรกดึงตัวเองกลับมา มองหน้าปานรุ้ง
“อะไรที่เป็นความสุขของนายแม่ ผมยอมทำให้นายแม่อยู่แล้ว”
ปานรุ้งเอื้อมมือไปจับแก้มปรก “แม่รู้”

“ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”
ปรกเดินขึ้นห้องไป ปานรุ้งมองตามลึกๆ สงสาร แต่ต้องตัดใจ
พอพาตัวเองเข้ามาในห้อง ปรกทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าเจ็บปวด

ส่วนนิชานั่งนิ่งอยู่ริมทาง คล้ายคนที่ไม่อยากกลับบ้าน นิชาหยิบมือถือออกมา เปิดหน้าจอขึ้นเป็นเบอร์ปรก

นิชาทำท่าจะกดโทร.ออก สุดท้ายหญิงสาวหักห้ามใจไม่โทร.หา

เช้าวันจันทร์อันเป็นวันหมั้นระหว่างปานเทพกับนิชา ปานวาดใส่ชุดเป็นทางการเตรียมไปร่วมงานหมั้น เดินลงบันไดมาในห้องโถง พร้อมกับเปิดดูข้อความในมือถือ บ่นพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด

“ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ หายเงียบไปเลย หรือว่าเกิดอะไรขึ้น”
ปานวาดนิ่งคิด ตัดสินใจโทร.หาอริศรา รอจนอีกฝ่ายรับสาย
“อริศ เธอเคยบอกว่าเพื่อนของนายโดมไลน์มาจีบเธอใช่ปะ”
เสียงอริศราดังมาจากมือถือ “อ๋อ ใช่ เนี่ยยังไลน์มาคุยอยู่เลย ฉันสับรางแทบไม่ทันอยู่แล้ว”
“งั้นเธอถามนายนั่นให้หน่อยสิ ว่าบ้านนายโดมอยู่ไหน”
น้อยเดินเข้ามาหาปานวาด
“คุณหนูปานวาดคะ คุณหญิงให้มาตามแล้วค่ะ”

ปานรุ้งกำลังวุ่นวายกับการตรวจความเรียบร้อยเสื้อผ้าให้ปานเทพ ปกรณ์กับวาสุเทพยืนอยู่ข้างๆ
“วันนี้ลูกชายของแม่หล่อที่สุดเลยจ้ะ” พลางหันไปมองปกรณ์กับวาสุเทพ “ผู้ชายสองคนนี้ก็หล่อ รุ้งว่าในงานวันนี้ ต้องมีคนอิจฉารุ้ง ที่เดินท่ามกลางผู้ชายหล่อตั้ง 3 คนแน่ะ”
“ไม่ใช่สามคนสิครับนายแม่ ต้องสี่คน รวมพี่ปรกด้วย”
“เอ้อ…นั่นสิ ปรกไปไหน ทำไมยังไม่ลงมาอีก”
“ปรกขับรถไปดูงานที่เชียงใหม่ตั้งแต่เช้ามืดแล้วล่ะ เมื่อเช้าเขาแวะมาบอก แต่รุ้งหลับอยู่”
ปานรุ้งชะงักรู้ทันทีว่าลูกชายเลี่ยงงานวันนี้ “เหรอคะ”
น้อยเดินเข้ามาพร้อมปานวาด
“คุณปานวาดมาแล้วค่ะ”
“ครบแล้ว งั้นก็รีบไปเถอะครับ ป่านนี้คุณน้านิรมลกับน้องนิชารอเราแย่แล้ว”

งานหมั้นจัดขึ้นภายในห้องบอลรูมในโรงแรมของนิรมล
นิชาอยู่ในห้องแต่งตัว แต่งหน้ากับทำผมเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวนั่งมองตัวเองอยู่หน้ากระจกด้วยสีหน้าไม่มีความสุขเอาเลยจน นิรมลเดินเข้ามา
“วันนี้ลูกสวยที่สุดเลย รู้ไหมลูก”
“เหรอคะ นิไม่รู้ว่ามันสวยหรือไม่สวย อย่างนี้มั้ง ที่เขาบอกว่าคนไม่มีความสุข ต่อให้อยู่ในทุ่งดอกไม้สวยๆ ก็เห็นเป็นสุสานอยู่ดี”
“อย่าพูดให้แม่รู้สึกไปมากกว่านี้ได้ไหมนิชา”
นิชาชะงัก คิดได้ว่าพูดแรงไป “นิชาขอโทษค่ะ นิชาจะอดทนทำเพื่อบริษัทเรา”
“มันไม่ใช่แค่บริษัทเรา แต่ที่แม่อยากให้ลูกแต่งกับปานเทพ ก็เพื่อตัวนิชาด้วย” นิรมลสวมกอดลูก “นิชา แม่เองก็แก่แล้ว เดี๋ยวก็ป่วยบ่อยไม่รู้จะอยู่ดูแลลูกได้อีกนานเท่าไร แต่ถ้าลูกแต่งเข้าสมุทรเทวา มันเหมือนแม่ส่งลูกถึงฝั่ง แม่เชื่อว่าปานเทพกับคุณหญิงต้องดูแลลูกของแม่อย่างดี”
“แต่บางที สิ่งที่นิต้องการ ไม่ใช่เงิน แต่แค่อยู่กับใครสักคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน คุยด้วยแล้วสบายใจ เท่านั้นก็พอ”
“แต่ผู้ชายอย่างนั้น ช่วยอะไรบริษัทเราไม่ได้ แม่จะให้นิพักผ่อนก่อน เดี๋ยวผู้ใหญ่พร้อมแล้ว แม่จะมาเรียกนะลูก”
นิรมลเดินออกไป นิชามองแม่ แล้วหยิบมือถือมากดข้อความหาปรก

ปรกขับรถมาตามทางด้วยสีหน้าหมองเศร้า จนกระทั่งได้ยินข้อความเข้ามือถือ ปรกหยิบมากดดู
“ถ้าฉันอยากไปเชียงใหม่กับคุณ คุณจะมารับฉันได้ไหม”
ปรกมองมือถือ แล้วมองทางข้างหน้าด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ท่ามกลางแขกในงาน ราว 10 กว่าคน ปานรุ้ง วาสุเทพ นิรมล และแขกผู้ใหญ่ไฮโซนั่งกันอยู่บนโซฟา ปานเทพกับนิชานั่งที่พื้นข้างๆ ญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง ปานวาด ปกรณ์นั่งถัดไป
ปานวาดแอบมองมือถือ เหมือนกำลังรอใครโทร.มา อย่างใจจดจ่อ
ปกรณ์สะกิดแซวพี่สาว “รอหนุ่มโทร.มาเหยอ”
“หนุ่มที่ไหน รอเพื่อนต่างหากย่ะ”
“รอเพื่อนอะไร มองมือถือทุก 5 นาที ยังไงก็รอหนุ่มโทร.มาแน่นอน”
“งั้นพี่นิชาก็กำลังรอหนุ่มเหมือนกันสิ” ปานวาดมองไปทางนิชา “เห็นไหมแอบมองมือถือตลอดเวลาเหมือนกัน”

นิชามองมือถือ รอว่าปรกจะตอบกลับมายังไง
ปานรุ้งดูนาฬิการอมหาฤกษ์
“เอาล่ะค่ะ ดิฉันว่าถึงฤกษ์งามยามดี เรามาคุยเรื่องของหนุ่มๆ สาวๆ กันดีกว่านะคะ”
นิชามองปานรุ้ง แล้วมองมือถือตัวเอง อย่างร้อนรุ่มอุรา

ในสีหน้าอันสับสน ปรกขับรถมาเรื่อยๆ สุดท้ายตัดสินใจยูเทิร์นรถกลับกรุงเทพฯทันที

งานหมั้นเริ่มขึ้นแล้ว อย่างหรูหราภายในห้องบอลรูม ปานรุ้งเอ่ยปากสู่ขอนิชากับนิรมลท่ามกลางแขกผู้ใหญ่ที่นั่งเป็นสักขีพยานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เราก็เห็นพ้องต้องกันว่าเด็กสองคนนี้ มีความเหมาะสมกัน รุ้งรักและเอ็นดูหนูนิชาเหมือนลูกสาว ที่มาวันนี้ ..ก็เพื่อจะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอหนูนิชาให้มาเป็นแม่ศรีแม่เรือนของปานเทพ ลูกชายรุ้งน่ะค่ะ คุณนิรมลจะอนุญาตไหมคะ”
นิรมลยิ้มชื่น “แหม คุณหญิงให้เกียรติและเมตตานิชาขนาดนี้ ดิฉันก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ก็อยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา อีกอย่างเด็กสองคนก็ไม่มีใคร”
โดยไม่มีใครคาดคิด วิภาวีเปิดประตูพรวดเข้ามา
“รู้ได้ยังไงคะว่าปานเทพไม่มีใคร”
ปานรุ้ง ปานเทพ วาสุเทพ มองวิภาวีอย่างอึ้งๆ ส่วนปานวาดกับปกรณ์มองฉงน ว่าวิภาวีเป็นใคร รวมทั้งนิชากับนิรมล
ปานรุ้งหันไปพูดกับปานเทพอย่างไม่พอใจ “ไหนลูกบอกว่าไปแล้วไง”
“วิบอกผมอย่างนั้นจริงๆ นะครับนายแม่”
นิรมลถามปานรุ้ง “ผู้หญิงคนนี้คือใครคะ”
วิภาวีแนะนำตัวเอง “ดิฉันชื่อวิภาวีค่ะ เป็นภรรยาของปานเทพ”
แขกในงานฮือฮา
นิชาหันไปทางปานเทพและปานรุ้ง “จริงเหรอคะ”
ปานรุ้งโกรธสุดขีด ยืนขึ้นพูดอย่างเอาเรื่อง “ไม่จริงค่ะ ผู้หญิงคนนี้เป็นแค่เพื่อนที่ปานเทพ
เคยคบตอนอยู่อเมริกา สองคนจบกันไปแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“เกี่ยวสิคะนายแม่ เพราะในท้องของวิ มีลูกของปานเทพอยู่”
ปานรุ้งตกตะลึง ปานเทพลุกขึ้นถามอย่างไม่คาดคิด “อะไรนะวิ”

วิภาวีบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “วิท้องค่ะ”

นิชาเดินหน้าบึ้งเข้ามาในห้องแต่งตัว โดยมีนิรมลเดินตาม

“นิเกือบตกเป็นเมียน้อยโดยไม่รู้ตัวแล้วเชียว”
“แม่ขอโทษ แม่ก็แค่พยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาบริษัทเราไว้ แม่ไม่คิดว่าจะทำให้ลูกขายหน้าอย่างนี้”
นิชาเข้าไปกอดปลอบนิรมล “มันไม่ใช่ความผิดของคุณแม่หรอกค่ะ”
นิรมลปลง “เอาเถอะ ถ้าเราไม่มีเงินจ่ายธนาคารเดือนนี้ เราคงต้องเสียโรงแรมไป”
นิชามองแม่ด้วยความสงสาร
“งั้นนิจะยอมหมั้นต่อค่ะ”
“ไม่ลูก พอแล้ว นิทำเพื่อแม่พอแล้ว แม่จะไม่ยอมให้ลูกต้องเสียชื่อไปมากกว่านี้”
“แต่ว่า”
“ถึงแม่จะรักบริษัท แต่แม่ก็รักลูกมากกว่า แม่บอกแล้วไงว่าที่แม่อยากให้นิแต่งกับปานเทพ เพราะอยากให้วิมีความสุข แต่ถ้าแม่เห็นแล้วว่านิต้องไปเป็นทุกข์ แม่ไม่มีวันยอมส่งลูกไปแน่”
นิชายิ้มชื่นใจ “คุณแม่”
“แม่จะไปบอกยกเลิกงานหมั้นกับคุณหญิง”
นิรมลยิ้มให้ลูก นิชาสวมกอดแม่ด้วยความซาบซึ้งใจ
นิรมลเดินออกไป นิชามองตามแม่ ก่อนจะมานั่งลงอย่างสบายใจ แล้วหยิบมือถือมาเปิดดู
รำพันอย่างผิดหวัง “คุณไม่มารับฉันสินะ”
ได้ยินเสียงคนเคาะประตู
นิชาเข้าใจว่าเป็นนิรมล “มีอะไรเหรอคะคุณแม่”
เห็นว่าคนที่เปิดประตู คือ ปรก นิชามองปรกอย่างอึ้งๆ
“ผมยังมารับคุณทันใช่ไหม”

แขกอื่นๆ ออกจากห้องบอลรูมไปหมดแล้ว ในนั้นเหลือเพียง ปานรุ้ง วาสุเทพ ปานเทพและ วิภาวี ที่กำลังถูกปานรุ้งมองอย่างไม่พอใจ
“เธอกล้าดียังไง ถึงมาหักหน้าฉันต่อหน้าแขกผู้ใหญ่อย่างนี้”
วิภาวีตีหน้าเศร้าซื่อ “วิขอโทษค่ะนายแม่ วิก็ไม่อยากทำอย่างนี้ แต่เพราะลูกวิต้องทำ”
ปานรุ้งแหวขึ้นเสียงดังกว่าเดิม “ลูกเหรอ ลูกของใคร”
วิภาวีทำเป็นตกใจ น้อยใจ “ทำไมนายแม่พูดอย่างนี้ล่ะคะ”
วาสุเทพต้องคอยปราม “ใจเย็นๆ ก่อนนะรุ้ง”
ปานรุ้งเดินเข้าไปยืนตรงหน้าวิภาวี สบตาอีกฝ่ายเต็มตา “เธอท้องกี่เดือน”
“2 เดือน”
“แพ้ท้องไหม”
“แพ้ค่ะ ทั้งอาเจียน ทั้งมึนหัว อยากกินของเปรี้ยวตลอดเวลา”
ปานรุ้งยิ้มเยาะไม่เชื่ออยู่แล้ว “ถ้าเธอรู้อาการดีขนาดนั้น ทำไมเธอไม่บอกปานเทพตั้งแต่แรก ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้”
วิภาวีชะงัก รีบแถ “ก็ตอนแรกวิคิดว่าแพ้อาหาร” เธอหันไปมองปานเทพให้เชื่อและช่วย “ พอวันที่วิตัดสินใจจะไปจากคุณ วิก็เป็นลมที่สนามบิน มีคนพาวิไปหาหมอ วิถึงรู้ว่าวิท้อง”
“เธอคิดว่าฉันอายุเท่าไร กว่าจะถึงจุดนี้ได้ เธอคิดว่าไม่เคยเจอพวก ปลิ้นปล้อนตะลบตะแลงเพื่อผลประโยชน์ตัวเองมาก่อนเหรอ”
วิภาวีแกล้งพูดน้ำเสียงเจือสะอื้น “นายแม่จะพูดอะไรก็ตาม แต่วิเชื่อว่าปานเทพรู้ดีว่าวิเป็นคนยังไง ใช่ไหมคะปานเทพ คุณรู้ดีใช่ไหมว่าตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันที่อเมริกา วิรักคุณคนเดียว ต้องให้วิบอกนายแม่คุณไหมว่าวิทำเพื่อคุณขนาดไหน”
ปานเทพกลัววิภาวีจะพูดเรื่องติดการพนัน จึงรีบปกป้องทันที “วิเขาไม่เคยมีใคร ผมกล้ายืนยันได้ว่าลูกในท้องวิเป็นลูกผม”
ปานรุ้งมองปานเทพด้วยสายตาผิดหวังระคนโกรธ ปานเทพหลบตาวูบ วิภาวีลอบยิ้มสมใจ แล้วแกล้งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อ
วิภาวีพูดขอความเห็นใจ “วิรู้ว่าวิทำให้นายแม่ไม่พอใจ แต่วิต้องทำเพื่อลูก นายแม่ก็รู้ เราสามารถทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ลูกมีความสุข ใช่ไหมคะ”
ปานรุ้งมองวิภาวี แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น “ได้ ฉันจะเห็นแก่ความเป็นแม่ ฉันจะรับลูกในท้องเธอก็ได้”
วิภาวียิ้มดีใจ ปานรุ้งพูดต่อ “แต่หลังจากที่เธอไปโรงพยาบาลกับฉัน ตรวจว่าเธอท้องจริงรึเปล่า และเด็กในท้อง ใช่ลูกปานเทพไหม” ปานรุ้งดึงมือวิภาวีให้เดินไปที่ประตู “ไป”
จู่ๆ ชูนามเปิดประตูเข้ามายืนขวางทางปานรุ้งไว้ ร้อยกรองเดินตามหลังมา
“คุณนี่ ใจร้ายไม่เคยเปลี่ยนเลยนะรุ้ง”
ปานรุ้ง วาสุเทพ ปานเทพ มองชูนามและร้อยกรองอย่างอึ้งๆ ตะลึงตะไล
“ชูนาม” ปานรุ้งคาดไม่ถึง
ปานเทพหลุดปาก “คุณพ่อ”
ปานรุ้งเหลียวขวับไปมองปานเทพประหลาดใจมาก
“ลูกรู้”
ชูนามกระแทกเสียงใส่ “ใช่ ตกใจล่ะสิที่ความลับที่คุณพยายามปกปิดลูกมาตลอด แต่ความจริงลูกรู้แล้วว่าใครเป็นพ่อแท้ๆ” ชูนามมองไปทางวาสุเทพเล่นละครต่อหน้าลูก “ใครเป็นพวกสวมรอย คุณพรากลูกไปจากผมนานเกินพอแล้วรุ้ง ถึงเวลาที่ผมจะมาปกป้องความสุขของลูกผมเอง”
ปานรุ้งงง “หมายความว่ายังไง”
ร้อยกรองเข้ามาดึงมือวิภาวีปลดออกจากมือปานรุ้ง “ฉันเป็นคนพาหนูวิไปตรวจเอง ฉันยืนยันได้ว่าหนูวิท้องจริง”
ปานรุ้งชะงักมองหน้าร้อยกรอง
“เพราะฉะนั้น ปานเทพต้องรับผิดชอบ ถ้าคุณไม่ให้ปานเทพแต่งกับหนูวิ ผมจะจัดงานแต่งให้ลูกเอง ผมจะไม่ยอมให้คุณพรากพ่อไปจากหลานผม เหมือนที่คุณเคยพรากผมไปจากลูก”
ปานรุ้งชะงักงันไป

ส่วนปานวาดกับปกรณ์ลงมานั่งรอแม่กับพ่อและพี่ชายอยู่ในล็อบบี้
“พี่วาดว่าพี่ปานเทพจะโดนยังไงบ้าง”
“เธอลองทำผู้หญิงท้องสิ เธอจะได้รู้ว่าโดนยังไง”
มือถือปานวาดดัง เธอรีบกดรับสาย “ว่ายังไงอริศ ตกลงได้ที่อยู่บ้านนายนั่นไหม” พลางหันมาบอกน้องชาย “ฝากบอกนายแม่นะว่าพี่ไปเอาหนังสือที่บ้านเพื่อน เป็นวิชาที่ต้องสอบพรุ่งนี้ เดี๋ยวพี่มา”
ปานวาดรีบร้อนวิ่งออกไป
“เดี๋ยวก่อน พี่วาด แล้วจริงๆพี่ไปไหน พี่วาด”

ไม่นานต่อมาปานวาดเดินมาหยุดๆ ด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านโดม
“ใช่หลังนี้ปะนะ”
ปานวาดกำลังจะเอื้อมมือไปกดออด
ทันใดนั้นเอง ได้ยินเสียงกติยาโวยวาย
“โดม รอยลิปสติกนี่มาจากไหน ตกลงโดมแอบมีแฟน แต่ไม่บอกแม่ใช่ไหม”
ปานวาดชะงัก ยืนฟังอย่างอึ้งๆ
“ไม่ใช่ครับแม่ มันเป็นอุบัติเหตุ”
“อย่ามาโกหกแม่นะโดม โดมก็รู้ว่าแม่เกลียดการโกหกที่สุด แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ารักใคร ความรักจะทำร้ายโดม คนที่รักโดมที่สุดคือแม่ ถ้าโดมไม่รักแม่ก็บอกมา แม่ไปจากบ้านนี้ก็ได้”
เสียงประตูบ้านทำท่าจะเปิด ปานวาดชะงัก รีบมองหาที่แอบ โดยแอบที่พุ่มไม้หรือสักที่ข้างๆประตูบ้าน
“ใจเย็นๆ ก่อนยา ลูกบอกไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรสิ” ดรุณีหันไปพูดกับโดม “โดมไปทำงานเถอะลูก เดี๋ยวยายดูแลแม่เอง ส้ม พาคุณยาไปทานยาก่อนไป”
ปานวาดโผล่หน้าแอบดู เห็นโดมเปิดประตูบ้านออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
โดมทรุดลงนั่งที่หน้าประตูบ้านอย่างคนหมดแรง สงสารแม่ แต่ใจหนึ่งก็เหนื่อย จนแทบอยากร้องไห้
ปานวาดจับกิ่งไม้ชะเง้อดู แล้วกิ่งไม้ดันหัก ร่างปานวาดถลาล้มลงกับพื้น
“ว้าย”
โดมมองปานวาดอึ้งๆ “คุณ” เขาเดินเข้าไปพยุงปานวาดลุกขึ้น “คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“อ้าว ทีนายยังหามหาวิทยาลัยฉันได้ ทำไมฉันจะหาบ้านนายไม่ได้”
โดมไม่พอใจมาก เผลอตวาด “นี่มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะ”
ปานวาดโกรธตวาดกลับ “แค่นี้ พูดดีๆ ก็ได้”
ยินเสียงใครคนหนึ่งดังเข้ามา
“เสียงใครน่ะ โดมแอบพาใครมาใช่ไหม”
เป็นกติยาที่เดินออกมามองโดม แล้วละสายตามาหยุดที่ปานวาด
“ใครน่ะโดม”

ปานวาดมองกติยาอย่างหวาดกลัว

อ่านต่อตอนที่ 14
กำลังโหลดความคิดเห็น