xs
xsm
sm
md
lg

พราว ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พราว ตอนที่ 2

สมชายยืนยันขัยแข็งจะขอลาออกจากการเป็นตำรวจ เขายื่นซองขาวให้ผู้กำกับสหวุฒิด้วยความรู้สึกผิดและยังเสียใจไม่หายกับการตายของเพื่อน

“ผมไม่ได้อยากให้ใครตาย ผมทำตามหน้าที่!” สมชายพูดต่อ
“เฮ่อ...คุณก็ไม่น่าบุกเดี่ยวเข้ามินิมาร์ทแบบนั้น” สหวุฒิตำหนิ
“แต่ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นอีก ผมก็จะทำของผมแบบนั้น!” สมชายบอกเสียงแข็ง
สหวุฒิฉุน “นี่ไง! คุณมันดุเดือดเลือดพล่านแบบนี้ มันถึงได้เกิดการสูญเสียขึ้น”
“สมเหตุสมผลแล้วใช่ไหมครับ ที่ผู้กำกับต้องเซ็นอนุมัติให้ผมออก!”
สมชายยื่นหนังสือลาออกบนโต๊ะไปที่หน้าสหวุฒิอีกครั้ง
“เอ่อ…” สหวุฒินิ่งไป เขาหลงกลพูดตามน้ำเข้าทางสมชายซะแล้ว
“เดี๋ยว! ใจเย็นก่อนนะสมชาย ใครก็ทำพลาดกันได้ แต่ตำรวจเก่งๆ ดีๆ มีฝีมือมันไม่ได้สร้างกันง่ายๆ ผมจะให้โอกาสคุณแก้ตัว”
“เซ็นอนุมัติเถอะครับ” สมชายขอร้อง
“ผมให้คุณพักร้อนอาทิตย์นึง พอไหม” สหวุฒิว่า
“เซ็นเถอะครับ” สมชายดื้อดึง
“งั้นพักร้อนแบบไม่มีกำหนดไปเลย คุณพร้อมเมื่อไหร่ ค่อยกลับมาทำงาน” สหวุฒิตัดบท
“ผู้กำกับ!” สมชายลุกขึ้นอย่างเหนื่อยใจ
มีเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขัดขึ้น สหวุฒิยกมือหยุดสมชายแล้วรับสาย
“ฮัลโหล... เหตุด่วนอะไร ฮะ...ที่กองถ่ายน่ะเหรอ จะไปเดี๋ยวนี้” สหวุฒิวางสายอย่างรีบร้อน
“ช่วยเซ็น…” สมชายยื่นใบลาออก อ้าปากจะพูดต่อ
“เรื่องลาออกเอาไว้ก่อน! คุณไปกับผม เกิดเรื่องกับ พราว พิชญาดา อีกแล้ว” สหวุฒิตัดบท
สมชายมองนายอ้าปากค้างอย่างอ่อนใจ

ขณะนั้น ติณห์นั่งมาในรถหรูของตัวเองที่มีคนขับรถให้ รถแล่นมาตามถนน เขาคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“คุณพราวเป็นยังไงบ้างคุณแฟรงค์! บาดเจ็บตรงไหน...อาการหนักหรือเปล่า” ติณห์ถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นจนดูเหมือนตื่นตระหนก
“เหรอครับ...คุณพราวปลอดภัยดี...โล่งอกไปที...ผมเป็นห่วงแทบแย่ งั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” สีหน้าของติณห์ค่อยๆ นิ่งลง เมื่อแฟรงค์บอกว่าพราวไม่เป็นอะไรเลย
ติณห์วางสายด้วยสีหน้าเครียดๆ คล้ายว่าจะเป็นห่วงพราว แต่ความจริงแล้ว เขาเครียดเพราะพราวดันรอดจากการเจ็บตัว ทั้งจากหลอดไฟ และ น้ำกรดต่างหาก

เมื่อสมชายตามสหวุฒิมาถึงกองถ่ายพร้อมทีมสอบสวน ก็เห็นพราวกำลังยืนโวยอยู่กลางฉากถ่ายทำ โดยมีแฟรงค์กับเอมี่ยืนประกบทั้งปลอบทั้งเครียดอยู่ไม่ห่าง
จันทร์จรียืนฟังรวมอยู่กับนักแสดงคนอื่นๆ อย่างหมั่นไส้
“เรื่องไฟที่ร่วงในฉาก พราวพอจะเข้าใจได้ว่าเป็นความสะเพร่าของทีมงาน แต่เรื่องน้ำกรดล่ะ อย่าบอกนะคะว่าเป็นความสะเพร่าของทีมงานไปวางไว้ให้พราวซด” พราวโวยลั่น
เชน ผู้กำกับละครเอ่ยขึ้น “โน! ไม่ๆ ไม่แน่นอนครับคุณพราว...อิมพอสซิเบิล เป็นไปไม่ได้ ที่ทีมงานจะไปทำกับคุณพราวซุปเปอร์สตาร์ของเราอย่างงั้น”
“งั้นก็แปลว่าต้องเป็นคนอื่น! มือมืด มือที่ 3 บุคคลภายนอกที่แอบเล็ดลอดเข้ามาเพื่อลงมือโดยเฉพาะ ว้าย! น่ากลัวมาก” จันทร์จรีทำเป็นกลัว แต่ที่แท้เธอตั้งใจพูดเสี้ยมให้พราวตกใจมากขึ้น
“แล้วซีเคียววริตี้ หน่วยรักษาความปลอดภัยกองถ่ายนี้อยู่หนาย...ยู้ฮู” แฟรงค์ทำท่าป้องปากมองหา “อุ้ย...คุณพระช่วย กล้วยบวชชี ไม่มีเลยสักคน พูดได้ง่ายๆ ว่า ระดับรักษาความปลอดภัยกองถ่ายนี้ไม่มี”
“อ้า…” เชนกำลังจะพูด แต่เอมี่สวนขึ้นเสียก่อน
“อ้าไม่ได้ค่ะผู้กำกับ นี่กองถ่ายนะคะ ไม่ใช่ตลาดนัดริมทางด่วนที่ใครคิดจะจอดรถเดินร่อนเข้ามาก็ทำได้ตามสบาย”
“โดยเฉพาะกับกองถ่ายที่พราวตกลงที่จะทำงานด้วย มันจะต้องเฟอร์เพ็ค ทุกคนต้องมืออาชีพ เพราะกว่าจะยอมเล่นละครเรื่องไหนสักเรื่อง พราวเลือกแล้วเลือกอีก จนมั่นใจในประสิทธิภาพของทีมงาน แล้วดูซิ เกิดอะไรขึ้นกับพราว พราวเกือบเอาชีวิตมาทิ้งที่ละครเรื่องนี้” พราวบอก น้ำเสียงฉุนสุดขีด
สมชายที่ฟังอยู่นานชักรำคาญ เขาตัดสินใจเอ่ยผ่าปล้องขึ้น
“ขอโทษนะครับ ผมว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นหรอก!”
ทุกคนหันไปมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว พราวอ้าปากค้างเมื่อเห็นสมชายยืนพูดหน้าตายอยู่
“หยุดตีโพยตีพายกันได้แล้ว พูดมากไปก็จับมือใครดมไม่ได้ เหนื่อยเปล่าๆ ให้ตำรวจได้ทำงานสืบสวนหาหลักฐานก่อนดีกว่า ใครผิดใครถูกค่อยมาด่ากันให้ถูกคนนะครับ” สมชายพูดต่อ
สหวุฒิได้แต่เงียบ แอบเห็นด้วยกับสมชาย ส่วนพราวมองจ้องไปที่ตำรวจคู่ปรับเขม็ง สมชายก็มองหน้าพราวนิ่งๆ กวนๆ กลับ
“นี่...คุณอีกแล้วเหรอ!” พราวชี้หน้าแล้วเม้งทันที
“อ้าวคุณซุปตาร์ ผมไม่ใช่ผู้ต้องหาของคุณนะ ไม่ต้องมาชี้ตัวผม” สมชายกวน
“ไอ้…” พราวเม้มปากจะด่า
“พราวๆ...อมไว้...กลืนไว้หนู...ไม่ต้องปล่อยออกมานะ...เราเป็นคนสวยเราเป็นนางเอก ค่าตัวเจ็ดแปดหลัก ปล่อยไอ้คำเดียวออกมาเหลือหลักเดียวเลยนะหนู” แฟรงค์เตือนสติ
สหวุฒิต้องรีบขัดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลาย
“ขอความร่วมมือนะครับทุกคน ขอทางให้เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานทำงานสะดวกหน่อย อย่าเคลื่อนย้ายสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้นใครไม่เกี่ยวข้องก็เชิญออกไปก่อนครับ” สหวุฒิหันไปสั่งงานลูกน้อง “แยกย้ายไป”
ทีมงานและทุกคนเดินออกจากฉากไปหมด เพื่อให้ทีมตำรวจเข้าตรวจหาหลักฐาน

ส่วนสมชายเดินผ่านพราวไปอย่างไม่ใส่ใจ ตรงเข้าห้องแต่งตัวไป

เมื่อสมชายเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว ก็เห็นทีมตำรวจกำลังตรวจเช็คหาหลักฐานในห้องอยู่ 2 คน

คนหนึ่งกำลังเก็บหลักฐานขวดใส่น้ำกรดที่แตกอยู่บนพื้นกลางห้อง สมชายนั่งยองๆ ลงดู
“แน่ใจนะ ว่าใช่น้ำกรด” สมชายถาม
“ล้านเปอร์เซ็นต์ครับ” ตำรวจที่เช็คหลักฐานตอบ
“เล่นถึงน้ำกรด...แบบนี้เจตนาให้บาดเจ็บร้ายแรง ถึงขั้นมุ่งเอาชีวิต” สมชายว่า
ตำรวจพยักหน้าเห็นด้วยแล้วจดบันทึกคำสันนิษฐานไว้ สมชายลุกขึ้นมองไปรอบๆห้องแต่งตัว
“ไม่มีหน้าต่าง หรือประตูไหนอีก นอกจากทางเข้าทางเดียว อืม...คนร้ายต้องเดินเข้ามาทางประตูนั่นอย่างเดียว”
สมชายสันนิษฐาน พลางหรี่ตามองไปที่ประตูทางเข้าห้องแต่งตัว

คิดประสานักสืบว่าเหตุการณ์น่าจะเป็นดังนี้ โดยมีไอ้โม่งแอบปีนลงมาจากราวบันไดที่ขึ้นไปติดตั้งไฟเหนือฉาก เมื่อมีทีมงานเดินผ่านมา ไอ้โม่งก็รีบแอบเดินหลบผ่านด้านหลังฉากไปอย่างรวดเร็ว
จนเมื่อพราวออกจากห้องแต่งตัวไปเข้าฉาก ไอ้โม่งที่อยู่หลังฉากก็รีบเข้าไปในห้องแต่งตัวทันที มันหยิบขวดใส่น้ำแร่ของพราวเก็บ แล้วล้วงเอาขวดใหม่ที่เตรียมไว้ มาตั้งแทนที่

สมชายดึงตัวเองออกมา ยืนมองประตูครุ่นคิดสร้างภาพในหัวถึงการลงมือของคนร้าย
“หึ มันรู้ว่าแม่ซุปเปอร์สตาร์กินแต่น้ำแร่ยี่ห้ออะไร มันเตรียมการมาอย่างดี”
แล้วสมชายก็หลุดจากความคิดตัวเอง เมื่อเห็นพราวเดินหน้าเครียดเข้าประตูมา
“คุณจะสืบคดีนี้เหรอ” พราวถาม
“เปล๊า ผมแค่แวะมาดูเล่นๆ” สมชายตอบเสียงสูง
“นี่คุณเห็นเรื่องที่ฉันถูกปองร้ายเป็นเรื่องเล่นๆ งั้นเหรอ แต่ถึงคุณจะทำคดีนี้ อย่างคุณก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้หรอก ขนาดคดีไอ้พวกค้ายายิงฉันปางตาย คุณยังจับตัวมันมาไม่ได้เลย” พราวปรี๊ดทันที
“มันโจรนะคุณ ไม่ใช่ลูกเศรษฐี จะได้วิ่งไล่จับกันได้ง่ายๆ”
“นี่อย่ามาดูถูกฉันนะ คนอย่างพราว ไม่เคยวิ่งไล่จับผู้ชาย”
“คุณก็อย่ามาดูถูกผมเหมือนกัน คนอย่างสมชาย ก็ไม่เคยปล่อยให้โจรลอยนวล”
“อย่าดีแต่พูด ทำแล้วพิสูจน์สิ จับคนที่คิดปองร้ายฉันวันนี้มาให้ได้” พราวท้า
“เสียใจคุณ ผมไม่ทำคดีให้คุณ” สมชายบอก เพราะตัดสินใจลาออกแล้ว
“ไม่ทำ ฉันก็ไม่ง้อคุณหรอก ประเทศนี้ไม่ได้มีคุณเป็นตำรวจคนเดียว”
“ใช่สิ คุณคงคิดสินะว่าตัวเองดังอยู่คนเดียว ถึงได้หยิ่งหลงตัวเอง ปากร้ายแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลยนะ ถ้าจะมีคนปองร้ายคุณ” สมชายว่า
“ฉันก็เป็นของฉันอย่างงี้แหละ แต่ฉันก็ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยโกงใคร ไม่เคยฆ่าใครตาย” พราวพูด
“แล้วทำไมถึงมีคนปองร้ายคุณล่ะ ฮะ ผมว่าคุณคิดดูให้ดีๆ อีกทีนะ คุณเคยทำอะไรกับใครไว้บ้าง เค้าถึงตามมาให้น้ำกรดคุณถึงที่กองถ่าย!” สมชายใส่เป็นชุด
ราวกับมีก้อนอะไรจุกที่คอ พราวเถียงอะไรไม่ออก น้ำตาคลอ เธออึ้งไป มองสมชายอย่างรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจ ค่อยๆหันเดินเซไปเกาะขอบประตูอย่างเสียขวัญ
“เอ่อ…” สมชายรู้สึกผิดเหมือนกันที่ดันพูดข่มขวัญให้พราวรู้สึกกลัว จะเข้าไปพยุง แต่พราวรีบเดินหนีออกไปแล้ว สมชายได้แต่ยืนมองตาม

ขณะนั้น ส้มจี๊ดเดินนำสุดเขตต์เข้ามาในสตูดิโอ
“เกิดเรื่องอะไร แกถึงให้ฉันรีบพาแกเหาะมาแบบนี้” สุดเขตต์ถาม
“ข่าวเด็ดเว้ย ยัยพราวเจอน้ำกรดในกองถ่าย” ส้มจี๊ดว่า
“ฮะ คุณพราวอีกแล้วเหรอ แล้วแกรู้ได้ไงว่าเกิดเรื่องในกองถ่าย”
ส้มจี๊ดไม่ตอบ แต่มองยิ้มเจ้าเล่ห์ ไปยังนักแสดงที่กระจายจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้านใน จันทร์จรีมองมา แอบยิ้มส่งนิ้วโอเคให้กัน

พราวเดินออกมาพร้อมแฟรงค์กับเอมี่พอดี โดยมีสหวุฒิเดินตาม
“เดี๋ยวสิครับคุณพราว คุณยังไม่ให้ปากคำตำรวจเลย”
“ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรทั้งนั้น ฉันอยากกลับ อยากพัก” พราวบอก
“คุณไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจแบบนี้ แล้วเราจะจับคนร้ายได้ยังไงครับ” สหวุฒิติง
“เอ่อ เอาอย่างงี้แล้วกันนะคะคุณตำรวจ อยากรู้อะไร สอบปากคำแม่เอมี่แทนไปก่อน” แฟรงค์พูดพร้อมกับผลักไหล่เอมี่เบาๆ
“อ้าว ทำไมงั้นล่ะ” เอมี่เซ็ง
“ก็แกอยู่ในเหตุการณ์เหมือนกันนี่นังหอย สอบปากแกไปพลางๆก่อน อยากรู้อะไรเพิ่มเติม ค่อยให้ตำรวจนัดมาคุยกับพราวในฐานะเจ้าทุกข์ทีหลัง อ่ะเคนะผู้กำกับรูปหล่อวัยกำลังน่าขบ ไว้เจอกัน คัมมิ่งซูน ไปเร็วจ๊ะพราว กลับ แว้ก...มันมาอีกแล้ว!” แฟรงค์ร้องลั่นเมื่อมองไปเห็นส้มจี๊ดเดินเข้ามาพร้อมสุดเขตต์
“ได้ข่าวว่าดารากองนี้ ใครเจอน้ำกรดเข้าเหรอ อย่าบอกนะว่าคุณพราว! ทำไมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้ คราวที่แล้วถูกยิง คราวนี้น้ำกรด โหดเวอร์! แล้วเสียโฉมตรงไหนบ้างรึปล่าว” ส้มจี๊ดเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสะใจ แล้วหันมาสั่งสุดเขตต์
“ยืนทำไม ถ่ายรูปไว้สิ นานๆแฟนๆจะได้เห็นหน้า พราว พิชญาดา ซีดเป็นไก่ต้มซะที”
สุดเขตต์จำต้องยกกล้องขึ้นจะถ่าย แต่พราวเข้าไปปัดกล้อง
“นี่ หยุดนะ อย่ามาถ่ายรูปฉันนะ พวกไม่มีสำนึก หากินบนความเดือดร้อนของดารา นายมันพวกไฮยีน่า จะตามล่าฉันไปถึงไหนฮะ” พราวโวยวาย
“โอเคครับ ไม่ถ่ายก็ได้ครับ ไม่ถ่ายแล้ว” สุดเขตต์พูด
“จะบ้าเหรอ! ถ่ายสิ เราเป็นนักข่าวไม่ใช่ไฮยีน่า เราถึงต้องถ่าย ถ่ายสิ” ส้มจี๊ดแย้ง
“นี่หล่อน ถอยไปนะ ไม่งั้นหล่อนจะเจอกระเป๋าใบละล้านของฉันพ่นกะโหลกแตก หลีกไปสินังชะนีหัวเป็ด” แฟรงค์พยายามกันส้มจี๊ดพาพราวออกไป
ตอนนั้นเองที่กลุ่มนักข่าวสำนักอื่นตามเข้าสตูดิโอมา
“พราวอยู่นั่นไง” นักข่าวร้อง
“แม่เจ้า! นักข่าวยกโขยงกันมาใหญ่แล้วหนู รีบไปก่อนเถอะหนู ก่อนที่จะถูกเผาผีที่นี่ นังเอมี่...ยืนรากงอกอยู่ได้...มาช่วยกันก่อนสิยะ”
เอมี่รีบปราดเข้ามาช่วยแฟรงค์กันพราวออกไป นักข่าวพากันกรูตามพราวออกไป
“เร็วสิไอ้สุดเขตต์ ตามมาสิ เร็ว!” ส้มจี๊ดลากสุดเขตต์ตามออกไป
“นี่อ่ะเหรอพราวซุปเปอร์สตาร์เบอร์ 1 วิ่งพล่านยังกับหมาถูกน้ำร้อนลวก ใกล้หมดเวลาของแกแล้วว นังพราว ชิ!”
จันทร์จรียืนมองตามกลุ่มพราวอย่างสมน้ำหน้า

ขณะนั้น สมชายเดินเตร่ออกมาหาหลักฐานกับทีมตำรวจจากหลังสตูดิโอ บริเวณที่เป็นป่าหญ้าคารกๆ
“ประตูหลังสตูเปิดไว้ตลอดเวลา คนร้ายน่าจะใช้เป็นทางหนีหลังลงมือเสร็จ”
ตำรวจพยักหน้า ตอนนั้นเองที่สมชายได้ยินเสียงดังมาจากด้านหน้าสตูฯ เห็นกองทัพนักข่าวรุมตามติดพราวเป็นพรวน โดยมีแฟรงค์กับเอมี่ช่วยกัน
“ใครปองร้ายคุณค่ะคุณพราว สงสัยใครคะ จะถอนตัวจากละครรึเปล่า” เสียงนักข่าวถามเซ็งแซ่
“ไม่มีใครปองร้ายทั้งนั้น มันเป็นแอ็กซิเดน เข้าใจไหมคะ อุบัติเหตุน่ะ กุญแจรถอยู่ไหนเนี่ย ว้าย...อย่าเบียดสิยะ กระเป๋าใบละล้านของฉันบี้หมดแล้ว อ๊าย”
แฟรงค์จะหากุญแจรถพาพราวขึ้นรถ แต่หาไม่เจอ พราวเลยโดนนักข่าวรุมถามรุมถ่ายรูปไม่หยุด สมชายเห็นแล้วสมเพช จึงเดินจะเข้าไปช่วยห้าม แต่แล้วรถตู้หรูของติณห์ก็ขับปราดเข้ามาเสียก่อน
ติณห์รีบเปิดประตูลงมา
“คุณพราวครับ ทางนี้ครับ”
“นั่นไฮโซติณห์นี่ ข่าวว่ากิ๊กกันอยู่” นักข่าวในกลุ่มร้องขึ้น
สมชายหยุดยืนมอง เห็นนักข่าวพากันถ่ายรูปติณห์กันยกใหญ่ ติณห์ยกมือขึ้นกันหน้าตัวเอง พลางมาช่วยกันพาพราวและแฟรงค์ขึ้นรถตู้
“นังเอมี่ฝากด้วยนะ พาจรีกลับด้วย” แฟรงค์บอก
“ย่ะ...ไม่ต้องห่วง รีบไปเหอะ ว้าย!” เอมี่ร้องเมื่อถูกส้มจี๊ดเบียดเซไป
ส่วนแฟรงค์รีบปิดประตู แล้วรถตู้ก็ถูกขับออกไป
ส้มจี๊ดยืนมองอย่างเซ็งๆ หันไปเห็นสุดเขตต์ยืนอยู่ข้างหลังมุมไกลไม่ยอมตามถ่ายรูป ยิ่งเซ็งหนัก

สมชายส่ายหน้าหันกลับเดินไปหลังสตูดิโอ

ระหว่างนี้มีชายคนหนึ่งสวมหมวกกันน็อค สะพายเป้ด้านหลังนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ซุ่มอยู่กับดงหญ้าคาข้างทาง ใช้กล้องส่องทางไกลเล็กๆ มองตามรถตู้ด้วยท่าทีลับๆล่อๆ

จนกระทั่งรถตู้ขับผ่านหน้าไป เขารีบเก็บกล้องส่องทางไกลดึงหน้ากากหมวกลงปิดหน้าแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ตามรถตู้ไป

ภายในรถตู้ พราวกำลังพารานอยด์อย่างหนัก 2 มือจับแก้มฟูมฟายกับติณห์

“มันเป็นแผนลอบสังหาร! มีคนอยากจะฆ่าพราวค่ะคุณติณห์”
“ฆ่าเลยเหรอครับ!” ติณห์ทำเป็นตกใจ
“ไม่เอาจ้ะหนู สงบสติอารมณ์หน่อย มันไม่มิชชั่นอิมพอซซิเบิ้ลขนาดนั้น พี่ว่ามันคงเป็นอุบัติเหตุ” แฟรงค์พูดปลอบพลางใช้ผ้าซับเหงื่อให้พราว แต่พราวปัดมือออก
“ไม่ใช่! มันไม่ใช่อุบัติเหตุนะพี่แฟรงค์ มันจงใจ มีคนวางแผนมาอย่างดี ไฟที่ตกลงมาเป็นแผนลอบสังหารพราวแผนแรก…” พราวคิดมโนไปเป็นฉากๆ
“แต่ถ้าแผนแรกพลาด น้ำกรดนั่นจะเป็นแผนปลิดชีพพราวแผนที่ 2” พราวพูดต่อ
“ถ้าพราวกินน้ำกรดนั่นเข้าไป พราวไม่ตายอย่างทรมานก็ต้องมีชีวิตอยู่ อย่างตายทั้งเป็น ต้องนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราเหมือนผักไปตลอดชีวิต”
“โถ ทูนหัวของพี่ ไม่เอาจ้ะ อย่าไปนึก ขวัญเอ๊ย มาอยู่กับเนื้อกับตัวนะจ๊ะ” แฟรงค์ปลอบขวัญ
“ในวงการการธุรกิจหรือการเมือง ไม่แปลกถ้าจะมีการวางแผนฆ่ากันเกิดขึ้น แต่ในวงการบันเทิง ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยนะครับ โดยเฉพาะกับคุณพราว ซุปเปอร์สตาร์เบอร์ 1 ของวงการ” ติณห์ตั้งข้อสังเกต
“นั่นน่ะซิฮะ ถึงพราวจะเหวี่ยงจะวีน...” แฟรงค์หยุดกึกมองพราวที่หันมามองหน้า
“เอ่อ...พี่พูดตามเนื้อผ้าน่ะหนู แต่พราว ก็ไม่เค๊ย ไม่เคยทำร้ายใคร แฟรงค์คอนเฟิร์ม”
“ถ้าอย่างงั้นคุณพราวก็ไม่เห็นต้องคิดมากเลยนี่ครับ ไม่มีเหตุก็ไม่มีผล ในเมื่อคุณเป็นคนดีไม่เคยทำร้ายใคร ก็ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาคิดไม่ดีทำร้ายคุณ ทำใจให้สบายเถอะนะครับ อาจจะเป็นอุบัติเหตุจริงๆ อย่างที่คุณแฟรงค์ว่าก็ได้”
ว่าพลางติณห์จับมือพราวมากุมปลอบโยน นั่นทำให้พราวนิ่ง และสงบลงได้บ้าง
แฟรงค์มองแล้วเคลิ้ม สะเทิ้นอายราวกับถูกจับมือเสียเอง
แต่แล้วอยู่ๆ คนขับรถก็พูดขึ้น
“ท่าไม่ดีแล้วครับคุณติณห์”
“มีอะไร” ติณห์ถาม
“มีมอเตอร์ไซค์ขับตามเรามาตั้งแต่กองถ่ายแล้วครับ” คนขับบอก
“ห๊ะ!” พราวร้องลั่น
“ว่าไงนะ!” แฟรงค์ตาเหลือก
ทั้ง 3 หันมองหาไปทางกระจกรถ เห็นคนใส่หมวกกันน็อคปิดหน้าตาขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาจริงๆ

คนขับเร่งเครื่องซิ่งเข้าไปใกล้รถตู้ของติณห์ จนขี่มาประชิดด้านข้าง ติณห์ตัดสินใจเปิดหน้าต่างรถโผล่หน้าออกมาถาม ทำเอาพราวกับแฟรงค์พากันร้องด้วยความตกใจอยู่ในรถ
“ว้ายๆ จะทำอะไรคุณติณห์ โผล่ไปล่อไอ้เข้ทำไม!” แฟรงค์วี้ดว้าย
“อย่าออกไปค่ะ...ระวังค่ะคุณติณห์” พราวร้องบอก
แต่ติณห์รู้สึกโกรธจนไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
“เฮ้ย ขับตามมาทำไมฮะ ต้องการอะไร ฉันถามว่าต้องการอะไร” ติณห์ตะโกนถาม
คนขับมอเตอร์ไซค์ล้วงมือเข้าไปในเสื้อแจ๊คเก็ต และล้วงบางอย่างออกมายื่นจ่อไปที่หน้าต่างอย่างรวดเร็ว เสียงดัง แชะๆๆ
ที่แท้มันเป็นกล้องถ่ายรูป และมันกดถ่ายอย่างรวดเร็ว 2-3 ภาพ แฟลชสว่างแวบวับ
พราวกับแฟรงค์ตกใจ ตอนนั้นไม่รู้แล้วว่าเป็นกล้องหรืออะไรทั้งนั้น
“ว้ายๆๆ มันยิงแล้ว...มันยิงแล้ว!” แฟรงค์ร้องโวยวายลั่น
“อ้าย! อย่ายิง ช่วยด้วย” พราวแทบจะสติแตก
“ไอ้บ้าเอ้ย!” ติณห์จะคว้ามือมัน แต่มันดึงมือหลบทัน ติณห์เลยรีบปิดหน้าต่างทันที

ภายในรถยามนี้ แฟรงค์หลับหูหลับตาร้อง มือจับไปที่อกตัวเอง
“อ้ายๆๆ ฉันถูกยิง! ฉันถูกยิง!”
“ยิงเยิงที่ไหนกันครับ มันแค่ถ่ายรูป” ติณห์บอก
“อะไรนะ...ถ่ายรูป!” แฟรงค์ลืมตาขึ้น ก้มมองตัวเอง เห็นว่าไม่ถูกยิงก็ฉุนมากที่มันทำให้เข้าใจผิด
ขณะที่ติณห์เข้าไปจับไหล่พราวที่ก้มหน้างุดกรีดร้องอยู่หลังเบาะ
“ช่วยด้วยๆ”
“คุณพราวครับคุณพราว...ไม่ต้องตกใจครับ...มันแค่ถ่ายรูป...ไม่มีอะไรครับ…”
ติณห์ดึงพราวมากอดไว้ พราวค่อยมีสติขึ้น
“มันถ่ายรูปทำไม นี่มันขู่กันชัดๆ เลยนะคะ มันขู่พราว มันขู่พราว!” พราวโวยวายไม่หยุด
“ผมอยู่นี่ ผมจะไม่ให้ใครทำอะไรคุณได้ ไม่ต้องกลัวครับ” ติณห์มองจ้องตาพราว ให้ความมั่นใจ พราวรู้สึกอุ่นใจขึ้น พยักหน้า
แต่เมื่อแฟรงค์หันไปมองข้างรถ ก็ต้องแหกปากร้องโวยวายลั่นอีก
“ย้าย! มะๆ มันยังอยู่ ยังตามมาอีก ไปให้พ้นนะไอ้โรคจิต อยากได้รูปฉัน เขียนจดหมายขอมาดิ เดี๋ยวส่งไปรษณีย์ไปให้ ไม่ต้องตามถ่ายฉันขนาดนี้ ไปให้พ้น”
แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ยอมไปง่ายๆ ขี่มอเตอร์ไซค์จี้เข้ามาอีก
“ท่าทางมันไม่ยอมไปง่ายๆ ขับปาดหน้า เบียดมันให้ล้มเลย” ติณห์สั่งคนขับรถ
“ว่าไงนะครับ!” คนขับถามย้ำ
“ฉันสั่งยังไง ก็ทำอย่างงั้น!” ติณห์ว่า
“ครับๆ” คนขับมองกระจกรอจังหวะ พอมอเตอร์ไซค์ขี่เบียดข้างขึ้นมา คนขับก็หักพวงมาลัยเบียดมันทันทีทำให้รถสะบัดเซกันทั้งรถ
“อ๊าย” พราวและแฟรงค์กรี๊ดพร้อมกัน
ชายคนขี่มอเตอร์ไซค์ตกใจหักหลบ รถเสียหลักล้มลงไถลไปกับพื้น เครื่องยังติดอยู่ล้อหมุนติ้ว
รถตู้ของติณห์ขับห่างออกไป
“จอดๆ” ติณห์สั่ง พลางเปิดประตูรถ
“ว้าย...จะลงไปทำไม...คุณติณห์...อย่าห้าวฮะ” แฟรงค์ร้องห้ามเสียงหลง
“อย่าลงไปค่ะคุณติณห์” พราวห้าม
แต่ติณห์ไม่ฟัง เขาลงจากรถ มองไปที่คนขับที่นอนเจ็บอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์
มันมองเห็นติณห์เดินเข้ามา ก็รีบลุกคว้ามอเตอร์ไซค์
“อย่าหนีนะ แกเป็นใคร” ติณห์ตะคอก
แต่มันรีบขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ขี่ซิ่งหนีไปทันที
ติณห์ยืนมองอย่างแปลกใจว่า นอกจากเขาที่วางแผนจะแก้แค้นพราวแล้ว ยังมีใครอีก ติณห์หันไปมองที่รถตู้ เห็นพราวลงมายืนมองอย่างเสียขวัญสุดๆ โดยมีแฟรงค์โอบปลอบอยู่
และแล้วพราวก็ตัวอ่อนเป็นลมหมดสติไป
“ว้าย...ตายแล้ว...พราวๆ...เป็นอะไรไปหนู” แฟรงค์ร้อง
ติณห์รีบวิ่งไปช่วยประคองพราวไว้
“คุณพราวครับ...คุณพราว!”
พราวหมดสติไปแล้ว

ชายคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ตามพราวมา ขี่หนีเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง มันผลักประตูเข้ามาในบ้าน กดล็อคประตู แล้วถอดหมวกกันน็อค วางไว้ที่โต๊ะ แล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
คนขี่มอเตอร์ผลักประตูเข้าไปในห้องนอน ถอดเสื้อแจ๊กเก็ตออก ในห้องนอนของเขา เต็มไปด้วยรูปของพราวแปะเต็มผนังทุกด้าน โดยเฉพาะรูปเซ็กซี่ของพราวที่หัวเตียง
ชายคนนี้ก็คือ “ประเสริฐ” หนุ่มหน้าตี๋หน้าตาเรียบร้อยเหมือนคนปกติทั่วไป เขาหยิบแว่นเหมือนแว่นสายตาขึ้นมาใส่ ยิ่งทำให้ดูเหมือนหนุ่มออฟฟิศสะอาดสะอ้าน
“ซี้ด” ประเสริฐยกศอกขึ้นมาดู เป็นแผลถลอกเลือดซิบจากมอเตอร์ไซค์ล้ม เขาดึงทิชชู่มาซับพอเป็นพิธี แต่กลับคว้ากล้องถ่ายรูปขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นรูปพราวมีสีหน้าเหวอและตกใจ ที่เขาถ่ายได้จากรถตู้
ประเสริฐยิ้ม สีหน้าเปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้คล้ายคนโรคจิตขึ้นมาทันที
“พราวจริงๆ ด้วย พราวตัวเป็นๆ คุณสวยเหลือเกิน”

ประเสริฐจูบไปที่รูปพราวในกล้องพร้อมกับหัวเราะราวกับได้ขึ้นสวรรค์

พราวสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายในตอนรุ่งเช้า 

“เฮิ้ก” พราวลืมตามองไปรอบๆ พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในบ้านของตัวเอง
พราวยกมือจับขมับปรับเบลอ ว่ามานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง ขยับลุกขึ้นนั่งมองเห็นมือถือตัวเองวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง พราวคว้ามากดโทรหาแฟรงค์
“ฮัลโหล! ใครพาพราวมาโยนไว้ที่บ้าน”

แฟรงค์ใส่บลูทูธรับสาย ขณะพยายามโหนเชือกเล่นโยคะพิลาทิสออกกำลังตอนเช้าอย่างทุลักทุเล โดยมีต้อยติ่งคอยถือผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อกับขวดน้ำไว้คอยเทคแคร์
“จะมีใคร๊ ก็พี่นี่แหละพาไปโยนอย่างไม่เต็มใจ เพราะหนูร่ำร้องอยากจะกลับบ้าน” แฟรงค์ว่า พลางโหนเชือกผิดท่า พันขา
“อุ้ย ระวังเด้อค่า” ต้อยติ่งคอยดูแล สะดุ้งอย่างห่วง
“พราวเนี่ยนะ อยากจะกลับบ้าน”
“ย่ะ เธอนี่แหละที่บอกว่าอยากจะหลบความวุ่นวายไปพักใจ พี่ว่าหนูหาเรื่องไปหาความวุ่นวายใส่ตัวต่างหาก เย้ย!”
แฟรงค์โหนพลาดเกือบหัวทิ่ม ต้อยติ่งตกใจรีบเข้ามาประคอง แฟรงค์ปัดมือ อยากจะลุกเอง
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ พราวก็หลับสบายดี อยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องออกไปเจอโลกภายนอก เบื่อวงการ”
“อูย...เบื่อได้ไงหนู พี่รับงานไว้ให้เยอะแยะ เงินทองทั้งน้าน”
“เงินทองช่วยอะไรได้ ถ้าเมื่อวานพราวตายไป สักสลึงเดียวพราวก็เอาไปด้วยไม่ได้ พราวไม่อยากอยู่แล้ววงการนี้ พราวอยากหนีไปให้พ้นๆ”
“ว้าย...หนีไม่ได้นะหนู แว้ก!” แฟรงค์ร่วงหัวทิ่ม แต่ปากก็ยังพยายามโทร.
“ฮัลโหลๆ”
แต่พราววางสายไปแล้ว
“อ้าย...มาตุ๊ดๆ ใส่ฉัน นี่นังต้อยติ่ง จะยืนให้ถึงเคาท์ดาวน์ปีหน้าเลยหรือไง มาช่วยหิ้วฉันขึ้นสิเว้ย”
“เอ๊า! ทีตะกี้จะช่วยก็ไม่ยอม เป็นตุ๊ดนี่เอาใจยากจริงนะ” ต้อยติ่งบ่นบ้า

ประตูห้องนอนบ้านพราวเปิดออก ป้าอรเดินเข้ามาในห้อง เห็นพราวยืนซึมมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ตื่นนานแล้วเหรอพราว หิวไหม ป้าทำโจ๊กหมูไว้แน่ะ” ป้าอรว่า
“ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น กินไม่ลง” พราวส่ายหน้า
ป้าอรเดินเข้ามากอด
“อย่าทำหน้ายังงี้สิ นานๆ จะกลับมานอนบ้านที อยากกินอะไรก็บอกป้า”
พราวกอดตอบป้าอร ยิ้มออก
“จริงนะ ป้าต้องทำให้พราวกินทุกอย่างเลยนะ พราวจะได้อยู่บ้านไปนานๆ”
“จ้า หนูกลับมาก็ดีแล้ว ป้ากำลังมีเรื่องพีคจะปรึกษาอยู่พอดี”
คำพูดป้าอร ทำเอาพราวเซ็ง สะดุดกึกทันที
“ป้าอยากให้น้องย้ายโรงเรียน ไปเรียนอินเตอร์ มันแพงหน่อย แต่ก็ดีกว่าโรงเรียนสาธิตที่เรียนอยู่ทุกวันนี้ สอนกันยังไงไม่รู้ พีคเรียนแย่ลงทุกวัน ตกแล้วตกอีก” ป้าอรว่า
พราวกลับมาเครียดอีก เธอปล่อยมือจากกอดป้าอร เดินผละมาที่เตียง
“ก็เด็กมันไม่ตั้งใจเรียน ย้ายไปเรียนที่วิเศษวิโสแค่ไหน มันก็ตกอยู่วันยังค่ำ” พราวบอก
“พราว นั่นน้องนะลูก ถ้าหนูไม่ช่วยส่งเสีย แล้วจะมีใคร แม่มันก็ไม่ได้เรื่อง”
ป้าอรพูดไม่ขาดคำ ประตูห้องก็เปิดผัวะ วารีเดินนวยนาดถือหนังสือ Hot Shot เข้ามาหน้าตาตื่น
“ตายแล้วหนูพราว นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย ข่าวลงว่าหนูถูกปองร้าย ถึงขั้นจะเอาน้ำกรดไปสาดในกองถ่าย”
ป้าอรหันไปด่า “เอ๊ะนังวารีนี่ แกเข้ามาทำไม ฉันบอกแล้วว่าอย่ามาพูดถึงเรื่องนี้กับพราว”
“เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ ไม่พูดได้ไงยะ เป็นดาราเบอร์ 1 แต่มีคนอยากจะฆ่า มันไม่ธรรมดาแล้วนะหนู มีผู้จัดการเป็นตุ๊ดคอยดูแลอยู่คนเดียว เก่งแต่ปาก จะช่วยอะไรได้ เจอโจรมันตบตายคามือเลย มันต้องจ้างมืออาชีพ น้ามีเพื่อนเป็นพวกมีสีเยอะเลย หนูเอาเงินมาให้น้าสักสี่ห้าแสน เดี๋ยวน้าจัดทีมคุ้มกันไปให้ดูแลหนูเอง” วารีว่า
“สี่ห้าแสน แกจะเอาไปผลาญเองล่ะสิ ออกไปได้แล้ว ไป!” อรดึงวารีออกไป
“มาไล่ฉันทำไมเนี่ย! ฉันกำลังทำหน้าที่แม่เลี้ยงอยู่นะ น้าเป็นห่วงพราวมากนะหนู เอางี้ สัก 2 แสนก็ได้อ่ะ อย่าต่อแล้วนะ เดี๋ยวน้าหาคนมาคุ้มครองหนูให้วันนี้ เดี๋ยวนี้เลย” วารีพล่ามต่อ
“ฉันบอกให้ออกไป!” ป้าอรขึ้นเสียง
“อ๊าย!” วารีกรี๊ด
ในที่สุดป้าอรก็ดันวารีออกจากห้องไปได้แล้วปิดประตูลง

พราวนั่งกุมขมับเมื่อได้ยินเสียงป้าอรกับวารีทุ่มเถียงกันต่ออยู่นอกห้อง
“โธ่เอ้ย อย่ามาทำเป็นป้าแก่หวงก้างหลานหน่อยเลย อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ จะหวงไว้ไถกินคนเดียวล่ะสิ เกิดยัยพราวเป็นไรไป จะฮุบสมบัติคนเดียว” เสียงวารีด่า
“หุบปากนะนังวารี แกอย่ามาแช่งชักหลานฉันนะ ต่อให้ยัยพราวเป็นไรไป แกก็อย่าหวังว่าจะเสวยสุขบนกองเงินกองทองหลานฉัน ที่เล่นหนังเล่นละครทำงานมาแทบตายกว่าจะหามาได้” ป้าอรโต้กลับ
“โอ๊ย! อะไรเนี่ย ฉันยังไม่ตายนะ จะมาแย่งสมบัติฉันแล้ว”
พราวโวยออกมาอย่างเหลืออด

แม้แต่กลับบ้านตัวเองมาพักผ่อนก็ไม่มีความสุข เธอลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าเปลี่ยน ไม่อยากอยู่ที่บ้านแล้ว

อ่านต่อหน้า 2

พราว ตอนที่ 2 (ต่อ)

ขณะที่พราวสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากบ้าน เจอพีคเดินเข้าบ้านมาพอดี พีคทักพี่สาวด้วยการไถเงินทันที

“พี่พราว! เจอพอดีเลย ขอสักหมื่นดิ พีคจะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้แฟน”
“เขียนหนังสือให้ถูกก่อนเถอะไอ้พีค ก่อนจะมีแฟนน่ะ” พราวสุดแสนจะหมั่นไส้ ใช้กระเป๋าถือเบิ๊ดหัวพีคไปหนึ่งที
“โอ๊ย...อะไรอ่ะ! แค่หมื่นเดียว น้องขอแค่นี้ไม่ให้ ไหนว่าถ่ายโฆษณาได้ทีสี่ห้าล้าน งกไปได้” พีคบ่น
พราวฟังแล้วเจ็บจี๊ด รีบเดินไปที่ประตูรั้ว ส่วนป้าอรกับวารีบตามออกมาจากในบ้าน
“พราว! จะไปไหนลูก พราว!” ป้าอรร้องเรียกไว้
“หนูพราว หนูไปไหนไม่ได้นะ ให้น้าหาคนมีสีมาคุ้มครองหนูก่อน” วารีปะเหลาะ
ทั้ง 2 วิ่งผ่านพีคมาคว้าตัวพราวดึงไว้
“พราว...เป็นไรไปลูก...อยู่ๆ ก็จะออกจากบ้าน” วารีถาม
“เป็นบ้าไง หนูอยู่ไม่ได้แล้ว ปล่อยหนู หนูจะไป” พราวบอก
“หนูจะไปช็อปปิ้งให้หายบ้าใช่ไหม ไปพารากอน หรือเอ็มโพเรียมล่ะ เดี๋ยวน้าจะไปเป็นเพื่อน” วารีประจบเอาใจ
“หนูไม่ไปช็อปปิ้ง หนูจะไปจากทุกคน อย่ามายุ่งกับหนู!”
พราวสะบัดมือป้าอรกับวารีออก แล้วเดินออกจากประตูรั้วไปทันที
“พราว! ตายแล้ว ยืนอยู่ทำไมนังวารี รีบโทร.ไปบอกคุณแฟรงค์สิ” ป้าอรโมโห
“อยากโทร.ก็ไปโทรเองสิ มาใช้ฉันทำไม” วารีไม่สนใจ
ป้าอรสะบัดใส่วารี แล้วรีบเดินกลับเข้าบ้านไป วารีกับพีคยืนเม้งที่ไม่ได้เงินจากพราว

ที่บ้านของวิทย์ตอนนี้ ดารกาที่ยังอยู่ในชุดไว้ทุกข์ เดินถือขวดยาน้ำแก้ไออกมาจากบ้าน
“ป๊อบ มากินยาแก้ไอเร็วลูก จะได้หายไวๆ” ดารกาต้องชะงักเมื่อมองไปเห็นลูกชาย น้องป๊อบนั่งคุยกับสมชายอยู่ที่โต๊ะกลางสนาม
“แม่ครับ อาชายมาเยี่ยม”
ดารกาเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามา
“ฉันบอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับเรา 2 แม่ลูกอีก คุณไม่เข้าใจหรือไง”
สมชายลุกขึ้น สีหน้าสำนึกผิด
“ไม่ว่าคุณจะโกรธเกลียดผมแค่ไหน ผมก็ยังยืนยันคำเดิมผมจะคอยดูแลคุณกับน้องป๊อบตามคำสั่งเสียของวิทย์”
“อย่าเสียเวลาเลย ฉันไม่ยกโทษให้คุณหรอก เพราะไม่ว่าคุณจะทำยังไง คุณก็เอาพ่อกลับคืนมาให้ลูกของฉันไม่ได้” ดารกาว่า
“พ่อ...พ่ออยู่บนสวรรค์นู้น...ป๊อบคิดถึงพ่อฮะ” น้องป๊อบเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้าอย่างไร้เดียงสา ทำเอาดารกาน้ำตาตก สมชายมองภาพนั้นหน้าเศร้า
“เด็กดีอย่าลืมกินยาล่ะ พ่อเค้าจะได้ไม่เป็นห่วง แล้วอาจะมาเยี่ยมใหม่นะ” สมชายบอก
“ครับ” ป๊อปรับคำ
“มากอดที”
ป็อบโผมาให้สมชายกอด เขาจูบที่กระหม่อมป๊อบ ก่อนจะลูบหัว และผละออก
“ผมไปนะครับ สวัสดีครับ” สมชายบอกลา
ดารกาได้แต่ยืนนิ่งไม่ยอมมองหน้า
“อย่ามาอีก!” ดารกาเอ่ยขึ้น
สมชายได้แต่เม้มปากฟังเงียบๆ แล้วหันหลังเดินไปขึ้นรถคันเก๋าของเขา ป๊อบโบกมือส่ง สมชายส่งยิ้มทำท่าตะเบ๊ะให้ ก่อนขับรถออกไป

ขณะเดียวกัน พราวเดินมาตามทางในหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบ ไม่มีรถพลุกพล่าน...สีหน้าเหนื่อยหน่าย เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีของเธอ ที่ได้เดินแบบนี้คนเดียว
ยิ่งมองไปทางข้างหน้าที่ไม่มีผู้คน พราวพบว่าตัวเองเดินอยู่คนเดียว ยิ่งเปล่าเปลี่ยวหัวใจ ทั้งคนปองร้าย ไม่มีความสุขในวงการ บ้านไม่เป็นบ้าน พราวตัดสินใจที่จะไปต่อ
แต่รถของแฟรงค์ก็แล่นเข้ามาจอดเอี๊ยดขวางหน้า แฟรงค์เปิดประตูโผล่ออกมา
“พราว...หนูจะไปไหน”
“ไม่รู้ แต่พราวรู้ว่าต้องไป”
“เห็นมะ พี่บอกแล้วว่าอย่ากลับมาบ้าน กลับมาให้อารมณ์เสียทำไม ขึ้นมาๆ กลับบ้านพราวแสงแสนอบอุ่นเลิศสะแมนแตนของเราดีกว่า” แฟรงค์ว่า
“ไม่เอา กลับไปก็ไม่มีความสุข กลับไปก็เจอแต่เรื่องเดิมๆ แก่งแย่งชิงดีกัน”
“แล้วหนูจะไปไหน ไม่เอาน่า...อย่ามาดราม่า ขึ้นรถเดี๋ยวนี้” แฟรงค์ดึงพราวขึ้นรถ
“บอกว่าไม่กลับ เอ๊ะ! พี่แฟรงค์ อย่ามาบังคับพราวนะ”
แฟรงค์กลับมาเป็นแมนทันควัน
“เอ้ย..บอกให้ขึ้นไป เดี๋ยวพ่อตีตาย” ในที่สุดแฟรงค์ก็ดันพราวขึ้นรถจนได้
“นังเอมี่ ออกรถสิ เร็วๆ”
เอมี่เร่งเครื่องออกไปตามคำสั่งแฟรงค์

ขณะนั้น ดารกาป้อนยาน้ำให้ลูกชาย เสร็จแล้วหันมองหากระติกน้ำของป๊อบ
“แล้วไหนกระติกน้ำของลูก”
“อยู่นั่นไง” ป๊อบชี้ไปที่โต๊ะที่มีกระติกน้ำรูปการ์ตูนวางอยู่
“ไปเอามาเทน้ำกินสิลูก กินยาเสร็จต้องกินน้ำตาม เข้าใจไหม”
“ครับ” ป๊อบไปคว้ากระติกมารินน้ำกิน
“นั่นซองอะไร” ดารกาสังเกตเห็นซองอะไรวางอยู่บนโต๊ะ เธอเดินไปหยิบซองนั้น
“อ๋อ อาชายบอกว่าเอามาให้แม่ครับ”
ดารกาเปิดซอง หยิบเงินราว 1 แสนอยู่ในนั้นออกมา อึ้งไปชั่วขณะ มองเงิน แล้วเงยหน้ามองไปทางที่สมชายเพิ่งขับรถออกไป
แม้จะรู้สึกอึ้ง แต่สุดท้ายดารกาก็กลับมามีสีหน้าทิฐิ เก็บเงินใส่ซองไว้ตามเดิม

ขณะที่สมชายกำลังขับรถออกจากซอยบ้านดารกานั้น เสียงมือถือดังขึ้น เมื่อมองไปยังหน้าจอก็เห็นเป็นรูปผู้กำกับสหวุฒิโทร.มา เขาไม่รับสาย เมินหน้ามองไปทางข้างหน้า

รถสมชายขับมุ่งหน้าผ่านป้ายที่มุ่งหน้าไปยังสมุทรสงคราม

ขณะเดียวกัน พราวกลับถูกแฟรงค์และเอมี่ดันตัวเข้ามาในห้อง

“เข้ามาๆ เวลคั่มโฮมจ้ะ ที่บ้านโน้นมีแต่เรื่อง แต่ที่นี่มีแต่วิมาน เพียบพร้อมสำหรับซุปเปอร์สตาร์เช่นพราว” แฟรงค์ผายมือ เอมี่กับต้อยติ่งช่วยตบมือส่งเสียงเป็นลูกคู่ แต่พราวกลับไม่ปลื้มด้วย
“วิมานหรือคุก พราวไม่อยากอยู่แล้ว พราวอยากไปให้ไกลๆ” พราวหันจะเดินออก แต่แฟรงค์ยืนยกมือขวาง
“ถ้าพราวจะไป ต้องข้ามศพพี่ไปก่อน เอาซี้!” แฟรงค์ท้าท่าทีน่าขัน
“อย่ามาบังคับพราวนะ” พราวว่า
“ไม่อยากบังคับหรอก แต่พี่ต้องทำ เพราะหนูกำลังฟุ้งซ่าน จะปล่อยให้ไปได้ยังไง” แฟรงค์บอกขึงขัง
“นั่นน่ะสิพราว ถ้านอนหลับให้เต็มอิ่มสักวัน เดี๋ยวพราวก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง” เอมี่ว่า
“เธอเป็นฉันเหรอเอมี่ เธอรู้ได้ยังไง” พราวย้อน
“อูย...รู้สิ เธอก็เบื่อๆ อยากๆ แบบนี้เป็นประจำ เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย” เอมี่ว่า
“แต่ครั้งมันไม่ใช่...ไม่ใช่! ไม่มีใครเข้าใจฉันหรือไง ฉันไม่อยากอยู่แล้ว ฉันต้องไป!” พราวคว้าหมอนปาเข้าหน้าต้อยติ่งเต็มๆ
“ว้าย!” ต้องติ่งร้องลั่น จู่ๆ เจอลูกหลง
“อาละวาดเลยหนู ปลดปล่อยมันออกมา อย่าเก็บกดมันไว้ หนูจะได้หาย” แฟรงค์เชียร์อัพ
“ออกไป! ไปให้พ้น!” พราวปาหมอนใส่
“ว้าย! ตามสบายนะหนู เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ไปๆ ออกไป” แฟรงค์ดัน เอมี่ กะต้อยติ่งออกจากห้องไป ปิดประตูทันก่อนที่หมอนใบสุดท้ายจะชนประตู
พราวทรุดนั่งลงที่เตียงอย่างหมดแรง

แฟรงค์เรียกประชุมทุกคนที่บ้านพราวแสง
“พราวเค้าอยากไปไหนเหรอ เห็นตะโกนลั่นบ้านว่าอยากจะไปๆ” จันทร์จรีถามขึ้น
“ไม่รู้มัน!” แฟรงค์ตอบอย่างอารมณ์เสีย แต่แล้วก็รู้ตัวว่าไม่ควรพูดแบบนั้นถึงพราวต่อหน้าเด็กใหม่ “อืม... เอาเป็นว่าไม่จำเป็นต้องรู้ก็แล้วกันนะ รู้แต่เรื่องที่ต้องทำก็พอ”
“ทำอะไรเหรอคะเจ๊” มิกิถาม
“ก็ช่วยกันเฝ้าซุปเปอร์สตาร์ของเราไว้ให้ดี อย่าให้หนีออกจากบ้านไปได้” แฟรงค์ว่า
“ขนาดนั้นเลยเหรอเจ๊” มาร์คถาม
“ขนาดนั้นแหละ! โดยเฉพาะหล่อน นังต้อยติ่ง เวลาฉันไม่อยู่ ปิดประตูลงกลอนไว้เลย” แฟรงค์กำชับ
“ต้อยติ่งว่าจะหาโซ่มาล่ามประตูไว้เลยค่ะ เวลาคุณพราวของเข้า เอาไม่อยู่จริงๆ” ต้อยติ่งว่า
“หึ! ไม่เข้าใจจริง เป็นถึงซุปเปอร์สตาร์มีพร้อมทุกอย่าง งาน เงิน ชื่อเสียง เจอแค่เรื่องน้ำกรด ถึงกับสติแตก จะหนีซะแล้ว” จันทร์จรีแดกดัน
“จรี! เก็บปากหล่อนไว้เล่นละครให้ดีๆ เถอะ ก็เพราะว่ามีปากหอยปากปูอย่างหล่อนนี่ไง พราวถึงรำคาญ อยากไปให้พ้นๆ”
โดนแฟรงค์ด่า แต่จันทร์จรีทำหน้าไม่สะทกสะท้าน
“หนูไปแต่งตัวก่อนนะ เดี๋ยวต้องไปงานอีเว้นท์ ไม่มีเวลาว่างเฝ้าใคร” จันทร์จรีหันเดินไป มิกิ มาร์ค ต้อยติ่งมองตามอย่างไม่ชอบใจ
“ดูปากมันนะ แม่นี่ดังเมื่อไหร่ ระวังหัวตัวเองไว้ให้ดีเถอะพี่แฟรงค์” เอมี่หมั่นไส้
“ทำไมยะ” แฟรงค์สงสัย
“มันก็จะถีบหัวส่งพี่ไง” เอมี่บอก
“เดี๋ยวแม่ดีดปากแตก” แฟรงค์เม้ง
เอมี่หัวเราะขำ แวบหนึ่งนั้นแฟรงค์หน้าเครียด เพราะแอบคิดกังวลอย่างที่เอมี่พูดเหมือนกัน

ตกเย็น สมชายขับรถไปตามทางที่ด้านหนึ่งเป็นสวนร่มรื่น อีกด้านเป็นริมแม่น้ำ เขาผิวปากทำนองเพลงโปรดขึ้นอย่างรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่กลับมาบ้านเกิด
รถสมชายขับเลี้ยวเข้าเขตรั้ว “อิงรัก โฮมสเตย์” ที่มีพื้นที่สวนผลไม้ติดริมคลอง มีบ้านพักไม้เป็นหลังๆ ปลูกอยู่ราว 10 กว่าหลังท่ามกลางธรรมชาติ สมชายขับรถเข้ามาจอดด้านหน้า ลงจากรถยืนบิดไล่ความเมื่อยจากการขับรถ พลางมองไปรอบๆด้วยรอยยิ้มสดชื่น
เขาเห็นลูกค้าพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งเช็คเอ้าท์กำลังเดินมาขึ้นรถ โดยลูกสาววิ่งตามลูกหมาที่พามาเที่ยวด้วย
“ลัคกี้...อย่าวิ่ง...ลัคกี้...หยุดนะ!”
สมชายเข้ามาช่วยจับลูกหมาเอาไว้ให้ อุ้มขึ้นเดินเข้ามาให้
“ลัคกี้มาแล้วจ้ะ ท่าทางยังอยากอยู่เที่ยวต่อ” สมชายเย้า
“ขอบคุณพี่เค้าสิลูก” พ่อของเด็กเอ่ย
“ขอบคุณค่ะ” เด็กน้อยกล่าว
“ไปก่อนนะคะ” แม่ของเด็กยิ้มลา
พ่อแม่ลูกพากันขึ้นรถไป
“ขอบคุณครับ อิงรักยินดีต้อนรับ วันหลังมาเที่ยวอีกนะครับ”

สมชายยืนส่ง ก่อนจะหันตัวเดินเข้าไปยังเรือนอีกหลังที่เป็นเคาน์เตอร์ต้อนรับ

สมชายเดินลัดเลาะมาตามทางในเรือนไม้ ที่ตกแต่งด้วยไม้แขวน ไม้ดอก อย่างน่ารัก เมื่อมองไปที่เคาน์เตอร์ก็ยิ้มออกมา เมื่อเห็น “อรชุมา” ผู้เป็นแม่ เกล้ามวยผมเหน็บดอกชบาอันเป็นเอกลักษณ์การแต่งตัว กำลังต้อนรับขับสู้ลูกค้าหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เพิ่งเข้ามาพัก

“นี่ค่ะกุญแจ บ้านอยู่ติดคลองหลังที่ 2 นะคะ นุช...พาพี่เค้าไปซิลูก” อรชุมาหันมาบอก “น้องนุช” ลูกสาววัยมัธยมปลาย
“ทางนี้จ้า” น้องนุชชี้บอกทาง
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวไปเอง ขอบคุณค่ะ” ลูกค้าว่า
“ตามสบายนะคะ ขาดเหลืออะไร ก็บอก ถ้าหิวล่ะก็ เชิญที่เรือนอาหารด้านโน้นนะคะ” อรชุมาบอก ใบหน้ายิ้มแย้ม
สมชายเดินยิ้มกริ่ม ย่องเข้ามาเงียบๆ น้องนุชหันมาเห็นก่อนก็ดีใจ กำลังจะเรียก
“ชู่ว” สมชายยกนิ้วขึ้นห้าม
น้องนุชพยักหน้า สมชายเลยเดินย่องเข้าไปหาอรชุมาที่ด้านหลัง
“มีห้องว่างไหมครับ” สมชายเก๊กเสียงเป็นแขก เอ่ยขึ้น
“โอ๊ย...เยอะแยะเลยค่ะ” อรชุมาตอบ โดยไม่รู้ว่าเป็นสมชาย
“แล้วเจ้าของว่างรึเปล่าครับ” สมชายถามต่อ
อรชุมาหันมามอง เห็นสมชายยืนยิ้มกวนโอ๊ยอยู่ เขาหวังว่าอรชุมาจะดีใจ แต่อรชุมากลับทำเฉย
“ไม่ว่าง!”
“อ้าว ทำไมอ่ะแม่” สมชายเป็นฝ่ายหน้าเสียแทน
“ก็กำลังแพ่นกะบาลแกไง” อรชุมาเงื้อไม้นวดหลังขึ้นจะตี
“เฮ้ย แม่” สมชายรีบถลาเข้าไปกอดอรชุมาไว้
อรชุมาเปลี่ยนมากอดสมชาย หัวเราะดีใจ
“จะกลับมาเยี่ยมบ้าน ทำไมไม่โทร.มาบอกก่อนห๊ะ แม่ตกใจแทบตาย” อรชุมาว่า
“ตกใจอะไรของแม่ จะฟาดกะบาลผม”
“แม่ล้อเล่น คิดถึงจุงเบย” อรชุมาจูบไปที่หน้าผากลูกชาย
“โฮวแม่...มีจุงเบยด้วย อยู่กับยัยนุชมาก ติดเชื้อบ้าดารามันเข้าแล้ว”
“บ้าดาราแค่เสียตังค์นะพี่ แต่ถ้าบ้าผู้ชาย จะเสีย…”
เสียงน้องนุชสอดดังขึ้น พูดไม่ทันจบ สมชายรีบขัด
“เออ...งั้นบ้าดาราไปเลย ไม่ต้องพูดแล้ว แก่แดดจริงๆ”
“พี่อ่ะ เจอหน้าก็ดุเลย เค้าอุตส่าห์คิดถึง” น้องนุชเดินเข้ากอดพี่ชายอีกคน
สมชายยิ้มลูบหัวน้องสาว
“นี่แค่แวะมาให้แม่เห็นหน้าอีกใช่ไหมเนี่ย ไม่ได้มาค้าง” อรชุมาถาม
“ค้างสิแม่ ค้างนานๆเลย” สมชายบอก
อรชุมาค่อน “อุ้ย อย่ามาพูดให้ความหวังกันเลย ค้างได้เหรอ เดี๋ยวก็ถูกงานเรียกตัวอีกหรอก”
“ไม่มีงานแล้วแม่ ผมตกงาน ผมจะมาของานแม่ทำ มีงานให้ผมทำรึเปล่า”
“ว่าไงนะ เกิดอะไรขึ้น” อรชุมาถามสีหน้าตกใจ

สมชายเดินคุยกับแม่และน้องสาว เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“คิดเสียว่าวิทย์เค้าทำบุญมาแค่นี้แล้วกันนะลูก เค้าถึงต้องไปก่อน” อรชุมาปลอบลูกชาย
“แต่ถ้าไม่ใช่เพราะผม วิทย์เค้าอาจจะไม่ตาย” สมชายยังอดโทษตัวเองไม่ได้
“คนเราถึงคราวต้องตาย ไม่มีอะไรห้ามได้หรอกลูก แม่เชื่อว่าวิญญาณของวิทย์ก็คงเข้าใจลูก”
“ตอนนี้ผมหวังอย่างเดียวครับแม่ ว่าเมียของวิทย์จะยกโทษให้ผม ผมตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะดูแลส่งเสียลูกของวิทย์ไปตลอด”
“ตกงานแบบนี้ จะเอาอะไรไปส่งเสียเค้าล่ะ พี่ไม่เห็นต้องลาออกจากตำรวจเลย” น้องนุชค้อนควักเซ็งๆ
“ทำไม พี่ลาออกแล้วเราเดือดร้อนอะไร” สมชายฉงน
“ก็ไปคุยไว้ทั่วอัมพวาน่ะสิ ว่าพี่ชายเป็นสารวัตรมือปราบ เลยไม่มีใครกล้าหือกับมัน” อรชุมาตอบแทน
“อ๋อนี่...แอบเอาตำแหน่งพี่ไปเบ่งเหรอ” สมชายหันมาเฉ่งผู้เป็นน้องสาว
“ก็ใช่นะสิ จะทำไม” น้องนุชพูดแล้ววิ่งหนีไป
“อย่าหนีนะ จับได้ล่ะน่าดู” สมชายตะโกนชี้หน้า ส่วนน้องนุชวิ่งจู๊ดไปลับตาแล้ว
อรชุมายืนขำ เข้ามาโอบลูกชาย
“กลับมาทำงานกับแม่ก็ดีเหมือนกัน เป็นตำรวจมันก็เสี่ยงนะ บางทีแม่นึกห่วงลูก ก็นอนไม่หลับ กลับมาอยู่กับแม่ก็ดีแล้วลูก แม่จะได้หาลูกสะใภ้แถวนี้ให้ซะเลย ฮิ”
“ไม่ต้องหรอกแม่ ผมมีผู้หญิงที่รักอยู่แล้ว” สมชายยิ้มกรุ้มกริ่ม
อรชุมาตื่นเต้น “จริงเหรอ! ใครล่ะ บอกแม่สิ จะได้ไปขอให้”
“ก็แม่ไง”
อรชุมาตีลูกชายเผียะ สมชายหัวเราะชอบใจ และเล่นไม่เลิก
“รักจุงเบย”

เย็นวันเดียวกัน ดารกาจูงน้องป๊อบเดินเข้ามาที่ “บ้านเด็กกำพร้าแสนรัก” มีเด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน บ้างวาดรูป เล่นของเล่น และบางคนก็นั่งล้อมวงกำลังช่วยแม่แก้วทำดอกไม้จากผ้าใยบัว
ดารกาจูงมือป็อบเดินเข้ามาหา แม่แก้วเงยหน้ามอง
“เสียใจด้วยนะคะที่ต้องเสียเสาหลักของครอบครัวไปอย่างกะทันหันแบบนี้” แม่แก้วเอ่ยขึ้น
“ฉันยังทำใจไม่ได้เลยค่ะ” ดารกาบอก
“เข้มแข็งไว้นะคะ ตอนนี้คุณต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกแล้วนะคะ”
“ค่ะ ฉันจะพยายาม ลูกกำพร้าพ่อแล้ว จะไม่ให้ลูกกำพร้าแม่อีก” ดารกาพูด แล้วยื่นซองใส่เงินราว 2 หมื่นให้แม่แก้ว
“นี่เป็นเงินที่ได้จากการเสียชีวิตของวิทย์เค้า วิทย์เค้าเคยพูดบ่อยๆ ว่าอยากมาทำบุญที่บ้านเด็กกำพร้า แต่วิทย์ก็ไม่มีโอกาสมา ฉันกับลูกขอทำตามความประสงค์ของเค้าก่อนตายค่ะ ช่วยรับไว้ด้วย”
แม่แก้วจำใจรับ “ขอบคุณมากนะคะ หวังว่าบุญกุศลจะทำให้วิญญาณของสามีคุณไปสู่สุขคติค่ะ”
ดารกาปาดน้ำตาสะอื้นไห้ หันมาทางลูกชายตัวน้อย
“กลับกันเถอะลูก ไปก่อนนะคะ”
“โชคดีนะคะคุณ สู้ไว้นะคะ”

ดารกาอุ้มป๊อบเดินจากไป แม่แก้วมองตามอย่างให้กำลังใจ

เช้าวันต่อมา แฟรงค์ กับ เอมี่ เดินนำ จันทร์จรี มิกิ มาขึ้นรถตู้หน้าบ้านพราวแสง แฟรงค์หันมาสั่งกำชับต้อยติ่ง

“เฝ้าให้ดีนะแม่ต้อยติ่ง อย่าให้พราวออกจากบ้านเด็ดขาด”
“ค่า บอกแล้วไงว่าจะล่ามโซ่ไว้เลย” ต้อยติ่งยิ้มทะเล้น
“ฉันพาแม่ 2 คนนี่ไปถ่ายหนังสือเสร็จแล้วจะรีบกลับ”
“มาร์คก็อยู่นี่ ไปบอกให้ช่วยกันดู” เอมี่เสริม
“เจ้าค่า”
ทั้งหมดขึ้นรถเรียบร้อย รถแล่นออกไปช้าๆ
พราวยืนอยู่ที่ระเบียงห้องชั้นบน กำลังมองรถแล่นออกจากบ้านไป เธอผินหน้าไปมองที่ยามเฝ้าประตู 2 คน ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์มีแผนการบางอย่าง

พราวเดินลงบันไดจากชั้นบน มาที่ห้องซ้อมและเรียนการแสดง เจอมาร์คกำลังซ้อมบทละครอยู่หน้ากระจกคนเดียว ลีลาท่าทางการแสดงแข็งโป๊ก พราวเอ่ยขึ้น
“เวลาพูดบทน่ะ ไม่ต้องรีบ รัก โลภ โกรธ หลง ให้รู้สึกจริงๆก่อน แล้วพูดออกมา อย่าแกล้ง อย่าแสร้งทำ มันโกหกคนดู”
“ขอบคุณครับพี่พราว ผมจะจำไว้ครับ แล้วจะทำให้ได้” มาร์คบอก
“พยายามเข้านะ พี่จะเป็นกำลังใจให้” พราวยิ้มให้
มาร์คสุดแสนจะดีใจ เพราะปลื้มพราวอยู่แล้ว
“ครับพี่ ขอบคุณมากครับ ถ้าผมดัง ผมจะไม่ลืมเลยว่าพี่เป็นกำลังใจให้ผม” มาร์คยิ้มปลื้มลืมโลก
พราวเอ่ยขึ้น “แต่ตอนนี้ พี่อยากให้ช่วยอะไรอย่างหนึ่ง มาร์คจะช่วยพี่ได้ไหม”
มาร์คอึ้ง มองพราวอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“ได้ครับพี่ จะให้ผมช่วยอะไร”

มาร์คทำท่าลับๆ ล่อๆ มองต้อยติ่ง จนเมื่อเห็นต้อยติ่งรดน้ำต้นไม้เสร็จก็เดินเข้าบ้านไป เขาแอบออกมาพร้อมกุญแจรถของพราว ขึ้นรถสตาร์ทแล้วขับออกไปที่ประตูรั้ว
“เอารถไปซ่อมครับพี่” มาร์คบอกยาม
ยามเปิดประตูรั้วให้ มาร์คขับรถออกไป

พราวถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อม แอบออกทางประตูหลังบ้าน ตรงไปยังกำแพงบ้านด้านหลังที่มาร์คแอบเอาบันไดมาพาดรอไว้ให้เสร็จสรรพ พราวยิ้มนิดๆ
“ขอบใจมาร์ค”
พราวโยนกระเป๋าเสื้อผ้าข้ามกำแพงไปก่อน ก่อนจะปีนบันไดตามลงไป

มาร์คขับรถมาจอดรอ ลงจากรถยืนรออยู่อย่างกระวนกระวายใจ สักครู่หนึ่งก็เห็นพราวเดินหิ้วกระเป๋ามา
“ขอบใจที่ช่วยพี่ พี่ไปก่อนนะ” พราวโยนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถ
“เดี๋ยวก่อนครับพี่พราว แล้วพี่จะไปไหน” มาร์คถาม
“พี่ก็ยังไม่รู้” พราวบอกหน้าตาเฉย
“อ้าว แล้วพี่จะไปคนเดียวได้ยังไงครับ ให้ผมไปด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงมาร์ค พี่ดูแลตัวเองได้”
“แล้วพี่จะกลับมาเมื่อไหร่ครับ”
“ไว้พี่จะติดต่อมานะ” พราวพูดแล้วปิดประตูรถ ขับออกไปเลย
มาร์คยืนทำอะไรไม่ถูก ชักกลัวขึ้นมา
“เอ่อ...แกทำอะไรลงไปเนี่ยไอ้มาร์ค”
มาร์คได้แต่ยืนมองตามรถพราวที่แล่นไกลออกไป

ขณะนั้นเอง รถติณห์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพราวแสง ต้อยติ่งเดินออกมารับ เมื่อคนขับรถลงมาเปิดประตูให้ ติณห์ก้าวลงมาวางมาดหล่อ ต้อยติ่งอ้าปากค้าง
“นี่ไงหล่อขั้นเทพที่เค้าว่า” ต้อยติ่งพูดเบาๆ
ติณห์เงยหน้ามองต้อยติ่ง
“อุ้ย สวัสดีค่า อย่ามองอย่างงั้น หนูจะละลาย” ต้อยติ่งฉีกยิ้ม ยกมือไหว้
“ผมมาเยี่ยมคุณพราว”
“ทราบค่า คุณแฟรงค์กริ๊งมาบอกเมื่อตะกี้ เชิญข้างในก่อนค่ะ ต้อยติ่งจะขึ้นไปตามคุณพราวให้”
ติณห์เดินเข้าบ้านมา โดยมีคนขับรถถือช่อดอกไม้ตามไปให้

ต้อยติ่งเดินขึ้นบันได ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาเคาะประตู
“คุณพราวขา มีเทพบุตรมาเยี่ยมค่า”
เงียบ
“คุณพราว! หลับอยู่ป่าวคะ คุณติณห์มาเยี่ยมค่า”
ไม่มีสัญญาณตอบรับอีก ต้อยติ่งตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
“คุณพราวคะ อยู่ไหนคะ คุณติณห์...เอ่อ…”
สาวใช้จอมสาระแนอ้าปากค้าง เมื่อเห็นตู้เสื้อผ้าถูกเปิดอ้าอยู่ เสื้อผ้าบางส่วนหายไป เหลือแต่ไม้แขวน
“หา! อีต้อยติ่ง มึงตายแน่”
ต้อยติ่งรีบวิ่งแจ้นออกไปทันที

ติณห์กำลังรอพราวในบ้าน เขายืนมองรูปถ่ายของพราวกับแฟรงค์ในงานรับรางวัลสาวสุดฮอตของพราวด้วยสีหน้าที่นิ่งจนยากจะเดาใจ แล้วสักพัก ก็เสียงต้อยติ่งวิ่งโวยวายลงมาจากชั้นบน
“แย่แล้วค่ะคุณติณห์ แย่แล้ว!”
“มีอะไรครับ” ติณห์หันไปอย่างตกอกตกใจ
“คุณพราวน่ะสิคะ”
“คุณพราวเป็นอะไร”
“คุณพราวหายไปค่ะ”
“ห๊ะ”
มาร์คแอบยืนฟังอยู่อย่างใจคอไม่ดีนัก

ต้อยติ่งรีบโทร.รายงานแฟรงค์ ที่ตอนนี้กำลังอยู่ดูแลลูกๆ ในสังกัด จันทร์จรี กับ มิกิ แต่งหน้าทำผมเพื่อถ่ายแบบหนังสือเล่มหนึ่ง
“ว่าไงนะอีติ่ง พราวหายจากบ้านงั้นเหรอ!”
ทุกคนในสตูฯ หันมามองเป็นตาเดียว เอมี่กับมิกิตกอกตกใจ ส่วนจันทร์จรีเบ้ปาก
“แกเฝ้าของแกยังไง ปล่อยให้พราวออกไปได้ แกช่วยกันตามหาให้ทั่วบ้านเดี๋ยวนี้ ฉันจะรีบกลับไป แล้วถ้าไม่เจอนะ...แก...ติ่งแกแตกแน่” แฟรงค์วางสายแล้วลมใส่หงายเงิบต่อหน้าทุกคน
“ว้าย...พี่แฟรงค์ อย่าเพิ่งม่องเท่งตอนนี้นะ” เอมี่ควักยาดมมาให้แฟรงค์ดมแทบไม่ทัน
“พราวนะพราว...หล่อนจะไปไหนของหล่อนยะ ไม่มีที่ไหนเหมาะกับพราวเท่ากับวงการบันเทิงอีกแล้ว!” แฟรงค์คร่ำคราญ

ทางด้านพราวกำลังขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง
“เฮ่อ...จะไปไหนเนี่ยพราว จะไปไหนดี”
แล้วสายตาพราวก็มองเห็นป้ายบอกว่า ทางไปอัมพวา เธอขับรถเลยไปแล้วก็จอดกึก
“อัมพวา”

พราวตัดสินใจถอยกลับ ขับรถมุ่งหน้าสู่อัมพวาเพื่อหนีความวุ่นวายทั้งปวง

อ่านต่อหน้า 3

พราว ตอนที่ 2 (ต่อ)

สมชายโพกผ้าที่หัว ใส่ผ้ากันเปื้อนในมาดพ่อครัว กำลังยืนผัดข้าวผัด มือข้างหนึ่งตวัดกระทะ อีกข้างรัวตะหลิวผัดอย่างชำนาญ โดยมี “ลุงจ่อย” พ่อครัวประจำโฮมสเตย์อารมณ์ดี ยืนร้องเพลงทำต้มยำในหม้ออยู่ที่เตาอีกอัน

“ล่องเรือมาหารักอืม...สักคน รวยหรือจนให้ใจรักแน่...แอ้ๆๆๆ”
สมชายคว้าขวดซีอิ้วขาวเหยาะใส่ด้วยลีลาราวกับตำรวจชักปืนยิง ตามด้วยโรยน้ำตาลราวรัวปืน
“เจ็ดย่านน้ำและร้อยลำแคว...แอ้ๆๆๆ สอดส่ายตาแล.... หาหญิงอื้อๆๆ...รักจริงหนึ่งนาง”
“ข้าวผัดขัดใจโจรเสร็จแล้ว!” สมชายเคาะกระทะ
“เย้ย! พ่อยอดฝีมือ ยังร้องไม่ทันจบ เสร็จซะแระ ว่าแต่...ทำไมข้าวขัดใจโจร” จ่อยสงสัย
“เพราะตำรวจเป็นคนผัด” สมชายพูดพลางเบ่งกล้ามแขนให้ชม
“ว้ายๆ งั้นรอต้มยำผิดเพศหน่อยนะฮ้า เห็นปลีกล้ามแล้วอยากเป็นตุ๊ด” จ่อยทำเป็นสาวแตกใส่
สมชายยิ้มขำๆ พลางตักข้าวผัดใส่2จาน หยิบแตงกวา มะเขือเทศ ต้นหอมแต่งจาน แล้วตบมือผัวะ เป็นอันเสร็จ!

สมชายเดินถือถาดใส่ข้าวผัด ต้มยำ พริกน้ำปลาออกมาจากครัวมาที่เรือนอาหาร
“มาแล้วคร้าบ” เขาเดินเข้ามาเสิร์ฟที่โต๊ะลูกค้าชายหญิงคู่หนึ่งที่อรชุมากำลังยืนคุยอยู่ เธอเลยโปรโมทลูกชายซะเลย
“นี่...ลูกชายจ้ะ พ่อครัวหัวเห็ด ถูกออกจากงาน ก็เลยกลับมาช่วยที่บ้าน” อรชุมายิ้มแย้ม
“แม่! พูดให้ถูกๆ หน่อย ผมเป็นคนลาออกเอง เค้าไม่ได้ไล่ผมออกซะหน่อย” สมชายแย้ง
“แอะ!” อรชุมาชี้หน้าล้อ สมชายสะดุ้ง
“อะไร๊....แม่”
“ไม่อยากออกอ่ะดิ แล้วออกทำไม”
สมชายอึ้งๆ ไป ก่อนจะพูดกลบเกลื่อน “โฮ่! จะมาจับผิดอะไร ผมไปหาเหยื่อดีกว่า”
“ห่ะ...หา หาเหยื่ออะไร๊” อรชุมาถาม
“หาเหยื่อตกปลาไงแม่ เดี๋ยวจะไปหาปลาอร่อยๆมาทำกับข้าวให้แม่กิน” สมชายยักคิ้วเดินถอดผ้ากันเปื้อนไป อรชุมาถอนใจ
“เฮ่อ กลับมาอยู่บ้าน ก็อยู่นิ่งๆไม่เป็นอ่ะลูกคนนี้ ต้องออกไปผจญภัย...ทำโน่นทำนี่ อยากจะรู้นัก จะทนอยู่แบบนี้ได้สักกี่น้ำ” อรชุมามองตามอย่างรู้จักนิสัยของลูกชายดี

สมชายเดินถือคันเบ็ดตกปลา กระป๋องใส่เหยื่อปลา และถังใส่ปลาเดินมาที่ท่าน้ำ ซึ่งมีเรือผูกไว้หลายลำ ทั้งเรือแจวเรือพายสำหรับบริการให้แขกมาพักได้พายเล่นในคลอง และเรือกระบะติดเครื่องสำหรับออกไปตกกุ้งตกปลา โดยมีน้องนุชเดินคุยตามมาด้วย
“จะไปตกทำไมปลา ตากแดดตัวดำหมดหล่อเปล่าๆพี่ นี่ๆ” น้องนุชเกี่ยวแขนพี่ชาย
“จะเอาอะไรอีก” สมชายถาม
“แต่งตัวหล่อๆ พาน้องสาวไปเดินซื้อของในตลาดดีกว่า วันนี้วันหยุด คนกรุงเทพฯ มาเที่ยวเพียบเลย ฮิ”
“ทำไม คนกรุงเทพฯ แปลกตรงไหน มี 4 ตา 2 จมูกหรือไง ถึงอยากจะเห็น”
“ เปล่าซะหน่อย ก็...คนเยอะๆ มันหนุกดี”
“หนุกตรงไหน จะเดินเหยียบกันตาย รำคาญคนเยอะ หลีกๆ...พี่จะไปตกปลา เราก็อย่าห่วงแต่เที่ยว อยู่ช่วยแม่ล่ะ เดี๋ยวพี่มา” สมชายพูดแล้วก้าวลงเรือกระบะ
“เซ็ง! ไม่เข้าใจวัยรุ่นเลย” น้องนุชเดินหน้าบูดกลับไป
สมชายหันมองตามน้องสาวแล้วส่ายหน้า ก่อนหันมาสตาร์ทเครื่องเรือ คว้าหมวกสานปอนๆ ขึ้นมาใส่ราวกับหนุ่มตังเก แล้วขับเรือออกไป

รถสปอร์ตของพราวแล่นเขามาจอด เธอลดกระจกรีโมตลงช้าๆ พราวในลุคแว่นกันแดดแบรนด์เนม หมวกปีกหรู เสื้อผ้าทันสมัยราคาแพงที่ต่างจากสมชายอย่างสิ้นเชิง โผล่หน้าออกจากหน้าต่างมองบรรยากาศตลาดน้ำอัมพวา เห็นผู้คนพลุกพล่านมากมาย
ด้วยรถและคนขับที่โดดเด่น คนที่เดินเที่ยว ซื้อของ ขายของไปมาแถวนั้นค่อยๆ หันมาสนใจทีละคนสองคน จนเริ่มหันมามองเป็นกลุ่มใหญ่และเริ่มแตกตื่น
“สวยอ่ะ...ใครวะ...หน้าคุ้นๆ”
“เหมือนดาราอ่ะ”
“ดาราแน่ๆ ฮูย...รวยง่ะ ดูขับรถดิ หรูเว่อร์”
“เข้าไปดูใกล้ๆดิ ซุปตาร์คนไหน”
คนเริ่มเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
“เฮ้ย...พราว พิชญาดา นี่...ใช่แล้วพราว! พราว!” คนแถวนั้นคนหนึ่งชี้นิ้วมาและเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ห๊ะ” พราวตาโต พยายามก้มหน้าก้มตาหลบ แต่แค่เสียงตะโกนชื่อพราวขึ้นอย่างดีใจ ทำเอาแถวนั้นแตกตื่นตามมาด้วยเสียงกรี๊ด เสียงตะโกน และคนกรูกันเข้ามาที่รถ
“พราว! พราว! พราว!”
“ใส่แว่นดำใส่หมวกพรางตัวขนาดนี้ยังจำได้อีกเหรอ ว้ายๆๆ อย่าเข้ามา” พราวรีบรีโมตกระจกรถขึ้น ขับเดินหน้าไป แต่ต้องเบรกเอี๊ยดเพราะมีคนกรูกันเข้ามาข้างหน้า เธอเลยใส่เกียร์ถอยหลัง แต่ถอยได้ปรู๊ดเดียวก็ต้องเบรกหัวทิ่มอีก เมื่อมีคนกรูกันเข้ามา
“อ๊าย...ไปก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้” เมื่อเธอหันไปเห็นซอยข้างๆก็เลยตัดสินใจตะลีตาเหลือกหมุนพวงมาลัยเร่งเครื่องเอี๊ยด ขับล้อฟรีเข้าซอยข้างๆไปทันที โดยมีฝูงชนวิ่งตะโกนตามหลังไป
“พราว!พราว!พราว!พราว!”

พราวรีบซิ่งหนีมา เหลียวมองไปที่กระจกหลัง เห็นรถห่างฝูงชนแห่มาใกล้แล้ว เธอถึงกับปรี๊ดแตก รู้สึกราวกับหนีเสือปะจรเข้
“หยุดคลั่งพราวกันบ้างได้ไหม หยุดๆๆ ฉันต้องการความสงบเดี๋ยวนี้!”

พราวบ่น ก่อนตบพวงมาลัยรถระบายอารมณ์

แฟรงค์กลับมาถึงบ้านพราวแสง กำลังโวยใส่ต้อยติ่ง มาร์ค และยามทั้ง 2 อยู่หน้าบ้าน โดยมีเอมี่ ติณห์ กับคนขับรถที่ช่วยหาตัวพราวยืนอยู่ด้วย

“แน่ใจนะว่าหากันทั่วบ้านแล้ว!” แฟรงค์ถามตาขุ่น
“แทบจะพลิกบ้านหาอยู่แล้วเด้อค่ะคุณพี่แฟรงค์ ตะๆๆ...แต่ไม่เจอเลย คุณพราวหะๆๆๆ หายไปไหนก็ไม่รู้ ฮือๆ” ต้องติ่งพูดตะกุกตะกักไปแล้ว
“หน็อย! ทำเป็นมาติดอ่าง ทำบีบน้ำตา นังแหนมยโสธร! ให้เฝ้าพราวแค่นี้ทำไม่ได้ ไปเกิดใหม่เถอะแก!” แฟรงค์ทำท่าจะขย้ำคอสาวใช้จอมสาระแน ต้อยติ่งร้องลั่นเป็นภาษาอีสาน
“อ๊าย...ตายแล่วๆ”
แต่เอมี่ดึงห้ามไว้ “โฮ่ย พี่แฟรงค์ ไปทำมัน ก็หาพราวไม่เจอหรอก ช่วยกันเข้าไปหาพราวในบ้านกันดีกว่า” เอมี่พูด แล้วจะเดินหนีเข้าไปบ้าน
“อย่าเสียเวลาเลยครับ! ผมกับทุกคนช่วยกันหาจนทั่วบ้านแล้ว คุณพราวไปแล้ว” ติณห์เอ่ยขึ้น
แฟรงค์ยกมือทาบอก หายใจแทบไม่ออก
“เฮือก...พราวของพี่แฟรงค์ ใจพี่เหมือนจะขาด หนูหนีออกไปตอนไหน ยังไง เมื่อไหร่"
ติณห์สวนขึ้นด้วยสีหน้าฉงน “แล้วทำไมต้องหนีด้วยครับ”
แฟรงค์ขากรรไกรค้าง พูดอะไรไม่ออก
“แฮ่ เรื่องนั้น ไว้ให้พี่แฟรงค์อธิบายทีหลังนะคะ คุณติณห์” เอมี่รีบช่วย
“ใช่! ตอนนี้ขอชำระบัญชีพวกนี้ก่อน ทำไมพราวออกไปไม่มีใครเห็นฮะ...อะไร๊ นี่มันแดดเปรี้ยงๆ หลับยามกันแล้วเหรอ”
สองยามตวัดเท้าชิดกันและตะเบ๊ะ ตอบด้วยเสียงดังอย่างกลัวๆ พร้อมเพรียงว่า “เปล่าครับพ้ม!”
“พราวไม่ได้มีปีก พราวหายตัวก็ไม่ได้ ดำดินก็ไม่ได้ เดินทะลุกำแพงก็ไม่ได้ ถ้าไม่ผ่านประตูรั้วนั่นออกไป ใครฉลาดช่วยบอกฉันทีซิ พราวจะอันตรธานหายไปได้ยังไงกันยะ!” แฟรงค์คาใจมาก
“สาบานด้วยเกียรติของยามครับ คุณพราวไม่ได้ผ่านประตูรั้วออกไปแน่ๆ ครับพ้ม!” ยามคนหนึ่งบอก
“ใจเย็นๆ ลองนึกดูให้ดีๆ ซิยาม วันนี้นอกจากผมแล้ว ยังมีรถคันไหนที่ขับเข้าออกบ้านหลังนี้อีกไหม” ติณห์เอ่ยขึ้น
มาร์คตกใจ พยายามซ่อนสีหน้าอันซีดเผือด ลุ้นให้ยามจำไม่ได้
“ออ...มีครับพ้ม! คุณมาร์คขับรถคุณพราวออกไปซ่อม ครับพ้ม!” ยามตอบ
“ว่า...ไง...นะ!”
แฟรงค์ เอมี่ ต้อยติ่งหันไปมองมาร์คเป็นตาเดียว มาร์คยืนก้มหน้าตัวสั่น
“ยู้ฮู! พ่อหนุ่มข้าวหลาม พ่อหนองมนของพี่...เงยหน้ามองหน้าเก๋ๆ ของพี่ซิ Where-is-พราว!” แฟรงค์พูดพร้อมกับเชยคางมาร์คขึ้นมองจ้อง
มาร์คเงยหน้ามองตาแฟรงค์ เขาตกใจจนหน้าซีด

มาร์คนั่งคุกเข่าที่พื้นภายในบ้าน ในท่ายอมรับสารภาพอยู่ต่อหน้าแฟรงค์ที่นั่งดมส้มโอมือฟืดๆ อยู่ข้างๆ เอมี่กับติณห์
“เธอช่วยพราวหนีไปทำไมห๊ะ เสียแรงที่พี่ตั้งใจจะปลุกปล้ำเธอ” แฟรงค์หลุดปาก
“แฮ้ม...ปลุกปั้นพี่” เอมี่รีบแทรก
“ก็นี่...มันไม่รักดี ฉันก็จะปลุกปล้ำมันแทนล่ะ ตอบมาซิว่า ทำไมๆ” แฟรงค์ถามต่ออย่างมีอารมณ์
“ถ้าเกิดถูกจับได้ว่าเธอช่วยพี่หนี บอกไปเลยนะ ว่าพี่บังคับเธอ เธอไม่ได้อยากทำ เข้าใจนะ!” เสียงของพราวดังขึ้นมาในหัวมาร์ค
มาร์คตัดสินพูดตามที่พราวบอก เพื่อเอาตัวรอด
“พี่พราวบังคับผมครับ! ผมเป็นเด็ก ผมก็ต้องทำ ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ”
“แล้วเป็นไงล่ะ อีติ่งนี่พลอยซวยไปด้วยเลย” ต้อยติ่งบ่น
“อี๊! เหมือนฝากนกหงส์หยกไว้กับแมงวันแมงหวี่จริงๆ เลยเนี่ย ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แถมยังโดนนกแด๊กเอาซะด้วย” แฟรงค์พูดอย่างขัดใจ
“แล้วคุณพราวไปไหน บอกไว้รึปล่าวครับ” ติณห์ถาม
มาร์คส่ายหน้าจ๋อยๆ
“พี่พราวบอกไม่ต้องเป็นห่วงแล้วจะติดต่อมา”
“เราจะรอเหรอพี่แฟรงค์” เอมี่ถามทันควัน
“รอให้คนมาถอนหงอกฉันน่ะสิ ทั้งละคร ทั้งอีเว้นท์ ทั้งโฆษณาแน่นเอี๊ยดทั้งอาทิตย์เลย ฉันจะเอาพราวที่ไหนไปให้เค้า อีแฟรงค์เน่าแน่!” แฟรงค์บ่นบ้า
“แล้วทำไมคุณพราวต้องหนีไป มีปัญหาอะไร บอกผมได้หรือยังครับ” ติณห์ถามขึ้นอีก
“แหม ทั้งเจอลูกหลงถูกยิง ทั้งเจอน้ำกรด ทั้งถูกชายชุดดำตามถ่ายรูป ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างพราวไม่ขวัญหนีดีฝ่อไหวเหรอฮะ ก็คงจะเตลิดไปสงบจิตสงบใจที่ไหนสักพักเท่านั้นแหละค่ะ” แฟรงค์ตอบ
“แต่คุณพราวไปคนเดียวนะครับ อาจจะไม่ปลอดภัย แจ้งตำรวจดีกว่า” ติณห์ว่า
“โนๆๆ จะไม่มีการแจ้งตำรวจที่ไหนทั้งนั้น เกิดข่าวนี้ฉาวโฉ่ออกไปว่าพราวหายตัวไป เละ! นังแฟรงค์อาจถูกฟ้องล้มละลายเละแน่ๆ” แฟรงค์ว้าวุ่นไปหมด
“งั้นคุณช่วยบอกผมทีซิ ว่าจะทำยังไง ผมเป็นห่วงคุณพราว” ติณห์ถามเสียงนุ่ม
“คำถามนี้ ง่ายมากค่ะคุณติณห์ เราก็ช่วยกันหาสิคะ แล้วต้องปิดข่าวให้สนิท อย่าให้นักข่าวรู้เป็นอันขาด!”

แต่การกลับไม่เป็นดังนั้น เพราะส้มจี๊ดกำลังพูดมือถืออย่างตื่นเต้น
“ขอบใจมากนะคะที่โทร.มาบอก ข่าวนี้ต้องกลบกระแสการเมืองที่กำลังเดือดฝุดๆ ได้แน่ๆ”
สุดเขตต์เงยหน้ามองส้มจี๊ดที่รีบวางสาย เก็บโน้ตบุ๊คที่นั่งทำงานอยู่ตรงหน้า
“เร็วๆ ไอ้สุดเขตต์ เก็บข้าวของ เราต้องรีบไปหาข่าวเด็ด สายข่าวหัวเห็ดของฉันโทร.มารายงาน”
“สายข่าวแกนี่มันขยันหางานให้แกทำเหลือเกินนะ คราวนี้มีข่าวล้วงตับใครอีกล่ะ”
“หึ ก็คนเดิมนั่นแหละ”
“คนเดิม” สุดเขตต์ที่กำลังเก็บกล้อง มองส้มจี๊ดอย่างแปลกใจ
“ทำเป็นงง ก็ยัยพราวไง หนนี้หนีอีผู้จัดการตุ๊ด หายตัวออกจากบ้าน!” ส้มจี๊ดพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ
“แล้วแกแน่ใจได้ไง ว่าสายข่าวแกไม่ได้มั่ว” สุดเขตต์ถามอย่างตกใจ
“หึ จะมั่วได้ไง ก็สายฉันอยู่วงในขนาดนั้น”
“ใครวะ”
“บอกแกก็ไม่หนุกดิ ถ้าแกอยากรู้ ก็รีบเซ่ ไปช่วยฉันหาข่าว” ส้มจี๊ดสะพายเป้เดินนำออกจากร้าน

สุดเขตต์จำต้องตามไป ด้วยว่าใจก็อยากรู้เรื่องพราวเหมือนกัน

ฝ่ายจันทร์จรียืนถือมือถือยิ้มสะใจอยู่ หลังจากแอบมาโทร.บอกข่าวให้ส้มจี๊ดเสร็จสรรพ

“ก็ไม่ต้องกลัวตกข่าวหรอกนังพราว ถึงตัวไม่อยู่ ฉันจะช่วยอัพเดตข่าวให้เอง ฮิๆ” จันทร์จรีพูด โดยไม่รู้ตัวว่ามิกิแอบยืนฟังอยู่ด้วยสีหน้าตะลึงที่รู้ว่าจันทร์จรีแอบโทร.บอกนักข่าว
ตอนนั้นเอง ทีมงานคนหนึ่งเดินออกมาตาม เจอมิกิยืนอยู่ที่ข้างเสา
“อ้าวน้องมิกิ น้องจรีล่ะคะ”
จันทร์จรีหันขวับมามองที่เสาทันที
ขณะที่ด้านหลังเสา มิกิตกใจ ส่ายหน้า
“ไม่เห็นเหรอคะ เอ๊...เปลี่ยนชุดแล้วไปไหน จะเริ่มถ่ายชุดเซ็ท 2 กันแล้ว” ทีมงานงงๆ
จันทร์จรีเดินฉีกยิ้มหวานเข้ามา
“อยู่นี่ค่ะพี่ พอดีจรีออกมารับสาย จะถ่ายแล้วใช่ไหม จรีพร้อมแล้วค่ะ”
“พร้อมก็รีบตามเลยนะคะ”
“ค่า”
ทีมงานรีบเดินนำไป มิกิหันไป กำลังจะเดินตาม แต่จันทร์จรีเตะขาดักไว้ ทำให้มิกิสะดุดส้นสูงหน้าคะมำเกือบล้มลง
“ว้ายๆ” พอมิกิตั้งตัวได้ ก็หันขวับมาโกรธ “มาดักขากันทำไมเนี่ย”
“แล้วแกมาอยู่แถวนี้ทำไมฮะ!”
“ก็เห็นทีมงานตามหาจรี มิกิก็เลยเดินออกมาช่วยตามหา”
“อย่ามาสะตอ แกคอยตามสอดแนมฉัน!” จันทร์จรีชี้หน้า
“อย่ามาหาเรื่องนะ”
“อ๋อ...ฉันหาเรื่องแกแน่ ถ้าแกมาแส่ปากมากเรื่องของฉัน ไม่ใช่แค่ดักขาแบบหน่อมแน้มเมื่อตะกี้นะ แต่ฉันจะกระทืบแกให้เละ ไม่ให้เกิดในวงการเลย จำใส่หัวคิขุๆ ของแกเอาไว้ให้ดี!” จันทร์จรีชี้นิ้วจิ้มหัวมิกิ มิกิปัดมือออก
จันทร์จรียิ้มเยาะ แล้วเดินผละไป มิกิมองตามอย่างรู้สึกกังวล เธอหันเดินกระเผลกนิดๆ เพราะเจ็บขาใส่ส้นสูงที่สะดุดพลิกเมื่อกี้

ทางด้านพราวขับรถมาตามทางที่หลบผู้คนมา พบว่าเป็นทางขนาบสวนร่มรื่น เงียบสงบ รถขับผ่านรีสอร์ตโฮมสเตย์หลายแห่งที่เป็นแบบบ้านสวน อยู่ห่างๆกัน พราวถอดแว่นมองไป 2 ข้างทาง สีหน้าแววตาพราวดูสบายใจ ผ่อนคลาย และนึกสนใจอยากจะหลบอยู่ที่นี่สักพัก
“หรือจะเป็นที่นี่...ที่พักใจของพราว” พราวเอ่ย
แต่แล้วอยู่ๆ รถก็เร่งไม่ขึ้น
“โอ๊ะๆ เป็นไรอ่ะ คนกำลังอารมณ์ดีๆ มาเป็นไรตอนนี้ มูดดี้หมดเลย”
พราวพยายามเหยียบคันเร่ง แต่รถก็ค่อยๆ เครื่องดับไปในที่สุด พราวหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง ทันเวลาที่รถจอดนิ่งสนิท พร้อมเสียงเอะอะโวยวายคนเดียวในรถ เมื่อเห็นที่หน้าปัดรถว่าน้ำมันหมด
“โฮ่ย...ฟ้าดินจะกลั่นแกล้งฉันไปถึงไหนเนี่ย ส่งฉันมาเกิดเป็นพราวแล้ว ทำไมไม่ส่งชีวิตสมบูรณ์แบบมาให้ฉันด้วย ทำไมๆ ต้องให้ฉันเจอโน่นเจอนี่ตลอดเวลา ไม่อยากเจอแล้วเคราะห์ซ้ำกรรมซัด บททดสอบชีวิต ดังแล้วพอแล้ว! พอ...พอ...พอที” พราวฟุบหน้ากอดพวงมาลัย มือข้างหนึ่งตบคอนโซลระบายอารมณ์
พราวสงบสติอึดใจหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น ทอดถอนใจ มองผ่านกระจกหน้ารถออกไป เมื่อเห็นว่าไม่มีคนเลยก็ชักวังเวงใจ ความอวดดีหายไป รีบควานหามือถือจากในกระเป๋าขึ้นมาดู อยากจะกดเปิดโทร.หาแฟรงค์ตามความเคยชิน แต่เธอหยุดมือตัวเองไว้ กัดปากกำมือ
“ไม่! ลืมพี่แฟรงค์ไปซะ”

พราวเปิดประตูรถลงมายืนเท้าสะเอว ชะเง้อมองซ้ายมองขวาว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี และแล้วสายตาก็มองไปเห็นป้ายยินดีต้อนรับของ “อิงรักโฮมสเตย์” ที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าราว 10 เมตร ซึ่งเป็นโฮมสเตย์เดียวที่อยู่แถวนี้
“อิงรักโฮมสเตย์...อี๋...ชื่อเห่ย ถูก ภูธร” หล่อนอุทาน แต่เมื่อหันมองทางไหนก็ไม่มีที่ไป พราวก็หันมามองไปที่โฮมสเตย์แล้วตัดสินใจอีกครั้ง!

สุดท้ายพราวเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าปุเลงๆ ผ่านประตูรั้วโฮมสเตย์เข้ามาและเธอต้องเปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อเห็นสภาพของโฮมสเตย์ที่บรรยากาศน่ารักมากๆ
“ว้าว...เก๋มาก” พราวอุทาน ยืนมองอย่างถูกอกถูกใจ แล้วต้องรีบก้มหน้าขยับแว่นขยับหมวกปิดๆหน้าตัวเอง เมื่อเห็นแขกที่มาพักเดินออกมา เธอรอจนแขกที่มาพักเดินผ่านไป พราวแอบหันมองตามแล้วนึกโล่งใจ
“คงไม่มีใครที่นี่จำฉันได้ ฮิ” พอพราวหันกลับมามองโฮมสเตย์ก็เห็นน้องนุชยืนจ้องอยู่ พร้อมกับชี้นิ้วพูดขึ้นท่าทีตื่นเต้น
“คุณพราวใช่ไหมคะ!”
“ห๊ะ!” พราวอ้าปากค้าง
“ใช่จริงๆ ด้วย คุณพราว พิชญาดา หนูเป็นติ่งของพี่ค่ะ ติดตามผลงานของพี่มาตลอด...อุ๊บ…”
พราวรีบปล่อยกระเป๋าเข้ามาปิดปากน้องนุชไว้แทบไม่ทัน
“อย่าเสียงดังสิ ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันมาที่นี่ เงียบได้ไหม”
เมื่อน้องนุชยกนิ้วโอเค พยักหน้า เธอจึงค่อยๆ ปล่อยมือออก น้องนุชเนื้อเต้นยืนประสานมือแนบอกมองพราวอย่างปลาบปลื้มสุดๆ
“คุณพราวมาเที่ยวเหรอคะ หรือว่ามาถ่ายละคร” น้องนุชถาม
พราวไม่ตอบ แต่ควักรูปตัวเองใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เซ็นลายเซ็นแล้วยื่นให้น้องนุช
“อ่ะ พี่พราวให้นะคะ เป็นที่ระลึก ถ้าเป็นติ่งพี่พราวจริงๆ ต้องรักและหวังดีกับพี่พราว ไม่บอกใครว่าพี่พราวอยู่ที่นี่ นะคะ เด็กดี” พราวฉีกยิ้มพลางหยิกแก้มน้องนุชเบาๆ ทำเป็นเอ็นดู นั่นยิ่งทำให้น้องนุชดีใจกระโดดตื่นเต้นเบาๆ พยักหน้า
“ค่ะ หนูสัญญาด้วยเกียรติของติ่ง ว่าจะเย็บปากให้สนิท”
“ดีมาก รักนะเด็กโง่ พี่พราวไปละ” พราวคว้ากระเป๋ารีบหันเดินมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นสุดเซ็งทันควันเมื่อหันหลัง แต่น้องนุชก็ยังเดินตามมา
“ให้หนูช่วยหิ้วกระเป๋าไหมคะ”
“เฮ่ย...ยังตามมาอีก” พราวพูดเบาๆ ก่อนจะหันมาพูดกับน้องนุช “ไม่ต้องหรอกจ้ะ พี่หิ้วเองได้...หนูไปเถอะ”
“ให้หนูช่วยเหอะ ที่นี่หนูช่วยพี่ได้ทุกอย่าง” น้องนุชบอก
“น้องคะ พี่บอกว่าไม่ต้อง แบบว่าเกรงใจมากๆ อ่ะ” พราวว่า
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ หนูเป็นลูกสาวเจ้าของโฮมสเตย์นี่ พี่มีอะไรให้หนูรับใช้ ก็บอกมาได้เลย รับใช้ด้วยน้ำใจ ไม่ต้องติ๊ป”
พราวหยุดกึก ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้
“โอ้ว...เหรอคะ หนู...ลูกเจ้าของที่นี่”
น้องนุชพยักหน้าพร้อมกับทำท่าผายมือต้อนรับ

“อิงรักโฮมสเตย์ยินดีต้อนรับค่า”

อีกมุมหนึ่ง สมชายจอดเรือลอยลำแถวริมคลอง แล้วนั่งถือเบ็ดล่อปลาอยู่คนเดียวเงียบๆ อยู่ๆ เสียงแปร๋น วีนเหวี่ยงของพราวก็ดังขึ้นในโสตประสาท

“คุณต่างหากที่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งที่ทำให้ฉันถูกยิง แล้วพาเพื่อนตัวเองไปตาย คุณคนเดียวที่ทำพลาดทั้งหมดได้ยินไหม”
“นี่คุณเห็นเรื่องที่ฉันถูกปองร้ายเป็นเรื่องเล่นๆ งั้นเหรอ แต่ถึงคุณจะทำคดีนี้ อย่างคุณก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้หรอก ขนาดคดีไอ้พวกค้ายายิงฉันปางตาย คุณยังจับตัวมันมาไม่ได้เลย”
และตอนนั้นเอง ปลากินเหยื่อพอดี คันเบ็ดขยับกระตุกมือสมชายที่ถืออยู่ ปลุกให้สมชายหลุดจากห้วงภวังค์
“เฮ้ย!” สมชายรีบลุกยืน ออกแรงดึงเบ็ดขึ้นมาก ได้ปลาแม่น้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาตัวหนึ่ง
“ปลาเกือบหลุดมือไปแล้ว เรื่องแม่ซุปตาร์บ้าๆ เข้ามารกสมอง ชาตินี้...อย่าได้เจอกันอีกเลย แม่ปลาปิรันย่า” สมชายบ่นบ้า ก่อนจะโยนปลาลงนอนแอ้งแม้งในถัง

พราวนอนเอนทอดกายอยู่บนที่นอนลูกระนาดขนาดใหญ่ แขนและคางเกยอยู่บนหมอนสามเหลี่ยมมองไปที่ริมคลอง เธอรู้สึกถูกอกถูกใจที่นี่เสียแล้ว ขณะเดียวกัน น้องนุชรีบพาอรชุมาที่ตื่นเต้นชัดแจ้ง เดินมาแต่ไกล
“ไหนๆ คุณพราวอยู่ไหน แกอย่าอำแม่นะยัยนุช เล่นอะไรบ้าๆ ฉันตื่นเต้น จะเป็นลมอยู่แล้วเนี่ย”
“หนูจะไปอำแม่ทำไม ซุปเปอร์สตาร์มาที่โฮมสเตย์เราจริงๆ โน่นๆๆ โน่นไง โน่นไงแม่ พราวพิชญดาตัวเป็นๆ”
น้องนุชชี้ไปที่ศาลาด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดๆ อรชุมามองไปเห็นด้านหลังพราวนอนเอนอยู่
“ขนาดมองแต่ไกล ยังสวยขนาดนี้เลย ตัวจริงจะนางฟ้าขนาดไหนเนี่ย”
“แม่ก็เข้าไปดูเองสิ เร็วๆๆ”
พราวได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา ก็หันไปมอง อรชุมาเห็นหน้าพราวถึงกับชี้ ติดอ่าง
“พะๆๆๆ พราว ซุปเปอร์สตาร์จริงๆด้วย ฉันไม่ได้ฝันไป!”
“เอ่อ...ช่วยเบาๆหน่อยได้ไหมคะ พราวมาที่นี่ เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวขั้น Exclusive น่ะค่ะ” พราวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแหยๆ
“คุณจะได้รับสิ่งนั้นเดี๋ยวนี้! จริงไหมแม่” น้องนุชทำท่าทำทางประกอบ พยักพเยิดมาทางมารดา
อรชุมาบอกเสริม “จริงจ้ะ! ฉันเข้าใจค่ะ เป็นดาราดังนี่ลำบากนะคะ เกิดใครรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ ต้องแห่กันมาถ่ายรูปขอลายเซ็น มีหวังโฮมสเตย์ฉันต้องแตกแน่ๆ”
“เข้าใจอย่างงี้ก็ดีเลยค่ะ พราวคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก” พราวถอดแว่นกันแดดออก
อรชุมากับน้องนุชอึ้งตะลึงแล มองหน้าสวยๆ ของพราวใกล้ๆ อย่างเต็มตา
“พูดตรงๆเข้าประเด็นเลยว่า...พราวจะพักอยู่ที่นี่แบบไม่มีกำหนด” พราวพูดพลางส่งยิ้มบางๆ และสะบัดปอยผมที่หน้า กิริยาเก๋ๆ
น้องนุชกับอรชุมาดีใจ ไม่อยากจะเชื่อ
“จริงเหรอคะ!” อรชุมาอุทาน
“แต่...พราวต้องการความเป็นส่วนตัวขั้น Exclusive อย่างที่บอก ด้วยการเหมาห้องพักทุกห้องทั้งโฮมสเตย์” พราวพูดพลางเปิดกระเป๋าสตางค์ หยิบเครดิตการ์ดแพลตตินั่มแบบวงเงินอันลิมิเตดออกมาวางให้
น้องนุชกับอรชุมาอ้าปากค้าง

ขณะเดียวกัน สุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซค์พาส้มจี๊ดมาแต่ไกล
“จอดที่หน้าบ้านหลังนั้นแหละ” ส้มจี๊ดชี้
“บ้านใครวะ” สุดเขตต์ถาม
“บ้านพราวแสงปั้นดาวของนังแฟรงค์ผู้จัดการของยัยพราวไง ยัยพราวก็พักอยู่ที่นี่ประจำ”
“โอ้ว...ขนาดผู้จัดการยังรวยขนาดนี้” สุดเขตต์ทึ่ง
“ทำไม ยัยพราวรวยแล้วไง มีความสุขไหม มีแต่เรื่องต้องขึ้นหน้า 1 ตลอด” ส้มจี๊ดค้อนควัก
“ก็เพราะมีนักข่าวอย่างแกคอยตามหาเรื่องเค้าไง” สุดเขตต์แดกดัน
“ถูก! ฉันตามหาเรื่อง เรื่องจริงไง ฉันจะไปถามยาม แกถ่ายรูปไว้นะ” ส้มจี๊ดเดินไปที่ประตูรั้ว พร้อมเทปอัดเสียง จ่อถามผ่านซี่ประตูรั้ว
“หวัดดีค่าพี่ยาม คุณพราวอยู่ในบ้านไหม”
“ไม่อยู่”
“ไม่อยู่แล้วหายไปไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ่อไม่รู้ เป็นนักข่าวใช่ไหมนี่ เห็นมามาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านหลายทีแล้ว”
ระหว่างนี้ติณห์เดินออกมาขึ้นรถที่หน้าบ้าน รถเคลื่อนตัวออกมา
“ตกลงคุณพราวไม่อยู่ใช่ไหม” ส้มจี๊ดซักต่อ
“อยู่หรือไม่อยู่แล้วทำไม อย่ามาเกะกะหน้าบ้านนะคุณ ถอยครับถอย...รถจะออก” ยามเปิดประตูให้รถติณห์แล่นออกมา ส้มจี๊ดมองเห็นรถติณห์ก็จำได้ รีบเข้ามาหาสุดเขตต์
“รถไฮโซติณห์นี่ ฉันจำได้ ข่าวสนุกละ มีตัวละครอีกคนเข้ามายุ่ง เร็วสิ ยืนงงอะไร ตามเค้าไป”
“ตามทำไมอีกวะ” สุดเขตต์งง
“เออน่า...ฉันบอกให้ตามก็ตาม สตาร์ทรถ!”
สุดเขตต์ขึ้นมอเตอร์ไซค์สตาร์ทพาส้มจี๊ดซ้อนขี่ตามรถติณห์ไป

รถของติณห์แล่นเข้ามาจอดส่งติณห์ที่หน้าอาคารออฟฟิศหรู ไฮโซหล่อลากเปิดประตูลงจากรถ ก้าวขึ้นบันไดออฟฟิศ แล้วรถก็ขับออกไป
สุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาที่หน้าตึก
“จอดๆๆๆ” ส้มจี๊ดสั่ง
สุดเขตต์จอด ส้มจี๊ดกระโดดลงจากรถอย่างรีบร้อน
“เร็วแก...กล้องพร้อม...ตามฉันมา”
สุดเขตต์รีบลงจากรถ เตรียมกล้องที่สะพายอยู่ รีบวิ่งตามส้มจี๊ดเข้าตึก
ขณะที่ติณห์กำลังเดินไปลิฟท์ เสียงส้มจี๊ดเรียกดังมา
“คุณติณห์คะ...คุณติณห์ เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
ติณห์หยุด รู้สึกแปลกใจ หันไปมองก็เห็นส้มจี๊ดวิ่งเข้าตึกมาโดยมีสุดเขตต์ถือกล้องวิ่งตาม เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นนักข่าว จึงเตรียมพร้อมรับมือ ส้มจี๊ดจ่อเครื่องอัดเสียงถามติณห์
“ดิฉันเป็นนักข่าวนะคะ เมื่อกี้คุณไปที่บ้านคุณแฟรงค์มาใช่ไหมคะ ตกลงคุณพราวอยู่ที่บ้านรึปล่าวคะ หรือว่าหายตัวไป” ส้มจี๊ดถาม
“หายตัวไปไหนครับ คุณเอาอะไรมาถาม” ติณห์เอ่ย
ติณห์ฝืนยิ้มสู้อย่างสุภาพ มองสุดเขตต์ที่ถ่ายรูปไม่หยุด
“พอดีได้ดิฉันข่าวแว่วๆ มาอย่างงั้นน่ะค่ะว่าคุณพราวหายตัวไป” ส้มจี๊ดพูดต่อ
“คุณพราวไม่ได้หายไปไหนนี่ครับ พักผ่อนอยู่ในบ้าน เค้าป่วยนิดหน่อย แล้วก็ไม่สบายใจเรื่องอุบัติเหตุในกองถ่าย เลยเก็บตัวอยู่ในบ้าน ผมเพิ่งไปเยี่ยมเค้ามา แค่นี้นะครับ ผมมีประชุม” ติณห์พูดจบก็รีบหันเดินไปที่ลิฟท์
“เอ่อ...เดี๋ยวค่ะคุณติณห์” ส้มจี๊ดเรียก
แต่ติณห์กดลิฟท์ เดินหายเข้าลิฟท์ไปแล้ว
“เป็นไง ได้ยินชัดเต็มรูหูหรือยัง คุณพราวเค้าอยู่ในบ้าน ไม่ได้หายไปซะหน่อย” สุดเขตต์บอก
“แกเชื่อเค้าเหรอ ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเค้าโกหก” ส้มจี๊ดบอก
“ฉันว่าสายข่าววงในของแกน่ะมั่ว” สุดเขตต์ท้วง
“ไม่มั่ว! แกคอยดูก็แล้วกัน ฉันจะทำข่าวนี้ให้ดัง จนคนติดตาม เหมือนดูซีรี่ย์เกาหลีเลยก็แล้วกัน” ส้มจี๊ดยักคิ้วแล้วเดินไป
“ฉันหลวมตัวมารับงานมันได้ไงวะเนี่ย”

สุดเขตต์ยืนส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ แล้วตามไป

อ่านต่อหน้า 4

พราว ตอนที่ 2 (ต่อ)

ตกเย็น พราวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่โฮมสเตย์อย่างสบายใจเฉิบ

“เฮ่อ...เงียบดีจัง! ไม่มีเสียงโทรศัพท์ ไม่มีคำถาม ไม่มีกล้อง ไม่มีแฟลช ฉันจะได้อยู่สงบๆ ที่นี่ ฮิๆ”

อีกด้านหนึ่ง สมชายหิ้วปลาผูกร้อยเชือกที่ปากสามสี่ตัว และคันเบ็ดขึ้นจากเรือมา สมชายหยุดหันมองไปรอบๆ ชักเอะใจที่ไม่เห็นแขกสักคน
“เงียบๆ ว่ะ แขกหายไปไหนหมด” สมชายรีบเดินไป

ขณะนั้น พราวหยิบดอกไม้ที่วางต้อนรับแขกที่เข้ามาพักอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เหน็บดอกไม้ไว้ที่หู เท้าสะเอวมองตัวเองในกระจก พร้อมกับพูดออกมาว่า
“ที่นี่แหละพราว! ที่เธอจะวางแผนอนาคตใหม่ เมื่อออกจากวงการ”
เมื่อพราวเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา ก็พบว่าด้านบนเปิดโล่ง ไม่มีหลังคา กิ๊บเก๋ถูกใจเอามากๆ
“ว้าว! Natural มาก นี่แหละธรรมชาติที่พราวต้องการ” พราวเปิดฝักบัว ยื่นมือข้างหนึ่งไปรอรับน้ำ
“ฮ้า...เย็นชื่นใจ”
พราวตัดสินใจจะอาบน้ำ ถอดนาฬิกาเรือนละล้านวางเอาไว้ แล้วจับรวบผมตัวเองเกล้ามวยขึ้น

ส่วนสมชายหิ้วปลาเข้าห้องครัวมา เจอลุงจ่อย จึงเอ่ยถามขึ้น
“แขกหายไปไหนหมดลุง”
“ย้ายออกไปพักที่อื่นหมดแล้ว” ป่อยตอบ
“หา! ย้ายไปทำไมครับ” สมชายตกใจ
“เอ๊า! ก็มีแขกคนพิเศษมาเหมาโฮมสเตย์เราน่ะสิ”
สมชายแปลกใจไม่หาย “เค้ามากันเยอะเลยเหรอ ทำไมผมไม่เห็นใครซักคน”
“จะเห็นได้ไง ก็เค้ามาคนเดียว”
“หา! จะบ้าเหรอ มาคนเดียวก็พักอยู่ห้องเดียวสิ ทำไมต้องเหมาทั้งหมด”
“ก็นั่นน่ะสิ เห็นคุณอรบอกว่า เค้าต้องการความเป็นส่วนตัว อยากพักอยู่ที่นี่คนเดียวเงียบๆ ถึงขั้นยอมควักการ์ดรูดจ่ายไม่อั้น เพื่อให้คุณอรเชิญแขกคนอื่นย้ายออกไปพักที่อื่นให้หมด”
“แล้วแม่ก็บ้าจี้ ทำตามงั้นเหรอ!” สมชายชักไม่พอใจ
“โอ๊ย รีบกุลีกุจอเลยล่ะ ทั้งคุณอรทั้งคุณนุช รีบโทร.หาโฮมสเตย์อื่นให้ควัก แล้วส่งแขกไปพัก ขนาดยอมควักค่าที่พักฟรีให้ 1 คืน เป็นการขอโทษ สงกะสัยว่าแขกพิเศษคนนี้ จะมีอิทธิพล” ลุงจ่อยทำหน้าตาขึงขัง
“เอ้..ลุงก็ยังไม่รู้ คุณอรไม่ยอมบอก รู้แต่ว่าพักอยู่หลังไหน”
สีหน้าสมชายหมั่นไส้สุดๆ

สมชายมาเคาะประตูบ้านพักเรียก โดยไม่รู้ว่าเป็นห้องพักของซุป’ตาร์คู่ปรับ
“คุณครับ! ออกมาคุยกันหน่อยครับ”
ยังเงียบอีก....สมชายจึงเคาะอีก
“คุณ! ได้ยินผมรึเปล่าครับ คุณ! อยู่ในห้องรึเปล่าครับ”
เงียบ! สมชายตัดสินใจปิดลูกบิดประตู ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อค มือเลยเปิดเข้าไปอย่างไม่ตั้งใจ
“คุณครับ อยู่รึเปล่า!”
พราวกำลังอาบน้ำอย่างเพลิดเพลิน เซ็งทันที เมื่อได้ยินเสียงคนตะโกนถามอยู่ในหน้าบ้านพัก
“ห๊ะ ใครเข้ามาในบ้าน” เธอปิดฝักบัว คว้าผ้าเช็ดตัวมา

สมชายเปิดเข้ามาเลย และกำลังยืนมองข้าวของเครื่องใช้ที่วางอยู่ในห้อง เมื่อเห็นรองเท้า จึงรู้ว่าคนที่มาพักเป็นผู้หญิง
“ผู้หญิงเหรอเนี่ย” สมชายพึมพำ ก่อนจะตัดสินใจหันตัวเดินออกไป
แต่เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกเสียก่อน พราวกระโจมอกโผล่หน้าออกมา เห็นแต่ด้านหลังสมชายกำลังเดินออกไปก็โวยวายใส่
“ใครน่ะ! ถือวิสาสะเข้ามาในบ้านพักฉันได้ไงเนี่ย”
สมชายชะงักเท้าที่กำลังจะเดินออก ค่อยๆ หันมามอง
สมชายกับพราวมองหน้ากัน ต่างคนต่างตกใจ แต่สมชายฉุนกึก ปรี๊ดขึ้นมาก่อน
“คุณเองเหรอ แม่ซุปตาร์!”
พราวจับกระชับผ้าขนหนูที่กระโจมอกอยู่
“ว้าย! นี่ๆ...คุณโผล่มาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย ไสหัวออกไปให้พ้นนะ” พราวโวยวายลั่น
“คุณนั่นแหละต้องออกไป” สมชายด่าไม่ไว้หน้า
“ทุเรศ! อย่างคุณ มีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉันฮะ”
“หึ มีสิทธิ์แน่! ก็โฮมสเตย์นี่เป็นของผม”
พราวไม่เชื่อ “อย่างคุณน่ะเหรอเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ ฮ่ะๆๆ เป็นดารา ถ้าฉันโง่ก็ดังไม่ได้นะ ที่นี่เป็นของคุณอรต่างหาก อย่ามาหลอกฉัน”
“ก็คุณอรนั่นแหละแม่ผม…มาย มาร์เทอร์ ยูโน?”
“ว่าไงนะ!” พราวอ้าปากค้าง
“1...2…” สมชายเริ่มนับ
“ไอ้บ้า! นับอะไรของนาย” พราวงง
“ผมให้เวลาคุณใส่เสื้อผ้า ถ้านับถึง 10 แล้วยังไม่เสร็จ ผมก็จะจับคุณโยนออกไปทั้งกระโจมอกอย่างงั้น ผ้าผ่อนหลุดเป็นเหยื่อนกกาแถวนี้ไม่รู้ด้วย” สมชายพูดอย่างเอาจริง ก่อนจะนับต่อ
“3...4…”
“อ๊าย...ไอ้ทุเรศ..” พราวกรี๊ด แล้วรีบผลุบเข้าห้องน้ำ ปิดประตูแทบไม่ทัน เธอรีบคว้าเสื้อผ้าชุดเดิมมาใส่อย่างลนลาน โดยมีเสียงนับของสมชายคอยกดดันตลอดเวลา
“6...7...8…”
“ว้ายๆ...นับช้าๆ สิ” พราวร้องลั่น
“เก้า........จะสิบแล้วนะ....”
“อ๊าย..” พราวกรี๊ด
“สิบ!”

ขาดคำ สมชายปรี่ไปยืนที่หน้าประตูห้องน้ำทันที

พราวเปิดประตูห้องน้ำออกมายืนจ้องเผชิญหน้าสมชาย ในสภาพใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย

“เฮ่อ...ค่อยยังชั่วหน่อย ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เวลาคุย จะได้ไม่อุจาดตา” สมชายว่า
“ออกไป!” พราวไล่
“โอ้โห นี่กล้าไล่เจ้าของโฮมสเตย์เลยเหรอ” สมชายโมโหจ้องหน้า
“ก็ฉันรูดการ์ด เหมาจ่ายที่นี่ไปแล้วเป็นแสน เป็นเวลา 1 เดือน”
“หา...เดือนนึงเลยเหรอ!”
“ใช่ เพราะฉะนั้น ตอนนี้โฮมสเตย์นี่เป็นพื้นที่ของฉัน เป็นเขตหวงห้ามของพราว คุณออกไป!” พราวชี้นิ้วไล่
สมชายส่ายหน้า “อย่าหวังเลย ว่าผมจะยอมทนเห็นหน้าคุณอยู่ที่โฮมสเตย์ผมเป็นเดือน ผมจะคืนเงินให้คุณทุกบาททุกสตางค์”
“คืน?” พราวงง
“ใช่ ผมไล่คุณออก!”

ไม่นานต่อมา สมชายหิ้วกระเป๋าและลากแขนพราวออกมาจากบ้านพัก
“นี่ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ไป นายไม่มีสิทธิ์มาไล่ฉัน ฉันจ่ายเหมาที่นี่ไปหมดแล้ว”
“ก็บอกแล้วไงว่าจะคืนเงินให้ทั้งหมด ออกไป”
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะอยู่ที่นี่”
“ก็ผมไม่เต็มใจให้คุณอยู่ คุณต้องไป”
“อ๋อ...หรือว่าเงินที่ฉันจ่ายมันน้อยไป ก็ได้...ฉันจะจ่ายเพิ่มให้อีกเท่านึง”
“นี่คิดจะเอาเงินฟาดหัวผมงั้นเหรอ”
“ยังน้อยอีกเหรอ! ท่าทางนายจะหัวแข็งมาก งั้นฉันจ่ายฟาดหัวนายเพิ่มให้อีก 2 เท่า 3 เท่าก็ได้ เอา!”
สมชายชะงัก หยุดลากถูลู่ถูกังพราวแล้วหันมามอง
“ว่าไงนะ”
“ฮ่ะๆๆ ลูกไม้ตื้นๆ จะเพิ่มค่าห้อง โธ่เอ๊ย...ฉันรู้ทันนายหรอกน่า ทำเป็นกร่างใส่ฉัน สงสัยจะติดนิสัยรีดไถล่ะสิ” พราวหัวเราะ เยาะหยัน
สมชายฉุนกึก ยื่นมือจับปากพราวบีบ แล้วทำเป็นยื่นหน้าเข้าไปดม
“อื้อ! ปากคุณนี่เหม็นมากเลยนะ หัดหาอะไรล้างปากเน่าๆซะบ้าง แม่ดาราสวยแต่เปลือก ข้างในแสนจะเฟะ” พราวโกรธจัด เงื้อมือตบหน้าสมชายจนหน้าหัน
“ไอ้เลว” พราวด่าซ้ำ

ขณะนั้นเอง อรชุมา น้องนุช ลุงจ่อยที่กำลังเดินมา เห็นเหตุการณ์ตอนพราวตบหน้าสมชายพอดี ทุกคนอ้าปากค้างอย่างช็อก เพราะรู้นิสัยสมชายดีว่าต้องไม่ยอมแน่
สมชายหันหน้ามามองพราวอย่างโกรธแค้น
“นี่เล่นตบกันเลยเหรอ คงจะถนัดเล่นละครบทตบจูบสิท่า”
“หยุดดูถูกคนอย่างพราวเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นนายจะเจอตบอีกฉาด” พราวพูดพลางเงื้อมืออีกข้างหมายจะตบอีก แต่สมชายคว้ามือไว้
“ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก มานี่เลย จะจัดให้”
สมชายพูดพลางช้อนตัวพราวขึ้นพาดไหล่ พาเดินไป
“ว้าย! จะทำอะไรฉัน ปล่อยนะไอ้เถื่อน...ไอ้คนถ่อย...ไอ้สถุล!”
“ตายแล้ว! ชายๆ...ใจเย็นๆลูก...อย่าทำอะไรเค้านะลูก” อรชุมาร้องห้าม
“นั่น พราว ซุปเปอร์สตาร์เบอร์ 1 ของประเทศเชียวนะพี่ชาย” น้องนุชเสริม
“ตบใครไม่ตบ มาตบสารวัตรมือปราบ แบกเป็นหมูไหว้เจ้าไปเลยเว้ยเฮ้ย” ลุงจ่อยเอ่ยขึ้นขำๆ
“ชาย...ลูก...ชาย...หยุด...เย็นไว้ลูก”
อรชุมา น้องนุช และลุงจ่อยรีบวิ่งตามไป

สมชายเดินแบกพราวมาที่ริมคลองอย่างสุดฉุน พราวทุบหลังสมชายดิ้นโวยวายมาตลอดทาง
“จะพาฉันไปไหน ปล่อยฉันลง ปล่อย!”
“ปล่อยเหรอ ได้!”
สมชายเหวี่ยงร่างพราวที่พาดไหล่ลงมาอยู่ในท่าอุ้มอยู่ด้านหน้า 2 มือ ทำเอาพราวตกใจ 2 แขนโอบคอเกาะสมชายไว้
“โธ่เอ้ย แกล้งขู่ให้ฉันตกใจเล่น นึกว่าฉันจะกลัวนายเหรอ”
“คนอย่างสมชาย ไม่เคยขู่ใครมีแต่ทำจริง”
“ทะ...ทำอะไร” พราวอดกลัวไม่ได้
“มาถึงอิงรักโฮมสเตย์ ไม่ได้เล่นน้ำคลอง ถือว่ามาไม่ถึง!” สมชายทำท่าโยนพราวลงคลอง
อรชุมาที่วิ่งตามหลังมาพร้อมกับน้องนุช และลุงจ่อยพยายามตะโกนห้าม
“อย่าลูก!”
แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ตูม! ร่างของ พราว พิชญาดา ตกลงไปในคลองเต็มๆ พร้อมกับเสียงร้องกรี๊ดของพราวดังโหยหวนไปทั่วคลุ้งน้ำ
“อ๊าย...”
สมชายยืนหัวเราะสะใจ อรชุมา น้องนุช และลุงจ่อยวิ่งเข้ามาหา อรชุมาลมแทบจับ
“ว้ายตายแล้ว....ฉันจะเป็นลม ชายทำไมถึงทำอย่างงั้นลูก”
“โยนซุปเปอร์สตาร์ทิ้งคลอง พี่กล้าทำได้ไงเนี่ย” น้องนุชไม่อยากจะเชื่อ
“ทำไมต้องใช้ความกล้า แค่ใช้ความสะใจก็พอ จริงไหมลุง ฮ่ะๆๆ” สมชายพูดพลางหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
“เอ่อ...ไม่รู้สิครับ” ลุงจ่อยว่า

ทางฝ่ายพราวกระเสือกกระสนตีน้ำอยู่ในคลอง
“ช่วยด้วยๆ...ฉันว่ายน้ำไม่เป็น...ช่วยด้วย!”
“อะไรกั๊น! เป็นดาราว่ายน้ำไม่เป็น เห็นเล่นหนังใส่ทูพีซว่ายน้ำดำน้ำอยู่เลย อย่ามาแอ็คติ้งเล่นละครแถวนี้...ไม่มีกล้อง แล้วก็ไม่มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยด้วย มีแต่นี่ สมชายคนจริง!” สมชายชี้ตัวเอง
“ฉันไม่ได้เล่นละคร ฉันว่ายไม่เป็นจริงๆ ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” ท่าทางพราวอ่อนแรงลงทุกที
“ชาย ท่าทางคุณพราวไม่ได้โกหกหรอกแม่ว่า คงว่ายไม่เป็นจริงๆ ยัยนุชไปสิ ลงไปช่วยพาคุณพราวขึ้นมาที” น้องนุชทำท่าจะลงไปช่วย แต่สมชายยกมือขวางไว้
“เราอย่ายุ่ง! พี่กำลังคิดบัญชีแค้นกับยัยซุปตาร์”
“พี่ไปมีเรื่องแค้นอะไรกับคุณพราวตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” น้องนุชเกาหัวถามอย่างร้อนใจ
“มีก็แล้วกัน” สมชายบอก
“เฮ้ยๆๆ คุณเค้าจมแล้วครับ จมจริงๆ” ลุงจ่อยเอ่ยขึ้น
สมชายมองไปก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าพราวมือไม้หมดแรง ร้องไม่ไหว ตัวอ่อน ตาเริ่มปิด จะเป็นลม
“ว้าย...ลงไปช่วยเร็วลูก...เร็ว!” อรชุมาร้องสุดเสียง
สมชายรีบกระโจนลงคลองทันที โผเข้าไปโอบคว้าตัวพราวไว้ พร้อมกับจับหน้าเขย่าเรียก
“คุณๆ”
พราวยังไม่สลบ พยายามจะร้อง แต่ร้องไม่ออก เพราะกินน้ำเข้าไปเยอะ ทำท่าเหมือนอะไรติดคอหายใจไม่ออก ก่อนจะหมดสติคอพับไปกับอกสมชาย
“ห๊ะ! ยัยบ้าเอ้ย ว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ เหรอเนี่ย”

สมชายบ่นบ้า แล้วรีบว่ายน้ำพาพราวเข้าตลิ่ง

สมชายอุ้มพราวที่เนื้อตัวเปียกโชกขึ้นจากคลองมาวางที่ริมตลิ่ง พยายามปลุกร่างที่แน่นิ่งของพราวเรียกสติ

“คุณ...คุณ!”
อรชุมา น้องนุช กับลุงจ่อยรีบตามลงมาดูอย่างตกอกตกใจ
“ตายแล้วหนูพราว” อรชุมาเห็นสภาพแล้วตกใจมาก
“ไม่ได้นะแม่...ตายไม่ได้ นั่นดาราเบอร์หนึ่งนะ” น้องนุชเอ่ยขึ้น
“ขืนมาซี้แหง๋ที่นี่ มีหวังพวกเราเดือดร้อนแน่ๆ ครับ” ลุงจ่อยว่า
สมชายพยายามปฐมพยาบาลด้วยการกดท้อง จับตัวพราวขึ้นเขย่า จนในที่สุดพราวก็สำลักน้ำพรวดออกมา ฟื้นคืนสติ
“คุณพราวรู้สึกตัวแล้วแม่!” น้องนุชดีใจมาก
สมชายนั่งลูบหน้า ถอนใจโล่งอก ปล่อยให้อรชุมากับน้องนุชเข้าไปช่วยลูบหลังพราว
“คุณพราว เป็นยังไงบ้างหนู ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ลูกชายฉันเล่นกับหนูแรงไปหน่อย”
“เล่นเหรอ! จับฉันโยนน้ำเกือบตายเนี่ยนะ” พราวฉุนขาด
“ผมจะรู้ไหมว่าคุณว่ายน้ำไม่เป็น” สมชายเถียงข้างๆคูๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตัวเองผิด
พราวแว้ดใส่ “ก็ฉันตะโกนคอแทบแตก ว่าว่ายไม่เป็นๆ”
“เอ๊ะ...ก็บอกว่าผมไม่รู้” สมชายแถ
“ไปแก้ตัวกับตำรวจเอาเองก็แล้วกัน ฉันจะไปแจ้งความเอานายเข้าคุก” พราวเอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียว แต่พอจะลุกเดินไป ขาก็อ่อนแรงร่วงลงอีก
“ว้าย...หนูพราว! นั่งอยู่ทำไมชาย รีบอุ้มคุณพราวไปนอนพักที่ห้องสิ เร็วสิ!” อรชุมารีบสั่งลูกชาย
สมชายเข้ามาช้อนตัวพราวอุ้มขึ้น พราวโวยวายไม่ยอม
“ไม่ต้องมาอุ้มฉัน...เอามือออกไป!”
“อยู่นิ่งๆ ได้ไหม นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นตัว เดี๋ยวได้ร่วงลงไปคอหักหรอก”
พราวอยากจะด่า แต่พูดไม่ออก หมดแรง รู้สึกมึนหัวหน้ามืดไปหมด ปล่อยให้สมชายอุ้มเดินไป โดยมีอรชุมา น้องนุช และลุงจ่อยรีบเดินตาม

สมชายวางร่างพราวลงนอนบนเตียงในห้องพัก มองสภาพพราวที่เริ่มหนาวสั่น ชักใจคอไม่ดี
“เอ่อ...คุณไหวรึปล่าวเนี่ย” สมชายถาม
“ไปให้พ้น” พราวไล่ตะเพิดทันที
“นี่...ผมถามดีๆ นะ”
“ไป!” พราวย้ำ
อรชุมากับน้องนุชตามเข้ามาพอดี
“หลีกๆ ไปชาย...เดี๋ยวแม่จัดการเอง” อรชุมาบอก
สมชายถอยห่างออกมาจากเตียง ยืนเก้ๆ กังๆ มองพราว ขณะที่ผู้เป็นแม่และน้องสาวรีบไปคว้าผ้าเช็ดตัว เสื้อคลุมออกมาจากตู้มาช่วยกันเช็ด
“เช็ดตัวก่อนนะคะคุณพราว” น้องนุชว่า
“ถอดเสื้อผ้าเปียกๆ ออกด้วยนะคะ”
อรชุมาพูดพลางแกะกระดุมเสื้อพราว สมชายที่มองอยู่ตกใจตาโต หลบตาไม่กล้ามอง อรชุมานึกขึ้นได้ หันมาไล่ลูกชาย
“อ้าว ยืนอยู่ทำไมลูก ออกไปก่อนไป แม่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณพราว”
“ออกไป๊!” พราวแผดเสียงลั่นห้อง
สมชายฉุนกึกที่ถูกพราวไล่ หุนหันเดินออกจากห้องไป

สมชายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว เดินเช็ดผมลงบันได มาหยุดยืนชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง เดินไปเดินมาอย่างไม่เป็นสุข คิดห่วงพราวอยู่ในใจเงียบๆ แต่อีกใจหนึ่งก็ยังไม่พอใจพราวที่เอาเงินมาปิดโฮมสเตย์พักคนเดียว เลยพาลทำให้อารมณ์เสียหงุดหงิดขึ้นอีก
เสียงประตูบ้านเปิด สมชายหันไปมอง เห็นแม่เดินเข้ามากับน้องสาว
“เป็นไงแม่ แม่ดาราดัง ร้องห่มร้องไห้เก็บข้าวของออกจากโฮมสเตย์เราไปหรือยัง” สมชายปากดี หาสำนึกไม่
“เราทำเกินไปแล้วนะชาย! โยนเค้าตกน้ำตกท่าเกือบจมน้ำตาย ยังจะใจดำไล่เค้าออกไปอีกเหรอ” อรชุมาตำหนิลูกชายเสียงขุ่น
“ใช่ นุชไม่คิดเลยว่าพี่จะโหดกับผู้หญิงขนาดนี้ มิน่า ถึงขึ้นคานอยู่อย่างงี้” น้องนุชค้อนพี่ชายตาคว่ำ
“หึ ถ้าโลกนี้มีแต่ผู้หญิงอย่างยัยพราว ฉันก็ยอมเก็บความโสดเกาะคานไปจนตาย” สมชายว่า
“แม่ไม่รู้ว่าลูกกับคุณพราวเคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อน ถึงได้เจ็บแค้นเค้านักหนา”
“ได้ ถ้าแม่อยากรู้เหรอ ผมจะเล่า..”
สมชายกำลังจะเล่า แต่อรชุมาสวนขึ้นเสียก่อน
“แม่ยังไม่อยากฟัง! ตอนนี้ที่ลูกควรจะทำ คือไปดูแลคุณพราวเป็นการไถ่โทษไม่เค้าเอาผิดลูก”
สมชายอ้าปากค้าง “แม่จะให้ผมเนี่ยนะไปดูแลแม่ดารานั่น” ก่อนจะส่ายหน้าดิก “ไม่มีทาง!”
“แต่ลูกต้องทำ ถ้ายังเห็นแก่หน้าแม่” อรชุมาบอกด้วยสีหน้าเอาจริง
“แม่!” สมชายอยากจะเถียง แต่เถียงไม่ออก
“พี่รู้ปะ คุณพราวจะไปแจ้งตำรวจจับพี่ท่าเดียว แม่ต้องหว่านล้อม ขอร้องขอโทษขอโพยอยู่ตั้งนาน คุณพราวถึงยอมใจอ่อน ไม่เอาเรื่องพี่” น้องนุชตำหนิพี่ชาย
“แล้วแม่ไปขอร้องเค้าทำไมเนี่ย” สมชายโวย
“ก็เพราะลูกทำอะไรไม่คิดไง แม่ถึงต้องเดือดร้อน! คิดบ้างไหม เกิดคุณพราวเป็นอะไรขึ้นมาในโฮมสเตย์ ครอบครัวของเราจะเป็นยังไง จะเดือดร้อนแค่ไหน โฮมสเตย์ของเราอาจจะไม่มีใครกล้ามาพักอีกเลย”
โดนแม่ต่อว่า สมชายนิ่งงันไป มองหน้าอรชุมาอย่างเสียใจ
“เอ่อ...ผมขอโทษครับแม่”
“คนที่ลูกขอโทษคือคุณพราว ไม่ใช่แม่” อรชุมาพูดแบบนิ่มนวล แต่สายตาเต็มไปด้วยการขอร้อง
สมชายถอนใจ เดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ น้องนุชมองตามอย่างสงสัย
“อยากรู้จริงๆ แม่ พี่ชายกับคุณพราวเค้ากินเกาเหลาเรื่องอะไรกัน”

สมชายเดินเซ็งๆ มาที่หน้าบ้านพักพราว หยุดยืนอยู่หน้าบ้านทำใจชั่วครู่ก่อนจะเคาะประตู
“คุณ! นี่ผมเอง ขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ สมชายเคาะอีก
“คุณ! ขอคุยด้วยเดี๋ยว ผมไม่กวนคุณนานหรอก ออกมาคุยกันซิ”
เงียบอีก...สมชายเริ่มเซ็ง
“นึกว่าง้อเหรอ!” สมชายหันหลัง จะเดินกลับเพราะไม่อยากง้อแล้ว
เพล้ง! เสียงดังออกมาจากในห้อง ทำเอาสมชายตกใจ หยุดหันกลับมาเคาะประตูอีกครั้ง
“คุณ...เสียงอะไรน่ะ...เป็นอะไรรึเปล่า...คุณ!”
เห็นพราวไม่ตอบ สมชายร้อนใจเลยเปิดประตูผัวะเข้าไป ก็เห็นแจกันใส่ดอกไม้ที่วางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงตกลงมาแตก พร้อมกับร่างพราวที่ทรุดอยู่ข้างเตียง สมชายรีบถลาเข้าไปประคองพราว แล้วพบว่าตัวของเธอสั่นเทาไปหมด
“ทำไมตัวสั่นยังงี้ เป็นอะไรคุณ...ไม่สบายเหรอ” สมชายจับที่หน้าผากพราว “ตัวร้อนจี๋เลย”
“ก็เพราะคุณ โยนฉันลงคลอง ฉันแพ้น้ำคลองรู้ไหม” พราวตีสมชายด้วยมือไม้ที่อ่อนแรง
สมชายจับแขนพราวดู พบว่ามีผื่นแดงขึ้นเต็มไปหมด รวมทั้งที่คอ และหน้าพราวก็เริ่มมีผื่นขึ้น
“ห๊ะ ผื่นแดงขึ้นเต็มไปหมดเลย” สมชายบอก
พราวยกแขนตัวเองดู...เพิ่งสังเกตเห็น เธอตกใจมาก
“ห๊ะ! ทำไมขึ้นเยอะขนาดนี้ ทำไงดี”
“รีบไปเร็ว” สมชายบอก
“จะพาฉันไปไหนอีก” พราวร้องถามหน้าตาตื่น
“ก็พาไปหาหมอน่ะสิ เร็ว เดินไหวไหม ลุก” สมชายประคองพราวเดินออกไป

สมชายรีบขับรถพาพราวไปหาหมอ ระหว่างทางเขาหันไปมองพราวที่นั่งเอนพิงเบาะ พบว่าเธอยกแขนกอดตัวเองหนาวสั่น
“โรงพยาบาลอยู่แค่นี้เอง เดี๋ยวก็ถึง”
“ทำไมอากาศหนาวอย่างงี้ ตาฉันลืมไม่ขึ้นเลยง่ะ รู้สึกหนังตาหนักไปหมด”
“ลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องไปฝืน หลับไปเลย เดี๋ยวถึงแล้วผมจะปลุกเอง”
พราวทำตามที่สมชายบอก แล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยสภาพถนนที่เป็นดินลูกรังขรุขระ ทำให้รถโคลงไปมา พราวที่หลับอยู่เลยเอนมาหาสมชาย ทำเอาเขาสะดุ้ง หันมามองหัวพราวที่อิงอยู่กับไหล่ของตัวเอง ใช้นิ้วจิ้มหัวพราวดันออกไปจากไหล่กลับไปนอนที่เบาะตัวเอง แต่ตัวพราวก็เอนมาหาอีก คราวนี้จะคะมำร่วงไปข้างหน้าตามแรงโคลงของรถ
“เฮ้ย!” สมชายตกใจรีบตวัดแขนข้างซ้ายโอบไหล่พราวไว้ แล้วก็จำต้องดึงมาให้ให้หลับพิงไหล่เขาไว้

สมชายมองหน้าพราวแล้วถอนใจ ส่ายหน้า พลางคิดทำไมดวงต้องมายุ่งกับแม่ดาราซุป’ตาร์คนนี้ตลอดๆ

ทางด้านแฟรงค์กับเอมี่ออกตามหาพราวตามที่ต่างๆ ที่พราวชอบไป แฟรงค์หิ้วกระเป๋าใบเป็นล้านเดินหน้าตื่นเข้ามากับเอมี่ มองหาพราวในผับหรูบนดาดฟ้าโรงแรมที่เธอชอบมานั่งดื่มด่ำบรรยากาศ แต่ไม่มีแม้เงา

พอสอบถามพนักงานก็บอกไม่เห็น ทั้งสองเก็บอาการกังวลเอาไว้แล้วรีบออกไป ก่อนจะเดินเข้ามาถามหาพราวที่เคาน์เตอร์ต้อนรับของสปาหรูแห่งหนึ่งไม่นานต่อมา แต่ผลก็ออกมาดังเดิม พนักงานสปาส่ายหน้าเป็นคำตอบ

ทั้งสองตระเวนไปทั่วทุกหนแห่งที่คิดว่า พราวจะไป แต่ทุกที่ไม่มีแม้เงาซุป’ตาร์สาว สีหน้าของแฟรงค์แสนเหนื่อยล้า รู้สึกเครียดขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อตกจนต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าหลุยส์ขึ้นมาซับ

ต่อมาไม่นาน แฟรงค์กับเอมี่เดินร้อนใจคุยกันออกมา หน้าอาคารคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาของพราว
“ดูดิ คอนโดของตัวเองหรูขนาดนี้ ก็ไม่มาอยู่ ซื้อไว้ขังยุงหรือไงก็ไม่รู้ ไปอยู่ไหนนะพราว อีแฟรงค์จะหูเน่าอยู่แล้วเนี่ยะ มีแต่งานโทร.มาจิกๆ” แฟรงค์บ่นระบาย
“อะไรเลื่อนได้ ก็เลื่อนไปก่อนสิพี่” เอมี่บอก
“มันก็ต้องอย่างงั้นอยู่แล้วย่ะ แต่หล่อนคิดว่าเค้าจะยอมให้เลื่อนทุกงานเหรอยะ อย่างงานอีเวนท์เป็นสิบๆ งานที่ฉันรับปากเค้าไว้ ถ้าพราวไม่ไปเค้าตามฆ่าล่าเผ่าพันธุ์ฉันแน่ ไม่มีพราว งานกร่อย เค้าก็เจ๊ง”
“งานอีเว้นท์ไม่เท่าไหร่ แต่งานมีตติ้งแฟนคลับวันมะรืนนี่น่ะสิเจ๊ ถ้าพราวไม่ไป ฉาวโฉ่แน่ เพราะเค้าขายบัตรกันไปหมดแล้ว” เอมี่บอกหน้าเครียดจัด
แฟรงค์ลืมเรื่องนี้สนิท เพิ่งนึกได้ ยก 2 มือจับแก้มตกใจแทบช็อก
“อ๊าย! จริงด้วย อีก 2 วัน ฉันจะตามหาตัวพราวเจอไหมแก”
เอมี่เข้ามายื่นหน้ามองจ้องแฟรงค์ใกล้ๆ ทำเอาแฟรงค์งง
“อะไร๊! นี่หน้าคนนะ ไม่ใช่คางคก มาส่องหาตัวเลขหรือไง”
“ฉันส่องดูโหงวเฮ้งเจ๊น่ะ”
“ปีนี้ฉันจะรวย?” แฟรงค์โพล่งขึ้น
เอมี่ส่ายหัว “เจ๊จะลำบาก เพราะไม่มีพราวส่งไปให้แฟนคลับกระทบไหล่ในงานมีตแอนด์กรี๊ดแฟนคลับแน่”
“ฉันขอกรี๊ดก่อนได้มั้ย..อ๊าย” แฟรงค์กรี๊ดก่อนจะยกมือประสาน แหงนหน้ามองฟ้า แล้วเอ่ยว่า
“ดาวแม่! ส่งลูกมาจุติบนโลกมนุษย์ แล้วทำไมต้องให้ลูกเจอปัญหาแบบนี้ด้วย ดาวแม่ต้องช่วยลูกนะ...ส่งใครก็ได้มาช่วยลูกที ดาวแม่ได้โปรดเห็นใจ ช่วยลูกที” แฟรงค์ครวญคร่ำ
เอมี่เห็นใจ ทำได้แต่ส่ายหน้า
“ไปเถอะเจ๊ ฉันว่าเจ๊กลับไปพักผ่อนเถอะ ตามหาพราวมาทั้งวัน เจ๊คงจะเครียดจนเพี้ยนไปแล้ว”
“แล้วหล่อนคิดว่าฉันจะนอนหลับเหรอฮะ ถ้ายังหาพราวไม่เจอ เออะ!” แฟรงค์ต้องชะงักตาค้าง เมื่อมองไปที่ริมแม่น้ำตรงหน้า เห็นด้านหลังผู้หญิงคนหนึ่งยืนโงนเงนอยู่ริมน้ำในท่าเหมือนจะกระโดดน้ำ
“อ๊ายๆ...ยัยนั่นจะทำอะไร” แฟรงค์หน้าตื่น
“ใครอ่ะ” พอเอมี่หันไปมอง ก็เห็นร่างผู้หญิงคนนั้นร่วงตกลงไปในแม่น้ำต่อหน้าต่อมา ทำเอาทั้ง 2 ร้องกรี๊ด พร้อมกับวิ่งไปดูทันที
“ว้าย! ตายแล้ว ชะนีกระโดดน้ำตาย ช่วยด้วยๆ” แฟรงค์แหกปากร้อง
“ช่วยด้วยค่ะ คนโดดน้ำตาย” เอมี่ร้องตาม
คนแถวนั้นรีบวิ่งกรูไปดูทันที มีผู้ชายสองสามคนกระโดดลงไปช่วย เมื่อแฟรงค์กับเอมี่วิ่งไปถึงก็เห็นผู้คนกำลังยืนมอง ส่งเสียงเอาใจช่วยเป็นที่ชุลมุน

ในที่สุด ชาย 2 คนก็ช่วยกันพาร่างหญิงสาวขึ้นจากน้ำได้ท่ามกลางไทยมุง ผมเปียกน้ำที่ยาวปิดบังหน้าสาวน้อยคนนั้นอยู่ทำให้ไม่เห็นหน้าตา
“ขอทางหน่อยฮ่ะๆ เป็นไงบ้าง ตายหรือเปล่า”
แฟรงค์กับเอมี่แหวกไทยมุงเข้ามาดู
“ยังครับ ยังหายใจอยู่ แต่ไม่รู้สึกตัวเลย” พลเมืองดีบอก
“งั้นรีบพาส่งโรงพยาบาลสิ เดี๋ยวฉันออกค่ารักษาให้เอง” แฟรงค์บอก
แล้วเอมี่ก็เห็นหน้าสาวน้อยชัดๆ เป็นคนแรก
“พี่แฟรงค์...ดูนั่น!”
“ห๊ะ”
แฟรงค์กับเอมี่ถึงกับอึ้ง ตะลึงงันเมื่อมองไปที่สาวน้อยตกน้ำ แล้วพบว่าหน้าตาเหมือนพราวยังกับเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่มีปานแดงที่ใบหน้าเท่านั้น

อีกฟากหนึ่ง หมอแหวกม่านกั้นเตียงเปิดออก เห็นพราวนอนอยู่บนเตียงตรวจ
“แน่ใจนะครับ ว่าจะไม่นอนพักที่โรงพยาบาลสักคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับ” หมอถามย้ำ
“ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่ชอบนอนโรงพยาบาล” พราวพูดพลางมองข้ามไหล่หมอไป เห็นสมชายยืนมองอยู่
สมชายเห็นพราวมองมาก็ทำเมินๆ ไม่อยากแสดงให้เห็นว่าห่วง
“งั้นหมอให้พยาบาลฉีดยาสักเข็ม แล้วกลับไปพักผ่อนที่บ้านนะครับ หมอจะสั่งยาแก้ไข้แก้แพ้ไปให้ด้วย กินตามที่หมอสั่ง เดี๋ยวอาการผื่นแพ้จะค่อยๆ หายไปเอง”
“ขอบคุณค่ะหมอ”
หมอหันเดินออก พยาบาลถือถาดวางเข็มฉีดยาเข้ามา
“เอ่อ...เดี๋ยวค่ะหมอ เรื่องที่พราวมาโรงพยาบาล เอ่อ…”
หมอยิ้มให้พูดบอกทันที “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ทางโรงพยาบาลจะเก็บเรื่องคนไข้เป็นความลับ”
“ขอบคุณค่ะ”
หมอเดินออกไป พยาบาลปิดผ้าม่านเพื่อฉีดยาพราว
สมชายยืนกอดอกมองไปที่ผ้าม่านที่ปิดอยู่ ด้วยสีหน้าสงสัย ต่อการมาของพราวที่อัมพวาเพียงลำพัง

กลางดึกคืนนั้น สมชายกับพราวมานั่งรอรับยาอยู่เคียงข้างกัน ต่างคนต่างเงียบ วางฟอร์มไม่อยากจะคุยกัน พราวทั้งป่วยทั้งเพลีย และด้วยฤทธิ์ยาที่หมอฉีดไป ทำให้พราวรู้สึกง่วงมาก นั่งหลับคอตก สมชายเหล่มอง เห็นพราวหลับตัวเอนไปเอนมา แล้วอยู่ๆ พราวก็เอนตัวมาพิงไหล่เขาหลับผล็อย สมชายทำตาปะหลับปะเหลือกอย่างเซ็งๆ
“คุณพราว...รับยาด้วยค่ะ!” เสียงแผนกรับยาดังมา
สมชายลุกพรวดไปอย่างจงใจ ทำให้ร่างพราวร่วงลงข้างเก้าอี้ พราวสะดุ้งตื่นอย่างงงๆ เมื่อมองไปก็เห็นสมชายยืนรับยาอยู่ และแอบยิ้มอย่างสะใจ
“เท่าไหร่ครับ” สมชายจ่ายเงินค่ารักษา
เมื่อหันมามองอีกทีก็พบว่าพราวนอนหลับขดตัวอยู่กับเก้าอี้ไปแล้ว
“อ้าว..” สมชายมองพิศเพลิน พราวยามนี้ดูไม่มีพิษสงอะไรเลย

สองวันต่อมา งานมีตแอนด์กรี๊ดของพราวก็เริ่มต้นขึ้น มีเหล่าแฟนคลับมากันเป็นแก๊ง มีทั้งป้ายไฟ ป้ายเชียร์ รูปพราว เสื้อผ้าหน้าผมพร้อม และกำลังลงทะเบียนแน่นหน้างานไปหมด นักข่าวทุกสำนักต่างพากันมาทำข่าว แฟนคลับกลุ่ม Power Proud กำลังวาดลวดลาย
“เชียร์ใคร” ม็อดดี้นำทีม
“เชียร์พราว!” ติ๊บ หงอย และตั้ม ประสานเสียง
“รักใคร”
“รักพราว!”
“พวกเรา Power Proud รักนะตะเอง....จุ๊บจุ๊บ!”
สุดเขตต์กำลังกดชัตเตอร์รัวถ่ายรูปอยู่ ส้มจี๊ดยืนชะเง้อมองหาอย่างร้อนใจ
“แซบแน่ๆ วันนี้...อยากรู้นัก ยัยแฟรงค์จะเอายัยพราวที่ไหนมาเจอหน้าแฟนคลับ” ส้มจี๊ดเยาะ
“แกลองใช้สมองคิดดิไอ้ส้ม ถ้าคุณพราวหายตัวไปจริงๆ เค้าคงเลื่อนงานวันนี้ ออกไปแล้ว จะจัดทำไมวะ” สุดเขตต์ว่า
“ฉันว่ามันต้องมีอะไรในงานแน่ๆ แกคอยถ่ายรูปไว้ให้ดีก็แล้วกัน เผลอๆยัยแฟรงค์อาจจะออกมาบีบน้ำตาประกาศในงานว่า ยัยพราวไม่สบายมาไม่ได้ ขอโทษขอโพย เรียกร้องขอความเห็นใจจากแฟนคลับ ฮ่ะๆ หน้าแหกแน่งานนี้” ส้มจี๊ดพูด
“ระวัง แกนั่นแหละจะหน้าแหกซะเอง” สุดเขตต์เบิ๊ดท้ายทอยส้มจี๊ดเบาๆ แล้วเดินไปถ่ายรูปที่อื่น
“โอ๊ย...ไอ้นี่!” ส้มจี๊ดร้อง

ตอนนั้นเอง ประเสริฐปรากฏตัวขึ้นที่ประตูโรงแรม หนุ่มโรคจิตเดินเข้ามาในโรงแรม โดยเสื้อผ้ากางเกง และหมวกที่ใส่เต็มไปด้วยรูปของพราวที่เขาทำมาเอง พร้อมป้ายที่มีรูปพราวและข้อความ “พราว...นางฟ้าของผม”
ประเสริฐพาท่าทางนิ่งๆ เดินผ่านสุดเขตต์มารวมตัวที่กลุ่มแฟนคลับ และเริ่มทำท่าทำท่ากรี๊ด ร้องเชียร์พราวตามกลุ่มแฟนคลับราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ พร้อมกับยกมือถือตัวเอง ไปถ่ายรูปเซลฟี่กอดกับรูปคัทเอาท์พราว แชะ!

เสียงร้องเรียกหาพราวดังขึ้นระงมห้องจัดเลี้ยง
“แกดับแน่คราวนี้...ยัยพราว!” ส้มจี๊ดยิ้มสะใจ
และแล้วเสียงแฟรงค์ก็ดังก้องขึ้น
“เลดี้แอนด์เจนเทิลแมน!”
เหล่าแฟนคลับพากันกรี๊ดยาวไม่รู้เหนื่อย แสงไฟสปอตไลท์สว่างขึ้นที่ข้างเวที...พร้อมกับแฟรงค์ในชุดสุดเริดแต่งหน้าติดกากเพชรเดินถือไมค์ออกมายิงมุกตลก
“ขอประทานโทษที่ปล่อยให้รอนาน แบบว่า...เสื้อผ้าหน้าผมยังไม่พร้อม”
เสียงแฟนคลับกรี๊ดขานรับ แฟรงค์เดินมาถึงหน้าเวที แล้วก็ยกมือไหว้ถอดสายบัว
“ก่อนอื่น...ขอกราบสวัสดีแฟนคลับของพราวทุกท่าน ที่พร้อมใจมางาน มีตแอนด์กรี๊ดในวันนี้...เวลคั่มเอฟวี่บอดี้!” แฟรงค์พูดบิ้วท์ พร้อมกับผายมือขึ้นเหนือหัว มีเอฟเฟ็คท์ยิงกระดาษเพชรแสงสีระยิบระยับ ทุกคนพากันกรี๊ด
“เอ่อ...ทุกคนในห้องนี้ และอีกหลายล้านคนที่ไม่สามารถมาได้ ตั้งใจว่าจะมีโอกาสได้พบกับพราวในวันนี้ แต่ว่า…”
แฟรงค์ทอดเสียงเศร้า ทุกคนในห้องเงียบกริบ ส้มจี๊ดยิ้มด้วยความสะใจ
สุดเขตต์ลดกล้องในมือที่กำลังถ่ายรูปแฟรงค์ลง...สีหน้าลุ้นระทึก
“พราว...เอ่อ...พราว...พราวหายตัวไป!” แฟรงค์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เสียงแฟนคลับฮือฮาขึ้นมาทันที ประเสริฐมีสีหน้าไม่พอใจเห็นถนัด หนุ่มโรคจิตรู้สึกผิดหวัง
ส้มจี๊ดตบมือผาง
“นั่นไง! เห็นไหม ยัยนี่มันหลอกให้มาดูแฟรงค์โชว์ของตัวเอง”
ตอนนั้นเองที่เอมี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาบนเวที ติดไมค์ไร้สาย พูดเสียงระล่ำระลัก
“พี่แฟรงค์...พี่แฟรงค์ ฉัน...เจอพราวแล้ว!”
“ห๊ะ ถามจริง! พราวอยู่ที่ไหน?” แฟรงค์ใส่แอ็คติ้งเสียงสั่น
“พราวอยู่นี่” เสียงพราวดังขึ้น พร้อมกับผ้าม่านบนเวทีเปิดออก
แลเห็นมีนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้า หน้า ผม แบบเดียวกับพราวเป๊ะ เธอช่างดูเหมือนพราวราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน
มีนในคราบพราวเดินโบกมือออกมา ใบหน้ายิ้มแย้ม
สุดเขตต์อึ้ง เขามองราวกับต้องมนต์สะกด ขณะที่ส้มจี๊ดอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อ ประเสริฐอ้าปากค้างมองพราวอย่างหลงใหลด้วยสายตาเพ้อโรคจิต ส่วนแฟรงค์กับเอมี่เหลือบมามองหน้ากัน จับมือกันอย่างโล่งอก
มีนถูกนักข่าวและแฟนคลับกระหน่ำถ่ายรูป เห็นแสงแฟลชระยิบระยับที่ตัวมีนเป็นประกายเต็มไปหมด

รอยยิ้มที่มีนส่งมาให้ทุกคนในวินาทีนั้นมันช่างอ่อนหวาน และดูจริงใจมากกว่า พราว พิชญาดา ตัวจริงหลายเท่านัก

อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น