บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 12
ปานเทพโอบเอววิภาวีเดินออกมาจากโรงแรม
“คุณมาเรื่องงานจริงๆ เหรอคะ”
“จริงสิ ก็งานที่นายแม่โทร.หาผมเมื่อคืนนี้ไง ท่านให้ผมคุมโครงการ คอนโดริมน้ำลงทุนเป็นพันๆ ล้าน”
“Oh my god.”
“แต่ผมยังไม่มีประสบการณ์คุมงานก่อสร้าง นายแม่เลยพาผมมาคุยกับเพื่อนท่านที่นี่”
“อย่างนี้นี่เอง” วิภาวีอ้อนเอาใจ “I’m so sorry. ค่ะ ก็วิเห็นคุณบอกว่าประชุม นึกว่าทำที่บริษัท พอเห็นคุณอยู่ที่นี่ วิก็นึกว่าคุณโกหก”
“คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยโกหกคุณ”
“โอเคค่า” วิภาวียื่นหน้าจะจูบแก้มอ้อน
ทว่าปานเทพเบี่ยงตัวหลบ พร้อมกับมองว่าจะมีใครเห็นเขากับวิภาวีแสดงความรักกันรึเปล่า
“กลับไปก่อนเถอะวิ ก่อนนายแม่จะมาเห็น”
“รู้แล้วล่ะค่ะ เจอกันที่โรงแรมเย็นนี้นะคะ”
วิภาวีเอานิ้วจูบปากตัวเอง แล้วแตะที่แก้มของปานเทพ ทำเหมือนจุ๊บลา แต่จริงๆ จงใจให้ สีแดงจากลิปสติกติดที่แก้มของแฟนหนุ่มไฮโซ โดยที่ปานเทพไม่รู้ตัว
ปานเทพรีบเดินเข้าโรงแรมไป วิภาวีมองตามปานเทพแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ที่วิมาที่นี่ ก็เพราะอยากให้นายแม่คุณเห็น”
ธันวาเดินตามออกมาจากโรงแรม วิภาวีเหลือบมองธันวา จำได้ว่าเขายืนอยู่กับปานรุ้งเมื่อครู่นี้ วิภาวีมั่นใจทันทีว่าปานรุ้งต้องให้ธันวาตามมาดูเธอแน่ๆ เจ้าหล่อนยิ้มสมใจ
ทางด้านปรกเดินด้อมๆ มองๆ ไปทางรถนิชาที่ยังจอดอยู่หน้ากรมทาง มองหาว่านิชาอยู่ไหม
“ไหนว่าอยากกินบุฟเฟต์ ไปไหนของเค้านะ”
ปานรุ้งนั่งร่วมโต๊ะอยู่กับนิรมลและนิชา ทุกคนรอปานเทพกันอยู่
นิชาแอบกดมือถือดูไอจี ดูรู้ว่าเธอไม่ใคร่เต็มใจอยากนัดดูตัววันนี้นัก ปานเทพเดินกลับเข้าห้องมาสบตาปานรุ้ง แล้วพยายามยิ้มให้ปกติ
“ไปไหนมาจ๊ะปานเทพ ดูสิ ปล่อยให้คุณน้านิรมลกับน้องนิชาต้องรอ”
“พอดีผมเจอเพื่อนที่เรียนเมืองนอกด้วยกัน เลยคุยกันนานไปหน่อยขอโทษครับที่ทำให้นายแม่กับคุณน้า และน้องนิชาต้องรอนาน”
“อุ๊ย! รอไม่นานหรอกค่ะ” นิรมลรีบพูดสายตาแลไปเห็นรอยลิปสติกที่แก้มของปานเทพเข้า “เอ่อ…”
นิชามองตามสายตาแม่ เห็นรอยสีลิปสติกที่แก้มของปานเทพ
“แก้มพี่ปานเทพเปื้อนน่ะค่ะ” เธอจงใจพูดเพื่อดิสเครดิตคู่เดท เพราะไม่อยากถูกจับคู่กับปานเทพอยู่แล้ว “เหมือนสีลิปสติกเลยค่ะ”
ปานเทพชะงัก ครุ่นคิดว่าไปโดนลิปสติกวิภาวีตอนไหน ปานรุ้งคุมท่าทีสงบนิ่ง พูดกับปานเทพด้วยเสียงแจ่มใส
“ไหนปานเทพมาให้แม่ดูสิ”
ปานเทพกระอึกกระอัก ไม่อยากให้ปานรุ้งดู เพราะกลัวแม่รู้ว่าเป็นรอยลิปสติกจริงๆ
เห็นลูกชายเฉยอยู่ ปานรุ้งพูดนิ่งๆ แต่จริงจัง
“ปานเทพ”
ปานเทพจำใจต้องลุกเดินเข้าไปหามารดา
ปานรุ้งมองที่รอยลิปสติกบนแก้มของปานเทพ รู้สึกไม่พอใจมาก ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ มาทำให้เสียหน้า ปานรุ้งเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดแก้มให้ปานเทพแล้วพูดขำๆ
“ไม่ใช่รอยลิปสติกหรอกจ๊ะหนูนิชา รอยหมึกแดงต่างหาก ปานเทพเนี่ย เวลาทำงาน เขาจะสนใจแต่งาน มือกับเสื้อเปื้อนหมึกปากกาประจำ”
นิรมลรีบเออออไปด้วย “เหมือนนิชาเลย เวลาหมกมุ่นคำนวณแบบที ขี้ดินสอติดใต้คางบ้าง ติดหน้าผากบ้าง”
ปานรุ้ง ปานเทพ และนิรมลหัวเราะขำกัน
“นี่ถือว่าผมพัฒนานะครับคุณน้า ปกติหมึกเปื้อนมือ ตอนนี้เซ็นเอกสารจนหมึกเปื้อนแก้ม”
นิชาพูดโพล่งออกมา “ปกติเขาใช้ปากกาหมึกน้ำเงินหรือดำเซ็นเอกสาร ไม่ใช่สีแดงนี่คะ”
ปานเทพชะงัก
นิชามองทุกคนด้วยสีหน้าใสซื่อ แต่ในใจขำปานเทพ นิรมลมองหน้าลูกสาวด้วยสายตาตำหนิ ปานรุ้งยิ้มให้นิชานิ่งๆ แล้วมองปานเทพด้วยสายตาจริงจัง ปานเทพเครียด กังวลว่าแม่จะรู้เรื่องวิภาวีไหม
ท่ามกลางพนักงานหญิงในเครื่องแบบฟอร์มของสายการบิน ที่เดินสวนกันไปมาหลายคน
ปานรุ้งเดินนำเข้ามาในบริษัท ปานเทพพยายามตามมาอธิบายเรื่องลิปสติก
“ผมพูดความจริงนะครับนายแม่ รอยเมื่อกี้ เป็นรอยลิปสติกของเพื่อนฝรั่ง คุณแม่ก็รู้ว่าธรรมเนียมของฝรั่งเวลาเจอกันการจูบแก้มเป็นเรื่องธรรมดา”
ปานรุ้งยังเดินไป
“จ้ะ แม่เข้าใจ”
ปานเทพมองท่าทีนิ่งสงบของแม่อย่างหวั่นกลัว เพราะไม่รู้ว่าปานรุ้งเชื่อตนหรือเปล่า จนเห็นวาสุเทพเดินจากลิฟท์เข้ามาหาปานรุ้ง
“กลับกันมาแล้วเหรอ พี่กำลังจะโทร.ไปบอกว่าบริษัททางฟิลิปปินส์จะมาประชุมกับเราอาทิตย์หน้า แต่รุ้งอาจติดงานกับทางอินเดีย เดี๋ยวพี่ประชุมแทนให้แล้วกัน”
ปานเทพรีบพูดเอาใจปานรุ้ง “ให้ผมทำแทนก็ได้ครับนายแม่ ลูกค้ามาประชุมตั้งอาทิตย์หน้า เดี๋ยวผมเริ่มศึกษางานตอนนี้ก็ทัน”
“ไม่เป็นไร งานนั้นให้คุณลุงทำ ส่วนปานเทพ แม่เตรียมห้องทำงาน ไว้ให้ลูกแล้ว เดี๋ยวลูกเข้าไปศึกษารายละเอียดของโครงการ ไม่เข้าใจตรงไหน โทร.นัดหนูนิชามาคุย”
ปานเทพทำเป็นตัดพ้อ “แต่ดูท่าทางน้องนิชาจะไม่ค่อยมีเวลานะครับ ดูอย่างวันนี้ ขนาดผมนั่งข้างๆ เขายังพูดกับผมแทบนับคำได้ นอกนั้นเอาแต่กดมือถือ”
“หนูนิชาถูกเลี้ยงมาอย่างผู้ดี เขาอาจจะอยากคุยกับลูก แต่เพราะเพิ่งเจอกัน เขาต้องสงวนท่าทีไว้ ไม่ใช่ผู้หญิงตลาด ทำตัวไร้การศึกษาโอ้อวด แสดงความเป็นเจ้าของผู้ชาย”
ปานเทพมองอย่างประเมินว่าปานรุ้งพูดกระทบอะไรตนรึเปล่า
ปานรุ้งยิ้มให้ปานเทพ ด้วยท่าทางปกติ
“ปานเทพมองหน้าแม่ทำไมจ๊ะ หรือว่ามีอะไรจะบอกแม่”
ปานเทพมองปานรุ้งอย่างชั่งใจเรื่องวิภาวีนิดๆ
วาสุเทพมองแม่ลูกด้วยความสงสัย แต่ไม่ถาม
ฝ่ายนิรมลเดินมาส่งนิชาที่หน้ากรมทาง
“ถ้านิชาทำแม่ขายหน้าแบบวันนี้อีก แม่จะยึดมือถือ”
“ก็พี่ปานเทพเอาแต่คุยเรื่องที่เมืองนอก พูดอย่างกับคนอื่นไม่เคยไปเมืองนอก นิชาฟังมากๆ ก็เบื่อ”
“นี่แม่ซีเรียสนะนิชา ลูกต้องทำความรู้จักและสนิทสนมกับปานเทพ ลูกเท่านั้นที่จะช่วยแม่ได้”
นิชามองนิรมลอย่างสงสัย “บริษัทเรามีปัญหาใช่ไหมคะ”
นิรมลมองเจ้าหน้าที่ของกรมทางที่เดินผ่านไป ผ่านมา ไม่อยากให้ใครได้ยินความลับของบริษัท
“พรุ่งนี้แม่นัดกับคุณหญิงจะพาลูกกับปานเทพไปงานแสดงเพชร เย็นนี้รีบกลับบ้านล่ะ แม่จะพาลูกไปสปาผิว”
นิรมลพูดจบก็เดินออกไป นิชามองตาม แล้วถอนใจด้วยความรู้สึดอึดอัด
ปรกเดินผ่านมาเห็น จึงแกล้งเดินเฉียดนิชา พร้อมกับพูดกัด เหน็บแนมให้อีกฝ่ายได้ยิน
“โอ้โห จุกท้องมากเลย บุฟเฟต์อาหารทะเลอย่างคุ้ม มีตั้งแต่ หอยหวานไปยันกุ้งมังกร ใครไม่ได้ไป บอกได้คำเดียวว่าเสียดาย”
นิชามองปรกด้วยสายตาเซ็งๆ ไม่มีอารมณ์จะเล่นสนุกด้วย แล้วเดินไป
ปรกมองตามอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไร”
ปานรุ้งนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ส่วนวาสุเทพนั่งอ่านเอกสารงานอยู่ตรงโซฟา พลางมองปานรุ้ง และถามขึ้นในที่สุด
“รุ้งกับปานเทพมีอะไรกันรึเปล่า”
“รุ้งน่ะไม่มี แต่ปานเทพน่ะไม่แน่”
วาสุเทพมองฉงน “หมายความว่ายังไง ปานเทพมีอะไร”
ปานรุ้งยังไม่ทันตอบ ธันวาเคาะประตู แล้วเปิดประตูเข้ามา
ปานรุ้งมองเลขา “ตกลงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครธันวา”
วาสุเทพหันไปรอฟังด้วย พบว่าธันวามีสีหน้าเป็นกังวล
อีกฟาก วิรินทร์ สาวสวยในชุดนักศึกษา หอบกองเสื้อที่รับจ้างเพ้นท์มาวางที่เก้าอี้ข้างสนามบอล
แชมป์ รุ่นพี่เดินเข้ามาหา “วิรินทร์”
วิรินทร์หันไปโบกมือทักทายแชมป์ อย่างมักคุ้นกัน
“ขอโทษนะคะพี่แชมป์ที่รินทร์เอาเสื้อที่พี่จ้างเพ้นท์ชื่อทีมฟุตบอลมา ส่งช้า พอดีต้องเอาข้าวไปส่งให้ชมรมเชียร์ เขาเพิ่งโทรมาด่วนน่ะพี่ พี่เช็คเสื้อ ก่อนไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอก งานรินทร์โอเคอยู่แล้ว” แชมป์ยื่นเงินให้ “นี่ค่าเพ้นท์เสื้อ 20 ตัว”
วิรินทร์รับเงินมานับอย่างคนรอบคอบ “ขอบคุณมากค่ะพี่ เอ้อ! พี่แชมป์ชอบสะสมเสื้อทีมฟุตบอลใช่มั้ยคะ ตามดูในไอจี ร้านของรินทร์ได้เลยนะ รินทร์เพิ่งได้ของล็อตใหม่มาเพียบเลย”
“ได้ ขอบใจมากนะรินทร์ เดี๋ยวพี่ไปซ้อมต่อก่อน”
แชมป์หอบเสื้อเดินออกไป วิรินทร์หันกลับจะเดินไปอีกทาง
จู่ๆ มีลูกบอลลอยมาโดนหัววิรินทร์อย่างจัง จนเธอล้มลงกับพื้น เอามือกุมหน้าไว้ ปกรณ์วิ่งเข้ามาดูวิรินทร์ด้วยสีหน้าตกใจ
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
วิรินทร์เอามือที่กุมหน้าออก แล้วเงยหน้าจะต่อว่าปกรณ์
“ก็เจ็บสิ”
ใบหน้าวิรินทร์อยู่ใกล้เคียงกับระดับเป้ากางเกงของปกรณ์พอดี ทำให้วิรินทร์เห็นว่าเป้ากางเกงของปกรณ์ขาด
วิรินทร์ตกใจ “เฮ้ย”
ปกรณ์มองตามสายตาวิรินทร์ก้มมองเป้ากางเกงตัวเองที่ขาด เด็กหนุ่มร้องตกใจตาม
“เฮ้ย”
ริมนามฟุตบอลอีกฝั่ง ในเวลาเดียวกัน ปานวาดซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ ยืนอยู่ด้านหน้าแถวรุ่นน้องนักศักษาปี 1 โดยมีอริศรา วีวี่ และ รุ่นพี่ นักศึกษา ปี 3 ปี4 คอยดูแล
น้องลีดเดอร์ นับจังหวะพร้อมกัน “1-2-…1-2-3-…1-2-…1-2 ...1-2...-1”
อริศราตะโกนบิวท์ “เอ้า ! ..หนักแน่นกว่านี้อีก”
น้องๆ นับพร้อมกัน “1-2-…1-2-3-…1-2-…1-2 ...1-2...-1”
“แน่นอีก”
“1-2-…1-2-3-…1-2-…1-2 ...1-2...-1”
อริศรายังไม่พอใจ “แน่นอีก”
ปานวาดรำคาญ “เว้ย ถ้าแกอยากให้แน่นนัก มาเต้นเองเลยมา”
อริศราหน้าจ๋อย “แหม พูดดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องดุเบย” แล้วหันไปทางน้องๆ ปี1 “เอ้า พักก่อนๆๆ”
น้องๆ ต่างแยกย้ายกันไปพัก
ปานวาดเดินกลับอัฒจันทร์ แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นโดมนั่งยิ้มให้ปานวาดอยู่
“คุณ”
อริศรา และ วีวี่ กรี๊ดแตก “พี่โดม”
ปานวาดข่มความตื่นเต้น “คุณมาที่นี่ทำไม”
“พอดีเมื่อคืนก่อน ผมขอเบอร์ผู้หญิงคนนึง แล้วเขาท้าผมว่า ถ้าผมฉลาดพอ ผมถึงจะได้เบอร์โทร.เขา”
ปานวาดมองหมิ่น “คุณเลยตามฉันมาที่นี่งั้นสิ”
โดมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมไม่ได้ตามคุณ”
“ถ้าคุณไม่ได้ตามฉัน แล้วคุณรู้ได้ยังไว่าฉันเรียนที่นี่”
โดมหยิบมือถือมาเปิดหน้าไอจี ของอริศรา ในนั้นเป็นรูปปานวาดใส่ชุดนักศึกษาถ่ายร่วมกับอริศราและวีวี่
ปานวาดพูดกับโดมต่อ “ตามฉันจากไอจีเพื่อน แล้วได้เบอร์โทร.ฉันจากไอจีด้วยไหมล่ะ”
“ทำแบบนั้นมันสิ้นคิดไป ที่ผมมาที่นี่ เพื่อมาบอกว่าผมจะไม่หาเบอร์โทร.คุณ แต่ผมจะทำให้คุณเป็นคนให้เบอร์ผมเอง”
ปานวาดยิ้มเยาะ “ฝันไปเถอะ”
อริศราและวีวี่เดินเข้ามาเจอโดม กรี๊ดไม่หยุด
“แอร๊ย พี่โดม นี่พี่โดมจะมาช่วยทำดนตรีให้พวกเราจริงๆ เหรอคะ”
ปานวาดมองอริศราและวีวี่อย่างงงๆ
“ทำดนตรีอะไร”
วีวี่บอกว่า “ก็ดนตรีประกอบจังหวะเต้นที่เราประชุมกัน แล้ววาดบอกว่าปีนี้อยากได้ซาวน์ใหม่ๆ ไง ฉันกับอริศไปเจอพี่โดมที่ผับที่เราไปด้วยกันวันก่อน เราก็เลยขอให้พี่โดมมาช่วยมิกซ์ให้หน่อย”
อริศราเสริม “แต่พี่โดมมีข้อแม้ว่า เธอต้องเป็นคนคอยประสานงานนะวาด”
ปานวาดเง็ง “ประสานงาน”
วีวี่อธิบาย “ไม่มีอะไรยุ่งยากหรอกวาด แค่เธอให้เบอร์โทร.กับพี่โดม แล้วคอย ถามเรื่องซาวน์ แค่นี้แหละ DONE!”
ปานวาดมองอริศรากับวีวี่อย่างเซ็งๆ ที่ทำอะไรไม่ปรึกษาเธอเลย แล้วหันไปมองโดมตาขุ่น โดมยื่นมือถือของเขาให้เธอ
“ขอบคุณสำหรับเบอร์โทร.ไว้ล่วงหน้านะครับ”
ปานวาดมองโดมอย่างเสียหน้า ซึ่งคุณหนูปานวาดไม่มีทางยอมแพ้แบบนี้แน่!
ห้องน้ำนักศึกษาชายใต้อาคารเรียนหลังนี้ มีโซนโถยืนฉี่ 4-5 ซอง และมีห้องน้ำเล็กๆ อีก 2 ห้อง
ในห้องน้ำที่ 1 วิรินทร์นั่งอยู่บนโถส้วม กำลังเย็บเป้ากางเกงให้ปกรณ์ โดยวางกางเกงไว้บนตัก ส่วนห้องน้ำที่ 2 ติดกัน ปกรณ์นั่งอยู่บนโถส้วม รอกางเกงที่วิรินทร์เย็บอยู่
ปกรณ์ตะโกนถาม “เสร็จรึยัง”
วิรินทร์เย็บกางเกงใกล้เสร็จ
“เสร็จแล้วๆๆๆ” หญิงสาวบ่นบ้า “คนประเภทไหน เย็บเสื้อผ้าไม่เป็น”
ปกรณ์เอาหูแนบกำแพงห้องน้ำได้ยินที่วิรินทร์บ่นบ้าว่าตัวเองทุกคำ
ปกรณ์ฉุนโต้กลับ “คนประเภทไหน หอบเข็มกับด้ายมาขายในมหา’ลัย”
วิรินทร์ก้มหน้าเย็บกางเกงของปกรณ์ไป โต้กลับไป
“ก็คนที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนนายไง”
ปกรณ์ได้ยินก็โต้กลับ
“รู้ได้ไงว่าเราอยู่บนกองเงินกองทอง”
วิรินทร์เย็บกางเกงอยู่
“เรียนคณะเดียวกันมาตั้ง 2 ปี ใครไม่รู้จักคุณหนูปกรณ์ นทีพิทักษ์ ถือว่าผิด” เด็กสาวเย็บเสร็จก้มหน้าเอาปากกัดด้าย “เสร็จแล้ว ค่าเข็มกับด้าย 10 บาท...ค่าจ้างเย็บอีก 50 บาท ทั้งหมด 60”
ขณะวิรินทร์จะเปิดประตูเพื่อเอากางเกงให้ปกรณ์ เสียงคนเข้ามาทำให้เธอชะงัก
ด้านหน้าห้องน้ำที่วิรินทร์อยู่ มีนักศึกษาชาย 2 คนเดินเข้ามา โดย 1 ใน 2 ปวดท้องหนัก
“โอ๊ย รู้งี้เมื่อกี้ไม่น่าใส่พริกน้ำส้มในก๋วยเตี๋ยวเยอะเลยว่ะ จี๊ดท้องเลย” นักศึกษาชาย 1 มองห้องน้ำ พบว่ามีคนเข้าทุกห้อง “ห้องเต็มหมดเลยเหรอวะ”
นักศึกษาชาย 1 เคาะประตูห้องน้ำที่ปกรณ์อยู่
“เฮ้ย เสร็จกันรึยัง ลำไส้ใหญ่ฉันจะปลิ้นออกมาแล้ว”
ปกรณ์มองสภาพตัวเองที่ใส่เพียงบ๊อกเซอร์ แล้วรีบตอบว่า
“ฉันยังไม่เสร็จเลย ไปห้องอื่นก่อน”
นักศึกษาชาย 1 เคาะประตูห้องน้ำที่วิรินทร์อยู่
“เฮ้ย เสร็จรึยัง”
ปกรณ์และวิรินทร์ ตกใจสุดขีด โดยเฉพาะปกรณ์
“บรรลัยแล้ว”
วิรินทร์มองประตู คิดปราดว่าจะเอายังไง
นักศึกษาชาย 1 เห็นเสียงเงียบ จึงเคาะประตูห้องน้ำต่อ “เฮ้ย ได้ยินรึเปล่า”
วิรินทร์ ตัดสินใจทำเสียงตดดังสนั่นลั่นห้องน้ำ หลายทีซ้อน
“ปรู๊ด... ปรู๊ด... ปรู๊ด…”
ปกรณ์ได้ยินวิรินทร์ทำเสียงตด แล้วปิดปากขำ
นักศึกษาชาย 2 คนฟังเสียงตดดังจากห้องน้ำของวิรินทร์
นักศึกษาชาย 2บอกเพื่อนว่า “ฉันว่าไอ้นั่นน่าจะกินพริกน้ำส้มหนักกว่าแก ไปเข้าห้องน้ำใต้ตึกโน้นเหอะ”
นักศึกษาชาย 2 คนเดินออกไป
วิรินทร์เงี่ยหูฟัง แล้วถอนใจโล่งอก รีบเปิดประตูห้องน้ำออกมา ยืนหน้าห้องน้ำที่ปกรณ์อยู่เคาะเรียก
“เอากางเกงนายไปเร็ว”
ปกรณ์แง้มประตูออกมา วิรินทร์ยื่นกางเกงให้
แต่ปรากฏว่ากางเกงของปกรณ์ถูกเย็บติดกับกระโปรงของวิรินทร์โดยที่วิรินทร์ไม่รู้ตัว ทำให้กระโปรงของวิรินทร์ถูกยกชายสูงขึ้นเกือบเปิดเห็นขาอ่อน
สองคนเห็นชายกระโปรงวิรินทร์เปิดขึ้นก็ อุทานลั่นห้อง
“เฮ้ย”
วิรินทร์มองกางเกงปกณ์ที่เย็บติดกับชายกระโปรงตัวเองงงๆ
“เย็บกางเกงติดกับกระโปรงเหรอเนี่ย”
นักศึกษาชาย 2 คนเดิมเดินเข้ามาพอดี
“ห้องน้ำใต้ตึกมันซ่อม ฉันเข้าที่นี่แหละ” นักศึกษาชาย 1 บอกเพื่อนแล้วหันไปเห็นวิรินทร์กับปกรณ์ ก็ตกใจ
“เฮ้ย”
สองคนมองกระโปรงของวิรินทร์ที่เปิดสูงผิดปกติ ปกรณ์มองตามสายตาของสองนักศึกษา แล้วรีบจับมือของวิรินทร์ที่ถือกางเกงเขาอยู่ ให้เอากางเกงลงปิดประโปรงลง และรีบขยับตัวบังวิรินทร์ไว้ นั่นทำให้นักศึกษาสองคน พบว่าปกรณ์ใส่เพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว
“เฮ้ย” นักศึกษาสองคนยิ่งตกใจ
ปกรณ์มองสภาพตัวเอง แล้วรีบผลุบเข้าห้องน้ำทันควัน
ก่อนประตูปิดดังปัง ปกรณ์ทันเห็นสายตาเป็นเชิงตำหนิของวิรินทร์ว่าจะออกมาทำไม
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 12 (ต่อ)
วิรินทร์กับปกรณ์ซึ่งใส่กางเกงเรียบร้อยแล้ว พากันออกจากห้องน้ำ เดินมาหน้าอาคารเรียน
“เมื่อกี้นายไม่น่าออกจากห้องน้ำเลย”
“เอ้า ก็เราเห็นกระโปรงเธอเปิดนี่ ก็เลยช่วยปิด ทำดีแล้วไม่ได้ดีมันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
“โอเคๆๆ ขอบใจก็ได้” วิรินทร์แบมือทวงค่าแรง “จ่ายเงินมาได้แล้ว 60 บาท”
ปกรณ์หยิบเงินส่งให้วิรินทร์ไป 100 บาท มีนักศึกษาหญิง 3 คนเดินผ่านมาเห็นพอดี
“ถือว่าบริการดี เอาไปเลย 100”
นักศึกษาหญิง 3 คนมองวิรินทร์กับปกรณ์ แล้วรีบเดินออกไป
วิรินทร์รับเงินมา “ขอบใจ ไปละ”
“เดี๋ยว”
วิรินทร์หันมามอง งงๆ “อะไร”
“เธอชื่ออะไรเหรอ”
“อยากรู้เหรอ” วิรินทร์แบมือ “100”
“เฮ้ย งกไปเปล่า”
วิรินทร์หัวเราะ “ล้อเล่น เราชื่อวิรินทร์ ถ้านายอยากได้อะไร ตามไป Follow ในไอจี ชื่อ วิรินทร์ Shopได้เลย”
“ได้เลยรินทร์”
“นายเรียกฉันว่าอะไรนะ”
ปกรณ์พูดหน้าเก้อๆ “เอ้า ก็เธอชื่อวิรินทร์ เราก็เรียกสั้นๆ ว่ารินทร์”
“นี่ฉันไปสนิทกับนายตอนไหนเนี่ย ถึงมาเรียกชื่อเล่นฉัน”
“อย่างน้อยเราก็ซื้อเข็มกับด้ายของเธอนะ”
“ก็ได้ นายกรณ์”
ปกรณ์ขำ เลยเอาคำของวิรินทร์มาพูดล้อ “นี่เราสนิทกับเธอตอนไหน ถึงมาเรียกชื่อ
เล่นเรา”
วิรินทร์ชะงัก
ปกรณ์ยิ้มขำ “ล้อเล่นน่า”
“ระวังคราวนี้จะไม่ใช่เป้าแตก แต่จะเป็นปากแตก”
วิรินทร์เดินออกไป ปกรณ์มองตามยิ้มๆ
บรรดาเจ้าหน้าที่ พนักงานกรมทางทยอยกลับบ้าน นิชาเดินมาที่รถด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ ไม่อยากกลับบ้าน
จู่ๆ ได้ยินเสียงปรกโวยวายมาจากด้านหลัง
“คุณๆๆ ช่วยรับแก้วชานมไข่มุกไปหน่อยเร็ว”
นิชาหันไปมอง เห็นปรกถือแก้วใส่ชานมไข่มุกใบใหญ่ 2 ใบเข้ามา
ปรกยื่นแก้วชานมไข่มุกให้ “เอ้า รับสิ ผมเย็นมือ”
นิชารีบรับแก้วชานมไข่มุกจากปรกมาด้วยความตกใจ และงง
ปรกเอาหลอดเจาะแก้วชานม แล้วพูดเร่งนิชาให้ดูด
“เอ้า ยืนมองทำไม เดี๋ยวน้ำแข็งละลาย รสชาติชานมจะไม่อร่อยนะ รีบดูดเร็ว”
นิชาตกใจเสียงเร่งจึงรีบดูดชานมเป็นการใหญ่
นิชานึกได้ “แล้วทำไมฉันต้องดูดตามที่คุณบอกด้วยเนี่ย”
ปรกแกล้งทำหน้าซื่อ “เอ้อ นั่นดิ ไหนๆคุณก็ดูดแล้ว ก็ดูดให้หมดแล้ว กัน” แล้วทำเป็นพูดลอยๆ “กินของหวาน จะได้หายเครียด”
นิชามองปรก “นี่คุณตั้งใจซื้อมาฝากฉันเหรอ”
“เปล่า พอดีที่ร้านเขามีโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 เท่านั้นเอง”
นิชามองปรกอย่างรู้ทันว่าปรกตั้งใจซื้อมาฝาก แต่แกล้งวางฟอร์ม
“แล้วมีไอติมร้านไหนจัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ไหม ฉันอยากกิน”
ปรกมองนิชาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
รถขายไอติมจอดอยู่ริมถนนในบรรยากาศร่มรื่น ลุงคนขายตักไอติมโยนขึ้นฟ้า นิชาถือถ้วยเพื่อรอรับไอติม ปรกยืนเชียร์อยู่ข้างๆ บอกนิชาอย่างตื่นเต้น
“มาทางซ้ายหน่อยคุณ ซ้ายๆๆๆๆๆ”
นิชาเงยหน้ามองไอติมที่ลอยอยู่บนฟ้า ก้าวเท้าไปทางซ้ายตามที่ปรกบอก แล้วยื่นถ้วยไปรับไอติมได้พอดี
“รับได้ ให้กินฟรี” ลุงบอก
นิชากับปรกไฮไฟว์ดีใจ “เย้”
ลุงคนขายตักไอติมใส่ถ้วยให้ปรกกับนิชาคนละถ้วย นิชาเดินถือถ้วยไอติมมาจะนั่งบนฟุตบาทริมถนน ปรกแกล้งตะโกนเหมือนห้ามนิชานั่ง
“เดี๋ยวคุณ”
นิชาตกใจ “อะไรคุณ”
ปรกแกล้งล้อ “พื้นสกปรก คุณไม่เอาทิชชูเปียกเช็ดพื้นก่อนเหรอ”
นิชาค้อนควัก เซ็งที่โดนล้อ ลงนั่งบนฟุตบาท พร้อมบ่นบ้าไปด้วย
“วันนี้ไม่ชงไม่เช็ดอะไรทั้งนั้นแหละ จะนั่งกินอย่างเนี่ย”
นิชาตักไอติมกินจนเต็มปาก
ปรกมอง แกล้งหยอกเย้า “เอ้าๆๆ จะกินให้อ้วนประชดแฟนรึไง”
“ฉันยังไม่มีแฟนสักหน่อย”
แววตาปรกเป็นประกายนิดๆ แล้วรีบทำหน้ายียวน
“เอ้า เห็นหงุดหงิดตั้งแต่กลางวัน นึกว่าทะเลาะกับแฟน”
นิชาเผลอหลุดปาก “ฉันก็แค่เครียดเรื่องโดนจับคู่”
“ห๊ะ คุณพูดว่าอะไรนะ”
นิชาชะงัก ที่ดันเผลอหลุดปากพูดเรื่องโดนจับคู่ จึงแถ “ฉันบอกว่าฉันเครียดแทนเพื่อน คือเพื่อนฉันโดนพ่อแม่จับคู่ให้น่ะ ขำปะละ สมัยนี้แล้ว ยังมีการคลุมถุงชนอีกอ่ะ”
“ไม่เห็นขำเลย ผมว่าดีออก”
“โดนพ่อแม่บังคับเนี่ยนะดี”
“ใช่ สำหรับบางคน โดยเฉพาะคนสมัยนี้ที่มีความคิดเป็นของตัวเองสูง อาจมองว่าการที่พ่อแม่เลือกคนมาให้ เป็นการบังคับ แต่สำหรับผม ผมมองว่าเป็นความหวังดี ในโลกนี้ไม่มีใครรักเราได้มากกว่าที่พ่อแม่ รัก และในโลกนี้ คนที่ไม่อยากเห็นเราเป็นทุกข์ที่สุดก็คือพ่อแม่ ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่เลือก มันต้องเป็นสิ่งที่ท่านคิดแล้วว่าดีที่สุดสำหรับเรา แล้วมันไม่ดีตรงไหน ถ้าเราจะยอมรับสิ่งที่ท่านเลือกให้เรา”
นิชาย้อนแย้ง “แปลว่าถ้าพ่อแม่คุณเลือกใครสักคนให้ ต่อให้คุณไม่ได้รัก คุณก็ยอมแต่งงานกับคนนั้นเหรอ”
ปรกมองนิชา “ใช่”
นิชามองปรก แล้วก้มลงตักไอติมต่ออย่างใช้ความคิด
ปรกพูดต่อว่า “แต่ถ้าผมมีคนที่รักอยู่แล้ว ผมคงเลือกอีกทาง”
นิชาหันมามองปรกอย่างสนใจ
ส่วนปานรุ้งยืนเครียดๆ คุยกับวาสุเทพเรื่องปานเทพ
“รุ้งไม่สนใจหรอกค่ะว่าปานเทพจะมีผู้หญิงคนไหน เพราะยังไงปานเทพก็ต้องคู่กับหนูนิชาอย่างที่รุ้งตั้งใจ”
วาสุเทพกอดไหล่ปลอบปานรุ้งอย่างให้กำลังใจ
“เรื่องบางเรื่อง พี่ว่ารุ้งควรปล่อยวางบ้าง ยังไงลูกก็มีชีวิตของเขานะรุ้ง”
“แต่ที่รุ้งทำทุกวันนี้ก็เพื่อชีวิตของลูก รุ้งจำได้ วันที่บ้านนี้โดนยึด รุ้งไม่เหลือเสาหลักอะไรให้ยึดเหนี่ยว รุ้งไม่อยากให้ชีวิตของลูกต้องเป็นอย่างนั้น”
“ปานเทพเป็นคนเก่ง เขาอยู่เมืองนอกคนเดียวได้หลายปี เขาต้องดูแลชีวิตเขาได้”
“รุ้งก็เคยอยู่เมืองนอกมาหลายปี รุ้งเคยคิดว่าตัวเองเก่ง แต่สุดท้าย ชีวิตก็พังเพราะเลือกคนผิด รุ้งจะไม่ยอมให้ลูกคนไหนเป็นอย่างรุ้ง ปานเทพต้องคู่กับลูกสาวของคุณนิรมล รุ้งเลือกแล้ว”
น้อยเดินถือแก้วน้ำชามาเสิร์ฟให้ปานรุ้งและวาสุเทพ แล้วเดินออกไป
วาสุเทพหนักอก มองปานรุ้ง แล้วถอนใจ “พี่เข้าใจความรู้สึกรุ้ง แต่พี่แค่อยากเตือน รุ้งรักลูก มันก็ดี แต่ถ้ารักมากไป ระวังความรักนั้น จะกลายเป็นทำลายลูกเราเอง”
“ไม่มีความรักของพ่อแม่คนไหน ทำลายลูกหรอกค่ะพี่เทพ”
ปานรุ้งบอกอย่างมั่นใจ
กลางดึก ปานรุ้งนอนอยู่บนเตียงข้างกับวาสุเทพ พอขยับพลิกตัว รู้สึกเหมือนมีคนจ้องอยู่ที่ปลายเตียง ปานรุ้งผงกหน้าขึ้นมามองที่ปลายเตียง เห็นกติยายืนจ้องอยู่ด้วยแววตาโกรธแค้น ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ปานรุ้งตกใจอุทานออกมา “กติยา”
“จำคำที่ฉันเคยแช่งเธอได้ไหม” กติยาถามคำเดิม
“เธอมันเห็นแก่ตัว ทำร้ายคนที่รักเธอได้อย่างเลือดเย็น จำไว้นะปานรุ้ง ผลกรรมครั้งนี้จะทำให้ชีวิตเธอต้องเจ็บปวด มากกว่าที่เธอทำไว้กับคนอื่นร้อยเท่าพันเท่า เธอต้องโดนคนที่เธอรักทำให้เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น คอยดู คอยดู”
ปานรุ้งที่นอนอยู่บนเตียงข้างวาสุเทพ กระวนกระวายหนัก แล้วสะดุ้งตื่น สีหน้าตระหนกตกใจกลัว วาสุเทพพลอยตื่นมาดู ถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่ารุ้ง”
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่ความฝัน ไม่ใช่ความจริง”
ปานรุ้งพยายามบอกตัวเองอย่างนั้น คำพูดของกติยาแค่ความฝัน ไม่มีทางเป็นความจริง
รุ่งเช้า จำปีจัดโต๊ะอาหาร มีน้อยยืนคุมงานอยู่ พอเสร็จน้อยจึงถามขึ้น
“ไหนทวนสิ ฉันสอนเรื่องอาหารบนโต๊ะของเจ้านายว่ายังไง”
“นี่หัวโต๊ะ นี่ที่นั่งคุณนายใหญ่ ตอนเช้าให้เสิร์ฟกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น นี่ที่คุณปกรณ์ ตอนเช้าต้องเสิร์ฟนมสด นี่คุณปรก ไม่แน่ไม่นอน แต่ถ้าวันไหนกินอาหารเช้าให้เป็นข้าวสวยกับผัดอะไรก็ได้ นี่คุณปานวาด มีครัวซองต์ของชอบ” จำปียิ้มภาคภูมิใจ “ถูกปะป้า”
“บอกให้เรียกพี่” น้อยค้อน พลางชี้ไปยังเก้าอี้ปานเทพ ซึ่งนั่งติดกับปานรุ้ง “แล้วที่ติดกับหัวโต๊ะอีกด้านนึงของใคร”
“ของคุณปานเทพ เอ...ทานอะไรพิเศษตอนเช้าวะ คุณปานเทพเพิ่งมาจากเมืองนอก ต้องกินของอะไรนอกๆ” จำปีตอบอย่างมั่นใจ “ขนมโตเกียว”
“ไอ้บ้า ขนมโตเกียวของนอกตรงไหน”
“ก็โตเกียว ชื่อเมืองญี่ปุ่นไง ไม่เมืองนอกเหรอป้า”
“บอกให้เรียกพี่”
ปานรุ้งเดินนำเข้าห้องทานอาหารมาพร้อมวาสุเทพ บอกขึ้นว่า
“ของคุณปานเทพ เอาไข่ดาว ไข่แดงไม่สุก 2 ฟอง”
ปานเทพ ปรก ปานวาด และปกรณ์เดินตามเข้ามาทีหลัง
“ดีใจจังครับที่นายแม่จำอาหารเช้าของผมได้” ปานเทพยิ้มเอาใจ
“ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับลูก แล้วแม่จะจำไม่ได้หรอกจ้ะ ลูกเองก็จำได้เหมือนกันใช่ไหม ว่าแม่ชอบหรือไม่ชอบอะไร”
ปานเทพรับรู้ว่าปานรุ้งพูดหมายถึงเรื่องของวิภาวี แต่ไม่อยากให้บรรยากาศเสียเขารีบเปลี่ยนเรื่อง “เสิร์ฟอาหารได้แล้วน้อย เช้านี้ฉันรีบ ฉันมีประชุม”
วาสุเทพจับมือปานรุ้งปรามว่าให้ใจเย็นๆ ยังไม่ควรพูดอะไรตอนนี้
ปานเทพรู้ว่าวาสุเทพช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ แต่ก็ไม่ขอบคุณวาสุเทพสักคำ กลับดื่มกาแฟเฉย น้อยกับจำปีรีบกุลีกุจอเสิร์ฟอาหารให้แต่ละคน
ปานวาดบอกน้อยว่า “วันนี้วาดไม่เอาครัวซองต์นะ วาดขอสลัด วาดจะลดความอ้วน”
“ลดความอ้วนอะไรกัน วาดกำลังเรียน สมองต้องใช้งานควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ใช่เอาแต่แฟชั่น น้อย เอาครัวซองต์มาให้ปานวาด เหมือนเดิม”
“ค่ะคุณหญิง”
น้อยเอาครัวซองที่มีผักสลัดและเนื้อสัตว์เช่น แฮมและไข่ดาวอยู่ในจาน มาเสิร์ฟปานวาด
ปานวาดมองอย่างเซ็ง
ปานรุ้งเห็นจำปีกำลังเทกาแฟใส่แก้วให้ปกรณ์
“เดี๋ยวๆ เสิร์ฟกาแฟให้คุณปกรณ์ทำไม คุณปกรณ์ไม่ดื่มกาแฟ คุณปกรณ์ดื่มนมเท่านั้น”
“ผมดื่มกาแฟได้นะครับนายแม่”
“ยังหรอกลูก ดื่มนมน่ะดีแล้ว มีประโยชน์กว่า ยิ่งเดี๋ยวนี้ มีทั้งฝุ่นทั้งควันพิษ เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ยิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงจะได้มีภูมิต้านทานโรค” ปานรุ้งหยิบแก้วนมยัดใส่มือปกรณ์ “ดื่มนมดีกว่าลูก”
ปกรณ์จำใจยกดื่ม ปานรุ้งยิ้มสักครู่ มองเห็นมือปกรณ์ว่างเปล่า
“อาทิตย์หน้าผมต้องไปดูงานที่เชียงใหม่อีกรอบนะครับนายแม่” ปรกเอ่ยขึ้น
ปานรุ้งพยักหน้ารับรู้ไม่ได้พูดอะไร ปรกมองแอบน้อยใจแต่ก็ชินที่แม่ไม่ได้สนใจตัวเอง
“พี่ปรกจะไปเชียงใหม่อีกแล้วเหรอ รู้งี้ผมเลือกเรียนคณะเดียวกับพี่ปรกดีกว่า จะได้ทำงานอิสระดี” น้องเล็กขี้โรคว่า
ปานรุ้งบอกทันที “แล้วปกรณ์คิดว่าแม่จะให้ปกรณ์ไปเหรอ ร่างกายยิ่งไม่แข็งแรง อย่าคิดเลยว่าแม่จะให้ไปทำงานต่างจังหวัด”
ปรกแอบกระซิบปกรณ์เบาๆ “แป่ว”
ปกรณ์หน้าจ๋อย ดื่มนมจนหมด
“ทุกคนรู้เอาไว้นะ ที่แม่เจ้าระเบียบ สั่งให้ลูกทำโน่นทำนี่ แม่ไม่ได้ทำเพราะความเกลียด แต่แม่ทำเพราะความรัก แม่อยากให้ชีวิตของลูกทุกคนมีความสุขที่สุด ทุกคนเข้าใจแม่ใช่ไหม”
ลูกทุกคนตอบพร้อมกันว่า “ครับ นายแม่” / “ค่ะ นายแม่”
ปานรุ้งมองลูกทุกคน แล้วนึกถึงคำพูดของกติยาที่ตามหลอกหลอนในหัวอยู่ จึงบอกลูกและบอกตัวเองไปพร้อมๆ กันว่า
“แม่รู้ ว่าลูกๆ จะไม่ทำให้แม่เสียใจ”
ภายในรถของปานรุ้งที่ถนอมขับแล่นมาตามถนน วาสุเทพคอยมองปานรุ้งที่ดูเครียดๆ อย่างห่วงใย
“เดี๋ยวพี่เทพเข้าประชุมไปก่อนนะคะ รุ้งฝากดูแลเรื่องงานให้ปานเทพด้วย”
“แล้วรุ้งจะไปไหน”
“พี่เทพจำได้ไหมคะ เวลาลูกติดของเล่นจนไม่ยอมอ่านหนังสือ รุ้งจะทำยังไง”
วาสุเทพมองปานรุ้งด้วยสายตาไม่เห็นด้วย ปานรุ้งหยิบมือถือมาโทร.หาปานเทพ รอจนเขารับสาย
“ปานเทพ เดี๋ยวลูกโทรหาหนูนิชาด้วยนะ ถามสิว่าเที่ยงนี้ ว่างไหม ..แล้วชวนน้องไปหาอะไรทานซะ”
วินาทีที่ปานรุ้งกดวางสายไป ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ชนท้ายรถของของปานรุ้งดังโครมปานรุ้งกับวาสุเทพตกใจ
“อะไรกันน่ะถนอม” วาสุเทพมองไปทางเสียง
รถคันหรูของปานรุ้งจอดนิ่งอยู่กลางถนน ขณะถนอมจะเลี้ยวซ้ายเข้าซอย แต่รถยังคาอยู่เลนกลาง มีรถมอเตอร์ไซค์ของวิรินทร์ล้มกองอยู่ตรงท้ายรถของปานรุ้ง
วิรินทร์ก้มเก็บข้าวกล่องจำนวน 40 กล่อง ที่หกกระจายเกลื่อนถนน ถนอมลงมาดูที่ท้ายรถ
“ขี่รถยังไงเนี่ยหนู”
“คุณลุงนั่นแหละค่ะที่ผิด จะเลี้ยวเข้าซอย แต่ไม่เปิดไฟเลี้ยว เห็นไหมว่าข้าวของลูกค้าหนูหกกระจายหมดเลย” วิรินทร์มองแขนตัวเอง “แขนหนูก็เป็นแผล ไม่รู้ติดเชื้ออะไรบนพื้นถนนบ้าง ถ้าแผลติดเชื้อลาม ไปทั้งแขน จนหนูต้องถูกตัดแขน หนูจะทำมาหากินยังไง”
ปานรุ้งลงจากรถได้ยินพอดี รวมทั้งวาสุเทพที่เดินตามมา ก็ได้ยินด้วย
“พูดอย่างนี้ จะเรียกร้องค่าเสียหายใช่ไหม”
“หนูอาจจะไม่เรียก ถ้าพวกลุงๆ ป้าๆ จะขอโทษหนูสักคำ”
ปานรุ้งโมโห “เป็นเด็กเป็นเล็ก พูดกับผู้ใหญ่อย่างนี้ ไม่มากไปหน่อยเหรอ”
วาสุเทพห้ามปานรุ้ง “เอาเถอะรุ้ง ฝ่ายเราผิด เราก็ควรขอโทษเด็ก” แล้วหันมาพูดกับวิรินทร์ “ลุงขอโทษแทนคนขับรถของลุงด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ยังไงหนูต้องขอเก็บค่าข้าวนะคะ”
ปานรุ้งยัวะ “อ้าว ไหนเมื่อกี้บอกว่าถ้าพูดขอโทษ จะไม่คิดค่าเสียหายไงจ๊ะหนู”
“หนูไม่เรียกค่าทำแผลของหนูค่ะ แต่หนูต้องเรียกค่าข้าว ไม่อย่างนั้นแม่หนูก็ขาดทุนแย่สิคะ”
วาสุเทพพูดตัดปัญหา “งั้นคิดมา ทั้งหมดเท่าไร”
“ข้าวกล่องละ 40 ทั้งหมด 40 กล่อง ก็ 1,600” เด็กสาวมองรถที่ล้ม “สีรถหนู ถลอก ค่าซ่อมสีน่าจะประมาณ 1,000...แล้วก็ค่าน้ำมัน”
ปานรุ้งสวนออกมา “ค่าน้ำมันอะไร”
“ก็ค่าน้ำมันที่หนูต้องขี่รถจากตรงนี้ กลับไปเอาข้าวเพื่อไปส่งลูกค้าอีกรอบไงคะ รวมๆ แล้วหนูคิด 4,000”
ปานรุ้งฉุนกึก “4,000! ถามจริงๆ นะ นี่มันเป็นอุบัติเหตุ หรือหนูจงใจขี่รถมาชน เผื่อรีดไถเงินกันแน่ บอกความจริงมาเถอะ เศษเงินแค่นี้ ป้าให้ได้”
วิรินทร์ถูกคนพูดจาดูถูก แล้วชักทนไม่ได้ ยื่นมือให้ปานรุ้งดู
“คุณป้าเห็นไหมคะ หนูมีสองมือ” เด็กสาวยกขาขึ้นมาโชว์ ตรงหน้าปานรุ้งอีกด้วย “มีสองเท้า หรือต่อให้หนูไม่มีมือ ไม่มีเท้า แต่หนูยังมีศักดิ์ศรี ทำมาหากินอาชีพสุจริตเลี้ยงตัวเองได้ค่ะ”
ปานรุ้งอึ้งไป คำพูดวิรินทร์ ทำให้ปานรุ้งนึกถึงตอนอยู่กับเกื้อที่ต้องปากกัดตีนถีบทำงาน
วาสุเทพรีบล้วงเงินเพื่อยุติเรื่อง ยื่นเงิน 5,000 ให้วิรินทร์
“ลุงให้ 5,000 เลย หนูจะได้เอาเงิน ที่เหลือไปหาหมอด้วย ลุงขอโทษอีกครั้งนะ” แล้วหันมาทางปานรุ้ง “รีบไปกันเถอะรุ้ง”
ปานรุ้งมองวิรินทร์ที่มีแววตาสู้ชีวิตไม่ต่างจากตนเองในอดีต แล้วเดินขึ้นรถไปพร้อมวาสุเทพ
วิรินทร์มองปานรุ้งอย่างเซ็งๆ แล้วพยุงรถมอเตอร์ไซค์ตัวเองขึ้น สตาร์ตเครื่อง แล้วขี่ไป
รถของปานรุ้งขับผ่านไป โดยไม่ทันเห็นว่าที่ฟุตบาทริมถนนเลยไปอีกหน่อย กติยาเดินมายืนรอเรียกรถอยู่ คลาดกันชั่วเส้นยาแดง วิรินทร์ขี่รถตรงมาทางที่กติยายืนอยู่พอดี
กติยาโบกมือเรียก วิรินทร์จอดรถคุยกันแป๊บเดียว กติยาก็ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ทางด้านวิภาวีคุยโทรศัพท์สายภายในห้องพัก กับพนักงานต้อนรับของโรงแรมที่โทร. มารายงาน
“กำลังขึ้นมาเหรอคะ ขอบคุณค่ะ”
วิภาวีวางสายไปยิ้มสมใจ อยากรู้ว่าปานรุ้งจะมาไม้ไหน
จนสักครู่ ถึงได้ยินเสียงเคาะประตู วิภาวีเดินไปตรงประตูแล้วจงใจเรียกชื่อปานเทพให้คนที่เคาะได้ยิน
“ปานเทพเหรอคะ”
วิภาวีเปิดประตู พอเห็นปานรุ้งยืนอยู่ตรงหน้า ก็รีบแกล้งทำเป็นตกใจ
“นายแม่”
“เรียกฉันว่าคุณหญิงดีกว่านะ”
วิภาวีชะงักในน้ำเสียงหมางเมิน ถือตัวนั้น รู้ได้ทันทีว่าคุณหญิงปานรุ้งไม่ยอมรับตัวเองแน่
ปานรุ้งยืนมองรอบๆ ห้อง ขณะวิภาวีถือแก้วน้ำมาให้
“น้ำค่ะ”
ปานรุ้งหันหน้ามามองหน้า โดยไม่ยอมรับแก้วน้ำ และมองวิภาวีตั้งแต่หัวจรดเท้า
วิภาวีเห็นสายตาคมกริบของปานรุ้ง แล้วรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงขั้วสันหลัง
“ฉันจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ เธอทำงานอะไร ลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่ชื่ออะไร”
“ดิฉันจบบริหารค่ะ กำลังหางานทำ ส่วนพ่อแม่ของดิฉัน ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินตอนติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เสียชีวิตทั้งคู่”
“ถึงไม่มีพ่อแม่ แต่อย่างน้อยก็เรียนจบจากเมืองนอก อยากทำงานอะไรที่ไหน เงินเดือนเท่าไร ฉันจะจัดการให้”
วิภาวีมองปานรุ้งอย่างรู้ทัน
“เพื่อแลกกับการไปจากลูกชายคุณหญิงใช่ไหมคะ”
“หวังว่านักเรียนเมืองอย่างเธอ จะไม่พูดประโยคน้ำเน่า เกี่ยวกับความรักยิ่งใหญ่กว่าเงินหรอกนะ”
“บังเอิญวิคบกับปานเทพเพราะรัก ไม่ใช่เพราะเงินด้วยน่ะสิคะ”
ปานรุ้งขำ “รักเหรอ เจอกัน ถูกใจกัน แล้วชวนกันไปนอนด้วยกัน นั่นใช่ไหมความรักของพวกเธอ แล้วที่เธอเที่ยวบอกใครๆ ว่าปานเทพเป็นคู่หมั้นของเธอ ฉันไม่ยอมรับหรอกนะ เพราะถือว่าการหมั้นครั้งนั้นฉันไม่ได้รับรู้ด้วย”
“ถึงฐานะของดิฉันจะด้อยกว่าคุณหญิง แต่ดิฉันก็มีศักดิ์ศรีไม่แพ้คุณหญิง ถ้าคุณหญิงอยากให้ฉันไปจากปานเทพ งั้นช่วยบอกหน่อยสิคะว่า ท่านรู้จักดิฉันดีแล้วเหรอ ถึงตัดสินว่าฉันควรไปจากลูกชายของท่าน”
“ฉันไม่จำเป็นต้องรู้จักเธอ เพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ฉันจะเลือกให้ปานเทพ บอกมา ต้องการเท่าไร เพื่อไปจากปานเทพ”
วิภาวีมองปานรุ้ง แล้วตีหน้าเศร้า
“ดิฉันบอกคุณหญิงแล้วว่าดิฉันคบปานเทพเพราะรัก ไม่ใช่เพราะเงินดังนั้น สิ่งเดียวที่จะทำให้ดิฉันไปจากปานเทพได้ คือความต้องการของปานเทพ”
ปานรุ้งแปลกใจ “เธอหมายความว่า…”
“ให้ปานเทพเลือกแล้วกันค่ะ ว่าเขาต้องการให้วิไป หรืออยู่ข้างๆเขา”
ปานรุ้งมองลึกเข้าไปในดวงตาวิภาวีที่ตีหน้าเศร้ามองมา
แต่ไม่ทันได้เห็นนัยน์ตายิ้มเยาะอย่างคนที่มั่นใจว่าตัวเองเหนือกว่า
เย็นวันนั้น ปานเทพมองวิภาวีด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง รู้เรื่องที่ปานรุ้งมาหาแล้ว
“ทำไมคุณบอกนายแม่ไปอย่างนั้นล่ะวิ ทำไมคุณไม่แกล้งรับปาก นายแม่ ไปก่อน”
“ก็เพราะถ้าวิรับปาก นายแม่ก็จะเอาผู้หญิงที่ท่านเลือกไว้มาแต่งงานกับคุณ” วิภาวีบีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสาร “วิทนไม่ได้วิรักคุณนะคะ รักมากจนยอมเป็นคนทำงานหาเงินจ่ายค่าเทอมให้คุณ เพราะคุณใช้เงินที่นายแม่ส่งมาให้จนหมดตัวที่คาสิโนในลาสเวกัส วิยอมไปเดทกับฝรั่งแก่เพื่อหลอกเอาเงินมาใช้หนี้แทนคุณ ยอมแอบโกง ค่าขายพิซซ่าในร้านไอ้อันโตนิโอ เพื่อเอาเงินมาจัดปาร์ตี้วันเกิดหรูๆ ให้คุณ”
ปานเทพฟังสิ่งที่วิภาวีทำให้ตัวเอง แล้วอดใจอ่อนไม่ได้
“ผมรู้ว่าวิรักผมมาก แต่คุณก็รู้ว่าตอนนี้ผมต้องทำทุกอย่างให้นายแม่พอใจ ไม่อย่างนั้น นายแม่อาจยกธุรกิจให้พ่อเลี้ยงผมแน่”
“แล้วคุณจะให้วิทำยังไง วิยอมทำทุกอย่าง ขออย่างเดียว ขอให้วิได้อยู่กับคุณ ชีวิตนี้ วิไม่มีอะไรจะสูญเสียอยู่แล้ว วิทำอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เสียคุณ”
ปานเทพกอดวิภาวีโดยไม่ทันสังเกตคำพูดของหล่อน และไม่เห็นแววตาอันแข็งกร้าวเอาจริง ดูออกว่าเธอจะไม่มีวันปล่อยปานเทพไปแน่ๆ
ค่ำนั้นพอน้อยเดินออกจากห้องทำงานของปานรุ้ง ปานวาด กับปกรณ์ดักรออยู่ รีบดึงตัวของน้อยมาอีกมุม น้อยตกใจ
“อุ๊ย ดึงน้อยมาทำไมกันคะ”
“วันก่อนวาดได้ยินนายแม่คุยโทรศัพท์กับเพื่อน นายแม่เลือกสาวให้ พี่ปานเทพใช่ไหมคะน้าน้อย”
“สวยรึเปล่าครับ”
น้อยรีบเอามือปิดปาก “คุณๆ ก็รู้ว่าเรื่องของคุณหญิง น้อยไม่พูด” น้อยขยับจะเดินไป
ปานวาดกับปกรณ์มองหน้าหารือกัน ว่าจะทำยังไงถึงจะเค้นจากน้อยได้
พริบตานั้นเอง ปกรณ์เล่นบทโศกกับปานวาดทันที
“ปกรณ์ก็แค่อยากรู้ว่าพี่ปานเทพจะแต่งงานจริงๆ รึเปล่า พี่ปานเทพต้องไปอยู่เมืองนอกคนเดียวตั้งนาน ถ้าพี่ปานเทพมีข่าวดี ปกรณ์กับพี่วาดก็อยากจะทำอะไรเซอร์ไพรส์พี่ปานเทพเท่านั้นเอง”
ปานวาดรับลูกต่อจากปกรณ์ “แต่ถ้าน้าน้อยเห็นว่าความรักพี่ของเรา สองคนเป็นเรื่องไร้สาระก็ไม่เป็นไรค่ะ”
น้อยมองสองคุณหนูอย่างใจอ่อน
“คุณสองคนทำกับน้อยอย่างนี้ทุกทีเลย” น้อยเอามือป้องปากบอก “คุณนายจะจับคู่คุณปานเทพกับลูกสาวเพื่อนค่ะ”
ปานวาดกับปกรณ์ตื่นเต้น น้อยกระซิบเล่าให้ปานวาดกับปกรณ์ฟังต่อ
ปรกเดินเข้าบ้านมา เพิ่งกลับจากทำงาน
“นี่มาซุบซิบอะไรกันตรงนี้เนี่ย”
ปานวาดกับปกรณ์หันมายิ้มอย่างตื่นเต้น ปรกมองน้อง งงๆ ว่ามีเรื่องอะไรกัน
ปานเทพนั่งเครียดเรื่องที่ปานรุ้งรู้เรื่องวิภาวีแล้ว จนได้ยินเสียงเคาะประตู ก่อนจะเห็นปรกเปิดประตูเข้ามานั่งข้างๆ
ปรกพูดล้อๆ “ได้ข่าวว่าคุณแม่นัดพี่ไปดูตัวสาวเหรอ”
“นายแม่บอกเหรอ”
“เปล่า กุมาร 2 ตนไปสืบมา ตกลงเรื่องจริงเหรอพี่ปานเทพ”
“อื้อ มันเป็นเรื่องของธุรกิจด้วย”
ปรกคิดถึงภาพตอนเจอปรกกับวิภาวีกอดกันที่หน้ารั้วบ้าน
“แล้วแฟนพี่ล่ะ เขาไม่ว่าเหรอ”
“แฟนไหน”
“ก็ผู้หญิงที่มาส่งพี่ที่หน้าบ้าน วันที่พี่กลับบ้านวันแรกไง ผมเห็นพี่กอดเขาอยู่หน้าบ้าน”
ปานเทพชะงักมองปรกสีหน้าฉงน “นายเห็นเหรอ แล้วทำไมนายไม่บอก ว่านายเห็น”
ปรกยักไหล่ “ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ ผมไม่อยากยุ่ง” เขามองพี่ชาย อย่างใช้ความคิด “นายแม่ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าพี่มีแฟน นายแม่ถึงจับคู่พี่กับคนอื่น”
“รู้แล้ว”
“อ้าว แล้วอย่างนี้พี่จะทำยังไง อย่าบอกนะว่าจะแต่งงานทีเดียว 2 คน”
“จะบ้าเหรอ” ปานเทพถอนใจเครียดหนัก “ฉันว่าจะแต่งงานกับคนที่นายแม่เลือก”
“แล้วพี่ก็จะเลิกกับแฟนพี่เหรอ”
“ไม่เลิก”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ฉันมีเหตุผลที่เลิกกับเขาไม่ได้”
ปรกงงมาก “แล้วพี่จะอยู่ยังไง ชาย 1 หญิง 2”
“ก็อยู่อย่างที่ผู้ชายมีกิ๊กเขาทำกัน แต่งงานกับคนนึง แล้วก็ให้อีกคนอยู่เงียบๆ”
ปรกค้าน “จะดีเหรอพี่ ผมว่ามันไม่แฟร์กับผู้หญิงที่พี่จะแต่งงานด้วยเลยนะ”
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อฉันปฏิเสธนายแม่ไม่ได้ จะเลิกกับแฟนก็ไม่ได้”
ได้ยินเสียงตึง ดังขัดจังหวะจากหน้าประตูห้อง ปานเทพลุกไปที่ประตู
พอปานเทพเดินมาเปิดประตูก็เห็นปานวาดกับปกรณ์กำลังหันไปชี้หน้ากระซิบดุกันที่ทำเสียงดัง
“เราสองคนมาทำอะไรตรงนี้”
ปานวาดกับปกรณ์ชะงัก รีบหันมาแก้ตัวทันที
“เอ่อ วาดจะมาขอยืมหนังสือพี่ปานเทพน่ะ”
“ใช่ๆ กรณ์ก็จะมาขอยืมเกมของพี่เหมือนกัน”
ปานเทพหรี่ตามองรู้ทัน “พี่ให้ตอบอีกที”
ปานวาด กะ ปกรณ์ยิ้มอ้อน รีบวิ่งเข้าไปในห้องหาปรกให้ช่วย ปานเทพปิดประตูแล้วตามเข้ามา
“พี่ปรกนั่นแหละ บอกให้เข้ามาสืบความจริงกับพี่ปานเทพ ก็หายเข้ามาตั้งนาน”
ปกรณ์ “ใช่ คุยอะไรกับพี่ปานเทพก็ไม่รู้ แอบฟังยังไงก็ไม่ได้ยิน”
ปานเทพดุขำๆ “นี่เราสองคนชักจะเอาใหญ่แล้วนะ เดี๋ยวพี่จะฟ้องนายแม่”
“ผมอาสาเข้ามาถามพี่เองแหละ ไม่อยากให้กุมารสองตนไปแอบสืบกันเอง รู้ถึงหูนายแม่แน่”
มือถือของปรกมีเสียงบอกว่ามีคนมาคอมเมนต์ในไอจี ปรกหยิบมือถือมากดดู เห็นคนที่คอมเมนต์รูปคือนิชา เขามองหน้าจอแล้วยิ้ม
ปานเทพ ปานวาด และปกรณ์ที่มองอยู่เห็นอาการปรกก็แซวทันที
“นั่นแน่! ยิ้มแบบนี้แสดงว่ามี Something” ปานรุ้งนำร่อง
ปานเทพซัก “ใครมาเม้นต์ไอจีนาย”
ปกรณ์ยิ้มล้อ “แฟนพี่เหรอพี่ปรก”
ปรกรีบบอกปฏิเสธ แต่อาการเขินมันฟ้อง “ไม่ใช่ เพื่อนที่ทำงาน”
“แค่เพื่อนที่ทำงานมาเม้นต์รูป นายคงไม่ยิ้มแบบนี้มั้ง” ปานเทพบอก
“จะจีบก็รีบจีบนะพี่ปรก มัวแต่ลีลาเดี๋ยวผู้หญิงเค้าก็หนีไปมีคนอื่น เหมือนสมัย ม.3 หรอก”
ปกรณ์เสริม “ช่าย คราวนี้ผมไม่มานั่งปลอบเหมือนตอนโน้นแล้วนะ”
ปรกเซ็งปนหมั่นไส้ “เว่อร์แระ เราเนี่ยนะเคยปลอบพี่ พี่ปานเทพ ผมว่าเราเปลี่ยนใจอย่าให้สองคนนี้รู้อะไรเลย นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยังรอทับถมด้วย”
“ไม่ได้นะพี่ปรก วาดไม่ยอม”
“ใช่ กรณ์ก็ไม่ยอม เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยพี่ปรก”
ปรกทำหน้าล้อว่าไม่เล่าว้อย ปานวาดกับปกรณ์เลยแกล้งโถมตัวใส่
สามคนพี่น้องกลิ้งลงบนเตียงนอนของปานเทพไปด้วยกัน ปานเทพยืนดูขำๆ
“โอ๊ย พี่ปานเทพช่วยผมด้วย ผมโดนกุมารอำ โอ๊ย! ช่วยด้วยพี่”
ปรกคว้าแขนปานเทพกะจะให้ช่วยดึงตัวเองลุกจากเตียง แต่ปานเทพกลับถูกปานวาดกับปกรณ์ดึงล้มลงไปด้วยกัน
พี่น้องสี่คนนอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงเล่นกันอยู่บนเตียงด้วยความสุข สนุกสนาน
โดยไม่รู้เลยว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสี่คน จะได้หัวเราะเล่นพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้
รุ่งเช้า วิภาวีใส่ชุดรัดรูปอวดหุ่นสวย กำลังวิ่งจ๊อกกิ้งอย่างสบายใจมาตามทางในสวนสวยของโรงแรมที่พัก พร้อมกับคุยมือถือด้วย ปลายสายคือบ้านสมุทรเทวา
“ฮัลโหล นั่นบ้านสมุทรเทวาใช่ไหมคะ ขอสายคุณปานเทพหน่อยค่ะ ฝากบอกว่าจากวิภาวี…”
วิภาวีไม่รู้ว่าที่ปลายสายในห้องโถงบ้านสมุทรเทวา ปานรุ้งเป็นคนถือหูโทรศัพท์บ้านรับสายเอง และเปิดฉากแดกดันอย่างรู้ทันเกมกัน
“โทร.เข้าบ้านมาอย่างนี้ คงไม่ได้ตั้งใจจะคุยกับปานเทพหรอก ใช่ไหม”
วิภาวีหยุดวิ่ง สีหน้านึกสนุก คุยมือถือกับปานรุ้งด้วยน้ำเสียงซื่อ จงใจยั่ว
“สวัสดีค่ะนายแม่ เอ๊ย คุณหญิง แหม คุณหญิงพูดอะไรอย่างนั้นคะ ถึงวิอยากจะถามคุณหญิงว่าทราบ ที่ปานเทพเลือกวิรึยัง แต่วิยังเด็ก ไม่กล้าหาญถามอย่างนั้นหรอกค่ะ”
ปานรุ้งคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้านิ่ง รู้ว่าวิภาวีกำลังย้ำการตัดสินใจของปานเทพเพื่อตอกหน้าเธอ
“ฉันรู้ว่าปานเทพเลือกเธอไว้ให้อยู่ในมุมมืด ไม่ใช่ให้อยู่ที่สว่าง แล้วที่ฉันยอม เพราะฉันเข้าใจธรรมชาติของผู้ชาย ในเมื่อเขาแตะต้องผู้หญิงที่เขาต้องให้เกียรติไม่ได้ เขาก็ต้องหาที่ระบาย ฉันเชื่อแล้วว่าเธอรักปานเทพจริง จนยอมแม้จะเป็นกระโถนให้เขา ฉันขอบใจความรักของเธอนะ”
ปานรุ้งวางโทรศัพท์ด้วยหน้านิ่ง แววตาวาววับ
“เธอลองดีผิดคนแล้ว วิภาวี”
วิภาวีกำมือถืออย่างหงุดหงิดที่โดนปานรุ้งตอกกลับ ร้อยกรองเดินเข้ามาทางด้านหลังวิภาวีด้วยท่าทางร้อนใจ
“หนูวิ…หนูวิ”
วิภาวีพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดทั้งเรื่องปานรุ้ง และเรื่องร้อยกรองที่โผล่มาที่นี่ แล้วหันไปยกมือไหว้ร้อยกรอง
“สวัสดีค่ะคุณย่า คุณย่ารู้ได้ยังไงคะว่าวิอยู่ที่นี่”
“คราวที่แล้วปานเทพบอกไว้ไงลูก”
“อ๋อ แต่ตอนนี้ปานเทพไม่อยู่หรอกนะคะ เขาอยู่ในกรงทองของแม่เขา”
“ย่ารู้แล้วว่าปานเทพกำลังโดนแม่มันกกไว้ คนเขาลือไปทั่วว่าตอนนี้ ปานรุ้งพาปานเทพโชว์ตัวทุกงาน ล่าสุด ปานเทพถูกจับคู่ด้วย หนูรู้รึยัง”
วิภาวีพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “รู้ว่าโดนจับคู่ แต่ไม่รู้ว่ากับใคร”
“ย่ารู้ หนูอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นไหมล่ะ”
วิภาวีมองร้อยกรองที่ยิ้มกระหยิ่ม ด้วยวาดหวังว่าวันนี้ได้เงินก้อนโตค่าขายข่าวเด็ดแน่ๆ
นายถนอมขับรถมารอรับคุณหญิงปานรุ้งหน้าตึก จนเห็นปานรุ้งเดินออกมาจากบ้าน วาสุเทพ ปานเทพ ปานวาด ปกรณ์ เดินตามออกมาด้วย น้อยเดินถือกระเป๋าของปานรุ้งมา จำปีเดินถือกระเป๋าของปานเทพ ปานวาด ปกรณ์เดินตามท้ายสุด
ปานรุ้งหันไปสั่งสาวใช้คนสนิท “น้อย เดี๋ยวตอนเที่ยงไปรับชุดของปานวาดและชุดสูทของ ปกรณ์ที่ร้านคุณโจ้ เซอร์เฟซ ด้วยนะ บอกเขาว่าเอาชุดไปงานเครื่องเพชรคืนนี้”
ปกรณ์โอดครวญนิดๆ “ผมต้องไปด้วยเหรอครับนายแม่”
“วาดขอไม่ไป ได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ คืนนี้ทุกคนต้องไปพร้อมหน้าพร้อมตา แม่จะแนะนำพี่นิชา ให้ทุกคนรู้จัก อีกหน่อยเขาช่วยพี่ปานเทพดูแลงาน จะได้สนิทกันไว้” ปานรุ้งมองหาปรก “แล้วปรกล่ะ ยังไม่ลงมาอีกเหรอ คนนั้นน่ะตัวดีเลย ไม่ค่อยออกงานสังคม ชอบออกป่า ไม่รู้ชุดสูทยังมีไหม” คุณหญิงหันไปบอกจำปี “เธอไปตามปรกสิ”
ปรกเดินมาจากหน้าบ้าน มือและแขน เปื้อนน้ำมันรถ
“ผมอยู่นี่ครับ”
ปานเทพมองสภาพปรกแล้วอดขำไม่ได้ “นายไปตกน้ำมันเครื่องที่ไหนมาเนี่ย”
“ปล้ำกับอีแก่มาพี่ปานเทพ เมื่อวานชมรถคนอื่นหน่อย เช้ามา อีแก่งอนเลย สตาร์ตเท่าไรไม่ยอมติด”
“รถคันนั้นเสียก็ดี คืนนี้จะได้ไม่ต้องขับรถนั่นไปงานให้แม่ขายหน้า”
“งานคืนนี้ งานอะไรเหรอครับนายแม่”
ปานวาดเข้าไปยืนขนาบปรก แล้วพูดกระซิบ
“งานแนะนำแฟนของพี่ปานเทพน่ะพี่ปรก”
ปรกตื่นเต้น สนใจทันที “เหรอ แต่คืนนี้ผมมีนัดกับเจ้านาย คงไปกับนายแม่ ไม่ได้”
“คิดอยู่แล้วเชียว แต่ว่างานนี้ปรกต้อง ...”
วาสุเทพหันพูดกับปรกขัดจังหวะปานรุ้ง “ปรกไปกับเจ้านายเถอะลูก” แล้วหันมาพูดกับ
ปานรุ้ง “ปรกมีธุระ ก็ให้เขาไปก่อน ไว้ค่อยเจอทีหลังก็ได้” จากนั้นหันมาหาลูกคนเล็กทั้งสอง “ไปเรียนกันได้แล้วลูก เดี๋ยวรถจะติด”
ปกรณ์ กับปานวาด ขึ้นรถแวนไปกับวาสุเทพ
ปานรุ้งมองค้อนปรก
“ลูกคนนี้ ไม่เคยได้ดั่งใจเลย” แล้วหันมาทางปานเทพ “ไปกันเถอะลูก”
ปานรุ้งเดินขึ้นรถตามวาสุเทพไป ปานเทพหันมาพูดกับปรก
“ฉันอยากให้นายไปด้วยนะ ฉันจะได้มีคนร่วมนินทากระบังผมของพวกคุณหญิงคุณนาย” สองหนุ่มหัวเราะขำ “อีกอย่าง ไม่แน่นายอาจจะรู้จักลูกสาวคุณน้านิรมล เพราะนิชาเป็นวิศวกรเหมือนนาย”
ปานเทพ เดินไปขึ้นรถลัมโบร์กินี่ ขับทะยานออกไป
ปรกสะดุดหูกับชื่อ ถึงกับชะงัก หวาดหวั่นลึกๆ ว่าจะใช่ คนเดียวกันไหมหนอ?
“นิชา”
ตอนสายปรกเดินออกมาจากออฟฟิศกรมทาง มาหยุดมองดูรถนิชา ด้วยสีหน้าครุ่นคิดและคาใจ
“นิชาในโลกนี้มีตั้งหลายคน โลกไม่กลมขนาดนั้นหรอก”
นิชาเดินมาด้วยสีหน้าเครียดๆ ดูไม่มีความสุข เพราะไม่อยากไปงานคืนนี้ จนมาเห็นปรกมองรถตัวเองอยู่ นิชาเดินย่องมาหยุดยืนข้างหลังปรก
“คุณมีอะไรกับฉันรึเปล่า”
ปรกสะดุ้ง “เอ่อ เปล่าๆ”
นิชาพูดนิ่งๆ ดูสีหน้าไม่มีความสุข “เหรอ เห็นคุณมาด้อมๆ มองๆ อะไร ที่รถฉัน นึกว่าคุณมีอะไร งั้นฉันไปดูงานข้างนอกก่อนนะ
นิชาเดินไปจะขึ้นรถ ปรกมองตาม ใจหนึ่งอยากถามให้หายสงสัย อีกใจก็ไม่กล้า เพราะกลัวคำตอบ
ด้านนิชาเอื้อมมือไปจับประตูรถ แต่ยังไม่เปิด เพราะใจหนึ่งก็ลังเล อยากบอกปรกว่าเรื่องถูกบังคับดูตัว ไม่ใช่เรื่องของเพื่อน แต่เป็นเรื่องของเธอเอง
กลายเป็นว่าสองคนหันมาพูดพร้อมกัน “เอ่อ ...”
ปรกกับนิชามองหน้ากัน
“คุณพูดก่อนสิ” ปรกบอก
นิชาว่า “คุณพูดก่อนก็ได้”
ปรกตัดสินใจถามออกไป “เอ่อ คืนนี้คุณไปไหนรึเปล่า”
นิชาชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อนึกถึงงานคืนนี้ ที่เธอไม่อยากไปเอาเลย
“ไป ฉันต้องไปทานข้าวกับคุณแม่” เธอตัดสินใจถามตรงๆ “คุณปรก เมื่อวานที่คุณแนะนำเรื่องเพื่อนฉันให้เค้าทำตามแม่ คุณคิดว่าเค้าควรจะทำอย่างนั้นจริงๆ ใช่มั้ย”
นิชามองปรกรอคำแนะนำ เหมือนเป็นที่พึ่งสุดท้าย ปรกมองนิ่ง ชักไม่แน่ใจว่านิชาหมายถึงตัวเองหรือเปล่า เลยไม่กล้าตอบ
ธนากรเพื่อร่วมงานในกรมทางของสองคน วิ่งเข้ามาหานิชา
“นิชา ดีใจจังที่คุณยังไม่ไป อยู่ๆ หัวหน้าก็สั่งให้ผมไปช่วยดูงานกับคุณ” ธนากรมองนิชาที่ดูเหมือนกำลังคุยกับปรกค้างอยู่ “มีอะไรกันรึเปล่า”
นิชามองปรกรอลุ้นคำตอบ แต่ปรกเอาแต่นิ่ง เธอจึงหันมาทางธนากรที่มองอยู่
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไปกันเถอะ”
นิชาขึ้นรถ ธนากรตามขึ้นไปนั่งข้าง นิชาขับรถออกไป ปรกมองตามรถนิชาตาละห้อย แล้วพึมพำปลอบใจตัวเอง
“เขาไปกินข้าวกับแม่ ไม่ได้ไปงานโชว์เพชร โลกมันไม่ได้กลมขนาดนั้นหรอกน่าไอ้ปรก”
ปรกจะเดินไป แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นวิภาวีแอบยืนมองตามรถนิชาที่แล่นออกไปปรกจำวิภาวีได้
“นั่นแฟนพี่ปานเทพนี่หว่า”
วิภาวีหันมายิ้มทักทายปรก แล้วเดินออกไป ปรกรีบเดินตาม
วิภาวีเดินออกมาหน้ากรมทางแล้ว ปรกวิ่งตามมา เรียกไว้
“คุณครับ”
วิภาวีหยุดเดิน หันมามอง ทักทายปรก “สวัสดีค่ะ”
“คุณเป็น…” ปรกลังเลจะบอกว่าเป็นแฟน หรืออะไรของปานเทพดี “เอ่อ เพื่อนของพี่ปานเทพใช่ไหมครับ ผมเจอคุณที่หน้าบ้าน”
วิภาวีพูดยิ้มๆ “ถ้าคุณเห็นผู้หญิงที่จูบกับผู้ชายเป็นแค่เพื่อน ฉันก็เป็นเพื่อนของพี่ชายคุณค่ะ”
“ขอโทษครับ ถ้าคุณมีความสัมพันธ์กับพี่ชายผมมากกว่านั้น แต่ผมไม่ค่อยยุ่งเรื่องส่วนตัวของพี่ปานเทพ”
“ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว หรือไม่ยุ่งกับคนระดับต่ำกว่ากันแน่คะ”
“เอ่อ…”
วิภาวียิ้ม “ฉันไม่ว่าคุณหรอกค่ะ ลูกเป็นยังไง อยู่ที่การอบรมเลี้ยงดู แต่ก็ขอบคุณนะคะที่จำฉันได้ และมาทักทาย ฉันไปล่ะค่ะ”
“เดี๋ยวครับ”
วิภาวีหันมามองปรก
“คุณมาทำอะไรเหรอครับ เผื่อผมช่วยคุณได้”
“ฉันมาหาคนชื่อ นิชา ค่ะ แต่เสียดายที่ไม่ทัน เขาเพิ่งขับรถออกไป”
ปรกชะงักพึมพำ “นิชา”
“ใช่ค่ะ คนที่คุณยืนคุยด้วยเมื่อกี้นี้ไงคะ เสียดาย ที่ฉันมาไม่ทันได้คุยกับเขา”
ปรกมองวิภาวีด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม กลัวว่านิชาที่ปานรุ้งจับคู่ให้ปานเทพ จะเป็นนิชาคนนี้
“คุณมาหานิชาทำไม”
วิภาวียิ้มเยาะ “คุณน่าจะรู้นะคะว่าฉันอยากเจอผู้หญิงคนนั้นทำไม”
วิภาวีหันกลับ เดินออกไปเลย
ปรกใจหล่นวูบ ยืนอึ้งตะลึงตะไล ไม่อยากจะเชื่อว่านิชาคนนี้จะเป็นคนที่นายแม่จับคู่ให้พี่ชาย
ปรกกดมือถือโทร.หาปานวาดอย่างร้อนใจ รอจนเธอรับสาย
“ฮัลโหลวาด คืนนี้นายแม่ไปงานเลี้ยงกี่โมง”
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 12 (ต่อ)
เวลานั้น ปานวาดอยู่ในห้องสมุดมหา’ลัย เดินไล่หาหนังสือเพื่อทำรายงาน คุยสายกับปรกอย่างดีใจ
“พี่ปรกไปด้วยจริงๆนะ เจอกันคืนนี้นะพี่ปรก บายค่ะ”
ปานวาดเก็บมือถือ เดินหาหนังสืออยู่ที่ชั้นมุมหนึ่ง จนเห็นว่าหนังสือที่ต้องใช้อยู่ชั้นที่สูงเหนือหัว ปานวาดพยายามจะหยิบแต่เอื้อมไม่ถึง
สักครู่เห็นมือของใครคนหนึ่งเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่นนั้นให้แทน ปานวาดหันไปหาจะขอบคุณ พอเห็นว่าเป็นโดมก็ชะงัก
โดมพูดเบาๆ เพราะอยู่ในห้องสมุด
“สงสัยล่ะสิว่าผมรู้ได้ยังไงว่าคุณอยู่ที่นี่”
ปานวาดนิ่งไม่ตอบ โดมหยิบมือถือขึ้นมา “Three minute ago วีวี่เช็คอินห้องสมุด with ปานวาด” ปานวาดยังนิ่งอยู่ “อยากชมว่าผมฉลาดอ่ะดิ”
ปานวาดเซ็ง คร้านจะต่อปากต่อคำ เลยดึงหนังสือจากโดมแล้วเดินหนี
โดมเดินตาม พูดเบาๆ “อ้าว เดี๋ยวสิครับ นี่ไม่คิดจะขอบคุณ พี่หน่อยเหรอครับน้อง”
ปานวาดตอบกลับเบาๆ แต่เน้นคำ “ใคร เป็น น้อง นาย”
“อ้าว...” โดนกวนกลับ “งั้นเปลี่ยนเป็น จะไม่ขอบคุณน้องหน่อยเหรอครับพี่”
ปานวาดยิ่งเซ็ง “พี่ฉันก็ไม่ได้เป็น”
“งั้นเป็นยายไหม”
ปานวาดรำคาญ เผลอพูดเสียงดัง “นี่นาย”
บรรณารักษ์ที่กำลังจัดหนังสือขึ้นชั้นอยู่หันมอง
“นักศึกษา กรุณาอย่าเสียงดังนะคะ”
“ขอโทษค่ะ” ปานวาดมองค้อนโดมตาขุ่น แล้วเดินหนีไป
โดมขำ เดินตามไม่ลดละ
ปานวาดพูดเบาๆ “นี่นายจะเดินตามฉันทำไมเนี่ย”
“ก็ผมอยากคุยกับคุณเรื่องมิกซ์ เพลงว่าคุณอยากได้เพลงประมาณไหน”
“ก็ไว้คุยกันตอนอื่น ตอนนี้ฉันไม่ว่าง ต้องหาหนังสือทำรายงานส่งอาจารย์”
“แล้วคุณจะว่างเมื่อไหร่”
“ก็ถ้านายฉลาดพอ นายก็ควรรู้ว่าฉันจะว่างเมื่อไหร่”
ปานวาดยิ้มอย่างเหนือกว่า แล้วเดินหนีไป
“เดี๋ยวก็รู้” โดมยิ้มกรุ้มกริ่ม มีแผนบางอย่าง
ทางด้านปกรณ์เดินเข้ามาในสนามฟุตบอล เห็นกลุ่มเพื่อนนั่งคุยกันที่อัฒจันทร์ แต่พอปกรณ์เดินมา กลุ่มเพื่อนต่างโห่เสียงดัง แถมผิวปากล้ออีกด้วย ปุ่นเพื่อนสนิท เดินเข้ามากอดไหล่ปกรณ์
“ปกรณ์ นี่นายไปคบกับยายงกวิรินทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
ปกรณ์มองปุ่น งงๆ
“คบอะไร ฉันไม่ได้คบกับวิรินทร์”
ปุ่นมองปกรณ์ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “ไม่ได้คบ ฉันไม่อยากเชื่อเลย เห็นนายโดนแม่ตามคุมเป็นลูกแหง่ นึกว่าจะแหย แต่กล้าพายาย วิรินทร์เข้าห้องน้ำกันสองคน กลางมหาวิทยาลัย”
ปกรณ์ชะงักมองปุ่น แล้วมองไปยังกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่ต่างมองมาทางเขาเป็นตาเดียว
“เฮ้ย พวกนายรู้เรื่องนี้กันด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่แค่พวกฉันที่รู้ แต่เขาลือกันทั้งมหาวิทยาลัยแล้ว”
ปกรณ์อึ้ง อดกังวลไม่ได้ว่าวิรินทร์รู้เรื่องข่าวลือนี้รึยัง?
ลานนั่งเล่นหน้าตึกคณะบริหาร ในมหาวิทยาลัย กลุ่มนักศึกษาหญิงวงใหญ่จับกลุ่มเม้าท์มอยกันอยู่ 3 คนในนั้นเป็นกลุ่มที่เห็นปกรณ์กับวิรินทร์ เดินออกมาจากห้องน้ำชายใต้อาคารเรียนด้วยกัน
หญิง 1 บอกตามที่เห็นมา “เมื่อวานฉันเห็นกับตาว่ายายวิรินทร์รับเงินจากปกรณ์หน้าห้องน้ำ”
หญิง 2 เสริม “เห็นเปิดไอจี ขายของ ไม่คิดว่าจะขายตัวด้วย”
วิรินทร์เดินเข้ามาวางกองหนังสือลงกลางโต๊ะเสียงดัง ปัง! กลุ่มนักศึกษาหญิงวงแตก ตกใจ
“ถ้าไม่อยากโดนกองหนังสือนี่กระแทกหน้า ก็อย่าดูถูกคนอื่นแบบนี้อีก”
นักศึกษาหญิง 1 เถียงลั่น “ฉันพูดความจริง ไหนจะข่าวลือเห็นเธออยู่กับปกรณ์ที่ไม่ใส่กางเกงอีก ได้ข่าวว่าแม่ป่วย ขายของไม่ได้กำไร เลยเปลี่ยนไปกำเงินของผู้ชายรวยแทนงั้นเหรอ
วิรินทร์หยิบกองหนังสือเหวี่ยงเหมือนจะตบนักศึกษาหญิง 1 แต่ตั้งใจเหวี่ยงหนังสือแค่เฉียดหน้า ปกรณ์เดินมาเห็นพอดี นักศึกษาหญิง1 ตกใจ เพราะคิดว่าตัวเองจะโดนตบ
วิรินทร์มองนักศึกษาหญิง 1 อย่างเอาเรื่อง “อย่าลามปามถึงแม่ฉัน ไม่อย่างนั้น คราวหน้าฉันไม่ฟาดแค่เฉียดแน่”
วิรินทร์หอบหนังสือเดินออกไป ปกรณ์รีบเดินตามติดๆ
วิรินทร์เดินอารมณ์เสียมาที่มอเตอร์ไซค์ตัวเอง เอาหนังสือใส่ตะกร้ารถ แล้วใส่หมวกกันน็อก สตาร์ตรถเตรียมขี่ออกไป ปกรณ์เดินตามมา ตั้งใจจะมาพูดขอโทษ
“วิรินทร์”
วิรินทร์ไม่ทันได้ยินปกรณ์เรียก ขี่รถออกไป ปกรณ์รีบวิ่งตามรถไป วิรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนในมหา’ลัย ด้านหลังเป็นปกรณ์วิ่งตามไม่ลดละ ปากตะโกนเรียก
“วิรินทร์”
ปกรณ์เหนื่อย จนหายใจหอบ ต้องหยุดวิ่งลงนั่ง อาการกำเริบหายใจไม่ทัน ปกรณ์รีบคลำ กระเป๋าหาสเปรย์ฉีดแก้หอบ
มือของวิรินทร์ยื่นสเปรย์ระงับอาการหอบ เป็นของใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้ให้ตรงหน้า ปกรณ์เงยหน้ามองวิรินทร์อย่างคาดไม่ถึง
วิรินทร์ดุ “มองอะไร รีบฉีดสเปรย์เร็ว”
ปกรณ์รับสเปรย์มาแกะออก แล้วรีบฉีดเข้าปาก ค่อยๆหายใจ
วิรินทร์มองปกรณ์อย่างเป็นห่วง “โอเคไหม”
ปกรณ์พยักหน้า “โอเค ค่ายาเท่าไร”
“3,000”
“ห๊ะ”
“ล้อเล่น ไม่คิดเงินหรอก ถึงฉันจะงก แต่ก็ยังมีน้ำใจย่ะ”
“ขอบใจนะ” ปกรณ์มองสเปรย์ในมือแล้วถามวิรินทร์ “เธอเป็นหอบเหมือนกันเหรอ ถึงพกสเปรย์”
“เปล่า ฉันซื้อจะไปให้แม่ แม่ฉันเป็นหอบ” วิรินทร์ตัดบทไม่อยากพูดเรื่องส่วนตัว เปลี่ยนเรื่องไปเลย “แล้วนายล่ะ เป็นหอบเหรอ แล้ววิ่งตามฉันทำไม แค่นี้ฉันก็โดนกลุ่มแฟนคลับนายเล่นงานแย่แล้ว ถ้านายเป็นอะไรเพราะวิ่งตามฉันอีก มีหวัง ฉันคงเรียนที่นี่ไม่เป็นสุข”
“เราจะตามมาขอโทษเธอ เราไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายรวดเร็วอย่างนี้”
“ฉันไม่แคร์หรอก ถ้าไม่มีใครพูดลามถึงแม่ฉัน ฉันไปละ”
“เดี๋ยว เธอเอายามาให้ฉัน แล้วแม่เธอจะใช้อะไรล่ะ”
วิรินทร์ไม่ตอบ เดินไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ แล้วขี่ออกไป ปกรณ์มองตามวิรินทร์ แล้วมองสเปรย์ในมือยิ้มพราย
วิรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าแฟลตแห่งหนึ่ง เหมือนมีใครคนหนึ่ง เดินเข้ามาด้านหลัง
วิรินทร์ก้มลงหยิบกระเป๋า และอีกสารพัดถุง ทั้งถุงใส่ยาแก้หอบ ถุงผัก และเนื้อหมูที่ซื้อมา จากตะกร้ารถ
จังหวะนี้มือของผู้ชายคนนั้น กระชากกระเป๋าและถุงของของวิรินทร์ไป ท่าทีเหมือนโจรวิ่งราวชัดๆ
“เฮ้ย”
วิรินทร์มองด้านหลัง พบว่าผู้ชายคนดังกล่าวใส่หมวกปิดหัวพรางหน้า วิ่งหอบของวิ่งไป
วิรินทร์วิ่งตามไม่ทัน จึงถอดรองเท้าปาใส่หัวอย่างแรง และโดนหัวผู้ชายคนนั้นจังๆ จนเขาต้องหยุดวิ่ง เอามือกุมหัวตัวเอง
ที่แท้เป็น เข้ม รุ่นพี่แถวบ้าน ในชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อ เข้มถอดหมวก แล้วหันหน้ามามองวิรินทร์ร้องโอดโอย
“พี่เข้ม”
ระหว่างนี้ สา หญิงวัยกลางคนท่าทางขี้โรค แม่ของวิรินทร์ ถือตะกร้าผ้าที่มีผ้าเพิ่งรีดเสร็จ เดินหัวเราะตามเข้มเข้ามา
“เป็นยังไงล่ะไอ้เข้ม น้าบอกแล้วว่าอย่าเล่นอย่างนั้นกับรินทร์”
“นั่นสิครับน้าสา ผมไม่น่าลืมฤทธิ์ของลูกสาวน้าสา เห็นตัวเท่านี้ มีแค่ ไม้ปั่นหู ยังฆ่าคนได้”
วิรินทร์ทั้งขำทั้งหมั่นไส้ “เว่อร์น่าพี่เข้ม” หญิงสาวหันไปมองสาที่ถือตะกร้าผ้า “แม่” แล้วเข้าไปแย่งตะกร้าผ้ามาถือ “เมื่อกี้รินทร์โทร.มาบอกแล้วไงว่าเดี๋ยวรินทร์เอา เสื้อผ้าไปส่งป้าชม้อยเอง แม่ยิ่งไม่สบายอยู่”
สาแย่งตะกร้าผ้ามาจากวิรินทร์ “ก็เพราะไม่ค่อยสบายน่ะสิ แม่ถึงต้อง ทำงาน ออกมาเจอแดดเจอลมบ้าง ขืนอยู่แต่ในบ้านก็ยิ่งป่วยกันพอดี”
วิรินทร์ไม่ยอมแย่งตะกร้าผ้าจากแม่ “งั้นแม่ไปเดินเล่นสวนสาธารณะโน้น เดินสบายๆ เดี๋ยวรินทร์ส่งผ้าเสร็จ จะทำกับข้าวให้แม่กิน”
สาแย่งตะกร้าผ้าคืนจากลูก “งั้นรินทร์ไปทำกับข้าวเถอะ แม่ส่งผ้าเอง”
เข้มเดินเข้ามาดึงตะกร้าผ้าจากมือแม่และลูกไปถือเอง
“เดี๋ยวผมไปส่งให้เอง บ้านป้าชม้อยอยู่แถวร้านผมอยู่แล้ว แล้วรินทร์ก็ไม่ต้องทำกับข้าวหรอก พี่ซื้อกับข้าวไว้ให้ที่บ้าน รินทร์ใกล้ สอบแล้ว กลับไปพักแล้วอ่านหนังสือซะ”
“ไม่เอา วันนี้พี่เข้มก็อยู่ช่วยแม่รีดผ้าแทนรินทร์ทั้งวันแล้ว รีบไปทำงานเถอะ เดี๋ยวผู้จัดการร้านเค้าก็ไล่ออกหรอก”
“ใครจะกล้าไล่พนักงานดีเด่นประจำเดือนออกก็ให้มันรู้ไป” เข้มว่า
วิรินทร์ถอนใจระอากับความดื้อของเข้ม
ยินเสียงข้อความไลน์เข้ามือถือ วิรินทร์หยิบมาดู เห็นเป็นปกรณ์ก็กดรับ ไม่ทันไรก็มีข้อความจากปกรณ์กระเด้งขึ้นมาว่า
“สวัสดีคุณแม่ค้า เห็นสโลแกนร้านบอกว่า “ร้านนี้ไม่มีอะไรที่แม่ค้าวิรินทร์หาไม่ได้” เราสนใจสั่งซื้อเกม แต่มันเป็นเกมที่หายาก ไม่รู้แม่ค้าจะหาได้อย่างที่โม้ไว้รึเปล่า”
“อ้าว ดูถูกกันนี่” วิรินทร์ยิ้มขำ
“ใครเหรอลูก”
“เพื่อนน่ะค่ะแม่”
วิรินทร์อ่านข้อความปกรณ์ยิ้มๆ เข้มจับตามองอาการของวิรินทร์
เย็นนั้น ปานรุ้งมองธันวาที่เพิ่งรายงานจบลง ด้วยสายตาแข็งกร้าว
“เธอพูดว่ายังไงนะธันวา”
“คนที่คุณหญิงสั่งให้คอยตามคุณวิภาวีโทร.มาบอกว่า คุณวิภาวีไปกรมทางครับ”
“นี่สินะที่เขาบอก ตีงู ตีแค่หลังหักไม่ได้ แต่ต้องตีให้ตาย”
ที่บ้านสมุทรเทวา ปานเทพแต่งสูทหล่อเนี้ยบ เดินออกจากบ้าน คุยมือถือกับวิภาวีไปด้วย
“วันนี้ผมไปกินข้าวกับคุณไม่ได้ คุณบอกว่าเพื่อนคุณบิน จากแอลเอมานี่ คุณไปกินกับเพื่อนคุณก่อนนะวิ ผมต้องไปคุยงานกับนายแม่ต่อจริงๆ”
วิภาวีอยู่ในห้องพักหรูในโรงแรมห้องเดิม คุยสายกับปานเทพ
“ได้ค่ะ คุณไปคุยงานกับนายแม่เถอะ วิเข้าใจ แค่นี้นะคะ”
วิภาวีกดวางสาย แล้วหมุนกลับไปดูตัวเองในกระจก ภาพสะท้อนในกระจก เผยให้เห็นว่าวิภาวีแต่งชุดราตรีสวยเซ็กซี่เตรียมไปงานเลี้ยง ร้อยกรองเดินเข้ามายืนด้านหลังวิภาวี
“หนูวิของย่านี่สวยที่สุด ย่าบอกเลยว่าสวยกว่ายายคุณหนูนั่นอีก”
“วิขอบคุณคุณย่านะคะที่ช่วยไปสืบข่าว ไม่อย่างนั้น วิคงไม่รู้ว่านายแม่พาปานเทพไปออกงานกับยายนั่นคืนนี้” วิภาวีหยิบเงินจากกระเป๋ายื่นให้ร้อยกรอง “นี่ค่ะค่ารถ”
ร้อยกรองแกล้งไม่รับ ทำเป็นอิดออดเพราะหวังจะได้เพิ่มขึ้น “ไม่เป็นไรลูก ที่ย่าทำก็เพื่อความรักของหนูวิกับปานเทพหลานย่า คนอย่างนังปานรุ้งมันไม่เก็บหนูไว้เป็นหอกข้างแคร่หรอก มันต้องหาทางกำจัดหนูเหมือน ที่มันกำจัดชูนามจากชีวิตมัน เพราะฉะนั้น หนูต้องเล่นมันก่อน”
วิภาวีรู้ทันเลยแกล้งจะไม่ให้ “ถ้าคุณย่าไม่รับ งั้นหนูก็ขอบคุณคุณย่ามากๆ ค่ะ”
เห็นวิภาวีจะเอาเงินเก็บคืนใส่กระเป๋า ร้อยกรองจึงรีบคว้าเงินไว้ “ย่ารับก็ได้ กลัวหนูเสียน้ำใจ งั้นเดี๋ยวย่าไปก่อน นัดเพื่อนๆ ไว้ แล้วอย่าลืมเล่าให้ย่าฟังนะว่าตอนที่หนูวิไปปรากฏตัวในงาน ให้ใครต่อใครรู้ว่าหนูวิเป็นแฟนปานเทพตัวจริง นังปานรุ้งทำหน้ายังไง”
วิภาวีคิดถึงนาทีที่ปานรุ้งเห็นตัวเองคืนนี้ ด้วยสีหน้ายิ้มสะใจ
วิภาวีใส่ชุดราตรีสวยเซ็กซ์เดินนวยนาดออกจากล็อบบี้ มายืนรอรถหน้าทางเข้าโรงแรม ทันใดนั้นเอง มีรถตู้ติดฟิล์มมืดทั้งคันขับมาจอดเทียบวิภาวีโดยเร็ว ผู้ชายชุดดำเปิดประตูเดินลงจากรถเข้ามาล้อมกรอบวิภาวีอย่างคุกคาม
วิภาวีมองกลุ่มชายชุดดำอย่างตกใจ หันหลังจะวิ่งหนีเข้าโรงแรม แต่ไม่ทัน ชาย 1ใช้ถุงผ้าสีดำ คลุมหัววิภาวีหมับ ชาย 2 และ ชาย 3 เข้าไปรวบตัววิภาวีเข้ารถตู้โดยเร็ว ปิดประตูอย่างแรง คนขับที่รออยู่ออกรถไปทันที
ไม่นานนักรถตู้แล่นมาจอดริมทางที่เป็นทุ่งโล่ง ทั้งมืดและเปลี่ยว สายตาของวิภาวี มองเห็นแต่ความมืดภายใต้ถุงผ้าสีดำ เธอใช้หูเป็นพาหะ และได้ยินแต่เสียงของผู้ชายพูดสั่งขึ้นว่า
“ลงจากรถ”
“พวกแกจะพาฉันไปไหน ปล่อยฉันนะ ใครก็ได้ ช่วยด้วย”
จู่ๆ ถุงผ้าสีดำที่คลุมหัวถูกเปิดออก วิภาวีปรับสายตา มองไปรอบๆ ตัว เห็นเป็นทุ่งโล่ง มีดงหญ้าเป็นหย่อมๆ ที่ทั้งมืดและเปลี่ยว ไร้บ้านคนอาศัย วิภาวีมองอย่างระแวงและหวาดกลัว
“พวกแกพาฉันมาที่นี่ทำไม พวกแกเป็นใคร ปล่อยฉันไปนะ ฉันสัญญาฉันจะไม่แจ้งตำรวจ ถ้าอยากได้เงิน ฉันให้หมดตัวเลย อย่าทำอะไรฉันเลยนะ”
น้ำเสียงแข็งกร้าวและทรงอำนาจของปานรุ้งดังจากทางด้านหลังวิภาวี
“ถ้ากลัว ก็ไปจากชีวิตลูกชายฉันซะ”
วิภาวีหมุนตัวไปมองตามเสียง เห็นปานรุ้งมองมาด้วยสายตาเย็นชา ชิงชัง รังเกียจสุดจะประมาณ ธันวายืนด้านหลังดูแล
ชายชุดดำ 2 คน ล็อคแขนวิภาวีให้เดินมายืนอยู่ปากหลุมดินที่ขุดทิ้งไว้ กว้างพอจะทำบ่อปลา แต่ยังไม่มีน้ำ ความลึกของหลุมราวครึ่งตัวคน วิภาวีรู้ชะตา ผวาตัว พยายามดิ้นหนี
“ปล่อยฉันนะ”
ปานรุ้งเดินตามเข้ามา โดยมีธันวาตามมายืนด้านหลัง
“เธอไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเธอตกลงไปในหลุมนั่น ฉันรับรองว่าเธอจะไม่ได้อยู่คนเดียว”
วิภาวีกลัวจับใจ “คุณหมายความว่ายังไง”
ปานรุ้งเดินเข้าไปยืนจ้อง พูดใส่หน้าวิภาวี
“เธอไม่ใช่คนแรก ที่ฉันพามาที่นี่ไง”
วิภาวีลนลานกลัวสุดชีวิต พยายามดิ้นหนี
“ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ปานรุ้งจับคางวิภาวีบีบปากให้หยุดร้อง
“วิภาวีที่เก่งกล้าท้าทายฉัน หายไปไหนแล้วละ จำไว้นะ กว่าฉันจะมาถึงตรงนี้ได้ ฉันไม่ได้จับฉลากมา ฉันผ่านมาทั้งหยาดเหงื่อและน้ำตา เพื่อความสุขของลูกฉัน”
“แต่ฉันก็ทำให้ลูกคุณมีความสุขได้”
“เหรอ” ปานรุ้งละมือออกจากการบีบคาง มากระชากชุดเดรสของวิภาวี “นี่เหรอความสุขที่เธอกำลังจะทำให้ลูกฉัน ทำลายชื่อเสียงและเกียรติของเขาต่อหน้าสังคม นี่เหรอความสุข”
ขาดคำ ปานรุ้งผลักวิภาวีลงไปในหลุมโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันคิด รู้ตัวก็เมื่อไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่ก้นหลุมแล้ว
“ไปจากชีวิตลูกชายฉันซะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่ใช่แค่ผลัก แต่จะฝังเธอให้รู้จักความเงียบอย่างแท้จริง”
ปานรุ้งเดินออกไปขึ้นรถทันที นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น จนธันวาขึ้นตามมานั่งถัดจากเธอ
“ถ้าผมไม่รู้จักท่าน เมื่อกี้ผมคงไม่คิดว่าท่านจะทำได้จริงๆ”
“ก็ไม่แน่นะธันวา ตอนที่ฉันขู่เค้า ฉันก็คิดเหมือนกัน ถ้ามีใครมาฉุดลูกฉันลงเหวไปต่อหน้าต่อตา ฉันอาจจะทำอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้”
ปานรุ้งมองผ่านกระจกเห็นหลุมดินที่มีวิภาวีอยู่ในนั้น ด้วยสายตาเลือดเย็นจนน่ากลัว
เวลาผ่านไป งานแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรยังดำเนินไป แต่นิชาในชุดราตรียาวสวยสง่า ปลีกตัวเดินออกจากลิฟท์ตัวที่ลงมายังล็อบบี้ โดยมีนิรมลเดินตามมา
“นิชา ลูกจะไปไหน”
“จะออกไปเดินเล่นข้างนอกค่ะ นิไม่อยากปั้นหน้าว่าสนุก ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรสนุกเลย”
นิรมลพยายามตะล่อมลูก “ถ้านิเบื่อเรื่องเครื่องเพชร ก็คุยกับหนูปานวาด น้องปกรณ์ก็ได้ แม่เห็นนิคุยกับน้องๆ สนุกดีออก ไป...กลับเข้างาน”
นิชารั้งตัวไม่ยอมไปตามแรงดึงของมารดา
“นิไม่ได้เบื่อเรื่องเครื่องเพชร คุณแม่ก็รู้ว่านิไม่สนุก กับอะไร”
นิรมลชักโมโห “นิชา”
“เราไม่มีวิธีอื่นที่จะช่วยแก้สถานการณ์ของบริษัทได้ดีกว่าวิธีนี้เหรอคะ คุณแม่”
ปานรุ้ง และ ปานเทพเดินออกจากลิฟท์ตามสองคนมา ปานรุ้งพูดกับปานเทพว่า
“เห็นไหมปานเทพ แม่บอกแล้วว่าหนูนิชาอยู่ที่นี่” แล้วหันไปพูดกับนิชา “พี่ปานเทพเขาไม่เห็นหนูในงาน เขาถามหาหนูใหญ่เลย”
นิชาขยับจะพูด นิรมลกลัวลูกจะพูดไม่เข้าหู จึงชิงพูดก่อน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ นิชาเขาไม่ค่อยชอบคนเยอะๆ เลยชวนดิฉันไปเดินเล่น”
“เหมือนปานเทพเลยค่ะ รายนี้เพิ่งกลับจากเมืองนอกยังไม่ค่อยรู้จักใคร แอบบ่นเบื่อ...จริงไหมลูก”
ปานเทพเข้าใจทันที “ครับนายแม่” เขาหันมาทางนิชา “งั้นเราไปเดินเล่นด้วยกันไหมครับ”
นิรมลรีบบอกลูกสาว “ไปกับพี่เขาสิลูก น้าฝากน้องด้วยนะจ๊ะ”
นิชาลอบถอนใจ แล้วพยายามยิ้มให้ปานเทพ
ปรกในชุดสูทเนี้ยบกว่าปรกติ เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโรงแรมด้วยความลังเล ว่าจะเข้าไปพิสูจน์ข้อสงสัยในงานดีไหม
ปรกยืนหันรีหันขวางอยู่
จนเสียงมือถือสายเข้าดังขึ้น เขารีบกดรับ “ว่ายังไงวาด”
“พี่ปรกมาถึงรึยัง วาดกับปกรณ์รอเม้าท์เรื่องแฟนพี่ปานเทพอยู่”
มีเสียงปกรณ์ที่แย่งปานวาดพูดดังตามมา “แฟนพี่ปานเทพสวยมากเลยพี่ปรก”
ปรกอ้ำอึ้ง กระอึกกระอัก
“พี่ยังไม่ถึงในงานเลย เราสองคนพูดบิวท์จนพี่อยากเห็นหน้าแฟนใหม่พี่ปานเทพเลย งั้นแอบถ่ายรูปเขามาให้พี่ดูหน่อยสิ”
เสียงปานวาดดังลอดจากในมือถือว่า “ไม่รู้พี่นิชาหายไปไหน พี่ปานเทพก็ไม่อยู่”
ขณะฟังเสียงน้องสาวอยู่นั้น ปรกก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นปานเทพเดินออกจากโรงแรมพร้อมนิชา สองคนเดินคุยกัน ยิ้มให้กัน ออกมาทางสวน อย่างสนิทสนม
ตรงจุดที่ปรกยืนอยู่สามารถมองเห็นปานเทพกับนิชา แต่สองคนไม่เห็นปรก
เสียงปกรณ์ดังลอดจากมือถือ ขณะที่ปรกตะลึงตะไลอยู่
“สองคนนั้นออกไปคุยนอกรอบ นอกงานแน่ๆ เลยพี่ปรก”
ปรกอึ้ง ตัวชา เผลอลดมือถือลง และไม่ได้ยินเสียงปานวาดกับปกรณ์พูดอีกเลยสักคำ ปรกจดสายตามองเห็นนิชาเดินไม่ถนัดในชุดราตรี สะดุดจะล้ม ปานเทพเข้าไปโอบเอวนิชาไว้
ปรกทนดูต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจหันหลัง เดินพาตัวเองและหอบหัวใจดวงร้าวออกไปพ้นๆ จากที่ตรงนั้นโดยไว
อ่านต่อตอนที่ 13