ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 13
ชิดชบานำยุวดีและปอนเข้ามาที่บ้านสวน ปอนกอดของเล่นแน่น ยุวดีและปอนมีท่าทีตื่นกลัว
“บ้านสวนของคุณป้าฉันเอง มีคนสวนที่เป็นญาติเฝ้าอยู่ หลบอยู่ที่นี่ก่อน ถ้ายังไม่อยากไปหาตำรวจตอนนี้ เพราะฉันเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก”
“ช่วยด้วยเถอะค่ะ เด็กอยู่ในอันตราย แล้วตอนนี้ ฉันก็”
“ฉันเข้าใจ ว่าเธอติดร่างแหของเกมนี้ไปด้วย ไม่ไว้ใจใครน่ะถูกแล้ว เข้าไปในบ้านก่อน”
“ไป น้อง”
ยุวดีดึงมือปอนตามชิดชบาเข้าไป
“อยู่ได้มั้ย แล้วฉันจะบอกคุณปฐวีให้”
“ไม่ อย่าค่ะ ฉันอยู่ได้ ที่นี่เงียบ เข้ามาในซอยลึก เป็นสวนเก่า จะได้ไม่มีใครสนใจ”
“อาหารการกินฉันให้คนจัดมาให้ เบอร์ส่วนตัวฉันเมมไว้ เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน หนู อยู่กับพี่ยุวดีที่นี่ อย่าไปไหน จนกว่าฉันจะคิดออกว่าจะทำยังไงกับหนูดี ตอนนี้หนูเป็นพยานคนสำคัญที่จะเอาคนชั่ว คนที่ทำร้ายแม่หนูเข้าคุก”
“ใช่ค่ะ น้องผ่านอะไรๆ มามาก ล้วนเป็นเรื่องที่เด็กรับไม่ได้ คุณต้องให้เวลาเด็กสักพัก”
“แล้วคุณปฐวีล่ะ”
“ถ้ามีที่ซ่อนตัวแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับเขาหรอกค่ะ ฉันจนมุมจริงๆ ถึงได้นึกถึงคุณปฐวี ทั้งที่จะพึ่งเขาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เด็กคนนี้ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับเขาเลย แต่เป็นประโยชน์กับคุณ”
ชิดชบามองเด็กด้วยความรู้สึกหวั่นไหว ดึงตัวยุวดีออกห่างจากเด็ก กระซิบด้วยความหวั่นกลัว
“ใช่ เพราะอย่างนี้แหละ พวกมันถึงได้พยายามฆ่าเด็กเพื่อปิดปาก”
ภาพจากโทรศัพท์มือถือของธวัชพงษ์ที่เชื่อมต่อเข้ากับกล้องวงจรปิด เห็นชัยยงค์ ชัยญาและถลกกำลังคุยกัน ชัยยงค์หัวเสียมาก
“พลาดอีกแล้วหรือ ซ้ำชิดชบายังได้ตัวเด็กไป ป่านนี้มันรู้แล้วว่าเราจะปิดปากเด็ก”
“คนของคุณนายเถาว์เครืออีกคน ที่เป็นคนพาเด็กหนี”
“ยุวดีต้องรู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องนี้แน่ ถึงได้เอาเด็กไปที่บ้านหลังนั้น”
“ฉันเดาไม่ถูกว่ายุวดีคิดจะทำอะไร เอาเด็กไปให้คุณนายเถาว์เครือ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคุณนายเถาว์เครือเคยไปขอร้องให้ยุวดีเข้าพวก แต่ยุวดีก็ปฏิเสธทุกครั้ง”
“มันอาจจะแปรพักตร์ไปเข้าฝ่ายชิดชบา”
“แต่ผมว่ามันเป็นเหตุบังเอิญ”
ชัยยงค์โกรธ
“เฮ่ย มันจะเป็นไรก็ช่างเถอะ แต่ที่สำคัญ ต้องฆ่าปิดปากมันทั้งสองคน”
ธวัชพงษ์มองภาพในโทรศัพท์อย่างครุ่นคิด เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น เขารีบรับสาย
“ครับผม”
ชิดชบานัดธวัชพงษ์ออกมาพบที่ริมเขื่อนอย่างกระวนกระวาย ร้อนใจ
“ฉันไม่กล้าใช้โทรศัพท์ เพราะเรื่องมันยาว”
“ผมรู้จากกล้องวงจรปิดในคอนโดนายชัยยงค์แล้ว เด็กกับยุวดีอยู่ในอันตราย”
“ใช่ เด็กเป็นพยานปากสำคัญที่โยงไปถึงการตายของบุญถิ่น เราต้องเก็บเด็กไว้ ทั้งที่ฉันไม่อยากใช้ประโยชน์จากเด็กเลย”
“ผมกำลังเก็บหลักฐานทุกเม็ดไว้ใช้ในศาล คุณหมอแพรวาก็ต้องการความจริง”
“ธวัชพงษ์ ฉันควรทำยังไง”
“คุณต้องรักษาชีวิตของเด็กกับยุวดีไว้ อย่าติดต่อกับเด็กอีก เพราะตอนนี้มันต้องจ้องมาที่คุณ”
“ฉันหรือ”
ชิดชบาตื่นตระหนก
โสมสุภางค์นั่งอยู่บนรถเข็นด้วยอาการที่ดีขึ้น ชิดชบาเพิ่งกลับ ชะงักไป เมื่อเห็นโสมสุภางค์ เธอมองโสมสุภางค์ด้วยแววตาอ่อนโยน สงสารอย่างจริงใจ
“คุณดูดีขึ้นมากนะคะ คุณโสมสุภางค์ ปฐวีเขากลับมาอยู่ที่นี่แล้ว เขาคงจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด”
โสมสุภางค์หวั่นไหว หวาดกลัว
“อย่ากลัวฉันเลยค่ะ คุณก็รู้ว่าคนที่คุณควรกลัวคือใคร เสร็จคดีนี้ ถ้าฉันฟอกตัวเองให้เป็นผู้บริสุทธิ์ได้ ฉันจะกลับฝรั่งเศส บ้านหลังนี้คงจะตกเป็นของคุณ รักษามันไว้ดีๆ นะคะ มันมีเรื่องราวมากมาย เหมือนอย่างที่ฉันเคยมี”
ชิดชบามองไปรอบๆ ห้องโถงด้วยความเศร้าหมอง โสมสุภางค์จ้องมองชิดชบา เห็นความเศร้า ความอ่อนแอของชิดชบา ชิดชบาเดินเข้ามาใกล้
“แล้วเรื่องราวที่ผ่านมามันก็มีค่า มันทำให้เรารักคนที่รักเรา ฉันจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับ”
ชิดชบาเผลอตัวก้มลงมองที่ท้องของตนเอง ก่อนเกลื่อนสีหน้า ยิ้มอย่างมีความสุข
“กับอะไรใหม่ๆ ในที่ที่ไม่มีคนรู้จัก หรือแยแสว่าฉันมีอดีตยังไง”
ชิดชบาเดินขึ้นบันได โสมสุภางค์มองตาม แพรวาเดินออกมาจากหลังม่าน
มือยังถือเครื่องดื่มร้อน มองชิดชบาด้วยความแปลกใจ ในความอ่อนโยนของชิดชบาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
อรุณณรงค์อ้อนวอนให้หม่อมจรัสเรืองไปทาบทามสู่ขออุราศรีอีกครั้ง เพราะเขาห่วงใยความปลอดภัยของอุราศรีจากชัยญา
“นะครับหม่อมแม่ ผมขอร้องนะครับ หม่อมแม่ต้องไปเจรจาเรื่องสู่ขอคุณหญิงอุราศรีอีกครั้ง ผมไปด้วย”
“ชายเอี่ยว ก็แม่เพิ่งจะ”
“คุณหญิงอุราศรีอาจจะไม่มั่นใจในตัวผม ผมจะทำให้คุณหญิงอุราศรีมั่นใจครับ”
“เอ่อ แม่ก็ยังงงๆ อยู่นั่นเอง ทำไมต้องมารีบร้อนเอาป่านนี้ มันดูลุกลี้ลุกลนนะชายเอี่ยว เกิดอะไรขึ้น หรือว่าลูกกลัวอะไร”
“ครับ ผมกลัว กลัวว่าคุณหญิงอุราศรีจะตัดสินใจผิด”
“แหม ผู้หญิงสมัยนี้ตัดสินใจอะไรผิดแล้วเขาก็เริ่มใหม่ได้”
“แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ครับ”
“ชายเอี่ยว มีอะไรหรือ”
“ผมพร้อมแล้ว ถ้าคุณหญิงอุราศรีตกลง ผมรู้ว่าผมจะทำยังไง”
อรุณณรงค์เคร่งขรึม
เฉวียงมาหาปฐวี ในฐานะทนายของชิดชบา
“เรากำลังเตรียมหลักฐานใหม่ๆ เพื่อยื่นประกอบในการแก้ต่างให้ลูกความของผม ผมเรียนคุณปฐวีไว้ เพราะผมไม่ได้คิดว่าคุณเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่คิดว่าเราร่วมมือกันหาคนทำผิด”
“ผมยินดี ทนายเฉวียงก็รู้ว่าผมแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อลูกความของคุณอย่างยุติธรรม ผมดีใจนะที่คุณบอกว่าคุณมีหลักฐานใหม่ๆ”
“ผมคงพูดเยอะไม่ได้หรอกครับ เพราะมันเกี่ยวกับรูปคดี แต่ผมสบายใจขึ้นที่ได้พบคุณ”
“ชิดชบาคิดจะทำอะไรหรือ”
“เราก็ทำเท่าที่ทำได้ครับ ส่วนจะมากพอที่จะทำให้พ้นข้อกล่าวหา หรือไม่ มันก็อีกเรื่อง”
ปฐวีครุ่นคิด มองหน้าเฉวียงเหมือนพยายามคาดเดา
“สำหรับผม ไม่เคยอยากให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเลยนะ เรื่องบ้าน เรื่องแก้แค้นชิดชบา มันเลยเถิดมาจนไกลเกินไป ถ้าศาลพิสูจน์แล้ว ตัดสินว่าชิดชบาผิดจริง บ้านหลังนี้ จะไม่ได้เป็นของผมคนเดียว”
ปฐวีเคร่งขรึม
โสมสุภางค์พยายามหัดเดิน โดยมีแพรวาและพยาบาลคอยช่วย เถาว์เครือกระวนกระวายเดินลงบันไดมา ต้องการออกไปพบชัยยงค์ ชะงักไป ทำหน้าเก้อๆ
“แม่ เอ่อ จะออกไปข้างนอก คือว่าฉันมีธุระ”
“แล้วจะกลับมั้ยคะ”
“ทำไมฉันจะไม่กลับ หมอนี่พูดแปลกๆ ลูกของฉันอยู่ที่นี่ทั้งคน ฉันจะไม่กลับมาได้ยังไง”
โสมสุภางค์ชะงัก หน้าสลดลง เพราะรู้ว่าเถาว์เครือออกไปพบชัยยงค์
“แม่ต้องไปธนาคาร ไปพบคุณกระจ่างศรีคุยเรื่องที่ที่ศรีราชา แม่จะเลยไปซื้อของด้วย จะเอาอะไรมั้ยลูก”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นแม่ไปละนะ อ้อ ดูแลลูกฉันให้ดีล่ะ ไหนๆ ก็อาสาปฐวีแล้วนี่ว่าจะช่วยดูแลโสมสุภางค์ ทำให้ได้อย่างที่คุยก็แล้วกัน”
เถาว์เครือแสดงอาการมึนตึงต่อแพรวา ก่อนจูบโสมสุภางค์ โสมสุภางค์เมินหน้าไป เถาว์เครือชะงัก
“แม่ไปนะ”
เถาว์เครือเดินออกไป โสมสุภางค์น้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ
จำเรียงช่วยตลับนาคจัดของกินใส่ถุง ชิดชบาเดินเข้ามาด้วยท่าทีอิดโรย เพราะอาการแพ้ท้อง
“จำเรียง ซื้อมะม่วงดิบมาให้ฉันหรือเปล่า”
ชิดชบามองตลับนาคด้วยความแปลกใจ
“เอ๊ะ คุณป้าจะไปไหนคะ”
“ป้าจะไปบ้านสวน ไปดูชมพู่ม่าเหมี่ยวว่าแก่ได้ที่หรือยัง”
“ไม่ ไม่ได้นะคะคุณป้า ไปไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“คุณป้า ทางนี้ค่ะ”
ชิดชบาดึงตลับนาคออกไปด้วยท่าทีร้อนรน
“คุณป้ายังไปบ้านสวนไม่ได้นะคะ”
“ทำไมล่ะ ก็บ้านสวนนั่นของเรา ป้าทิ้งให้คนดูแลเพราะห่วงหนู”
“ไม่ได้ค่ะ บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“ชิดชบา มีอะไรหรือ เดี๋ยวนี้หนูไม่ไว้ใจป้าแล้วหรือ ทำอะไรลับๆ ล่อๆ ก็ไม่บอก”
“เอ่อ คือว่า”
ชิดชบามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
“หนูซ่อนพยานปากสำคัญไว้ที่นั่น ยุวดีกับลูกชายของบุญถิ่นที่ตำรวจกำลังตามตัว ถ้าคุณป้าไปที่นั่นพวกมันอาจจะสะกดรอยตามไปจนเจอเด็ก”
“คุณพระช่วย”
“หนูยังไม่กล้าไปบ้านสวน ก็เพราะกลัวพวกมันจะรู้ที่ซ่อนของเด็ก คุณป้าดูนั่นซีคะ”
วินมอเตอร์ไซค์สองคน จอดรถมอเตอร์ไซค์ซ่อมอยู่ภายนอกรั้ว เฝ้าสังเกตชิดชบา ตลับนาคตื่นตระหนก
“มันต้องเป็นพวกนายชัยยงค์ จะสะกดรอยตามเราไปฆ่าปิดปากเด็ก”
“โอ แล้วใครดูแลเด็กกับยุวดี”
ตลับนาคตื่นตระหนก
ธวัชพงษ์หิ้วของกินของใช้เต็มสองมือมาที่บ้านสวน เคาะประตูเรียกยุวดี
“ยุวดี ผมเอง”
ยุวดีค่อยๆ เปิดประตู ยื่นออกมาแต่ใบหน้า ธวัชพงษ์รีบชูของขึ้น
“คุณนักข่าว คุณหรือ”
“คุณชิดชบาให้ผมเอาของมาให้ แล้วมาดูว่าคุณกับเด็กเป็นยังไงบ้าง”
“น้องหลับ คุณชิดชบาเป็นคนให้คุณมาจริงๆ หรือ”
“รับของไป ผมต้องรีบกลับ”
ยุวดีเปิดประตูออกมารับของจากมือธวัชพงษ์ สัญญาณโทรศัพท์ดังเตือน ธวัชพงษ์รีบเปิดโทรศัพท์ ในจอโทรศัพท์ ชัยยงค์เดินมาเปิดประตูรับเถาว์เครือที่หน้าห้อง ยุวดียื่นหน้าเข้ามาดู
“นั่นคุณนายเถาว์เครือนี่ คุณนายเถาว์เครือเป็นพวกนายชัยยงค์จริงๆ หรือ”
ยุวดีสบตาธวัชพงษ์ด้วยความแปลกใจ
เถาว์เครือฟังเรื่องที่ชัยยงค์เล่า ก็อุทานอย่างร้อนใจ
“นังยุวดีมันได้ตัวเด็กไปอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ คุณเป็นนายเก่าของมัน ต้องหาตัวมันให้พบ”
“ฉันจะไปหามันที่ไหน ฉันเคยไปขอร้องให้มันกลับมาเป็นพวก แต่มันไม่เล่นด้วย มันไปเจอเด็กได้ยังไง”
“ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้มันกับเด็กอยู่ในมือชิดชบา ถ้ามันรอดไปให้การในศาล เราทั้งหมด รวมทั้งคุณ จะต้องย้ายที่อยู่ เข้าไปอยู่ในคุก”
เถาว์เครือคั่งแค้น
“นังยุวดี แกนี่มันหาเรื่องตายจริงๆ”
ชิดชบาโผเผเดินลงจากบันได เข้ามาทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ด้วยความอ่อนเพลีย เนื่องจากอาการแพ้ท้อง จำเรียงเดินผ่าน ถามด้วยความแปลกใจ
“คุณคะ คุณชิดชบา เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก มีกะปิมั้ย”
“กะปิ”
“แล้วก็มะยม”
“กะปิพอมีค่ะ แต่มะยม ต้องออกไปซื้อที่รถเข็นหน้าปากซอย”
“ไปซื้อให้ฉันหน่อยได้มั้ย ฉันเปรี้ยวปากจนน้ำลายเหนียวไปหมดแล้ว อยากกินมะยมจิ้มกะปิ”
“มะยมจิ้มกะปิหรือคะ”
จำเรียงอุทานด้วยความแปลกใจ
พยาบาลประคองให้โสมสุภางค์ยืนอยู่หน้ากระจก แพรวาสวมเสื้อก่อนมัดชายให้ แล้วประคองให้โสมสุภางค์เดินอย่างช้าๆ มายังเตียงนอน
“สามทุ่มแล้ว ได้เวลานอนแล้ว วันนี้เธอทำได้ดีมาก เดินได้ยาวขึ้น เหนื่อยน้อยลง มีแนวโน้มจะดีขึ้นเรื่อยๆ”
“ใช่ค่ะ หนูดีใจจังเลยค่ะคุณหมอ”
“ขอบใจน้องสองคนด้วย ที่ช่วยดูแลคุณโสมสุภางค์ คนที่ฉันต้องขอบใจที่สุดก็คือเธอไง เธอไม่เคยทิ้งความพยายามที่จะลุกยืนขึ้นเพื่อคุณปฐวีเลยนะ”
โสมสุภางค์ถามด้วยความห่วงใย
“แล้ววีล่ะ เขากลับมาหรือยัง”
ชิดชบานั่งกอดหมอนหลับอยู่ที่ห้องโถง ด้วยอาการอ่อนล้าอิดโรยของคนตั้งครรภ์
ปฐวีเดินเข้ามาหยุดยืนมองชิดชบาอย่างชั่งใจ ขยับจะก้าวผ่านไป แต่กลับชะงัก เดินเข้ามาหาชิดชบาอย่างช้าๆ แล้วมองถ้วยกะปิกับมะยมที่วางอยู่ ชิดชบาค่อยๆ ปรือตาขึ้น รีบลุกขึ้นยืน ใช้หมอนปิดท้องของตัเองด้วยสัญชาติญาณของแม่
“คุณ นี่ นี่ฉันหลับหรือ”
ปฐวีหยิบมะยมขึ้นมา ถามด้วยแววตาเข้ม
“นี่อะไร”
“เอ่อ มะยมกับกะปิ”
“คนปกติเขากินของแบบนี้หรือ คุณเป็นอะไร หลายวันมานี่ดูคุณไม่ดี คุณอาเจียนโอ้กอ้าก เลิกดื่มไวน์ ไม่ออกเที่ยวกลางคืน พฤติกรรมเคยชินเปลี่ยน ไม่เคยลงมากินข้าวกับพวกเรา”
ชิดชบาหลบตา
“เอ่อ ฉัน ฉันเลิกเมาเพราะฉันต้องตั้งสติสู้คดี เลิกเที่ยวเพราะเบื่อ ไม่กินข้าวร่วมกับพวกคุณ เพราะไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
“แค่นั้นเองหรือ”
“ใช่”
ชิดชบารีบปิดปาก เมื่อมีอาการคลื่นไส้ ปฐวีกระชากร่างของชิดชบาเข้า ถามเสียงเข้ม
“คุณท้องใช่มั้ย”
จำเรียงวิ่งลงมาจากตึก ไปเปิดประตูรับรถของเถาว์เครือ เถาว์เครือลงจากรถมาอย่างอ่อนล้า เครียดหนัก มองไปยังรถของปฐวีที่จอดอยู่
“ปฐวีกลับมาแล้วหรือ”
“ค่ะ”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน”
จำเรียงมองขึ้นไปบนตึก
ชิดชบาตื่นตระหนกกับคำถามของปฐวี
“ผมถามว่าคุณท้องหรือ ทำไมคุณไม่ตอบ ไอ้อาการแปลกๆ ที่คุณเป็นอยู่นี่ ผมรู้ว่าคุณไม่ได้แกล้งทำ ผู้หญิงอย่างคุณไม่เสแสร้ง”
“ปล่อยฉัน ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า เมียคุณกำลังดีขึ้นนะ”
“อย่าเอาโสมสุภางค์ขึ้นมาขู่ผม คุณต้องตอบคำถามของผม”
เถาว์เครือเดินเข้ามา หลบฟัง
“คุณท้อง”
“เปล่า ไม่ใช่”
“คุณโกหก”
“ฉันจะโกหกคุณทำไม คนมีอาชีพเป็นนางบำเรอไม่มีใครเสี่ยงท้องหรอก จะท้องทำไม ท้องเพื่ออะไร ท้องแล้วได้คุ้มเสียมั้ย”
เถาว์เครือถอนหายใจโล่งอกที่ชิดชบาไม่พูดความจริงเรื่องท้อง
“ปล่อยฉันนะ”
ชิดชบาสะบัดอย่างแรง หลุดจากปฐวี ปฐวีนิ่งงันกับคำตอบของชิดชบา
“ฉันจะไม่มีวันท้อง ไม่มีวันพกเอาตัวตนของคนอย่างคุณไปกับชีวิตฉันด้วย จงจำไว้ ว่าทันทีที่คดีสิ้นสุด เราจะต่างคนต่างไป เราจะไม่เหลือเยื่อใยอะไรกันอีก เราจะจากกัน”
ชิดชบาวิ่งขึ้นบันไดไป ปฐวีมองด้วยความแปลกใจ ชิดชบาเปิดประตูเข้ามา ร้องไห้ทันทีหลังจากที่พยายามอดกลั้น เพราะไม่ต้องการให้ปฐวีจับพิรุธเรื่องการตั้งครรภ์ได้
อรุณณรงค์เดินไปมาอย่างเงียบๆ รอหม่อมจรัสเรือง หม่อมจรัสเรืองเดินลงมา กระหยิ่มยิ้ม
“พร้อมแล้วใช่มั้ย ชายเอี่ยว”
อรุณณรงค์ลังเล หลบสายตา แต่ตอบอย่างหนักแน่น
“ครับ พร้อม”
“ดี แม่จะพาชายเอี่ยวไปพบท่านผู้ใหญ่ แต่นี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่แม่จะพยายามเพื่อลูก ไป”
หม่อมจรัสเรืองสบตาอรุณณรงค์ ยิ้มอย่างนุ่มนวลอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยท่าทีเอาจริง อรุณณรงค์สลดลง
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 13 (ต่อ)
โสมสุภางค์ยืนเกาะราวสำหรับพยุงตัวเดิน
เถาว์เครือเดินเข้ามา หน้าเครียด บอกพยาบาลให้ออกไปก่อน โสมสุภางค์มองตามพยาบาลไปด้วยความร้อนใจ เริ่มกลัว ไม่ไว้ใจเถาว์เครือ
“เป็นยังไงบ้างลูก แม่ดูหนูดีขึ้นนะ ลุกขึ้นยืน แล้วก็หัดเดิน ใช่ หนูจะนั่งจมอยู่ในรถเข็นไม่ได้ หนูต้องลุกขึ้นมาช่วยแม่ เพราะ เพราะแม่กำลังจะหมดกำลัง แม่ต้องการคนช่วย”
โสมสุภางค์เริ่มหวั่นไหว หวาดกลัว
“เรื่องบ้าน เรื่องปฐวี หรือเรื่องนังชิดชบา มันไม่ได้เป็นอย่างที่แม่คิด หนูต้องช่วยแม่”
โสมสุภางค์เริ่มมีอาการสั่น เถาว์เครือเข้ามาเกาะที่ฝึกเดิน
“หนูต้องเข้าใจนะ เราต้องช่วยกัน ไม่อย่างนั้นแม่คง”
แพรวานำนมร้อนเข้ามา รีบวางแก้วลง เข้าประคองโสมสุภางค์ที่เนื้อตัวสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
“โสม โสมสุภางค์ เธอเป็นอะไรไป ก็เธอ”
แพรวาเงยหน้าขึ้นมองเถาว์เครือ
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณแม่ ทำไมโสมสุภางค์ถึงได้ตัวสั่นอย่างนี้”
“เอ่อ”
“โสมสุภางค์ เธอกลัวอะไร”
“จะกลัวอะไร ก็กลัวล้มน่ะซี ลูกฉันยังไม่แข็งแรงเลย ทำไมถึงได้ทิ้งให้อยู่กับพยาบาล ก็ไหนว่าจะดูแลโสมสุภางค์ให้ดีกว่าฉันดูแลยังไงล่ะ โม้”
เถาว์เครือสะบัดหน้าออกไป แพรวาหน้าสลดลง
“คุณแม่ เธอไม่เป็นไรแล้วนะโสมสุภางค์ มา ฉันจะกอดเธอไว้แน่นๆ ฉันจะกอดเธอไว้”
แพรวากอดโสมสุภางค์อย่างปลอบโยน โสมสุภางค์พยายามกัดฟันไม่ให้เสียงสะอื้นไห้ดังลอดออกมาจากลำคอ
หม่อมจรัสเรืองเจรจาทาบทามสู่ขออุราศรีต่อท่านผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของอุราศรี อุราศรีนั่งนิ่งๆ อยู่ใกล้ๆ หน้าเคร่งขรึม
“ชายเอี่ยวรบเร้าให้ดิฉันพามาด้วยตนเอง เพื่อกราบเท้าท่าน และเพื่อยืนยันว่านี่เป็นความต้องการของเขากับ”
“เราก็ยังยืนยันดำเดิม คือต้องแล้วแต่ลูก”
“ค่ะ โตๆ กันแล้ว หน้าที่การงานหรือก็เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ ท่านกับดิฉันไม่มีอะไรขัดข้องหรอกค่ะหม่อม แต่อุราศรี”
“เอ่อ”
“จะตอบคุณชายอรุณณรงค์เขายังไง”
“ว่ายังไง ลูก”
“ก็”
“ขอบคุณครับ”
อรุณณรงค์หยิบแหวนหมั้นออกมา รีบสวมแหวนบนนิ้วมือของอุราศรีทันที
“ที่คุณหญิงรับหมั้นผม ฤกษ์หมั้นไม่มี แต่ฤกษ์แต่งงาน ผมแล้วแต่ท่านผู้ใหญ่ครับ”
หม่อมจรัสเรือง พ่อและแม่ ต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข อุราศรีตะลึงงัน เดินลงมาจากคฤหาสน์ด้วยความโกรธ อรุณณรงค์วิ่งตามลงมาติดๆ
“ทำไมคุณทำแบบนี้ คุณไม่ให้โอกาสฉันปฏิเสธผู้ใหญ่เลย”
“ผมต้องทำ ก่อนที่คุณจะถูกนายชัยญาเอาไปต้มยำ”
“คุณเห็นฉันเป็นผู้หญิงแบบไหน ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบ”
“อย่าเอาชิดชบามาอ้าง นี่ไม่ใช่เรื่องชิดชบา แต่เป็นเรื่องของคุณกับผม กับนายชัยญานั่น ถ้าผมเสียงเดียวเตือนคุณๆ ไม่เชื่อ ก็ยังมีชิดชบาอีกเสียง นายชัยยงค์เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ”
“ไม่จริง”
“อย่าให้เวลาพิสูจน์เลยว่าเขาดีหรือเลว เพราะถึงตอนนั้นคุณจะไม่เหลืออะไร”
“คุณ คุณชายเอี่ยว”
อรุณณรงค์คว้ามือข้างที่สวมแหวนหมั้นของอุราศรีขึ้นมา
“คุณเป็นคู่หมั้นผม คุณไม่มีสิทธิ์คบหานายชัยญาสนิทสนมอีก ไม่ต้องไปตีกอล์ฟหรือแข่งรถกับเขา มันอันตราย”
“ฉันควรเชื่อคุณด้วยหรือ”
“คุณควรเชื่อชิดชบา เพราะถ้าคืนนั้นชิดชบาไม่ช่วยไว้จากร้านเหล้า ป่านนี้คลิปของคุณคงถูกแชร์ว่อนไปทั่วเน็ตแล้ว แล้วคิดดู พ่อ แม่ วงศ์วานว่านเครือของคุณ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
อรุณณรงค์น้ำเสียงเข้มงวด
วินมอเตอร์ไซค์จอดรถซ่อมเครื่องอยู่ไกลจากประตูรั้ว ตลับนาคเก็บขันตักบาตรหลังจากตักบาตรเรียบร้อยแล้ว
มองไปด้วยความหวาดระแวง
“จำเรียง”
“คะ คุณป้า”
“มอเตอร์ไซค์รับจ้างคันนั้นมาจอดซ่อมรถตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หลายวันแล้วล่ะค่ะ คงบรรทุกผู้โดยสารไปส่งท้ายซอยแล้วกลับมารถเสียตรงนี้น่ะค่ะคุณป้า”
“ทุกวันเลยหรือ”
“ค่ะ ทุกวัน เอ๊ะ มีอะไรหรือคะคุณป้า”
จำเรียงมองหน้าตลับนาคที่ตื่นกลัวด้วยความสงสัย ตลับนาคขึ้นไปหาชิดชบาบนห้อง ชิดชบาแหวกม่านหน้าต่างมองออกไป หน้าเครียด ตลับนาคหวาดกลัว
“คุณป้าไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูให้ธวัชพงษ์เขาดูแลเด็กกับยุวดี หนูไม่กล้าไปบ้านสวน กลัวพวกนั้นทำร้ายเด็ก คุณป้าอย่าแสดงพิรุธให้ใครรู้ ว่าเราซ่อนเด็กไว้ที่นั่นนะคะ”
“อีกนานแค่ไหนล่ะ คนน่ะ อยู่ในที่แคบๆ ไม่ได้นานหรอกนะ ลูก”
“จนกว่าเราจะขอความคุ้มครองให้เด็กได้”
“งั้นก็เรียกคุณเฉวียงมาพบเถอะ ที่นี่ ป้าไม่อยากให้หนูออกไปไหน บอกตรงๆ ว่ากลัวมันจะทำร้ายหนูอีก”
“หนูระวังตัวค่ะ คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วง หนูเองก็อยากให้มันจบเร็วๆ หนูจะขอให้คุณลุงเฉวียงขออำนาจศาลสั่งคุ้มครองเด็กให้เร็วที่สุด”
“จบให้เร็วแล้วก็จบให้ได้นะ ป้าไม่อยากให้หนูอยู่ที่นี่แล้ว เราไว้ใจใครไม่ได้เลย แม้แต่คุณปฐวี”
“อดทนอีกสักระยะนะคะคุณป้าขา ทันทีที่เรื่องมันจบ ไม่ว่าบ้านหลังนี้จะเป็นของใคร เราจะไม่เห็นกันอีก แม้แต่เงาของเขา หนูก็จะไม่เหยียบ”
ชิดชบาแค้น
ชัยยงค์เกรี้ยวกราดใส่เถาว์เครือ เถาว์เครือตื่นกลัว
“เรื่องแค่นี้คุณยังทำไม่สำเร็จ ผมให้คุณหาตัวนังยุวดี แต่คุณยังหาไม่พบ หรือเราต้องจูงมือกันเข้าคุก”
“ฉันไปหามันทั้งที่ที่ทำงานแล้วก็ที่ห้องเช่า แต่ไม่มีใครเห็นยุวดีกับเด็กเลย มันไม่ได้กลับไปที่นั่น”
“ถ้าไม่ได้กลับไปที่นั่น ชิดชบาคงเอาพวกมันไปซ่อนตัวไว้ที่ไหนสักแห่ง คุณอยู่บ้านเดียวกับมัน ทำไมจะสืบไม่ได้”
“ฉัน”
ชัยยงค์เสียงอ่อนลง
“อนาคตของเรารออยู่ เงินกับชีวิตใหม่ เราจะใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกันในยุโรป เราจะพาหนูโสมสุภางค์ไปรักษาที่นั่น แต่ต้องหลังจากที่บ้านถูกโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของโสมสุภางค์”
“ฉันว่ามันจะไม่ง่าย”
“ทำให้มันง่ายซี ยอดรัก ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ หญิงเก่งของผม คุณทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น”
ชัยยงค์เข้ามากระซิบข้างหูเถาว์เครือ
“ชิดชบารู้ว่าเด็กอยู่ที่ไหน แล้วชิดชบาก็อยู่บ้านเดียวกับคุณไม่ใช่หรือ”
ปฐวีกลับจากทำงาน เดินเข้ามาหยุดยืนกลางห้องโถง ลังเลเมื่อมองขึ้นไปยังบันไดวน จำเรียงเข้ามารับกระเป๋าเอกสารเพื่อนำไปเก็บ
“คุณชิดชบาล่ะ”
“เอ่อ”
จำเรียงมองโสมสุภางค์
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
จำเรียงรีบหลบหน้าออกไปจากห้องโถง
“โสมสุภางค์”
โสมสุภางค์เดินช้าๆ เข้ามาหาปฐวี ปฐวีเข้ามาจะประคอง
“อย่าค่ะ ไม่ต้อง ฉันอยากเดินเข้าไปหาคุณ ตอนที่คุณกลับจากทำงาน เป็นหน้าที่ของภรรยาไม่ใช่หรือคะ”
“โสมสุภางค์ คุณดีขึ้นมากจริงๆ คุณเก่ง”
“หมอแพรวาช่วยฉันให้ยืนขึ้น คุณต้องขอบคุณหมอแพรวา วีคะ คุณเคยบอกฉันว่า พอฉันเดินได้ เราจะจดทะเบียนสมรสกัน”
“ใช่ ผมพร้อมแล้ว”
“ฉันก็พร้อมแล้วค่ะ เราจะเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย”
“ใช่ เราจะเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผมจะไม่มีใครอีกนอกจากคุณ”
“วี”
โสมสุภางค์น้ำตาคลอ
“ฉันไม่ต้องการบ้านหลังนี้ แต่ฉันต้องการคุณ บ้านหลังนี้มันมีแต่เรื่องของคนอื่น เรื่องราวของเรา มันเหลือแต่ความทรงจำที่เลวร้าย ให้ชิดชบาไปเถอะ ฉันไม่ต้องการมัน”
ปฐวีมองโสมสุภางค์ด้วยความแปลกใจ
“โสมสุภางค์”
“จบเกมเสียเถอะค่ะ ก่อนที่เราทุกคนจะจบเพราะมัน ชิดชบาไม่ได้ผลักฉันตกบันได มันเป็นอุบัติเหตุ”
“อะไรนะ”
“ชิดชบาไม่ได้เป็นคนผลักฉันลงมาจากที่นั่น มันเป็นอุบัติเหตุ”
ชิดชบาเดินเข้ามา ได้ยินสิ่งที่โสมสุภางค์พูด ทั้งเธอและปฐวีต่างตะลึงงัน
แพรวานั่งปวดศีรษะอยู่ที่ม้านั่งยาวในสวนสาธารณะ ธวัชพงษ์ซื้อข้าวโพดคั่วเข้ามายื่นให้พร้อมถ้วยกาแฟสด
“แล้วคุณออกมาได้ยังไงครับคุณหมอ”
“ไม่มีใครอยู่ คุณปฐวีเขาพาโสมสุภางค์ไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน คดีนี้ คนสำคัญที่ยังไม่ได้ให้ปากคำก็คือโสมสุภางค์”
ธวัชพงษ์ชะงัก ห่วงชิดชบา
“คุณโสมสุภางค์หรือครับ”
“อย่าถามฉันเลย ว่าโสมสุภางค์จะให้การยังไง โสมสุภางค์ดีขึ้นแล้ว เดินได้ พูดได้ มีสติครบถ้วน ถึงเวลาแล้วที่ต้องให้ปากคำกับตำรวจ คุณล่ะ เรื่องที่คุณสืบไปถึงไหนแล้ว”
“ผมเก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดี แล้วก็หลักฐานที่มันเลยเถิด เรื่อง”
“นี่ เลือกที่ใช้ได้ในศาลนะ คุณไม่มีสิทธิ์ละเมิดความเป็นส่วนตัวของคุณนายเถาว์เครือ”
ธวัชพงษ์ยิ้มๆ
“ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า ผู้หญิงอายุขนาดคุณนายเถาว์เครือจะเสพติด เอ่อ”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูด ฉันว่า ถึงโสมสุภางค์จะเงียบจะนิ่ง แต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแม่หายไปทุกวัน บางคืนก็ไม่กลับ คุณแม่ยิ่งจมปลักลึกลงทุกที ฉันไม่รู้จะทำยังไง”
“คุณหมอจะทำอะไรได้ล่ะครับ แค่นี้ คุณหมอก็เป็นแม่พระที่น่ารักที่สุด ว่าแต่ คุณหมอไม่รู้จริงๆ หรือครับว่าคุณโสมสุภางค์ จะให้ปากคำยังไง”
ธวัชพงษ์กังวล
ทนายของเถาว์เครือยืนรออยู่ที่สถานีตำรวจอย่างกระวนกระวาย เถาว์เครือเข้ามาด้วยท่าทีโกรธจัด เมื่อรู้ว่าโสมสุภางค์เข้าให้ปากคำกับตำรวจว่าเป็นอุบัติเหตุ
“ไม่จริง มันไม่ใช่อุบัติเหตุ มันเป็นเรื่องพยายามฆ่า นังชิดชบาผลักลูกฉันตกบันได มันมีแรงจูงใจที่ต้องฆ่าโสมสุภางค์ ใครๆ ก็รู้”
“คุณโสมสุภางค์ขอเข้าให้การกับพนักงานสอบสวน ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุครับคุณนาย”
“โสมสุภางค์”
ปฐวีจูงมือโสมสุภางค์เดินลงมาอย่างช้าๆ ระมัดระวัง สมควรเดินตามหลังทั้งสอง เถาว์เครือปราดเข้ามาขวางไว้ด้วยความโกรธ
“โสมสุภางค์ ทำไมลูกทำแบบนี้ ใคร ใครเป็นคนสั่งให้ลูกให้การกับพนักงานสอบสวนว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
โสมสุภางค์หลบสายตา เกรงกลัว
“คุณแม่ก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ หนู หนูตกบันไดเพราะ เพราะ”
“คุณใช่มั้ย คุณสอนให้โสมสุภางค์ให้การอย่างที่คุณต้องการ”
“ผมว่า คุณกลับไปพักดีกว่าโสมสุภางค์ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ผมต้องพาโสมสุภางค์กลับบ้านครับ โสมสุภางค์อยู่ในห้องสอบสวนหลายชั่วโมง”
“ยังไปไหนไม่ได้ จนกว่าคุณจะตอบคำถามของฉัน”
“ไป สมควร พาคุณโสมสุภางค์กลับบ้าน”
“ครับผม”
สมควรรีบวิ่งไปเปิดประตูรถ ปฐวีประคองโสมสุภางค์ขึ้นรถ เถาว์เครือวิ่งตามมา ส่งเสียงเอะอะ
“เดี๋ยวก่อน ฟังแม่นะ ฟังแม่ โสมสุภางค์ เดี๋ยวก่อน”
“คุณนายครับ” ทนายความห้าม
“อย่ายุ่งกับฉัน นั่นลูกฉันนะ ฉันไม่ยอมให้เขาใช้ลูกของฉันเป็นเครื่องมือช่วยนางบำเรอให้รอดคุกหรอก ฉันไม่ยอม”
เถาว์เครือวิ่งออกไปเรียกแท็กซี่ ทนายวิ่งตามมา ร้องห้าม แต่เถาว์เครือขึ้นแท็กซี่ออกไปแล้ว
ชิดชบาก้มหน้าอาเจียนอยู่กับอ่างล้างหน้า ตลับนาคเปิดประตูเข้ามา มองชิดชบาด้วยความกังวล ชิดชบารีบเช็ดปาก เช็ดหน้า
“อยู่ได้ใช่มั้ย ป้าจะออกไปซื้อของที่ปากซอย มัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่ พาลจะอดตายทั้งป้าทั้งหลาน เอาเถอะป้าจะทำไม่รู้ไม่ชี้ อยู่ได้มั้ย”
“หนูอยู่ได้ค่ะ หนูจะนอนพัก”
“เวียนหัวอีกแล้วหรือ”
“คุณป้าซื้อองุ่นดองมาด้วยนะคะ”
ตลับนาคมองชิดชบาด้วยความสงสัย
“แล้วป้าจะซื้อมาให้”
“ค่ะ”
ตลับนาคเปิดประตูห้องออกไป ชิดชบาหันมาอาเจียนต่อ
อุราศรีนั่งรอชัยญาอยู่นอกร้านกาแฟ ชัยญาขับรถเข้ามาจอด ไกลจากมุมที่อุราศรีนั่งอยู่ เขาชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“ฮัลโหล อะไรนะ ชิดชบาน่ะหรือ หลุดเพราะคำให้การของโสมสุภางค์”
อุราศรีเริ่มสังเกตกิริยาที่เปลี่ยนไปของชัยญา ชัยญาลืมตัวส่งเสียงคำรามใส่โทรศัพท์
“อุบัติเหตุหรือ โธ่โว้ย ทำไมโสมสุภางค์ถึงได้โง่อย่างนี้วะ”
จำเรียงเปิดประตูรับรถของปฐวี ปฐวีประคองโสมสุภางค์ก้าวลงมา
“คุณเหนื่อยมาทั้งวัน ไป ขึ้นไปข้างบน คุณหมอแพรวาล่ะ”
“ไม่อยู่ค่ะ พอคุณออกไป คุณหมอก็ออกไปค่ะ”
“แพรวาคงจะเหนื่อย ไม่เป็นไรหรอกค่ะวี ฉันอยากพักเต็มทีแล้วละค่ะ”
“ไป”
ปฐวีโอบเอวของโสมสุภางค์ พาขึ้นตึกไป สมควรและจำเรียงมองตามไปอย่างเงียบๆ สมควรเงียบขรึม
“ลุง คุณโสมสุภางค์ให้การว่ายังไง”
“บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ”
“งั้นคุณชิดชบาก็หลุดข้อหาพยายามฆ่าน่ะซี”
แท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าประตูรั้ว เถาว์เครือวิ่งลงมาจากแท็กซี่วิ่งขึ้นตึกไป ปากร้องตะโกน เริ่มมีอาการคลุ้มคลั่ง ขาดสติ
“โสม โสมสุภางค์ ฟังแม่นะ โสมสุภางค์.ฟังแม่”
สมควรและจำเรียงมองหน้ากัน สงสัย
“ลุง คุณนายเถาว์เครือเป็นอะไรน่ะ”
ชิดชบาอาเจียนเพราะอาการแพ้ท้องอย่างหนัก โผเผออกจากห้องน้ำ เปิดลิ้นชักค้นหายาแก้แพ้
“ยา ยาแก้แพ้ จำเรียง เห็นยาในลิ้นชักนี่มั้ย จำเรียง”
ชิดชบาเปิดประตูซวนเซออกไป ปฐวีประคองโสมสุภางค์ขึ้นบันไดวนมาถึงชั้นบนสุด เถาว์เครือวิ่งตามขึ้นมาด้วยความโกรธ
“โสมสุภางค์ ทำไมแกให้ปากคำกับตำรวจอย่างนั้น มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันเป็นเรื่องพยายามฆ่า นังชิดชบามันพยายามฆ่าลูก มันผลักลูกตกบันได”
“คุณแม่”
“จบเถอะครับ หยุดที คุณแม่ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น โสมสุภางค์พูดไปหมดแล้ว”
“คุณใช่มั้ย คุณบังคับให้โสมสุภางค์ให้ปากคำเป็นประโยชน์กับนางบำเรอของคุณ”
“ผมจะทำอย่างนั้นทำไม ในเมื่อผมกำลังจะจดทะเบียนสมรสกับโสมสุภางค์”
“เพราะคุณหลอกลูกฉัน หลอกให้ให้การว่ามันเป็นอุบัติเหตุ หลอกเรื่องจดทะเบียนสมรส แล้วลูกฉันก็เชื่อ”
“คุณแม่ วีจะทำอย่างนั้นทำไมคะ เขาแค่ต้องการจบ ไม่ต้องการโยนคนบริสุทธิ์เข้าคุก ชิดชบาบริสุทธิ์”
“เขาทำอย่างนั้นทำไมน่ะหรือ เพราะมันท้อง นังชิดชบากำลังตั้งท้อง”
เถาว์เครือสติแตก ชี้มือไปที่ชิดชบา ชิดชบายืนอยู่ตรงนั้น สะดุ้ง ตื่นตระหนก โสมสุภางค์และปฐวีต่างตกใจ หันไปมองชิดชบา
“เขากำลังจะมีลูกกับนางบำเรอ เขาจะแยแสอะไรกับผู้หญิงขี้โรค ซ้ำยังโง่เหมือนงั่งอย่างแก”
“ไม่ หนูไม่เชื่อ”
“แกต้องเชื่อแม่ มานี่”
“ไม่ค่ะ หนูไม่ไป”
“ฉันเป็นแม่แกนะ มานี่”
เถาว์เครือกระชากโสมสุภางค์อย่างแรง โสมสุภางค์เซถลา ร่วงลงจากบันได เถาว์เครือตกใจ รีบคว้าตัวลูกสาวไว้แต่คว้าผิด คว้าได้ชายผ้าพันคอ ผ้าพันคอหลุดจากลำคอของโสมสุภางค์ ร่างของโสมสุภางค์พลิกหมุนหงายหลังร่วงลงมากระแทกขั้นบันไดชั้นล่าง เหลือกลานสิ้นลมหายใจ
“โสม โสมสุภางค์”
“คุณโสมสุภางค์”
ทุกคนตะลึงงัน สมควรและจำเรียงวิ่งเข้ามาในห้องโถง มองขึ้นมา แพรวาวิ่งตามหลังมา
“โสม”
เถาว์เครือเริ่มรู้สึกตัว หันไปจ้องหน้าปฐวี กรีดร้อง
“แก แกฆ่าลูกฉัน แกฆ่าโสมสุภางค์”
ปฐวีตะลึงงัน ชิดชบาตะลึงค้าง พึมพำเบาๆ อย่างตื่นตระหนก
“โสมสุภางค์”
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 13 (ต่อ)
ธวัชพงษ์เดินลัดเลาะท้องร่องสวนมาอย่างเร่งร้อน จนมาถึงบ้านสวน เขารีบมาเคาะประตู
“ยุวดี ผมเอง ยุ ยุครับ ผมเองครับ”
ยุวดีแง้มประตูเปิด ปอนถือของเล่นแอบอยู่ข้างหลังยุวดี
“คุณธวัชพงษ์ น้องอยู่ในนี้นะ เดี๋ยวพี่คุยกับคุณนักข่าวแป๊บหนึ่ง”
ยุวดีเปิดประตูออกมา ปิดประตูลง
“ผมติดต่อทนายเฉวียงแล้ว ทนายกำลังติดต่อขอคำสั่งศาลคุ้มครองเด็ก เด็กจะปลอดภัยนะ”
“อีกเมื่อไหร่ ให้อยู่ในบ้านสวนนี่ แทบจะไม่ได้เห็นหน้ามนุษย์ ฉันอึดอัด”
“อดทนอีกสองสามวัน ตอนนี้เขามีเรื่องยุ่งๆ กันที่บ้านหลังนั้น”
“เรื่องอะไร”
“คุณโสมสุภางค์ตายแล้ว”
ธวัชพงษ์ถอนหายใจอย่างกังวล
“คุณปฐวีถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่า”
เถาว์เครือร่ำไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจ ชัยยงค์มองเถาว์เครือด้วยแววตาเยือกเย็น
“โสมสุภางค์ตายแล้ว ฉันเป็นคนผลักโสมสุภางค์ตกลงมาจากบันไดนั่น ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่โกรธที่โสมสุภางค์ให้การเป็นประโยชน์ต่อนังชิดชบา มันหลุดเพราะคำให้การของโสมสุภางค์”
“คุณไม่ควรมาที่นี่เลย”
“ฉันไม่รู้จะไปไหน ช่วยฉันด้วย ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้ว ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันฆ่าลูก ฉันกลัว ฉันก็เลย”
“คุณทำถูกแล้วยอดรัก ที่โยนความผิดให้นายปฐวี คุณแน่ใจนะว่าไม่มีใครเห็นตอนที่โสมสุภางค์หลุดจากมือของคุณ ตกบันได”
“ฉัน ฉันไม่รู้”
“เอาล่ะ คุณต้องตั้งสติ ทำใจดีๆ คุณเป็นหญิงเก่ง หญิงแกร่ง หญิงที่ผมรัก คุณต้องกลับไปใส่ชุดดำ แล้วรับศพโสมสุภางค์ออกมาจากโรงพยาบาลด้วยน้ำตานองหน้า เข้าใจที่ผมพูดนะ น้ำตานองหน้าอย่างแม่ แม่ที่เสียใจ จนใจจะขาดเพราะลูกตาย”
เถาว์เครือค่อยๆ ตั้งสติกับคำปลอบโยนอย่างเจ้าเล่ห์ของชัยยงค์
ปฐวีนั่งจมปลักอยู่ในความมืดในห้องปั้น แพรวาเคาะประตูก่อนเปิดเข้ามา เปิดไฟ ปฐวีนั่งก้มหน้านิ่งๆ แพรวาเศร้าสลด
“ตำรวจชันสูตรศพโสมสุภางค์แล้ว พรุ่งนี้ถึงจะรับศพของโสมสุภางค์ไปตั้งที่วัด ฉันโทร.ถึงธวัชพงษ์ให้เขาช่วยจัดการอะไรๆ ให้คุณ เป็นยังไงบ้างคะ”
“คุณเชื่อใช่มั้ยว่าผมฆ่าโสมสุภางค์”
“ฉันตอบคุณไม่ได้หรอกค่ะ ฉันไม่ใช่คนที่เห็นเหตุการณ์ตอนที่โสมสุภางค์ตกลงมา โสมสุภางค์เคยแก้ต่างให้ชิดชบา แต่ถึงตอนนี้โสมสุภางค์แก้ต่างให้คุณไม่ได้แล้ว โสมสุภางค์ตายแล้ว”
แพรวาร้องไห้
“ใช่ โสมสุภางค์”
ปฐวีสะอื้นอย่างเงียบๆ
“ตำรวจรอคุณอยู่ข้างล่าง ไปเถอะค่ะ คุณต้องไปสถานีตำรวจ”
ปฐวีลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เดินไปที่ห้องโถง สบตาชิดชบา ซึ่งยืนเกาะกันอยู่กับตลับนาค ตำรวจเดินเข้ามา
“เชิญคุณปฐวีไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจครับ คุณถูกกล่าวหาว่าฆ่าภรรยา คุณโสมสุภางค์”
ปฐวีมองสบตาชิดชบานิ่งนาน แพรวาแตะแขนของปฐวีเป็นเชิงเตือนให้เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไป ชิดชบาและตลับนาคมองตามไป ตลับนาคถามด้วยสีหน้าน้ำเสียงหวั่นๆ
“หนูเห็นหรือว่าเขาผลักคุณโสมสุภางค์ตกบันได”
ชิดชบากัดริมฝีปากนิ่ง
เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวปฐวีขึ้นรถ โดยมีแพรวาตามไปด้วย ปฐวีเงยหน้าขึ้นมองชิดชบา ซึ่งกำลังยืนจ้องมองอยู่ที่ระเบียง ชิดชบามองปฐวีด้วยความเกลียดชัง
วันรุ่งขึ้น เถาว์เครือร่ำไห้ ท่ามกลางนักข่าวที่ต่างถ่ายรูป และรุมล้อมทำข่าว ทนายยืนอยู่ใกล้ๆ เถาว์เครือ
“ฉันเห็นเขาผลักลูกของฉันตกบันได เขาฆ่าลูกของฉัน เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเขากำลังจะมีลูกกับนางบำเรอ เขาหลอกโสมสุภางค์ เขากับมันร่วมมือกันฆ่าโสมสุภางค์”
ทนายเข้ามาขัดจังหวะ
“ขอโทษนะครับ ลูกความของผมยังไม่พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์”
“ฉันพร้อม ใครบอกว่าฉันไม่พร้อม ฉันพร้อมที่จะแจ้งความจับนายปฐวี เขาเป็นฆาตกร”
“คุณนายเชิญทางนี้ครับ ขอทางด้วยครับ”
“ผมขอร้องนะครับ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย”
“คุณนายแน่ใจได้ยังไงครับ ว่าคุณปฐวีฆ่าภรรยาของเขาโดยวางแผนไว้ก่อน”
“แน่ใจซี เขากับนางบำเรอ จะได้ประโยชน์จากบ้านหลังนั้น”
“เอ่อ คุณนายครับ ทางนี้ครับ”
ตำรวจและทนายพยายามกันตัวเถาว์เครือเข้าไปในสถานีตำรวจ เถาว์เครือหันกลับมาตะโกนใส่นักข่าว
“ฉันจะเอาเขาเข้าคุกให้ได้ เขากับนางบำเรอวางแผนฆ่าลูกของฉัน”
ตำรวจและทนายรีบดึงตัวเถาว์เครือเข้าไปข้างใน
หม่อมจรัสเรืองตื่นตระหนกเมื่อดูข่าวการตายของโสมสุภางค์ อรุณณรงค์รีบลุกขึ้นมาปิดโทรทัศน์
“คุณพระช่วย นี่หนูโสมสุภางค์ตายแล้วหรือ”
“ผมจะโทรไป”
“อย่า อย่าเข้าไปยุ่งกับคนพวกนี้นะชายเอี่ยว ดูเถอะ ฆ่ากันเป็นผักปลา แม่ไม่นึกเลยว่าคนท่าทางดีอย่างคุณปฐวีเขาจะใจร้าย ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้หญิงขี้โรคอย่างหนูโสมสุภางค์ แม่สงสารคุณเถาว์เครือ”
“แม่ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องซับซ้อนนะครับ ตำรวจเขาต้องหาตัวคนผิด ถ้ามันเป็นเรื่องพยายามฆ่าจริงๆ”
“จะให้แม่คิดยังไงล่ะ หนูโสมสุภางค์ตายทั้งคนนะ”
“จำเรื่องชิดชบาได้มั้ยครับ ชิดชบาก็เคยถูกคุณนายเถาว์เครือกล่าวหาว่าพยายามฆ่า แต่คำให้การของโสมสุภางค์กลับไม่ใช่ เรื่องนี้ ผมว่ามันยังมีข้อสงสัย”
อรุณณรงค์เคร่งขรึม
ปฐวียืนกอดอกนิ่งๆ เงียบๆ อยู่ในห้องขัง เฉวียงเดินเข้ามา ปฐวีเงยหน้าขึ้นมองเฉวียงด้วยความแปลกใจ
“ผมยื่นประกันตัวคุณแล้ว ผมไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะถือว่าผมมีกำลังที่จะทำได้ แต่”
“คุณเถาว์เครือค้านการประกันตัวใช่มั้ย”
“เอ่อ”
“เรื่องมันเหมือนตอนที่ชิดชบาต้องคดี มันเหมือนหนังม้วนเก่าที่เอากลับมาฉายใหม่ ผมจะต้องเข้าคุก โดนเก็บเพื่อปิดปาก เหมือนอย่างที่ชิดชบาเคยโดนกระทำ คุณเฉวียง ชิดชบากำลังจะมีลูกกับผมใช่มั้ย”
“คุณอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องนั้นเลย ผมว่าคุณหาทางออกไปจากที่นี่เพื่อทำศพคุณโสมสุภางค์ดีกว่า มันจะทำให้คุณยังดูดี”
“โสมสุภางค์”
ปฐวีน้ำตาคลอ
“ผมไม่เคยต้องการให้โสมสุภางค์ตายเลย ผม ผมเสียใจที่คว้าโสมสุภางค์ไว้ไม่ทัน ถ้าผมมีสติกว่านี้โสมสุภางค์จะไม่ตาย”
“ตอนนี้คุณต้องใช้สติให้มาก เพื่อช่วยตัวเองให้รอด คุณต้องหาตัวช่วย คิดดีๆ ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร”
ปฐวีนิ่งงัน พึมพำเบาๆ
“ชิดชบา”
ตลับนาคลงนั่งใกล้ๆ ชิดชบา ชิดชบานั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนเตียงนอน มือบิดผ้าแพรไปมาด้วยความเครียด
“หนูอยากไปงานศพของโสมสุภางค์ค่ะ อยากไปขออโหสิกรรมที่หนูเคยล่วงเกิน เคยเกลียด เคยเอาชนะคะคานโสมสุภางค์ หนูไม่คิดเลยว่า”
“จะดีหรือ หนูกำลังท้อง มีข้อกล่าวหาว่าหนูร่วมมือกับคุณปฐวีฆ่าเมียของเขา”
“หนูไม่สนว่าใครเขาจะคิดหรือมองหนูยังไง หนูแค่อยากไปขออโหสิกรรม หนูรู้แล้วค่ะ ว่าโสมสุภางค์เป็นคนยังไง”
“ถ้าหนูตัดสินใจอย่างนั้น ป้าจะไปเป็นเพื่อน”
ตลับนาคจับมือชิดชบาอย่างปลอบโยน
ภายในงานศพโสมสุภางค์ หม่อมจรัสเรืองและอุราศรีต่างปลอบโยนเถาว์เครือด้วยความสงสาร สลดหดหู่ใจ
เถาว์เครือร่ำไห้คร่ำครวญ ชัยยงค์และถกลนั่งอยู่ไกลๆ
“โสมสุภางค์ ไม่น่าเลย แม่ยังเห็นลูกอยู่หลัดๆ เพิ่งจะจูงลูกเดินอยู่เมื่อวานนี้เอง วันนี้แม่ไม่ได้เห็นลูกแล้ว ไม่ได้จูงมือลูกเดินอีกแล้ว”
แพรวาเมินหน้าไปถอนหายใจ เพราะรู้ว่าเถาว์เครือกล่าวเท็จ
“คุณเถาว์เครือ หักอกหักใจแล้วตั้งสติก่อนเถอะค่ะ เราทุกคนรู้สึกเสียใจ ก็ไม่นึกเหมือนกันค่ะว่าเรื่องมันจะ”
“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”
อรุณณรงค์พูดขึ้น ตามด้วยอุราศรี
“ค่ะ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะคุณเถาว์เครือ”
ชิดชบาเดินเข้ามาพร้อมกับตลับนาค เถาว์เครือลุกขึ้นยืนแผดเสียงดังด้วยความโกรธแค้น ทุกคนต่างหันมามองชิดชบา
“ออกไป ใครใช้ให้แกเหยียบเข้ามาในงานศพของลูกสาวฉัน ใส่ชุดดำไว้ทุกข์ ทั้งที่แกดีใจจนเนื้อเต้นที่ลูกฉันตาย ลูกในท้องแกจะได้มีพ่อ”
อรุณณรงค์อุทานเบาๆ
“ลูกหรือ”
“มันท้อง เพราะมันมีลูกกับปฐวี เขาถึงได้เลือกมันแล้วฆ่าลูกฉัน เขาผลักโสมสุภางค์ตกบันได เพราะมัน”
นักข่าวเข้ามารุมล้อมถ่ายรูป ตลับนาคเตือนชิดชบา
“ไปจุดธูปก่อนเถอะ ขอขมาลาโทษผู้ตายแล้วเราจะได้กลับ”
“ค่ะ”
ชิดชบาเข้าไปจุดธูปหน้าศพของโสมสุภางค์ เถาว์เครือแผดเสียงประจาน
“ดูนะ ดูหน้านางบำเรอของปฐวีไว้ มันหน้าด้านหน้าทน มันไม่กลัวผิดกลัวบาป ทั้งที่ลูกฉันเคยช่วยให้มันรอดคุก ดูนะ ดูหน้าอีนังมารร้ายไว้ มันร่วมมือกับปฐวีฆ่าลูกของฉัน”
“ฉันว่า คุณต้องตั้งสติให้ดีๆ เพื่อเสียใจดีกว่านะ ความเสียใจน่ะมันต้องใช้เวลา”
ตลับนาคเดินผ่านเถาว์เครือเข้าไปนั่งพับเพียบใกล้ๆ ชิดชบา เถาว์เครืออ้าปากค้าง นิ่งอึ้ง
หลังไหว้ศพเสร็จแล้ว ชิดชบาและตลับนาคเดินมาที่รถอย่างเงียบๆ อรุณณรงค์วิ่งตามมา
“ชิดชบา ผมเสียใจเรื่องที่”
ชิดชบาหันมาเผชิญหน้ากับอรุณณรงค์ด้วยรอยยิ้ม และท่าทีห่างเหิน
“เราต่างก็เสียใจด้วยกันทุกคน ทุกเรื่อง ฉันต้องกลับก่อนล่ะค่ะ ฉันขออโหสิกรรมต่อคุณโสมสุภางค์แล้ว”
“ชิดชบา”
ชิดชบายิ้มอย่างฝืนๆ ก่อนขับรถออกไป
“ชิดชบา”
ชัยยงค์เปิดประตูห้องนอนออกมา ชะงัก มองข่าวโทรทัศน์
“ตำรวจพบเด็กที่สูญหาย และศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้มีการคุ้มครองเด็กเพื่อความปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่จากแผนกจิตวิทยาเด็กเข้าร่วมการสอบปากคำ เนื่องจากเป็นผู้เยาว์ และเป็นพยานสำคัญที่จะสืบไปถึงผู้เกี่ยวข้องในการฆ่ามารดา”
ยุวดี ปอน ตำรวจและเจ้าหน้าที่คุมตัวเด็กไปสู่การคุ้มครอง ชัยยงค์รีบปิดโทรทัศน์ เริ่มกังวล รีบโทรศัพท์ถึงเถาว์เครือด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด แต่พยายามระงับอารมณ์ แสร้งพูดดี
“คุณหรือ ออกมาพบผมหน่อยได้มั้ย”
ปอนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเหงาๆ ภายในสถานีตำรวจ มือกอดของเล่นที่ยุวดีซื้อให้ ยุวดีลงนั่งใกล้ๆ
“น้องไม่ต้องกลัวนะ ตำรวจเขาจะหาที่อยู่ที่ปลอดภัยให้น้อง พอน้องให้ปากคำเสร็จ เขาจะพาน้องกลับไปส่งบ้าน จะมีทนาย มีนักจิตวิทยา มีตำรวจ อยู่ในห้องสอบสวน ถ้าน้องอยากตอบคำถามก็ตอบ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ ไมมีใครบังคับน้อง เพราะเรามีกฎหมายคุ้มครองเด็ก”
ปอนจ้องหน้ายุวดีนิ่งๆ
“พี่หมดหน้าที่แล้ว พี่จะกลับไปใช้ชีวิตของพี่”
ปอนผวาเข้ามากอดคอยุวดี ร้องไห้ ยุวดีปลอบโยน พยายามกลั้นน้ำตา
“พี่ก็รักใครไม่เป็นหรอก แต่พี่รักน้องนะ น้องจะต้องปลอดภัย ของเล่นนี่เก็บไว้นะ”
ทั้งสองต่างกอดกันและกันร้องไห้
ชัยยงค์ขับรถเข้ามาจอดบนถนนเปลี่ยวของสันเขื่อน เถาว์เครือเศร้าหมอง เซื่องซึม น้ำตาคลอ
“ที่ผมไม่ได้พาคุณไปที่คอนโด ก็เพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นคุณกับผม ตอนนี้ใครๆ ก็รู้จักคุณ เพราะคุณเป็นข่าวคดีใหญ่ทุกวัน”
“ฉัน ฉันฆ่าโสมสุภางค์ ฉันเป็นคนผลักโสมสุภางค์ตกบันได ฉัน ฉันโกรธจนลืมตัว.”
“เรื่องมันเลยเถิดมาจนป่านนี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือโยนความผิดให้ปฐวี คุณทำถูกแล้ว เอาเขาเข้าคุกให้ได้ เพราะถ้าเขาอยู่นอกคุก เขากับชิดชบาอาจจะให้การปรักปรำคุณ คุณจะกลายเป็นฆาตกร”
“คุณจะให้ฉันทำยังไง”
“คุณต้องส่งปฐวีเข้าคุก แบบที่คุณส่งชิดชบาเข้าไป ร้องขอค้านการประกันตัว อ้างเหตุว่าเขามีอิทธิพล เขาข่มขู่คุณ หรืออะไรก็ได้ แล้วผมจะจัดการเอง”
“คุณจะฆ่าเขาหรือ”
“เขายังไม่ได้จดทะเบียนกับลูกของคุณ บ้านก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นของใคร ไอ้ที่เราคิดไว้มันผิดพลาดหมด ผมจำเป็นต้องเก็บปฐวีในคุก”
ชัยยงค์เหี้ยมโหด
ประตูด้านหน้าของเรือนจำเปิดออก รถของเรือนจำที่มีปฐวีแล่นผ่านเข้าไป ปฐวีผ่านขั้นตอนต่างๆ
ในการนำตัวฝากขังในเรือนจำชั่วคราว หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจรับคำร้องคัดค้านการประกันตัว ประตูด่านสุดท้ายภายในเรือนจำกระแทกปิดลง ปฐวีมองไปรอบๆ ด้วยแววตาเงียบงัน
ชิดชบามีท่าทีอิดโดย เพราะอาการแพ้ท้อง โผเผลงมาจากบันได เข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ยาว อิงศีรษะหลับตานิ่งๆ
แพรวาเดินเข้ามาพร้อมน้ำดื่ม
“น้ำค่ะ คุณควรดื่มน้ำมากๆ มันจะช่วยให้มีอาการแพ้น้อยลง”
“คุณหมอ”
“พอเสร็จงานศพของโสมสุภางค์แล้ว ฉันก็จะกลับ ตำรวจคงจะมีหมายเรียกพวกเราทุกคนไปให้ปากคำ สมควร จำเรียง คุณแม่ ฉัน หรือแม้แต่คุณ”
ชิดชบาหลบสายตาแพรวา เมินไป
“เราทุกคนมีหน้าที่พูดความจริง คุณหมอกำลังจะเตือนฉันอย่างนั้นใช่มั้ยคะ ฉันรู้ค่ะ ว่าการที่จะมีสักคน โกหก ก็ต้องมีคนบางคนลำบากเลือดตาแทบกระเด็น”
“ฉันไม่รู้ว่า ตอนที่เกิดเหตุเรื่องมันเป็นยังไง แต่ฉันเชื่อว่า คุณรู้ เพราะคุณเห็น”
“คุณหมอเพิ่งจะบอกฉันว่า เราทุกคนมีหน้าที่ต้องพูดความจริงไม่ใช่หรือคะ แล้วคุณหมอจะกลัวอะไร”
แพรวาจ้องหน้าชิดชบา
“ฉันกลัวความแค้นที่มันยังฝังอยู่ในตัวคุณ”
เจ้าหน้าที่เรือนจำนำปฐวีออกมายังห้องเยี่ยมญาติ ธวัชพงษ์นั่งหันข้างรออยู่ ปฐวีนั่งลงอีกฝั่งหนึ่งของกระจกที่กั้นอยู่ มองหน้าธวัชพงษ์ด้วยความแปลกใจ
“คุณเองหรือ”
“ครับ ผมเอง”
“รักษาสถิติ ในการเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาคดีร้ายแรง โดยขอเข้าเยี่ยมเป็นคนแรก”
“ผมมีหลักฐานที่เชื่อมโยงพวกนายชัยยงค์กับลูกชายก็จริง แต่ผมก็เชื่อว่ามันช่วยไม่ได้มาก”
“แล้วไง”
“คนที่จะช่วยคุณให้รอดได้ ต้องเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์วันนั้น”
“ชิดชบาหรือ”
ปฐวีนิ่งไป สิ้นหวัง
“ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้ฆ่าคุณโสมสุภางค์”
“ความเชื่อของคุณจะมีประโยชน์อะไร”
“แต่ผมมีไง ถึงผมจะไม่ชอบหน้าคุณ แต่ผมมีความเชื่อว่าคุณไม่ได้ฆ่า คุณต้องอยู่นิ่งๆ ไว้ เรื่องข้างนอกนี่ผมจัดการเอง”
“ธวัชพงษ์”
“อนุญาตให้หนูตัวนี้ ช่วยราชสีห์สักครั้ง ได้มั้ยครับ”
ทั้งสองต่างสบตากันอย่างท้าทาย
สมควรนั่งกินข้าวอย่างเงียบๆ จำเรียงยกกับข้าวลงมาจากตึก ถอนหายใจอย่างกังวล
“บ้านเงียบ มีคนอยู่ก็เหมือนไม่มี ไม่มีใครโผล่หน้าออกมาจากห้อง อาหารเช้าไม่มีใครแตะ ลุง”
“มีอะไร”
“ลุงเชื่อมั้ยว่าคุณปฐวีเป็นคนผลักคุณโสมสุภางค์ตกบันได ฉันก็เห็นว่าเจ้านายห่วงใยใส่ใจคุณโสมสุภางค์จะตายไป จะว่าเป็นคุณชิดชบาก็ไม่ใช่อีก คุณชิดชบาเพิ่งจะหลุดจากข้อกล่าวหาของคุณนายเพราะคุณโสมสุภางค์”
“ใช่”
สมควรค่อนข้างเงียบ เศร้า ว้าวุ่น
“ข้าก็เคยเข้าใจผิดคุณชิดชบา ข้าก็เลยไม่อยากเข้าใจเจ้านายผิดๆ อีก”
“งั้นก็หมายความว่า ลุงไม่เชื่อคำกล่าวหาของคุณนายเถาว์เครือใช่มั้ย”
“หรือว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุอีก”
ชิดชบานั่งเขี่ยอาหารในจานอย่างเงียบๆ เพราะกินไม่ลงเนื่องจากอาการแพ้ท้อง ตลับนาคปอกผลไม้ให้
“คุณเถาว์เครือไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งแต่เกิดเรื่อง คงจะกลับไปอยู่บ้าน น่าสงสารนะ เคยอยู่กันสองคนแม่ลูก จู่ๆ โสมสุภางค์ก็มาตาย คุณนายเถาว์เครือเลยเหมือนคนบ้าคนบอเข้าไปทุกวัน ชิดชบา กินไม่ลงอีกแล้วหรือ”
“ค่ะ”
“ไปหาหมอเถอะ คนท้องน่ะ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ตั้งแต่ท้องเดือนแรกนะ นี่กี่เดือนแล้ว”
“เอ่อ”
ชิดชบาลุกขึ้น จะเดินออกไป
“ยังไงเราก็ต้องพูดกัน เพราะท้องของหนูไม่อยู่นิ่งๆ หรอก ท้องจะใหญ่ขึ้นทุกวัน ลูกก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ หนูเป็นแม่ มีหน้าที่ต้องดูแลตัวเองกับลูกในท้องให้ดี”
ชิดชบาสะเทือนใจ
“ไปเยี่ยมคุณปฐวีเขาบ้างหรือเปล่า เขาว่ายังไงบ้าง”
“เปล่าค่ะ”
“เขาเป็นพ่อของลูกในท้องหนูนะ สถานะของเขาตอนนี้ไม่ดีเลย คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเขาเป็นฆาตกร ก็คงจะ”
“คงจะเหมือนหนู ตอนที่เขาส่งหนูไปที่นั่น”
“ชิดชบา นี่หนูยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกหรือ”
“หนูต้องคิดถึงมันทุกลมหายใจเข้าออก เพราะหนูต้องใช้ชีวิตในคุกอย่างทุกข์ทรมาน หนูจะแก้แค้นเขาค่ะ คุณป้า”
“ชิดชบา”
ตลับนาคสะเทือนใจ
เจ้าหน้าที่เรือนจำนำปฐวีออกมายังห้องเยี่ยมญาติ ชิดชบานั่งรออยู่ โดยไม่มองหน้าปฐวี ปฐวีทรุดตัวลงนั่ง มองผ่านกระจกกั้นมายังชิดชบา ต่างนั่งกันนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ชิดชบาเชิดหน้า น้ำเสียงแววตาอาฆาต
“ฉันรู้ ว่าคุณโสมสุภางค์ตายเพราะอะไร ฉันกำลังรอให้คุณคุกเข่าลงแล้วขอร้องให้ฉันพูดความจริง มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันเป็นการฆ่า”
ปฐวีนิ่งนาน ก่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณเป็นยังไงบ้าง คุณกับลูก”
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 13 (ต่อ)
เจ้าหน้าที่เรือนจำเปิดประตูออก ชิดชบาเดินออกมาจากเรือนจำ ตรงไปที่รถ โดยชัยญาและถกลแอบมองตามไป
ทั้งสองจอดรถซุ่มอยู่ ชิดชบาเปิดกระเป๋าถือ หยิบกุญแจรถออกมากดล็อค สะดุ้งสุดตัวเมื่อธวัชพงษ์เข้ามาแย่งกุญแจรถ
“ธวัชพงษ์”
“เจ้ากรรมนายเวรของคุณอยู่นั่น”
ทั้งสองมองไปที่รถของชัยญาและถกลที่จอดอยู่ ชิดชบาตกใจ
“ผมขับเอง”
ธวัชพงษ์ขับรถออกไป ชัยญาและถกลมองด้วยความโกรธ
ชัยยงค์ ชัยญาและถกล เดินไปมาอย่างร้อนใจอยู่ที่คอนโดฯ
“ชิดชบาขอเข้าเยี่ยมปฐวีอย่างนั้นหรือ มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับคดีโสมสุภางค์แน่ สั่งคนของแกข้างในเก็บปฐวีให้เร็วที่สุด อย่าให้เขามีโอกาสแก้ต่างความผิด”
“ผมดูว่า เรื่องมันชักจะไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดนะพ่อ”
“ใช่ ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเตลิดมาถึงขั้นนี้ บ้านหลังนั้นไม่มีชื่อของโสมสุภางค์ เพราะโสมสุภางค์ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส คุณเถาว์เครือไม่รู้จะทำยังไง เลยย้ายกลับบ้านเดิม ตอนนี้เราทำได้แค่”
“อะไรครับ พ่อ”
“พยายามปกป้องตัวเอง อย่าให้ติดคุก”
“พ่อ ผมพอเห็นประโยชน์ที่เราจะได้จากเรื่องนี้ ดิสเครดิตของปฐวี พอเขาเป็นข่าวดัง เรื่องสร้างบ่อนพนันกลางเมืองต้องยกเลิก”
“ก็แค่นั้น”
“มองโลกในแง่ดีไว้ดีกว่าครับพ่อ ถ้าปฐวีเข้าคุกจริงๆ มันก็ปิดโอกาสที่เขาจะเข้าไปเล่นการเมือง”
“อือ”
ชัยยงค์นิ่งคิด ก่อนพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ใช่”
ถกลเดินเข้ามา
“ผมจะให้คนของผมเก็บปฐวีในคุก”
ภายในเรือนจำ นักโทษหน้าเหี้ยม ยืนเหลาไม้แหลมด้วยฝากระป๋องที่ดัดแปลงให้มีคม มองปฐวีด้วยแววตามุ่งร้าย เจ้าหน้าที่พาปฐวีกลับมาแดนขัง ปฐวีมองสบตานักโทษ ก่อนชะงัก ทั้งสองสบตากัน ปฐวีมีบุคลิกของความเหี้ยมและนิ่งที่เหนือกว่านักโทษ
“ฉันรู้ว่าแกติดคดีฆ่าคนตาย แต่ฉันสาบานไว้ ถ้าเล็บฉันหัก หรือผิวถลอกสักนิด คนที่อยู่นอกคุก คนที่รักแก คนที่แกรักเดือดร้อนแน่ แกรู้นะ ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”
ปฐวีจ้องลึกลงไปในดวงตาของนักโทษด้วยพลังที่เหนือกว่า นักโทษเริ่มตื่นตระหนกเมื่อนึกถึงความปลอดภัยของครอบครัวตัวเอง
ธวัชพงษ์และชิดชบานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟอย่างเคร่งเครียด
“ผมส่งหลักฐานจากกล้องวิดีโอ เฉพาะที่เป็นประโยชน์กับคดีบุญถิ่น คุณอาจจะหลุดข้อสงสัยเรื่องคุณโสมสุภางค์ แต่ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องการฆ่าบุญถิ่น”
“คุณลุงเฉวียงวางแผนยังไง”
“ทนายเฉวียงกำลังรวบรวมหลักฐานใหม่ๆ เพื่อยื่นต่อศาล ภาพกับเสียงในคลิปนั่นจะยืนยันสถานะของคุณนายเถาว์เครือว่าเป็นพวกเดียวกับนายชัยยงค์ นายชัยญากับคนของมัน”
“มันชัดเจนพอจะทำให้ศาลเชื่อได้มั้ยว่าพวกมันวางแผนฆ่าบุญถิ่น”
“เรายังมีเด็กที่เป็นพยานอีกปากซัดทอดคนของนายชัยยงค์ ผมมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วนะ แล้วคุณล่ะ คุณพบคุณปฐวีเขาเรื่อง”
“เปล่า”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องลูก แล้วคุณมาเยี่ยมเขาทำไม”
“ฉันคงแค่อยากตอบแทน เพราะตอนที่ฉันติดคุก เขาเคยเข้ามาเยี่ยม เอาอาหารดีๆ มาเลี้ยง มาดูว่าฉันตายหรือยัง”
ธวัชพงษ์นิ่ง มองหน้าชิดชบา เห็นแววตาสะเทือนใจกึ่งคั่งแค้นของชิดชบา
“คุณมาพบเขาด้วยเหตุผลแค่นี้เองหรือ”
“ก็ได้ ฉันมาแสดงตัวตนของคนที่ถือไพ่เหนือกว่าเขา เกมพนันเกมนี้มันเริ่มพลิก เขาเคยถือแต้มที่สูงกว่าพ่อ จนพ่อต้องเป็นฝ่ายแพ้ แต่ตอนนี้ลูกของพ่อ ถือแต้มสูงสุด มันอยู่ที่ ฉันจะให้ทางเลือกเขา ว่าเขาจะตายแบบไหน”
“ชิดชบา”
ธวัชพงษ์ตื่นตระหนกกับความคิดของชิดชบา
ปฐวียืนกอดอกพิงต้นไม้อย่างเงียบๆ
ภายในเรือนจำ นักโทษต่างเล่นกีฬา บ้างออกกำลังกาย บ้างจับกลุ่มคุยกัน นักโทษมองปฐวีด้วยแววตาเงียบๆ มีความเกรงกลัวอยู่ในที นักโทษกล้ามใหญ่เดินเข้ามา ชนนักโทษคนอื่นกระเด็นออกไป ก่อนจะเดินเข้ามาหาปฐวี ปฐวีชำเลืองมองด้วยแววตาเย็นชา
“รู้มั้ย นี่อะไร รอยสัก แล้วรู้มั้ยว่าเป็นเสือเผ่นของอาจารย์ไหน”
นักโทษคนอื่นๆ เริ่มล้อมเข้ามา เพื่อกันไว้ไม่ให้ผู้คุมเห็น ปฐวีและนักโทษกล้ามใหญ่ต่อสู้กัน ในวงล้อมของนักโทษที่ล้อมไว้ ปฐวีใช้วิธีการต่อสู้อย่างมีชั้นเชิงที่เหนือกว่า จนนักโทษกล้ามใหญ่ร่วงลงไปกองกับพื้น หน้าตาแตกยับเยิน ปฐวีเดินเข้ามาหยุดยืนเหนือร่างของนักโทษกล้ามใหญ่
“เผ่นกลับไปหาอาจารย์แก แล้วเผาสำนักทิ้งซะ”
ปฐวีก้าวข้ามร่างของนักโทษกล้ามใหญ่ออกไป นักโทษคนอื่นมองปฐวี ด้วยความแปลกใจ
อุราศรีเก็บงานบนโต๊ะ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอมองหน้าจอเห็นรูปของชัยญา อุราศรีลังเลที่จะรับสาย อรุณณรงค์เดินเข้ามา อุราศรีตัดสินใจรับสาย
“ค่ะ กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
อุราศรีฉวยกระเป๋าถือ เดินผ่านอรุณณรงค์ออกไป อรุณณรงค์รีบตามไปที่ลานจอดรถ รั้งแขนของอุราศรีไว้
“คุณจะไปไหน”
“ปล่อยฉันค่ะ คุณจะมารั้งฉันไว้ทำไม”
ชัยญายืนพิงรถ ยิ้มกวนๆ
“ใช่ครับ คุณชายอรุณณรงค์ทำแบบนี้เสียภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษนะครับ กรุณาปล่อยคุณหญิงอุราศรี เพราะว่า วันนี้ผมขอนัดแบบเฉพาะกิจ ระหว่างผมกับคุณหญิงอุราศรี สองคน”
“ผมไม่อนุญาต”
“ไม่อนุญาตในฐานะอะไรไม่ทราบ”
“คู่หมั้น”
อรุณณรงค์ยกมืออุราศรีขึ้น ชัยญาจ้องมองแหวนหมั้นด้วยความแปลกใจ อุราศรีหลบสายตา
“ผมกับคุณหญิงอุราศรีหมั้นกันแล้ว ผมไม่ต้องการให้คู่หมั้นของผมไปแข่งรถ หรือไปสนามกอล์ฟโดยไม่มีผมไปด้วย”
“คุณหญิง”
“เอ่อ”
“ข้อสำคัญห้ามไปผับไปร้านเหล้า ไอ้แบบที่มีบริการพิเศษผสมยานอนหลับในเหล้า”
อุราศีทั้งโกรธทั้งอาย
“คุณชายเอี่ยว”
“ผมเป็นผู้ชายแหยๆ ที่ไม่กล้าเสี่ยงเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับของสกปรก เพราะของสกปรกทุกอย่าง เหม็น”
“พอเถอะ หยุดที”
“ใช่ ดูคุณหญิงอุราศรีไม่ค่อยจะปลื้มแหวนหมั้นที่สวมอยู่เลยนะครับคุณชายอรุณณรงค์ เรื่องคลุมถุงชนนี่น่าจะเลิกไปแล้ว ผมเลยแปลกใจที่ยังมี”
“ทิ้งรถคุณไว้ที่นี่ ผมจะไปส่งคุณที่บ้าน”
อรุณณรงค์จับแขนของอุราศรีไว้แน่น เริ่มหึงหวงโดยไม่รู้ตัว
“ปล่อยฉันนะ คุณกำลังจะเสียมารยาท”
“ผมเป็นคู่หมั้นขี้หึง คิดอย่างนี้ครับ ง่ายดี ไป”
อรุณณรงค์ดึงอุราศรีไปที่รถของตัวเอง แล้วขับออกไป ชัยญาโกรธมาก
แพรวาเก็บข้าวของลงกระเป๋า เตรียมจะออกจากคฤหาสน์ของปฐวี ชิดชบาเดินเข้ามายืนที่ประตู ต่างอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง
“ฉันจะเลยไปดูคุณเถาว์เครือแล้วกลับบ้าน ไม่มีโสมสุภางค์แล้ว ฉันก็ไม่มีหน้าที่ต้องอยู่ที่นี่ คุณยังต้องอยู่ถ้าคิดว่าเกมนี้ยังไม่จบ”
“ใช่ค่ะคุณหมอ มันยังไม่จบ”
“มันไม่จบง่ายๆ เพราะคุณมีลูกกับเขา ความแค้นก็เหมือนไฟ มันสุมอยู่ในอกทุกวันทุกคืน คนที่จะดับมันได้คือตัวคุณเอง”
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของคุณหมอ ฉันรู้ค่ะ ว่าฉันต้องการอะไร”
“ชิดชบา ลูก ล้างใจคุณไม่ได้เลยหรือ เขากำลังจะเกิดมาตอนที่คุณส่งพ่อของลูกไปลงนรก”
“นี่คุณหมอกำลังจะขอร้องให้ฉันให้การเป็นประโยชน์กับคดีของเขา เหมือนอย่างที่คุณโสมสุภางค์ให้การว่าคดีของฉันเป็นอุบัติเหตุ”
แพรวาเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับชิดชบา
“ขึ้นอยู่กับความจริงที่คุณกำมันไว้ ฉันมองตาคุณ ฉันเห็นแต่ความแค้น ไม่เห็นอะไรเลย แม้แต่ความจริง”
แพรวาเดินลงบันไดไป ชิดชบาถอนหายใจยาว มองไปรอบๆ คฤหาสน์
“ไม่ นี่คือเกม นี่เป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะได้บ้านหลังนี้กลับมาเป็นของฉัน มันเป็นโอกาสเดียว”ชิดชบาแค้น
เถาว์เครือกลับมาที่บ้านของเธอ ค่อยๆ วางรูปถ่ายจากงานศพของโสมสุภางค์ลง ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“โสมสุภางค์ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่ทำลงไปเพราะความโกรธ โกรธที่ลูกเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ แม่รักลูก แม่เลี้ยงลูกมาทุกอย่าง แม่ยอม ไม่ว่าลูกจะโง่หรือฉลาด แม่ยอมได้ทั้งนั้น แล้วทำไมแค่เรื่องนี้ ลูกถึงยอมแม่ไม่ได้ โสมสุภางค์ แม่ แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะผลักลูกตกบันได แม่ขอโทษ”
แพรวายืนอยู่ที่ประตู ไม่ได้ยินประโยคสุดท้าย
“คุณแม่”
เถาว์เครือสะดุ้ง หันขวับ รีบปาดน้ำตาทิ้ง มึนตึง เย็นชา
“มาทำไม ไม่มีโสมสุภางค์แล้ว ฉันไม่อยากนับญาติใครเป็นเพื่อนของลูก”
“หนูแวะมาดูคุณแม่ค่ะ ห่วงว่าคุณแม่อยู่คนเดียว”
“ไม่ต้องมาห่วงฉัน บ้านที่มีแต่เสือสิงกระทิงเขี้ยว ฉันยังอยู่มาแล้ว แล้วทำไมฉันจะอยู่บ้านของตัวเองคนเดียวไม่ได้”
“เราทุกคนต่างก็เสียใจเรื่องการตายของโสมสุภางค์ ชิดชบาหรือแม้แต่คุณปฐวีเขาก็”
“นี่ อย่าเอาคนพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับคนตาย มันร่วมมือกันฆ่าลูกฉัน ฉันจะเอามันเข้าคุกทั้งหมด หมอออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว ไม่ต้องมาให้ฉันสังเวชตัวเอง เพราะฉันจะมีชีวิตใหม่”
เถาว์เครือเชิดหน้า พยายามเก็บความเจ็บปวดและขมขื่นไว้ในท่าที
“คุณแม่จะมีชีวิตใหม่ กับผู้ชายที่มีเบื้องหลังสารเลวคนนั้นน่ะหรือคะ นี่ใช่มั้ยคะ ที่ทำให้คุณแม่ทะเลาะกับโสมสุภางค์วันนั้น”
“หมอแพรวา ฉันไม่ต้องการพูดถึงมันอีก”
“คุณแม่ต้องพูดในศาลว่าอะไรคือความจริง ไม่อย่างนั้น คุณแม่จะต้องแบกมันไปตลอดชีวิต”
“ออกไป”
เถาว์เครือตวาด ชี้นิ้วไปที่ประตู
“ฉันบอกให้ออกไป”
แพรวาเดินออกไป ก่อนหันมามองเถาว์เครือด้วยความเสียใจ เถาว์เครือร่ำไห้ ลนลาน หันรีหันขวาง ทำอะไรไม่ถูก
“คุณ คุณชัยยงค์ ช่วยด้วย”
ธวัชพงษ์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำที่คอนโดฯ สัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น เขารีบเปิดภาพที่ส่งมาจากกล้องวงจรปิดในห้องของชัยยงค์ เป็นภาพชัยยงค์เกรี้ยวกราดกับชัยญาและถกล เมื่อฆ่าปฐวีในคุกไม่สำเร็จ
“คนของแกมันไม่มีน้ำยาน่ะซี ถึงได้ฆ่าปฐวีไม่ได้ คุยว่าในนั้นมีแต่เสือสิงกระทิงแรด แล้วไง ไหนล่ะ ศพปฐวี”
“พ่อ ผมว่าพ่ออย่าเอาแต่โมโหเลย คนอย่างปฐวีถ้าฆ่าเขาง่ายๆ ป่านนี้เขาตายไปนานแล้ว ไม่อยู่มาจนมีกำลังบีบคุณชิดชงค์ให้ฆ่าตัวตายหรอก”
ชัยยงค์เริ่มร้อน เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้า
“เขาไม่ได้หนังหนาไปกว่าแรดหรอก รีบฆ่าปิดปากเขาซะ ถ้าเขาออกมาจากคุกเมื่อไหร่ พวกเราทั้งหมดรวมทั้งคุณนายเถาว์เครือจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในคุกแทนเขา คดีบุญถิ่น แกก็ทำชุ่ยจนเด็กหนีไปอยู่ในความคุ้มครองของศาลแล้ว ฉันมองไม่เห็นเงาหัวแกเลยนะถกล
“เอ่อ”
“เฮ้ย ทำไมแอร์มันร้อนอย่างนี้วะ”
“แอร์เสียมังครับนาย”
ชัยยงค์ชี้หน้าชัยญา
“อย่าเสียเวลากับผู้หญิง หาทางส่งคนเข้าไปเก็บปฐวีแบบเนียนๆ ตอนนี้คุณนายเถาว์เครือย้ายออกมาจาก
บ้านหลังนั้นแล้ว ไอ้ที่เราเคยหวัง มันเหลือแต่ซากล้วนๆ รู้มั้ย ตอนนี้ฉันแทบจะไม่เหลืออะไรเลย เฮ้ย ทำไมมันร้อนอย่างนี้วะ”
ชัยยงค์เกรี้ยวกราด มองขึ้นไปยังเครื่องปรับอากาศ ที่ธวัชพงษ์ซ่อนกล้องไว้
“แอร์เสียหรือ เรียกช่างแอร์มาซ่อมซีวะ”
ธวัชพงษ์สะดุ้ง รีบปิดโทรศัพท์ เก็บโทรศัพท์ซ่อนไว้กับตัว แล้วถอดเสื้อคลุมชุดช่างออก เตรียมหนี ชัยญาและถกลเดินออกมาจากลิฟท์ เห็นธวัชพงษ์
“นั่นมันไอ้นักข่าวนี่”
“ธวัชพงษ์ หรือว่า ที่แอร์เสียก็เพราะว่า เฮ้ย จับมัน”
ธวัชพงษ์เปิดประตูฉุกเฉินวิ่งออกไปยังลานจอดรถ ชัยญาและถกลไล่ยิง ธวัชพงษ์วิ่งมาจนมุมบนที่สูง มองลงไปยังพื้นข้างล่าง เริ่มหวั่นๆ หันกลับไปมอง เห็นชัยญาและถกลวิ่งตามเข้ามา ธวัชพงษ์ตัดสินใจกระโดดลงมา
ชัยญาและถกลวิ่งตามมา ต่างชะโงกมองหาธวัชพงษ์แต่ไม่พบ
“มันรอดไปได้ยังไงวะ งง”
“นั่นน่ะซีครับ นี่มันตึกตั้งสิบชั้นนะครับ นาย”
ทั้งสองหันมาสบตากันอย่างงงๆ
ยามเดินตรวจอยู่ในอาคารจอดรถยนต์ เห็นธวัชพงษ์ห้อยอยู่บนบันไดหนีไฟของลานจอดรถ ธวัชพงษ์ยิ้มเจื่อนๆ
“ช่วยด้วยครับ ลุงยาม”
ชิดชบาเปิดประตูห้องงานปั้นเข้ามา ตลับนาคเดินเข้ามาหาด้วยความห่วงใย
“อยู่นี่เอง ป้าเอาซุปมะเขือเทศเข้าไปให้ในห้อง เห็นไม่อยู่ก็เลยตามมาที่นี่ ไปกันหมดแล้ว คุณนายเถาว์เครือ คุณหมอแพรวา คุณปฐวีเขาก็ เฮ้อ เหลือแต่เราสองคน อ้อ กับจำเรียงอีกคน”
“หนู”
“คดีของหนูมีแนวโน้มว่าจะออกมาดี ยังเหลือแต่คดีของบุญถิ่น”
“เราต้องฝากความหวังไว้กับธวัชพงษ์ค่ะ จะหลุดหรือจะติด ขึ้นอยู่กับหลักฐานที่เขากำลังหาอยู่”
“ธวัชพงษ์หรือ”
“หนูเป็นหนี้บุญคุณธวัชพงษ์ ถึงโลกใบนี้จะบัดซบยังไง โลกก็ยังมีเพื่อนอย่างธวัชพงษ์อยู่ หนูถึงบอกกับคุณป้าไงคะว่า หนูฝากความหวังไว้กับธวัชพงษ์”
ชิดชบารู้สึกอ่อนล้าเต็มทน
ธวัชพงษ์อยู่ที่อพาร์ทเมนท์ของแพรวา เปลือยอก ซับเลือดจากรอยขูดของระเบียงซีเมนต์ แพรวาเปิดประตูเข้ามา รีบปิดอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นอกเปลือยเปล่าของธวัชพงษ์
ปฐวีนั่งกินถั่วลิสงคั่ว ในวงล้อมของบรรดานักโทษชาย ต่างนั่งกอดเข่า ฟังเรื่องเล่าจากปฐวี
“ฉันไปมาเก๊าตอนอายุสิบเก้า มีเงินติดกระเป๋าอยู่ไม่เท่าไหร่”
ปฐวีมองไปยังนักโทษกล้ามใหญ่ ซึ่งนั่งอยู่ตามลำพัง กำลังมองมาด้วยแววตาชิงชัง
“ฉันหาทางเข้าไปทำงานในบ่อนคาสิโน เห็นเงิน เห็นผู้หญิง เห็นคนรวย แล้วก็เห็นคนจนในพริบตา ที่นั่น มีแต่เงิน เงิน เงิน เงินทองไหลมา แล้วก็ไหลผ่านไป มีคนกระโดดตึกตาย มีคนซื้อเครื่องบินส่วนตัว คนพวกนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”
“ทำไม”
“พอผีการพนันเข้าสิง ชีวิตเขาจะตกอยู่ในบงการของผีพนัน แล้วไอ้ผีตัวนี้แหละที่มันทำลายทุกอย่างในชีวิตของคน ไฟไหม้ยังเหลือที่ดิน โจรปล้นยังเหลือบ้าน แต่การพนันขายได้แม้แต่คนที่เรารัก ลูกกับเมีย”
ทุกคนฟังนิ่ง เริ่มมีอาการหดหู่
“หลายปีในบ่อนคาสิโน ทำให้ฉันรู้ว่า บ่อนพนันคือที่ที่ชั่วร้ายที่สุดของมนุษย์”
ปฐวีดีดถั่วลิสงเข้าปากของนักโทษกล้ามใหญ่ ก่อนหันไปถามด้วยแววตาท้าทาย
“หรือแกว่าไง”
แพรวาชงกาแฟมาส่งให้ธวัชพงษ์ ซึ่งนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เปลือยอก กำลังดูภาพในโทรศัพท์มือถือที่บันทึกไว้
“แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วนี่กาแฟ”
“ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือ”
“แต่ฉันถือ”
“โธ่ คุณหมอครับ ก็แค่ผมไม่รู้จะหนีไปไหน ถ้ากลับไปที่ห้องเช่าของผม พวกมันต้องตามไปฆ่าผมแน่ๆ ผมก็เลย”
“รีบมาที่นี่ แล้วใช้กุญแจปีศาจไขเข้ามาในห้องของฉัน”
“ผมก็ไม่ได้รบกวนอะไรคุณหมอนี่ครับ ขอแค่อาบน้ำ ทำแผล ผมกลัวบาดทะยัก ผมได้หลักฐานมาเพียบ มากพอจะกล่าวหานายชัยยงค์กับพวกเรื่องฆ่าบุญถิ่น แต่”
“มีอะไร”
“ต้องโยงคุณนายเถาว์เครือเข้าไปด้วย”
“คุณแม่”
“ผมจะเก็บหลักฐานทั้งหมดนี่ไว้ในที่ที่ปลอดภัย ก่อนจะส่งให้ทนายเฉวียง”
“ก็ ก็ดี ไหน ให้ฉันดูแผลของคุณหน่อย”
“ไกลหัวใจเยอะมาก แต่บาดทะยักน่ะแผลจะอยู่ที่ไหนมันไม่สนหรอกครับ มันพร้อมแพร่ระบาด แล้วไอ้โรคนี้น่ะ ถึงตายเชียวนะครับ”
“คุณควรจะทำแผลให้สะอาด มา ฉันจะทำแผลให้”
แพรวาหยิบยาล้างแผลจากลิ้นชัก ล้างแผลให้กับธวัชพงษ์ ธวัชพงษ์มองปลายจมูกของแพรวาด้วยแววตาอ่อนโยน เริ่มรู้สึกผูกพันกับหญิงสาว
เจ้าหน้าที่เรือนจำตักอาหารใส่ถาดให้นักโทษ นักโทษถือถาดเข้ามานั่งลงกินตรงหน้าปฐวี คนอื่นๆ เดินตามเข้ามานั่งโต๊ะเดียวกัน ปฐวีมองนักโทษกล้ามใหญ่ซึ่งถือถาดอาหาร ยืนลังเล
“นั่งซี”
นักโทษกล้ามใหญ่ ลังเล ก่อนนั่งลง หลบตาปฐวี
“ขอบคุณครับ นาย”
ปฐวียิ้มให้ด้วยความเป็นมิตร
จบตอนที่ 13