ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 6
กานดาพยายามเอาใจทรงพลด้วยการชงโสมเข้าไปให้ดื่ม แต่อีกฝ่ายกลับตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เพราะไม่อยากมีปัญหา เธอจำต้องเดินออกมาจากห้องอย่างผิดหวัง ครู่หนึ่งก็มีพนักงานส่งเอกสารหอบกล่องกระดาษมาให้
“มาแล้วครับพี่กาน”
กานดาถามกลับไปอย่างเบลอๆ “อะไร?”
“อ้าว ก็จดหมายที่พี่ให้ไปเอาที่ไปรษณีย์ไงพี่ นี่พี่คงไม่ได้ไปเอามานานมากใช่มั้ยพี่ ถึงได้เยอะขนาดนี้”
“วางไว้ตรงนั้นแหละ”
พนักงานส่งเอกสารวางกล่องกระดาษเอาไว้ที่โต๊ะ กานดามองกล่องจดหมายด้วยสายตาเรียบเฉย พลางเหลือบมองถ้วยโสมก่อนจะตัดสินใจเทมันทิ้งที่ถังขยะใต้โต๊ะ จังหวะนั้นอนันยชก็เดินเข้ามาพอดี
“ของดีๆ แบบนั้น ทิ้งไปก็เสียดายแย่ คุณน้าเบื่อโสมแล้วเหรอครับ?”
กานดาหน้าชา
“เอ่อ เปล่าหรอกค่ะ น้าเห็นว่ามันใกล้หมดอายุแล้ว ทิ้งไปเลยดีกว่า”
อนันยชยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาหากานดา
“จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นความโชคดีของแม่ผมนะครับเนี่ย ที่น้ากานเป็นคนไม่สู้คน น้ากานชอบคุณน้า
แต่พอมีโอกาส แทนที่จะคว้าไว้ กลับปล่อยมือให้คนอื่น”
กานดาสะอึกที่อีกฝ่ายรู้ความนัย
“ความรักไม่ใช่เรื่องของโอกาสหรอกค่ะ เป็นเรื่องการได้รักและถูกรักมากกว่า”
“แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น เราไม่ได้เกิดมาเพื่อผิดหวัง แต่ก็ดีแล้วแหละครับ ถ้าน้ากานคิดจะเป็นผู้แพ้อย่างนี้ก็ดี เพราะเดี๋ยวแม่ผมจะเป็นฝ่ายเสียใจเปล่าๆ”
พูดเสร็จอนันยชก็เดินออกไป ปล่อยให้กานดาจมอยู่กับความคิดที่สับสนอยู่คนเดียว
อนันยชเดินมาถึงที่รถก็ตกใจเมื่อเห็นรถของเขาถูกพ่นสเปรย์เต็มไปหมด พลันก็มีมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้ามาหา พร้อมกับที่คนขับที่สวมหมวกกันน็อกอำพรางใบหน้า ฟาดท่อนเหล็กในมือใส่อย่างเร็ว โชคดีที่เขาก้มหลบได้ทัน จากนั้นมันก็ขี่มอเตอร์ไซค์ชิ่งหนีไป
“มีอะไรอีกคะคุณป้า?”
ศุภารมย์ถามอย่างหงุดหงิด เมื่อพบว่าวาสนามานั่งรอเธออยู่ที่ห้องรับแขก
“ก็ไม่ได้มีอะไรอีกหรอก ฉันออกมาซื้อของแล้วบังเอิญผ่านมาก็เลยแวะเข้ามาคุย แล้วก็เอาถั่วมาฝากน่ะ”
ศุภารมย์มองหน้าอย่างไม่เชื่อในคำพูด
“เราต่างรู้จักกันดี ป้าคงไม่ได้บังเอิญผ่านมาหรอก มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“แหม แม่ต่ายนี่ รู้ใจฉันดีจริงๆ งั้นก็คงจะรู้นะ ว่าตอนนี้ฉันเป็นห่วงพ่อวินกับพ่อวันขนาดไหน เรื่องอนาคตน่ะมันไม่แน่ไม่นอน ไอ้จะให้อยู่เป็นโสดนะมันก็ไม่ดี คนเรามันต้องมีคู่ชีวิต”
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ เสียงเตือนว่ามีข้อความไลน์ก็ดังขึ้นที่มือถือวาสนา
“แป็ปนึงนะ พอดีเขาไลน์มาบอกเรื่องราคาที่”
พอกดอ่าน ก็เห็นนพกรส่งข้อความมาว่า “ทำงานเสร็จแล้ว” วาสนายิ้มกริ่มพึงใจ
“ต่ายรู้คะว่าป้าจะพูดเรื่องอะไร? ต่ายว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
พลันเสียงมือถือของสุภารมย์ก็ดังขึ้นมาบ้าง
“คะ คุณ อะไรนะคะ วันถูกทำร้ายเหรอคะ?”
วาสนาแกล้งตกใจ “คุณพระช่วย”
“แล้ววันเป็นอะไรมากมั้ย? ไม่เป็นไรแน่น่ะคะ ค่ะๆ รีบกลับนะคะคุณ”
วาสนาได้ยินก็หุบยิ้มทันที ก่อนที่ศุภารมย์จะวางสายไป
“ฉันฟังไม่ผิดใช่มั้ยแม่ต่าย เกิดอะไรขึ้นกับพ่อวันหรือไง?”
“วันถูกคนลอบทำร้ายค่ะ แต่โชคดีที่ไหวตัวทัน ก็เลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
วาสนาอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะรีบปรับสีหน้า
“อ๋อ รอดตัวไปนะพ่อวัน คุณพระช่างคุ้มครองลูกหลานยายวาสนาจริงจริ๊ง”
พูดพลางแกล้งยกมือไหว้ท่วมหัว แต่แอบมีสีหน้าเจ็บใจ
วรรณิตนั่งซึมเศร้าอยู่ในบ้านคนเดียว พอเห็นนพกรโพล่พรวดเข้ามา ก็สะดุ้งตกใจ
“นพกร นายมาทำอะไร?”
นพกรเดินมานั่งเอกเขนกที่โซฟา ทำประหนึ่งเป็นบ้านตัวเอง
“ก็มาเอาค่าจ้างซิ”
“ค่าจ้างอะไรของนาย”
นพกรยังไม่ทันตอบ วาสนาเข้าบ้านมาพอดี
“หล่อนจะไปไหนก็ไป”
วรรณิตมองวาสนากับนพกรที่ดูมีลับลมคมในก่อนที่จะเดินออกไป
“รอบคอบจริงๆ ขนาดอยู่บ้านเดียวกันยังไม่ให้รู้เลย”
“วันหลังแกก็หัดรอบคอบให้เหมือนกับฉันหน่อยไม่ได้รึยังไง? เป็นหลานประสาอะไรไม่ได้ความฉลาดของฉันไปสักนิด”
นพกรทำหน้าเซ็ง ก่อนจะรีบแบมือยื่นออกไปทางวาสนา
“ไหนล่ะ ค่าเหนื่อย”
“หนอย ทำงานไม่สำเร็จยังจะกล้ามาขอตังอีก แกคิดว่าฉันโง่กว่าแกหรือไง?”
นพกรลุกขึ้นยืนเสียงแข็งทันที
“คิดจะเบี้ยวกันเหรอ”
“ทำไม? อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ แค่ฉันบอกพวกนั้นคำเดียว แกได้เข้าไปอยู่ในคุกแน่”
นพกรจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าฉันโดน ยายก็ไม่รอดเหมือนกัน”
วาสนายิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“แกคิดว่าพวกนั้นจะเชื่อใคร? ระหว่างคนที่มีบุญคุณกับเขาหรือคนที่เหมือนโจรอย่างแก”
พูดพลางหยิบเงินก้อนหนึ่งส่งให้
“เอาไป แล้วก็หายไปพักนึง รอให้เรื่องเงียบก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่”
“คิดจะปิดปากฉันด้วยเงินแค่นี้เนี่ยนะ”
“หรือจะไม่เอา”
นพกรเห็นท่าทางเอาจริงของวาสนา ก็รีบดึงเงินจากมือก่อนจะเดินออกไป วาสนามองตามอย่าง
เหนี่อยใจ
ตำรวจตามมาสอบปากคำอนันยชถึงเหตุลอบทำร้ายที่บ้าน โดยพุ่งเป้าไปที่เรื่องของธุรกิจเป็นอย่างแรก อนันยชนึกถึงเสี่ยหาญขึ้นมาทันที แต่ทรงพลไม่เห็นด้วย
“เรากับเสี่ยหาญเป็นคู่แข่งทางธุรกิจก็จริง แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้”
ตำรวจรีบบอก
“ไม่เป็นไรครับคุณทรงพล ยังไงเราเก็บข้อมูลไว้ก่อน แล้วเรื่องชู้สาวล่ะครับ?”
“อันนั้นน่าจะตัดไปได้เลยครับ ผมไม่เคยแย่งของใคร น้องๆ เขาเต็มใจให้ทั้งนั้น”
“แน่ใจเหรอวัน?”
ศุภารมย์ถามย้ำ ทำให้อนันยชฉุกคิดไปถึงวรรณิต แต่พยายามซ่อนอารมณ์
“ครับแม่ แม่ก็รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นเคยมีปัญหาที่ไหน”
ตำรวจเก็บข้อมูลเรียบร้อย ก็ขอตัวกลับ พร้อมกับที่ทิวัตถ์เดินเข้ามาพอดี
“วัน เป็นไรหรือเปล่า?”
อนันยชส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร พวกมันทำฉันไม่ได้ แต่รถโดนพ่นสีเละเลยวะ”
ทิวัตถ์ขมวดคิ้ว
“จะว่าไปก็แปลก เพราะที่โรงแรมไอ้สิทธิ์ ก็เพิ่งมีเรื่องลอบทำร้ายในโรงแรมเหมือนกัน”
ศุภารมย์รีบหันมาถาม “เกิดเรื่องแบบนี้ที่โรงแรมด้วยหรอ?”
อนันยชรีบฉวยจังหวะเดินเลี่ยงออกไป ทรงพลรีบหันมาถามลูกชายต่อ
“แล้วเรื่องที่โรงแรมเป็นยังไง? อย่าบอกนะว่าศักดิ์สิทธิ์”
“ไม่ใช่หรอกครับ พวกมันรื้อค้นห้องลิลินและทำร้ายเพื่อนเธอจนบาดเจ็บ”
ศุภารมย์ตกใจ “ตายจริง แล้วคุณลินเป็นอะไรมั้ย?”
“คุณครูของแม่ต่ายไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
ศุภารมย์ได้ยินก็สบายใจ แต่ไม่วายแอบครุ่นคิดด้วยความสงสัย
ลิลินเดินมาตามทาง กำลังจะถึงห้องพักวิชนี เห็นศักดิ์สิทธิ์วิ่งออกมาจากห้องหน้าตาตื่น ก็นึกแปลกใจ
“อ้าว คุณศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดว่าจะเจอคุณน่ะค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์หน้าเจื่อน “คือผมรู้สึกผิด ก็เลยมาเยี่ยมแล้วก็จะมาเคลียร์ตัวเองด้วยครับ”
“แล้วสำเร็จมั้ยคะ? ”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าเซ็งๆ
“ถ้าสำเร็จจะรีบวิ่งออกมาอย่างนี้เหรอครับ? แจกันเกือบจะลอยมาใส่หัว วิ่งหนีแทบไม่ทัน คุณลินช่วยพูดให้ผมหน่อยเถอะ ว่าผมไม่ได้ส่งคนไปทำร้ายเธอจริงๆ นะครับ เพราะถ้าเป็นคุณลิน เธอคงจะยอมฟังบ้าง”
พูดพลางทำหน้าอ้อนวอน ลิลินเผลอยิ้มด้วยความขำ
“ก็ได้ค่ะ”
“จริงนะครับ ขอบคุณคุณลินมากเลยครับ”
ลิลินยิ้มรับ
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ลินว่าคุณไปรอที่อื่นเถอะค่ะ ลองวิชนีได้อารมณ์เสียแต่เช้าแบบนี้แล้ว ลินว่าคงจะกู้ความคิดคืนได้ยากแน่ๆ โดยเฉพาะ ถ้าได้เห็นหน้าคุณ”
แต่พอศักดิ์สิทธิ์จะเดินเลี่ยงไป ลิลินก็เรียกขึ้นมาอีก
“เอ่อ ! เดี๋ยวค่ะ ลินอยากจะถามอะไรหน่อย พยาบาลบอกว่าคุณเป็นญาติผู้ป่วย หมายความว่าไงคะ?”
“อ๋อ คือผมจะเป็นคนจัดการค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเองครับ เอ่อ ในฐานะที่เรื่องเกิดที่โรงแรมผม งั้นผม ไปหาที่รอเหมาะๆ ดีกว่าครับ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ลิลินมองตาม พลางอมยิ้มรู้สึกดีในความรับผิดชอบของอีกฝ่าย
พอลิลินเดินเข้ามาในห้อง ก็รีบพูดย้ำทันทีว่า เธอเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ตัวการที่ส่งคนมาลอบทำร้ายวิชนี แต่อีกฝ่ายกลับคิดตรงกันข้าม
“แต่ฉันเชื่อว่าใช่ แล้วถึงกระทงแรกไม่ใช่ ยังไงก็ยังมีกระทงที่สองที่ทำให้ฉันโดนไล่ออก ยังไงฉันก็ไม่ให้อภัยคนอย่างนายนั่นอยู่ดี”
“แต่ฉันว่าคุณศักดิ์สิทธิ์เขาก็เป็นคนดีนะ”
“นายนั่นเนี่ยนะคนดี”
ลิลินพยักหน้า “ไม่งั้นเขาคงไม่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดแทนเธอหรอก”
วิชนีแอบแปลกใจ แต่ก็ยังปากแข็ง
“ทำดีเอาหน้าให้เธอเห็นมากกว่า”
ลิลินมองวิชนีอย่างอ่อนใจ
ศักดิ์สิทธิ์นั่งรออยู่ที่ห้องโถงของโรงพยาบาล ครู่ใหญ่ลิลินก็เดินเข้ามาหา
“เป็นไงครับ เธอใจอ่อนลงบ้างรึยังครับ?”
ลิลินส่ายหัว ศักดิ์สิทธิ์หน้าจ๋อย
“เธอเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง ลองได้มั่นใจอะไรแล้วจะเปลี่ยนใจได้ยาก คุณศักดิ์สิทธิ์ต้องให้เวลาเธอหน่อยนะคะ”
“แล้วผมต้องให้เวลาเธออีกนานแค่ไหนเนี่ย?”
จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ศักดิ์สิทธิ์มองเบอร์แล้วกดรับ
“ว่าไงคุณปกติ อะไรนะ?”
ทันทีที่ศักดิ์สิทธิ์กับลิลินเดินเข้ามาถึงที่โรงแรม ปกติรีบปรี่เข้าไปหา
“คุณหนู แย่แล้วครับ ทำไงดีครับ พวกแขกจะเช็คเอ้าท์ออกหมดแล้วครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจ “โห ขนาดนี้เลยเหรอปกติ”
“เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วยังเยอะกว่านี้อีกครับ แต่ผมให้กลับไปก่อน”
“ให้กลับไปพักในห้องพักใช่มั้ย?”
ปกติส่ายหัวดิก “เอ่อ ให้กลับไปพักที่บ้านครับ แขกบอกว่าเขาไม่มั่นใจในความปลอดภัย เลยจะขอย้ายออก”
ลิลินรีบเสนอความเห็น “คุณสิทธิ์ลดค่าห้องลงครึ่งนึงมั้ยคะ? ลินว่าคุณสิทธิ์ไม่มีทางเลือกแล้วนะคะ”
ศักดิ์สิทธิ์หน้าเครียด ใช้ความคิด
“หมดนี่ก็หมดโรงแรมแล้วล่ะ เอาวะ”
ขาดคำก็เดินไปยืนกลางแถวของแขก แล้วตะโกนเสียงดัง
“ผมเป็นเจ้าของโรงแรมที่นี่นะครับ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่การเข้าใจผิดกันนิดหน่อยครับ ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสหรือมีของมีค่าใดๆ หายไป ขอให้ทุกท่านไว้วางใจในรอยัลเพิร์ลของเรา และเพื่อแสดงความจริงใจ
ผมขอลดค่าห้องให้ทุกท่านห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
“ต่อให้พักฟรีก็ไม่พัก พวกเราจะเช็คเอ้าท์เดี๋ยวนี้”
แขกไม่ฟังเสียง ต่างแย่งกันเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม ศักดิ์สิทธิ์หน้าเครียด เช่นเดียวกับลิลินที่ไม่รู้จะช่วยแก้ปัญหาอย่างไร ?
ขณะที่อนันยชนั่งทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหารตามลำพัง ครู่หนึ่งทิวัตถ์ก็เดินเข้ามาทัก
“เมื่อกี้ฉันเพิ่งคุยกับไอ้สิทธิ์ เห็นมันบอกว่าโรงแรมมีปัญหา ฉันก็เลยว่าจะเข้าไปนั่งคุยกับมันคืนนี้ จะไปด้วยกันรึเปล่า?”
อนันยชรีบส่ายหน้า “คืนนี้ไม่ว่างว่ะ ไปคุยงานกับลูกค้า”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปเอง ยังไงก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ไอ้คนที่ทำร้ายนาย มันอาจจะย้อนกลับมาอีกก็ได้”
พูดจบก็รีบเดินออกไป อนันยชหรี่ตาอย่างใช้ความคิด
“คนที่ทำร้ายฉันงั้นเหรอ? “
วรรณิตเดินมาตามทาง ก่อนที่อนันยชจะขับรถปราดเข้ามาจอดเทียบข้างๆ พลางไขกระจกลง
“ขึ้นรถสิ”
วรรณิตหันมาเห็นก็ตกใจ อนันยชก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้ามาหา
“ผมไปส่ง”
วรรณิตที่ยังรู้สึกผิดกับเหตุการณ์วันนั้นรีบบอก “ไม่เป็นไรค่ะ”
“คุณจะไปไหนให้ผมไปส่ง”
พุดพลางเข้าไปจับมือ แต่วรรณิตพยายามสะบัด
“อะไรนักหนา ณิตก็เป็นเมียพี่แล้ว”
วรรณิตโกรธจัด สะบัดมือหลุด ก่อนจะตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงแล้ววิ่งหนีไป อนันยชมองตามอย่างไม่ยอมแพ้
แต่พอวรรณิตกลับมาถึงบ้าน ก็ยิ่งตกใจหนัก เมื่อเห็นอนันยชนั่งคุยอยู่กับวาสนาอยู่แล้ว
“คุณยายคะ ณิตไม่ได้นัดคุณวันมานะคะ”
วาสนายิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ เอ้า ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แกเห็นมั้ยเนี่ยว่าฉันกำลังคุยธุระสำคัญกับพ่อวันอยู่”
วรรณิตอึ้งไป พร้อมกับอนันยชรีบถามย้ำ
“คุณณิตไม่อยากรู้หรอครับ ว่าเราคุยเรื่องอะไร? ก็เรื่องการแต่งงานของเราไงครับ”
วรรณิตได้ยิน ก็ถึงกับยืนช็อก
ในขณะที่แขกเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมจนเกือบไม่เหลือ แต่ที่ผับซิลเวอร์ โคฟ ลูกค้ายังแน่นตามปกติ
“เป็นไงบ้างคะคุณศักดิ์สิทธิ์”
ลิลินในชุดนักร้องเดินเข้ามาถามศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเป็นห่วง
“ยังพอโล่งอกหน่อยที่คนเข้าผับไม่ได้หายตามแขกในโรงแรมไป”
“ก็ดีค่ะ ลินจะพยายามทำให้เต็มที่นะคะ”
พูดจบก็ปรายตาไปเห็นทิวัตถ์เดินเข้ามา ลิลินแอบทำหน้าเหม็น แล้วพูดกับศักดิ์สิทธิ์
“ลินไปเตรียมตัวนะคะ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป พร้อมๆ กับที่ทิวัตถ์เดินเข้ามาหาศักดิ์สิทธิ์
“นักร้องแกเป็นอะไรวะ เห็นหน้าฉันแล้วเป็นต้องเดินหนี”
ศักดิ์สิทธิ์รีบบอกเชิงปราม
“เฮ้ยๆ ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าวันนี้ห้ามทำให้คุณลิลินไม่พอใจนะเว้ย ไม่งั้นได้ชิบหายกันกว่านี้แน่”
ทิวัตถ์แอบทำหน้าเซ็ง
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 6 (ต่อ)
ระหว่างที่ลิลินกำลังเตรียมตัวอยู่หลังเวที โดยมีปกติยืนสำรวจความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ พลันพวกของ
กฤษดาก็เดินเข้ามาในผับ
“ คุณลินเห็นผู้ชาย 3 คนนั้นที่กำลังเดินเข้ามามั้ยครับ?”
ลิลินมองตามสายตาของปกติ “เห็นค่ะ”
“คนที่นำหน้าชื่อกฤษดา เป็นลูกเสี่ยหาญผู้มีอิทธิพลอีกคนนึง ทุกทีพวกนี้จะไม่ข้ามถิ่นมาที่นี่ ผมว่าคุณลินยกเลิกการแสดงวันนี้ดีกว่าครับ”
ลิลินทำหน้างง “อ้าว ทำไมล่ะคะ?”
“ก็ไอ้หมอนี่มันชอบคั่วนักร้อง แล้วถ้าคนไหนไม่ยอมมันก็จะใช้กำลัง เพราะถือว่าพ่อมันใหญ่”
ลิลินนิ่งคิด เพราะเป็นห่วงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังแย่ ก่อนจะตอบด้วยแววตามุ่งมั่น
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ลินไม่เป็นไรหรอก”
กฤษดาเข้ามาในผับ แล้วก็ทำท่ากร่างวางอำนาจ จนพวกแขกอื่นๆ ก็เดินหนีเพราะไม่อยากมีปัญหา
ปกติรีบเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณกฤษ จะหาอะไรไว้รับประทานก่อนดีมั้ย?”
“ไม่ แต่ถ้านักร้องถูกใจก็ค่อยว่ากัน”
ระหว่างนั้นเสียงดนตรีดังขึ้น พร้อมกับลิลินที่ปรากฏตัวขึ้นบนเวที ทำเอากฤษดาถึงกับตะลึงตาค้าง ก่อนที่จะเดินรี่เข้าไปที่หน้าเวที
“จะว่าอะไรมั้ยครับ? ถ้าผมอยากจะเจอคุณไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน”
ลิลินได้คำเตือนจากปกติอยู่แล้วจึงระวังตัวเป็นพิเศษ
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันต้องร้องเพลง ขอบคุณที่ชื่นชอบนะคะ ขอเชิญทุกท่านพบกับบทเพลง....”
เธอยังพูดไม่ทันจบประโยคดี กฤษดาก็คว้ามือหมับ
“ถ้าอยากร้องก็ไปร้องที่โต๊ะผม”
แขกเริ่มส่งเสียงอื้ออึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ลิลินมองหน้ากฤษดาพยายามตั้งสติ ปกติเห็นเหตุการณ์ก็นึก
รู้ทันที
“งานเข้าแล้วไงคุณลิลิน”
ทางด้านศักดิ์สิทธิ์กำลังปรับทุกข์กับทิวัตถ์หน้าเครียดที่แขกเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเกือบเกลี้ยง อีกฝ่ายพยายามช่วยคิดหาวิธีแก้
“ในเมื่อแขกที่ย้ายออกไปเพราะเขาไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัยของโรงแรมแก เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาใหม่”
“สร้างความเชื่อมั่น ?”
พลันปกติก็วิ่งพรวดเข้ามาหน้าตื่น
“คุณหนูครับคุณหนู แย่แล้วครับ”
กฤษดายังพยายามจะยื้อลิลินบนเวทีให้ลงไปนั่งที่โต๊ะ
“ไปนั่งที่โต๊ะสักสองสามนาทีมันจะตายหรือไง? อยากร้องก็ไปร้องที่โต๊ะผมก็ได้”
ลิลินพยายามข่มใจ
“ดิฉันว่าคุณคงจะเข้าใจอะไรผิด ถ้าให้ไปร้องที่โต๊ะ คงจะเป็นน้องๆ ที่คุณเคยเที่ยวมา แต่ดิฉันเป็นนักร้องต้องร้องเพลงบนเวทีค่ะ”
“อะไรกัน แค่บริการลูกค้า ทำเป็นเล่นตัวไปได้”
นักดนตรีหยุดเล่นเพลง พลางรีบเข้ามาจะช่วย แต่กลับถูกกฤษดาชี้หน้าใส่
“อย่าแส่”
พวกนักดนตรีต่างชะงักไป
“ปล่อยเถอะค่ะ บอกให้ปล่อยไง”
ขาดคำลิลินก็ฟาดฝ่ามือใส่หน้ากฤษดาเต็มๆ ฝ่ายหลังกำลังเงื้อมือจะตบคืน แต่ก็ช้ากว่าทิวัตถ์ที่เข้ามาจับมือไว้
“แกจะทำอะไร?”
กฤษดาหันมาเห็นทิวัตถ์ก็ชะงัก ก่อนจะสะบัดมือออก พลางมองหน้าเอาเรื่อง ศักดิ์สิทธิ์ที่วิ่งตามเข้ามา รีบถามลิลินด้วยความเป็นห่วง
“คุณลินไม่เป็นไรนะครับ”
ลิลินส่ายหน้า ขณะที่พวกแขกต่างเริ่มลุกหนีออกไป ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งโมโหหนัก ที่ที่มั่นแห่งสุดท้ายถูกรุกราน
“มาเห่าอะไรแถวนี้วะ?”
กฤษดาหันขวับมาจ้องหน้าศักดิ์สิทธิ์อย่างเอาเรื่อง
“อ้าว พูดกับลูกค้าอย่างนี้ได้ยังไง?”
ทิวัตถ์รีบปราม “ ฉันว่าแกอย่ามาก่อเรื่องที่นี่จะดีกว่า กลับไปเถอะ”
“อยากให้ฉันกลับเหรอ มีอยู่สองอย่าง หนึ่งให้ยัยนักร้องนั่นไปกับฉัน”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า “ไม่มีทางเว้ย”
“งั้นก็ต้องข้อสอง ไอ้วิน แกต้องกราบเท้าอ้อนวอนให้ฉันออกไป นี่ถือว่าฉันหยวนให้กับสิ่งที่แกเคยทำไว้กับฉันนะ”
ทุกคนหันมองหน้าทิวัตถ์ที่ยืนนิ่ง หลังโดนยื่นข้อเสนอที่เหยียดหยามเช่นนี้
“อ้าว นิ่งทำไม จะกราบมั้ยไอ้วิน? ได้ ในเมื่อแกไม่ทำ งั้นฉันก็จะเอานักร้องแกไปแล้วกัน”
ขาดคำกฤษดาก็ตรงเข้ามาจะจับลิลิน แต่กลับถูกทิวัตถ์คว้ามือไว้ ฝ่ายนั้นสะบัดออกก่อนจะพุ่งหมัดออกมา แต่เขาหลบทัน พร้อมกับแล้วสวนกลับไปเข้าเต็มหน้าๆ จนกฤษดาถึงกับเซถลาไป ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง
เพื่อเอาคืน แต่ทิวัตถ์ไวกว่า หลบได้อีก พลางจับมืออีกฝ่าย ไพล่หลังล็อกอัดกับกำแพง
“ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย จะออกไปมั้ย?”
กฤษดานิ่งเงียบ จนทิวัตถ์ต้องหักแขนซ้ำ “จะออกไปมั้ย?”
“ออกๆ”
พอทิวัตถ์ปล่อยแขนออก กฤษดาก็ถอยออกมายืนกับลูกน้อง พลางยืนจ้องหน้าอย่างเคียดแค้น
“พวกแกเตรียมตัวตายได้เลย”
พูดจบก็ผลุนผลันออกไป ทิวัตถ์มองตามอย่างไม่กลัวเกรง ลิลินแอบมองด้วยความรู้สึกประทับใจ
หลังจากเหตุการณ์สงบ ทิวัตถ์ ลิลินและศักดิ์สิทธิ์ ก็เดินคุยกันมาตามทาง
“น่าเจ็บใจชะมัด ไม่คิดว่าไอ้กฤษมันจะกล้ามาลูบคมถึงที่ ไงล่ะ เจอไอ้วินหมัดสั่งเข้าไป แต้งค์เว้ยวิน ถ้าแกไม่ช่วยไว้ พวกมันต้องทำร้ายคุณลินแน่ๆ เลยวะ”
ศักดิ์สิทธิ์หันมาขอบคุณทิวัตถ์ ขณะที่ลิลินทำหน้าไม่ถูก
“ที่จริงลินก็พอจัดการได้”
ทิวัตถ์รีบหันมาถาม
“เธอจะจัดการยังไง?”
“อย่างน้อยฉันก็มีวิธีที่จะไม่ทำให้พวกมันกลับมาอาละวาดอีก”
“ทำยังไง? ไปกับมันเหมือนตอนที่ไปกับปลัดจนทำให้คนอื่นเขาวุ่นวายกันไปหมดน่ะเหรอ? นี่คุณไม่ต้องอวดเก่งทุกเรื่องก็ได้นะ”
ลิลินมองค้อน
“ฉันไม่ได้อวดเก่ง ถ้านายคิดว่าการที่ช่วยฉันไว้ แล้วจะมาทำตัวเป็นผู้มีพระคุณดุด่าฉันได้ละก็ อย่าช่วยดีกว่า”
ศักดิ์สิทธิ์รีบโบกมือห้าม
“เอ่อ ใจเย็นครับทุกท่าน แหม ทะเลาะกันอย่างนี้ระวังลูกหัวปีท้ายปีนะครับ อุ้ย ! ผมล้อเล่น แหม พอดีเห็นว่าเพิ่งสถานการณ์ตึงเครียดมา ไม่ขำกันเหรอครับ?”
ลิลินกับทิวัตถ์ตอบเสียงดังพร้อมกัน “ไม่”
ก่อนที่ลิลินจะขอตัวเดินเลี่ยงจะกลับเข้าห้องพัก แต่ไม่วายหันกลับมามองทิวัตถ์แบบเคืองๆ จนอีกฝ่ายหมั่นไส้
“อะไรของเขาวะ ฉันเป็นคนช่วยไว้ต่างหากไม่ใช่แก กวนจริงๆ ยัยนี่”
ศักดิ์สิทธิ์อดถามขึ้นมาไม่ได้
“ฉันถามจริงๆ เถอะว่ะ แกกับคุณลินนี่โกรธกันเรื่องอะไรหรือเปล่าวะ? ทำไมเจอหน้ากันถึงต้องกัดกันตลอดเวลา”
“แกอย่ารู้เลย ฉันว่าแกเอาเวลาไปคิดวิธีรับมือไอ้กฤษดาดีกว่า ระวังตัวไว้เถอะ ฉันว่าไอ้กฤษดามันไม่หยุดแค่นี้แน่”
“แล้วไงวะ กลัวที่ไหน ถ้ามันกลับมาอีก ฉันจะจัดการมันด้วยมือฉันเองเลย”
ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าท้าทาย ขณะที่ทิวัตถ์นิ่ง ด้วยความกังวล
กฤษดาใส่แว่นดำเดินกลับเข้ามาในบ้านก่อนจะหันไปบอกลูกน้อง
“ไปไหนก็ไปๆ แล้วก็ถ้าพ่อฉันถามอะไรก็บอกว่าไม่รู้”
ลูกน้องแยกย้ายกันออกไป ระหว่างนั้นสิตาก็เดินออกมา
“กลับซะเช้าอย่างนี้ พี่อย่าบอกนะว่าให้ยัยลิลินร้องเพลงให้ฟังทั้งคืน”
“อย่ากวนประสาทได้มั้ย คนยิ่งง่วงๆอยู่”
กฤษดาทำท่าจะเดินเข้าไป สิตาเห็นอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดี ก็คิดว่าไม่เข้าแผนรีบเดินเข้ามาขวางเอาไว้
“พี่อย่าบอกนะว่าปล่อยยัยลิลินนั่นไปได้”
กฤษดายิ่งหงุดหงิด
“เลิกถามจุ้นจ้านซะที ถ้าไอ้วินไม่เข้ามายุ่ง คิดว่ายัยนักร้องนั่นจะรอดเหรอ”
“อะไรนะ วินเขาทำอะไร?”
-กฤษดาไม่อยากตอบให้เสียหน้า
“หลีกไป ไม่มีอารมณ์ตอบเว้ย”
พูดพลางจะเดินเข้าบ้าน สิตารีบตาม แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเสี่ยหาญเดินออกมาพอดี
“ไอ้กฤษ นี่แกเพิ่งกลับบ้านเหรอ? แล้วใส่แว่นดำทำไม? ถอดแว่น บอกให้ถอดแว่นออก”
เสี่ยหาญจ้อเขม็ง กฤษดาจำต้องถอดแว่นออก ทำให้เห็นรอยช้ำที่ตา สิตาเห็นก็ตกใจ
“อย่าบอกนะว่าพี่ไปมีเรื่องกับวินมา แล้ววินเป็นอะไรมั้ย?”
กฤษดาหันกลับมาตวาด “แทนที่แกจะห่วงฉัน แกกลับไปห่วงไอ้วินมันเนี่ยนะ”
เสี่ยหาญถามซ้ำ “แล้วเจ้าวินเป็นยังไง?”
กฤษดาอ้ำอึ้งไม่อยากจะบอกว่าโดนเล่นงาน เสี่ยหาญเห็นลูกชายเงียบไปก็พอจะเดาออก
“อย่าบอกนะว่าแกโดนมันเล่นงานฝ่ายเดียว”
“โธ่พ่อ ถ้า...”
กฤษดาพูดไม่ทันขาดคำ ก็โดนเสี่ยหาญตบหน้าอย่างแรง
“จะมีเรื่องฉันไม่ว่า แต่ถ้าจะเจ็บตัว มันต้องเจ็บยิ่งกว่าเรา แกลืมที่ฉันสอนหรือไง?”
กฤษดาหน้าเสีย “เอ่อ...ขอโทษครับ”
สิตารีบบอก “พ่อพูดอะไร นั่นวินนะพ่อ ถ้าพ่อคิดจะทำอะไรวินละก็ ตาไม่ยอมแน่”
สิตาเดินกระทืบเท้าเข้าบ้าน ด้วยอารมณ์โกรธ เสี่ยหาญหันกลับมาจ้องหน้ากฤษดา
“ทีหลังอย่าทำให้ฉันเสียชื่ออีก”
ศักดิ์สิทธิ์นั่งประชุมกับทีมงานอยู่ในห้องประชุม เมื่อได้รับรายงานว่าจะมีทัวร์จีนมาลง ก็ค่อยยิ้มอย่างสบายใจ
ระหว่างนั้นปกติที่นั่งอยู่ด้วยก็รับโทรศัพท์ก่อนจะตกใจเสียงดังลั่น
“อะไรนะ?”
ศักดิ์สิทธิ์หันขวับมาด้วยความตกใจ “อะไรของคุณ คุณปกติ”
“แย่แล้วครับคุณหนู”
“มีเรื่องอะไร? ถ้าเรื่องแขกจะเช็คเอ้าท์ก็ไม่เป็นไร ปล่อยพวกเขาไป เรายังมีลูกค้าทัวร์อยู่”
ปกติหน้าเจื่อน
“ลูกค้าทัวร์ก็จะไม่เหลือซิครับ คือมีคนแกล้งปล่อยข่าวเรื่องความปลอดภัยของโรงแรมเรา ตอนนี้ทางเอเย่นต์โทรมายกเลิกทัวร์หลายเจ้าแล้วครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็ทำท่าจะเป็นลม
อนันยชเข้ามาหาทิวัตถ์ที่ห้องทำงาน ก่อนจะเลียบๆ เคียงๆ ถามเพื่อหยั่งเชิง
“วิน แกคิดยังไงวะถ้าฉันจะแต่งงาน?”
ทิวัตถ์เงยหน้าจากแฟ้มเอกสาร มองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู
“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายบอกว่านายจะแต่งงาน? อย่ามาล้อฉันเล่นดีกว่า”
“ไอ้วิน ฉันพูดจริงๆ ฉันว่าเย็นนี้ฉันจะบอกแม่กับคุณน้า”
ทิวัตถ์ถึงกับรีบลุกเข้ามาหาอนันยชทันที
“ไม่น่าเชื่อ ชักอยากจะเห็นซะแล้วว่าเธอเป็นใคร? ถึงทำให้นายคิดจะแต่งงานได้”
อนันยชอมยิ้ม “ ฉันกลัวว่าพอนายเห็นแล้ว จะไม่พูดอย่างนี้ซิ”
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
“ฉันบอกแน่ แต่เอาไว้เย็นนี้แล้วกัน”
อนันยชอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ทิวัตถ์มองอย่างสงสัย
ทิวัตถ์กำลังจะหยิบมือถือโทร. บอกศักดิ์สิทธิ์เรื่องอนันยช แต่อีกฝ่ายกลับโทร. เข้ามาหาพอดี
“แกพักเรื่องไอ้วันไว้ก่อนเลยไอ้วิน แกต้องช่วยฉันนะ”
ทิวัตถ์ได้ยินก็ถึงกับตกใจ “ทำไม มีเรื่องอะไร?”
“ตอนนี้กรุ๊ปทัวร์จีนความหวังสุดท้ายของฉันที่จองไว้เป็นสิบๆ กรุ๊ป เขาโทร. มายกเลิกหมดแล้ว ฉันว่าต้องมีคนแกล้งฉันแน่ๆ วะ”
ทิวัตถ์เริ่มคิดตาม “แล้วนายคิดว่าเป็นฝีมือมือใคร?”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ฉันก็ไม่เคยไปมีเรื่องกับใคร เออใช่ มีอยู่แค่คนเดียว ไอ้กฤษดา ต้องเป็นมันแน่ๆ”
“แน่ใจ?”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันว่ามันต้องเสียหน้าที่โดนแกจัดการแน่ๆ ไอ้วินแกต้องช่วยฉันนะ ตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้ว”
ทิวัตถ์ฟังแล้วก็เครียดเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่อง
“หรือจะลองวิธีนี้?”
ลิลินเดินคุยโทรศัพท์มาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“อีเว้นท์งานแต่งงานเหรอคะ?”
ศักดิ์สิทธิ์ที่คุยโทรศัพท์อยู่ที่โรงแรมรีบบอก
“ใช่ครับ ตอนนี้โซนภาคตะวันออก ยังไม่มีโรงแรมไหนที่รับจัดอีเว้นท์งานแต่งโดยเฉพาะ ถ้าเราทำ ก็อาจจะได้กลุ่มเป้าหมายที่อยู่โซนนี้ที่ไม่ต้องการไปถึงกรุงเทพฯ ผมก็เลยคิดว่าถ้าเราทำเป็นเจ้าแรก บางทีอาจจะกอบกู้สถานการณ์ของโรงแรมตอนนี้ได้น่ะครับ”
“ก็ดีนะคะ แต่ลินยังไม่เข้าใจว่าเกี่ยวอะไรกับลิน”
“คือตอนนี้ผมติดต่อพระเอกช่อง 7 มาถ่ายแบบแล้ว แต่ติดนิดเดียว คืองบทั้งหมดเราใช้เป็นค่าตัวเขากับทีมงานที่จะมาแล้วน่ะครับ ก็เลย เอ่อ จะเป็นอะไรมั้ยครับถ้าผมจะรบกวนคุณลินให้ช่วยอะไรผมหน่อย”
“ได้สิคะ ลินพร้อมช่วยทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แล้วจะเริ่มถ่ายเมื่อไหร่คะ?”
“พรุ่งนี้ครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ยืนยิ้มอย่างดีใจ ขณะที่ลิลินครุ่นคิดเพราะดูเร็วเกินคาด
ลิลินเข้ามาเยี่ยมวิชนีตามปกติ พร้อมกับช่วยพูดย้ำให้เลิกคิดสงสัยว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวการสั่งคนมาลอบทำร้ายเธอ
“ฉันอยากให้เธอเลิกสงสัยในตัวคุณสิทธิ์นะ เพราะนีต้องมาเจ็บแบบนี้ เขาเองก็เสียเชลฟ์ไป แถมค่ารักษาคุณสิทธิ์ก็เป็นคนออกให้ทั้งหมด”
วิชนีส่ายหน้า
“ไม่มีทาง เธอก็เห็นไม่ใช่เหรอว่านายนั่นไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่นายนั่นแล้วจะเป็นใคร?”
ลิลินถอนหายใจ “เออนี ฉันอาจจะหายไปสัก 2 วันนะ ไปเป็นนางแบบช่วยคุณสิทธิ์เขาถ่ายงาน
โปรโมทโรงแรมน่ะ”
วิชนีทำหน้าเบ้เพราะหมั่นไส้ศักดิ์สิทธิ์
“เออ ลิน เมื่อกี้ตำรวจมาหาฉันแล้วบอกเรื่องผลการสืบสวนแล้วนะ เขาบอกว่าเป็นการลักทรัพย์ธรรมดา”
ลิลินนึกสงสัยขึ้นมาทันที
“ลักทรัพย์ ? แต่ถ้าตำรวจบอกว่าเป็นการลักทรัพย์จริงๆ คุณสิทธิ์คงจะหลุดจากข้อหาจ้างคนมาทำร้ายเธอแล้วใช่มั้ย?”
“ใครบอก อย่างนี้มันน่าสงสัยยิ่งกว่าเก่าต่างหาก ทั้งๆ ที่ไม่มีของหาย แต่ดันบอกว่าลักทรัพย์ นายนั่นต้องไปใช้อิทธิพลกับตำรวจแน่ๆ”
“ใช้อิทธิพลเหรอ?”
ลิลินคิดตามคำพูดของวิชนี พลางรำพึงกับตัวเองเบาๆ
ทางด้านสิตาก็ยังคงตามมาใส่ไฟลิลินให้ศุภารมย์ฟัง โดยเล่าเรื่องที่ทิวัตถ์มีเรื่องกับกฤษดาให้ฟัง
ศุภารมย์ถึงกับแปลกใจ เพราะทิวัตถ์ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่ก็พยายามเก็บอาการ
“นี่ขนาดคุณอา เพิ่งพายัยนักร้องนั่นเข้ามาก็เกิดเรื่องวุ่นวายแล้ว ตาว่าถ้าคุณอาไม่ทำอะไร ต่อไปต้องเกิดเรื่องมากกว่านี้แน่ๆ ค่ะ”
ศุภารมย์ยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก
“ขอบคุณที่หวังดีนะ แต่เท่าที่ฉันฟังเรื่องวุ่นวายน่าจะมาจากพี่ชายเธอมากกว่า ใครๆ ก็รู้ว่ากฤษดาน่ะนิสัยเป็นยังไง แล้วฉันก็มั่นใจว่าที่วินมีเรื่องกับพี่ชายเธอ เพราะเขาต้องการปกป้องคุณลินจากพี่ชายเธอ”
สิตาโกรธที่ศุภารมย์เหมือนจะเข้าข้างลิลิน จึงลุกพรวดขึ้น
“งั้นก็ตามใจค่ะ ต่อไปถ้าวินเกิดจมปลักกับนังนั่น คุณอาจะมาโทษตาไม่ได้นะคะ”
ศุภารมย์สวนกลับทันที
“จะพูดอะไรก็ระวังคำพูดหน่อยนะ เพราะปลักเขาไว้ใช้กับควาย แต่ฉันคงไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรหรอก วินเขาเป็นคนฉลาด ผิดแล้วจำ ไม่อย่างนั้นคงไม่เลิกกับเธอหรอก”
สิตากำหมัดโมโห ก่อนจะกระทืบเท้าออกไป ศุภารมย์มองตาม พลางคิดถึงเรื่องทิวัตถ์กับลิลิน
พอสิตากลับมาถึงบ้านก็มาโวยวายกับพี่ชายทันที แต่กฤษดากลับยิ้มเยาะ
“แค่ผู้หญิงคนเดียว จะจัดการเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ฉันว่าจัดการไอ้วินท่าจะง่ายกว่า”
“อะไร พี่จะทำอะไรวิน?”
“เปล่า ฉันก็แค่พูดเฉยๆ แต่ฉันว่าดีแล้วที่แกไม่ได้กลับไปคบกับมันอีก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น แกคงจะทำใจลำบาก”
กฤษดาลอยหน้าลอยหน้า ก่อนจะเดินหัวเราะออกไปทิ้งให้สิตามองตามด้วยความสงสัย
ทางด้านทิวัตถ์เมื่อเข้ามาในบ้าน ศุภารมย์ก็รีบถามย้ำเรื่องที่ไปทะเลาะกับกฤษดา
“ครับ กฤษดามาหาเรื่องที่ผับ ผมเลยต้องช่วยเจ้าสิทธิ์น่ะครับ” ทิวัตถ์ไม่ปฏิเสธ
“แม่รู้ว่ากฤษดาเป็นคนยังไง แต่ยังดีที่ไม่มีเรื่องเพราะแย่งผู้หญิงกัน”
“แม่ต่ายอย่าบอกพ่อนะครับ ผมไม่อยากให้พ่อไม่สบายใจ”
ศุภารมย์พยักหน้ารับ “จ้ะ แม่รู้ แต่ที่แม่กลัวคือกฤษดาเป็นคนผูกใจเจ็บ ยังไงวินก็ระวังตัวหน่อยนะ”
ครู่หนึ่งทรงพลก็เดินเข้ามา
“เรื่องอะไรกัน? ทำไมวันต้องนัดผมให้รีบกลับมาด้วย”
ทิวัตถ์ได้ยินก็รู้ทันทีว่าอนันยชคงจะบอกเรื่องแต่งงาน “ข่าวดีครับพ่อ”
ทรงพลกับศุภารมย์ขมวดคิ้วสงสัย ระหว่างนั้นอนันยชก็กลับเข้ามาพอดี
“ข่าวดีอะไรกันนะวิน ทำไมวันไม่เห็นบอกแม่”
“ก็กำลังจะบอกอยู่นี่ไงครับแม่ ข่าวดีที่ทุกคนคาดไม่ถึงแน่ครับ”
อนันยชตื่นเต้นจนหุบยิ้มไม่ลง
จากนั้นทั้งหมดก็มานั่งพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร ระหว่างนั้นสลวยก็ยกมัสมั่นมาวางที่โต๊ะ ศุภารมย์เห็นเข้าก็แปลกใจ
“ใครให้ทำมัสมั่นขึ้นโต๊ะ”
อนันยชรีบบอก “ผมโทร. บอกยายเองครับ พอดีวันนี้จู่ๆ ผมก็อยากกินแกงมัสมั่นขึ้นมา”
ศุภารมย์พยายามข่มอารมณ์ เพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศ
“แล้วข่าวดีที่จะบอกเรื่องอะไรกันล่ะวัน?”
อนันยชยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะบอก “ผมกำลังจะแต่งงานครับ”
ทุกคนตกใจกึ่งดีใจ ทรงพลรีบบอก
“ดีๆ แต่งงานแต่งการซะที แม่ต่ายคงอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? แม่รู้จักหรือเปล่า จริงๆ วันนี้วันน่าจะพาเธอมาด้วยนะ”
“แม่กับคุณน้าเคยเจอเธอแล้วครับ ผู้หญิงคนนั้นก็คือวรรณิตครับ”
ทุกคนได้ยินชื่อวรรณิตก็ถึงกับอึ้งไป
“วัน อย่ามาพูดเล่นอย่างนี้นะ แม่ถือ”
“ผมไม่ได้พูดเล่นนะแม่ ผมจะแต่งงานกับคุณณิตจริงๆ”
ศุภารมย์ถอนหายใจเฮือก ขณะที่ทรงพลโมโห
“ผู้หญิงมีตั้งเยอะทำไมต้องไปคว้าเอาหลานป้าน้อยด้วย”
“แล้วทำไมจะเป็นเธอไม่ได้ครับ? ผมแค่ต้องการบอกให้ทุกคนรับรู้ ไม่ได้มาขออนุญาต”
พูดจบอนันยชก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไปทันที ศุภารมย์รีบลุกเดินตามไป
“วันจะแต่งกับใครแม่ไม่ว่า แต่ทำไมต้องเป็นเธอ?”
อนันยชหันขวับกลับมาทันที
“เพราะผมรักเธอไงครับ แม่ ผมโตแล้วนะ โตพอจะเลือกอะไรเองได้แล้ว”
“ก็เพราะว่าโตพอที่จะเลือกเองแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงจะเอาผู้หญิงอย่างนั้นเข้ามาในบ้าน”
อนันยชเถียงกลับ
“ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก แม่ก็คอยแต่กำหนดชีวิตผมมาตลอด ต่อไปนี้ผมจะกำหนดชีวิตของตัวผมเอง”
“ได้ ถ้างั้นแม่ขอถามอย่างนึง ทำไมลูกถึงอยากแต่งงานกับหนูวรรณิต? ถ้าตอบไม่ได้ งั้นแม่จะตอบให้เพราะเธอหน้าเหมือนน้าต้อยใช่มั้ย?”
อนันยชยักไหล่อย่างไม่แคร์
“ใช่ เพราะณิตหน้าเหมือนน้าต้อยแล้วแม่จะทำไม?”
“วันทำอย่างนี้แล้วคุณน้าจะคิดยังไง? กลัวน้าเธอไม่รู้หรือไงว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น ก่อนที่น้าต้อยจะตาย”
“ผมไม่สน ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ยอมเสียน้าต้อยไปอีก”
ขาดคำ ก็เดินออกไปทันที ศุภารมย์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะเดินย้อนกลับไปที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง
“ว่าไง? วันเขาพูดเล่นใช่มั้ยคุณ”
ศุภารมย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ทรงพลกับทิวัตถ์นึกรู้คำตอบได้ทันที
“บางทีวันอาจจะกำลังโดนป้าน้อยเป่าหูอะไรมา”
ทั้งคู่จะหันมองทิวัตถ์อย่างหนักใจ
“ผมเข้าใจนะครับว่าคุณพ่อกับแม่ต่ายเป็นห่วงผม แต่ผมกลับมองว่าทำไมเราไม่ลองมองคุณวรรณิตเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนนึง ถ้าคุณพ่อบอกว่าไม่คิดอะไรแล้ว ผมว่าช่วงนี้มันคือช่วงเวลาที่ครอบครัวเรากำลังจะมีความสุขกันนะครับ ครอบครัวเรามีความสุข มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ? พ่อกับแม่ต่ายไม่ต้องเป็นห่วงครับ เดี๋ยวผมคุยกับวันให้เอง”
ศุภารมย์กับทรงพลหันมามองหน้ากันอย่างหนักใจ
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 6 (ต่อ)
อนันยชนั่งดื่มเหล้าอย่างกลัดกลุ้มอยู่คนเดียวในสวน ครู่หนึ่งทิวัตถ์ก็เดินเข้ามาหา
“แม่ให้นายมาพูดอะไรกับฉันอีกล่ะ?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า
“ไม่มีใครบอกทั้งนั้น ฉันมาหานายเพราะเป็นห่วงพี่ของตัวเองไม่ได้เหรอไง”
อนันยชแค่นยิ้ม “ห่วง? ทุกคนไม่เข้าใจฉัน นายรู้มั้ยตอนที่ฉันเอาแต่เที่ยวเตร่ทั้งแม่ทั้งคุณน้าก็คอยบอกให้ฉันมีครอบครัว พอตอนนี้ฉันจะแต่งงานก็กลับมาห้าม ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเรื่องที่ดี ทุกคนก็ต้องดีใจกับฉันสิถึงจะถูก”
“จริงๆ ฉันก็ไม่ได้คิดจะห้ามอะไรนายนะ แต่นายตอบอะไรฉันอย่างนึงสิ นายรักคุณวรรณิตเหรอ?”
อนันยชนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะพยายามหาเหตุผลมาตอบ
“ฉันสงสารเขาว่ะ ฉันเห็นที่ยายน้อยทำกับเธอแล้ว ไม่รู้สิ ฉันอยากปกป้อง ฉันอยากดูแลเธอว่ะ”
“ถ้านายรู้สึกอย่างนี้ก็ดี ฉันจะได้มั่นใจว่านายไม่ได้ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”
พูดพลางยื่นมือมาให้อนันยช “ดีใจด้วยวัน”
อนันยชอึ้งไป เพราะตอนแรกเข้าใจว่าทิวัตถ์เกลียดวรรณิต
“นายไม่รู้สึกอะไรเหรอ?”
“ถ้านายแต่งกับคุณวรรณิตแล้วคิดว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่ทำให้นายมีความสุขได้ แล้วทำไมฉันจะไม่ยินดีกับนายล่ะ”
อนันยชได้ยินอย่างนั้นก็เข้าไปจับมือตบไหล่ขอบคุณ ทิวัตถ์ยิ้มให้จากใจจริง
ศักดิ์สิทธิ์ยืนรอลิลินอยู่ที่ลานจอดรถของโรงแรม ครู่หนึ่งก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเธอเดินมาพร้อมกับวิชนี
“คืออะไรครับคุณลิน?”
เขารีบเอียงหน้ามากระซิบถาม
“ลินไม่อยากทิ้งนีไว้ที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ”
วิชนีได้ยินก็สวนขึ้นมา
“ลินเขาห่วงความปลอดภัยของฉันน่ะ กลัวว่าเกิดมีคนหมั่นไส้ฉันแล้วส่งคนมาทำร้ายอีก”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปจ้องหน้าวิชนี “แล้วเรื่องอะไรมามองหน้าฉัน”
ลิลินรีบกระซิบตัดบท
“นะคะคุณสิทธิ์ คุณสิทธิ์จะได้ถือโอกาสปรับความเข้าใจกับเธอไงคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน เฮ้ย ! ปรับความเข้าใจ ปรับทำไม? ไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย”
ศักดิ์สิทธิ์บ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันมาทางลิลิน “ ไปเถอะครับคุณลิน”
พูดพลางเดินมาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้ ลิลินกำลังจะขึ้นรถแต่วิชนีเข้ามามาดึงไว้
“เดินทางไกลแบบนี้นั่งหลังสบายกว่านะลิน”
วิชนีรีบดึงลิลินเดินไปนั่งที่เบาะหลัง พลางลอยหน้าลอยตาใส่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ยืนงง ที่ตัวเองกลายเป็นคนขับรถไปโดยปริยาย
กฤษดายื่นซองกระดาษไปที่โต๊ะ วีระค่อยๆ เอื้อมมาหยิบก่อนจะเปิดซองออกดู แล้วยิ้มพอใจ
“ที่จริงไม่ต้องก็ได้นะ ถ้าแค่เรื่องปล่อยข่าวยังทำไม่ได้ ฉันก็เสียชื่อนักข่าวประจำจังหวัดหมดซิวะ”
“ไม่เป็นไร แค่นี้มันยังน้อยไปเมื่อเทียบกับความสะใจของฉัน ตอนนี้โรงแรมไอ้ศักดิ์สิทธิ์ อย่าเรียกโรงแรมเลย ตอนนี้เรียกป่าช้าจะดีกว่า เพราะหมาซักตัวฉันยังไม่เห็นเลยวะ”
ขาดคำทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ ครู่หนึ่งเสี่ยหาญก็เดินเข้ามา กฤษดารีบโกหก
“ผมกับไอ้วีระคุยงานกันอยู่ ผมกะว่าจะให้ไอ้วีระสร้างภาพพจน์ให้บริษัทเราไงพ่อ”
เสี่ยหาญยิ้มขำ “สร้างภาพเหรอ ? ไม่ต้องเลย แค่แกอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว”
“แหม มีเพื่อนเป็นนักข่าวประจำจังหวัด เราก็ต้องรู้จักใช้ประโยชน์สิพ่อ”
เสี่ยหาญมองหน้าเอาจริง
“พอเลย ฉันเห็นแก 2 คนคุยกันทีไร มีแต่เรื่องวุ่นวายมาให้ฉันทุกที ฉันไม่รู้ว่าพวกแกจะทำอะไรนะ แต่อย่าให้ฉันเดือดร้อน”
พูดจบเสี่ยหาญก็เดินหน้าเครียดออกไป วีระรีบพูดบอกให้กฤษดาพักเรื่องที่จะเล่นงานบริษัททิวัตถ์
“ฉันพูดจริงๆ นะเว้ย เพราะทางคุณทรงพลเองก็มีเส้นสายไม่ใช่น้อย ขืนทำอะไรประเจิดประเจ้อมีหวังฉันได้เดือดร้อนแน่”
กฤษดาได้ฟังก็หงุดหงิด “แล้วแต่” พลันก็เหมือนนึกแผนร้ายขึ้นมาได้ “ก็ดี เพราะฉันมีวิธีที่สะใจกว่ากันเยอะ”
กฤษดาดายิ้มร้าย พร้อมกับคิดแผนการที่จะจัดการกับทิวัตถ์ให้พ้นทาง
ศักดิ์สิทธิ์ขับรถเข้ามาจอดหน้ารีสอร์ท ก่อนที่ทุกคนจะลงมามองทิวทัศน์รอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ
“เป็นไงบ้างครับคุณลิน”
“โอ้โห สวยมากเลยค่ะคุณสิทธิ์”
จังหวังนั้นเสียงมือถือศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้น
“ผมว่าแล้วว่าคุณลินต้องชอบ” พูดพลางรีบหยิบมือถือมากดรับสาย
“ครับ ตอนนี้ผมอยู่หน้ารีสอร์ทแล้ว ยังไม่เห็นใครเลยนะครับ ได้ครับ ทีมงานถึงกันแล้วเหมือนกันครับ”
วิชนีรีบเดินออกมาก่อนจะเอาเรื่องกับศักดิ์สิทธิ์
“ทำแบบนี้เท่ากับโกหกลูกค้าดิ นายว่าที่นี่มีมุมไหนเหมือนโรงแรมของนายบ้าง?”
ศักดิ์สิทธิ์เลือดขึ้นหน้าทันที
“นี่เธอ มือไม่พายก็อย่าเอาเท้าราน้ำได้มั้ย? ฉันยอมให้เธอมาด้วยก็บุญแล้วนะ”
“ทำไม? ก็ฉันเห็นว่าอะไรที่มันไม่ถูกต้องฉันก็ต้องพูด”
พลันทิวัตถ์เดินออกมาจากรีสอร์ท พอเห็นศักดิ์สิทธิ์ก็ตะโกนทักทันที
“ไอ้สิทธิ์”
ทิวัตถ์กับลิลินเห็นกันต่างก็ตกใจ
“คุณสิทธิ์คะ คุณวินมาทำอะไรที่นี่? คุณสิทธิ์ไม่เห็นบอกฉันเลยว่าจะมีคนอื่นด้วย”
“ไอ้วินมันคนอื่นที่ไหนกันล่ะครับคุณลิน ที่ผมให้ไอ้วินมาด้วยเพราะมันเป็นคนคิดไอเดียเรื่องจัดอีเว้นท์การแต่งงาน เลยต้องให้ไอ้วินมาเป็นที่ปรึกษาน่ะครับ”
ทิวัตถ์หันมายิ้มเยาะ “คนที่ควรถามน่าจะเป็นผมมากกว่า คุณนั่นแหละมาทำไม?”
ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก “เอ่อ ไอ้วิน ฉันขอร้องให้คุณลินมาเป็นนางแบบให้น่ะ”
จากนั้นทีมงานที่ดูแลการถ่ายทำ ก็เดินเข้ามา พร้อมกับแนะนำตัว
“สวัสดีค่ะคุณศักดิ์สิทธิ์ใช่มั้ยคะ ฉันชื่อฝ้ายค่ะเป็นผู้รับงานและดูแลการถ่ายทำทั้งหมดค่ะ ส่วนนี่ก็ช่างภาพของเราค่ะ มาจากนิยตสารพราว”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ นี่วินเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของผมถ้ามีอะไรคุยกับวินได้เลยนะครับ”
“ค่ะ งั้นเราเข้าไปคุยวางแผนการถ่ายทำด้านในกันดีมั้ยคะ แล้วน้องสองนี้คงจะเป็นนางแบบใช่มั้ยคะ?”วิชนียิ้มเขิน แต่พอศักดิ์สิทธิ์บอกว่าเฉพาะลิลินคนเดียว เธอก็ยิ้มค้าง
จากนั้นทีมงานก็เดินนำลิลินกับวิชนีเข้าไปในห้องแต่งตัว ช่างแต่งหน้าทำผมทุกคนต่างก็คิดว่าทั้งลิลินกับวิชนีเป็นนางแบบทั้งคู่ แต่วิชนีรีบอธิบายว่าเธอแค่มาเป็นเพื่อนลิลินเท่านั้น
ระหว่างที่ลิลินนั่งแต่งหน้าทำผมอยู่ วิชนีก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
“ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องช่วยตาศักดิ์สิทธิ์ด้วย ดูยังไงก็ไม่เหมือนรอยัลเพิร์ลซักมุม แบบนี้มันหลอกลวงผู้บริโภคกันเลยนะลิน”
“จริงๆ ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคุณสิทธิ์หรอกนะ แต่ตอนนี้คุณสิทธิ์กำลังลำบาก คุณสิทธิ์ช่วยฉันมาเยอะตอนนี้อะไรที่ฉันทำได้ฉันก็จะทำ”
วิชนีแอบไม่พอใจ ที่ลิลินพูดเข้าข้างศักดิ์สิทธิ์
กฤษดาที่เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีลงมาจากบนบ้าน พร้อมกับที่เสียงมือถือดังขึ้น เขารีบหยิบมาดูเบอร์ ก่อนจะกดรับสาย
“เจอตัวมั้ย? แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?”
เมื่อรู้คำตอบ กฤษดาก็ยิ้มร้าย ก่อนจะวางสายไป
“ที่นั่นจะเป็นหลุมฝังศพของแก ไอ้วิน”
ขณะที่ทิวัตถ์นั่งประชุมวางแผนถ่ายทำกับทีมงาน สิตาก็โทร. เข้ามือถือมา เขาหยิบขึ้นมาดูเบอร์ ก่อนจะตัดสายทิ้ง แล้วเก็บลงกระเป๋าเหมือนเดิม
สิตาหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่รับสาย จึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความไลน์กลับไป
“อยากให้ตาไปหาที่บ้านมั้ยคะวิน?”
ทิวัตถ์หยิบมาอ่าน แล้วถอนหายใจ จากนั้นก็วกเข้าเรื่องที่ประชุมกันค้างอยู่
“คุณวินเก็บรายละเอียดได้ดีมากเลยนะคะ เหมือนกับคนเคยผ่านการแต่งงานมาก่อนเลยค่ะ”
ทีมงานเอ่ยชม ทิวัตถ์ถึงกับนิ่งไป ศักดิ์สิทธิ์รีบบอก
“ใช่ครับ ไอ้วินเนี่ยเคยเกือบจะได้แต่งงานแล้วครับ แต่ติดตรงที่เจ้าสาว เฮ้ย ฉันขอโทษว่ะ”
ระหว่างนั้นมือถือทิวัตถ์ก็ดังขึ้นอีก
“คุณวินรับสายก่อนเถอะค่ะ เผื่อจะเป็นธุระเร่งด่วน”
ศักดิ์สิทธิ์รีบหันมาบอก “เออ นายออกไปคุยกับยัยสิตาให้จบก่อนไป”
ทิวัตถ์เดินเลี่ยงออกมา ก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหลวิน นี่วินอยู่ไหนคะ ตาโทรหาคุณร้อยรอบทำไมคุณไม่รับสาย”
ทิวัตถ์ถอนหายใจอย่าสงเหนื่อยหน่าย “ตา ผมทำงานอยู่”
“นี่มันวันอาทิตย์นะคะวิน ทำงานอะไรกันคะ แล้วอยู่ที่ไหนคะ”
ทิวัตถ์ยังไม่ทันตอบ ศักดิ์สิทธิ์เดินถือแฟ้มออกมาจากห้อง
“โทษทีไอ้วิน ขอแทรกนิดเดียว ช่วยดูให้หน่อยสิว่าจะเอาวิวไหน”
ทิวัตถ์เปิดดูแฟ้ม ก่อนจะชี้ไปที่สวนสวยในชาโตว์
“นายคิดเหมือนฉันเดี๊ยะเลย แค่สวนสวยๆในรีสอร์ทแบบนี้ แล้วทอดสายตาไปเห็นภูเขานี่แหละสวยที่สุด”
ทิวัตถ์พยักหน้า ก่อนจะรีบตัดบทกับสิตา “แค่นี้ก่อนนะตา”
สิตายิ้มมุมปาก
“รีสอร์ทเหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์กำลังดูทีมงานที่กำลังเตรียมงานกัน ก่อนจะเห็นทิวัตถ์ยืนครุ่นคิดบางอย่าง
“เฮ้ย นายมายืนเก๊กหล่ออะไรตรงนี้วะ? หรือว่าหาวิวถ่ายรูปงานแต่งของตัวเองอยู่”
“จะบ้าหรือไง ฉันกำลังคิดเรื่องที่วันจะแต่งงานน่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจ “หา ไอ้วันเนี่ยนะจะแต่งงาน จริงเหรอวะ? ไม่อยากจะเชื่อคนอย่างไอ้วันเนี่ยนะจะยอมแต่งงาน เห็นมันหวงความโสดของมันจะตาย แสดงว่าผู้หญิงที่ทำให้ไอ้วันเปลี่ยนใจได้ต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ ไม่งั้นไอ้วันไม่ยอมแต่งง่ายๆแบบนี้หรอก ว่าแต่ว่าที่เจ้าสาวเป็นใครวะ?”
“คุณวรรณิต”
ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็ถึงกับตกใจ
“คุณวรรณิต? คนที่นายบอกว่าหน้าเหมือนแม่ต้อยของนายอ่ะนะ ไอ้วันมันคิดอะไรของมัน”
“วันคงคิดดีแล้ว ถ้าแต่งแล้วมีความสุขฉันก็ยินดีด้วย”
ศักดิ์สิทธิ์มองทิวัตถ์ที่ดูนิ่งๆไป
“ไอ้วันน่ะมีความสุข แล้วแกล่ะ?”
”ความสุขฉันกับความสุขของครอบครัวมันเทียบกันไม่ได้วะสิทธิ์”
ทิวัตถ์พูดจากใจจริงแต่ศักดิ์สิทธิ์เห็นสีหน้าก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเครียด
“ถ้าเสร็จงานนี้แล้ว เราอยู่เที่ยวกันต่ออีกสัก 2-3 วันดีมั้ย?”
ทิวัตถ์กับศักดิ์สิทธิ์กับทิวัตถ์กำลังช่วยกันควบคุมการถ่ายทำอยู่ จู่ๆ ทีมงานก็เดินหน้าเครียดเข้ามา
“ตอนนี้เรายังติดต่อพระเอกที่จะมาเป็นนายแบบไม่ได้ครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจ
“อะไรกันป่านนี้ยังไม่มา แถมยังติดต่อไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่จะถ่ายเสร็จ ถ้าวันนี้ถ่ายไม่เสร็จขึ้นมาก็ต้องถ่ายพรุ่งนี้ต่อ โอ๊ย แล้วอย่างนี้ฉันไม่ต้องจ่ายค่าแรงเป็น 2 คิวเลยหรือไง?”
จังหวะนั้นลิลินในชุดเจ้าสาวเดินเข้ามา ทิวัตถ์หันไปมองก็ถึงกับตกตะลึง จนวิชนีต้องกระแอมแซว พอรู้ตัวเขาก็เลยหาเรื่องทะเลาะกลบเกลื่อน
“ทำไมถึงแต่งตัวนานขนาดนี้ หรือว่าตื่นเต้นที่ได้ใส่ชุดเจ้าสาว”
ลิลินมองค้อน “ที่นานเพราะฉันไม่อยากออกมาเจอคุณนี่แหละ”
ศักดิ์สิทธิ์รีบเข้ามาห้ามทัพ ก่อนจะแยกตัวทิวัตถ์ออกไปบอกเรื่องนายแบบ ขณะที่ทีมงานกับช่างภาพก็ร้อนรนกันหมด ลิลินกับวิชนีมองอย่างสงสัย
ฟากสิตาก็ตระเวนหาทิวัตถ์ตามรีสอร์ทนั้นรีสอร์ทนี้จนนึกโมโห
ลิลินนั่งคุยอยู่กับวิชนี ถึงความวุ่นวายในกองถ่าย พอศักดิ์สิทธิ์เดินผ่านมา เธอจึงรีบเรียกไว้
“คุณสิทธิ์คะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
“มีปัญหานิดหน่อยครับ เพราะนายแบบที่จะมาดันประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง นี่ก็คงจะมาไม่ได้แล้วผมต้องหาคนมาเป็นนายแบบแทนน่ะครับ”
ลิลินพลอยกังวลไปด้วย “ถ้าเปลี่ยนไปถ่ายพรุ่งนี้ล่ะคะ?”
“ผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้นนะครับ แต่ช่างภาพกับทีมงานดันว่างแค่วันนี้วันเดียวด้วย”
“งั้นคุณสิทธิ์ก็มาถ่ายเองเลยสิคะ?”
วิชนีหัวเราะขำ “ตานี่เนี่ยนะ มีหวังเจ๊งกว่าเดิมสิลิน เป็นผู้บริหารมันต้องดูดีมีราศีอย่างคุณวินเขาสิ”
ศักดิ์สิทธิ์คิดตาม แล้วก็ยิ้มออก
“ผมคิดออกแล้วครับคุณลิน”
จากนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ก็ไปเจรจาให้ทิวัตถ์รับหน้าที่ถ่ายแบบแทน
“ไอ้สิทธิ์ อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย”
ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าตาจริงจัง “ไหนนายว่าเรื่องแค่นี้ไง น่านะช่วยฉันหน่อย”
“ไอ้สิทธิ์ถ้าเรื่องอื่นฉันยินดีช่วย แต่เรื่องนี้ขอบายว่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์พยายามอ้อนวอน
“วิน นายนี่แหละเหมาะสมที่สุด เพราะคนในจังหวัดส่วนใหญ่ให้ความนับถือนายกันมากกว่าฉันซะอีกตกลงนายจะใจจืดใจดำไม่ช่วยเพื่อนหน่อยหรือไง? ตามใจ ฉันจะได้ไปบอกทุกคนให้ยกกองเพราะไม่มีนายแบบ”
ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางแอบเหล่ทิวัตถ์ที่เดินออกไป โดยไม่สนใจ ก่อนจะพูดให้ดูรันทดยิ่งขึ้น
“พอไม่มีนายแบบแล้วฉันก็ไม่มีงาน โรงแรมก็เจ๊ง แล้วพอฉันหมดตัวฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง ฉันก็จะฆ่าตัวตาย แล้วนายก็จะเสียใจที่เสียเพื่อนที่หน้าตาดี นิสัยดีที่สุดอย่างฉันไป”
ขาดคำก็ตีหน้าเศร้ากำลังจะออกไป ทิวัตถ์ที่นิ่งคิดตาม ก่อนจะใจอ่อนยวบ
“เดี๋ยว...”
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 6 (ต่อ)
ลิลินในชุดเจ้าสาวที่ยืนรอหน้าเซ็ทกับวิชนี ครู่หนึ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เดินยิ้มกลับเข้ามา
“คุณสิทธิ์เป็นไงบ้างคะ หานายแบบได้หรือยังคะ?”
“เส้นยาแดงผ่าแปดเลยครับคุณลิน”
“ใครคะ?”
จากนั้นทิวัตถ์ในชุดเจ้าบ่าวก็เดินออกมา วิชนีรีบสะกิดเรียกลิลินให้มอง
“ลิน เจ้าบ่าวของเธอมาโน่นแล้ว เท่ระเบิดเลย”
จังหวะนั้นสิตาก็เดินเข้ามาพอดี พอเห็นทิวัตถ์ในชุดเจ้าบ่าว และลิลินในชุดเจ้าสาว ก็โวยวายเสียงดังลั่น ทิวัตถ์กับศักดิ์สิทธิ์หันมาเห็นสิตาก็ตกใจ
สิตาเดินปรี่เข้ามา ก่อนจะหันไปเห็นแก้วไวน์ที่ใช้เป็นพร็อพประกอบฉาก เธอรีบคว้าแก้วขึ้นมา พร้อมกับสาดใส่ชุดเจ้าสาวของลิลินทันที
“ทำไมวินต้องหลอกตาว่ามาทำงานด้วย ที่แท้วินก็แอบมาแต่งงานกับยัยนี่นี่เอง สันดานผู้หญิงเต้นกินรำกิน สมองเธอคิดแต่จะจับผู้ชายรวยอย่างเดียวหรือไง?”
ลิลินเดินไปคว้าแก้วไวน์อีกแก้ว ก่อนจะสาดใส่หน้าสิตากลับ
“แอลกอฮอลล์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค หวังว่าคงจะช่วยล้างสิ่งสกปรกที่อยู่ในหัวของคุณได้นะ”
“หนอย แกด่าฉันเหรอ? นังผู้หญิงชั้นต่ำ”
สิตาง้างมือจะตบลิลิน วิชนีกำหมัดเข้ามาขวาง ทิวัตถ์รีบเข้ามาห้าม
“ตา ชักไปกันใหญ่แล้ว มันไม่ใช่อย่างที่ตาคิด”
ศักดิ์สิทธิ์รีบช่วยอธิบาย
“นี่สิตา นี่ไม่ใช่งานแต่งงานของวิน วินมันกำลังทำงานอยู่จริงๆ ถ้างานแต่งวินจริงๆ ผมว่าโรงแรมนี้ทั้งโรงแรมก็คงไม่พอรับแขกหรอก แล้วตาช่วยหันไปดูหน่อยนะว่ามีทีมงานกี่ชีวิตที่รอถ่ายงานโปรโมทให้ผมอยู่”
สิตาหันมองไปที่ทีมงาน แล้วก็รู้สึกอายจนหน้าชา
“ถ่ายงาน? ก็ถ่ายสิ เอ้า ทำไมไม่ถ่ายซะทีล่ะ มัวรออะไรกันอยู่”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ
“เข้าใจแล้วใช่มั้ย งั้นก็หลบไปสิ ผมจะทำงาน เอ้า ทีมงานใครก็ได้พานางแบบผมไปเปลี่ยนชุดใหม่ที”
ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางเดินกุมขมับออกไป พลางมองหน้าสิตาอย่างเซ็งๆ ก่อนที่ช่างแต่งหน้าทำผมจะพา
ลิลินออกไป สิตาหน้าเจื่อน วิชนียืนหัวเราะเยาะด้วยความสะใจ
สิตาโวยวายกับทิวัตถ์ที่ไม่ยอมเล่าความจริงให้เธอฟัง แต่อีกฝ่ายกลับพูดย้อนอย่างโมโห
“ทำไมผมจะไม่บอก ผมบอกตาแล้วนะว่าผมมาทำงาน แต่ตาก็ไม่เชื่อ”
“แล้วทำไมวินต้องโมโหตาแบบนี้ด้วย อ๋อ วินคงจะเป็นห่วงยัยนักร้องนั่นมากกว่าความรู้สึกของตาใช่มั้ยคะ?”
“ผมว่าตาสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ แล้วเราค่อยคุยกัน”
ทิวัตถ์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะรีบเดินออกไป พร้อมกับกดมือถือโทร.หาศุภารมย์
“แม่ต่าย ตอนนี้ผมมาช่วยไอ้สิทธิ์ถ่ายโปรโมทโรงแรมอยู่ที่เขาใหญ่นะครับ ผมอาจจะอยู่เที่ยวต่ออีกสัก2-3 วันนะครับ”
“ดีแล้ว ไปเที่ยวให้สบายใจเถอะลูก ไม่ต้องห่วงที่บ้าน เดี๋ยวแม่จะบอกพ่อให้เอง”
ศุภารมย์กดวางสาย ก่อนจะลงมาจากรถ มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของวาสนา
ขณะที่ภายในบ้าน วรรณิตกำลังพูดอ้อนวอนกับวาสนาว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับอนันยช แต่กลับถูกอีกฝ่ายโวยวายใส่
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย อะไรที่มันเสียฉันยอมเสีย แต่มันต้องคุ้มค่า ไหนๆ ไม่ได้พ่อวิน พ่อวันก็ยังดี อย่างน้อยหล่อนก็ได้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น”
“แต่...”
“หล่อนไม่มีสิทธิ์อออกความเห็น”
วาสนาตวาดใส่ ก่อนที่จะหันมาเห็นศุภารมย์ยืนอยู่
“แล้วถ้าเป็นฉันล่ะคะ? ป้าน้อย”
เมื่ออยู่กันตามลำพังกับ วาสนาที่เข้าใจว่าศุภารมย์จะมาเจรจาสู่ขอวรรณิตก็รีบบอก
“เรื่องสินสอดทองหมั้นก็สุดแล้วแต่แม่ต่ายนะ แต่อย่าให้มันน่าเกลียดนักล่ะ”
ศุภารมย์หน้าเครียด
“ที่ต่ายมาวันนี้เพราะจะมาบอกว่ายังไงต่ายก็คงยอมให้ตาวันแต่งงานกับเด็กของป้าไม่ได้หรอกค่ะ”
วาสนาชะงักไปเหมือนความฝันพังทะลาย
“แต่เด็กมันชอบพอกัน แม่ต่ายจะขัดขวางรึ?”
ศุภารมย์ไม่ตอบ แต่กลับเปิดกระเป๋า แล้วหยิบซองน้ำตาลออกมาวางตรงหน้า
“5 แสนน่าจะพอนะคะ”
วาสนาตาวาวอยากจะตะครุบไว้ทันที แต่ก็ฉลาดพอที่จะโก่งค่าตัวเพิ่ม
“แสดงว่าพ่อวันเขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาทำเรื่องบัดสีไว้กับยัยณิตใช่มั้ย? เงิน 5 แสนน่ะแม่ต่ายไม่ต้องเอามาให้ฉันหรอก ฉันเองก็มีศักดิ์ศรี ยัยณิตเองก็เหมือนกัน อันที่จริงฉันจะไปแจ้งความข้อหาข่มขืนก็ได้”
ศุภารมย์รีบขัดขึ้นทันที
“แล้วป้าต้องการเท่าไหร่คะ?”
ขณะที่ช่างภาพกำลังกำกับท่าทางให้ทิวัตถ์ที่ถ่ายแบบคู่กับลิลิน
“เข้าไปอีกครับ ต้องทำให้เหมือนคนรักกันที่กำลังจะแต่งงานจริงๆ หน่อยครับ ดีครับ คราวนี้คุณวินเอาสองมือกอดเอวคุณลินแล้วมองตากันด้วยนะครับ”
ทิวัตถ์กำลังจะทำ แต่แล้วก็รีบชักมือกลับ
“ผมทำไม่ได้หรอก ผมกลัวว่าพวกผู้ชายในสังกัดเธอจะโกรธเอา”
ลิลินยิ้มเย้ย “ห่วงฉันหรือห่วงว่าจะโดนแฟนเก่าเล่นงานกันแน่ถึงไม่กล้า”
“เธอว่าใครไม่กล้า?”
ขาดคำทิวัตถ์ก็โอบเอวลิลินเข้ามาจนชิด แต่ก็ดูไม่เหมือนคู่รัก เพราะต่างไม่ชอบหน้ากัน
“คุณวินเอาหน้าเข้าไปชิดๆ คุณลินหน่อยครับ ใกล้อีกครับ”
ทิวัตถ์เอียงหน้าเข้าไปใกล้จนหายใจรดต้นคอ ลิลินเบือนหน้าหนีอย่างลำบากใจ
“ทำไม? คนอยู่เยอะหรือไงถึงไม่กล้า อ๋อ ปกติคุณมักจะกินในที่ลับตาคนสินะ”
“ลับตา ? แบบนี้เหรอคะ?”
ลิลินพูดพลางใช้ส้นสูงกระแทกเท้าจนอีกฝ่ายเสียหลัก รีบคว้าตัวเธอเข้ามากอด ช่างภาพกับศักดิ์สิทธิ์ยิ้มชอบใจ
“ดีครับ สวยครับ”
สิตามองการถ่ายแบบของทั้งคู่อย่างไม่พอใจ
พอพักเบรก ทั้งลิลินกับทิวัตถ์ก็เข้ามาให้ช่างแต่งหน้าซับหน้าเพิ่ม ครู่หนึ่งช่างภาพก็เดินเข้ามาบอก
“เดี๋ยวซีนต่อไปผมอยากให้คุณวินกับคุณลินหอมกันเลยนะครับ”
ทุกคนตกใจ “หอม?”
สิตาที่เดินเข้ามาได้ยิน ก็แหวขึ้นมาทันที
“จะมากเกินไปแล้วนะ”
พลางเดินมาคว้ากระโปรงของลิลินจะฉีก ทิวัตถ์หันมาเห็นก็ตวาดเสียงดัง
“หยุดนะตา คุณทำบ้าอะไรของคุณ”
“วินว่าตาบ้า แล้วที่วินทำล่ะมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
“นี่มันงานไอ้สิทธิ์นะตา ไหนว่าตาเข้าใจแล้วไง”
สิตาไม่ฟังเสียง เดินไปเข้าไปทำลายอุปกรณ์ประกอบฉากเหมือนคนบ้าคลั่ง
“ไม่ต้องถ่งต้องถ่ายมันแล้ว เลิกกองไปให้หมด นายศักดิ์สิทธิ์ให้ค่าจ้างเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันให้เพิ่มเป็นสองเท่า”
ศักดิ์สิทธิ์หันมราตะคอกกลับ
“เธอจะบ้าหรือไง คิดว่าเป็นลูกเสี่ยหาญแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรเธอหรือไงฮะ พาคุณลินออกไปก่อน”
ทีมงานกับวิชนีรีบพาลิลินออกไปนั่งพัก
“ตามานี่ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ทิวัตถ์รีบลากสิตาที่เอาแต่ร้องกรี๊ดเหมือนคนบ้าออกไป
วิชนีเอาชุดเจ้าสาวมาทาบกับตัวเอง พลาวทำตาลอยเคลิ้มฝัน จังหวะเดียวกับที่ศักดิ์สิทธิ์เดินกุมขมับมาด้วยความเครียด
“ทำอะไร? วางลงเลย รู้มั้ยว่าชุดนี้ราคาเท่าไหร่?”
วิชนีหันไปเห็นศักดิ์สิทธิ์ก็ตกใจ
“อยากให้วางใช่มั้ย เอ้า”
พูดพลางโยนชุดไปให้ ศักดิ์สิทธิ์ตกใจรีบกระโดดรับ
“เฮ้ย ! ทำบ้าอะไรของเธอนี่ อยากใส่หรือไงไอ้ชุดเจ้าสาวเนี่ย”
“แล้วทำไม? มันก็เป็นความฝันของผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มเยาะ
“งั้นเธอก็คงได้แต่ฝันต่อไป เพราะชาตินี้คงไม่มีใครอยากแต่งด้วย ถึงจะแต่ง เธอก็ต้องเลิกกันตั้งแต่หม้อข้าวไม่ทันดำ รู้มั้ยทำไม? เพราะเสน่ห์ปลายจวักของเธอมันไม่ได้เรื่อง”
พูดจบศักดิ์สิทธิ์พูดจบก็เดินออกไปทันที วิชนีอ้าปากค้าง เจ็บใจที่โดนดูถูก เลยคิดเอาคืน
“ไม่ได้เรื่องนักใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์ลากสิตาออกมาด้านนอก ก่อนจะยื่นคำขาด
“ถ้าตายังทำอย่างนี้อีก ตาคงต้องกลับ นี่มันงานนะตา ผมกับเธอ เราก็ไม่มีอะไรกัน แยกแยะหน่อยนะ”
สิตายิ่งหงุดหงิดเพราะคิดว่าทิวัตถ์เข้าข้างลิลิน
“นี่ไม่ทันไรวินก็เข้าข้างยัยนักร้องนั่นแล้วเหรอคะ?”
“ถ้าตายังทำตัวไม่มีเหตุผล ก็กลับไปเหอะตา”
สิตาจำใจต้องรับคำ ก่อนที่จะเดินออกมาอย่างหงุดหงิด พร้อมกับที่เสี่ยหาญโทร.เข้ามือถือมาพอดี
“ค่ะพ่อ เขาใหญ่ค่ะ”
เสี่ยหาญโวยวายมาทางปลายสาย
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้ แกเป็นผู้หญิงจะวิ่งตามผู้ชายไปถึงนั่นทำไม”
“ตาไม่สน และตาก็ไม่กลับ แล้วนี่พ่อรู้ได้ไงว่าตามาหาวิน?”
“ฉันจะรู้ได้ยังไงแกไม่ต้องสน ฉันบอกให้กลับบ้าน อยากให้ฉันไปหามั้ย?”
สิตาถูกพ่อบังคับให้กลับก็ยิ่งขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ก็ได้”
จากนั้นก็กดวางสาย พร้อมกับเดินออกไปอย่างไม่พอใจ
กฤษดาโผล่หน้ามาจากอีกด้านหนึ่ง พลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“แกจะมาฉลาดกว่าฉันได้ไง? ยัยตา”
วาสนาที่ยืนครุ่นคิดเรื่องที่ศุภารมย์มาอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก่อนที่วรรณิตจะเข้ามาพูดให้ยอมทำตามข้อเสนอของฝ่ายนั้น แต่วาสนาไม่ยอม
“ในเมื่อเหยื่อติดเบ็ด ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่”
“แต่ณิตไม่อยากแต่งงานกับคุณวัน”
จู่ๆ อนันยชก็โผล่เข้ามา วรรณิตรีบเดินไปหลบหลังวาสนา
“มาก็ดีแล้ว รู้มั้ยเมื่อกี้แม่ต่ายเพิ่งมาหาฉัน”
อนันยชตกใจ คาดไม่ถึงว่าศุภารมย์จะมาจัดการด้วยตัวเอง
ศักดิ์สิทธิ์เดินนำทิวัตถ์กับลิลินมาที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับรีบบอก
“ฉันจองโต๊ะไว้แล้ว อาหารที่นี่รับรองอร่อยทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าอาหารที่ผมสั่งไปจะถูกปากคุณลินมั้ยนะครับ”
ลิลินพูดอย่างเกรงใจ “ฉันทานอะไรก็ได้ค่ะ”
ทิวัตถ์ยิ้มหยัน
“นายคงยังไม่รู้ว่าคนอย่างคุณลินเขาทานไม่เลือกหรอก ไม่ว่าจะหนุ่มโสดพ่อหม้ายชาวสวนไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ จริงมั้ยครับ?”
ลิลินโต้กลับ “เดี๋ยวนี้ก็เลือกแล้วล่ะค่ะ เพราะบางอย่างดูดีแค่ภายนอก แต่ภายในสกปรก”
ทิวัตถ์หันขวับไปคว้ามือลิลินอย่างจะเอาเรื่อง แต่สิตาเดินเข้ามาพอดี
“วินคะ”
เขารีบปล่อยมือลิลิน ศักดิ์สิทธิ์เห็นท่าไม่ดีก็รีบเข้ามาแทรก
“เชิญนั่งก่อนดีกว่าครับคุณลิน”
ฝ่ายทิวัตถ์ก็เลื่อนเก้าอี้ให้สิตานั่งข้างๆ ฝ่ายหลังยังจ้องมองลิลินอย่างไม่วางตา ก่อนจะหันไปพูดหน้าเศร้า
“ตาคงไม่ได้อยู่ทานอาหารกับวินนะคะ พอดีตามีธุระต้องกลับด่วน วินไปส่งตาที่รถหน่อยนะคะ”
“ได้ ทานกันไปก่อนเลยไม่ต้องรอฉัน”
พูดจบก็เดินพาสิตาออกไป ระหว่างนั้นพนักงานก็นำอาหารออกมาเสิร์ฟ
“ทานอาหารเถอะครับ ไม่ต้องรอเจ้าวินมันหรอก เดี๋ยวจะเย็นซะหมด”
ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางตักสลัดให้ลิลิน ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มลงมือทานอาหารกัน
“คุณลินลองชิมสเต็กดูนะครับ นุ่มฉ่ำอยู่ในปาก เข้ากันกับซอสมาก น้อง อาหารรสชาติดีอย่างนี้ผมชักอยากจะรู้จักกับเชฟแล้วล่ะสิ”
ผู้จัดการยิ้มรับ “แหมจะใครซะอีกล่ะครับ ก็เชฟส่วนตัวที่คุณศักดิ์สิทธิ์พามาด้วยไงล่ะครับ”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกว่าคือวิชนี
“อย่าบอกนะว่าหมดนี่เป็นฝีมือเธอ”
“ถูกต้องครับ”
ศักดิ์สิทธิ์จิ้มสเต็กใส่ปากจนเต็มก่อนจะเดินบ่นออกไป “รสชาติไม่ได้เรื่อง”
ลิลินอมยิ้ม ที่ศักดิ์สิทธิ์เดินบ่น แต่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
กฤษดากับลูกน้องที่ซุ่มดูอยุ่ ก่อนจะเห็นทิวัตถ์เดินออกมาส่งสิตาที่รถ
“ตาไม่อยากไปเลย”
ทิวัตถ์รีบบอก “ตาไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ได้รักใครง่ายๆ”
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวตาถึงแล้วโทร. บอกนะคะ”
พูดพลางหอมแก้มทิวัตถ์ ก่อนจะขับรถออกไป
กฤษดากับลูกน้องแอบมองอย่างไม่คลาดสายตา
“ทำไมพี่ไม่ลงมือเลยล่ะ? แค่คนเดียวพวกฉันจัดการได้สบาย”
“จะบ้าหรือไง คนเยอะแยะอย่างนี้ เดี๋ยวเรื่องก็ถึงหูพ่อฉันหรอก”
“แล้วพี่จะเอายังไง?”
กฤษดาครุ่นคิดอย่างมีแผนร้าย
“ลงมือคืนนี้”
ศักดิ์สิทธิ์มองซ้ายมองขวากำลังจะแอบเข้าห้องครัว แต่วิชนีเดินสวนออกมาพอดี เขารีบโวยวาย
กลบเกลื่อน
“เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง?”
“แล้วทำไมจะทำไม่ได้ ก็ในเมื่อที่เก่าเขาไม่เคยเห็นคุณค่าของฉันเลยนี่”
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ แต่ตอนนี้เธอเป็นเชฟโรงแรมของฉันอยู่ ทำอย่างนี้มันผิดกฎพนักงาน”
วิชนียักไหล่ “เอาซิ ไล่ออกเลยซิ”
ศักดิ์สิทธิ์เจอคำท้าทายถึงกับไปไม่ถูก เพราะไม่กล้าไล่อีกฝ่ายออก
“ตอนที่นายส่งคนมาทำร้ายฉัน นายยังคิดอยู่มั้ยว่าฉันเป็นเชฟให้โรงแรมของนาย?”
“ถ้าเรื่องนั้นต่อให้ฉันบอกเธอร้อยรอบ เธอก็ไม่เชื่อว่าฉันไมได้เป็นคนส่งคนไปทำร้ายเธอ ไม่รู้แหละ ยังไงเธอก็ไม่มีสิทธิ์มาทำงานที่นี่”
“นายก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามฉัน”
วิชนีมองหน้าศักดิ์สิทธิ์อย่างโมโห ก่อนจะเดินหนีไป
ทางด้านลิลินกับทิวัตถ์ก็โพสท่าถ่ายแบบคู่กันต่อ จังหวะที่ลิลินกำลังจะเปลี่ยนท่า บังเอิญเกิดสะดุดชายกระโปรงตัวเอง กำลังจะหงายหลังล้มลง ทิวัตถ์รีบคว้าไว้ทัน ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันแค่ปลายจมูก ต่างชะงักสบตากัน ช่างภาพเห็นอย่างนั้นก็รีบกดชัตเตอร์รัว
ทั้งคู่มองตากันจนเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของศักดิ์สิทธิ์
“ขอบคุณทีมงานทุกคนมากนะครับสำหรับวันนี้ ถ้าพรุ่งนี้ก่อนกลับผมอยากได้แสงเช้าอีกสักชุดจะได้มั้ยครับ”
ทั้งคู่รีบปล่อยมือกันอย่างเขินๆ ทีมงานและช่างภาพมองหน้ากันก่อนจะตอบตกลง
“ขอบคุณทุกคนมากเลยนะครับ ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกทีมงานที่มีคุณภาพใส่ใจลูกค้าและรายละเอียดอย่างนี้”
ช่างภาพพยักหน้ารับ “คุณสิทธิ์ครับ งั้นพรุ่งนี้หกโมงเช้าเจอกันที่นี่นะครับ”
“โอเค. ครับ คืนนี้พักผ่อนกันให้เต็มอิ่มเลยนะครับ”
ทีมงานเดินเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ลิลินรีบเดินเข้ามาถาม
“พอใช้ได้มั้ยคะคุณสิทธิ์”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มกว้าง
“ไม่ใช่แค่ใช้ได้ครับ แต่มันเยี่ยมมากเลยครับคุณลิน ผมคิดไม่ผิดเลยที่เลือกคุณลินกับไอ้วินมาเป็นแบบให้”
“ถ้างั้นฉันขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นห้องพักก่อนนะคะ”
ลิลินกับวิชนีเดินออกไป ทิวัตถ์มองตาม
“มองอะไร? อย่าบอกนะว่าอินนอกจอ”
ศักดิ์สิทธิ์พูดล้อๆ ทิวัตถ์รีบแก้ตัว
“อินบ้าอะไร ฉันแค่พยายามทำดีกับเธอเพื่อให้งานแกราบรื่นต่างหาก ไปเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว”
พูดจบก็รีบเดินออกไปทันที
กฤษดากับลูกน้องที่ขับรถมาจอดซุ่มมุมมืด ก่อนจะลงมาจากรถ
“พวกแกเตรียมอาวุธให้พร้อม คืนนี้ฉันจะสงเคราะห์ไอ้วินลงนรกด้วยมือของฉันเอง”
ขาดคำ ลูกน้องก็หยิบหน้ากากแบบเต็มใบขึ้นมาสวม กฤษดายิ้มด้วยแววตาร้ายก่อนจะเดินเข้าไปในล็อบบี้รีสอร์ท
อ่านต่อตอนที่ 7