xs
xsm
sm
md
lg

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 2

ท่ามกลางความตื่นตกใจของแขกที่เห็นเหตุการณ์ ชัชวาลได้สติก่อนใครจะถลาเข้าไปช่วยปานรุ้ง แต่ถูกลินินกับเพื่อนผู้ชาย 2 คน โผล่เข้ามาจับแขนล็อกเอาไว้

“อยู่ตรงนี้แหละชัชวาล ปล่อยให้นิสาเคลียร์เอง”
ชัชวาลไม่สนใจลินินดึงดันจะเข้าไปช่วยปานรุ้งให้ได้ แต่โดนเพื่อนผู้ชายของลินินยึดแขนไว้แน่น
ส่วนนิสายังไม่หนำใจ หันไปคว้าแก้วแชมเปญจากพนักงานเสิร์ฟที่อยู่ใกล้สุดมาสาดใส่หน้าปานรุ้ง
ทุกคนตกใจร้อง “เฮ้ย” ร้อง “ว้าย” กันไป

เกื้อจะพุ่งเข้าไปห้ามนิสา แต่วาสุเทพวิ่งแซงทุกคนเข้าไปดึงแขนนิสาให้ออกห่างจากปานรุ้งอย่างปกป้อง
เกื้อมองวาสุเทพจำได้ว่าคือคนที่ช่วยปานรุ้งที่โปโล เขาสงสัยว่าทำไมวาสุเทพมาอยู่ที่นี่
“คุณทำอะไรเนี่ย ใครก็ได้ เอาตัวผู้หญิงคนนี้ออกไป” วาสุเทพกอดปานรุ้งไว้ทั้งตัว
“ฉันไม่ไป จนกว่าจะได้ตบนังนี้ให้สะใจก่อน”
นิสาถลันเข้าไปหมายจะตบปานรุ้ง เกื้อวิ่งเข้าดึงตัวนิสาไว้
“อย่านะครับ”
นิสาพยายามดิ้นหนี ผลักเกื้อให้ออกไป “ปล่อยฉันนะ ได้ข่าวว่าตกม้าแขนหัก ไหนล่ะเฝือก อย่าบอกนะว่าเอาเฝือกออกแล้ว คนแขนหักจริงๆ เขาเข้าเฝือกกันเป็นเดือน ไม่ใช่วันสองวันแบบนี้” นิสาอาละวาดหนักหันไปทางชัชวาล “เห็นไหม ว่านังนี่โกหกคุณ”
ปานรุ้งแหวใส่ “ฉันไม่ได้โกหก”
นิสาเหลียวขวับมองปานรุ้งอย่างโกรธแค้น
“ไม่ได้โกหกใช่ไหม”
โดยไม่มีใครคาดคิด นิสาผลักเกื้อออกไปชนวาสุเทพสุดแรงเกิด สองหนุ่มเสียหลักชนโต๊ะใกล้ๆ ล้มลงไปกับพื้น และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง นิสาพุ่งไปกระชากมือข้างที่เคยเข้าเฝือกของปานรุ้งกระแทกกับพื้นอย่างแรง 2-3 ครั้งรัวๆ เพื่อโชว์ว่าปานรุ้งไม่ได้แขนหัก
“ไหนล่ะแขนหัก...ไหนล่ะแขนหัก...ไหนล่ะแขนหัก”
ปานรุ้งร้อง “โอ้ย ปล่อยฉันนะ ฉันเจ็บ”
“เลิกมารยาสาไถสักที ทำเป็นอ่อนแอ ตีหน้าใสซื่อ ที่แท้ก็สร้างเรื่องเพื่อแย่งผัวชาวบ้าน”
ขณะเกื้อกับวาสุเทพยันตัวจะลุกขึ้นไปช่วยปานรุ้ง กติยาเดินถือแก้วแชมเปญมาสาดใส่หน้านิสาจังๆ
นิสากรี๊ดใส่กติยา “แอร๊ย...แกมาสาดหน้าฉันทำไม นังบ้า”
วาสุเทพ และเกื้อมองกติยาอย่างคาดไม่ถึง
วาสุเทพครางชื่อกติยา “ยา” อย่างคนรู้จักกันดี
เกื้อชะงัก มองวาสุเทพที่รู้จักกติยาด้วย
กติยาด่านิสา “เธอจะได้มีสติไง เลิกเป็นหมาบ้าสักที”
“แค่นี้ ยังไม่เรียกว่าหมาบ้าหรอก”
นิสาสะบัดแขนจากเก้อ แล้ววิ่งขึ้นไปแย่งไมค์จากพิธีกรบนเวที
“Attention please ฉันมีข่าวดีมาบอกผู้ชายที่มาในงานนี้เพื่อหวังจะดอมดมนังปานรุ้ง ที่คิดว่าต้องลงทุนมากกว่าจะได้แตะ คิดผิดค่ะ อย่างนังนี่ ถ้าพอใจ...แค่น้ำเปล่าแก้วเดียว มันก็ไปกับคุณแล้ว...”
เกื้อกระโจนเข้าไปแย่งไมค์มาได้ แล้วดึงแขนนิสาฉุดลากไป “ไปกับผม”
อีกมุมหนึ่งของสนาม คมขวัญกับปริญญารีบรุดเข้ามาในจุดเกิดเหตุด้วยสีหน้าตกใจ
“นี่มันอะไรกัน”
เกื้อลากนิสาลงจากเวทีมา แต่นิสายังแหกปากตะโกนพูดแฉปานรุ้งไม่หยุด
“มันไม่ใช่นักเรียนนอกใสซื่อ มันคือนังลวงโลก บอกคนอื่นว่าเรียนบริหาร ที่แท้ก็เรียนดีไซเนอร์เรียนไม่จบ วันๆ เอาแต่แต่งตัว ช็อปปิ้ง มั่วผู้ชาย”
คมขวัญฟังแล้วแทบช็อก อึ้งตะลึงงัน
“อะไรนะ” พลางมองลูกสาวอย่างไม่อยากเชื่อ
ปานรุ้งเห็นคมขวัญมองมาอย่างคาดคั้น และเห็นสายตาแขกในงานมองมาเป็นตาเดียวกัน เธอรู้ว่าถ้าหากลุกขึ้นมาเถียงกับนิสา ตัวเองก็จะมีแต่เสียกับเสีย จึงพลิกเกมเล่นบทโศก ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วแกล้งเดินกระเผลกๆ ร้องไห้ออกจากงานไป
วาสุเทพเป็นห่วงปานรุ้งจับใจ “คุณรุ้ง”
“รุ้ง” คมขวัญจะเดินตามลูก แล้วจู่ๆ วูบขึ้นมา ร่างซวนเซไป หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม
น้อยกับปริญญาเห็น น้อยรีบเข้าไปประคองคมขวัญไว้ กติยามองคมขวัญที่จะเป็นลม แล้วละสายตาไปมองปานรุ้งด้วยความสงสาร
“พี่เทพ ช่วยไปดูรุ้งทีเถอะค่ะ เดี๋ยวยาจัดการทางนี้ก่อน แล้วจะตามไป”
วาสุเทพรีบวิ่งตามปานรุ้งไปทันที กติยาเดินขึ้นเวที แล้วคว้าแขนนิสาหมับช่วยกันกับเกื้อ
“เธอไปกับฉัน”
กติยาโกรธมาก ลากแขนนิสาด้วยพลังอันมหาศาล จนนิสายังสู้ไม่ได้

ชัชวาลเดินตามกติยากับนิสา เพื่อไปเอาเรื่องนิสา

เกื้อและกติยาช่วยกันลากตัวนิสาแล้วเหวี่ยงออกไปหน้ารั้วบ้านสมุทรเทวา จนนิสาล้มลงกับพื้นถนน

ชัชวาลเดินตามมา เห็นลินินกับเพื่อนวิ่งเข้าไปประคองนิสาขึ้นมา
นิสาโกรธจะเข้าไปทำร้ายกติยา “แก”
ชัชวาลคว้ามือนิสาไว้ “กลับไปบ้านได้แล้ว”
“ไม่กลับ”
“ตามใจ อยากจะบ้าก็บ้าไป แต่อย่าเอาชื่อผมไปเกี่ยว พอกันที ระหว่างผมกับคุณ จะไม่มีแม้แต่คำว่าเพื่อน”
ชัชวาลเดินออกไปทันที
นิสามองตามชัชวาล โกรธสุดขีด “ชัช กลับมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ถ้าคุณอยากให้ผู้ชายกลับมา ก็ตั้งสติ แล้วทำตัวให้เป็นคน”
นิสาหันมาพูดใส่หน้ากติยา “ไม่ต้องมาสอนฉัน ระวังตัวเองให้ดีเถอะ เพื่อนแกมันยิ่งกว่ามือตุ๊กแก อยู่ใกล้ผู้ชายคนไหน ก็จับไม่ปล่อย ไม่เชื่อก็คอยดู”
นิสาเดินไปพร้อมกับลินินและเพื่อน กติยามองตามอย่างระอา ก่อนจะหันมาหาเกื้อ
“ไปดูรุ้งกันเถอะเกื้อ” แล้วเดินนำ กลับไปในตึก
เกื้อยังคาใจเรื่องที่กติยากับวาสุเทพรู้จักกัน เขารีบเดินไปถามเรื่องคาใจจากกติยา
“เอ่อ คุณยารู้จักกับคุณวาสุเทพด้วยเหรอครับ”
กติยาหันมายิ้มให้เกื้อ “รู้สิ ก็พี่เทพเป็นคู่หมั้นฉัน”
เกื้อชะงัก “คู่หมั้น”
แล้วเกื้อก็หวนคิดถึงเหตุการณ์ในโปโลคลับ ซึ่งตอนนั้นปานรุ้งยังคงมองไปทางวาสุเทพเดินไป แล้วหันมาพูดกับน้อยและเกื้อด้วยอาการเพ้อฝัน
“น้อย เกื้อ รู้จัก Love at first sight ไหม”
คิดแล้วเกื้อเครียดขึ้นมาทันควัน เมื่อคิดไปว่าหากปานรุ้งรู้ว่าผู้ชายที่เธอปลื้มเป็นคู่หมั้นกติยา จะรู้สึกยังไงหนอ
“คุณหนู”

ปานรุ้งวิ่งกระเผลกๆ ร้องไห้เข้าบ้านมา วาสุเทพวิ่งตามเข้ามา
“คุณรุ้ง”
ปานรุ้งชะงัก ดีใจที่รู้ว่าวาสุเทพตามมาดูแล แต่เก็บอาการดีใจไว้ ยืนร้องไห้รอจนวาสุเทพเดินมาจนใกล้ วาสุเทพเดินมายืนเคียงข้าง มองปานรุ้งด้วยสายตาห่วงใย
“คุณรุ้งเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
ปานรุ้งสะอื้นไห้ “ไม่เป็นไรค่ะ”
วาสุเทพมองปานรุ้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้าแล้วยิ่งสงสาร เดินเข้ามาใกล้ๆปานรุ้ง แล้วก้มลงมองที่ข้อเท้าปานรุ้ง
ปานรุ้งก้มหน้ามองวาสุเทพที่ดูห่วงใยตัวเอง ปานรุ้งก็ยิ่งปลื้มใจ
“เจ็บมากไหมครับ”
ปานรุ้งแกล้งทำหน้าเหยเก “ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวคุณรุ้งนั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมไปหาน้ำแข็งมาประคบให้”
วาสุเทพเดินเข้าไปด้านในครัว ปานรุ้งมองตามวาสุเทพด้วยสายตายิ้มๆ
เกื้อกับกติยาเข้ามาพอดี เกื้อมีสีหน้าเครียด เพราะรู้เรื่องวาสุเทพเป็นคู่หมั้นกติยาแล้ว
“รุ้ง เป็นยังไงบ้าง ไหนบอกมาสิว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
ปานรุ้งเบะปากอย่างไม่ยี่หระ “ก็แค่ผู้หญิงโดนผู้ชายทิ้งแล้วมาโทษว่าเป็นเพราะรุ้ง แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ มีเรื่องอื่นที่รุ้งอยากบอกกับยาจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว”
กติยาเป็นห่วงและกังวลไม่คลาย “มีอะไรเหรอรุ้ง”
“ยาเชื่อเรื่อง Love at first sight ไหม”
เกื้อมองปานรุ้ง รู้ทันว่าเธอจะเล่าเรื่องวาสุเทพให้กติยาฟังแน่ เกื้อคิดว่าต้องรีบหาทางบอกปานรุ้งว่าวาสุเทพเป็นคู่หมั้นกติยา ก่อนที่ปานรุ้งจะบอกว่าชอบวาสุเทพออกมา
กติยามองปานรุ้งงงๆ

“รักแรกพบน่ะเหรอ นี่รุ้งไปแอบปิ๊งใครมาเหรอ รีบเล่ามาสิ”

ขณะปานรุ้งอ้าปากจะเล่า เกื้อรีบพูดขัดก่อน

“คุณยาครับ คุณหิวไหมครับ ผมเห็นคุณยายังไม่ได้ทานอะไรเลย ออกไปหาอะไรทานก่อนไหมครับ”
ปานรุ้งหงุดหงิด “นี่เกื้อ ไม่เห็นเหรอว่ายาคุยกับฉันอยู่ เธอก็ออกไปหาอะไรมาให้ยากินสิ” แล้วหันไปทางกติยา “เมื่อสามวันก่อน รุ้งไปหาเพื่อนที่โปโล แล้วไปเจอชัชวาลจนมีเรื่องกับผู้หญิงสติแตกนั่น พอรุ้งไปขี่ม้า ยายบ้านั่นมาจุดประทัดให้ม้ารุ้งตกใจ”
กติยาตกใจ “จริงเหรอ แล้วรุ้งก็เลยตกม้ามาแขนเจ็บเหรอ”
“เปล่า รุ้งเกือบจะตกเหมือนกัน แต่ดีที่...”
ปานรุ้งจะพูดชื่อวาสุเทพแล้ว เกื้อรีบชิงพูดขัดอีก
“คุณหนูครับ ถ้าคุณหนูดีขึ้นแล้ว คุณหนูออกไปทักทายเพื่อนๆ ไหมครับ เมื่อกี้ผมเห็นเพื่อนๆ ถามหาคุณหนู”
ปานรุ้งชักสีหน้าใส่เกื้ออย่างรำคาญ “เสียมารยาทจังเกื้อ เธอจะไปไหนก็ไปเลย” เกื้อจ๋อย ยิ่งเครียด ปานรุ้งหันไปพูดกับกติยาต่อ “ดีที่รุ้งมี Super hero มาช่วยไว้ทัน”
กติยาตื่นเต้น “Super hero เหรอ”
ปานรุ้งตื่นเต้นกว่า “ใช่ เขาขี่ม้าขาวกระโดดข้ามรั้วคอกม้ามาช่วยรุ้ง อย่างกับเจ้าชายมาช่วยเจ้าหญิงแน่ะ แล้วที่สำคัญนะ เขารู้จักชื่อรุ้งด้วย”
“จริงเหรอ แล้วเขารู้ชื่อรุ้งได้ยังไงล่ะ” กติยาตื่นเต้นอีก “หรือว่าเขาชอบรุ้ง เลยแอบสืบชื่อรุ้งมา”
เกื้อรู้ทันทีว่าวาสุเทพรู้ชื่อปานรุ้งจากกติยานั่นเอง
ปานรุ้งเขิน “รุ้งไม่อยากจะคิดอย่างนั้นหรอก มันดูเข้าข้างตัวเองเกินไป จนกระทั่งคืนนี้น่ะสิยา”
กติยาพลอยตื่นเต้นไปกับท่าทีปานรุ้ง “คืนนี้มีอะไร อย่าบอกนะว่าเขามางานด้วย”
ปานรุ้งเขิน “ใช่”
กติยากรี๊ด “อ๊าย จริงเหรอ เขาอยู่ไหนล่ะ แล้วรุ้งรู้จักชื่อเขารึเปล่า”
เกื้อมองปานรุ้งหน้าเครียด ไม่อยากให้ปานรุ้งพูดชื่อวาสุเทพ รีบชิงพูดแทรก
“ผมว่าผมได้ยินเสียงคุณนายเรียกคุณยานะครับ”
“เรียกตอนไหน ฉันไม่เห็นได้ยินเลยเกื้อ” ปานรุ้งไม่พอใจที่เกื้อคอยขัดตลอดเวลา
“คุณป้าอาจจะเรียกจริงๆ แต่เราไม่ได้ยินก็ได้ งั้นเดี๋ยวยาออกไปดูก่อนนะ”
กติยาลุกเดินไป เกื้อลอบถอนใจโล่งอก แต่แล้วกติยาตัดสินใจเดินย้อนกลับมาหาปานรุ้ง
“มันคาใจ อยากรู้ว่าฮีโร่ของรุ้งเป็นใคร ไหนบอกชื่อเขามาสิ”
ปานรุ้งยิ้มชื่น “เขาชื่อ”
เกื้อแทรกขึ้นทันที “คุณหนูครับ...” แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ วาสุเทพเดินเข้ามา
ในมือถือชามโคมใส่น้ำแข็งกับผ้าผืนเล็กมาด้วย ปานรุ้งเห็นก่อนใครยิ้มดีใจ และกำลังจะอ้าปากเรียก
จังหวะนั้นกติยาหันไปเห็นวาสุเทพพอดี และเรียกชื่อออกมาก่อน
“อ้าว พี่เทพ ไปไหนมาคะ”
วาสุเทพชะงักชั่วครู่ “เอ่อ พี่ไปเอาน้ำแข็งมาประคบขาให้คุณรุ้งมาน่ะจ้ะ”
ปานรุ้งประหลาดใจมากที่สองคนรู้จักกัน มองกติยาที มองวาสุเทพทีอย่างอึ้งๆ งงๆ จนเมื่อได้สติจึงถามไปว่า
“นี่ยารู้จักกับคุณ...” ปานรุ้งมองไปยังวาสุเทพ
กติยาเขิน “อุ๊ย ยาลืมแนะนำให้รุ้งรู้จักพี่เทพ รุ้งจ๊ะ นี่พี่เทพ เรือโทวาสุเทพ นทีพิทักษ์ คู่หมั้นยาเองจ้ะ”
ปานรุ้งตะลึงตะไล “คู่หมั้น” เธอมองไปที่วาสุเทพ อีกฝ่ายมองตอบมาด้วยท่าทีอึกอักและอึดอัด
เกื้อมองปานรุ้ง ทั้งสงสาร เห็นใจ และเป็นห่วงคุณหนูของเขาเหลือเกิน
ปานรุ้งเรียกสติกลับมาแล้วยิ้มให้วาสุเทพ
“ที่แท้ คุณวาสุเทพเป็นคู่หมั้นของยานี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะคะ”
วาสุเทพยื่นมือจะเช็คแฮนด์อย่างที่เคยทำตอนเจอกันครั้งแรก แต่ครั้งนี้ปานรุ้งกลับยิ้มนิ่งๆ ไม่ยอมจับมือด้วย ทำเอาวาสุเทพเก้อไปเลย
“รุ้งเข้ามาข้างในนานแล้ว เดี๋ยวรุ้งออกไปอธิบายให้เพื่อนๆ ฟังก่อนนะ” ปานรุ้งออกตัว
“แล้วตกลง Superhero ของรุ้งชื่ออะไรจ๊ะ”
ปานรุ้งยังไม่ทันได้ตอบกติยา เธอลุกขึ้นมาก่อน แล้วหน้ามืดซวนเซเหมือนคนจะล้มลง วาสุเทพอยู่ใกล้สุดรีบเข้ามาพยุงปานรุ้งไว้
ทว่าปานรุ้งจงใจเบี่ยงแขนตัวเองออกจากมือของเขา ต้องการแสดงให้เรือโทหนุ่มเห็นว่า “อย่ามายุ่ง กับฉัน เราไม่เหมือนเดิม ฉันโกรธ ฉันน้อยใจ”
วาสุเทพชะงักรับรู้กิริยาจงใจนั้น มองปานรุ้งเป็นคำถาม
ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยสายตาโกรธขึ้ง แล้วหันหน้าหนีไปมองทางกติยา
“Superhero ของรุ้งเขาชื่อ...” เธอยักท่า จดสายตามองวาสุเทพบอกไปว่า “...อันตรธานจ้ะ”
กติยาฉงน “อันตรธาน”
“ใช่ อันตรธาน ที่แปลว่า หายไป”
ปานรุ้งเดินเชิดหน้าผ่านวาสุเทพออกไปราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ เกื้อรีบตามไป
วาสุเทพมองตาม รู้ว่าปานรุ้งโกรธตัวเองมาก

ปานรุ้งเดินลิ่วๆ ออกมาที่มุมสวนหลังตึก เพื่อสยบความโกรธที่เกิดจากความรู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง ที่แอบคิดว่าวาสุเทพชอบตัวเอง
เกื้อเดินตามมามองปานรุ้งอย่างเป็นห่วง
“คุณหนุอยากดื่มอะไรไหมครับ”
ปานรุ้งเหลียวขวับมาหา “เธอรู้ใช่ไหมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เธอถึงคอยพูดขัดฉันกับยา”
เกื้ออึกอักอยู่ขณะหนึ่ง “ครับ”
“ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่อย่างนี้มาก่อนเลยจริงๆ ไม่น่าคิดอะไรเป็นตุเป็นตะอย่างนั้นได้เลย น่าโมโหที่สุด”
เกื้ออยากปลอบประโลม “คุณหนูครับ...”
ปานรุ้งบอกทันที “ไปเอาเครื่องดื่มมาให้ฉันที ไป”
เกื้อก้มหน้ารับคำ ในใจอยากพูดปลอบปานรุ้งมากกว่านี้ “ครับ”
เกื้อเดินพ้นตัวไปแล้ว
วาสุเทพเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลัง ปานรุ้งคิดว่าเป็นเกื้อที่ยังยืนอยู่ข้างหลังตัวเองจึงหันมาพูดตวาด
“ฉันบอกให้ไปเอาเครื่องดื่มมาไง” พอเห็นว่าเป็นใครก็ชะงักน้ำเสียงแปรเป็นเยาะหยัน
“คุณวาสุเทพ คู่หมั้นของเพื่อนรุ้งนี่เอง แล้วยาไปไหน ล่ะคะ”
“ยาไปเอาเครื่องดื่มน่ะครับ”
ปานรุ้งเหน็บแนม “คุณก็เลยเดินมาคุยกับผู้หญิงอีกคน ทำตัวเหมือนไม่มีคู่หมั้น
อย่างนั้นเหรอคะ”
วาสุเทพพยายามอธิบาย “คุณรุ้งครับ”
ปานรุ้งรู้ทันรีบพูดสวนออกมา “อย่าเพิ่งค่ะ ให้รุ้งเดาก่อน ว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกว่า คุณเป็นคู่หมั้นของเพื่อนรุ้ง อาจเป็นเพราะวันนั้นคุณอยู่ในเหตุการณ์ ที่คู่หมั้นชัชวาลเอาเรื่องรุ้ง คุณเลยอยากพิสูจน์ว่ารุ้งเป็นผู้หญิงง่ายๆ จริงรึเปล่า เลยเข้ามาช่วยรุ้ง ให้รุ้งประทับใจ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ...”
ปานรุ้งขัด “อย่าเพิ่งค่ะ ให้รุ้งเดาอีกข้อ สมมุติว่าคุณรู้สึกดีกับรุ้ง คุณเลยเข้ามาช่วยรุ้ง โดยที่คุณคิดว่าคุณคบรุ้งพร้อมๆ กับคบยาได้ แต่วันนี้แผนดันพลาด”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณรุ้ง...”
“อย่าเพิ่งค่ะ รุ้งขอเดาเป็นข้อสุดท้าย ความจริงคุณไม่ได้คิดอะไร คุณไม่ได้ตั้งใจปิดบังอะไรรุ้ง แต่รุ้งไม่ทันฟังคุณพูด แล้วรุ้งก็คิด จินตนาการไปเอง” ปานรุ้งมองวาสุเทพสีหน้าจริงจัง “คำตอบคือข้อไหนคะ”
วาสุเทพมองปานรุ้ง จะพูดอธิบาย แต่กติยาเดินถือแก้วน้ำเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“รุ้งจ๊ะ คุณป้าเรียกรุ้งไปหาในห้องสมุดน่ะ”
ปานรุ้งเหลือบมองวาสุเทพแว่บหนึ่ง แล้วเดินผ่านไปเลย
กติยามองตามปานรุ้งอย่างเป็นห่วง
“เราไปรอรุ้งหน้าห้องสมุดกันเถอะค่ะพี่เทพ ยาว่าคราวนี้รุ้งคงโดนหนักแน่”

วาสุเทพมองไปทางปานรุ้งห่วงมากไม่ต่างกัน

อ่านต่อหน้า 2

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 2 (ต่อ)

คมขวัญนั่งข่มอารมณ์รออยู่ที่โต๊ะทำงานภายในห้องสมุด ปานรุ้งเดินเข้าบ้านมา เห็นคมขวัญ แล้วทำเป็นนิ่ง

“ทำไมรุ้งถึงโกหกแม่”
ปานรุ้งชะงักนิดเดียว แล้วตอบอย่างไม่มีความรู้สึกกลัวคมขวัญ
“รุ้งไม่ได้โกหกแม่นะคะ รุ้งจำได้ว่าตั้งแต่กลับมา รุ้งยังไม่ได้บอกแม่สักคำว่ารุ้งจบบริหาร มีแต่แม่พูดเอง”
คมขวัญพยายามข่มอารมณ์ “อย่ามาย้อนแม่ ที่แม่พูด แม่ต้องการคำอธิบาย”
“ก็ไม่มีอะไรมาก รุ้งเรียนไม่ไหว เรียนบริหารน่าเบื่อ เรียนแฟชั่นสนุกกว่า”
คมขวัญชักโกรธ “แม่ส่งให้ไปเรียนเพื่อมาช่วยงาน ไม่ใช่ให้ไปแสวงหาความสนุก
ของตัวเอง ทำไมทำอะไรถึงไม่คิดถึงคนอื่น ทำไมเห็นแก่ตัวอย่างนี้”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่คะ ในเมื่อไม่เคยมีใครเห็นแก่รุ้ง รุ้งก็ต้องรักและเห็นแก่ตัวเองอย่างนี้แหละค่ะ”
“ทำไมรุ้งถึงคิดอย่างนี้”
ปานรุ้งระเบิดความคิด ความรู้สึกออกมา “ก็เพราะแม่ไงคะ! แม่จำได้ไหม ตั้งแต่พ่อเสีย...แม่คุยกับรุ้งกี่คำต่อวัน...แม่กินข้าวกับรุ้งกี่ครั้งต่อเดือน...แม่กอดรุ้งกี่ครั้งต่อปี”
คมขวัญชะงักงัน “รุ้ง...”
“แม่คงจำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะในความทรงจำของแม่ แม่มีแต่เรื่องของน้องเปี่ยมขวัญ เสียดายนะคะที่น้องเปี่ยมขวัญด่วนจากไปซะก่อน ไม่อย่างนั้น น้องคงทำทุกอย่างอย่างที่แม่หวังได้ อ้อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าน้อง คงทำได้ทุกอย่างอย่างที่น้องต้องการ ไม่ว่าน้องอยากทำอะไร แม่ก็หาให้ได้ จัดการให้หมด แต่คนอย่างปานรุ้ง แม่ไม่ต้องถาม แค่สั่งๆๆ เพราะรุ้งเก่ง รุ้งต้องทำได้”
“พอเถอะปานรุ้ง เลิกประชดแม่สักที จะไปไหนก็ไป แล้วแม่จะหาคนมาสอนงาน ยังไงรุ้งต้องดูแลบริษัทนี้ต่อจากแม่”
ปานรุ้งถอนสายบัวประชด “เจ้าค่ะ นายแม่”
พูดจบแล้วเดินเชิดหน้าออกไปทันที คมขวัญลุกตาม

กติยากับวาสุเทพ รวมทั้งปริญญา และ น้อย ยืนออรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้องสมุด กติยามีท่าทางเป็นห่วงปานรุ้งมากกว่าใคร
สักครู่ทุกคนเห็นปานรุ้งเดินออกมา มีคมขวัญเดินตามปานรุ้งออกมา
“อย่าเรียกแม่อย่างนั้นนะ”
ปานรุ้งหยุด หันมายิ้มหยันพูดเยาะเย้ยคมขวัญ “ทำไมล่ะคะ รุ้งชอบจะตาย ฟังแล้วดูมีอำนาจ นายแม่...นายแม่...นายแม่ มันย้ำเตือนดีว่ารุ้งต้องเชื่อฟังนายแม่ เพราะนายแม่เป็นเจ้าชีวิตรุ้ง”
คมขวัญเสียใจเหลือเกินแล้ว พยายามจะอธิบาย “แม่ไม่เคย...”
ปานรุ้งรีบพูดสวนออกมา “มีอะไรจะสั่งให้รุ้งทำ ก็บอกเลขาของนายแม่จดรายการมานะคะ แล้วถ้ารุ้งมีเรื่องอะไรจะคุยกับนายแม่ รุ้งจะนัดคิวล่วงหน้ากู้ด ไนท์ ค่ะ”
ปานรุ้งเดินคอแข็งออกจากบ้านไป กติยา วาสุเทพ ปริญญา และน้อย มองปานรุ้งที มองคมขวัญที
คมขวัญเอ่ยขึ้น “กติยา ช่วยไปดูรุ้งให้ป้าทีนะ”
“ได้ค่ะ” กติยาหันไปทางวาสุเทพ “ไปกันค่ะพี่เทพ”
สองคนเดินออกไป
คมขวัญมองตามหลังปานรุ้งไปด้วยสายตาอันเจ็บปวดสุดจะประมาณ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องสมุดไปเงียบๆ ปริญญาตามเข้าไป

คมขวัญเดินมานั่งลงอย่างหมดแรงที่โซฟาในห้องสมุด ปริญญายืนมองอยู่ข้างๆ อย่างเข้าใจ และเห็นใจ
คมขวัญคิดถึงเหตุการณ์ที่ทะเลาะกับลูกสาวเมื่อครู่
“แม่ส่งให้ไปเรียนเพื่อมาช่วยงาน ไม่ใช่ให้ไปแสวงหาความสนุกของตัวเอง ทำไมทำอะไรถึงไม่คิดถึงคนอื่น ทำไมเห็นแก่ตัวอย่างนี้”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่คะ ในเมื่อไม่เคยมีใครเห็นแก่รุ้ง รุ้งก็ต้องรักและเห็นแก่ตัวเองอย่างนี้แหละค่ะ”
“ทำไมรุ้งถึงคิดอย่างนี้”
“ก็เพราะแม่ไงคะ แม่จำได้ไหม ตั้งแต่พ่อเสีย แม่คุยกับรุ้งกี่คำต่อวัน”
คำพูดคำนั้น ดึงคมขวัญกลับเข้าไปในอดีต

ในปี 2508 หลังคุณพิรุณ ผู้เป็นสามีเสียชีวิต คมขวัญคลอดลูกสาว ตั้งชื่อให้ว่า เปี่ยมขวัญ ทารกน้อยอายุได้ 8 เดือนแล้ว
วันนั้น ปานรุ้งเล่นสะดุดล้ม จนหัวเข่าเลือดออก น้อยมาดูปานรุ้ง
ระหว่างนี้ กอบขับรถมาจอดหน้าตึก แล้วเกื้อเด็กชายตัวผอมดำวิ่งมาเปิดประตูให้คมขวัญ
คมขวัญในชุดแต่งกายดูภูมิฐาน มาดผู้หญิงทำงาน ลงจากรถรีบร้อนเข้าบ้านเพราะห่วงเปี่ยมขวัญ
ปานรุ้งเห็นแม่ก็ดีใจ ลุกขึ้นเดินกระเผลกๆ จะไปให้แม่ปลอบใจ แต่แล้วพี่เลี้ยงก็อุ้มเปี่ยมขวัญเข้ามาหาคมขวัญ พร้อมกับบอกว่าทารกหญิงมีไข้ นั่นทำให้คมขวัญรีบยกมือห้ามปานรุ้งไม่ให้เข้ามา ด้วยในความคิดกลัวลูกสาวคนโตจะติดไข้
“รุ้งอย่าเข้ามา เนื้อตัวสกปรก รีบไปอาบน้ำซะ” พลางหันไปทางน้อย “น้อย พาคุณรุ้งไปให้คนทำแผลด้วย”
คมขวัญรีบอุ้มเปี่ยมขวัญเข้าบ้านไป

ปานรุ้งมองตามแม่ตาละห้อย

อีกคำพูดของปานรุ้งที่ทำเอาคมขวัญสะท้อนในอก

“แม่กินข้าวกับรุ้งกี่ครั้งต่อเดือน”
ประมุขสมุทรเทวา หวนนึกถึงเหตุการณ์ใน ปี พ.ศ 2508
เวลานั้นคมขวัญเดินผ่านมาทางห้องอาหาร มองจากประตูที่เปิดแง้มอยู่ พบว่าปานรุ้งนั่งโดดเดี่ยวกินข้าวอยู่คนเดียวท่ามกลางโต๊ะอาหารที่กว้างใหญ่ มีอาหารน่าทานเต็มโต๊ะ เห็นและรับรู้ความเดียวดายของลูกสาว คมขวัญจะเข้าไปหา แต่แล้วชะงักเท้า ด้วยคิดไปเองว่าปานรุ้งกินคนเดียวได้ และมีน้อยคอยดูแล จึงเดินไปทางห้องเปี่ยมขวัญ

คมขวัญหวนคิดถึงคำพูดปานรุ้งที่ว่า
“แม่กอดรุ้งกี่ครั้งต่อปี”
ถัดมาน้อยประคองปานรุ้งที่เข่าติดพลาสเตอร์ยา และเดินกระเผลกเข้ามาในห้องคมขวัญ หวังจะให้คมขวัญปลอบใจ แต่ปานรุ้งเห็นคมขวัญกำลังกอดเปี่ยมขวัญและป้อนยาให้เปี่ยมขวัญที่นอนในอ้อมแขน
คมขวัญเห็นปานรุ้งก็รีบยกมือห้าม ก่อนจะโบกมือให้ออกไป
“อย่าเพิ่งเข้ามารุ้ง”
“แต่รุ้งอาบน้ำตัวสะอาดแล้วนะคะแม่” เด็กหญิงบอก
“นั่นแหละ ออกไปก่อน” คมขวัญหันไปตะโกนเรียกน้อย “น้อย! บอกยายปิ่น หาข้าวหาปลาให้คุณรุ้งกินด้วย”
คมขวัญอุ้มเปี่ยมขวัญเดินห่างไปจากปานรุ้งทันที
ปานรุ้งมองคมขวัญที่เฝ้ากอดเปี่ยมขวัญอย่างทะนุถนอมด้วยสายตาทั้งน้อยใจ และไม่พอใจ

อีกคำพูดระบดระบายของปานรุ้งที่กรีดเฉือนหัวใจคมขวัญ
“แม่คงจำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะในความทรงจำของแม่ แม่มีแต่เรื่องของน้องเปี่ยมขวัญ เสียดายนะคะที่น้องเปี่ยมขวัญด่วนจากไปซะก่อนไม่อย่างนั้น น้องคงทำทุกอย่างอย่างที่แม่หวังได้ อ้อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าน้อง คงทำได้ทุกอย่างอย่างที่น้องต้องการไม่ว่าน้องอยากทำอะไร แม่ก็หาให้ได้ จัดการให้หมด แต่คนอย่างปานรุ้งแม่ไม่ต้องถาม แค่สั่งๆๆ เพราะรุ้งเก่ง รุ้งต้องทำได้”
นั่นทำให้คมขวัญหวนคิดถึงอดีตขึ้นมาอีก

ราวปี พ.ศ 2515 ปานรุ้งโตเป็นสาวน้อย เดินก้มหน้าจะร้องไห้ตามหลังคมขวัญมาที่ประตูทางเข้าอาคารผู้โดยสารขาออกสนามบินดอนเมือง โดยมีเกื้อที่โตเป็นหนุ่มน้อย กับ กอบช่วยกันถือ กระเป๋าเดินทางของปานรุ้งเดินตามมาห่างๆ
คมขวัญมองนาฬิกาข้อมือแล้วหันมาพูดกับปานรุ้ง “อีกครึ่งชั่วโมง แม่ต้องประชุม งั้นแม่ส่งรุ้งตรงนี้นะ”
ปานรุ้งงอแง “ทำไมรุ้งต้องไปเรียนเมืองนอกด้วย รุ้งอยากเรียนต่อกับกติยา ถ้าแม่เกลียดรุ้ง แม่ก็บอกตรงๆ ไม่ต้องผลักไสรุ้งไปอย่างนี้ก็ได้”
คมขวัญดุ “ทำไมรุ้งพูดแบบนี้ ที่แม่ส่งรุ้งไปเรียน ก็เพื่ออนาคตของรุ้ง แม่ติดต่อ
อาจารย์ฝรั่งไว้ติวภาษาให้รุ้ง รุ้งจะได้สอบเข้าบริหารได้กลับมาดูแล บริษัทของเรา”
ปานรุ้งย้อนแย้งอีก “แล้วทำไมเปี่ยมขวัญถึงไม่ไปเรียนอย่างรุ้ง แม่ให้น้องเรียนหนังสืออยู่
บ้าน นอนก็นอนในห้องแม่ อยู่ข้างๆ แม่ตลอดเวลา”
“แม่บอกแล้วไงว่าเพราะน้องอ่อนแอ แม่ถึงต้องอยู่ข้างๆ น้องเสมอ ทำไมรุ้งถึงไม่เข้าใจ”
“รุ้งเข้าใจค่ะว่าแม่ห่วงน้อง แต่แม่ไม่เคยห่วงรุ้งเลย”
คมขวัญจับไหล่ปานรุ้งให้หันมามองหน้าตัวเอง “ฟังนะรุ้ง ไม่มีแม่คนไหน ไม่ห่วงลูก แต่ที่แม่ให้รุ้งไปเรียนไกลๆ เพราะแม่รู้ว่ารุ้งเก่ง รุ้งของแม่ทำได้ทุกอย่าง”
“แต่....” เด็กสาวอยากจะพูดว่า “รุ้งไม่อยากเก่ง”
แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ปริญญาวิ่งอย่างรีบร้อนเข้ามาหากระซิบบอกคมขวัญ
“คุณนายครับ แย่แล้วครับ คุณเปี่ยมขวัญไม่หายใจ ตอนนี้หมอกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจครับ”
คมขวัญตกใจ “เปี่ยมขวัญลูกแม่ หันไปพูดกับปานรุ้ง “ไปซะรุ้ง คนเก่งของแม่”
คมขวัญไม่แม้แต่จะกอดลาปานรุ้ง แต่กลับวิ่งออกไปพร้อมปริญญา
ปานรุ้งมองคมขวัญที่วิ่งออกไปด้วยสายตาเจ็บปวด

คมขวัญจมอยู่กับภาพอดีตพักใหญ่ สะท้อนใจใหญ่หลวงที่ตัวเองลืมที่จะใส่ใจกับความรู้สึกของลูก ประมุขสมุทรเทวาเพิ่งตระหนักชัดว่าตัวเองทำร้ายความรู้สึกลูกขนาดไหน คมขวัญร้องไห้ออกมาอย่างคนรู้สึกผิดมหันต์
ปริญญาเป็นห่วงเดินเข้ามาดูแลพยายามจะปลอบคมขวัญ “คุณนายครับ...”
“ฉันเพิ่งรู้ ว่าการที่ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อลูกของฉัน มันกลายเป็นมีดแทงหัวใจลูกของฉันเอง ฉันไม่รู้เลย ว่าฉันทำร้ายลูกขนาดนี้”

บรรยากาศในงานเลี้ยงยังดำเนินต่อไป กติยากับวาสุเทพเดินออกมาตามหาปานรุ้งจนทั่วงาน เจอน้อยกับเกื้อที่เดินเข้ามาหา เกื้อเป็นฝ่ายถามกติยาก่อน
“คุณยาเห็นคุณหนูไหมครับ”
“ฉันก็ตามหาอยู่เหมือนกัน เมื่อกี้เข้าไปคุยกับคุณป้า แล้วก็วิ่งออกไปไหนไม่รู้”
น้อยใจหาย หน้าเสีย “โถ...คุณหนูของน้อย คงโดนคุณนายดุชุดใหญ่แน่เลย”
วาสุเทพออกไอเดีย “เอาอย่างนี้ เราแยกย้ายกันไปตามหาแล้วกัน”
“ก็ดีค่ะ” กติยาเห็นด้วย ชี้บอกกับน้อยและเกื้อว่า “น้อยไปทางโน้น เกื้อไปทางนั้น เดี๋ยวฉันกับ พี่เทพจะไปทางนี้”
เกื้อกับน้อยรีบวิ่งไปตามทางที่บอกแล้ว กติยาขยับจะเดินไปวาสุเทพออกอาการร้อนใจ ห่วงปานรุ้งมาก “พี่ว่ายาไปทางนั้นดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปทางนี้เอง”
“ก็ได้ค่ะ” กติยารีบเดินออกไปทางหนึ่ง
ขณะวาสุเทพกำลังจะเดินไป เขาได้ยินเสียงคล้ายของหล่นแตก ฟังไม่ถนัดว่าเป็นกระถางต้นไม้หรือแก้วตกจากที่สูงลงมายังหลังพุ่มไม้ตรงมุมตึก

วาสุเทพสืบเท้าเดินตามเสียงไป

ปานรุ้งยืนสงบสติอารมณ์อยู่คนเดียว ใจก็อดกังวลห่วงความรู้สึกคมขวัญขึ้นมาไม่ได้ว่าตัวเองพูดแรงไปรึเปล่า

สุดท้ายปานรุ้งเยาะหยันความคิดนั้นของตัวเอง “จะสนใจความรู้สึกของแม่ทำไมปานรุ้ง เธอเรียนรู้
แล้วนี่ ในโลกนี้ไม่มีใครแคร์เธอ แล้วเธอต้องแคร์คนอื่นทำไม”
วาสุเทพเดินเข้ามาเห็นปานรุ้ง “คุณรุ้ง”
ปานรุ้งหันมามองวาสุเทพ พบว่าเขามาคนเดียว ด้วยอารมณ์พาลกรุ่นในใจเลยเปิดฉากพูดเหน็บแนม
“หนีคู่หมั้น มาหารุ้งอีกแล้วเหรอคะ”
วาสุเทพเก้อที่ถูกเหน็บ “ยาเขากำลังตามหาคุณอยู่น่ะครับ ผมเลยแยกมาหาคุณอีกทาง”
“อ๋อ...งั้นก็ฝากไปบอกคู่หมั้นคุณว่าไม่ต้องห่วงรุ้ง” ปานรุ้งจงใจพูดกระทบวาสุเทพ “รุ้งชินกับการโดนใครๆ ทำร้ายความรู้สึกอยู่แล้ว”
ปานรุ้งหันไปมองท้องฟ้านิ่งเงียบต่อ
วาสุเทพห่วงความรู้สึกปานรุ้งที่โดนคมขวัญต่อว่า และรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกความจริงเรื่องตนเป็นคู่หมั้นกติยา
“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณรุ้งเรื่องที่ผมเป็นคู่หมั้นยา ผมไม่คิดว่าจะทำให้ คุณรุ้งเสียความรู้สึกขนาดนี้”
ปานรุ้งประชดต่อ “ก็ไม่ได้เสียความรู้สึกอะไรนี่คะ รุ้งบอกแล้วไงคะว่ารุ้งไม่แคร์”
วาสุเทพชะงัก รู้ว่าปานรุ้งเสียความรู้สึกแต่ไม่โต้เถียง พยายามหาทางง้อ
“พรุ่งนี้ยาจะไปหัวหิน ยาคงดีใจมาก ถ้าคุณรุ้งไปด้วย”
“แล้วคุณไปด้วยรึเปล่า”
“ถ้าคุณรุ้งอยากไปกับยาสองคน ผมไม่ไปก็ได้ครับ”
ปานรุ้งมองวาสุเทพที่ยอมอ่อนข้อให้ตัวเองดู รู้ว่าเขาพยายามงอนง้อและเอาใจปานรุ้งลอบยิ้มชอบใจ
“คุณใจดีกับผู้หญิงอย่างนี้ทุกคนรึเปล่าคะ”
วาสุเทพชะงัก ตอบไม่ถูก ใจอยากบอกว่า “ไม่ เขาใจดีแค่กับปานรุ้ง” แต่กลัวเผยความรู้สึกมากไป
ปานรุ้งมองอาการออก “อย่าบอกนะคะว่าคุณใจดีแค่กับรุ้ง”
“เอ่อ...คือ...” เรือโทหนุ่มอึกอัก
ปานรุ้งผ่อนคลายลง หัวเราะออกมา “รุ้งล้อเล่นค่ะ รุ้งรู้ว่าคุณใจดีกับทุกคนนั่นแหละ แต่อย่าทำอีก เพราะตอนนี้คุณมีคู่หมั้นแล้ว ขืนคุณไปทำดีกับผู้หญิง” เธอมองวาสุเทพอย่างลึกล้ำ “ผู้หญิงจะเผลอรู้สึกดีกับคุณ”
ปานรุ้งสบตากับวาสุเทพนิ่งนาน อีกฝ่ายสบตาตอบไม่หลบหลีก
“รุ้งไปดีกว่า ไม่อยากให้บรรยากาศ ทำให้รุ้งคิดอะไรผิดๆ อีก”
ปานรุ้งตัดบทเดินออกไป รู้ว่าอย่างไรเสียวาสุเทพต้องเดินตามไปแน่
วาสุเทพรู้สึกสับสน ว้าวุ่นหนักหน่วง ไม่อยากให้ปานรุ้งเข้าใจผิด จึงรีบเดินตามไป

ปานรุ้งเดินยิ้มๆ มาตามทาง คอยปรายหางตามองหลังเป็นระยะ เห็นวาสุเทพเดินตามหลังมาไม่ห่างนัก เรือโทหนุ่มร้องเรียกขึ้นว่า
“คุณรุ้งครับ คุณดูแสงดาวบนท้องฟ้าสิครับ”
ปานรุ้งหยุด ยิ้มขัน “รุ้งไม่ใช่เด็กๆ นะคะ ที่จะมาหลอกให้รุ้งอธิษฐานกับดาว”
วาสุเทพยิ้มขำ “ผมไม่ได้ให้คุณรุ้งอธิษฐาน ผมแค่อยากให้คุณดูแสงดาว คุณรุ้งรู้ไหมครับว่าดาวบางดวงที่เราเห็นมันส่องแสงอยู่ แท้จริงแสงจากดาวดวงนั้นอาจดับไปแล้ว”
ปานรุ้งค่อยๆ เงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้า “ถ้าแสงมันดับไปแล้ว ทำไมเรายังเห็นแสงอยู่ล่ะคะ”
วาสุเทพบอกว่า “เพราะแสงเดินทางเป็นล้านๆ ไมล์ กว่าจะมาถึงตาเรา ซึ่งมันแปลว่า สิ่งที่เราเห็น ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เราคิด
ปานรุ้งรู้ว่าวาสุเทพจะพูดเข้าเรื่องกติยา เลยแกล้งพูดเรื่องคมขวัญเพื่อหยั่งเชิง
“นี่คุณปลอบใจรุ้ง ว่าที่แม่ดุ เพราะแม่ห่วงฉันเหรอคะ”
“ครับ และยังรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย”
ปานรุ้งมองวาสุเทพ รู้ว่าเขากำลังจะบอกเรื่องหมั้น วาสุเทพสบตาปานรุ้งนิ่งนานอยู่อย่างนั้น
ใจอยากจะบอกให้ชัดแจ้งเหลือเกินว่าที่ตัวเองหมั้นกติยาเพราะผู้ใหญ่จัดการ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะความรัก

บ้านสมุทรเทวาอลหม่านแต่เช้า ไม่นับรวมเหล่าคนงาน คนใช้ ที่วุ่รวายเก็บกวาด จัดแต่งดูแลสวนสวยหน้าคฤหาสน์ที่จัดงานเลี้ยงและล่มไม่เป็นท่า เมื่อคืนนี้
ภายในห้องโถงคมขวัญมองน้อยกับเกื้ออย่างไม่พอใจ
“หมายความว่ายังไงที่เธอบอกว่าไม่เจอรุ้งบนห้อง”
น้อยพูดตะกุกตะกัก กลัวคมขวัญ “คะ...คะ...คือเมื่อเช้าน้อยเข้าไปปลุกคุณหนู แต่พอเปิดประตูเข้าห้องไป ไม่เห็นคุณหนูแล้วค่ะ...และที่สำคัญ...”
คมขวัญร้อนใจ “ที่สำคัญอะไร”
“คะ..คุ...คุณหนูเอากระเป๋าใส่เสื้อผ้าไปด้วยค่ะ”
คมขวัญเครียดว่าปานรุ้งหายไปไหน เกื้อเครียดไม่ต่างกัน ห่วงปานรุ้ง

น้อยเดินออกมาหน้าตึก เกาหัวงงๆ ท่าทีเครียดหนัก พยายามคิดว่าปานรุ้งหายไปตอนไหน สักครู่เกื้อวิ่งตามน้อยมา
“น้อยๆ น้อยไม่รู้เลยเหรอว่าคุณหนูหายไปตอนไหน”
“ก็อย่างที่บอกคุณนายไปนั่นแหละ ฉันเข้าห้องไปก็ไม่เจอคุณหนูแล้ว ไม่รู้เพราะคุณนายดุคุณหนูเมื่อคืนรึเปล่า คุณหนูเลยเสียใจ หนีออกจากบ้านไป โธ่ คุณหนูของน้อย”
เห็นน้อยจะร้องไห้ เกื้อยิ่งเครียดเป็นห่วงปานรุ้งกว่าใคร ตัดสินใจออกไปตามหาในสถานที่ที่เขาคิดว่าคุณหนูผู้สวยสง่าจะไป
น้อยมองตามเกื้องงๆ “เกื้อ แกจะไปไหน”

คุณหนูปานรุ้งคนสวย ที่ทุกคนกำลังตามหากันหัวหมุน นั่งมาบนรถเปิดประทุนคันสวย มีวาสุเทพขับรถแล่นกินลมมาตามทาง มุ่งหน้าสู่หัวหิน ผมของสองสาว โดยเฉพาะ กติยา สยายไปตามแรงลม สามคนดูสนุกสนาน กติยานั่งหน้าคู่วาสุเทพ ปานรุ้งนั่งข้างหลัง รถแล่นผ่านท้องทุ่งนาเขียวขจี แสดงว่าเพิ่งออกจากรุงเทพฯ ไม่นาน

เวลาเดียวกันนั้น เกื้อขับรถมาจอดหน้าโปโลคลับ วิ่งเข้าไปตามหาปานรุ้งทั่วทุกที่ของคลับ พร้อมกับถามคนที่เดินผ่านไปมาว่าเห็นปานรุ้งของเขาไหม
เวลาผ่านไป ทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนแปลง อาคารสถานที่แสดงว่าสามคนถึงเมืองเพชรแล้ว ทั้งเขาย้อย เขาวัง และเวลานี้ปานรุ้งเปลี่ยนมาเป็นคนขับรถให้กติยาไปนั่งข้างหลัง ปานรุ้งหัดขับโดยมีวาสุเทพนั่งข้างคอยสอน ช่วยขับประคอง รถส่ายไปส่ายมา กติยาเอามือปิดตาร้องวี้ดว้ายหวาดเสียว ปานรุ้งและวาสุเทพใกล้ชิดกัน
ทางฝ่ายเกื้อจอดรถริมถนน ก้มหัวพาดลงกับพวงมาลัยอย่างเคร่งเครียด ห่วงและกังวลว่าปานรุ้งอยู่ที่ไหน

จังหวะหนึ่งของความคิด เขานึกถึง กติยา เพื่อนรักคนเดียวของปานรุ้งขึ้นมา

อ่านต่อหน้า 3

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 2 (ต่อ)

รถแล่นมาตามริมทะเลสวย วาสุเทพเป็นคนขับเข้ามาจอดริมชายหาด ปานรุ้งนั่งหน้า กติยานั่งหลัง พอรถจอดสนิทปานรุ้งก็รีบเปิดประตูออกไป

“ถึงหัวหินสักที ไม่ได้มาซะนาน รุ้งขอลงเล่นน้ำทะเลก่อนนะ”
ปานรุ้งวิ่งลงไปที่ชายหาดเบื้องหน้า ถอดเสื้อตัวนอกเผยให้เห็นว่าปานรุ้งใส่บิกินี่ ด้านในและสวมกางเกงขาสั้นทับบิกินี่สีสวยนั้น
วาสุเทพชะงักมองตะลึง ไม่คิดว่าปานรุ้งจะถอดเสื้อกลางแจ้งอย่างนี้ เขารีบหันไปทางกติยา
“ยาบอกคุณรุ้งหน่อยไหมว่าอย่าถอดเสื้ออย่างนั้น แถวนี้เป็นบ้านพักทหาร มีผู้ชายเยอะ พี่ว่ามันไม่เหมาะ”
“ได้ค่ะ” กติยาหันไปตะโกนบอกปานรุ้ง “รุ้ง”
ปานรุ้งไม่สนใจเสียงเรียก วิ่งลงไปเล่นน้ำทะเลอย่างสนุกสนาน กติยาหันมายิ้มแหยๆ ให้วาสุเทพ
“ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ”
กติยาคิดบางอย่าง แล้วหันไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าของปานรุ้ง หยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่ยื่นให้คู่หมั้น
“งั้นพี่เทพเอาผ้าขนหนูนี่ไปให้รุ้งแล้วกันค่ะ ตอนขึ้นจากน้ำ จะได้มีผ้าคลุม ไม่น่าเกลียด...เดี๋ยวยาเอาอาหารขึ้นไปเก็บบนบ้านก่อนนะคะ”
กติยาเดินถือตะกร้าใส่อาหารแห้งและกับข้าวที่เตรียมมาทานเดินเข้าบ้านไป
วาสุเทพมองตาม ก่อนจะหันไปทางปานรุ้งที่กำลังเล่นน้ำทะเลอย่างมีความสุข และยังหันมาโบกไม้โบกมือให้วาสุเทพด้วย

ผ่านไปสักพักปานรุ้งเดินขึ้นจากทะเล วาสุเทพยืนถือผ้าขนหนูรอยื่นให้ปานรุ้งอยู่
“เมืองไทยแดดแรงจังนะคะ เล่นน้ำแป๊บเดียว แสบผิวหมดเลย”
วาสุเทพเห็นเสื้อผ้าปานรุ้งเปียกแนบเนื้อตัวเผยให้เห็นทรวดทรงงดงามถนัดตา สุภาพบุรุษทหารเรือรีบเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น แล้วยื่นผ้าขนหนูมาให้ปานรุ้งค้างไว้รอเธอหยิบ
ปานรุ้งมองอาการนั้นอย่างรู้ทัน เธอจึงแกล้งไม่รับผ้าขนหนูจากมือวาสุเทพ
“รุ้งมือเปียกหมดเลย คุณเทพช่วยคลี่ผ้าขนหนู แล้วคลุมตัวให้รุ้งหน่อยได้ไหมคะ”
เห็นวาสุเทพมองมาในท่าทีอึกอัก ปานรุ้งทำเป็นเกรงอกเกรงใจ
“ถ้ารุ้งรบกวนคุณเทพมากเกินไป รุ้งขอโทษค่ะ เดี๋ยวรุ้งทำเองก็ได้ค่ะ”
ปานรุ้งก้มหน้าจ๋อยๆ จะรับผ้าขนหนูมา วาสุเทพเห็นสีหน้าปานรุ้งแล้วใจอ่อนยวบ
“ไม่ได้รบกวนอะไรหรอกครับ”
วาสุเทพคลี่ผ้าขนหนูผืนใหญ่ ความยาวของผ้าขนหนูเท่ากับช่วงแขนของเขาพอดี เรือโทหนุ่มขึงผ้าขนหนู ส่วนปานรุ้งทำเป็นหันหลังเพื่อให้วาสุเทพคลุมตัวให้
ขณะที่วางสุเทพกำลังจะเอาผ้าขนหนูคลุมตัวให้นั้น ปานรุ้งก็แกล้งสะดุดทราย เอียงตัวล้มไปชนกับอกของวาสุเทพ นั่นทำให้วาสุเทพโอบกอดปานรุ้งไว้โดยปริยาย ด้วยตกใจกลัวว่าปานรุ้งจะล้ม
ปานรุ้งแกล้งทำเป็นชะงัก แล้วจงใจเงยหน้าขึ้นมองสบตากับวาสุเทพใกล้ๆ ด้วยสีหน้าตกใจใสซื่อ ขณะวาสุเทพจ้องหน้าปานรุ้งในระยะประชิดนั้น จู่ๆ ได้ยินเสียงกติยาตะโกนจากในบ้านพัก
“พี่เทพ รุ้งจ๊ะ ยาเตรียมอาหารเสร็จแล้ว หิวกันรึยังจ๊ะ”
เสียงนั้นทำให้ วาสุเทพผงะออกห่างจากปานรุ้ง แล้วหันไปมองทางบ้านพัก อดกังวลไม่ได้ว่ากติยาออกมา ทันเห็นตอนเขากอดปานรุ้งรึเปล่า
“ไม่เห็นกติยาออกมา”
ปานรุ้งมองอาการวาสุเทพอย่างยิ้มๆ “กลัวยาเห็นเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“ก็รุ้งเห็นคุณมองไปทางบ้าน” สาวนักเรียนนอกแกล้งหยอก “อ๋อ ทฤษฎีแสงดาว สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่คิด”
ปานรุ้งมองไปทางท้องฟ้าที่ดูอึมครึม มีเมฆฝนลอยจางๆ เป็นฝูง
“ท้องฟ้าดูครึ้มๆ ไม่รู้ฝนจะตกรึเปล่า รุ้งอุตส่าห์มาที่นี่ เพื่อจะนอนดูแสงดาวสักหน่อย” ปานรุ้งมองวาสุเทพลึกซึ้งมีความหมาย “จะพิสูจน์ทฤษฎี ของคนบางคนว่า สิ่งที่เห็น ไม่เป็นอย่างที่คิด มันจริงรึเปล่า”
วาสุเทพมองปานรุ้งนิ่ง วาบหวิวไปกับน้ำเสียงลึกล้ำมีความนัยนั้น

ปานรุ้งเปิดห้องสำรวจดู กติยากำลังยุ่งกับการจัดของ ส่วนวาสุเทพกำลังไล่เปิดหน้าต่าง ประตูระบายอากาศ
“Only two bedrooms สองห้องนอนเองเหรอคะ งั้นอย่างนี้ต้องมีใครสักคนนอนคนเดียวแล้วสิ”
กติยาบอก “ก็พี่เทพไงจ๊ะ”
“จะดีเหรอ รุ้งไม่ได้เป็นคนแยกยาจากคุณเทพแน่นะ”
กติยามองวาสุเทพเขินๆ “รุ้งพูดอะไรบ้าๆ”
ปานรุ้งแกล้งทำหน้าซื่อ “เอ้า รุ้งพูดจริงๆ หมั้นกันแล้ว ถ้าจะนอนห้องเดียวกัน ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ใช่ไหมคะคุณเทพ”
กติยาหยิกแขนปานรุ้งด้วยความเขิน “รุ้ง”
“คุณรุ้งกับยานอนห้องนอนใหญ่เถอะครับ เดี๋ยวผมนอนห้องเล็กเอง”
“Oh wow, what a gentlemen ยิ่งเห็นคุณเทพดีอย่างนี้ รุ้งยิ่งอิจฉายาที่ได้คู่ครองที่แสนดี”
ปานรุ้งมองวาสุเทพ ยิ้มลึกล้ำ จนวาสุเทพต้องหลบตาวูบ ไม่กล้ามองรอยยิ้มนั้น
ปานรุ้งมองอาการออก ขยับเดินไปเปิดประตูห้องนอนใหญ่ แต่จู่ปานรุ้งก็ร้องกรี๊ด
“อร๊าย....”
กติยากับวาสุเทพตกใจ เหลียวไปทางห้องนอนใหญ่พร้อมกัน

กติยาจะเดินไปดูปานรุ้ง แต่วาสุเทพวิ่งตัดหน้าไปก่อน กติยาชะงักนิดๆ
“เป็นอะไรครับคุณรุ้ง”
ปานรุ้งโผเข้าไปซบอกวาสุเทพด้วยความกลัวชี้มือไปทางประตูห้อง
“เอามันออกไป”
กติยาเพียงมองสงสัยว่าเพื่อนเป็นอะไร ไม่ทันคิดมากที่ปานรุ้งซบอกวาสุเทพต่อหน้าต่อตา
“มีอะไรเหรอรุ้ง”
ปานรุ้งยังซุกหน้ากับอกวาสุเทพ “ตุ๊กแก”
กติยาตกใจ “ตุ๊กแก” แล้วผวาตัวเข้าไปกอดแขนวาสุเทพอีกข้าง
“ใช่ เห็นไหม อยู่หลังประตูตัวเบ้อเริ่มเลย”
ปานรุ้งกอดวาสุเทพแน่นจนเหมือนดันกติยาที่กอดแขนวาสุเทพอีกข้างให้ออกห่างไปเลย
“คุณเทพเอามันออกไปทีนะคะ”
“ครับๆ” วาสุเทพค่อยๆ ดันตัวปานรุ้งไปหากติยา “คุณรุ้งอยู่กับยาตรงนี้นะครับ”
ปานรุ้งยังคงจับแขนวาสุเทพไว้ “ไม่ค่ะ รุ้งกลัว รุ้งจะอยู่ใกล้คุณ”
กติยามองปานรุ้งที่เกาะวาสุเทพแน่น โดยไม่คิดมาก วาสุเทพเดินไปชะโงกหน้าดูที่ประตูห้อง แต่ไม่เห็นอะไร
“ไม่เห็นอะไรนี่ครับ”
ปานรุ้งชะโงกหน้ามองที่ประตูอย่างกล้าๆ กลัวๆ “รุ้งเห็นมันอยู่ตรงนี้จริงๆ นะคะ สงสัยมันหนีไปอยู่หลังตู้นั่นแล้วแน่ๆ ไม่เอานะ รุ้งไม่ยอมนอนห้องที่มีตุ๊กแกเด็ดขาด”
“อ้าว ถ้าไม่นอนห้องนี้ แล้วรุ้งจะนอนที่ไหน”
ปานรุ้งยิ้มตาเป็นประกาย

ค่ำแล้ว กอบ น้อย ปิ่น และเด็กรับใช้คนอื่นยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ก้มหน้าหลบตาคมขวัญกันทั้งแถบ คมขวัญยืนจ้องหน้าทุกคนอย่างเอาเรื่อง
“อะไรกัน ลูกฉันทั้งคน หายไปไหนทั้งทีแต่ไม่มีใครรู้เรื่อง เพิ่งกลับจากเมืองนอกอย่างนั้นด้วย บ้านเมืองสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะไม่ได้ปลอดภัยเหมือนสมัยก่อน” ประมุขสมุทรเทวาลงนั่งอย่างกลุ้มใจ “ฉันจะทำยังไงดี”
เกื้อวิ่งเข้ามา “คุณนายครับ”
“ว่ายังไงเกื้อ หาตัวปานรุ้งเจอไหม”
เกื้อบอก “เมื่อกี้ผมไปหาคุณกติยาที่บ้าน คุณแม่คุณกติยาบอกว่าคุณรุ้งไปหัวหินกับคุณกติยาและคุณวาสุเทพครับ”
น้อยกับปิ่นมองไปทางเกื้อทันทีที่ได้ยินว่า “ปานรุ้งไปกับกติยาและวาสุเทพ”
คมขวัญหันไปทางปริญญา “ปริญญา เธอมีเพื่อนเป็นตำรวจอยู่ที่หัวหินใช่ไหม ช่วยให้เขาเช็คหน่อยได้ไหมว่ารุ้งอยู่ที่นั่นจริงรึเปล่า”
“ได้ครับคุณนาย”
คมขวัญเดินออกไปอย่างละเหี่ยใจ ปริญญาเดินตาม
กอบ ยายปิ่น น้อย และเด็กรับใช้คนอื่นๆ ถอนใจโล่งอก ที่เรื่องคลี่คลายลงได้
กอบหยิกแขนเกื้อ “แล้วทำไมไม่รีบบอก ดูสิ ปล่อยให้คนอื่นหัวหมุนไปหมดเลย”
ปิ่นตีมือกอบที่หยิกแขนลูกแล้วพูดกระซิบ “อย่ามาว่าลูกชายฉันนะเว้ย ที่บ้านมันวุ่นวายเพราะ...” ปากอยากจะพูดว่าปานรุ้ง แต่สุดท้ายไม่พูด “ตั้งแต่กลับมา มีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน”
“อ้าวป้า พูดอย่างนี้ วันหลังตำส้มตำไม่ต้องใส่ปลาร้าหรอก ใส่ปากป้าไปแล้วกัน” น้อยด่า
เด็กรับใช้คนอื่นแอบขำ
ปิ่นมองน้อยอย่างเอาเรื่อง “นังน้อย อีเด็กเมื่อวานซืน กล้าว่าฉันปากปลาร้าเหรอ เดี๋ยวแม่ก็ไม่ทำกับข้าวให้กินซะนี่”
“ก็ป้าว่าคุณหนูของฉันทำไมล่ะ”
“ฉันไม่ได้ว่า แต่ฉันพูดเรื่องจริงจากหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่เว้ย แกสนิทกับเจ้านายแกดี แกน่าจะรู้ว่าตอนนี้เจ้านายแก คิดจะทำอะไรอยู่”
ปิ่นเดินออกไปอย่างหงุดหงิด เกื้อมองตามแม่ไป แล้วจึงหันมาถามน้อย
“แม่เขาหมายความยังไงน้อย”
น้อยอึกอัก อยากบอกเรื่องปานรุ้งคิดยังไงกับวาสุเทพกับเกื้อเหลือเกิน

กลายเป็นว่ากติยาต้องปูที่นอนของตัวเองกับปานรุ้งกลางห้องโถงชั้นล่าง และปูที่นอนของวาสุเทพห่างออกไปอีกนิด ปานรุ้งมองสองคนอย่างรู้สึกผิด
“รุ้งขอโทษนะ ที่ทำให้ทุกคนต้องออกมานอนที่ห้องโถงกันหมด”
“ไม่เป็นไรหรอกรุ้ง ยาก็ไม่กล้านอนในห้องที่มีตุ๊กแกเหมือนกัน”
ปานรุ้งหันมาทางวาสุเทพ “แล้วคุณเทพล่ะคะ โอเคไหมคะ”
“โอเคครับ นอนตรงนี้ก็ดี ได้รับลมเย็นสบายครับ งั้นผมปิดไฟเลยนะครับ”
วาสุเทพเดินไปปิดไฟกลางห้อง แสงจันทร์จากด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาพอเห็นว่าอะไรเป็นอะไร
ปานรุ้งนอนริมด้านนอก กติยานอนกลาง ถัดไปเป็นวาสุเทพ
เวลาผ่านไปอีกหน่อยปานรุ้งนอนหันหลังให้กติยา ลืมตาโพลงยังไม่นอน
ยินเสียงฟ้าร้องครืนครัน ปานรุ้งคิดบางอย่าง แล้วแกล้งสะดุ้งกลัวเสียงฟ้าร้องนั้น
“ยา”
กติยาที่นอนหลับแล้ว ลืมตาตื่นหันมามองปานรุ้ง “ว่ายังไงรุ้ง”
“ให้รุ้งนอนตรงกลางได้ไหม รุ้งกลัวทั้งตุ๊กแกคลานมา กลัวทั้งเสียงฟ้าร้องน่ะ”
กติยายิ้มขำเพื่อน แล้วขยับตัวให้ “มาสิ”
ปานรุ้งรีบขยับตัวมานอนแทนที่ กติยาไปนอนริมแทนที่ปานรุ้งโดยปริยาย
“ดีขึ้นไหมรุ้ง”
“โอเคจ้ะ”
ปานรุ้งมองกติยาที่หลับต่อด้วยรอยยิ้มเจ่าเล่ห์ ก่อนจะเหลือบมองไปทางวาสุเทพที่นอนนิ่งอยู่ข้างๆ
เสียงฟ้าร้องครืนครันดังขึ้นเป็นระลอก ปานรุ้งแกล้งตกใจกลัว กำมือแน่น เพื่อเรียกร้องความสนใจ วาสุเทพแอบมองปานรุ้งตลอดเวลา อยากปกป้องให้เธอหายกลัว
สิ้นเสียงฟ้าร้อง เป็นเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง คราวนี้ปานรุ้งหลับตาปี๋ บีบน้ำตาเพื่อให้เห็นว่ากลัวจัด วาสุเทพเห็นอาการปานรุ้งแล้วทนไม่ไหว ตัดสินใจ ค่อยๆ เอื้อมมือมาจับมือปานรุ้งบีบเบาๆ ปานรุ้งมองวาสุเทพแววตาลึกซึ้ง
วาสุเทพมองสบตาปานรุ้ง กำมือเธอไว้แน่น ให้ความเชื่อมั่นว่าไม่ต้องกลัวผมจะปกป้องคุณ
ปานรุ้งมองมือวาสุเทพ ซึมซับรับรู้ถึงความอบอุ่นที่เขาส่งมาให้ แม้รู้ว่าผิดแต่มันช่างเย้ายวนจนปานรุ้งปล่อยมือจากมือวาสุเทพไม่ได้ เธอก้มหน้าซบลงกับมือแกร่งแข็งของเรือโทหนุ่ม
วาสุเทพขยับตัวใกล้อีก แล้วใช้มืออีกข้างลูบผมปานรุ้งเบาๆ แล้วค่อยๆ ผงกหัวไปจูบ เรือนผมของปานรุ้ง

เสียงฟ้าร้องฟ้าคำรณครืนครัน และผ่าเปรี้ยงตามมา ประหนึ่งจะรับรู้ว่า กำลังมีคนทำผิดศีลธรรม!

บริเวณด้านนอกรอบๆ บ้านพักตากอากาศ ใบไม้และใบผักบุ้งริมชายหาดมีหยดน้ำฝนหยดเกาะพราว ดูออกว่าสายฝนที่เทกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาตลอดทั้งคืน มาหยุดตกเอาตอนรุ่งเช้านี่เอง

กติยาที่หลับอยู่ ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น แล้วพลิกตัวเพื่อหันไปหาปานรุ้งกับวาสุเทพ แปลกใจที่ไม่เห็นทั้งคู่ กติยาลุกขึ้นท่าทีง่วงงุน มองหาว่าปานรุ้งกับวาสุเทพหายไปไหนแต่เช้า
กติยาเดินออกจากประตูบ้านพักสอดตามองหาปานรุ้งและวาสุเทพ พร้อมกับพึมพำอย่างฉงนฉงาย
“สองคนนั้นหายไปไหนกันแต่เช้า
ยินเสียงพูดเสียงหัวเราะระรื่นของปานรุ้งเคล้ากับเสียงของวาสุเทพแว่วมากับสายลม
“พี่เทพ...อย่าค่ะ”
อา...ดูเหมือนปานรุ้งได้เปลี่ยนสรรพนามเรียกขานวาสุเทพจาก “คุณวาสุเทพ, คุณเทพ” มาเป็น “พี่เทพ” แล้วตามความสนิทสนมที่พอกพูนขึ้นชั่วข้ามคืน
เสียงวาสุเทพดังตามมา “ก็คุณรุ้งแกล้งผมก่อน”
“อ๊าย...อย่าค่ะ”
กติยาหันหน้ามองตามเสียง แล้วรีบเดินตามเสียงของปานรุ้งและวาสุเทพไป

กติยาเดินตามเสียงมาที่ชายหาด สายตาแลเห็นเสื้อวาสุเทพถอดวางข้างๆ กับชุดคลุมปานรุ้งอยู่ริมหาดมุมหนึ่ง พร้อมๆ กับที่ได้ยินเสียงปานรุ้งร้องวี้ดว้ายดังมาจากในทะเล
“อ๊าย...พอแล้วค่ะพี่เทพ”
กติยาเลื่อนละสายตาจากเสื้อผ้าของทั้งคู่ มองลงไปในทะเล เห็นวาสุเทพกำลังเล่นวักน้ำใส่ปานรุ้งอย่างสนุกสนาน โดยทั้งสองไม่รู้ว่ากติยายืนมองอยู่
“อ๊าย...น้ำเย็น” ปานรุ้งกอดอกห่อตัวเหมือนหนาวเหน็บเรียกร้องความสงสาร “รุ้งหนาว”
วาสุเทพหยุดวักน้ำแล้วเดินลุยน้ำเข้าใกล้ปานรุ้ง ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“รุ้งหนาวเหรอครับ”
วาสุเทพยื่นมือไปจับแขนปานรุ้ง แล้วดึงร่างงามมากอด ใบหน้าปานรุ้งซบลงที่อกของเขา วาสุเทพก้มหน้าลงมองซึ้งๆ
“หายหนาวขึ้นไหมครับ”
ปานรุ้งเงยหน้าขึ้นมองหน้าวาสุเทพในระยะใกล้ชิดด้วยสายตาแสดงความพอใจ ลุ่มหลง
“อุ่นค่ะ อุ่นทั้งกาย อุ่นทั้งใจ”
วาสุเทพมองสบตากับปานรุ้ง ค่อยๆ โน้มหน้าลงมาจะจูบปากปานรุ้ง
กติยามองวาสุเทพกับปานรุ้งพลอดรักกันอย่างตะลึงตะไล คาดไม่ถึง

กติยาที่หลับอยู่ สะดุ้งลืมตาตื่นด้วยสีหน้าตกใจกับความฝันของตัวเอง แล้วรีบพลิกตัวหันมาหาปานรุ้งกับวาสุเทพ
กติยา ไม่เห็นวาสุเทพกับปานรุ้ง กติยาชะงักนิดนึง แล้วเตือนสติตัวเอง
กติยาคิดอะไรมากเนี่ย เมื่อกี้แค่ความฝัน รุ้งกับพี่เทพไม่มีทาง...
ทันใดนั้นได้ยินเสียงปานรุ้งเรียกวาสุเทพ
OS.ปานรุ้งพี่เทพคะ
เหมือนในฝันไม่มีผิด กติยาชะงักที่ได้ยินปานรุ้งเรียกวาสุเทพว่า “พี่เทพ” แสดงความสนิท กติยารีบลุกขึ้นแล้ว เดินตามเสียงปานรุ้งไปทันที

กติยาเดินออกจากบ้านมองหา จนเห็นปานรุ้งใส่กางเกงสั้นจู๋นำสมัย กับเสื้อเชิ้ตแขนสั้น แล้วใช้ชายเสื้อเชิ้ต ผูกทำเป็นเสื้อเอวลอยดูเซ็กซี่มาก กำลังโบกมือให้วาสุเทพที่วิ่งออกกำลังริมชายหาดอยู่ไกลๆ
ปานรุ้งตะโกนพูดกับวาสุเทพ “พี่เทพอย่าไปวิ่งไกลนักนะคะ รุ้งให้เวลาวิ่ง 20 นาที ถ้ากลับช้า รุ้งไม่เหลืออาหารเช้าไว้ให้ด้วย”
กติยามองปานรุ้งที่พูดหยอกเย้ากับวาสุเทพด้วยน้ำเสียงเหมือนคนสนิทสนมกันมาก ไม่ใช่เพิ่งเจอกัน
ปานรุ้งหันมาเห็นกติยายืนอยู่ ก็โบกมือร้องทัก
“อ้าวยา ตื่นแล้วเหรอ”
“รุ้งกับพี่เทพตื่นนานแล้วเหรอ” กติยาถามขณะเดินเข้ามาหา
“สักพักแล้วล่ะ”
“ไม่เห็นมีใครปลุกยา”
“ก็รุ้งกับ” ปานรุ้งนึกสนุก จงใจเรียกวาสุเทพด้วยน้ำเสียงสนิทสนม “พี่เทพเห็นยายังนอนหลับสบาย รุ้งอยากดูพระอาทิตย์ขึ้น พี่เทพเลยมาเป็นเพื่อน แล้วเราก็ไปสะพานปลากัน พี่เทพบอกอยากกินข้าวต้มปลา รุ้งเลยซื้อปลาจะทำ ข้าวต้มให้พี่เทพ...”
วูบนั้น กติยาฟังปานรุ้งเรียกชื่อวาสุเทพอย่างสนิทและเรียกวาสุเทพกับตัวปานรุ้งว่า “เรา” แล้วรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ อันเป็นความรู้สึกของผู้หญิงที่มักไม่ชอบให้ผู้หญิงอื่นแสดงตัวว่าสนิทกับคนรัก กติยาจึงพูดสวนขึ้นมาว่า
“ไม่เป็นไร”
ปานรุ้งชะงักมองกติยางงๆ
อีกฝ่ายรู้ตัว พยายามปรับเสียงพูดให้ปกติ “ยาไม่อยากให้รุ้งลำบาก รุ้งมาในฐานะแขก ยาดูแลพี่เทพเอง ยารู้ว่าพี่เทพชอบกินรสชาติไหน”

กติยาพูดจบ ก็หันตัวเดินเข้าบ้านไป ปานรุ้งมองตามสีหน้านิ่ง ดูไม่ออกว่าเธอคิดอะไร

พอกติยาเดินเข้ามาในครัวแล้วดูของสดที่ปานรุ้งซื้อใส่ตะกร้ามา ยิ่งเห็นของในตะกร้า ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งโกรธและน้อยใจที่วาสุเทพไปกับปานรุ้งสองคน แทนที่จะปลุกตัวเองไปด้วย

ปานรุ้งตามเข้ามายิ้มในสีหน้า ดูออกว่ากติยาไม่พอใจที่ตัวเองดูสนิทกับวาสุเทพมากไป
“แล้วพี่เทพชอบรสอะไรล่ะ เผื่อคราวหน้ารุ้งทำอะไรให้พี่เทพกิน จะได้จำไว้” ปานรุ้งตีหน้าซื่อถาม
กติยาหันหลังให้ปานรุ้งอยู่ ตอบนิ่งๆ “รสจืด”
“จริงเหรอ รุ้งว่าพี่เทพชอบรสจัดจ้านมากกว่านะ”
กติยาฟังน้ำเสียงขำๆ ของเพื่อนอย่างหงุดหงิดที่ปานรุ้งแสดงตัวว่ารู้จักวาสุเทพมากกว่าตน
“รุ้งเพิ่งรู้จักพี่เทพ รุ้งรู้ได้ยังไงว่าพี่เทพชอบรสจัด”
ปานรุ้งยิ่งสนุก พูดย้อนแย้งเชือดเฉือนด้วยสีหน้าขำขัน
“อ้าว ก็เมื่อวานที่เราแวะทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังข้างทาง รุ้งเห็นพี่เทพเติมเครื่องปรุงตั้งหลายช้อน ยาเป็นคู่หมั้นของพี่เทพ ไม่สังเกตเหรอว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร อ้อ รุ้งลืมไป...ว่ายากับพี่เทพหมั้นกันเพราะคลุมถุงชน”
กติยาหันมามองปานรุ้งด้วยสีหน้าสงสัย “รุ้งรู้ได้ยังไง ยาจำได้ว่ายาไม่ได้เล่า”
ปานรุ้งยิ้มแฝงริ้วรอยผู้ชนะในยิ้มนั้น “พี่เทพบอกจ้ะ”
กติยารู้สึกเสียหน้า ที่ผู้ชายบอกผู้หญิงคนอื่นว่าตัวเองหมั้นเพราะโดนบังคับ
“ตอนแรกที่รุ้งรู้ รุ้งแบบ Oh my god! นี่มันปี 2523 แล้วนะ ยังมีการบังคับให้คนที่ไม่ได้รักกัน มาแต่งงานกันอีกเหรอ”
กติยารู้สึกเหมือนโดนปานรุ้งพูดหยามเยาะ จึงพูดสวนออกไปทันที “แต่ถ้ามองอีกแง่นึง การคลุมถุงชน เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่เห็นแล้วว่าคนสองคนเหมาะสมกัน เขาจึงจับคู่กัน”
“แล้วถ้าวันนึงยาเจอผู้ชายที่ยารัก ยาจะถอนหมั้นเพื่อไปแต่งกับผู้ชายคนนั้นไหม”
“เรื่องนั้น ยาไม่เคยคิด”
“แล้วถ้าพี่เทพเจอผู้หญิงที่เขารัก ยาจะยอมถอนหมั้นให้พี่เทพไหม”
กติยามองลึกลงไปในดวงหน้าสวยรับผมซอยสั้นนำสมัยของปานรุ้ง ราวกับต้องการค้นหา

ครู่ต่อมา ปานรุ้งเดินออกมาหน้าบ้านพัก พร้อมกับคิดถึงสิ่งที่กติยาพูดกับเธอเมื่อครู่นี้
โดยหลังจากปานรุ้งถามกติยาว่า “แล้วถ้าพี่เทพเจอผู้หญิงที่เขารัก ยาจะยอมถอนหมั้นให้พี่เทพไหม” และกติยามองปานรุ้งนิ่งนาน สุดท้ายพูดดักทาง ออกไปว่า
“ผู้หญิงที่ยุ่งกับผู้ชายที่มีคู่หมั้นแล้ว คงไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี ยาเชื่อว่าพี่เทพไม่เลือกผู้หญิงอย่างนั้นหรอก”
ปานรุ้งคิดและบอกตัวเองในใจว่า “คอยดู ว่าวาสุเทพจะเลือกผู้หญิงคนอื่นไหม” แล้วมองเลยไปยังวาสุเทพที่กำลังเดินตรงมา ปานรุ้งคิดบางอย่าง
วาสุเทพเดินเข้ามาเห็นปานรุ้งแล้วยิ้ม
“พี่ใช้เวลาวิ่งแค่ 18 นาที หวังว่ายังมีอาหารเช้าให้พี่นะ”
ปานรุ้งพูดด้วยเสียงตัดพ้อ “ถึงพี่เทพจะวิ่งนานกว่านั้น พี่เทพก็ยังมีอาหารให้ทานค่ะ
ลืมไปแล้วเหรอคะว่าพี่เทพยังมียาคอยดูแลอยู่”
ปานรุ้งพูดจบก็เดินออกไปทันที วาสุเทพงง รีบเดินตามไป

ปานรุ้งเดินลิ่วๆ หนีมาริมหาดเลยบ้านพักมาพอประมาณ วาสุเทพรีบเดินตามมา
“รุ้ง หยุดก่อน” เห็นปานรุ้งยังเดินไม่หยุด วาสุเทพจึงวิ่งมาดึงแขนไว้ “รุ้งจะไปไหน”
“รุ้งจะไปเรียกรถรับจ้างพารุ้งกลับกรุงเทพฯ”
วาสุเทพตกใจมากกว่าแปลกใจ “กลับกรุงเทพฯ ก็ไหนเราวางแผนจะกลับพร้อมกันพรุ่งนี้ไงครับ”
ปานรุ้งมองวาสุเทพด้วยสายตาอันเจ็บปวด “รุ้งทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วค่ะ ยิ่งรุ้งเห็นหน้ายา รุ้งยิ่งอยากจะวิ่งหนีไปจากที่นี่ พี่เทพรู้ไหมว่า รุ้งรู้สึกผิดกับเพื่อนขนาดไหน ที่รุ้งแอบรักคู่หมั้นของเพื่อน”
วาสุเทพ อึ้ง เห็นใจ “รุ้ง”
ปานรุ้งจับมือวาสุเทพออกจากแขนตัวเอง “ปล่อยให้รุ้งไปเถอะค่ะ แล้วลืมเรื่องเมื่อคืนนี้ซะ รุ้งจะไม่ยอมให้ใครมาตราหน้าว่ารุ้งเป็นผู้หญิงสารเลวแย่งคู่หมั้นคนอื่นอีก”
ปานรุ้งจะเดินไป วาสุเทพรีบดึงแขนรั้งปานรุ้งไว้
“ไม่ พี่ให้รุ้งไปไม่ได้”
“ปล่อยรุ้งค่ะ ถึงรุ้งจะรู้สึกดีกับพี่เทพมากแค่ไหน รุ้งต้องตัดใจ เพราะคุณเป็นผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว รุ้งไม่อยากทำให้เพื่อนเจ็บ เรื่องนี้ถ้าจะมีใครเจ็บ ขอเป็นรุ้งเพียงคนเดียว ลาก่อนค่ะ”
ปานรุ้งจะเดินหนี วาสุเทพยอมให้เธอจากไปไม่ได้แน่ เขาสวมกอดปานรุ้งไว้
“ใครว่ารุ้งเจ็บคนเดียว ถ้ารุ้งไป พี่ก็เจ็บไม่ต่างจากรุ้ง”
ปานรุ้งลอบยิ้มสาสมใจ “เห็นไหมยา ว่าผู้ชายเลือกใคร”

อนิจจา ให้บังเอิญนักว่า คมขวัญซึ่งตามมา โดยได้ข้อมูลจากปริญญา และตั้งใจจะไปหาปานรุ้งที่บ้านพัก เห็นวาสุเทพกอดกับปานรุ้งพอดี
คมขวัญชะงักคาดไม่ถึง คิดปราดเดียว แล้วตัดสินใจแกล้งพูดเสียงดังกับปริญญาเพื่อให้สองคนรู้ตัว
“ปริญญา ดูสิว่าบ้านไหนที่กติยาพารุ้งมาพักด้วย”
จากนั้นคมขวัญก็แสร้งทำเป็นเดินผ่านไปเหมือนไม่เห็นปานรุ้งกับวาสุเทพกอดกัน

ปานรุ้งกับวาสุเทพหันไปมองคมขวัญในท่าทีต่างกัน
วาสุเทพถอยห่างจากปานรุ้งทันทีด้วยความตกใจ แต่สำหรับปานรุ้งไม่ได้รู้สึกตกใจ กลับยิ้มยินดีที่คมขวัญมาพอดี ปานรุ้งรีบตะโกนเรียกคมขวัญ
“นายแม่ รุ้งอยู่ทางนี้ค่ะ”
คมขวัญแสร้งหันมามองทางเสียงเรียก แล้วยิ้มกว้างดีใจเหมือนเพิ่งเห็นปานรุ้ง
“รุ้ง อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย จะหายไปไหนทำไมไม่บอกแม่ รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วง”
“I’m so sorry นายแม่มาก็ดีแล้ว รุ้งกำลังหารถกลับบ้านพอดี”
วาสุเทพมองปานรุ้งที่จะกลับจริงๆ ด้วยสายตาอ้อนวอน แต่ปานรุ้งแกร้งหลบตาเขา มองเลยไปยังเกื้อที่อยู่หลังสุด
“เกื้อไปเอาของฉันที่บ้านพักที ฉันอยากไปจากที่นี่แล้ว”
ปานรุ้งควงแขนคมขวัญเดินไปทางบ้านพัก โดยไม่มองวาสุเทพอีกเลย เธอจงใจบีบให้เขารู้สึกว่า สามารถตัดใจจากเขาได้จริงๆ
คมขวัญหันมามองปานรุ้งกับวาสุเทพแล้วคิดบางอย่างในใจ
วาสุเทพมองตามปานรุ้งด้วยสายตาเครียดเคร่ง
ปริญญามองวาสุเทพกับปานรุ้งแล้วคิดถึงผลประโยชน์ด้านธุรกิจของสมุทรเทวา ทรานสปอร์ต

เกื้อมองวาสุเทพกับปานรุ้ง สังหรณ์ใจโดยประหลาด

อ่านต่อหน้า 4

บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ถัดมาไม่นาน ปานรุ้งเดินออกมาจากประตูบ้านพัก มีเกื้อถือกระเป๋าสัมภาระปานรุ้งตามออกมา

คมขวัญยืนคุยกับกติยารออยู่หน้าบ้านพัก วาสุเทพยืนข้างคู่หมั้น แต่สายตากลับคอยมองปานรุ้งตลอดเวลา อยากให้ปานรุ้งสบตาตัวเอง อยากให้ปานรุ้งรู้ว่าเขาไม่อยากให้เธอกลับ
คมขวัญเห็นอาการวาสุเทพ จึงจงใจพูดกับกติยาเสียงดังเพื่อเรียกสติเรือโทหนุ่ม ให้เลิกมองปานรุ้งต่อหน้ากติยา
“ขอบใจนะยา ที่พารุ้งมาเที่ยวพักผ่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ มาเที่ยวกันหลายคน สนุกดี”
ปานรุ้งเข้ามาสมทบ “แต่มันจะดีกว่า ถ้าคู่หมั้นได้อยู่ลำพังสองคน”
วาสุเทพปรายตามองปานรุ้ง แต่อีกฝ่ายจงใจไม่สบตากับเขา หันไปบอกลากติยา
“รุ้งกลับก่อนนะยา” แล้วพูดต่อโดยไม่มองหน้าวาสุเทพ “ขอให้พี่เทพมีความสุขกับข้าวต้มปลาของยานะคะ ยาตั้งใจทำรสชาติที่พี่ชอบ”
ปานรุ้งพูดจบก็เดินออกไปทันที วาสุเทพมองตามปานรุ้งไม่วางตา กติยามองวาสุเทพนิ่งๆ
จนกระทั่งวาสุเทพรู้สึกตัวว่ากติยามอง จึงหยุดมองปานรุ้ง แล้วพยายามทำหน้าปกติ แต่ในใจครุ่นคิดว่า จะทำยังไง

ในรถคันหรูของคมขวัญ ที่แล่นมาบนถนน มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ เกื้อทำหน้าขับรถ ปริญญานั่งข้างคนขับ ปานรุ้งกับคมขวัญนั่งข้างหลัง
จังหวะหนึ่ง เมื่อปานรุ้งคิดว่ายังไงวาสุเทพต้องเลือกตัวเอง ก็ยิ้มพรายออกมา
คมขวัญมองปานรุ้งแล้วคิดถึงภาพที่วาสุเทพกอดลูกสาวขึ้นมาอีก
ปานรุ้งหันมาพูดประจบคมขวัญ “นายแม่รู้จักคุณวาสุเทพไหมคะ”
“รู้สิ...” คมขวัญเน้นคำ “ก็เขาเป็นคู่หมั้นกติยาไง”
เกื้อลอบมองอาการของปานรุ้งทางกระจกส่องหลัง
ปานรุ้งยิ้มขำ รู้ว่าแม่จงใจเน้นว่าวาสุเทพเป็นคู่หมั้นกติยา เธอพูดต่อเหมือนไม่แคร์
“รุ้งทราบค่ะ แต่รุ้งหมายถึงนายแม่รู้จักครอบครัวเขาไหม”
“รู้ แต่ไม่ละเอียดมาก”
ปริญญารีบหันมาพูดสาธยาย
“เรือโทวาสุเทพเป็นลูกชายคนเดียวของพลเรือเอกภัทร นทีพิทักษ์ และคุณหญิงสุดใจ คุณหญิงสุดใจมีพี่ชายทำงานเป็นกรรมการบอร์ดแบงค์ ส่วนพลเรือเอกภัทรอยู่ฝ่ายกรมยุทธการ
มีเพื่อนฝูงและพรรคพวกอยู่กองบังคับการตำรวจน้ำ ฝ่าย...”
คมขวัญมองปราดเดียวรู้ทันว่าปริญญาคิดอะไร เลยสวนขึ้นมา
“พอแล้วปริญญา ไม่ต้องบอกละเอียดมาก ยังไงคุณวาสุเทพก็ไม่มีทางมาเกี่ยวข้องอะไรกับเราอยู่แล้ว”

“ถ้าครอบครัวเขาใหญ่โตอย่างนั้น ก็น่าเกี่ยวข้องนะคะนายแม่”
คมขวัญมองปานรุ้งที่ยิ้มลึกล้ำเป็นนัยมาให้
เกื้อมองปานรุ้งผ่านกระจกมองหลังอย่างไม่สบายใจนัก

เกื้อขับรถมาจอดหน้าคฤหาสน์สมุทรเทวาอันโอฬาร ปานรุ้งลงจากรถก่อน แล้วจะเดินเข้าบ้าน
คมขวัญลงจากรถ ปริญญาลงตาม
“เดี๋ยวก่อนรุ้ง” คมหันหันไปพูดกับปริญญาและเกื้อ “เธอสองคนออกไปก่อน”
ปานรุ้งมองปริญญากับเกื้อที่ออกไปอย่างรู้ทันว่าคมขวัญจะพูดเรื่องอะไร
ขณะเดินผ่านเกื้อมองปานรุ้งแว่บหนึ่ง แล้วเดินไป
“ไล่คนนอกออกไปแบบนี้ แปลว่านายแม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับรุ้ง”
“อย่าเรียกแม่ว่านายแม่ แม่ไม่ชอบ”
ปานรุ้งหัวเราะขำ ไม่มีท่าทีกลัวคมขวัญ “แต่รุ้งชอบนะคะ ฟังแล้วมีอำนาจสมกับเป็นคุณนายคมขวัญ เจ้าของบริษัทเดินเรือสมุทรเทวาดีออก”
คมขวัญพูดเข้าเรื่องทันที “อย่าทำตัวใกล้ชิดกับคุณวาสุเทพอย่างที่หัวหินอีก”
ปานรุ้งยิ้มเยาะ “เห็นไหมคะ รุ้งเรียกว่านายแม่น่ะเหมาะสมแล้ว รุ้งยอมรับฟังคำสั่งนายแม่ค่ะ แต่รุ้งไม่ปฏิบัติ”
ปานรุ้งลอยหน้าจะเดินหนีเข้าบ้าน คมขวัญดึงแขนลูกไว้
“นี่แม่พูดจริงนะรุ้ง”
“รุ้งก็พูดจริงค่ะ ทำไมรุ้งต้องเลิกใกล้ชิด ในเมื่อรุ้งถูกใจเขา”
คมขวัญมองอย่างไม่อยากจะเชื่อหูว่าปานรุ้งจะกล้าพูดอย่างนี้ “แม่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ารุ้งจะพูดอย่างนี้ นั่นคู่หมั้นกติยา เพื่อนรักของรุ้งนะ”
“รุ้งทราบค่ะ แต่สองคนนั้นหมั้นกันเพราะโดนบังคับ และเขาก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน ดังนั้นถ้าคนนึงคนใดเจอคนที่ถูกใจ เขาก็มีสิทธิ์จะเลือก”
คมขวัญมองปานรุ้งอย่างเจ็บปวด “ตกลงเรื่องที่เกิดคืนก่อน ที่ใครต่อใครประณามว่ารุ้งแย่งผู้ชาย มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม”
ปานรุ้งยิ้มเย้ย “อย่าเรียกว่าแย่งเลยค่ะ เพราะรุ้งไม่เคยแย่งใคร รุ้งแค่ทำให้เขาเห็นทางเลือกที่ดีกว่าเท่านั้นเอง”
“แต่คุณวาสุเทพไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น เชื่อแม่เถอะรุ้ง เลิกยุ่งกับเขา ครอบครัวของคุณวาสุเทพกับครอบครัวกติยารู้จักกันมานาน แม่รู้มาว่า คุณวาสุเทพรักและเชื่อฟังแม่เขามาก เขาไม่ทิ้งหนูยา มาเลือกรุ้งหรอก”

เหมือนถูกมารดาท้าทายและปรามาส ปานรุ้งยิ้มมั่นหมายว่าจะทำให้วาสุเทพเลือกตัวเองได้

ทางฝ่ายกติยาเดินออกจากบ้าน เตรียมไปสัมมนา วาสุเทพเดินมาส่ง โดยวาสุเทพมีสีหน้าเหม่อคิดเรื่องปานรุ้ง

“เดี๋ยวบ่ายๆ ยาสัมมนาเสร็จ เราไปวัดกันนะคะ คุณแม่พี่เทพนัดพระครูไว้ให้เราไปดูฤกษ์แต่งงานกัน”
วาสุเทพยังเอาแต่เหม่อไม่ได้ตอบ กติยามองอาการคู่หมั้น เรียกซ้ำด้วยเสียงดังขึ้น
“พี่เทพคะ
วาสุเทพได้สติ “พี่ไปส่งยาที่สัมมนาก็ได้จ้ะ”
“ยาไม่ได้บอกให้พี่เทพไปส่งค่ะ ยาบอกแล้วว่าจะไปกับดวงจันทร์ เพื่อนที่มาสัมมนาด้วยกัน”
วาสุเทพนึกได้ “เออ จริงด้วย แล้วเมื่อกี้ยาพูดเรื่องอะไรจ๊ะ ขอโทษที พี่คิดเรื่องงานเพลินไปหน่อย”
“ยาบอกว่าเดี๋ยวบ่ายนี้เราไปหาพระครูที่คุณแม่พี่นัดไว้กันนะคะ เพื่อดูฤกษ์แต่งงาน”
วาสุเทพชะงักไปนิดๆ “ฤกษ์แต่งงาน”
“ค่ะ” กติยาเห็นสีหน้าวาสุเทพเหมือนเครียดอยู่ “พี่เทพเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“เปล่าจ้ะ ยารีบไปเถอะ เดี๋ยวไปสัมมนาไม่ทันนะ”
“ค่ะ” กติยาจะเดินไป แล้วหันมามองคู่หมั้นนิ่งๆ
วาสุเทพยืนเหม่อคิดเรื่องปานรุ้งอีก
กติยามองวาสุเทพ แล้วตัดสินใจทำบางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เธอเดินไปหอมแก้มวาสุเทพฟอดหนึ่ง
วาสุเทพชะงัก มองกติยาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ยา”
กติยาเขินมาก “ยาแค่อยากให้พี่เทพรู้ว่า ยาดีใจที่จะได้แต่งงานกับพี่เทพ ยาไปก่อนนะคะ”
ครูสาวเดินออกไปโดยหวังว่าสิ่งที่เธอทำ จะช่วยให้อาการเหม่อลอยของวาสุเทพหายไป
เรือโทหนุ่มรูปงามมองตามคู่หมั้น แล้วมองมือตัวเองที่กุมมือปานรุ้งทั้งคืน สีหน้าสับสน ว้าวุ่นหนัก

ทางด้านปานรุ้งยืนที่หน้าต่างในห้อง มองออกไปเบื้องหน้าว่าวาสุเทพจะตามตัวเองกลับมาไหม

ส่วนที่หัวหิน กติยากลับจากสัมมนาถึงบ้านพักตอนบ่ายคล้อย ถือถุงของกินมาฝากวาสุเทพ
“พี่เทพคะ ยากลับมาแล้วค่ะ ยาซื้อขนมมาฝากเยอะแยะเลย พี่เทพจะกินเลยไหมคะ? เดี๋ยวยาแกะใส่จานให้”
เงียบกริบไม่มีเสียงตอบรับจากวาสุเทพ กติยาเหลียวหาทุกที่
“พี่เทพคะ”
กติยาสงสัยว่าวาสุเทพหายไปไหน

เย็นลงขณะปานรุ้งนั่งอ่านหนังสืออย่างอารมณ์ดีเหมือนกำลังรอการมาถึงของใครบางคน
สักครู่น้อยเข้าประตูมา
“คุณหนูคะ”
ปานรุ้งมองน้อยอย่างรู้ทัน “เขามาแล้วใช่ไหม”

วาสุเทพกำลังจะเดินเข้าไปหาปานรุ้ง ในโถงคฤหาสน์ เกื้อเดินจากหน้าประตูรั้วบ้านตามรถวาสุเทพมา แล้วจะเข้าไปหาเพื่อกันวาสุเทพ ไม่ให้เข้าบ้าน
จู่ๆ คมขวัญเดินออกมาจากในบ้าน ขวางหน้าวาสุเทพเสียก่อน
วาสุเทพชะงัก เกื้อหยุดที่บันไดตึกข้างๆ รถวาสุเทพ
วาสุเทพรีบยกมือไหว้คมขวัญ “สวัสดีครับ”
“ฉันนึกว่าคุณอยู่ที่หัวหินกับหนูยาเสียอีก”
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณรุ้งน่ะครับ”
“ฉันว่าคุณน่าจะรู้ดี ว่าผู้หญิงที่คุณควรพบ ควรคุย ควรอยู่เคียงข้างไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่บ้านนี้”
วาสุเทพมองหน้าคมขวัญอย่างยอมรับคำตำหนิของอีกฝ่าย
“ครับ”
“ถ้าคุณรู้ งั้นก็กลับไปซะ”
“แต่ว่าผม...” วาสุเทพอิดออด
“การเป็นสุภาพบุรุษ ใช่ว่าจะทำแค่แอ่นอกปกป้องคนอื่นเท่านั้น แต่สุภาพบุรุษ คือคนที่รู้จักให้เกียรติและรักษาศักดิ์ศรีของผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะเกียรติและชื่อเสียงของผู้หญิง”

วาสุเทพอึกอัก แต่เมื่อเห็นว่าคมขวัญไม่ยอมให้พบปานรุ้งแน่ จึงตัดสินใจลา
“ถ้าอย่างนั้น ผมลานะครับ”
วาสุเทพยกมือไหว้ลา สอดตามองในบ้านอย่างอาลัยอาวรณ์ อยากเจอ อยากพูดคุยกับปานรุ้งให้รู้เรื่อง แล้วตัดใจเดินออกไป
ระหว่างนี้ ปานรุ้งเดินออกมายืนข้างหลังคมขวัญ โดยมีน้อยเดินตามปานรุ้งมา
“คราวนี้นายแม่ก็เห็นแล้วสินะคะ ว่าเขาเลือกรุ้ง”
“ต่อให้เขาเลือกรุ้ง รุ้งก็ไม่ควรยุ่งกับเขา ยังไงกติยามาก่อนรุ้ง”
ปานรุ้งยิ้มเยาะ “ถ้าการมาก่อน แปลว่าคนนั้นต้องได้ทุกอย่าง รุ้งก็มาก่อนน้อง ทำไมรุ้งถึงไม่เคยได้อะไรเลยล่ะคะ”
คมขวัญชะงัก “รุ้ง มันคนละเรื่องกัน”
“มันคือเรื่องเดียวกันค่ะ มันคือเรื่องที่สอนให้รุ้งรู้ว่า การมาก่อนหรือหลัง ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เราได้หรือไม่ได้อะไร แต่การสู้ต่างหากที่ทำให้เราได้”
“แต่อย่างน้อย มันก็ต้องสู้อย่างมีศีลธรรม”
“ถ้าเลว แล้วได้ครอบครอง รุ้งไม่แคร์หรอกค่ะ ว่าใครจะคิดยังไง”
คมขวัญโกรธจัด “รุ้ง”
ปานรุ้งยิ้มหยัน “รุ้ง Thank you นายแม่ so much นะคะ ที่นายแม่ขวางพี่เทพอย่างนั้น มันคือสิ่งที่รุ้งต้องการ เพราะอะไรรู้ไหมคะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสะใจใส่หน้าผู้เป็นมารดา “เพราะมันช่วยบีบให้พี่เทพถอนหมั้นกับยาเร็วขึ้น”
คมขวัญตกใจ คิดไม่ถึง “อะไรนะ”
“Love you ค่ะนายแม่”
ปานรุ้งยิ้มให้คมขวัญ แล้วเดินเริงร่าขึ้นห้องไปอย่างสุขล้น
คมขวัญโกรธจนตัวสั่น “หยุดนะรุ้ง รุ้ง ปานรุ้ง”
คมขวัญเครียดเจียนจะเป็นลม เกื้อที่มองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นรีบวิ่งเข้ามาประคองคุณนายไว้
“คุณนายเป็นยังไงบ้างครับ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก” คมขวัญโบกมือ พอคิดถึงกติยาขึ้นมาก็หน้าเครียด “แต่กติยาสิ ถ้าเขารู้ จะเป็นยังไง”

เกื้อคิดตาม สีหน้าเครียดลงไปถนัดตา

กติยายืนเหม่อมอง ถือกระดาษโน้ตที่วาสุเทพเขียนไว้ในมือ จมอยู่กับความคลางแคลงใจว่าที่เรือโทหนุ่มคู่หมั้นเขียนบอกว่าติดงาน ขอกลับก่อนนั้นเรื่องจริงรึเปล่า จนดวงจันทร์ เพื่อนครู เดินเข้ามาหา

“กติยา ดีใจจังที่หาบ้านพักเธอเจอ พอดีฉันลืมเอาเอกสารที่จะใช้สัมมนาพรุ่งนี้มา ฉันขอยืมเธอไปจดโน้ตหน่อยได้ไหม”
“เธอไม่ต้องจดโน้ตหรอก เอาเอกสารไปเลยก็ได้”
ดวงจันทร์แปลกใจ “อ้าว ถ้าเธอให้ฉัน แล้วพรุ่งนี้เธอไม่ไปสัมมนาเหรอ”
กติยานิ่งไม่ยอมตอบ

วาสุเทพตื่นแต่เช้า เขาถอดแหวนหมั้นใส่ลิ้นชัก แล้วเดินออกจากไปจากห้องอย่างแน่วแน่เพื่อบอกความต้องการกับบุพการี
ท่านนายพลภัทรรับรองแขกอยู่ในห้องโถง วาสุเทพจึงเดินเข้ามาในห้องอาหาร เห็นคุณหญิงมารดากำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่บนโต๊ะ คุณหญิงแปลกใจมากที่เห็นลูกชาย
“อ้าว เทพกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนว่าจะกลับวันนี้เย็นๆ ไง”
“ผมกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ”
“แล้วหนูยาล่ะ เทพมาอย่างนี้แล้วหนูยาจะกลับยังไง”
“ยาเขากลับกับเพื่อนน่ะครับ”
“เพื่อน...เพื่อนครูด้วยกัน หรือว่าเพื่อนที่ชื่อปานรุ้ง” คุณหญิงนิ่งคิด “แต่จะว่าไป เทพกลับมาก่อนก็ดีเหมือนกัน แม่บอกตรงๆว่าแม่ไม่สบายใจที่รู้ว่า หนูยาพาผู้หญิงคนนั้นไปเที่ยวด้วย”
วาสุเทพละเหี่ยใจที่มารดาพูดถึงปานรุ้งไม่ดีเอาเลย
“คุณรุ้งก็ไม่ได้มีอะไรนี่ครับ คุณแม่อาจฟังข่าวลือมากไป”
คุณหญิงสุดใจมองวาสุเทพที่พูดออกรับปานรุ้งอย่างไม่พอใจ
“นี่เทพปกป้องผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
“ผมก็แค่พูดความจริงที่ผมเห็น”
คุณหญิงไม่ค่อยพอใจนัก แล้วเหลือบไปเห็นนิ้วมือวาสุเทพ พบว่าไม่สวมแหวนหมั้น
“ลูกถอดแหวนหมั้นออกทำไม”
วาสุเทพมองนิ้วตัวเองที่ไม่มีแหวนหมั้นแล้ว ตัดสินใจจะพูดเรื่องถอนหมั้น แต่ท่านนายพลภัทรเดินเข้ามาขัดเสียก่อน
“ขอกาแฟสักแก้วเถอะคุณหญิง หิวไส้กิ่วแล้ว”
คุณหญิงสุดใจมองคาดโทษวาสุเทพว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ แล้วหยิบเหยือกกาแฟร้อนเทใส่ถ้วยให้สามี
“มิสเตอร์เจสันกลับไปแล้วเหรอคะ ฉันไม่ชอบพวกพ่อค้าพวกนี้เลยจริงๆ โดยเฉพาะพวกฝรั่ง โอ่ว่าตัวเองเป็นประเทศมหาอำนาจเอาเงินมาล่อเรา คิดว่าเราจะตาโตอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ คิดผิดแล้ว”
“ใจเย็นๆ คุณหญิง คราวนี้เขาไม่ได้เอาของอะไรมาให้ผมหรอก”
“อ้าว แล้วเขามาทำไมแต่เช้าล่ะคะ”
“เขามาขอร้องให้ผมช่วยกำชับพรรคพวกตามจับโจรสลัดที่ปล้นเรือสมุทรเทวา”
วาสุเทพได้ยินคำว่า สมุทรเทวา ก็หูผึ่ง นึกสนใจมากขึ้น
“เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรกับเขา ได้ข่าวว่าเขาเป็นคู่แข่งกับสมุทรเทวาไม่ใช่เหรอครับ”
สุดใจเหลือบมองท่าทีลูกชาย
นายพลภัทรยักไหล่ ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “สงสัยได้ข่าวลูกสาวสมุทรเทวากลับมามั้ง
เลยอยากเอาใจ การค้าก็อย่างนี้แหละ อะไรที่เป็นลู่ทางสร้างผลประโยชน์ได้ ก็ทำหมด”
วาสุเทพฟังภัทรพูดแล้ววางช้อนอาหาร รีบลุกขึ้นทันที
คุณหญิงกับท่านนายพลมองลูกชายที่รีบร้อนเดินออกไปอย่างแปลกใจ
“ตาเทพจะรีบไปไหน”
“ก็ขออย่าให้ไปในที่ที่ฉันคิดเลย”

วาสุเทพขับรถมาจอดหน้าตึก รีบลงจากรถ แล้วจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์สมุทรเทวา
น้อยเดินออกมาก่อน พอเห็นวาสุเทพก็ตกใจ
“อุ๊ย คุณวาสุเทพ”
“คุณรุ้งอยู่ไหม”
น้อยอึกอัก

ปานรุ้งสวยสง่าอยู่ใส่ชุดกีฬาเตรียมตัวตีเทนนิส และกำลังนั่งรอด้วยการดื่มกาแฟอยู่กับเพื่อนผู้หญิง 2-3 คนในโปโลคลับ มีเกื้อยืนถือกระเป๋าอยู่ด้านหลัง และคอยดูแล หยิบน้ำ คอยพัด แล้วส่งของจากในกระเป๋าให้
สักครู่นพพรกับศุภกิจเดินถือจานเค้กมาวางให้ตรงหน้าปานรุ้ง เกื้อมองสองฝาแฝดอย่างสงสัย ปานรุ้งมองจานเค้กแล้วมองหน้านพพรกับศุภกิจ
นพพรยิ้มทักทายปานรุ้ง “บอสของเราฝากมาให้คุณปานรุ้งครับ”
ศุภกิจผายมือไปทางมิสเตอร์เจสันที่แต่งชุดตีกอล์ฟนั่งดื่มกาแฟ และมองมาทางปานรุ้งอยู่แล้ว
ปานรุ้งมองมิสเตอร์เจสันเพียงแว่บเดียว แล้วเลื่อนจานเค้กคืนนพพรและศุภกิจ
“ฝากบอกบอสคุณด้วยว่าจะเลี้ยงสุภาพสตรีทั้งที เลี้ยงแค่เค้กสองชิ้น ไม่ราคาถูกเกินไปหน่อยเหรอคะ”
นพพรกับศุภกิจมองหน้ากันยิ้มๆ ศุภกิจบอกปานรุ้งว่า
“เดี๋ยวเราไปบอกบอสให้ครับ”
สองแฝดถือจานเค้กกลับไปหาบอสที่โต๊ะ เกื้อมองตามไป เห็นมิสเตอร์เจสันยิ้ม แล้วลุกขึ้นเดินมาหาปานรุ้ง
“ผมขออภัย ผมไม่ทันคิดถึงราคาของเค้ก ผมคิดแต่เพียงว่า จะหาอะไรมามอบให้แล้วทำให้คุณรู้ว่ายิ้มของคุณ หวานขนาดไหน”
ปานรุ้งยิ้มเชิดอย่างคนที่คุ้นชินกับคำหวานของผู้ชาย
“คุณพอจะให้โอกาสผมไถ่โทษด้วยการไปดินเนอร์อาหารที่แพงกว่า เค้กสองชิ้นนั้นร้อยเท่า คืนนี้ไหมครับ”
ปานรุ้งมองเจสันด้วยสายตายิ้มๆ เป็นเชิง คิดอยู่แล้วว่าต้องมาไม้นี้ และกำลังจะตอบ วาสุเทพเดินเข้ามาพอดี
“คงไม่ได้หรอกครับ เพราะคุณปานรุ้งมีนัดกับผมแล้ว” วาสุเทพจดสายตามองมิสเตอร์เจสันด้วยแววตาจริงจัง “ผมขอแนะนำตัว ผมเรือโทวาสุเทพ นทีพิทักษ์ ลูกชายพลเรือเอกภัทร ที่คุณไปหาท่านเมื่อเช้า”
“อ๋อ...ลูกชายท่านนั่นเอง”
“ยังไงผมขอตัวผู้หญิงของผมไปก่อนนะครับ” วาสุเทพหันไปดึงมือปานรุ้ง “ไปครับคุณรุ้ง”
วาสุเทพจูงมือปานรุ้งออกไป
เกื้อจะเดินตาม “คุณหนูครับ”
“เธอรอฉันอยู่ที่นี่แหละเกื้อ” ปานรุ้งเดินไปตามแรงจูงวาสุเทพ
มิสเตอร์เจสันมองตามวาสุเทพกับปานรุ้งอย่างไม่พอใจ

ขณะมิสเตอร์เจสันเดินนำนพพรกับศุภกิจไปที่รถ สองแฝดผลัดกันพูดตามเคย
“คุณคมขวัญฉลาดจริงๆ ตอนแรกนึกว่าเรียกลูกสาวกลับจากเมืองนอกเพื่อมาบริหารงาน”
นพพรพูดต่อศุภกิจว่า “แต่ที่ไหนได้ เรียกลูกสาวมาบริหารเสน่ห์กับลูกชายท่านภัทร”
ศุภกิจนิ่งคิด “ดูลูกชายท่านภัทร ก็หลงเสน่ห์จนหึงบอสออกหน้าออกตาด้วย”
นพพรปรารภกับมิสเตอร์เจสันว่า “ถ้าคุณคมขวัญได้ลูกชายท่านภัทรเป็นเขย บริษัทสมุทรเทวาก็จะได้แบค อัพใหญ่ ทั้งลูกเขยที่เป็นทหารเรือทั้งญาติลูกเขยที่ทำงานแบงค์ อย่างนี้เราก็ล้มสมุทรเทวายากสิครับบอส”

มิสเตอร์เจสันยืนนิ่งใช้ความคิดหนัก มันต้องมีวิธีแก้สักทางสิ

อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น