xs
xsm
sm
md
lg

ภพรัก ตอนที่ 12 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภพรัก ตอนที่ 12 อวสาน

ยายนวลหยิบกล่องใส่แหวนส่งให้เหยี่ยว

“เอ้านี่ แหวนหมั้นของสกุณาแม่เอ็ง สวมให้หนูแนนซะสิ”
เหยี่ยวกับน้ำรินนิ่งอึ้ง ขณะที่แนนยื่นมือซ้ายมาให้เหยี่ยว ท่าทางเขินๆ เหยี่ยวจำใจหยิบแหวนจากกล่อง แนนเห็นด้ายแดงที่นิ้วก้อยมือซ้าย
“ด้ายอะไร เราเอาออกให้นะ”
ขาดคำ ก็ดึงด้ายแดงออกจากนิ้ว เหยี่ยวอ้าปากค้าง ไม่รู้จะห้ามยังไง น้ำรินเจ็บปวดใจ น้ำตาคลอเบ้า
เหยี่ยวจำใจสวมแหวนให้แนน ยายนวลยิ้มอย่างมีความสุข
น้ำรินลุกขึ้น แล้วรีบออกไปจากศาลา เหยี่ยวหันมาเห็นน้ำรินวิ่งออกไป ก็รีบลุกตามไป
แนนหน้าซีด ทุกคนเงียบกริบ

น้ำรินเดินซึม เช็ดน้ำตาออกมาจากในบ้าน พอเหยี่ยววิ่งตามออกมา เธอก็ฝืนปาดน้ำตา แล้วหันไปปั้นหน้ายิ้มกับเหยี่ยวทั้งที่หัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณกับหมวดแนนเหมาะสมกันมาก ขอให้มีความสุขนะคะ”
“คุณก็รู้ว่าผมทำเพื่อความสบายใจของยาย ผมไม่รู้สึกอะไรกับเค้า”
น้ำรินฝืนยิ้ม “แต่เค้าเป็นตัวจริงของคุณ ฉันต่างหากที่ไม่มีอยู่จริง ซักวันฉันอาจจะหายไปจากโลกนี้”
“อย่าพูดอย่างงั้น อีกไม่นาน ผมก็จะหาร่างของคุณเจอแล้วคุณก็จะกลับมามีชีวิตเหมือนคนอื่นๆ”
น้ำรินยิ้มเศร้า “เจอแล้วยังไงคะ คุณมีคู่หมั้นของคุณ ฉันก็มีคู่หมั้นของฉัน ถ้าฉันโชคดีมีวันนั้นจริงๆ ฉันก็ต้องกลับไปหาเค้า”
เหยี่ยวรู้สึกเหมือนโดนของมีคมบาดเข้ากลางใจ พอน้ำรินหันหลังจะเดินจากไป เขาก็รีบรั้งมือไว้ไม่ยอมให้หนีไปอีก แต่มือของเหยี่ยวผ่านมือของน้ำรินไปเฉยๆ
“ฉันจะไม่หนีคุณไปไหน แต่ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันหน้าเราก็ต้องจากกัน เรื่องราวระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ คุณกับฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกัน”
น้ำรินกับเหยี่ยวมองตากันด้วยความเศร้า ปวดร้าวใจทั้งสองฝ่าย
“เหยี่ยว ทำอะไรอยู่”
เหยี่ยวและน้ำรินหันไปมอง ก็เห็นแนนเดินตามมาหา
“ยายให้มาตามไปช่วยประเคนอาหารให้หลวงตาแน่ะ ถึงเวลาแล้ว”
คำว่า “ถึงเวลาแล้ว” ทำให้เหยี่ยวและน้ำรินยิ่งใจหาย เมื่อเห็นชัดว่าเส้นทางของทั้งสองถึงเวลาต้องแยกออกจากกัน น้ำรินกลั้นน้ำตา ฝืนพูดอย่างเข้มแข็ง
“ไปเถอะค่ะ อย่าให้คนของคุณต้องรอนานเลย”
เหยี่ยวละล้าละลัง แต่ในที่สุดก็จำใจต้องเดินกลับไปหาแนน น้ำรินมองตามภาพบาดตาบาดใจ น้ำตาร่วงพรูอย่างกลั้นไม่อยู่
เหยี่ยวเองก็ขมขื่นใจไม่แพ้กัน แต่พอหันกลับมามองน้ำรินด้วยความเป็นห่วง เธอก็หายไปแล้ว

“อาไม่อนุมัติให้เปิดศูนย์ความบันเทิงครบวงจรที่สมุย”
ธาราที่นั่งบนรถเข็น ยื่นคำขาดต่อหน้าภพธรและนับดาว
“แต่ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว มิสเตอร์หลิวที่ร่วมลงทุนก็อยากให้เปิดเร็วที่สุด”
“การทำธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่ใช่ฉกฉวยเอาแต่ได้ จนไม่เห็นความเดือดร้อนของชุมชนรอบข้าง”
ธาราเลื่อนรถเข็นออกไปอีกทาง ภพธรกับนับดาวมองตามด้วยสายตาเกลียดชังและเคียดแค้น

ภพธรกับนับดาวออกจากบ้าน อย่างเคร่งเครียด
“ทุกอย่างเสร็จหมดแล้วแต่ไม่ยอมให้เปิด หรือมันรู้ว่าเรากับมิสเตอร์หลิวแอบซ่อนคาสิโนเถื่อนไว้ค้ายากับผู้หญิงที่นั่น”
“ไม่มีทาง มันไม่สนใจโครงการนี้มาตั้งแต่ต้น”
ภพธรมองไปที่เก้าอี้นั่งที่อยู่ริมทางเดิน ภาพในอดีตปรากฏขึ้นตามความทรงจำ
ภพธรเห็นภาพตัวเองถือแฟ้มโครงการออกมาจากบ้าน หน้าเครียด น้ำรินที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ข้างทางเดินรีบผุดลุกขึ้นมาหา
“คุณแม่ไม่อนุมัติโครงการเหรอคะ”
ภพธรแสร้งถอนหายใจ “ ติดขัดเรื่องเงินลงทุนนิดหน่อย คุณอาไม่ยอมอนุมัติตามที่พี่ขอ ลดค่าใช้จ่ายลงเกือบครึ่ง คุณอาไม่เข้าใจเรื่อง “ศูนย์บันเทิงครบวงจร” แต่พี่มั่นใจว่ามันเป็นโครงการที่ดีแน่ๆ”
น้ำรินหยุดคิด แล้วตัดสินใจ
“น้ำเชื่อพี่ธรค่ะ ถ้าคุณแม่ไม่ให้ น้ำให้เองค่ะ น้ำมีเงินมรดกของคุณพ่อ น้ำยกให้พี่ธรเอาไปทำอะไรก็ได้เพื่ออนาคตของเรา”
“ขอบคุณน้องน้ำที่เชื่อพี่ พี่จะไม่ทำให้น้ำผิดหวัง”
ภพธรโอบน้ำริน แล้วเปลี่ยนจากรอยยิ้มใจดีเป็นเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ

“เงินก้อนนั้นของน้ำรินจะสร้างแต่บาปกรรมชั่วช้าให้นังธารา มันต้องตกนรกไม่ต้องผุดต้องเกิด ยังไงซะโครงการที่สมุยก็ต้องเกิด”
ภพธรยิ้มเหี้ยม
“ดาวจะคอนเฟิร์มนัดกับมิสเตอร์หลิวตามกำหนดเดิม เพื่อคุยรายละเอียดนะคะ”
ภพธรกับนับดาวยิ้มอย่างมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง

แนนเดินตามหลังเหยี่ยวเข้ามาในสำนักงานสืบฯ
“โกรธเรารึเปล่าที่ไม่ได้บอกเรื่องงานหมั้น เราไม่าขัดใจยายนวล”
“ไม่เป็นไร เพื่อความสบายใจของแนนกับยาย เรายินดีทำทุกอย่าง”
เหยี่ยวยิ้มให้ แล้วเดินต่อไปที่ห้องทำงานของหน่วยสืบฯ แนนมองตาม รู้สึกได้ถึงความผิดปกติในอารมณ์ของเหยี่ยว

น้ำรินวางเศษเชือกสีแดงที่เคยผูกติดนิ้วก้อยของเหยี่ยวลงบนใบไม้ แล้ววางใบไม้ลอยบนผิวน้ำ ก่อนจะวักน้ำให้ใบไม้ลอยไปตามกระแสน้ำ
“ถ้าเราเอาความทรงจำกับความทุกข์ทิ้งไปกับน้ำได้ก็ดีสิ”
ผียายปริกพายเรือผ่านมาจอดตรงหน้าน้ำริน
“ถ้าทำง่ายอย่างงั้น านนี้แม่น้ำคงโดนความทุกข์ทับถมจนกลายเป็นภูเขาไปแล้ว มนุษย์หาเรื่องทุกข์ใจใส่ตัวเก่งจะตาย หิวก็ทุกข์ อิ่มก็ทุกข์”
“ทำไงถึงจะไม่ทุกข์เหมือนปริกล่ะ”
ผียายปริกตอบยิ้มๆ “ถ้ามีปัญญาก็ไม่ทุกข์”
“เกี่ยวอะไรกับปัญญา”
ผียายปริกไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
“ความทุกข์ของหล่อนคืออะไร”
“เรื่องที่ฉันยังไม่อยากตาย เรื่องที่ฉันอยากกลับไปหาครอบครัวของฉัน แล้วก็....”
น้ำรินไม่กล้าพูดต่อถึงความทุกข์ใหญ่ที่อยู่ในใจ
“เรื่องที่หล่อนไม่มีวันได้สมหวังกับหมวดเหยี่ยว”
ผียายปริกพูดแทงใจดำ น้ำรินนั่ง
“แล้วรู้มั้ยว่าทุกข์ของหล่อนเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น ความอยากไม่อยากได้ ความอยากไม่อยากมี ความอยากไม่อยากเป็นของหล่อนนี่แหละที่ก่อทุกข์”
น้ำรินคิดตาม
“ฉันบอกได้แค่นี้ ที่เหลือหล่อนต้องใช้ปัญญาคิดเอาเองว่าจะดับทุกข์ยังไง”
พุดจบ ผียายปริกก็พายเรือจากไป

ในงานเลี้ยงของโรงแรมในเครือธารา ที่จัดขึ้นที่บริเวณริมสระน้ำ ภายในงานมีกรรมการบริษัททั้งไทยและเทศ รวมถึงแขกเหรื่อในชุดราตรีโก้หรู กำลังยืนคุยกันพลางจิบค็อกเทลไปด้วย
เหยี่ยวปลอมตัวเป็นมือกีตาร์ คอยจับตามองไปทั่วงาน
ภพธรกับนับดาวพามิสเตอร์หลิวเข้ามา มีลูกน้องของมิสเตอร์หลิวใส่สูทดำตามหลัง 4 คน คนที่อยู่ใกล้ที่สุดถือกระเป๋าสีดำมาด้วย
เหยี่ยวจับตามองกระเป๋าในมือของลูกน้องมิสเตอร์หลิวอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา

ภพธรแนะนำมิสเตอร์หลิวให้รู้จักกับผู้ถือหุ้น
“มิสเตอร์หลิว หุ้นส่วนรายใหญ่ของศูนย์บันเทิงครบวงจรที่รินธารารีสอร์ท สมุยครับ”
มิสเตอร์หลิวกับผู้ถือหุ้นจับมือ ยิ้มแย้มทักทายกัน จากนั้นนับดาวก็พามิสเตอร์หลิวเดินไปอีกทาง เหยี่ยวที่แอบดูอยู่ตลอด รีบเดินตาม แต่ชนเข้ากับภพธรที่เดินเข้ามาขวางทางพอดี ภพธรเขม้นมองเหยี่ยวอย่างสงสัย
“เดี๋ยว ลูกกระสุนปืนของนายตกรึเปล่า”
ภพธรมองที่พื้น เหยี่ยวตกใจแต่ยังทำนิ่งมีสติ ค่อยๆ หันไปมองตามสายตาของภพธร เห็นปิ๊กกีตาร์ตกอยู่ที่พื้น
“สำหรับมือกีตาร์ ไม่มีปิ๊กก็เหมือนยิงปืนไม่มีกระสุน จริงมั้ย”
เหยี่ยวรีบก้มเก็บ พลางถอนหายใจโล่งอก พร้อมๆ กับที่ภพธรเดินไปอย่างไม่สนใจ

ลูกน้องมิสเตอร์หลิวยืนเฝ้าทางอยู่ 2 คน อีกคนทำหน้าที่เปิดกระเป๋าแล้วหยิบหลอดฉีดยาเล็กๆ ลักษณะเหมือนปากกาขึ้นมา มิสเตอร์หลิวนั่งกระสับกระส่ายบนเก้าอี้ หงายแขนรอ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า ดวงตาพร่ามัว
เหยี่ยวค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาที่อีกมุมหนึ่ง ใช้กล้องขนาดเล็กเก็บภาพขณะที่ลูกน้องมิสเตอร์หลิวฉีดยาเข้าที่แขน
ลูกน้องฉีดยาเสร็จก็วางสำลี มิสเตอร์หลิวพับแขนแล้วหลับตาเบาๆ อาการเหงื่อออก กระสับกระส่ายดูสงบไป
เหยี่ยวที่ซุ่มดูอยู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด “ยาเสพติดตัวใหม่ ...”อโรม่า” ? “
มิสเตอร์หลิวกับลูกน้องเดินไปอีกทางหนึ่ง ทิ้งกระเป๋าสีดำไว้บนโต๊ะโดยมีคนเฝ้าอยู่คนเดียว เหยี่ยวรีบเข้าไปที่ด้านหลัง แล้วล็อกคอจนคนเฝ้าสลบไป จากนั้นก็ลากไปซ่อนที่มุม แล้วรีบไปเปิดดูกระเป๋าสีดำ พบว่ามีเข็มฉีดยาอยู่หลายอัน พลางหยิบขึ้นมาดู แล้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“อินซูลิน? “
พลันก็มีเสียงคนเดินผ่านมา เหยี่ยวรีบหลบเข้ามุม ภพธรกับนับดาวเดินคุยกันผ่านมาที่ทางเดิน แล้วคุยกันเสียงดังพอให้เหยี่ยวที่หลบอยู่ได้ยิน
“มิสเตอร์หลิวเป็นเบาหวานต้องฉีดอินซูลิน ไม่อย่างนั้นจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจนช็อกค่ะ”
“ให้พยาบาลประจำเรือคอยดูแลด้วย พี่ต้องการให้มิสเตอร์หลิวประทับใจ เพราะเรายังต้องทำธุรกิจด้วยกันอีกนาน”
นับดาวกับภพธรเดินผ่านไป เหยี่ยวกำลังจะออกจากที่ซ่อน แต่ลูกน้องของมิสเตอร์หลิวเดินขึ้นมาพอดี เขาจึงต้องรีบหลบ รอจนลูกน้องเดินกลับไป เหยี่ยวจึงโผล่ออกไป แต่คาดไม่ถึงว่าลูกน้องที่สลบไป กลับฟื้นขึ้นมายืนมองด้วยความโกรธ เหยี่ยวเสยหมัดข้าที่ปลายคางของลูกน้อง แต่มันหลบได้ แล้วฉวยจังหวะคว้ามีดที่พื้นขึ้นมา จ้วงแทงเหยี่ยวที่กำลังเสียหลัก เต็มแรง
แต่ยังมีดยังไม่ทันถึงตัว น้ำรินก็โผล่มาปัดมีดในมือตกไป ลูกน้อง มองมือตัวเองอย่างงงๆ ว่ามีดหลุดกระเด็นไปได้ยังไง
เหยี่ยวตั้งหลักได้ก็เตะเสยเข้าปลายคางของลูกน้อง สลบกลางอากาศไปทันที แล้วรีบลากตัวมันไปซ่อนไว้

เหยี่ยวกับน้ำรินนั่งคุยกันตามลำพัง ท่าทางดูหงอยเหงากับเรื่องที่เกิดขึ้น
“หมวดแนนไม่มาด้วยเหรอ”
เหยี่ยวส่ายหน้า “เปล่า ผมมาคนเดียว คนอื่นรออยู่ด้านนอก”
“ก็ดี ฉันจะได้ไม่ห่วง”
เหยี่ยวประหลาดใจ “คุณเป็นห่วงแนน?”
น้ำรินพยักหน้าอย่างจริงใจ “เพราะหมวดแนนจะต้องเป็นคนดูแลคุณไปชั่วชีวิต”
“น้ำ ผมเสียใจ ผมไม่คิดว่ายายนวลจะจัดงานหมั้นเร็วขนาดนี้ ยายน่าจะปรึกษาผมก่อน”
น้ำรินยิ้มเศร้า
“ก่อนหรือหลังก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เฒ่าจันทราผูกด้ายแดงล่องหนไว้ให้ คุณกับหมวดแนนเป็นคู่กัน ต่อให้ฉันหรือใครก็แยกคุณออกจากกันไม่ได้ ส่วนฉันมีด้ายแดงที่ผูกไว้กับคู่หมั้นของฉัน สักวันฉันต้องได้กลับไปหาเค้า”

น้ำรินกับเหยี่ยวมองหน้ากัน สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเศร้ากับเหตุการณ์ที่ต้องเจอ

ลูกน้องหิ้วกระเป๋าทรงเหลี่ยมใบใหญ่มาเปิดให้มิสเตอร์หลิวตรวจดู ภายในกระเป๋ามียาเสพติดที่บรรจุอยู่ในแพคเกจเครื่องหอมอโรม่าอยู่เต็ม

มิสเตอร์หลิวคุยกับลูกน้องเบาๆ เป็นภาษาจีน
“ดูแลอโรม่าให้ดี เราต้องส่งมอบวันนี้”
ลูกน้องรับคำ น้ำรินยืนมองอย่างสนใจ แล้วเดินกลับมาหาเหยี่ยวที่ซ่อนตัวดูอยู่ใกล้ๆ
“พวกมันเตรียมส่งยาให้ลูกค้าในคืนนี้ แล้วเท่าที่ฉันดู มันเป็นยาเสพติดตัวเดียวกันกับที่เจอในสปา
บุษบัน”
“แสดงว่าลูกค้าของมิสเตอร์หลิวต้องอยู่ในงานนี้ ว่าแต่มันเป็นใคร คุณฟังภาษาจีนที่พวกมันคุยกันรู้เรื่องด้วยเหรอ”
น้ำรินตื่นเต้น “จริงด้วย ฉันไม่ยักกะรู้ตัว ฉันฟังภาษาจีนออกเหรอ?”
มิสเตอร์หลิวเดินกลับเข้าไปในงาน ส่วนลูกน้องอีกสองคนหิ้วกระเป๋าใส่ยาเสพติดแยกไปอีกทาง
เหยี่ยวรีบขยับตัวไปทางหนึ่ง แล้วหันไปสั่งน้ำริน
“คุณคอยตามดูมิสเตอร์หลิวว่าคุยกับใครบ้าง ส่วนผมจะตามไปดูว่าลูกน้องมันเอายาเสพติดไปไหน”
น้ำรินพยักหน้า แล้วทั้งสองคนก็แยกกันไป

น้ำรินกวาดตามองไปรอบๆ งานเลี้ยง เห็นมิสเตอร์หลิวเดินเข้าไปในที่นั่งมุมหนึ่งที่กั้นเป็นที่นั่งส่วน
วีไอพี มีฉากกั้นไม่ให้เห็นคนที่อยู่ด้านใน โดยมีลูกน้องคนสนิทยืนเฝ้า
มิสเตอร์หลิวนั่งตรงข้ามกับภพธร ที่หันหลังให้น้ำริน เธอจึงยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้า
ภพธรเปิดกระเป๋าเอกสาร ที่ใส่ธนบัตรมาเต็ม
“ Five million baht.”
มิสเตอร์หลิวหยิบปึกธนบัตรขึ้นมาดู ภพธรมองอย่างพอใจ
“I wanna see the Aroma.”
มิสเตอร์หลิวหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่ ลูกน้องคำนับแล้วเดินไป น้ำรินมองที่หลังภพธร ด้วยความรู้สึกคุ้นเสียง พลางรีบจะเดินไปดูหน้า แต่ลูกน้องคนที่โดนเหยี่ยวน็อกคว่ำ วิ่งเข้ามาขัดจังหวะ พลางพูดกับมิสเตอร์หลิวเป็นภาษาจีน
มิสเตอร์หลิวสั่งลูกน้องกลับไปด้วยสีหน้าเข้ม เสียงดุเหี้ยม ลูกน้องรับคำแล้ววิ่งไป
น้ำรินตกใจมากรีบวิ่งตามออกไป จังหวะนั้นนับดาวก็เดินเข้ามากระซิบบอกภพธร
“พี่ธรคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ ตำรวจบุกเข้ามาในงาน”
ภพธรมองมิสเตอร์หลิว ด้วยแววตาเอาเรื่อง พร้อมกับหาทางออกเอาตัวรอดให้กับตัวเอง

เหยี่ยวที่สู้กับลูกน้องมิสเตอร์หลิว 2 คน เกือบจะพลาดท่าถูกยิง แต่ว่ากลิ้งตัวหลบได้ทัน พร้อมกับดึงปืนออกมาจากตัวลูกน้องคนหนึ่ง ลูกน้องอีก 2 คน วิ่งเข้ามาสมทบ ประเคนลูกปืนใส่เหยี่ยวไม่ยั้ง
ผู้คนในงานที่ริมสระน้ำได้ยินเสียงปืนก็ร้องกรี๊ด วิ่งหาที่หลบกันวุ่น
เหยี่ยวยิงเข้าที่ไหล่ของลูกน้องคนหนึ่ง อีกคนย่องมาข้างหลัง จ่อปืนมาทางเขา น้ำรินหันมาเห็น ก็รวมพลังจิตคว้าเก้าอี้ไปฟาดลูกน้องจนล้ม ลูกกระสุนพุ่งออกจากปืนไปอีกทาง
ลูกน้องอีกสองคนวิ่งเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใส่ยาเสพติด ชักปืนเตรียมยิงใส่เหยี่ยวแต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะดารณีกับตำรวจกรูกันเข้ามา และรวบตัวไว้ได้
เหยี่ยวหิ้วกระเป๋าใส่ยาเสพติดมาส่งให้ดารณี
“ยาเสพติดอโรม่า หัวหน้าของมันล่ะ”

ภพธรกับนับดาวกำลังดูเจ้าหน้าที่พยาบาลกำลังปั้มหัวใจมิสเตอร์หลิวที่นอนอยู่บนพื้น แขกในงานล้อมวงดูอยู่ด้วย
เหยี่ยวกับดารณีแหวกกลุ่มแขกเข้ามาดู
“เกิดอะไรขึ้น”
ดารณีแกะปากกาฉีดอินซูลินออกมาจากมือของมิสเตอร์หลิวที่กำไว้แน่น นับดาวรีบบอก
“มิสเตอร์หลิวกำลังจะหนี แต่เกิดภาวะน้ำตาลขึ้นสูง ตกใจฉีดอินซูลินให้ตัวเองจนหมดหลอด ก็เลยช็อกหัวใจหยุดเต้นค่ะ”
ภพธรรีบพูดต่อหน้าตาเฉย
“พ่อค้ายาเสพติด ปล้นชีวิตไปจากคนอื่น พอถึงเวลากฎแห่งกรรมทำงานต่อให้มีเงินล้นฟ้า ก็หนีบาปที่ทำไว้ไม่พ้น”
เหยี่ยวกับดารณีมองหน้ากัน ไม่ค่อยไว้ใจภพธรกับนับดาวเท่าไรนัก

“ภพธรทำเหมือนไม่รู้เห็นอะไรกับเรื่องนี้เลย”
เหยี่ยวแอบมาคุยกับดารณี ขณะที่หน่วยกู้ชีพกำลังนำร่างมิสเตอร์หลิวใส่เปลออกไป พร้อมกับที่ตำรวจควบคุมตัวลูกน้องตามไป
“เราต้องจับตาดูกันต่อไป เพราะคู่ค้าของมิสเตอร์หลิวอาจจะเป็นใครก็ได้ในงานเลี้ยงวันนี้”
ภพธรกับนับดาวดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“มิสเตอร์หลิวตายไปซะคน จะไม่มีใครซัดทอดเราได้”
“พี่ธรฉลาดมากที่ฉีดอินซูลินเกินขนาดให้มิสเตอร์หลิว”
“ต่อไปเราคงต้องระวังตัว ตำรวจเริ่มระแวงเรามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
พูดพลางก็เดินนำนับดาวออกไป ขณะที่น้ำริน ที่กำลังเดินตามหาเหยี่ยวในบริเวณนั้น พอเดินสวนกับภพธรก็ถึงกับชะงักงัน เหมือนความทรงจำในอดีตกลับมาอีกครั้ง
น้ำรินมองเห็นเหตุการณ์ตอนที่ภพธรสวมสร้อย P N ที่คอของเธอ
แต่แล้วภาพทรงจำก็สะดุดเพียงเท่านั้น เมื่อเสียงของนับดาวดังแทรกขึ้นมา
“กลับกันเถอะค่ะพี่ธร ดาวเหนื่อย”
น้ำรินรำพึงเบาๆ “พี่ธร?”
พลางมองตามภพธรที่เดินออกไปพร้อมนับดาว

น้ำรินที่นั่งอยู่ที่กลางห้อง ครุ่นคิดในเรื่องทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้น ภาพความทรงจำในอดีตกลับเข้ามาอีกครั้ง
น้ำรินเห็นภาพตัวเอง ที่หันไปมองภพธรที่ใส่สร้อยให้เธอ
“ขอบคุณค่ะพี่ธร”
น้ำรินเห็นหน้าภพธรแบบเต็มๆ ทำให้รู้แล้วว่าเขาเป็นคู่หมั้นของเธอ
“น้ำอยู่ในใจของพี่เสมอนะ”
ทั้งสองกุมมือกันไว้ราวกับเป็นคู่รักที่รักกันมาก
“แต่งงานกับพี่นะจ๊ะ น้ำ”
น้ำรินยิ้มพลางสวมกอดเขา แทนคำตอบทั้งหมด
จากนั้นน้ำรินก็รีบบอกเหยี่ยวอย่างตื่นเต้น
“คุณ ฉันเจอคู่หมั้นของฉันแล้วในงานเลี้ยงเมื่อกี้ เค้าชื่อ “ภพธร” คนที่เป็นหลานคุณธารา”
เหยี่ยวขมวดคิ้ว “ภพธร ? แต่ภพธรเป็นคู่หมั้นของลูกสาวคุณธารานะ”
น้ำรินกับเหยี่ยวมองหน้ากัน
“งั้นก็แปลว่า คุณคือลูกสาวของคุณธารา”
น้ำรินช็อกตกใจ
“คุณธารา ในที่สุดความฝันที่จะได้พบแม่ของฉันก็เป็นจริงแล้ว นี่ฉันเจอกับแม่ โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าคุณธาราเป็นแม่ของฉัน”
พูดพลางก็น้ำตาคลอออกมา
“แม่จ๋า หนูจะได้เจอแม่แล้ว หนูจะได้กอดแม่ให้สมกับความคิดถึง”
เหยี่ยวทำท่าเหมือนจะเช็ดน้ำตา แต่ชะงักเพราะนึกได้ว่าสัมผัสตัวเธอไม่ได้ น้ำรินเอนมาเหมือนจะซบที่ไหล่ของเหยี่ยว เขาก็ทำท่าโอบเธอไว้ แม้จะรู้สึกดีที่น้ำรินจำทุกอย่างได้แล้ว แต่ในใจลึกๆก็เศร้าเพราะเวลาแห่งการลาจากใกล้เข้ามาทุกที

“ปริกรู้มาตลอดว่าคุณธาราคือแม่ของฉัน ? ปริกรู้ว่าคุณภพธรเป็นคู่หมั้นของฉัน ?”
น้ำรินถามตรงๆ เมื่ออยู่กันตามลำพัง ผียายปริกพยักหน้าหงึกๆ
“รู้แล้วทำไมไม่บอก”
“กรรมใครกรรมมัน บางเรื่องฉันเข้าไปยุ่งได้ แต่บางเรื่องก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม จะมีคนสักกี่คนที่มีโอกาสแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดในอดีต”
น้ำรินหน้าสลด “ปริกหมายความว่า ที่ดวงจิตฉันยังล่องลอยอยู่แบบนี้ ก็เพื่อแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำผิดมาใช่มั้ย”
“ลองนึกทบทวนดูสิ ทุกครั้งที่หล่อนเข้าไปทำความดี ช่วยคลี่คลายในเรื่องต่างๆ ทั้งคดียอดชัด, นกยูง, บุษบัน มันทำให้หล่อนจำเรื่องราวในอดีตได้เพิ่มขึ้น”
น้ำรินชะงักเมื่อคิดตามทีผี่ยายปริกพูด
“การที่ตอนนี้ฉันจำเรื่องทั้งหมดได้แล้ว ก็เพราะฉันแก้ไขความผิดไปหมดแล้ว ฉันกำลังจะกลับไปเข้าร่างได้แล้วใช่มั้ย?”
“กลับเข้าร่าง หรือไม่ก็ไปสู่สุขคติ” ผียายปริกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะไรนะ ปริกอธิบายให้ชัดกว่านี้ได้มั้ย”
“บอกได้แค่ เหลือเวลาตามหาร่างของหล่อนอีก 4 วันพระเท่านั้น ถ้าหาไม่เจอ หล่อนก็จะไม่มีโอกาสกลับเข้าร่างตลอดไป”
น้ำรินเครียด รู้ว่าเวลาเหลือน้อยลงทุกที

ดารณีกำลังรายงานผลการจับกุมที่งานเลี้ยงของโรงแรมต่อสงคราม
“เรากำลังสอบสวนสมุนของมิสเตอร์หลิว ถ้าโชคดีเราอาจจะได้ตัวหัวหน้าเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติคนไทย”
เหยี่ยวฟังอย่างใจลอย สงครามสังเกตเห็น และชำเลืองมองหลายครั้ง แต่เหยี่ยวยังไม่รู้สึกตัว
“แขกในงานเลี้ยงทยอยมาให้การแล้ว ขาดก็แต่คนที่เราอยากสอบปากคำมากที่สุด นั่นก็คือ ภพธรกับ นับดาว”
“ภพธร”
เหยี่ยวพึมพำเบาๆ พลางคิดไปถึงคำพูดของน้ำริน

สงครามหันไปมองเหยี่ยว ที่เดินมาด้วยกันด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“ตั้งแต่ทำงานกันมา คุณไม่เคยใช้เวลางานไปคิดเรื่องส่วนตัว มีเรื่องอะไรสำคัญกว่างานงั้นเหรอ”
เหยี่ยวถอนหายใจ “ก็ไม่เชิงเรื่องส่วนตัวซะทีเดียว ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณธารา”
“เกี่ยวกับธารา? เรื่องอะไร”
“คุณธารามีลูกสาวคนนึงใช่มั้ยครับ”
สงครามพยักหน้า “ ใช่ แต่หายตัวไปไม่ติดต่อกับทางบ้านมาเป็นเดือนแล้ว คุณมีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับน้ำรินเหรอ”
เหยี่ยวรู้สึกเหมือนได้เจอจิ๊กซอว์ตัวที่ขาดหายไป
“ลูกสาวคุณธาราชื่อ “น้ำริน” เหรอครับ”
“ถามทำไม เคยรู้จักกับน้ำรินมาก่อนเหรอ”
“ผมคิดว่ารู้เบาะแสการหายตัวไปของน้ำรินแล้ว ผู้การไปกับผมหน่อยครับ”
เหยี่ยวเดินนำสงคราม ที่ตามไปด้วยสีหน้าสงสัย

สงครามขับรถพาเหยี่ยวมาจอดที่ริมถนน
“พาผมมาที่นี่ทำไม” สงครามไม่วายข้องใจ
“เพราะที่นี่เป็นจุดที่ผมเจอกับ....”
เหยี่ยวอยากพูดคำว่า เป็นจุดที่เจอน้ำรินครั้งแรก แต่คิดได้ว่าพูดไป สงครามต้องไม่เชื่อ
“ผมสงสัยว่าปริศนาการหายตัวไปของน้ำริน เริ่มต้นขึ้นที่นี่”
สงครามกับเหยี่ยวก็เดินลงไปจากรถ ผ่านต้นไม้ใหญ่ไปที่ริมบึงตรงจุดรถคว่ำ แต่ทั้งสองไม่ทันเห็นว่าใต้ร่มไม้นั้นมีชายแต่งตัวสกปรก ท่าทางเหมือนคนเมายานอนอยู่
ชายจรจัดลืมตามองสงครามกับเหยี่ยวแล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ

เหยี่ยวกับสงครามก้าวเข้ามาเดินสำรวจรอบๆ บริเวณริมน้ำ
“ที่นี่เคยเกิดอุบัติเหตุรถตกน้ำ และมีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายในบึงนี้”
เหยี่ยวชี้ไปที่บึงน้ำ วิญญาณชลชาติยืนฟังอยู่พอดี ด้วยสีหน้าและแววตาเอาเรื่อง
“สีของรถคู่กรณี เป็นสีเดียวกับรถของน้ำริน”
ชลชาติจ้องไปที่เหยี่ยวด้วยแววตาเกลียดชังและเคียดแค้น “อีฆาตกรมันฆ่ากู”
“เรามีภาพวงจรปิด รถของน้ำรินมุ่งหน้ามาทางนี้แล้วก็หายไป”
สงครามหันมาบอก พลางมองหน้าเหยี่ยวอย่างสงสัย
“หมวดรู้จักน้ำริน? เคยพบกับน้ำรินใช่มั้ย?”


เหยี่ยวอึกอัก “ผมยังตอบผู้การตอนนี้ไม่ได้ เพราะพูดไปผู้การก็ไม่เชื่อ แต่ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า
น้ำรินเกิดอุบัติเหตุรถชนตรงนี้”
“ถ้าอย่างงั้น รถกับตัวน้ำรินหายไปไหน”
“ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้น้ำรินยังมีชีวิตอยู่”
สงครามขมวดคิ้ว “หมวดพูดเหมือนเคยพบน้ำรินหลังเกิดอุบัติเหตุ”
สงครามจ้องหน้าเหยี่ยวอย่างค้นหา คำตอบ
“กล้ามาเหยียบถิ่นกู มึงต้องอยู่เป็นเพื่อนกูที่นี่”

ชลชาติระเบิดหัวเราะเสียงก้อง ก่อนที่วิญญาณจะสลายกลายเป็นก้อนควันดำลอยไป

เหยี่ยวเดินนำสงครามกลับไปหารถ แล้วค่อยๆ เล่าให้ฟัง

“ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าผมเคยได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากน้ำริน เราต้องรีบหาตัวเธอให้เจอเร็วที่สุด”
“ทำไมคุณไม่เคยแจ้งเรื่องนี้กับผม”
เหยี่ยวอึกอัก “เอ้อ เพราะผมเพิ่งได้รับข่าวจากเธอครับ”
สงครามมองเหยี่ยวอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก
“ผมเชื่อว่าภพธรมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
สงครามฟังแล้วคิดตาม เพราะเขาเองก็สงสัยเหมือนกัน
“ภพธรเป็นเด็กที่ธารารับมาเลี้ยง ไว้ใจถึงกับจะให้น้ำรินแต่งงานด้วย แต่น้ำรินหายตัวไปก่อนวันแต่งงานไม่กี่วัน ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่”
ระหว่างที่สงครามกับเหยี่ยวกำลังครุ่นคิด คนเมายาที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ก็ลืมตาโพลง แล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาหยุดที่ด้านหลังเหยี่ยว สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น อาฆาต เส้นเลือดขึ้นปูดโปนบนขมับ ตาขาวแดงก่ำน่ากลัว มีไอบางๆ สีดำแห่งความชั่วร้ายคุกรุ่นลอยอยู่รอบตัว
พอเหยี่ยวหันไป มันก็ล็อกคอแล้วรัดอย่างแรง สงครามตรงเข้าช่วยดึงแขน แต่มันสะบัดทีเดียว สงครามกระเด็นไปกระแทกกับกับพื้นถนนอย่างแรง เหยี่ยวเริ่มหายใจไม่ออก พยายามแกะมือที่รัดคออยู่ ดวงตาของมันถลนแดงฉานน่ากลัว
“ที่นี่เป็นถิ่นของกู มึงต้องตาย ฮ่าๆ”
มันหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง สงครามพุ่งเข้ามาดึงตัวอย่างแรง
“ กูจะปล่อยก็ต่อเมื่อได้วิญญาณมันไปอยู่กับกู อีนั่นจะได้รู้ว่าความเจ็บปวดเวลาเสียของรักเป็นยังไง”
คนเมายาหัวเราะลั่น ใบหน้าของชลชาติทับซ้อนกับหน้าของมัน พลางระเบิดหัวเราะอย่างสะใจ
สงครามประสานมือเข้าด้วยกันแล้วทุบเข้าที่ท้ายทอยเต็มแรง หมายจะทำให้สลบ แต่มันกลับไม่สะดุ้งสะเทือน ซ้ำยังปล่อยมือหนึ่งจากคอเหยี่ยว แล้วหันไปปัดสงคราม จนกระเด็นไกลไปถึงต้นไม้

ยายนวลถือถุงใส่พวงมาลัยเข้ามาในบ้าน น้ำรินที่นั่งชะเง้อรอเหยี่ยวอย่างกระวนกระวายรีบถาม
“ยายจ๋า หมวดเหยี่ยวทำไมยังไม่กลับบ้าน เค้าโทรมาบ้างมั้ยจ๊ะ”
ยายนวลชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจนิดๆ
“ก็แล้วทำไมจะต้องรีบกลับ คนมีคู่หมั้นก็อยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง โดยไม่ต้องมีใครกวน”
น้ำรินไม่สนใจที่โดนยายนวลพูดกระทบ เพราะรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาแปลกๆ
“หนูรู้สึกไม่ค่อยดี เป็นห่วงยังไงไม่รู้”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่หนูแนนเถอะ เราเป็นคนนอก ไม่ต้องไปห่วงแทนเค้า”

เหยี่ยวกับสงครามโดนคนมายา ที่โดนวิญญาณชลชาติเข้าสิงทำร้าย จนแทบจะหมดแรง จังหวะเดียวกับที่น้ำริน รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ฉันเป็นอะไร ? ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ”
พอหันไปเห็นยายนวลกำลังไหว้พระ น้ำรินก็รีบพนมมือไหว้ตาม
“ถ้าความดีที่ลูกเคยทำไว้ยังคงมีเหลืออยู่บ้าง ขอให้คุณพระช่วยคุ้มครองคนที่ลูกรักด้วยเถอะ”

คนเมายาที่โดนชลชาติสิง ปราดเข้ามากระชากร่างสงครามที่วิ่งอยู่ด้านหลังเหยี่ยว จนกระดุมเสื้อเม็ดบนขาด เผยให้เห็นสร้อยคอพระที่ใส่ ที่โผล่ออกมาจากภายในเสื้อ พร้อมกับส่องแสงเรืองรองออกมา
วิญญาณชลชาติกระจายสลายออกไป ร่างคนเมายาทรุดหมดสติลง
สงครามกับเหยี่ยวหนีรอดออกไปได้จากบริเวณนั้น

เมื่อกลับมาถึงที่สำนักงานสืบสวน เหยี่ยวก็รีบถามสงครามทันที
“ แล้วนี่คุณธาราสงสัยอะไรภพธรบ้างรึเปล่าครับ”
สงครามส่ายหน้า “เราไม่มีหลักฐาน พูดอะไรมากไม่ได้”
“คนอย่างภพธร น้ำนิ่งไหลลึก ถ้าไม่เตือนไว้บ้างอาจจะสายเกินแก้”

น้ำรินเท้าคางมองหมีสีฟ้า หน้าตาเศร้าๆ ก่อนที่ใช้พลังจับตุ๊กตาหมีขึ้นมา พลางเห็นนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง จู่ๆ ก็มีภาพวาบขึ้นมาในความทรงจำ
“นาฬิกาฝาแฝด น้ำก็มีแบบนี้เรือนนึง แม่ลูกสุดที่รักไว้ใส่คู่กันนะคะแม่”
ขณะเดียวกันธาราก็นั่งมองนาฬิกา แล้วคิดถึงน้ำริน ราวกับกำลังเชื่อมโยงความรู้สึกถึงกัน
พลันน้ำรินก็มาปรากฏตัวที่หน้าคฤหาสน์ธาราได้อย่างน่าอัศจรรย์ พลางมองไปรอบๆ บริเวณอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในบ้าน พอเห็นรูปคู่ของเธอกับธารา น้ำรินก็น้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วยความดีใจ
“ฉันกลับมาบ้านแล้ว แม่จ๋า น้ำกลับมาแล้ว แม่อยู่ไหน”
น้ำรินมองทุกอย่างรอบตัว ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ค่อยๆ กระจ่างชัด น้ำตาของเธอไหลพราก ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดมามาถึงชั้นบน เดินตรงไปยังห้องนอน ขยับจะเปิดประตูออก พร้อมกับที่มองเห็นภาพธารากำลังแปรงผมให้เธอด้วยความรักและผูกพันอย่างที่สุด
พอเดินเข้ามาในห้อง น้ำรินก็ถึงกับชะงักเมื่อเห็นธารานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในมือถือแปรงอันเดิมที่เคยแปรงผมให้เธอ แล้วจ้องมองด้วยแววตาเศร้าหมอง จนพยาบาลที่เอายาเข้ามาให้ออกปากถาม
“คุณธาราคิดถึงลูกสาวอีกแล้วเหรอคะ”
น้ำรินตามเข้ามาช้า ๆ
“ก่อนเกิดเรื่อง เค้านั่งอยู่ตรงนี้ ให้ฉันแปรงผมก่อนนอนเหมือนทุกๆ วัน”
ธาราสะเทือนใจจนน้ำตาจะไหล แต่เก็บกลั้นไว้ พลางมองออกไปข้างนอก เพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าพยาบาล
“ถึงวันนี้จะไม่มีน้ำรินอยู่ที่นี่ แต่ในความรู้สึกของฉัน น้ำรินยังคงอยู่ข้างๆ ฉันเสมอ”
พยาบาลยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไปเงียบ ๆ
ธารายกนาฬิกาที่แขนขึ้นมาดูอีก เป็นจังหวะเดียวกับที่น้ำรินยื่นแขนข้างที่ใส่นาฬิกาออกไปเทียบ นาฬิกาแฝดเริ่มเดินอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
น้ำรินพยายามจะไขว่คว้ากอดแม่
“น้ำอยู่ที่ไหน ลูกได้ยินเสียงแม่รึเปล่า”
“น้ำอยู่ตรงนี้ค่ะแม่ อยู่ตรงหน้าแม่แล้ว”
“แม่คิดถึงน้ำเหลือเกิน”
ธาราเงยหน้าขึ้นมองมาทางน้ำริน ทั้งที่ความจริงเธอมองไม่เห็น
“แม่ แม่เห็นน้ำมั้ยคะ น้ำอยู่ตรงนี้แล้ว”
ธาราน้ำตาไหลพราก
“น้ำอยู่ไหน แม่ยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้เจอน้ำอีกครั้ง แม่ยอมแลกชีวิตของแม่เพื่อให้น้ำปลอดภัย
ทุกวันนี้แม่ยังจำเสียงน้ำที่บอกรักแม่ได้ แม่รู้สึกว่าลูกอยู่เคียงข้างแม่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าในความจริงแล้ว แม่จะไม่มีหนูอยู่”
ธาราน้ำตาร่วง
“แม่ได้ยินน้ำมั้ย น้ำอยู่ตรงนี้ น้ำบอกรักแม่แต่แม่ไม่ได้ยิน น้ำอยู่ตรงนี้ค่ะแม่”
น้ำรินทรุดลงร้องไห้ตรงหน้าธารา

เหยี่ยวเดินเข้ามาในบ้าน มองหาน้ำรินแต่ไม่เจอ พลันก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วมาเบาๆ จึงเหลียวมองไปทางหลังบ้าน แล้วเดินออกไปดู เห็นน้ำรินกำลังนั่งร้องไห้ โศกเศร้าเสียใจอย่างหนัก เหยี่ยวยืนงง ทำอะไรไม่ถูก

ทางด้านธาราก็นั่งเหม่อลอย ซึมเศร้าอยู่ที่ริมสระน้ำ ครู่หนึ่งสงครามก็เดินมาหาธารา พลางถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆค่ะ ก็แค่รู้สึกไม่สบายใจเรื่องยายน้ำ คุณจำนาฬิกาที่น้ำรินให้ฉันเป็นของขวัญวันเกิดได้มั้ยคะ”
สงครามพยักหน้า “นาฬิกาตาย แต่คุณไม่ยอมเอาไปซ่อม เพราะอยากเก็บไว้คิดถึงลูก”
“วันนี้อยู่ดีๆ มันก็เดิน แล้วมันก็หยุดเดินอีก ฉันเป็นแม่ ฉันรู้สึกว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับลูกแน่ๆ
ฉันจะให้ภพธรไปตามหาน้ำรินอีกครั้ง”
พอพูดถึงภพธร สงครามก็ลองถามหยั่งเชิง
“ถามจริงๆ คุณคิดยังไงถึงให้ภพธรแต่งงานกับลูกสาว”
ธาราชะงัก อึ้ง ด้วยความรู้สึกผิดกัดกินใจ
แล้วภาพเหตุการณ์ในอดีตก็ย้อนกลับมา

ธาราที่นั่งอยู่ในห้องทำงานเลื่อนเอกสารไปตรงหน้า
“เซ็นซะ สัญญานี้ จะรวมกิจการเข้ากับรินธารากรุ๊ป ถึงเป็นเงินไม่มาก แต่คุณก็เอาไปใช้ลงทุนทำธุรกิจเล็กๆ ได้”
นุติมองหน้าธาราอย่างลำบากใจมาก
“ไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเราเลยเหรอธารา สามีคุณเป็นเพื่อนสนิทผม ถ้าเค้ารู้ว่าคุณทำกับผมแบบนี้.เค้าต้องไม่ยอม”
ธาราพูดเสียงดัง “เค้าต้องเข้าใจค่ะ มันเป็นวิถีของธุรกิจ ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก บริษัทคุณไปไม่รอดแล้ว ถ้าไม่ใช่ฉัน.ก็ต้องเป็นคนอื่น”
นุติกัดกรามกรอดด้วยความแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้ จึงต้องยอมเซ็นเอกสาร ธารายิ้มอย่างพอใจ

“สองวันหลังจากนั้น นุติก็ฆ่าตัวตาย”
ธาราเล่าด้วยความสะเทือนใจ
“ฉันรับภพธรมาเลี้ยงเพื่อมนุษยธรรม ภพธรเป็นคนดี ฉลาด หัวไว ฉันหวังให้เป็นทายาทดูแลกิจการและน้ำรินแทนฉันในอนาคต”
“แต่ผมกลับคิดว่า การเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ ไม่ได้แปลว่ามันจะรู้บุญคุณคนเลี้ยงเสมอไป”
ธารามองหน้าสงคราม
“ถ้าคุณจะพูดให้ฉันระแวง บอกเลยว่าไม่สำเร็จ ฉันเลี้ยงภพธรมาฉันรู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง”
จบประโยคก็เข็นรถเข้าบ้านไป สงครามมองตามด้วยความหนักใจและเป็นห่วง

เหยี่ยวกับน้ำรินนั่ง คุยกันอยู่ที่ริมน้ำบรรยากาศดี น้ำรินยังคงสะเทือนใจกับเรื่องที่ไปพบธาราผู้เป็นแม่ แต่ไม่สามารถสื่อสารกันได้
“สรุปว่าเธอชื่อน้ำริน เป็นลูกของคุณธาราที่หายไป”
น้ำรินพยักหน้าพร้อมกับสะอื้น “ฉันพยายามบอกแม่ว่าฉันกลับมาแล้ว แต่แม่ไม่ได้ยิน”
“โลกนี้มีผมเห็นดวงจิตคุณอยู่คนเดียว เราจะทำยังไงต่อไปดี มันต้องมีทางสิ”
“วันนี้คุณหายไปไหนมา”
“ผมไปสืบหาร่างคุณ ตรงที่เราเจอกันครั้งแรก แต่ยังไม่พบเบาะแสอะไร นอกจาก..”.
ภาพของวิญญาณชลชาติที่แฝงอยู่ในหน้าคนเมายา แว่บเข้ามาในความทรงจำ เหยี่ยวปลี่ยนใจไม่อยากพูดให้น้ำรินไม่สบายใจ
“ไม่มีอะไรหรอก นอกจากหลักฐานเดิมๆ น่ะ”

เช้ารุ่งขึ้น เหยี่ยวพาน้ำรินไปหาหลวงตาเคี้ยงที่วัด
“หมวดมีอะไรกับหลวงตาเรอะ”
เหยี่ยวส่ายหน้า “ผมไม่มีหรอกครับ แต่คนข้างๆเค้ามี”
หลวงตาเคี้ยงระแวงทันที “คนข้างๆ แน่ใจรึว่าคน”
เหยี่ยวยิ้มขำ รู้ว่าหลวงตาเคี้ยงกลัวผี
“ถ้ายังไง บอกโยมให้นั่งรอที่หน้าประตูก็ได้นะ หลวงตาสวดดัง ได้ยินถึง”
เหยี่ยวพยักหน้า น้ำรินถอยออกไปทางประตู
เหยี่ยวยื่นชุดสังฆทานให้หลวงตาเคี้ยง
“เค้าอยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และขอให้สิ่งที่ปรารถนาได้ประสบความสำเร็จครับ”
“บุญต้องสะสมไม่ใช่ว่าขอปุ๊บแล้วได้ปั้บ แต่เอาเถอะ พนมมือ ว่าตามหลวงตา”
เหยี่ยวกับน้ำรินพนมมือ แล้วสวดมนต์ตามไป

เหยี่ยวกับน้ำรินเดินเข้ามามองบ้านธารา
“คุณว่าวิธีนี้จะเวิร์คเหรอ” น้ำรินถามอย่างลังเล
“ไม่ลองก็ไม่รู้”
พูดพลางเอื้อมมือไปกดกริ่ง

เหยี่ยวนั่งคุยกับธารา โดยมีน้ำรินนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่
“ลูกสาวฉันเป็นดวงจิต ไม่มีร่างกายอย่างงั้นเหรอ”
“ครับ”
ธารามองเหยี่ยวด้วยสายตาไม่เชื่อถือ “แล้วยังไง”
“เธอกำลังตามหาร่างของเธออยู่ ถ้าหาเจอ เธอก็จะกลับมาหาคุณได้”
“แล้วตอนนี้ดวงจิตที่คุณว่าอยู่ที่ไหน”
“ที่นี่”
ธาราชะงัก มองไปรอบๆ ตัว “ที่นี่งั้นเหรอ?”
“เธอต้องการพบคุณ”
ธาราจ้องหน้าเหยี่ยว “คุณรู้ได้ยังไง ในเมื่อลูกของฉันเป็นดวงจิต”
“ผมเป็นคนเดียวที่มองเห็นดวงจิตของน้ำรินครับ”
ธารามองเหยี่ยวด้วยแววตาโกรธ เพราะคิดว่ากำลังเล่นตลกอะไรกับเธอ
“คุณธาราต้องเชื่อผมนะครับ คือมันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่มีผมคนเดียวที่มองเห็นน้ำริน เธอไม่เหลือใครอีกแล้ว”
ธารานิ่งมองไปรอบๆ แต่ยังไม่ปักใจเชื่อ
“บอกแม่สิว่าฉันคิดถึงแม่มาก” น้ำรินเอียงหน้ามาบอกเหยี่ยว
“น้ำรินบอกว่าคิดถึงคุณมาก”
“น้ำคิดถึงฉัน”
เหยี่ยวกับน้ำรินรับคำพร้อมกัน ธาราทนไม่ได้ ระเบิดอารมณ์เสียงดังลั่น
“หมวดบ้าไปแล้วเหรอ ถึงขาฉันจะพิการ แต่สติปัญญาฉันไม่ได้พิการนะ หมวดต้องการอะไรถึงมาเล่นตลกกับฉันแบบนี้ คุณเห็นความทุกข์ของฉันเป็นเรื่องล้อเล่นงั้นเหรอ”
เหยี่ยวพยายายามอธิบาย
“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องจริง น้ำรินอยู่ที่นี่ ข้างๆ ผม”

“พอแล้ว ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดเหลวไหลไร้สาระจากหมวดอีกแล้ว ออกไป ออกไปก่อนที่ฉันจะรายงานผู้บังคับบัญชาของคุณ ฉันบอกว่าให้ออกไป”

น้ำรินเดินเข้ามามองปฏิทินแขวนบนผนัง สีหน้าสลดลง

“เวลาของฉันใกล้จะหมดแล้ว ฉันเหลือเวลาอีกสี่วันพระที่ต้องตามหาร่างให้เจอ ไม่อย่างนั้น ฉันก็จะกลายเป็นวิญญาณตลอดไป”
เหยี่ยวตกใจ “ทำไมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผม”
“ฉันไม่รู้ว่ามันสำคัญสำหรับคุณ”
“คุณสำคัญสำหรับผมที่สุด”
เหยี่ยวพูดอย่างจริงใจ ทั้งคู่สบตากัน สื่อความรักและความผูกพันทางสายตา
“ถึงต้องแลกด้วยชีวิต ผมจะต้องช่วยคุณให้ได้ ผมจะไม่ยอมให้คุณ กลายเป็นวิญญาณเด็ดขาด ผมอยากเห็นคุณมีความสุข...”
เหยี่ยวพูดแล้วชะงักไป น้ำรินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“กับภพธร คู่หมั้นของคุณ”
น้ำรินหุบยิ้ม และเจ็บในใจขึ้นมาทันที เหยี่ยวก็อยู่ในอาการไม่ต่างกัน เมื่อคิดว่าต่างคนต่างรอเวลาเพื่อจะจากกันในไม่ช้า

เหยี่ยวกับจ่านกน้อย นั่งอยู่ในรถ พร้อมกับส่องกล้องทางไกลไปที่หน้าบริษัทรินธารากรุ๊ป โดยไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาลึกลับซุ่มดูอยู่ห่างๆ
น้ำรินนั่งอยู่เบาะหลัง ยื่นหน้ามาถาม
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“วันนี้เราจะเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของภพธรอยู่ที่นี่ทั้งวัน”
น้ำรินถึงกับชะงักเมื่อได้ยินชื่อภพธร พลางครุ่นคิดเหมือนกำลังจะทำอะไรบางอย่าง พอนกน้อยเปิดประตูรถลงไป เธอก็รีบลงตาม แล้วเดินเข้าไปที่บริษัทธารากรุ๊ป โดยไม่เฉลียวใจว่ามีใครบางคนเดินตามหลังไปด้วย
ที่แท้สายตาลึกลับที่จ้องมอง และเดินตามน้ำริน ก็คือผียายปริกนั่นเอง
“หล่อนมาทำอะไรที่นี่”
“มาหาพี่ธร”
พูดจบก็เดินไป ผียายปริกบ่นอุบอิบๆ แต่ก็เดินตาม

น้ำรินเดินมาหยุดมองที่ป้ายบอร์ดบริหารของบริษัท เห็นชื่อภพธรในตำแหน่ง MD. และธาราในตำแหน่งประธาน
“เชื่อฉันเถอะ ต่อให้หล่อนเจอหน้าพี่ธรแบบจั๋งๆ หล่อนก็ไม่รู้สึกเสียวซ่านหัวใจหรอก”
ผียายปริกที่ตามมารีบบอก
“ไม่จริงหรอก พี่ธรเป็นคู่หมั้นฉัน เค้าอาจจะได้ยินสิ่งที่ฉันพูด หมวดเหยี่ยวยังได้ยินเสียงฉันเลย”
พูดจบก็หันไปเห็นภพธรเดินมาพอดี น้ำรินเดินออกไป ผียายปริกเจื้อยแจ้วต่อ โดยไม่รู้ว่าน้ำรินเดินไปแล้ว
“คนที่จะได้ยินหล่อนไม่ใช่เป็นแค่คู่หมั้นธรรมดา แต่ต้องเป็นคู่แท้ของหล่อน อ้าว ไปไหนแล้ว”
พลางหันซ้ายหันขวา แต่ก็หาน้ำรินไม่เจอแล้ว

น้ำรินตามมาแต่ไม่ทัน เพราะภพธรขึ้นรถออกไปแล้ว เธอถอนหายใจอย่างผิดหวัง พอหันมาอีกที ก็เจอนับดาวที่หอบเอกสารเดินออกมามองตามรถภพธร แววตามีเลศนัย น้ำรินมองนับดาวอย่างจำได้
เหยี่ยวซุ่มดูอยู่หน้าบริษัท เห็นรถของภพธรแล่นออกไป ก็รีบให้นกน้อยขับตามไปทันที

น้ำรินนั่งมาในรถกับนับดาว ที่ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าคอนโดของภพธร จากนั้นก็เดินตามมาติดๆ โดยที่นับดาวไม่รู้ตัว
นับดาวเดินเข้าไปในคอนโด เข้าไปหยิบจดหมายจากตู้จดหมาย
“เป็นเลขาพี่ธร เธอต้องรู้จักฉันแน่ๆ นี่เธอ ได้ยินฉันมั้ย”
นับดาวกดลิฟต์แล้วเดินเข้าไป น้ำรินรีบเดินทะลุประตูลิฟต์ตามเข้าไป

นับดาวไขกุญแจเข้าห้องภพธร แล้วรีบปิดประตู พลางวางปึกจดหมายในมือที่โต๊ะข้างหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง
น้ำรินเดินทะลุประตูเข้ามาอ่านหน้าซองจดหมาย เห็นเป็นชื่อภพธร
“ภพธร ที่นี่เป็นคอนโดพี่ธรล่ะสิ เลขามาทำไมที่คอนโดของเจ้านาย? ถ้าจะเอาเอกสารมาให้เซ็น ก็เอาไปให้เซ็นที่ทำงานก็ได้”
นับดาวเดินเข้าไปในห้องนอน น้ำรินเดินสำรวจดูรอบๆ ห้อง

ภพธรขับรถแล้วมองกระจกหลัง แล้วรู้สึกเอะใจ จึงมองที่กระจกส่องหลัง เห็นรถนกน้อยตามอยู่ห่างๆแล้วค่อยเบี่ยงหลบไปหลังรถคันอื่น
ภพธรรู้ตัวว่ามีรถตาม ก็เร่งความเร็วรถขึ้น นกน้อยเร่งความเร็วและแซงรถคันอื่นไปจนใกล้รถของภพธรโดยมีรถอีกคันคั่นกลาง
“เส้นนี้ออกนอกเมือง ถ้าเราโชคดี อาจจะได้เจอคลังยาเสพติดของมัน”
ขาดคำเหยี่ยว ภพธรก็หักเลี้ยวตรงที่กลับรถอย่างรวดเร็ว นกน้อยเบรกไม่ทัน
“ไปกลับรถข้างหน้าเลยจ่า ด่วน”
เหยี่ยวหันมองรถภพธรอย่างไม่อยากให้คลาดสายตา ในขณะที่นกน้อยรีบกลับรถตามรถภพธรไป

น้ำรินเดินเข้ามาในห้องนอนภพธร สิ่งแรกที่สะดุดสายตาคือรูปถ่ายนับดาวกับภพธรที่อยู่บนโต๊ะ
ข้างเตียง
นับดาวเดินออกมาจากห้องน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่กับบ้านเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เดินไปกดเปิดเพลงที่เครื่องเสียง หน้าตามีความสุขมาก
น้ำรินมองตามอย่างไม่เข้าใจ
นับดาวหยิบโทรศัพท์ออกมาหาภพธร แต่เป็นระบบฝากเสียง
“พี่ธรคะ เย็นนี้อยากกินอะไร ดาวติดต่อพี่ไม่ได้ ถ้างั้นดาวจะทำไก่อบซอสมะนาวของโปรดพี่ธรให้ทานนะคะ”
น้ำรินยืนเท้าเอวมอง
“นี่เธอ ทำตัวเป็นเมียเค้ามากกว่าเลขาอีกนะ”
นับดาวเริ่มเตรียมกับข้าวให้ภพธรอย่างมีความสุข ท่ามกลางสายตาไม่เข้าใจของน้ำริน

ธาราถือธูปหนึ่งดอกไหว้อัฐิของนุติ แล้วมองรูปด้วยความเสียใจ
“ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ฉันก็ยังเสียใจที่เป็นต้นเหตุ ทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงกับเธอและครอบครัว”
ธาราเอื้อมมือไปปักที่กระถางธูป สงครามส่งช่อดอกกุหลาบสีขาวให้ ธารานำมาวางไว้ที่ข้างกระถางแล้วพูดกับรูปนุติ
“ฉันขอโทษนะนุติ”
ธาราพูดกับสงคราม ขณะที่กำลังเข็นรถเธอมาตามทางเดินที่ทอดยาว
“สิ่งที่ฉันพยายามชดใช้ให้ภพธร มันเทียบไม่ได้กับการที่เค้าต้องเสียพ่อไป แต่ฉันมั่นใจว่าภพธรรู้ถึงความตั้งใจของฉัน “
“ถึงมั่นใจก็อย่าประมาท”
“หมาแมวยังซื่อสัตย์กับเจ้าของ แล้วนี่คนทั้งคน จะไม่รู้จักบุญคุณเชียวเหรอ คุณเลิกสงสัยเค้าได้แล้ว”
สงครามพูดอย่างจริงจัง
“ตราบใดที่ชีวิตคุณยังอยู่ในอันตราย ผมเลิกสงสัยใครไม่ได้ ดอกแก้วของผมจะต้องอยู่ในที่ๆ สูงและปลอดภัยที่สุด”
พอสงครามกับธาราออกไป ภพธรก็ก้าวออกมาจากที่ซ่อน เดินเข้าไปตรงหน้าที่เก็บอัฐิของนุติ พลางมองรูปพ่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจแรงกล้าและความแค้นที่ฝังลึก
เหยี่ยวกับนกน้อยย่องเข้ามาแอบซุ่มดูอยู่ไกลๆ แต่บังเอิญเสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้น นกน้อยรีบปิดเสียง
ภพธรยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าที่เก็บอัฐิ พลางปรายหางตามองไปทางที่ซ่อนของเหยี่ยวและนกน้อยแว้บนึง ก่อนจะก้มลงกราบลาที่เก็บอัฐิของนุติ แล้วเดินออกไป เหมือนไม่รู้ว่ามีคนแอบตาม

ภพธรปักธูปลงบนกระถาง แล้วก้มกราบพระ เหยี่ยวกับนกน้อยแอบดูอยู่ที่หน้าต่างของโบสถ์ แล้วพบว่ามีภพธรนั่งอยู่คนเดียว
พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ภพธรกดรับสาย
“ยืนยันตามนัดหมาย ผมจะรอที่เดิม”
ภพธรกดวางสาย แล้วหลับตาลงนั่งสมาธิ เหยี่ยวกับนกน้อยหันมาสบตากัน แล้วค่อยๆหลบเดินห่างออกมา
“ทำบาปในที่บุญ นัดซื้อขายยาเสพติดในโบสถ์ ยังกับจะให้พระเป็นพยานความชั่ว”
นกน้อยส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้
“คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ดูภายนอกอาจจะเป็นคนดี แต่ความจริงแล้วชั่วร้ายสุดๆ สงสารก็แต่ผู้หญิงที่ไปหลงเชื่อ”
เหยี่ยวคิดถึงน้ำรินอย่างเป็นห่วง
“ผู้หญิงคนไหนเหรอครับ”
“อ๋อ พูดถึงทั่วไปๆ น่ะ เรารอแถวนี้แหละ เดี๋ยวอีกฝ่ายคงมา”
ทั้งคู่ซุ่มรออยู่เป็นชั่วโมงก็ยังไม่มีใครมา เหยี่ยวรู้สึกผิดสังเกต รีบตรงไปยังประตูโบสถ์ทันที พอเข้าไปกลับเจอพระภิกษุ 1 รูป กำลังทำความสะอาด
“ผู้ชายที่นั่งสมาธิไปไหนแล้วครับ”
“ออกไปแล้วล่ะโยม”
เหยี่ยวกับนกน้อยงง
“แต่ผมนั่งอยู่หน้าประตูตลอด ทำไมไม่เห็นล่ะครับ”
“อ๋อ เค้าออกไปทางประตูหลังพระประธาน”
เหยี่ยวส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด

ภพธรเอื้อมเข้ามาคว้าช่อกุหลาบขาว ที่วางอยู่ที่เก็บอัฐินุติ จากนั้นก็นั่งเรือไปอีกฟากของแม่น้ำไปขึ้นที่ท่าน้ำของสถานพยาบาลที่อยู่ริมแม่น้ำ
ภพธรก้าวลงจากเรือ ถือช่อกุหลาบขาวเข้าไปในสถานพยาบาล ตรงมาที่หน้าห้องพัก พยาบาลเดินออกมาพอดี
“คุณหมอมารอคุณภพธรตามนัด แต่ถูกตามตัวเข้าห้องผ่าตัดด่วนก็เลย ออกไปแล้วค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมติดธุระออกมาไม่ได้ คุณช่วยส่งรายละเอียดอาการคนไข้ กับค่าใช้จ่ายเข้าอีเมล์ผมด้วย”
พยาบาลรับคำ แล้วเดินไป ภพธรเปิดประตูเข้าไปในห้อง

ภพธรถือช่อดอกกุหลาบขาวเข้ามาในห้องคนไข้ แล้ววางลงข้างๆ ร่างหนึ่ง ที่ห่มผ้าสีขาว นอนหลับอยู่อย่างสงบบนเตียง พลางพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่อ่อนโยน แต่ดูเหมือนมีอาการทางจิตนิดๆ
“พี่เอาดอกกุหลาบสีขาวที่เธอชอบมาฝาก เธอคงไม่ถือที่มันเคยเป็นดอกไม้ที่ใช้ไหว้คนตาย เพราะเธอเองก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่”
ร่างน้ำรินที่นอนอยู่บนเตียง หลับตานิ่ง ภพธรลูบผมเธอด้วยความนุ่มนวลรักใคร่ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าแววตาเป็นเคียดแค้น
“วันนี้แม่ของน้องน้ำไปเยี่ยมพ่อพี่ด้วย คุณอาธาราบอกว่าเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้พ่อพี่ตาย แต่มันโกหก มันไม่เคยเสียใจ พี่ถึงต้องทำให้มันเสียคนที่มันรักบ้าง มันจะได้รู้รสชาติของความสูญเสีย ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถึงจะ
สาสม พี่ไม่ได้เกลียดเธอเลยนะน้ำริน แต่เธอผิดที่เกิดมาเป็นลูกนังธารา”
ภพธรยกหมอนไปที่หน้าน้ำริน แล้วกดหมอนแน่นขึ้นเรื่อยๆ
สัญญาณหัวใจและชีพจรเต้นผิดปกติทันที
ภายในใจของภพธรสับสน เพราะใจหนึ่งก็แค้น แต่อีกใจหนึ่งก็สงสาร ไม่อยากทำร้ายน้ำริน
พลางนึกถึงเหตุการณ์ช่วงที่นุติเสียชีวิต ภพธรยืนมองรูปพ่อแล้วร้องไห้
“พ่อครับ ผมอยู่ยังไงคนเดียว”
มือเล็กๆของน้ำรินสอดเข้ามาจับมือเขาไว้แน่น
“พี่ธรอยู่กับน้ำนะคะ น้ำจะดูแลพี่ธรเอง น้ำสัญญา”
ภพธรมองน้ำรินอย่างซึ้งใจ

ภพธรน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาเต็มเบ้า จากนั้นก็เหวี่ยงหมอนทิ้งไปทันที
“ทำไมเธอไม่ตายซะ ตั้งแต่ตอนที่พี่ทำให้เธอเกิดอุบัติเหตุ ถึงตอนนี้พี่ไม่รู้จะทำยังไงกับเธอ พี่ทนเห็นเธอตายต่อหน้าไม่ได้”
ภพธรดึงมือน้ำรินขึ้นมา แล้วซบหน้าลงบนมือน้ำตาคลอ

สงครามนั่งนวดเท้าให้ธารา ที่ชักเริ่มสงสารเขาขึ้นมาแล้ว
“ถามจริงๆเถอะค่ะ ทั้งๆ ที่ฉันวีนเหวี่ยงใส่คุณสารพัด คุณยังจะดีกับฉันอีกเหรอคะ”
“ผมไม่ได้เพิ่งรู้จักคุณแค่วันนี้ แต่รู้จักคุณมาทั้งชีวิตผม แค่ลม ทำให้ภูเขาสั่นคลอนไม่ได้หรอก”
สงครามมองด้วยสายตามีความหมาย แล้วก็ก้มหน้าก้มตานวดเท้าต่อ ธารารู้สึกอบอุ่นหัวใจ


ทางด้านน้ำรินก็ยืนกอดอกดูนับดาวทำตัวเสมือนเป็นเจ้าของห้อง อย่างสงสัยและหวาดระแวง
ภพธรเลี้ยวรถเข้ามาจอดในอาคารที่จอดรถของคอนโด พลันก็มีเสียงเตือนว่ามีอีเมลล์เข้ามา จึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาโหลดอ่าน ปรากฎภาพใบวางบิลค่าใช้จ่ายของสถานพยาบาล
จังหวะเดียวกับที่นับดาวเปิดอีเมลล์ที่คอมพิวเตอร์ในห้องพอดี

“บิลค่าใช้จ่ายของสถานพยาบาล ?”
 
อ่านต่อหน้า 2

ภพรัก ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)

ภพธรเดินมาที่หน้าลิฟต์ พลางอ่านรายงานอาการของน้ำริน กับดูรายละเอียดค่าใช้จ่ายในมือถือ จากนั้นก็เดินเข้าลิฟต์ไป

นับดาวกวาดตาอ่านรายงานในคอมพิวเตอร์ แล้วก็ถลึงตาด้วยความโกรธจัด
“นังน้ำรินยังไม่ตาย”

ภพธรเปิดประตูเข้ามาในห้อง น้ำรินเดินออกมาจากห้องนอน ก็ยิ้มอย่างดีใจ
“พี่ธร”
นับดาววิ่งถลาออกมาจากห้องทำงาน
“พี่ธร”
นับดาวกอดแล้วหอมแก้มภพธรซ้ายขวาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
น้ำรินยืนมองด้วยอาการตะลึง อึ้ง และช็อก

ภพธรเดินเข้ามาในห้องทำงาน ไปนั่งที่โต๊ะทำงาน นับดาวอ้อมหลังไปกอดคอไว้ด้วยท่าที่สนิทสนม น้ำรินยืนมองที่มุมห้อง รู้สึกรับไม่ได้กับท่าทางสนิทสนมของนับดาว
ภพธรกดเปิดคอมพิวเตอร์ นับดาวรีบทำเสียงอ้อน
“อะไรคะ กลับมาก็ทำงานต่อเลยเหรอ พักหน่อยเถอะค่ะ ดาวแช่เบียร์เย็นๆไว้ ดื่มซักแก้วแล้วค่อยอาบน้ำดีมั้ยคะ “
ภพธรปลดมือนับดาวออกจากคอ นับดาวชะงักกับการโดนผลักออกเป็นครั้งที่สอง
“ไปพักผ่อนตามสบายเถอะ พี่ขอโอนเงินก่อน”
“บัญชีใครคะ ให้ดาวโอนให้ก็ได้”
ภพธรเสียงแข็งขึ้นมาทันที “ไม่ต้อง พี่ทำเอง”
“งั้นดาวนวดให้”
ภพธรปัดมือออก นับดาวก็หมดความอดทนกับอาการผลักไสของภพธร แล้วระเบิดอารมณ์โวยวายเสียงดังลั่น จนน้ำรินเองก็ตกใจ
“ดาว อย่าเพิ่งหาเรื่องได้มั้ย พี่เหนื่อย”
“แล้วไม่คิดว่าดาวเหนื่อยบ้างเหรอคะ ดาวต้องเอาอกเอาใจ คอยรับใช้พี่ทุกอย่าง ตั้งแต่ที่ทำงานยันบนเตียง”
น้ำรินช็อก แม้ว่าจะคาดคิดไว้ก่อนแล้วก็ตาม
“พี่เบื่อดาวแล้วใช่มั้ย พี่ยังรัก ยังคิดถึงนังน้ำรินมากใช่มั้ย”
ภพธรพยายามปราม “ดาว อย่างี่เง่าน่า”
“ดาวไม่ได้งี่เง่า พี่ธรนั่นแหละที่ไม่เหมือนเดิม พี่ไม่เคยมีความลับกับดาว”
นับดาวหลุดปาก ภพธรก็ชะงักระแวงทันที
“ความลับอะไร พี่ถามว่าความลับอะไร”
นับดาวรู้สึกตัวก็รีบบ่ายเบี่ยง
“ไม่รู้ค่ะ ดาวแค่สงสัย เพราะพี่ไปไหน ไปทำอะไรก็ไม่เคยบอกดาวสักครั้ง “
ภพธรเสียงแข็งขึ้นมาทันที
“แล้วทำไมพี่ต้องรายงานดาวด้วย ดาวเป็นใคร พี่เป็นใครอย่าลืมตัวลามปามให้มันมากนัก”
นับดาวโกรธจนน้ำตาไหล
“ใช่ซิ ดาวไม่ใช่น้ำรินนี่ ขนาดมันเป็นผู้หญิงเอาแต่ใจ ชอบกดหัวใช้คนอื่น ไม่เคยดูแลสนใจพี่ธรเลย พี่ก็ยังรักมัน”
น้ำรินฟังนับดาวพูดถึงตัวเองแล้วก็อึ้ง ภพธรรำคาญ รีบเดินออกไปจากห้องทำงาน แต่นับดาวยังคงตามตอแย ก่นด่าน้ำรินด้วยความเจ็บแค้น
“ดาวต่างหากที่ทำทุกอย่างเพื่อพี่ แต่พี่กลับไปรักนังผู้หญิงเห็นแก่ตัวนั่น ดาวเกลียดมัน เกลียดๆ ดาวเกลียดมัน ได้ยินมั้ย พี่ธรรักมันมากแค่ไหน ดาวก็จะเกลียดมันเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
นับดาวพูดใส่หน้า ภพธรตาลุกวาว ดึงนับดาวเข้ามาประจัญหน้าใกล้ๆ
“น้ำรินไม่ใช่ผู้หญิงเห็นแก่ตัว เค้าเป็นคนดีกว่าที่เธอคิด เธอจะเกลียดชังน้ำรินเท่าไหร่ พี่ไม่สน แต่ถ้าเธอยังขืนพูดถึงน้ำรินในทางไม่ดีอีกแม้แต่คำเดียว ชาตินี้เราไม่ต้องเจอกันอีก”
พูดจบก็ผลักนับดาวออกแล้วเดินเข้าห้องนอนไป น้ำรินซึ้งใจที่ภพธรปกป้องเธอ
นับดาวหายใจแรงด้วยความโกรธแค้นหนักขึ้นกว่าเดิม
“ก็ได้ แต่โลกนี้จะต้องไม่มีคนชื่อน้ำรินอีกต่อไป”

“นับดาว ผู้หญิงคนนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการที่ร่างฉันหายไป ดีไม่ดีอาจจะเป็นคนร้ายเองก็ได้”
น้ำรินบอกกับเหยี่ยว ขณะเดินคุยกันมาตามทาง
“ความเกลียดชังก็เป็นเหตุจูงใจอย่างนึง แล้วพี่ธรของคุณว่ายังไง”
แม้จะสงสัยภพธร แต่เหยี่ยวก็ไม่อยากถามออกไปชัดๆ
“พี่ธรพยายามปกป้องฉัน นับดาวก็เลยยิ่งคลั่ง เกลียดฉันเข้าไปใหญ่”
“พรุ่งนี้ผมจะลองตามเรื่องผู้หญิงคนนี้ดู เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ทำอะไรได้ก็ต้องรีบทำ”
ทั้งสองมองหน้ากัน ด้วยรู้ว่าเวลาใกล้หมดเต็มที
“ฉันอยากลองไปหาแม่อีกซักครั้ง คุณไปกับฉันได้มั้ย”
“ผมไม่มีวันปล่อยมือจากคุณ ผมจะไปกับคุณทุกที่”
เหยี่ยวมองตาน้ำริน สายตาเศร้า บ่งบอกถึงความรักหมดหัวใจ พลางดึงเธอเข้ามากอดไว้แนบอก น้ำรินรู้สึกเศร้าจนน้ำตาไหลออกมา
ในใจของทั้งคู่เต็มไปด้วยความขมขื่นด้วยรู้ว่าไม่นานต้องจากกัน

เหยี่ยวกับน้ำรินยืนกอดอกมองสายน้ำที่อยู่เบื้องหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจเรื่องที่จะไปหาธาราอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เพราะเกรงว่าธาราจะไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น
“มีช่วงเวลาพิเศษของคุณกับแม่ที่รู้กันแค่สองคนมั้ยล่ะ”
เหยี่ยวถามอย่างจริงจัง น้ำรินหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบ
“แม่ฉันเป็นเวิร์คกิ้งวูแมน ทำงานตลอดเวลา แต่ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะทุ่มเทให้ลูกทันที แม่ไม่เคยพลาดงานวันแม่ที่โรงเรียนเลย ฉันเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่มีแม่มาร่วมงานวันพ่อ แล้วฉันก็ได้กราบแม่แทนพ่อ เพราะแม่เป็นทั้งพ่อและแม่ของฉัน”
เหยี่ยวหน้าสลด
“วันพ่อกับวันแม่เป็นวันที่เศร้าที่สุดสำหรับผม เพราะผมไม่มีทั้งสองอย่าง ผมแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกตอนโดนแม่กอดเป็นยังไง”
เหยี่ยวกอดตัวเองแน่นขึ้น ด้วยความโหยหาความอบอุ่น น้ำรินหันไปมอง ก่อนตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
“ขอโทษนะ ที่ฉันเป็นแค่ดวงจิต คงทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยไม่ได้”
น้ำรินกอดเหยี่ยวด้วยหัวใจ จนเขารู้สึกประหลาดใจ เพราะแม้ว่าร่างกายจะไม่ได้สัมผัสกันอย่างแท้จริง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักของเธอที่มีต่อเขา
“ขอบคุณนะครับ ผมจะไม่ลืมความรู้สึกนี้เลย”

เหยี่ยวจูงจักรยานออกมาจากบ้าน น้ำรินเดินตามมาด้วย
ยายนวล นกน้อย ปลาทู ปูอัดยืนรอหลวงตาเคี้ยงบิณฑบาต เหยี่ยวจึงชวนน้ำรินเข้ามาสมทบ
ครู่หนึ่งหลวงตาเคี้ยงก็เดินมา เหยี่ยวรีบพนมมือ “นิมนต์ครับหลวงตา”
หลวงตาเคี้ยงเดินมารับบาตร เหยี่ยวจับทัพพีขึ้นมาตักข้าว แล้วหันมากระซิบกับน้ำรินเบาๆ
“ใส่บาตรด้วยกันสิน้ำ”
“ได้เหรอ”
เหยี่ยวพยักหน้า แล้วเว้นที่ให้น้ำจับทัพพีด้านบน แล้วก็ตักบาตรด้วยกัน
หลวงตาเคี้ยงกระซิบถามเหยี่ยว “น้ำคือผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
เหยี่ยวพยักหน้า หลวงตาเคี้ยงหายใจเฮือกด้วยความกลัว แต่พยายามข่มไว้ ครั้นพอให้พรเสร็จก็รีบเปิดไปทันที
เหยี่ยวรีบขึ้นจักรยาน โดยมีน้ำรินขึ้นซ้อนท้าย
“ผมไปก่อนนะยาย”
“จะไปไหน รอก่อนสิ หนูแนนกำลังมา”
เหยี่ยวไม่สนใจ ขี่จักรยานไปเลย ยายนวลส่ายหน้าอย่างระอา นกน้อยมองตามเหยี่ยวอย่างรู้สึกเอะใจสงสัย ก่อนที่จะมาแอบคุยกับปลาทู และปูอัด ว่าเหยี่ยวมีท่าทีชอบกล เหมือนพยายามหลบหน้าแนน เพราะไม่เต็มใจหมั้น
แนนยืนฟังอยู่ด้านหลัง สีหน้าไม่สบายใจ ยายนวลออกมาจากบ้านก็รีบทัก
“อ้าว แนน มาแล้วเหรอ”
นกน้อย ปลาทู ปูอัดตกใจ

แนนคิดมากกับสิ่งที่ได้ยิน จึงออกมาคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว ยายนวลตามออกมาด้วยความเป็นห่วง แล้วพยายามพูดปลอบใจ
“มันคงเขินมั้ง คนเคยเป็นเพื่อนสนิท พอเปลี่ยนสถานะเป็นคู่หมั้นก็เลยไม่คุ้น ให้เวลามันปรับตัวหน่อย เดี๋ยวก็ดีไปเองแหละ “
แนนรู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง แต่ลึกๆในใจก็ยังคงไม่สบายใจ

ธาราเข็นรถตัวเองเข้ามาในบ้าน สีหน้าไม่พอใจกับเรื่องที่เหยี่ยวเล่าให้ฟัง เหยี่ยวกับน้ำรินรีบตามเข้ามา
“ถ้าจะมาพบฉันด้วยเรื่องไร้สาระ ก็ออกไปซะเถอะ ฉันคิดว่าเราคุยกันเข้าใจไปตั้งแต่คราวที่แล้วนะ”
“ผมขอโอกาสอธิบายอีกสักครั้งเถอะครับ มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับลูกสาวของคุณธารานะครับ”
พลางหันไปกระซิบกับน้ำริน “คงต้องเริ่มเรื่องที่คุณกับแม่รู้กันแค่สองคนแล้ว”
น้ำรินมองซ้ายมองขวา แล้วรีบบอกกับเหยี่ยว
“บอกแม่ว่า แม่เคยช่วยฉันเลือกการ์ดแต่งงานตรงนั้น”
พอเหยี่ยวหันมาบอก ธาราก็ชะงักไปทันที เหยี่ยวรีบบอกต่อตามที่น้ำรินบอก
“คุณบอกน้ำรินว่า นี่เป็นบทเรียนแรกของหงส์ที่จะอยู่เหนือมังกร”
จากนั้นน้ำรินก็พูดให้ฟังอีกหลายเรื่อง ธาราอึ้ง มองเหยี่ยวด้วยสายตาค้นหา
“เธอรู้ได้ยังไง”
“เพราะดวงจิตของน้ำรินบอกผม เธอยืนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้”
ธารานิ่งแววตาเครียด เดาอารมณ์ไม่ถูกว่ากำลังเชื่อหรือกำลังโกรธกันแน่
“บอกแม่เรื่องนาฬิกาแฝด”
พลางชูนาฬิกาให้ดู เหยี่ยวแปลกใจเมื่อเห็นนาฬิกาของน้ำรินเหมือนกับนาฬิกาของธารา
“นาฬิกาของคุณเป็นนาฬิกาแฝด นาฬิกาเรือนนี้น้ำรินเป็นคนซื้อให้คุณ เพราะต้องการให้ใส่ติดตัว เพื่อจะได้ระลึกถึงกันเสมอ”
ธารานั่งนิ่ง “ใครๆ ก็รู้ว่าลูกฉันซื้อนาฬิกาให้เป็นของขวัญวันเกิด มันไม่ใช่ความลับ”
น้ำรินอ้ำอึ้งไม่รู้จะทำไง พยายามหาทางทำให้แม่เชื่ออยู่
“คุณเล่าให้แม่ฟังอีกรอบสิ คราวนี้เอาตั้งแต่วันที่คุณเจอฉันเลยนะ เล่าให้ละเอียดยิบเลย”
เหยี่ยวถอนหายใจ หันหน้ามาอ้าปากจะเล่า แต่ธาราพูดขัดขึ้นมาก่อน
“พอแล้ว ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องเหลวไหลไร้สาระอะไรอีกแล้ว ออกไป ออกจากบ้านฉัน”
เหยี่ยวหันไปมองน้ำรินเหมือนกำลังพยายามหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ธาราน้ำตาคลอด้วยความเครียด
เหยี่ยวถอนหายใจยาว ตัดสินใจยกมือไหว้ธาราแล้วเดินออกไป
น้ำรินมองธารา ร้องไห้ แล้วรีบเดินตามเหยี่ยวไป ธาราบีบมือจับรถเข็นแน่น กลั้นน้ำตาสุดกำลัง
ภพธรที่แอบฟังอยู่ ได้ยินทุกอย่าง เริ่มระแวงว่าเหยี่ยวจะรู้อะไรเกี่ยวกับน้ำรินบ้าง

ธารานั่งอยู่ที่บริเวณริมหน้าต่าง มองลงมายังเบื้องล่างเห็นเพียงเหยี่ยวยืนอยู่คนเดียว แต่เหมือนว่าเธอกำลังมองไปที่น้ำริน พลางถอนหายใจยาว สับสนในความคิด เพราะเรื่องที่เหยี่ยวเล่ามันยากที่จะเชื่อถือได้

น้ำรินพูดเศร้าๆ
“ฉันหมดหวังแล้ว ชาตินี้ฉันอาจจะไม่มีโอกาสพบกับแม่อีกแล้วก็ได้”
“เรายังมีเวลาอีกตั้งเดือนนึงที่จะหาร่างคุณให้เจอ”
น้ำรินส่ายหน้า “ฉันไม่อยากฝันอะไรลมๆแล้งๆอีกแล้ว”
เหยี่ยวเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “มานี่ ผมจะพาคุณไปดูอะไร”

พูดจบก็รีบจูงมือพาน้ำรินไป

เหยี่ยวพาน้ำรินมารับกรอบรูปจิ๊กซอว์ที่สั่งทำไว้ที่ร้าน จากนั้นก็พามาเปิดดูกันที่ริมแม่น้ำ

“คุณรู้มั้ยว่าผมใช้เวลาต่อจิ๊กซอว์รูปนี้กี่ปี”
“ปีนึง สองปี”
เหยี่ยวส่ายหน้า แล้วพูดเสียงมั่นคง
“สิบปี เพราะรูปนี้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ครอบครัวผมได้อยู่ด้วยกันผมต่อมันช้าๆ เพื่อให้ตัวเองได้อยู่กับความฝันที่มีพ่อกับแม่อยู่ด้วย ในความฝันผมได้เล่นน้ำทะเล ได้วาดรูปบนทราย กับน้องคนนั้น”
น้ำรินมองเหยี่ยวอย่างเข้าใจและเห็นใจ
“เอ๊ะ เดี๋ยว น้องคนนั้น”
ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาในความทรงจำของน้ำริน เป็นภาพปะติดปะต่อเหมือนฟิล์มขาดที่เอามาร้อยเข้าด้วยกัน
น้ำรินมองหน้าเหยี่ยวแล้วหันกลับไปมองรูปอีกอย่างตื่นเต้น
“เด็กผู้หญิงคนนั้นคือฉันเอง”
เหยี่ยวตกใจ และตื่นเต้น “ฮะ? เด็กผู้หญิงคนนั้นคือคุณเองเหรอ”
“ใช่ ฉันจำได้ วันนั้นแม่ไปทำงานที่ทะเล แล้วก็พาฉันไปด้วย คุณคือพี่ชายใจดีที่สอนฉันวาดรูป”
น้ำรินหันมาทางเหยี่ยวแล้วพบว่าหน้าของเหยี่ยวอยู่ชิดกับเธอ ดวงตาหวานฉ่ำ
“คุณจะทำอะไร”
น้ำรินตกใจเขิน เหยี่ยวยิ้มกรุ้มกริ่ม
“วันนั้นคุณขโมยหอมแก้มผม ผมก็จะเอาคืนน่ะสิ”
“ฉันเนี่ยนะ หอมแก้มคุณ”
น้ำรินคิดถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น แล้วก็เขินจนวางหน้าไม่ถูก
“จริงด้วยสิ น่าอายจังเลย”
“ไม่เห็นต้องอายเลย ให้ผมหอมคืนทีนึงก็หายกันแล้ว”
น้ำรินยิ่งเขินหนัก “มันหอมกันได้ที่ไหนล่ะฉันเป็นแค่ดวงจิตนี่นา”
“ก็แปะโป้งไว้ก่อน คุณกลับเข้าร่างได้เมื่อไหร่ ผมจะทวงหนี้ทันที”
น้ำรินหน้าเศร้าทันที “มันคงไม่มีวันนั้นหรอก คุณอย่าหวังอะไรที่มันไม่มีวันเป็นจริงเลยค่ะ”
“คุณยังมีความหวัง คุณเชื่อผมสิ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ จะต้องสำเร็จ เราจะหาร่างของคุณพบแน่ๆ “
น้ำรินกับเหยี่ยวมองตากันส่งผ่านความหวังให้กันและกัน

เหยี่ยวถือกรอบรูปมือหนึ้ง ส่วนอีกมือ จูงมือน้ำรินกลับมาถึงบ้าน ขณะที่แนนกำลังรีดเสื้อของเหยี่ยว ที่ราวข้างๆ แขวนเสื้อเหยี่ยวเรียงไว้เต็มราว
เหยี่ยวกับน้ำรินอึ้งไปทันที
“แนน มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ยายนวลเดินออกมาจากบ้าน แล้วรีบตอบแทน
“มารอตั้งแต่เช้า เก็บบ้านเก็บช่องรอเอ็งทั้งวัน ไปไหนมา กลับซะมืดเชียว วันหยุดทั้งทีแทนที่จะอยู่กับคู่หมั้น”
เหยี่ยวกับน้ำรินมองหน้ากันอย่างอึดอัด แนนรีบบอกว่าไม่เป็นไร พลางปิดเตารีด แล้วเดินเข้าไปในครัว เพื่อเตรียมอาหาร
เหยี่ยวกับน้ำรินยิ่งอึดอัดใจ ยายนวลรีบดันตัวเหยี่ยวให้ตามไปทันที
“ยืนเฉยอยู่ทำไมล่ะ ไปช่วยหนูแนนสิ เอาใจเค้าด้วยล่ะ ผู้หญิงดีๆแบบนี้หาไม่ได้แล้วนะโว้ย”
เหยี่ยวจำใจเดินเข้าไปหาแนนในครัว น้ำรินลำบากใจ คิดถึงตัวเองแล้วสะท้อนใจพูดอะไรไม่ออก

“วันนี้ฉันรู้สึกว่าลูกอยู่กับฉัน น้ำรินอาจจะอยู่ตรงนั้นจริงๆ ก็ได้”
ธาราพูดกับสงครามอย่างสับสน
“คุณคิดไปเองรึเปล่า”
“ฉันไม่ได้คิด แต่ฉันรู้สึกได้ มันเป็นความรู้สึกของคนเป็นแม่ ที่มีต่อลูก”
สงครามมองธาราอย่างสงสารและเห็นใจ “คุณรู้สึกเพราะใจคุณเชื่อ”
“สิ่งที่เจอวันนี้มันทำให้ฉันสับสน ใจนึงก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริง แต่อีกใจก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ค่อยๆ คิด ใช้สติ แล้วคุณจะรู้ว่าอะไรจริง ไม่จริง”
ธาราพยายามกลั้นไม่ร้องไห้ แต่พอสงครามเข้ามาแตะที่ไหล่เบาๆ อย่างต้องการส่งผ่านกำลังใจ น้ำตาก็ร่วงพรูออกมาทันที

ภพธรยืนมองไปนอกหน้าต่าง สีหน้าเคร่งเครียด
“ทำไมหมวดเหยี่ยวต้องเข้ามายุ่งเรื่องน้ำริน หรือมันจะรู้อะไรแล้วแกล้งทำมาเป็นหยั่งเชิงกับนังธารา”
นับดาวเดินเข้ามาข้างหลังพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน อาสาจะไปสืบเรื่องให้
ภพธรยิ้มรับด้วยความพอใจ นับดาวเดินออกไป แววตาและสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นร้ายเลือดเย็นทันที

นับดาวเดินเข้าไปในสถานพยาบาลด้วยมาดนิ่ง สีหน้าเยือกเย็นมาก พยาบาลเดินออกมาต้อนรับ
“มาเยี่ยมใครคะ”
นับดาวชักปืนพกออกมาจากกระเป๋า ทุบที่ซอกคอของพยาบาล จนสลบร่วงไปที่พื้น แล้วเดินบุกเข้าไป ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมเลือดเย็น

นับดาวเปิดประตูห้องเข้าไป เจอร่างน้ำรินที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ก็ถึงกับผงะ สีหน้าขมขื่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มด้วยความโกรธ และแค้นสุดขีด
“พี่ธรเอาแกมาซ่อนเอาไว้ที่นี่ พี่ธรยังรักแก เพราะอย่างงี้พี่ธรถึงไม่รักฉัน พี่ธรยังตัดใจจากแกไม่ได้ ทั้งๆ ที่คนอย่างแก มีดีก็แค่สวยรวย แต่ชอบโขกสับคนที่ต่ำต้อยแล้วเหยียบซ้ำให้จมดิน”
นับดาวจิกผมน้ำรินขึ้นมา
“ชอบจิกหัวใช้นักใช่มั้ย โดนบ้างแล้วรู้สึกยังไง”
จากนั้นก็กระชากผมน้ำรินตามอารมณ์โกรธแค้น ก่อนที่จะผลักหัวกลับไปที่เตียงโครมใหญ่ พลางมองด้วยความแค้นใจ
“เวลาฉันโดนแกจิกหัวใช้ต่อหน้าพี่ธรกับเพื่อนๆ ฉันเจ็บ ฉันอาย พอแกดีกับฉัน ฉันยิ่งเกลียดแก เพราะฉันรู้ว่าแกทำเป็นดีเพื่อสร้างภาพให้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ในสายตาพี่ธร แต่ความจริงแกคือนางมารที่มาจากนรก”
น้ำตาแห่งความแค้นหลั่งไหลออกมาโดยนับดาวไม่รู้ตัว ความแค้นที่ถูกฝังแน่นในจิตใจปะทุออกมา
“นังคนเห็นแก่ตัว กระทั่งนอนเป็นผีตายซาก แกก็ยังแย่งพี่ธรของฉันไปได้ ฉันเกลียดแก นังน้ำริน
ได้ยินมั้ยว่าฉันเกลียดแกเกลียดๆ ในเมื่อตายยากนัก คราวนี้แกจะต้องตายอย่างเจ็บปวดทรมานเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
นับดาวตาขวางเหมือนคนเสียสติ หยิบไฟแช็คออกมาจากกระเป๋า ดวงตาลุกโชนราวกับไฟด้วยความแค้น
ไฟแช็คลนที่ผ้าม่านในห้องคนไข้จนไฟลุกพรึ่บ นับดาวหัวเราะอย่างสะใจ มองผ้าม่านที่ไฟเริ่มลุกลามแล้วหันไปมองน้ำริน ที่ยังนอนไม่ได้สติบนเตียงคนไข้
“เอาสิ ลุกขึ้นมาสิ ฉันอยากรู้แกจะหนีไปไหนได้อีก แกไม่รอดแล้วนังน้ำริน ฉันอยากรู้นักว่าพอร่างของแกดำเป็นตอตะโก พี่ธรจะยังรักแกอีกมั้ย”
สีหน้าของนับดาว เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังราวกับคนเสียสติ

ขณะที่ธาราที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา พลันก็รู้สึกเหมือนมีมือหนึ่งแตะที่มือเธอเบาๆ
ธาราลืมตาขึ้นมา มองน้ำรินด้วยความประหลาดใจ ดีใจ
“น้ำ น้ำกลับมาหาแม่แล้ว”
ธาราดึงน้ำรินเข้ามากอด แล้วสะดุ้งเพราะตัวน้ำรินร้อนจี๋ น้ำรินถอยห่างออกมา แล้วเริ่มร้องไห้ สีหน้าเต็มไปด้วยความทรมาน
“แม่ช่วยหนูด้วย”
ไฟลุกท่วมขึ้นมารอบตัวน้ำริน ธาราตกใจมาก
น้ำรินร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด อยู่ในกองไฟ
ธารานอนหลับอยู่บนโซฟาลืมตาโพลงขึ้นด้วยความตกใจ รู้สึกสังหรณ์ใจว่ากำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับน้ำริน

เหยี่ยวเปิดประตูผางเข้าไปอย่างรวดเร็ว เห็นน้ำรินที่นั่งซุกอยู่ที่มุมห้อง กำลังลูบเนื้อตัวทุรนทุรายด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน เหมือนโดนไฟแผดเผาร่าง
“น้ำ คุณเป็นอะไร คุณจะตายไม่ได้นะ มันยังไม่ถึงเวลา”
น้ำรินทำท่าเหมือนจะหมดสติ ร่างของเธอจางลงๆเรื่อยๆ เหยี่ยวตกใจมาก
“น้ำ ลุกขึ้น ห้ามตาย ห้ามหายไปไหน นี่เป็นคำสั่ง ได้ยินมั้ย ชีวิตนี้ผมสูญเสียคนรักไปมากพอแล้ว คุณอย่าตายนะ”
น้ำรินร่างซีดจางลงไปเรื่อยๆ
“น้ำ อย่าเพิ่งไป คุณทิ้งผมไปแบบนี้ไม่ได้ ผมยังไม่ได้บอกคุณเลยว่า ผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
ร่างของน้ำรินเลือนหายไปจนกลายเป็นความว่างเปล่า เหยี่ยวช็อก ไม่อยากเชื่อว่าน้ำรินจากไปแล้ว
น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน
เรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย
ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เหยี่ยวเหม่อมองแม่น้ำ คิดถึงภาพความหลังของเขากับน้ำริน
“ผีขี้วีน ขี้งอน เจ้ากี้เจ้าการ มาทำให้วุ่นวายแล้วหายไปเฉยๆ อย่างนี้ได้ยังไง ผมยังไม่ได้บอกคุณเลย ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน”
แต่พอหันหลังกลับมา ก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นน้ำรินนอนหมดสติอยู่ที่พื้นใกล้ๆ
“น้ำ คุณกลับมาแล้ว?”
เหยี่ยวรีบเข้าไปหาน้ำริน ประคองร่างเธอขึ้นมา “ฟื้นสิน้ำ อย่าตายนะ ผมขอร้อง”
เปลือกตาของน้ำรินขยับนิดๆ แล้วค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง
ทั้งคู่โผเข้ากอดกัน
“ผมคิดว่าจะไม่ได้เจอคุณแล้ว”
“ฉันคิดว่าจะไม่ได้กลับมาหาคุณแล้ว”
เหยี่ยวยิ้มทั้งน้ำตา “แล้วคุณไปอยู่ที่ไหนมา”
“ฉันไม่รู้ มันว่างเปล่า จู่ๆ ความรู้สึกก็วูบดับไป แล้วก็กลับมาอยู่ที่นี่”
“สัญญานะว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหนอีก”
ทั้งสองกอดกันแนบแน่นด้วยความรัก และความหวาดกลัวที่จะพลัดพรากจากกันอีก
ครู่หนึ่งเหยี่ยวก็รู้สึกตัว แล้วรีบถาม “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันก็ไม่รู้ อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเหมือนโดนไฟเผา”
น้ำรินคิดถึงความร้อนและทรมานด้วยความหวาดกลัว เผลอเอามือลูบเนื้อตัวโดยไม่รู้ตัว
“แล้วตอนนี้ยังร้อนอยู่มั้ย”
“ไม่แล้ว ทุกครั้งที่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับคุณ ฉันจะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่นี่มันไม่ใช่ ฉันเจ็บปวดทรมานร้อนไหม้ไปทั้งตัว “
เหยี่ยวคิดตามที่น้ำรินพูด “หรือมีใครทำอันตรายร่างของคุณ”
“ร่างของฉัน ?”

น้ำรินเดินนำเหยี่ยวลิ่วๆ มาที่ศาลาวัด แล้วบอกให้เหยี่ยวยืนรอ ส่วนตัวเองรีบเดินเช้าไปหาผียายปริก
“ฉันไม่เข้าใจ เวลาฉันรู้สึกใจไม่ดี วูบวาบ หนาวๆร้อนๆ ทีไร ก็จะมีเรื่องกับคนที่ฉันรักทุกที แล้วคราวนี้ฉันรู้สึกร้อนเหมือนโดนไฟเผาทั้งตัว แต่กลับไม่มีใครเป็นอะไร”
“แน่ใจเหรอว่าไม่มีใครเป็นอะไร”
น้ำรินพยักหน้า “ทั้งเหยี่ยวทั้งแม่ปลอดภัยดี”
“สองคนนั้นคือคนที่หล่อนรัก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนรักที่สุด มนุษย์ย่อมรักตัวเองมากที่สุด เพราะฉะนั้นสิ่งที่หล่อนรักมากที่สุด ไม่ใช่ตัวหล่อนเองหรอกรึ”
น้ำรินอึ้ง ช็อก “ร่างของฉัน มีใครทำอะไรร่างของฉันใช่มั้ยปริก”
“เป็นไปได้ว่าร่างของหล่อนอาจจะถูกทำลาย”

“ผีปริกไม่ใช่หมอดู เรายังไม่เห็นด้วยตา ไม่มีหลักฐาน ก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าร่างคุณโดนทำลายไปแล้ว” เหยี่ยวพยายามพูดปลอบใจ ขณะที่เดินคุยมากับน้ำรินหลังจากออกจากวัด
“คุณก็คิดแบบตำรวจเอะอะก็ต้องมีพยานหลักฐาน แต่โลกนี้ก็มีบางเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ อย่างเรื่องดวงจิตของฉันไง”
“แต่ถ้าร่างคุณโดนทำลายไปแล้ว ดวงจิตคุณก็น่าจะสลายไปด้วยไม่ใช่เหรอ”
น้ำรินหน้าสลด “ไม่รู้สิ ตอนนี้ฉันอาจจะกลายเป็นผีเต็มตัวแล้วก็ได้”
“ผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณกำลังเศร้า แต่ความเศร้าต้องไม่ทำให้เรายอมแพ้ ความเศร้าสอนให้เราลุกขึ้นสู้.คุณต้องเลือกว่าจะนั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ หรือจะเดินไปด้วยกัน”
เหยี่ยวยื่นมือไปตรงหน้า น้ำรินพยักหน้าแล้ววางมือบนมือเหยี่ยว ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขา

“เพื่อพิสูจน์ว่าคุณยังไม่ตาย ผมจะหาร่างคุณให้พบให้ได้”

นับดาวเปิดประตูเข้ามา มองซ้ายมองขวาด้วยกลัวความผิดที่ตัวเองไปทำมา เกรงว่าภพธรจะจับได้

แสงไฟจากระเบียงห้องส่องเข้ามา ทำให้ภายในห้องสลัวๆ พลันก็มีเสียงเหล็กกระทบกับของแข็ง
นับดาวตกใจ พอหันไปมอง ก็เห็นเงาของภพธรที่เงื้อเหล็กเจาะน้ำแข็งขึ้นสูง
ภพธรเดินย่างสามขุมเข้ามาหา นับดาวถอยกรูด พลางเบิกตาโพลงด้วยความกลัว
ภพธรเอื้อมมือไปกดสวิชต์ไฟที่ผนังด้านหลังนับดาว
“ตกใจอะไร”
นับดาวตกใจจนพูดไม่ออก ได้แต่ยิ้มแหยๆ
“เปล่าค่ะ ทำไมพี่ธรอยู่มืดๆ ไม่เปิดไฟล่ะคะ”
ภพธรหัวเราะในคอเบาๆ “กลายเป็นคนขวัญอ่อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
พลางเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ หยิบน้ำแข็งใส่แก้วน้ำ แล้วเดินออกไปที่ระเบียง นับดาวพยายามรวบรวมสติที่กระเจิงแล้วเดินตามออกไปที่ระเบียง
“ไปไหนมา”
นับดาวพยายามฝืนทำหน้าและน้ำเสียงปกติ
“ไปส่งเพื่อนไปเมืองนอกค่ะ”
ภพธรแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “เพื่อนเหรอ ?”
พลางหันมามองหน้านับดาวอย่างจับสังเกต
“ตั้งแต่รู้จัก มีแค่น้ำรินคนเดียวที่เธอคบเป็นเพื่อน เพื่อนชื่ออะไร”
“บอกไปพี่ธรก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ”
ภพธรเดินเข้ามาหา นับดาวกลัวแต่พยายามฝืนทำหน้าปกติ แต่กำแน่นจนเกร็ง
“เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับพี่เหรอ”
“พี่ก็รู้ว่าดาวไม่เคยมีความลับกับพี่”
ภพธรยิ้มเจ้าเล่ห์ “วันหลังพาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จักบ้างสิ”
“คงไม่ได้ค่ะ เพราะเค้าไปแล้ว ไม่กลับมาแล้วค่ะ”
ภพธรกับนับดาวมองหน้ากันแบบหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน

ธารานอนไม่หลับ กระสับกระส่าย พลิกไปพลิกมา แล้วก็ลุกขึ้น เปิดลิ้นชักหัวเตียง หยิบนาฬิกาแฝดออกมาดู น้ำตาไหลด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงน้ำริน
“น้ำริน แม่กลัวเหลือเกิน กลัวว่าเราจะต้องจากกันชั่วชีวิต”
ฟากน้ำรินก็นั่งมองนาฬิกาแฝดของตัวเอง ด้วยแววตาเศร้า
“เวลาของน้ำใกล้จะหมดแล้ว น้ำไม่รู้ว่าร่างของน้ำยังอยู่รึเปล่า น้ำกลัวว่าจะไม่ได้เจอแม่อีก”
น้ำรินร้องไห้ด้วยความคิดถึงแม่
“แต่ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน น้ำก็จะกลับไปหาแม่ให้ได้ แม่อย่าเพิ่งหมดหวัง ในตัวน้ำนะคะน้ำรักแม่”
ธารารำพึงรำพันด้วยความเศร้า และเป็นห่วงลูก
“แม่จะส่งความรักของแม่ไปคุ้มครองลูก ขอให้ลูกปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง เราจะต้องพบกันอีกครั้งนะลูก”

น้ำรินเดินออกมาจากห้องนอน เห็นยาแก้ปวดบนโต๊ะที่อยู่ข้างถ้วยข้าวต้มก็สงสัย
“ยาอะไร คุณไม่สบายเหรอ”
“ปวดหัว เป็นไข้นิดหน่อย”
“งั้นรีบกินข้าวสิ จะได้กินยา”
เหยี่ยวพูดอ้อนให้เธอป้อนข้าวให้ น้ำรินแกล้งถอนหายใจแรงๆ แล้วรวมพลังจิต จับช้อนค่อยๆ ตักข้าวต้มด้วยความยากลำบาก แต่กำลังจะป้อนข้าวเข้าปากเหยี่ยว แนนก็เดินเข้ามาพอดี น้ำรินตกใจทำช้อนร่วงทันที
แนนงงที่ช้อนร่วงลงพื้น เหยี่ยวเห็นสายตาแนนก็รีบโกหก
“มาเงียบๆ ตกใจช้อนร่วงเลย”
“ยายนวลโทรมาบอกเราว่าเหยี่ยวเป็นไข้ เราก็เลยรีบลางานมาดูแลเหยี่ยว”
แนนเก็บช้อนที่พื้น แล้วเดินเข้าไปหยิบช้อนคันใหม่จากในครัว เหยี่ยวมองหน้าน้ำรินอย่างเป็นห่วง
ขณะที่เธอรู้สึกเจ็บปวดใจ จนไม่อยากสบตาเขา
แนนเดินกลับมานั่งที่โซฟา แล้วใช้ช้อนตักข้าว ป้อนเหยี่ยว น้ำรินมองแนนด้วยความอิจฉา
เหยี่ยวละล้าละลังเต็มที มองแนนที มองน้ำรินที น้ำรินเจ็บปวดใจจนทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืน จะเดินไป
เหยี่ยวมองตามอย่างร้อนใจ ด้วยห่วงความรู้สึกน้ำริน
“น้ำ”
แนนเข้าใจว่าเหยี่ยวขอน้ำดื่ม “หิวน้ำเหรอ รอแป๊บนะ”
พอแนนลุกไป เหยี่ยวก็รีบลุกขึ้นมาดักหน้าน้ำริน
“คุณจะไปไหน”
น้ำรินไม่ตอบ รีบเดินทะลุประตูห้องนอนไป พร้อมๆ กับน้ำตาแห่งความน้อยใจทะลักออกมาทันที

เหยี่ยวมองไปที่ห้องนอนด้วยความเป็นห่วงน้ำริน แนนยกแก้วน้ำยืนให้เหยี่ยว ที่รับมาดื่มอย่างเสียไม่ได้ แนนยื่นมือไปปลดกระดุมเสื้อ จะเช็ดตัวให้ เหยี่ยวเผลอผลักแนนออกไปแรงๆ
“บอกว่าไม่ต้อง ก็ไม่ต้อง เราดูแลตัวเองได้”
“แต่เรากำลังจะเป็นคู่ชีวิตกัน เราต้องดูแลกันสิ”
เหยี่ยวตัดสินใจพูดตรงๆ “แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ บอกตรงๆ ว่าเราไม่ชินกับการที่มีคนเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัว แนนกลับไปเถอะ”
แนนอึ้ง ความน้อยใจแล่นขึ้นมาจนน้ำตาคลอ แต่ก็ฝืนกลั้นไว้แล้วพูดเบาๆ
“ขอโทษที่เราทำให้อึดอัดใจ”
พูดจบก็เดินออกไป เหยี่ยวมองตามแล้วถอนใจยาว
แนนไปถึงหน้าประตู น้ำตาก็รื้นขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินซึมๆออกมาที่จักรยานของตัวเองที่จอดไว้หน้าบ้าน แล้วก็มองกลับเข้าไปในบ้าน ด้วยความหวังว่าเหยี่ยวจะตามออกมา แต่ก็เปล่า
แนนถอนหายใจด้วยความผิดหวัง พยายามข่มความรู้สึกเศร้า ไม่ร้องไห้ แล้วขี่จักรยานกลับไปอย่างเหงาๆ เศร้าๆ

เหยี่ยวเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน เห็นน้ำรินร้องไห้ก็อึดอัดใจ ก็ได้อต่ยืนเก้ๆกังๆ เพราะไม่รู้จะปลอบยังไง
“แนนกลับไปแล้ว”
น้ำริน เช็ดน้ำตา “ทำไมรีบกลับ เค้าน่าจะอยู่ดูแลคุณก่อน”
“แต่ผมไม่อยากให้เค้าดูแล”
น้ำรินฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตาปริ่ม
“ทำไมล่ะ ฉันออกจะดีใจที่เค้าเป็นห่วงเป็นใยคุณ เค้ารักคุณ เค้าต้องดูแลคุณได้ดีกว่าฉัน ชาตินี้ทั้งชาติฉันอาจจะทำไม่ได้ เพราะร่างฉันอาจจะโดนทำลายไปแล้ว ฉันไม่มีร่างกาย ไม่มีเลือดเนื้อแบบเค้า”
น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็หยดลงมาทันที เหยี่ยวเห็นน้ำตาของน้ำรินแล้วหัวใจอ่อนยวบ
“ผมจะเร่งหาร่างของคุณให้เจอให้เร็วที่สุด เพราะถ้าไม่ใช่คุณ ผมก็ไม่ต้องการใคร”
“แต่หมวดแนนเป็นคู่หมั้นของคุณ”
เหยี่ยวพยักหน้าเศร้าๆ
“ใช่ ผมหนีความรับผิดชอบของตัวเองไม่ได้ แต่ผมก็หนีความต้องการของหัวใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันวันข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่นาทีเรายังอยู่ด้วยกันนะ”
น้ำรินพยักหน้าทั้งน้ำตา เหยี่ยวยื่นหน้าไปเหมือนเอาริมฝีปากไปสัมผัสที่หน้าผากของน้ำริน แล้วทั้งสองก็หลับตานิ่งอยู่กับนาทีนั้นที่เต็มไปด้วยความรักและความเศร้า

ภายในคลังสินค้า ที่มีคนเฝ้าอยู่หลายชั้นกว่าจะถึงห้องที่เก็บกล่องและหีบเก็บยาเสพติด
ตรงกลางห้องมีโต๊ะ มีกล่องใหญ่หลายใบเปิดอ้าอยู่ ภายในกล่องมียาเสพติดอโรม่าบรรจุอยู่เต็มลูกน้องของภพธร 4 คนกำลังตรวจนับ
ภพธรกับนับดาวเดินเข้าไปที่โต๊ะ ภพธรหยิบกล่องอโรม่าขึ้นมาดู นับดาวรีบรายงาน
“เราจะเริ่มส่งยาได้เร็วๆ นี้ค่ะ”
ภพธรพยักหน้าอย่างพอใจ
“ทำงานได้ดีมาก ถ้าไม่มีเธอ ชีวิตของพี่คงจะเหนื่อยกว่านี้หลายเท่า”
นับดาวยิ้มดีใจ “พี่ธรพูดจริงหรือแค่เคาะกะลาให้สุนัขดีใจคะ”
“ทำไมเปรียบตัวเองเป็นสุนัขล่ะ อย่างดาวต้องเป็นงูเห่า สวยสง่า เต็มไปด้วยพิษร้าย และเลือดเย็น
แว้งกัดได้ทุกคน”
ภพธรเชือดเฉือนด้วยแววตาและคำพูด ทำเอาวันสันหลังหวะอย่างนับดาวแทบหยุดหายใจ แต่ก็ยังยิ้มเยือกเย็น ทำใจดีสู้เสือ
“งูเป็นสัตว์เลือดเย็น แต่ก็มีความรู้สึก มีหัวใจ ใครทำให้มันเจ็บ มันจะจำ และอาฆาตไปชั่วชีวิต”
ภพธรยิ้มร้าย “พี่จะจำไว้ เผื่อวันไหนคิดจะตีงู จะได้ตีให้มันหลังหัก”
“ แล้วพี่ไม่กลัวมันกลับมาแว้งกัดเหรอคะ”
ภพธรยิ้ม แต่แววตาดุดัน น้ำเสียงเหี้ยม “คิดว่าคนอย่างพี่กลัวงูเหรอ”
จากนั้นก็เดินออกไป นับดาวมองตามด้วยสายตาทั้งรักทั้งแค้น

เหยี่ยวกับน้ำรินเดินเข้ามาในวัดที่เก็บอัฐิของพ่อภพธร แต่ยังไม่อยากบอกน้ำรินว่าเขากำลังสงสัย
ภพธรอยู่
“ผมสัญญาว่าจะทำทุกวิถีทางให้ได้ร่างคุณกลับมา ใครมีเบาะแสอะไรผมก็ตามหมด นอกจากภพธรจะมาที่นี่ สายของผมบอกว่าเมื่อวันก่อนนับดาวก็มาเหมือนกัน วัดอาจจะมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่”
เหยี่ยวกับน้ำรินเดินตรงเข้าไปหาชายกลางคนที่หน้าศาลา
“เคยเห็นผู้หญิงกับผู้ชายในรูปมั้ย”
เหยี่ยวส่งรูปภพธรกับนับดาวให้ชายคนนั้นดู
“ผู้ชายมาไหว้พ่อที่ตรงโน้นบ่อยๆ ไหว้เสร็จแล้วก็เดินออกไปทางเนินด้านโน้น”
“แล้วผู้หญิงล่ะ”
“เคยเห็นครั้งนึงครับ ถามหาเหมือนคุณเปี๊ยบเลย พอผมบอกก็เดินออกไปทางเนินเหมือนกัน”
น้ำรินฟังแล้วนึกสงสัย “หลังเนินมีอะไร?”
เหยี่ยวรีบถามต่อทันที “เค้ามาที่นี่เมื่อไหร่ จำได้มั้ย”
“เมื่อวานซืนครับ เออใช่ วันนั้นมีไฟไหม้บ้านริมน้ำด้วย”
“ไฟไหม้ ?”
เหยี่ยวกับน้ำรินนึกสังหรณ์ใจ

เหยี่ยวยืนคุยกับตำรวจหน่วยพิสูจน์หลักฐาน น้ำรินยืนฟังอยู่ด้วย
“บ้านหลังนี้จดทะเบียนเป็นสถานพยาบาลนะครับ ข้าวของที่โดนไฟไหม้ก็เป็นอุปกรณ์การแพทย์ซะส่วนใหญ่”
“เป็นสถานพยาบาลก็น่าจะมีคนไข้ มีคนได้รับบาดเจ็บมั้ย”
“มีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายครับ”
เหยี่ยวหันไปมองหน้าน้ำริน ที่ปะติดปะต่อเรื่องแล้วตกใจ
“หรือว่าคนไข้คนนั้นก็คือฉัน”
พลันก็รู้สึกขนลุกวาบไปทั้งตัว

นับดาววางรูปถ่ายลงตรงหน้า ภพธรขมวดคิ้ว แล้วดูรูปเหยี่ยว ที่กำลังเดินสำรวจอยู่ในวัด
“ที่พี่ธรให้ดาวส่งคนไปตามดูหมวดเหยี่ยวว่ารู้อะไรเกี่ยวกับพี่ธรบ้าง”
นับดาวพยายามจับสีหน้า แต่ภพธรทำหน้านิ่ง
“หมวดไปที่วัดที่เก็บคุณพ่อพี่ธร แล้วก็นั่งเรือไปที่สถานพยาบาลที่อยู่ในคลอง พี่ธรเคยไปที่นั่นมั้ยคะ”
นับดาวจับตามองภพธรอย่างจับผิด แต่ภพธรจ้องหน้ากลับ จนนับดาวอึดอัด
“ทำไมพี่จะต้องไปที่นั่น?”
นับดาวอึกอัก “ไม่มีอะไร ดาวก็ถามเล่นๆ”
ภพธรตบโต๊ะ ตวาดเสียงดัง
“ถามเล่นๆ? เธอคิดว่าพี่เป็นเพื่อนเล่นของเธอเหรอ”
“เปล่าค่ะ ดาวขอโทษค่ะ”
ภพธรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเฉยชา นับดาวมองอย่างพยายามเดาอารมณ์
“ให้ดาวรายงานต่อมั้ยคะ หรือจะให้ดาวออกไปก่อน”
“มีอะไรก็ว่าไปสิ ค้างๆ คาๆ น่ารำคาญ”
นับดาวเครียด แต่พยายามข่มใจ วางรูปลงไปอีกชุดหนึ่งตรงหน้าภพธร เป็นรูปเหยี่ยวตอนคุยกับตำรวจที่บริเวณสถานพยาบาลที่โดนไฟไหม้ และรูปเหยี่ยวกำลังเดินตรวจดูสถานพยาบาล
“เมื่อหลายวันก่อนมีไฟไหม้ที่นี่ ได้ยินว่ามีคนตายด้วยค่ะ”
นับดาวลอบจับตามองภพธร ตาไม่กระพริบ
“สงสัยเป็นคนไข้ เพราะถ้าเป็นหมอหรือพยาบาลก็คงหนีออกมาได้ทัน”
นับดาวยิ้มสะใจ แต่ก็ปั้นเสียงและสีหน้าสงสาร
“น่าสงสาร”
ภพธรยิ้มเหี้ยม “สงสารใคร คนไข้น่ะเหรอ เธอเป็นคนขี้สงสารตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่นึกว่าคนที่ชื่อนับดาวเป็นคนเลือดเย็นซะอีก”
“แหม ดาวก็เป็นผู้หญิง มีความรู้สึกรักเป็นเกลียดเป็นเหมือนกันนะคะ”
พูดพลางเดินไปกอดภพธรจากด้านหลัง แล้วกระซิบที่ข้างหู
“เพียงแต่ถ้าคนที่ดาวรักมาก ทำให้ดาวเจ็บ ดาวก็จะแค้นมากเป็นพิเศษ”
“ความแค้นก็เหมือนยาพิษ ถ้าทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ยาพิษก็จะทำลายตัวเอง จนความตายก็ช่วยให้พ้นจากความทรมานไม่ได้”

นับดาวมองอย่างหวาดๆ ระคนเคียดแค้น ภพธรหน้านิ่งๆ อย่างเดาอารมณ์ไม่ได้ ว่าเขารู้เรื่องที่นับดาวลอบเข้าไปทำลายร่างน้ำรินหรือไม่

ลูกน้องภพธรกำลังขนยาเสพติดจากรถเข้าไปในโกดัง สายสืบซุ่มอยู่ไกลๆ รีบยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปทันที

เหยี่ยวรีบเดินเข้ามาที่หน้าประตูห้องประชุม จนเกือบชนกับแนนที่รีบมาเช่นกัน ทั้งคู่มองหน้ากันเก้อๆ
จากนั้นก็เข้าไปนั่งที่โต๊ะประชุม ร่วมกับดารณี นกน้อย และตำรวจอื่นๆ
สงครามพูดต่อหน้าที่ประชุม
“จากคดีสปาของบุษบัน ฉันสั่งให้สายสืบดำเนินการสืบต่อ เพื่อสืบหาบุคคลและสถานที่ๆ อาจจะเกี่ยวข้องทั้งหมด”
ดารณีกดคอมพิวเตอร์ โชว์ภาพหน้าคลังสินค้าเครื่องสำอางบนจอขนาดใหญ่ แล้วรายงานต่อ
“เมื่อสองวันก่อน สายสืบเพิ่งส่งภาพความผิดปกติของคลังสินค้าแห่งนี้มาให้เรา พบว่ามีความเคลื่อนไหวน่าผิดสังเกต”
สงครามพูดเสริม
“น่าจะมีการขนย้ายยาเสพติดเข้ามาหลายครั้ง สายของเราที่ปลอมตัวเป็นผู้ซื้อ ระบุว่าจะมีการนัดส่ง
ยาเสพติดเร็วๆ นี้ “
เหยี่ยวดูรูปแล้วเห็นว่าในมือของลูกสมุนมีแพ็คเกจยาเสพติด
“ยาเสพติดอโรม่า”

ภพธรดูแพ็คเกจยาเสพติดแล้ววางลงในกล่องที่บรรจุด้วยวัสดุกันกระแทกอย่างดี จากนั้นก็ประกาศลั่น
“ของล็อตนี้มูลค่ามหาศาล ดูแลความเรียบร้อยให้ดีด้วย อย่าทำให้อะไรแตกหักเสียหาย ไม่งั้น...”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ลูกน้องคนหนึ่งทำแพ็คเกจอโรม่าร่วงหล่นแตก ผงยาเสพติดกระจายเต็มพื้น
ลูกน้องหน้าซีด ปากสั่น เสียงสั่น
“ขอโทษครับบอส ผมจะไม่ทำพลาดอีก”
ภพธรเดินเข้าไปจับคอลูกน้องคนนั้น ด้วยสีหน้ายิ้มอย่างมีเมตตา
“แน่นอน แกจะไม่ทำพลาดอีก เพราะแกไม่มีโอกาส”
พูดพลางจับหัวลูกน้องกระแทกกับโต๊ะอย่างแรงหลายครั้งจนเลือดกลบปากและจมูก หมดสติพับไป
หัวหน้าคนงานกับลูกน้องคนอื่นในโกดังมองภพธรด้วยความกลัว
“เอามันไปเก็บ”
หัวหน้าคนงานหันไปส่งสัญญาณให้ลูกน้องคนอื่นลากลูกน้องที่สลบออกไป
“สินค้าของฉันมีค่ามากกว่าชีวิตพวกแก ถ้าทำดี ฉันมีรางวัล แต่ถ้าพลาด โทษสถานเดียวคือความตาย”
สายตาของภพธรเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมเลือดเย็น จนลูกน้องทุกคนผวา

ดารณีนำกำลังตำรวจลงจากรถตำรวจ เข้าล้อมโกดัง พลางสั่งการทางวิทยุสื่อสาร
“ทุกฝ่ายเริ่มปฏิบัติการ ทีมฉันจะเข้าด้านหน้า ทีมหมวดแนนไปด้านข้าง “

ลูกน้องภพธรตั้งท่าจะยิงต่อสู้ แต่แนนกับตำรวจอีกจำนวนหนึ่งโผล่มาจากด้านหลัง ตบปืนแล้วแย่งอาวุธไป

นกน้อยซิ่งรถเข้ามาจอดอย่างเร็ว เหยี่ยวรีบลงจากรถ ตามด้วยน้ำริน เสียงวิทยุจากดารณีดังต่อเนื่อง
“ทีมหมวดเหยี่ยวไปด้านหลัง”
“ฉันจะเข้าไปเปิดประตูให้เองค่ะ”
น้ำรินหันมาบอก เหยี่ยวพยักหน้ารับ

น้ำรินเดินทะลุผนังโกดังเข้ามา พร้อมๆ กับที่ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน
“หัวหน้าครับ ตำรวจมาเพียบเลยครับ”
น้ำรินขมวดคิ้ว “หัวหน้า?”
หัวหน้าคนงานรีบสั่งการ “รีบรายงานบอสใหญ่”
น้ำรินยิ่งสงสัยหนัก “บอสใหญ่ ?”
หัวหน้าคนงานเดินไปหาภพธรที่ยืนหันหลังให้ น้ำรินเดินตามไป จู่ๆหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ด้วยความรู้สึกคุ้นตากับแผ่นหลังของภพธร

ดารณีให้สัญญาณตำรวจใช้ท่อนเหล็กขนาดใหญ่ทุบประตู แล้วดันเข้ามาอย่างแรง พวกลูกน้องที่อยู่ข้างในโกดังระดมยิงใส่ตำรวจ
ทีมของแนนเข้ามาจากอีกทาง เปิดฉากยิงต่อสู้
ภพธรวิ่งออกไปทางด้านหลังคลังสินค้า ก่อนที่น้ำรินจะเดินวนเข้ามาเห็นหน้าเขา
น้ำรินวิ่งไล่ตามภพธรไป

ภพธรเปิดประตูด้านหลังแล้ววิ่งหนีไป น้ำรินวิ่งตามมา เจอกับเหยี่ยวและนกน้อยที่วิ่งลัดเลาะมาทางด้านข้างพอดี
“หัวหน้าใหญ่ของพวกมันหนีไปทางโน้นแล้ว”
เหยี่ยวมองไปทางที่น้ำรินชี้ ลูกน้องภพธรเปิดประตูด้านหลังออกมา นกน้อยรีบเข้าไปจัดการอัด
เหยี่ยวรีบวิ่งไปทางที่ภพธรวิ่งหนีไป จนไล่หลังมาทัน
“หยุด”
ภพธรชักปืน หันกลับมายิงใส่ เหยี่ยวรีบกระโดดหลบกระสุนหลังตู้คอนเทนเนอร์ ภพธรยิงซ้ำอีก แล้ววิ่งไป เหยี่ยวโผล่ออกมาจากที่ซ่อน แล้วจะไล่ตาม ภพธรหันมายิงใส่อีก เหยี่ยวต้องหลบเข้าไปที่เดิม พลางจะยิงตอบโต้ แต่กระสุนหมด
ภพธรเดินเข้าใกล้เหยี่ยว จ่อปืนหวังปลิดชีพ แนนวิ่งเข้ามาขวางหน้า พร้อมกับเล็งปืนใส่ภพธร
“หยุดนะ วางอาวุธ”
เหยี่ยวออกมาจากที่กำบัง แนนเผลอเหลือบตาไปมองเหยี่ยว จังหวะนั้นภพธรก็ตวัดขาเตะปืนของแนนหลุดมือ แล้วถีบกระเด็นไปกระแทกตู้คอนเทนเนอร์ แล้วทำท่าจะยิง แต่บังเอิญมีรถวิ่งเข้ามาอย่างเร็ว
ประตูรถเปิดออกนับดาวใส่หมวกปิดมิดชิด สวมแว่นตาดำเป็นคนขับ ภพธรรีบกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
เหยี่ยวกับแนนขยับจะวิ่งตามรถออกไป ภพธรยื่นมือออกมา โยนระเบิดเข้าใส่ทั้งคู่ เหยี่ยวกับแนนรีบ กระโดดหลบ ระเบิดเสียงดังสนั่น รถยนต์คันนั้นหนีรอดไปได้

รถยนต์คันนั้นแล่นเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว นับดาวถอดแว่นออก ภพธรหันมามอง
“ถ้าไม่ได้เธอ พี่คงแย่”
“ดาวไม่มีวันให้พี่ธรโดนจับหรอกค่ะ เพราะพี่ธรสำคัญสำหรับดาวเสมอ”
“ขอบใจ”
พูดจบก็ เดินลงจากรถอย่างไม่ใยดี นับดาวมองตามไปทันที

ภพธรถอนใจหงุดหงิดที่ทุกอย่างพลาดไปหมด เงินต้องหายไปหลายล้านเพราะโดนตำรวจจับยาเสพติดได้ นับดาวเดินเข้ามาสวมกอดเขาทางด้านหลังเหมือนต้องการปลอบใจ
“ช่างมันเถอะค่ะ เรายังโชคดีที่ไม่โดนจับ”
“โชคดีบ้าอะไรล่ะ”
ภพธรผลักนับดาวออกจากตัวอย่างฉุนเฉียว จนเธอเซเสียหลัก แต่พยายามระงับอารมณ์
“ทุกอย่างพังหมดแล้ว เพราะไอ้สงครามกับไอ้หมวดนั่น”
นับดาวขยับเข้าไปสวมกอดภพธรอีกครั้ง
“อย่างน้อยพี่ธรก็ปลอดภัยกลับมา ดาวเป็นห่วงพี่ธรมากนะคะ”
“พี่เหนื่อย อยากพักผ่อน”
ภพธรผละตัวออกไปอย่างไม่สนใจใยดี นับดาวจิกตามองตามด้วยความเจ็บใจ

ตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐาน ยาเสพติด และผู้ต้องหาขึ้นรถ ขณะที่เหยี่ยวยืนคุยกับดารณี
“ผลงานคราวนี้ถือเป็นการทลายคลังยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี”
เหยี่ยวส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด “เสียดายที่หัวหน้าเครือข่ายหนีไปได้”
“หมวดเห็นหน้ามันมั้ย”
“เห็นครับ แต่ไม่ชัด”
ดารณีพยักหน้า “หลักฐานที่เราได้มา จะพาเราไปหามันเอง”

เหยี่ยวเดินไปหาแนนที่กำลังคุมตำรวจขนของกลางขึ้นรถ
“แนน ขอบใจมากที่มาช่วย”
แนนยิ้มปลื้มใจ “ไม่ต้องขอบใจหรอก ลืมไปแล้วเหรอว่าเราเป็นอะไรกัน”
เหยี่ยวถอนหายใจอย่างอึดอัด ก่อนที่จะตัดสินใจพูด
“นั่นแหละที่เราอยากจะพูด ต่อไปนี้ เราห่างกันซักพักดีกว่านะ”
แนนตกใจ อึ้ง “ทำไม”
“เรามีเรื่องสำคัญต้องทำ แต่ไม่ต้องกังวล ถึงยังไงเราก็ต้องกลับมารับผิดชอบเรื่องราวระหว่างเรา”
“เหยี่ยวมีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องทำ?”
“เราบอกไม่ได้”
เหยี่ยวเดินออกไปหาน้ำรินที่ยืนรออยู่ห่างๆ แนนมองตามไปอย่างไม่เข้าใจ

เหยี่ยวมองน้ำรินที่หลับไม่รู้เรื่อง แล้วครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่แนนพุ่งเข้ามาซ้อนร่างน้ำรินเพื่อบังกระสุนให้เขา จนตัวเองถูกยิง
เหยี่ยวยังจดจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นอย่างไม่มีวันลืม พลางมองแหวนหมั้นที่นิ้วนางข้างซ้ายของตน สลับกับมองน้ำริน ด้วยความรู้สึกลำบากใจระหว่างความรักกับความรับผิดชอบในการหมั้น จากนั้นก็ตัดสินใจบางอย่าง

เช้ารุ่งขึ้น ขณะที่ยายนวลกำลังเตรียมของสำหรับทำบุญอยู่กับปลาทู และปูอัด เหยี่ยวก็ตัดสินใจพูดกับยายนวลตรงๆ
“ผมอยากคุยกับยายเรื่องน้ำริน”
ปลาทูกับปูอัดทำหน้างง เพราะไม่รู้จักน้ำริน ขณะที่ยายนวลแกล้งทำฝาหม้อตกเพื่อตัดบทสนทนา ก่อนจะรีบคว้าตะกร้าหวายใส่ดอกไม้เดินนำไปวัดทันที
ปลาทู ปูอัด รีบคว้าปิ่นโตและข้าวของวิ่งตามไป เหยี่ยวก้าวตามไปติดๆ ด้วยความตั้งใจที่จะคุยกับยายนวลให้รู้เรื่อง

หลวงตาเคี้ยงให้ศีลให้พรหลังจากถวายภัตตาหารเช้าเสร็จแล้ว พอหันไปเห็นเหยี่ยวนั่งซึมๆ ก็อดถามไม่ได้
“วันนี้โยมเหยี่ยวเงียบไปนะ”
แต่ยังไม่ทันที่เหยี่ยวจะพูดอะไร ยายนวลก็รีบพูดแทรกทันที
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว หลวงตาช่วยหาฤกษ์แต่งงานให้เจ้าเหยี่ยวกับหนูแนนหน่อยสิ พรุ่งนี้มะรืนนี้ได้ยิ่งดี
กลัวไม่ทันอุ้มหลาน”
เหยี่ยวรีบโพล่ออกมาทันที
“ผมไม่แต่งกับใครทั้งนั้น จนกว่าจะคุยกับยายรู้เรื่อง”
“เอ็งนั่นแหละที่พูดไม่รู้เรื่อง”
พูดจบก็ยายนวลลุกออกไปดื้อ ๆ เหยี่ยวถอนหายใจ

“ผมรักน้ำริน”
เหยี่ยวพูดออกมาตรงๆ ขณะที่นั่งอยู่กับยายนวลตามลำพังภายในโบสถ์ ยายนวลชะงักคาดไม่ถึงว่าหลานชายจะพูดตรงแบบนี้
“ผมหมั้นกับแนนเพราะความต้องการของยาย ไม่ใช่ความรัก”
“บางครั้งเราก็ต้องแยกระหว่างความรักกับความเหมาะสม”
เหยี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ชีวิตที่อยู่อย่างไร้รัก มันจะมีความหมายอะไรครับยาย”
“แล้วรักที่ไม่คู่ควร มันให้ความสุขกับเอ็งตรงไหน ?”
“ความสุขของผมคือการได้รัก ไม่ใช่การคาดหวัง ถึงความรักของผมกับน้ำรินจะไม่มีวันเป็นไปได้ ผมก็ไม่มีทางรู้สึกกับแนนเกินเพื่อน”

เหยี่ยวยืนยันอย่างหนักแน่น ยายนวลนั่งเงียบ จนเขาคาดเดาความรู้สึกไม่ออก
 
อ่านต่อหน้า 3

ภพรัก ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)

นับดาววางแฟ้มเอกสารหลายแฟ้มลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะนั่งลงข้างภพธรอย่างหัวเสีย พลางกระแทกเสียงอย่างขัดใจที่หลายโปรเจ็กต์ไม่ผ่านการอนุมัติจากธารา

ภพธรถอนหายใจ
“ตั้งแต่ยาเสพติดล็อตใหญ่ถูกไอ้สงครามยึดไป ดาวก็รู้ว่าพี่ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อกลบเรื่องนี้ไม่ให้มาถึงตัว”
“ดาวพยายามแล้ว แต่เหมือนนังธารามันรู้ทัน ทำให้เรายักยอกเงินไม่ได้เหมือนแต่ก่อน”
“พยายามไม่มากพอต่างหาก”
ภพธรตวาดเสียงดัง นับดาวไม่พอใจกับท่าทางที่ภพธรแสดงกับเธอ จึงพูดเหมือนลำเลิกบุญคุณ ที่เธอช่วยเปลี่ยนยากล่อมประสาทให้น้ำรินกินในวันที่รถเกิดอุบัติเหตุ
“ดาวช่วยพี่ธรแก้แค้นนังธารา ช่วยพี่ธรพรากคนที่นังธารารักไปอย่างไม่มีวันกลับ”
ภพธรนึกถึงตอนที่ได้รับรายงานจากลูกน้อง ที่ขับตามรถน้ำรินไปห่าง ๆ
“รถของคุณน้ำรินกำลังมุ่งหน้าไปทางถนนวงแหวนรอบนอกครับ”
“ตามไปเรื่อย ๆ อย่าให้รู้ตัว”

หลังจากที่น้ำรินกับชลชาติแข่งรถกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทำให้รถของชลชาติพุ่งตกลงไปในน้ำ และตายคาที่
ลูกน้องภพธรทั้งสองลงจากรถ รีบวิ่งไปยังริมน้ำ ใกล้กับจุดที่รถของน้ำรินชนต้นไม้ และประตูฝั่งคนขับเปิดอ้าอยู่ โดยไม่มีร่างน้ำรินอยู่ในรถ
ลูกน้องรีบโทรรายงานภพธร “คุณน้ำรินจมน้ำไปแล้วครับ”
น้ำรินยื่นขึ้นมาแตะริมฝั่ง ก่อนจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากน้ำ พร้อมๆ กับที่สายตาจ้องมองลูกน้องภพธรทั้งสองที่ยืนอยู่เหนือร่างเธออย่างลางเลือน ก่อนที่จะหมดสติ ลูกน้องทั้งสองมองด้วยความตกใจ รีบยกสายรายงานภพธร
“เธอยังไม่ตาย เอาไงดีครับนาย ?”
ภพธรรีบสั่งการ
“เอารถออกมา กลบเกลื่อนหลักฐานให้หมด ทำเหมือนไม่มีรถคันนั้น”
“แล้วคุณน้ำรินล่ะครับ จะให้ทำยังไง?”

ภพธรยืนมองร่างน้ำรินที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงสถานพยาบาลแห่งหนึ่งด้วยสายตาเหี้ยม เย็นชา รอบตัว
เธอระโยงระยางไปด้วยอุปกรณ์แพทย์ช่วยชีวิตมากมาย ก่อนจะหันขวับไปหาหมอและพยาบาล ที่ถูกบังคับมาอย่างไม่เต็มใจ
“ดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ดี ปิดเรื่องนี้ให้สนิท ไม่งั้นครอบครัวพวกแกจะไม่ปลอดภัย”
หมอและพยาบาลพยักหน้ารับคำด้วยความหวาดกลัว

นับดาวเขย่าตัวภพธรอย่างหึงหวงและไม่พอใจ
“ถ้านังน้ำรินตายจริง ดาวจะดีใจมาก แต่ดาวจะไม่มีวันหยุดเกลียดมัน ต่อให้นังน้ำรินกลายเป็นผี ดาวก็จะสาปแช่งให้มันตกนรกหมกไหม้”
นับดาวพูดด้วยสายตาโกรธเกลียด และแค้นใจลึก ๆ ที่ภพธรแอบเก็บร่างน้ำรินไว้
“นับดาวที่พี่รู้จักไม่เคยเป็นคนแบบนี้”
“ความรักหรือการทรยศหักหลังเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเปลี่ยนไป ถ้าดาวจะเปลี่ยน ก็เป็นเพราะความรักที่มีให้กับพี่ธรมากไงคะ”
นับดาวยิ้มเย็น ก่อนเดินหันหลังจากไป ภพธรเริ่มหมดความอดทนกับนับดาว

น้ำรินเดินเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง เห็นธารานั่งมองรูปที่ถ่ายคู่กัน ด้วยแววตาเศร้า น้ำตาคลอ รู้สึกผิดที่ไม่มีเคยมีเวลาให้ลูก น้ำรินน้ำตาไหล เข้าใจความรู้สึกของแม่
ธารานึกถึงคำพูดเหยี่ยว พลางเลื่อนรถเข็นไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองเงาตัวเองในกระจกด้วยความสับสน
น้ำรินเดินตามมาหยุดอยู่ด้านหลัง แต่ธารามองไม่เห็นเงาน้ำรินในกระจก
“ลูกตายแล้วเหรอ ?”
น้ำรินส่ายหน้าเศร้าๆ “น้ำยังไม่ตายค่ะแม่ แต่เวลาของน้ำเหลืออีกไม่มากแล้ว น้ำอยากอยู่กับแม่ น้ำยังไม่อยากตาย”
วินาทีนั้น จู่ ๆ สายตาธาราก็มองเห็นเงาของน้ำรินปรากฏขึ้นในกระจก แต่ก็เลือนลางเต็มที
“น้ำ”
ธาราเรียกชื่อลูกสาวด้วยความตกใจ ระคนดีใจ
“แม่มองเห็นน้ำใช่มั้ยคะ น้ำอยู่ตรงนี้ไงคะแม่”
ธารากระพริบตาเหมือนไม่แน่ใจก่อนเพ่งมองกระจกอีกที แต่กลับไม่เห็นเงาน้ำรินแล้ว หัวอกแม่โหยหา คิดถึงลูกใจจะขาด น้ำตาไหลพรั่งพรู น้ำรินทรุดตัวนั่งลงข้างๆ แล้วก็ร้องไห้คิดถึงแม่เช่นกัน

เหยี่ยวเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมๆ กับมองหาน้ำริน กระทั่งเห็นเธอนั่งเศร้าอยู่คนเดียว ส่วนน้ำรินที่เข้าใจว่าเหยี่ยวหายหน้าไปอยู่กับแนน จึงเลี่ยงไปคุยเรื่องอื่น
“วันนี้แม่มองเห็นฉัน แต่สักพักก็มองไม่เห็น”
“คงเป็นเพราะพลังแห่งความรักที่คุณกับแม่มีต่อกัน อย่างน้อยก็ยังมีความหวังที่แม่จะเห็นคุณ”
“แต่เวลาของฉันกำลังจะหมดแล้ว”
เหยี่ยวมองหน้าน้ำริน แล้วใจหายวาบ
“ผ่านวันพระนี้ไป ก็เหลืออีกแค่วันพระเดียว ถ้าฉันกลับเข้าร่างไม่ได้ ฉันก็จะกลายเป็นวิญญาณ เป็นคนที่ตายแล้ว เราคงต้องยอมรับความจริง ยอมรับสิ่งที่ถูกลิขิตแล้ว”
“ผมจะเป็นคนลิขิตชีวิตให้คุณเอง”
เหยี่ยวพูดพร้อมสบตาน้ำริน ด้วยสายตาจริงจัง
“ผมจะตามหาร่างคุณให้เจอ และจะหาวิธีทำให้คุณกลับเข้าร่างให้ได้”
เหยี่ยวยืนยันอย่างหนักแน่น

เหยี่ยวเข้ามาหาข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่องของ “วิญญาณ”, “การเกิดใหม่”, “การละทิ้งสังขาร...” , “ดวงจิตและการกลับคืน...” ที่มีอยู่มากมาย จากนั้นก็ไล่อ่านรายชื่อหนังสืออย่างเคร่งเครียด
จากนั้นก็เลือกหนังสือมาอ่านเล่มแล้วเล่มเล่า จนวางซ้อนกันกองโตบนโต๊ะ พลางรู้สึกท้อแท้ หมดหนทาง

จากนั้นเหยี่ยวก็มาขอคำปรึกษาจากหลวงพ่อเคี้ยงที่วัด
“หอพระธรรมมีแต่หนังสือธรรมะ และเส้นทางตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่มีหนังสือสอนเรื่องการฝืนกฎธรรมชาติหรอกโยม”
เหยี่ยวถอนหายใจอย่างทดท้อ
“ผมไม่มีทางช่วยวิญญาณพเนจรกลับเข้าร่างได้จริงเหรอครับ”
“หมดหนี้กรรมก็พ้นกรรม กฎแห่งกรรมคือกฎของธรรมชาติ”
จากนั้นก็พูดเปรียบเทียบชีวิตกับใบไม้
“ธรรมชาติของใบไม้จะร่วงหล่นตามกาลเวลา คงจะดี ถ้าทำให้มันกลับไปอยู่บนต้นเหมือนเดิมได้ สดใสอยู่ที่เดิมก่อนจะร่วง ก็แค่หยิบไปวางไว้ตรงที่เดิมเนอะ”
เหยี่ยวมองใบไม้ในมือหลวงตาเคี้ยง แล้วครุ่นคิดตาม
“อยากให้เหมือนเดิมก็เอากลับไปไว้ที่เดิม น้ำรินจะกลับเข้าร่างได้ ก็ต้องกลับไปที่ที่ดวงจิตของเธอหลุดจากร่าง”
เมื่อคิดได้ ก็กระโดดกอดหลวงตาเคี้ยงด้วยความดีใจ แล้วรีบกลับบ้านทันที

น้ำรินยิ้มปลื้ม เมื่อรู้เรื่องจากเหยี่ยว ที่แอบหาทางช่วยเธอมาตลอด 2-3 วันที่หายหน้าไป
“ตอนนี้เหลือแค่ตามหาร่างของคุณให้เจอ”
น้ำรินหน้าสลด “สารภาพตามตรงว่าฉันรู้สึกหมดหวังที่จะได้เจอร่างตัวเอง”
“แต่ผมเชื่อว่าเราจะต้องทำได้”
เหยี่ยวพูดอย่างมั่นใจ

นับดาวเดินวางท่าเข้ามาในบริษัท พร้อมๆ กับที่พนักงานหญิงเดินมาตามว่าธาราเรียกให้ไปพบ
“อาธาราเข้าบริษัทด้วยเหรอ ?”

ธาราวางแฟ้มบัญชีลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะพูดกับนับดาวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
“บัญชีเบิกจ่ายที่เธอรับผิดชอบ มียอดไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ จะอธิบายว่าไง ?”
นับดาวรีบหยิบแฟ้มเอกสารเปิดอ่าน แล้วก็หน้าเสีย พลางชำเลืองมองภพธร ที่นั่งอยู่ในห้องด้วยอย่างขอความช่วยเหลือ
“ให้นับดาวเอากลับไปตรวจสอบก่อนครับ เผื่อจะมีผิดพลาดตรงไหน”
“ตัวเลขผิดพลาดนิดเดียวทำให้ธุรกิจเจ๊งมานับไม่ถ้วนแล้ว นับดาวทำงานกับรินธารากรุ๊ปมาหลายปี ทำไมจะไม่รู้”
นับดาวหน้าซีด “ขอโทษค่ะ ดาวรับรองว่าคราวหน้าจะไม่ทำงานพลาดอีก”
ธาราผ่อนลมหายใจอย่างหงุดหงิด ภพธรโบกมือบอกให้นับดาวเลี่ยงออกไปก่อน แล้วก็แอบยิ้มร้าย

“จู่ ๆ อาธาราก็เจอบัญชีที่ดาวพยายามยักยอกให้พี่ธร มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องมีคนแกล้งดาว”
นับดางพูดอย่างมั่นใจ เมื่อนั่งคุยกับภพฑรตามลำพัง
“ใจเย็นก่อนสิ พี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ อาธาราถึงกลับมาทำงานตอนนี้”
“หรืออาธาราจะรู้เรื่องของเรา”
นับดาวเริ่มจิตตก กลัวถูกจับได้
“อย่าเพิ่งร้อนตัว ช่วงนี้ดาวก็ระวังหน่อยแล้วกัน อย่าพลาดให้ถูกจับได้อีก”
ภพธรลูบแขนนับดาวอย่างนิ่มนวลเป็นการปลอบใจ นับดาวสีหน้าเครียด ยังคงคาใจไม่หาย


สงครามเข็นพาธาราเข้ามาในบ้าน สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ที่รู้ว่าธารากลับไปทำงานแล้ว
“การทำงานคือการพักผ่อนของฉันค่ะ ต้องขอบใจภพธรที่แนะนำให้ฉันออกไปทำงาน ดีกว่าอุดอู้อยู่บ้านคนเดียว”
สงครามนิ่งไป เพราะไม่ไว้ใจภพธร จังหวะนั้นเองแม่บ้านก็เดินเข้ามา พลางยื่นกล่องพัสดุขนาดเล็กให้ธารา
“มีกล่องพัสดุเขียนชื่อคุณธาราค่ะ ไม่รู้ใครเอามาวางไว้หน้าประตูรั้ว”
“ขอผมดูหน่อย”
สงครามรับกล่องพัสดุไปดูอย่างระมัดระวัง ขณะที่ธาราแปลกใจ

สงครามแกะกล่องพัสดุออก เห็นชามะลิกล่องหนึ่งอยู่ในกล่อง สงครามหยิบกล่องชาขึ้นมาสำรวจอย่างละเอียด
“กล่องชาเคยถูกเปิดใช้แล้ว”
ธารานั่งนึก “เหมือนกล่องชาที่แม่บ้านบอกว่าหายไป ใครส่งมาให้ฉัน ?”
“ผมจะเอาชากล่องนี้ไปตรวจหาสารพิษและรอยนิ้วมือ บางทีเราอาจจะเจอเบาะแสของคนที่ลอบทำร้ายคุณ”

เหยี่ยววางตู้ปลา ที่ช่วยกันจัดกับน้ำรินแทนที่อ่างแก้วบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะหยิบตุ๊กตาหมีสีฟ้ามานั่งพิงตู้ปลาอย่างรู้ใจเธอ
น้ำรินมองตู้ปลา ตุ๊กตาหมี และกรอบรูปจิ๊กซอว์ ที่มีความหมายสำหรับเธอและเหยี่ยว แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“คิดยังไงถึงตั้งชื่อปลาทองว่าเซมเบ้” เหยี่ยวหันมาถาม
“อยากให้คุณอารมณ์ดี มีรอยยิ้มแบบนี้ไง เวลาที่ฉันไม่อยู่ คุณจะได้หัวเราะทุกครั้งที่เรียกชื่อมัน”
“ไม่มีอะไรมาแทนที่คุณได้”
สีหน้าน้ำรินสลดลง ”ฉันจะกลับเข้าร่างได้หรือไม่ สุดท้ายเราก็ต้องจากกันอยู่ดี”
“ผมอยู่กับปัจจุบัน ที่ยังมีคุณตรงนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะไม่ลืมคุณ ไม่ลืมผู้หญิงที่ชื่อน้ำริน”
น้ำรินเงยหน้ามองเหยี่ยว รู้สึกตื้นตันใจ ทั้งคู่สบตากันหวานซึ้ง ราวกับต้องการส่งผ่านความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในแววตานั้นไปถึงกันและกัน

เหยี่ยวเดินเข้ามาในห้องทำงาน ที่สำนักงานสืบฯ พลางมองกล่องขนมทองหยอดวางอยู่บนโต๊ะอย่างแปลกใจ แนนรีบบอกว่าเธอเป็นคนซื้อมาฝาก จากนั้นก็ชำเลืองมอง เห็นเหยี่ยวนั่งลงอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงาน ไม่สนใจขนมที่เธอซื้อมาฝากเลยสักนิด
แนนได้แต่นั่งเศร้า
ในที่สุดแนนก็ก่อนตัดสินใจถามสิ่งที่อึดอัดใจมาหลายวัน เมื่ออยู่กับเหยี่ยวตามลำพัง
“โกรธอะไรเรารึเปล่า ?”
เหยี่ยวส่ายหน้า “เปล่า”
“แต่ท่าทางเหยี่ยวไม่อยากคุยกับเรา”

เหยี่ยวกำลังจะอธิบาย แต่นกน้อยเข้ามาขัดจังหวะ บอกว่าสงครามเรียกไปพบ เหยี่ยวรีบเดินไป แนนมองตามด้วยสายตาเศร้าและน้อยใจ

สงครามพูดกับเหยี่ยวแบบไม่อ้อมค้อม

“หมวดเคยถามผมเรื่องลูกสาวของธารา และพูดเหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่”
“น้ำริน ? ทำไมเหรอครับ ?”
สงครามเลื่อนกล่องชาดอกมะลิในซองพลาสติกใสบนโต๊ะให้เหยี่ยวดู
“มีคนส่งชากล่องที่หายไปมาให้ธารา ผมให้ดารณีเอาไปตรวจสอบพบว่ามีสารพิษผสมอยู่ในชาที่ธาราเคยดื่ม”
“ไม่พบรอยนิ้วมือคนร้ายเหรอครับ”
สงครามส่ายหน้า หนักใจ
“คนร้ายต้องเป็นคนใกล้ตัวธาราหรือน้ำริน แต่ถ้าไม่มีหลักฐานเพียงพอ เราก็กล่าวหาใครไม่ได้”
“ผู้การจะให้ผมทำอะไรครับ ?”

น้ำรินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาบอกเหยี่ยว
“ฉันเคยมีโรคประจำตัวที่ต้องกินยาเป็นประจำ จำได้แค่ก่อนเกิดอุบัติเหตุ พี่ธรโทรมาเตือนให้ฉันกินยา”
เหยี่ยวหน้าเครียด น้ำรินพอจะเดาความคิดออก จึบรีบพูดค้าน
“พี่ธรเป็นห่วงฉัน เค้าไม่มีทางคิดร้ายกับฉัน”
“สิ่งที่ตาคุณเห็นอาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป ผมพูดตามประสบการณ์การทำงาน และจำเป็นต้องสงสัยทุกคนที่อยู่ใกล้ตัวคุณกับคุณธารา”
“งั้นคุณก็ควรสงสัยนับดาวด้วย”
เหยี่ยวครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด

เหยี่ยวเปิดคอมพิวเตอร์ เห็นภาพบริเวณสถานพยาบาลริมน้ำที่ถูกไฟไหม้ ก่อนจะหันไปบอกกับสงคราม
“นี่คือสถานพยาบาลเอกชนที่ถูกไฟไหม้เมื่อสัปดาห์ก่อน”
“หมวดสงสัยว่าน้ำรินเคยอยู่ที่นี่งั้นเหรอ ?”
เหยี่ยวส่ายหน้า “ผมยังอธิบายผู้การตอนนี้ไม่ได้ แต่ผมมั่นใจว่าน้ำรินถูกพาตัวมาไว้ที่นี่หลังเกิดอุบัติเหตุ”สงครามมองเหยี่ยวอย่างค้นหา
“ผมตรวจสอบประวัติสถานพยาบาลนี้ พบว่ามีหมอทางระบบประสาทมือดีคนหนึ่งดูแลอยู่ แต่หมอหายตัวไปตั้งแต่ที่นี่ถูกไฟไหม้”
สงครามรีบถามต่อ “มีผู้เสียชีวิตมั้ย ?”
“ผู้เสียชีวิตหนึ่งรายเป็นพยาบาลครับ ชาวบ้านแถวนี้บอกว่าเคยเห็นหมอกับพยาบาลเข้าออกที่นี่ประจำ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนไข้”
“อะไรทำให้หมวดคิดว่าที่นี่เกี่ยวข้องกับน้ำริน ?”

เหยี่ยวกับสงครามยืนอยู่หน้าสุสานที่เก็บร่างของพ่อภพธร ก่อนที่เหยี่ยวจะรีบบอกว่า
“ภพธรกับนับดาวเคยมาที่นี่ และไปสถานพยาบาลริมน้ำวันที่เกิดเหตุไฟไหม้”
สงครามสบตาเหยี่ยว หน้าเครียดขึ้นมาทันที
“หมวดกำลังสงสัยสองคนนั้น ?”
“ผมไม่มีหลักฐาน”
“ถ้าเจอตัวหมอที่หายไปในวันเกิดเหตุ เราอาจได้คำตอบของเรื่องนี้”
เหยี่ยวพยักหน้าเห็นด้วยกับสงคราม

เหยี่ยวกลับมา เห็นยายนวลนั่งรออยู่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“หนูแนนมารอเอ็งทั้งวัน”
“ผมบอกยายแล้วว่ามีงานด่วน”
ยายนวลจ้องหน้าเหยี่ยวอย่างเอาเรื่อง
“ไม่ต้องเอางานมาอ้าง ข้ารู้ว่าเอ็งพยายามหลบหน้าหนูแนน”
น้ำรินเดินมาหยุดอยู่มุมหนึ่ง แอบได้ยินทั้งคู่คุยกัน
“อีกไม่นานเอ็งกับหนูแนนก็ต้องแต่งงานกัน ทำไมถึงไม่หาเวลาดูแลคู่หมั้นตัวเองบ้าง”
“แนนไม่ใช่คนอ่อนแอ”
“เอ็งก็เลยเลือกดูแลหนูน้ำ ทั้งที่เค้าไม่ใช่คู่หมั้นของเอ็งงั้นเหรอ”
เหยี่ยวถอนหายใจ “เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะยาย ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง”
ขาดคำก็เดินหนีไป ยายนวลถอนใจแรงอย่างหนักใจ น้ำรินไม่สบายใจ ที่ตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้

“ยายทำทุกอย่างเพราะรักคุณ อยากให้คุณมีคู่ครองที่เหมาะสม”
น้ำรีบตัดสินใจพูดกับเหยี่ยวตรงๆ
“แล้วความสุขของผมล่ะ ?”
เหยี่ยวพูดพลางลุกขึ้นมาประจัญหน้ากับน้ำริน แววตาบ่งบอกถึงความรักที่มีให้แก่เธอ
น้ำรินสบตาเหยี่ยว ด้วยความรู้สึกเจียมตัว
“เมื่อถึงเวลา เราควรเลือกสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าถูกใจ”
“สิ่งเดียวที่ผมต้องทำตอนนี้คือการตามหาร่างคุณให้เจอ และพาดวงจิตของคุณกลับเข้าร่างให้ได้”
น้ำรินซาบซึ้งในสิ่งที่เหยี่ยวพยายามทำให้เธอ

ธารากำลังนั่งอ่านเอกสารในแฟ้ม พลางเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลแนบมากับแฟ้มเอกสาร จึงรีบเปิดซองเอกสารออกดูด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่อยู่ในซอง คือเอกสารบัญชีธนาคารของนับดาว
จากนั้นก็รีบกดมือถือโทร. บอกสงคราม
“ผมจะตรวจสอบต้นทางที่โอนเงินเข้าและปลายทางที่โอนเงินออกให้ก็แล้วกัน”
สงครามกดวางสาย ก่อนหันไปบอกเหยี่ยว
“มีคนส่งข้อมูลเดินบัญชีธนาคารของนับดาวมาให้ธารา ยอดเงินจำนวนมหาศาล”
“นับดาวเป็นแค่พนักงานบริษัท จะมีเงินเยอะขนาดนั้นได้ไง”
“นั่นคือสิ่งที่ธาราต้องการคำตอบ”
“แล้วเรื่องที่ผู้การสงสัยล่ะครับ” เหยี่ยวย้อนถาม
“ใครเป็นคนส่งข้อมูลมาให้ธารา”

ภพธรยืนมองร่างของน้ำริน ที่นอนนิ่งไร้การตอบสนองอยู่ในบ้านเก่าของนุติด้วยสายตานิ่งเรียบ
“น้ำปลอดภัยแล้ว นี่เป็นบ้านเก่าของพ่อพี่เอง จะไม่มีใครตามหาร่างของน้ำเจอ และไม่มีใครทำอันตรายน้ำได้ พี่สัญญา”
ที่แท้ภพธรนั่นเองที่เป็นคนช่วยนำร่างของน้ำรินออกมาจากสถานพยาบาล ก่อนที่จะโดนไฟไหม้

ภพธรใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้เส้นผมของน้ำรินด้วยความรักทะนุถนอม สักพักแววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น
“พี่ควรจะเกลียดน้ำ เหมือนที่พี่รู้สึกเกลียดนังธารา พี่ควรจะแค้นที่แม่ของน้ำทำให้พ่อพี่ตาย แต่พี่ก็ทำไม่ได้ ทำไมพี่ถึงฆ่าน้ำน้ำไม่ได้ เพราะอะไร ?”
ภพธรสับสน เจ็บปวดกับความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นภายในใจตัวเอง จากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง ตรงไปหาหมอที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง ด้วยท่าทางหวาดกลัว พร้อมกับกำชับเสียงเข้ม
“ความลับของผู้หญิงคนนี้ หมายถึงชีวิตของหมอและครอบครัว”

ธารานอนหลับสนิทอยู่บนเตียง น้ำรินเข้ามาในห้อง แล้วนั่งลงตรงปลายเตียง มองแม่ด้วยสายตาเศร้า
“แม่คะ เวลาของน้ำใกล้หมดแล้ว น้ำเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่สามารถอยู่ดูแลแม่ได้ ยกโทษให้น้ำด้วยนะคะ”
จากนั้นก็ก้มลงกราบเท้าแม่อย่างเศร้าสร้อย พลันธาราก็รู้สึกตัวตื่น
“น้ำ น้ำใช่มั้ย”
ธาราเห็นภาพน้ำรินเป็นเพียงเงาเลือนราง ขณะเดียวกัน ก็ใช้แขนดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง
น้ำรินตื่นเต้น “แม่มองเห็นน้ำแล้วเหรอคะ”
ธารามองไปรอบๆ ตัวเอง แม้ไม่เห็น แต่รู้สึกได้ถึงความผูกพันที่น้ำรินส่งมาให้
“แม่รู้สึกว่าน้ำอยู่ใกล้มาก ใกล้จนแม่สัมผัสได้ แม่อยากกอดลูกเหลือเกิน”
“น้ำก็อยากให้แม่กอด อยากซึมซับพลังและความเข้มแข็งของแม่”
ธาราหันมองรอบห้องอย่างเศร้าๆ เพราะไม่เห็นเงาของน้ำรินแล้ว
“ถึงแม่จะมองไม่เห็นลูก แต่แม่ก็มั่นใจในพลังความรักที่แม่มีให้ลูก รักของแม่จะเป็นเกราะคุ้มภัยและพาลูกกลับบ้านนะน้ำริน”
ธารากับน้ำรินน้ำตาซึม ต่างส่งผ่านความผูกพันที่มีให้กันแม้จะมองไม่เห็น

ธารา ภพธร นับดาว และกรรมการบริษัทเข้ามาพร้อมกันในห้องประชุม ธาราชำเลืองมองนับดาวแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวเปิดประชุม
“เรื่องด่วนที่ฉันเรียกประชุมในวันนี้ เกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูลบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และการทุจริต
สเป็กวัสดุก่อสร้างในโครงการของเรา”
เลขาเดินแจกเอกสารที่ถ่ายเอกสารเตรียมมาให้ทุกคน เหล่ากรรมการบริษัทรับไปอ่าน แล้วก็ทำหน้าเครียด นับดาวลอบสบตาภพธร รู้สึกใจคอไม่ดี
“มีหลักฐานหลายฉบับ ระบุว่านับดาวได้ค่าตอบแทนจากการเสนอชื่อบริษัทผู้รับเหมา และได้รับเปอร์เซ็นต์จากการเปลี่ยนสเป็กวัสดุก่อสร้าง”
ธาราและเหล่ากรรมการบริษัทหันมองนับดาวเป็นตาเดียว
“ไม่จริงค่ะ ดาวไม่ได้ทำ ดาวถูกใส่ร้าย”
ธาราไม่ฟังเสียง “ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎของบริษัทใช่มั้ยภพธร”
นับดาวส่งสายตาให้ภพธรให้ช่วย
“เราจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ นับดาวคงต้องพักงานจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ทำผิด”
นับดาวตกใจ พยายามขอความเห็นใจจากธาราทางสายตา
ธาราสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่สนใจสายตาอ้อนวอนของนับดาวแม้แต่น้อย



นับดาวโวยวายใส่ภพธรอย่างคุมสติไม่อยู่
“ทำไมพี่ธรไม่ช่วยดาว ทำไมปล่อยให้ดาวเดือดร้อนคนเดียว ถ้ามีหลักฐานว่าดาวเป็นคนผิด ดาวก็ต้องติดคุกข้อหาฉ้อโกงบริษัท ดาวไม่อยากติดคุก”
ภพธรกุมมือนับดาวขึ้นมาปลอบใจ
“พี่สัญญาว่าจะไม่ทิ้งดาว พี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยดาว แต่ช่วงนี้ดาวต้องนิ่งให้มากที่สุด”
ท่าทางนับดาวเริ่มเย็นลง แต่ยังไม่คลายกังวล

ธารานั่งปรับทุกข์กับสงคราม เพราะไม่คิดว่านับดาว ที่เป็นเพื่อนสนิทของน้ำรินและเป็นคนที่เธอไว้ใจ
จะกล้าทำเรื่องแบบนี้ พร้อมกับก่นโทษตัวเอง
“คงเป็นกรรมที่ฉันเคยทำกับคนอื่นมาก่อน ฉันทำร้ายคนมากมายเพื่อผลประโยชน์ สุดท้ายก็ถูกคนใกล้ตัวทรยศหักหลัง”
“คุณชดใช้กรรมมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่คนอื่นต้องชดใช้บ้าง”
ธารานึกขึ้นได้ จึงรีบถามสงครามด้วยความสงสัย
“ทำไมคุณให้ฉันยื้อเรื่องตรวจสอบการทุจริตของนับดาว แทนที่จะให้รีบดำเนินคดีตามกฎหมาย”
“นายยอดชัด, บุษบัน, มิสเตอร์หลิว ผู้ต้องหาจากคดีค้ายาเสพติดคือบุคคลที่โอนเงินเข้าบัญชีนับดาว และนับดาวก็เคยโอนเงินไปให้คงคา มือปืนที่มีหลักฐานว่าลอบทำร้ายคุณ”

ทางด้านน้ำรินที่รู้เรื่องจากเหยี่ยว ก็ตกใจเป็นห่วงธารา
“ฉันกลัวว่าแม่จะไม่ปลอดภัย”
“ผู้การสงครามไม่มีทางปล่อยให้คุณธาราเป็นอันตรายหรอก”
“นับดาวอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายฉันกับแม่ และเป็นหัวหน้าเครือข่ายค้ายาเสพติดระดับประเทศ”
“ลำพังนับดาวคนเดียวคงทำงานใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้ ต้องมีคนอื่นร่วมมือกับนับดาว”
เหยี่ยวพูดอย่างมั่นใจ
“คุณควรเชื่อฉันแต่แรกว่าเป็นฝีมือนับดาว”
“ผมเชื่อหลักฐานที่พิสูจน์ได้ ตอนนี้นับดาวพัวพันหลายคดี ตำรวจต้องทำงานอย่างรอบคอบและผิดพลาดไม่ได้”
เหยี่ยวถอนหายใจอย่างหนักใจ จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกมาหน้าบ้าน เปิดอ่านข้อความที่ดารณีส่งมาทางมือถือ
“สำนักงานสืบฯ ได้เบอร์โทรศัพท์มือถือของหมอที่ดูแลสถานพยาบาลริมน้ำนั้นแล้ว กำลังตามสัญญาณมือถืออยู่”
เหยี่ยวเริ่มยิ้มอย่างมีความหวัง
น้ำรินนั่งมองปลาทองในตู้ปลา สายตาเศร้า
“พรุ่งนี้เป็นวันพระสุดท้าย ฉันไม่รู้ว่าจะได้กลับเข้าร่างหรือกลายเป็นวิญญาณ ฝากดูแลเหยี่ยวด้วยนะเซมเบ้ ทำให้เขายิ้มทุกครั้งที่มองแก ทำให้เขาหัวเราะทุกครั้งที่เรียกชื่อแก”
“มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้ตลอดเวลา”
น้ำรินตกใจ เพราะไม่รู้ว่าเหยี่ยวเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ยังมีชีวิตก็ยังมีหวัง ยังไม่หมดเวลาก็ยังมีเวลา ทุกวินาทีที่เราได้อยู่ด้วยกัน คือสิ่งมีค่า อย่ามองข้ามความสุขตรงนั้น”
น้ำรินน้ำตาซึม “คุณช่วยเหลือฉันมาตลอด จนฉันไม่รู้จะตอบแทนยังไง”
“กลับมามีชีวิตและทำให้ผมยิ้มทุกวันสิ”
“ฉันก็อยากมีชีวิต อยากกลับมาหาคุณ”
“ผมจะรอคุณเสมอ และจะไม่มีวันลืมคุณ”
น้ำรินยิ้มตื้นตัน โผกอดเหยี่ยวอย่างลืมตัว แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเธอสามารถกอดเขาได้แนบแน่น
“ฉันอยากกอดคุณมากที่สุด และฉันทำได้”
“มันไม่ใช่การกอดลาครั้งสุดท้าย แต่เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ พรุ่งนี้คุณจะต้องได้กลับเข้าร่างของคุณ”

เหยี่ยวกอดน้ำรินไว้แนบอกด้วยความรักสุดหัวใจ

นับดาวขับรถมาจอดมุมหนึ่งมองภพธรขับรถเข้าไปในคฤหาสน์ของธาราด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

ภพธรลงจากรถ กำลังจะก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ พร้อมๆ กับเสียงมือถือดังขึ้น เมื่อเห็นชื่อนับดาวเป็นคนโทร. ก็รีบกดรับสาย
“มาหานังธาราทำไมแต่เช้า? คิดจะทรยศดาวใช่มั้ย”
“ดาวพูดเรื่องอะไร พี่งงไปหมดแล้ว ที่พี่มาเนี่ย ก็จะมาจัดการนังธาราให้ดาว”
“ไม่จริง ดาวรู้ว่าพี่ธรแอบเก็บร่างนังน้ำรินไว้ พอดาวตามไปเผา พี่ธรก็ช่วยนังน้ำรินออกมาอีก ตอนนี้ดาวหมดประโยชน์แล้ว พี่ธรคงคิดจะกลับไปหานังน้ำริน อย่าหวังว่าดาวจะปล่อยให้พี่ธรมีความสุข”
นับดาวพูดอย่างเคียดแค้น ภพธรครุ่นคิดสักพัก หาทางแก้ตัว
“พี่เก็บร่างน้ำรินไว้ก็เพื่องานของเราสองคนเท่านั้น”
“ดาวไม่เห็นประโยชน์อะไร นอกจากพี่ธรจะยังรักนังน้ำริน ดาวกุมความลับทุกอย่างของพี่ธรไว้ และเมื่อถึงคราวจำเป็น ดาวก็คงต้องใช้มัน”
นับดาวขู่จริงจัง ภพธรหน้าเสีย คิดหาทางทำให้เธอตายใจ
“เอาล่ะ เพื่อพิสูจน์ความรักและความจริงใจที่พี่มีต่อดาว เราจะไปทำลายร่างน้ำรินด้วยกัน พี่จะส่งที่อยู่ไปให้ ดาวรีบพาคนของเราไปรอที่นั่น ขอเวลาพี่จัดการนังธาราก่อน อีกสักพักพี่จะตามไป”
จากนั้นก็กดวางสาย ด้วยสายตานิ่ง

เหยี่ยวจอดจักรยานถามชาวบ้านคนหนึ่งริมถนนแคบ ๆ ในหมู่บ้านเก่าย่านชานเมือง
“เข้าไปประมาณห้าร้อยเมตร ก็น่าจะเจอแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมากครับลุง”
เหยี่ยวรีบปั่นจักรยานไปตามทางที่ชาวบ้านบอกทันที ก่อนที่จะจอดรถจักรยานพิงกำแพงบ้าน เห็นประตูรั้วหน้าบ้านปิดล็อกกุญแจแน่นหนา ประตู หน้าต่างในบ้านปิดเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ข้างใน จึงตัดสินใจปีนกำแพงเข้าไปในบ้าน

เหยี่ยวปีนหน้าต่างเข้ามา เห็นร่างน้ำรินนอนอยู่บนเตียง ก็ถึงกับตะลึง
“น้ำริน คุณยังมีชีวิต คุณยังไม่ตาย”
เหยี่ยวก้าวเข้าไปมองร่างน้ำรินบนเตียงใกล้ ๆ ตื่นเต้นระคนดีใจ หมอเปิดประตูเข้ามาในห้อง ถึงกับตกใจเมื่อเห็นเหยี่ยว
“คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง”
“ผมเป็นตำรวจ”
หมอกลัวความผิด พยายามจะหนี แต่กลับถูกเหยี่ยวล็อกตัวไว้ทัน
“ใครพาผู้หญิงคนนี้มาไว้ที่นี่”

ธารานั่งมองนาฬิกาแฝดที่ข้อมือ รู้สึกสังหรณ์ใจ ครู่หนึ่งแม่บ้านก็เปิดประตูเข้ามา
“คุณภพธรมารอพบคุณธาราได้สักพักแล้วค่ะ”
น้ำรินที่นั่งอยู่ข้างๆ นึกแปลกใจว่าภพธรมาทำไม

ภพธรพูดกับธาราด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ผมมีเรื่องสำคัญต้องบอกให้คุณอารู้ ผมทนเก็บความลับไว้ไม่ได้อีกแล้ว ผมเคยนอกใจน้ำริน”
ธาราตกใจ ขณะที่น้ำรินรู้อยู่แล้ว
“ผมพลาด เพราะความเมา ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่นับดาวใช้เรื่องนั้นข่มขู่และแบล็กเมล์ผมมาตลอด”
ธารานิ่ง ตั้งใจฟัง ภพธรเริ่มต้นเล่า
“นับดาวเป็นคนเริ่มวางยาพิษให้คุณอาดื่ม นับดาวเป็นคนวางแผนกำจัดน้ำรินและคุณอา เพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติของคุณอา และใช้รินธารากรุ๊ปเป็นช่องทางค้ายาเสพติด ผมรู้สึกผิดกับคุณอาและน้องน้ำมาตลอด ผมทำร้ายครอบครัวผู้มีพระคุณอย่างไม่น่าให้อภัย ผมขอโทษครับคุณอา ผมขอโทษ”
ภพธรทรุดลงร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด ธาราจ้องมองอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก
“แล้วทำไมเธอเพิ่งจะรู้สึกผิด?”
“เพราะนับดาวกำลังจะทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ซึ่งผมยอมรับไม่ได้ น้ำริน นับดาวจะทำร้ายน้ำริน”
ธาราจ้องมองภพธร ก่อนนึกขึ้นได้
“ยายน้ำ? ธรรู้ใช่มั้ยว่าน้องอยู่ที่ไหน”
“ผมรู้ วันนี้ผมจะพาคุณอาไปที่ที่นับดาวซ่อนร่างน้ำรินไว้”
น้ำรินยิ้มดีใจ มีความหวังที่จะได้เจอร่างของตัวเอง

หมอเดินนำเหยี่ยวที่อุ้มร่างน้ำรินออกมาจากห้อง แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเจอนับดาวกับลูกน้อง 3 คน ยืนอยู่หน้าประตู
นับดาวรีบหันไปสั่งลูกน้องทันที
“จัดการ เอาร่างนังน้ำรินกลับมา”
ลูกน้องทั้งสองกรูเข้าไปล้อมเหยี่ยว ส่วนหมอฉวยจังหวะวิ่งหนีออกไปทางหลังบ้าน
นับดาวคว้าปืนพกออกมา รีบตามหมอไป
เหยี่ยวมองไปรอบๆ ตัว ที่ถูกลูกน้องนับดาวล้อมไว้ เหมือนไม่มีทางรอดแล้ว

ภพธรนั่งข้างคนขับ หันไปบอกทางสงคราม
“ขับตรงไปก่อนเรื่อย ๆ ครับ”
สงครามขับรถไปด้วยท่าทางนิ่งขรึม ยังไม่ค่อยไว้ใจภพธร ธารที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังกับน้ำริน ชะเง้อมองทางด้วยความร้อนใจ หวังที่จะได้เจอร่างของลูกสาว

เหยี่ยววางร่างน้ำรินลงบนโซฟา ขณะลูกน้องทั้งสองพุ่งเข้าเล่นงาน แต่สุดท้ายทั้งหมดหลับถูกเหยี่ยวจัดการจนสะบักสะบอม เหยี่ยวอาศัยจังหวะนั้น รีบอุ้มร่างน้ำรินออกไปทันที

นับดาวไล่ตามหมอมาทางหลังบ้าน หมอหมดหนทางหนีเพราะรั้วถูกปิดมิดชิดและแน่นหนา
นับดาวยิ้มเหี้ยม ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นมาหลายนัดติดกัน

เหยี่ยวอุ้มร่างน้ำรินหันมองรอบ ๆ คิดหาทางว่าจะพาน้ำรินออกไปได้ยังไง พลันก็เหลือบไปเห็นรถนับดาวจอดอยู่ พร้อมกุญแจรถเสียบค้างไว้
เหยี่ยวมองร่างน้ำรินที่อยู่ในอ้อมกอดตัวเองอย่างลังเลเพราะไม่กล้าขับรถ
“หยุดนะ”
นับดาวถือปืนวิ่งใกล้เข้ามา เหยี่ยวก้มลงไปมองหน้าน้ำรินที่อุ้มอยู่
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะต้องพาร่างคุณกลับไปไว้ที่เดิม เพื่อให้ดวงจิตของคุณกลับเข้าร่างให้ได้”
ด้วยพลังแห่งรักที่มีต่อน้ำริน ทำให้เหยี่ยวตัดสินใจเปิดประตูด้านหลัง แล้ววางร่างของเธอไว้บนเบาะ ก่อนจะกระโดดไปนั่งที่คนขับรีบสตาร์ทรถ ขับออกไปทันที
นับดาวยิงปืนตามไล่หลัง แต่เหยี่ยวกลับเลี้ยวรถหนีไปได้ทัน
ในเวลาเดียวกันนั้น แนน นกน้อย ดารณี ก็นำกำลังตำรวจสามคันรถพุ่งเข้ามาจอดล้อมบ้านนุติไว้ ตำรวจกรูกันลงจากรถมาล้อมกรอบนับดาวและลูกน้องอย่างรวดเร็ว
นับดาวหน้าซีด ตกใจ

สงครามกับภพธรช่วยกันพาธาราลงจากรถไปนั่งรถเข็น เห็นนับดาวกับลูกน้องถูกล็อกกุญแจมือ
ตำรวจหลายนายกระจายกันสำรวจรอบบ้าน
“เจอร่างของน้ำรินมั้ย ?” สงครามหันมาถามแนนอย่างร้อนใจ
“คุณน้ำรินถูกพาตัวมาไว้ที่นี่ แต่หมวดเหยี่ยวเพิ่งพาเธอออกไป”
ภพธรหน้าเครียดด้วยความไม่พอใจ แนนรีบรายงานต่อ
“เราคลาดกับหมวดเหยี่ยวนิดเดียว พยายามโทรเข้ามือถือก็ไม่ติด คิดว่าคงพาคุณน้ำรินไปโรง พยาบาล”
น้ำรินพยายามใช้สมาธิแล้วหลับตา ฉับพลันดวงจิตของเธอก็ค่อยๆ สลายไปอย่างรวดเร็ว
นับดาวที่ถูกควบคุมตัวไปขึ้นรถตำรวจ หันมาเห็นภพธร ก็ร้องขอความช่วยเหลือ
“พี่ธรช่วยดาวด้วย อย่าทิ้งดาวนะคะ”
แต่ภพธรกลับมองนับดาวด้วยสายตาเรียบเฉย เหมือนไม่เคยมีความรู้สึกอะไรต่อกัน
นับดาวใจหาย รู้ได้ทันทีว่าทุกอย่างเป็นแผนของภพธรที่จะกำจัดเธอ สายตาจึงแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น ก่อนที่จะถูกพาตัวขึ้นรถตำรวจไป
ธารากลุ้มใจเป็นห่วงน้ำริน สงครามแอบชำเลืองมองภพธร ด้วยความรู้สึกไว้ใจ

ดวงจิตของน้ำรินปรากฏขึ้นตรงเบาะข้างคนขับ พลางหันไปมองร่างตัวเองด้วยความตื่นเต้น
“คุณตามหาร่างของฉันจนเจอแล้ว ฉันยังไม่ตายจริงๆ”
เหยี่ยวหันมาเห็นดวงจิตน้ำริน ก็ตกใจจนเกือบเสียหลัก แต่ก็ประคองรถวิ่งไปได้อย่างปกติ พลันผียายปริกก็ปรากฏตัวตามมา พร้อมกับรีบบอกน้ำริน
“บอกหมวดเหยี่ยวสุดเลิฟของหล่อน ให้รีบไปจุดที่หล่อนเกิดอุบัติเหตุก่อนจะไม่ทันเวลา หล่อนต้องรีบไปเข้าร่างที่นั่น”

เหยี่ยววางร่างน้ำรินลงบนพื้นหญ้าริมบึง บริเวณจุดที่น้ำรินเกิดอุบัติเหตุ ผียายปริกรีบบอกน้ำริน
“เพ่งสมาธิไปที่ร่างของหล่อน ผสานจิตกับกายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน”
จู่ๆ ชลชาติก็ปรากฏตัวด้วยสายตาดุกร้าว อาฆาตแค้นน้ำริน
“กูจะไม่ยอมให้มึงมีชีวิต นังฆาตกร”
น้ำรินตกใจ เหยี่ยวตกตะลึง ถึงไม่เห็นแต่ก็รู้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่
ชลชาติพุ่งเข้าหาน้ำริน หวังจะทำร้ายด้วยความความแค้น ผียายปริกพุ่งเข้าไปขัดขวางชลชาติจนเกิดประกายแสงเปรี้ยงปร้าง
“ฉันจะถ่วงเวลามันไว้ หล่อนรีบกลับเข้าร่างได้แล้ว”
“วิญญาณทุกดวงมีอำนาจเหมือนกันในวันพระ แรงอาฆาตแค้นของกูจะทำลายพวกมึง”
ชลชาติวาดมือเข้าใส่ บังเกิดเป็นพลังสีแดงกระแทกผียายปริกจนกระเด็นไป จากนั้นก็พุ่งเข้ามาบีบคอดวงจิตน้ำรินด้วยความแค้น
“วันสุดท้ายของมึง คือวันที่ต้องชดใช้ชีวิตให้กู”
เหยี่ยวปรี่เข้าไปช่วยน้ำริน แต่กลับถูกชลชาติบีบคอด้วยอีกคน ทั้งคู่ดิ้นทุรนทุรายในกำมือของชลชาติ
ผียายปริกปรากฏตัวด้านหลังชลชาติพร้อมเชือกแสงสีขาว ก่อนจะตวัดเชือกรัดคอชลชาติไว้
“ปล่อยพวกเค้าเดี๋ยวนี้”

ชลชาติระเบิดพลังรัศมีสีแดงเพลิง ทำให้ผียายปริก เหยี่ยว น้ำริน กระเด็นไปคนละทาง

“วันนี้เวลานี้ เวลาของไอ้สัมภเวสีหมดแล้ว นรกที่กำลังไล่ล่าวิญญาณกำลังจะปรากฏเพื่อเอาวิญญาณผีเร่ร่อนกลับไปแล้ว” ขาดคำที่ผียายปริกบอกกับน้ำริน
 
พื้นรอบ ๆ ก็เกิดเป็นรอยแยกแตกตรงเข้ามา แสงสีแดงฉายขึ้นมาจากรอยแยก วูบไหวเหมือนเปลวไฟ
น้ำรินหยุดคิดนิดหนึ่ง
“นรกไล่ล่าวิญญาณผีเร่ร่อน? ปริกก็เร่ร่อนนะ วิญญาณปริกไม่ปลอดภัยเหมือนกัน”
“มีเกิดย่อมมีดับ ไหนๆ จะดับก็ขอดับแบบมีคุณค่าซะหน่อยก็แล้วกัน”
ชลชาติสายตาแข็งกร้าว ยังฮึดด้วยแรงอาฆาต เคลื่อนที่เร็วจะเข้าไปทำร้ายน้ำริน
พลันรอบๆ กายของน้ำรินกับเหยี่ยว ปรากฏเป็นลมพายุหมุนวน กำลังพุ่งเข้าไปยังทั้งคู่
“ ไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่ยอมให้คุณต้องเป็นอันตรายเด็ดขาด”
เหยี่ยวหันมาบอกนี้รินด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ชลชาติพุ่งเข้ามาหาน้ำริน เหยี่ยวแม้มองไม่เห็น แต่เห็นแสงสีแดงฉานเรืองรองพุ่งเข้ามาหาน้ำริน
จึงตัดสินใจเอาร่างตัวเองบังร่างน้ำรินที่ยังไม่มีดวงจิตไว้
ผียายปริกรวบรวมพลังทั้งหมด พุ่งเข้าไปยื้อยุดฉุดกระชากวิญญาณชลชาติ จะพาลงไปในรอยแยกนั้นด้วยกัน ท่ามกลางสายตาของน้ำรินกับเหยี่ยว
ในที่สุดผียายปริกก็ลากวิญญาณชลชาติลงไปในรอยแยกสำเร็จ บังเกิดเป็นเปลวไฟแผดเผากระจ่างจ้า
รอยแยกบนพื้นที่แตกระแหงอยู่ ค่อยๆ กลับปิดติดกลายเป็นพื้นปกติทีละน้อยๆ แต่ยังปิดไม่สนิท
น้ำรินตะลึงน้ำตาไหล เสียใจกับการเสียสละของผียายปริก
“ฉันทำให้วิญญาณของปริกดับสลาย ฉันขอโทษ”
Wคุณต้องรีบกลับเข้าร่าง อย่าทำให้การเสียสละของปริกไร้ค่า”
น้ำรินมองร่างที่นอนไม่ได้สติของตนเองอย่างตัดสินใจ

ดวงจิตน้ำรินก้าวเข้าไปนอนทับบนร่างน้ำริน เหยี่ยวมองอย่างตื่นเต้น และลุ้น
“น้ำริน คุณกลับเข้าร่างได้แล้ว อีกไม่นานคุณจะกลับมามีชีวิตเหมือนเดิมแล้ว”
วิญญาณชลชาติตะเกียกตะกายขึ้นมาจากรอยแยกที่ยังไม่ปิดไม่สนิท ร่างไหม้เกรียม ดวงตาแดงฉาน
“กูไม่ยอมให้มึงมีชีวิต มึงต้องตกนรกไปพร้อมกู”
เหยี่ยวหันไปเห็นแสงสีแดงเป็นประกายวาบ กำลังจะพุ่งเข้ามาทำร้ายร่างน้ำริน ก็โผเข้าไปกอดร่างไว้ ไม่ยอมให้ชลชาติทำร้าย
ชลชาติวาดมือฟาดเหยี่ยว บังเกิดแสงสีแดงกระแทกร่างจนลอยหวือกระเด็นตกน้ำไป
ร่างเหยี่ยวที่หมดสติตกลงมาในน้ำ และกำลังจะจมดิ่งลงก้นบึง ชลชาติย่างสามขุมไปยังร่างน้ำรินที่นอนแน่นิ่ง ไม่รู้สึกตัว แววตาแดงฉานเป็นสีเลือด
พลันผียายปริกก็พุ่งขึ้นมาจากรอยแยกที่เหลืออยู่ กระชากร่างชลชาติลงไปในรอยแยกอีกครั้ง รอยแยก กลับกลายเป็นพื้นปกติเช่นเดิม
น้ำรินกลับเข้าร่างได้ แต่ยังสลบไสลไม่รู้สึกตัว ขณะที่ร่างของเหยี่ยวกำลังจมดิ่งลงไปยังพื้นบึงเรื่อยๆ

ร่างของเหยี่ยวที่เปียกโชกอยู่บนเตียงเข็นครอบหน้ากากออกซิเจน ร่างของน้ำรินอยู่บนอีกเตียง ถูกเข็นมาด้วยกัน ก่อนที่ทั้งสองเตียงจะถูกเข็นแยกไปคนละทาง

ร่างของน้ำรินยังนอนนิ่งสนิท ทั้งสัญญาณชีพจรและการเต้นของหัวใจปกติ ครู่หนึ่งเปลือกตาก็กระตุก
ร่างเหยี่ยวกระตุกไปตามแรงช็อตของเครื่องกระตุ้นหัวใจ เส้นชีพจรยังคงเป็นเส้นตรง และอัตราการเต้นหัวใจยังเป็นศูนย์

สงครามกับธารานั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างร้อนใจ ครู่หนึ่งหมอก็ผลักประตูออกมา
“หมอตรวจร่างกายคุณน้ำรินแล้ว เป็นปกติ แต่หมอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังไม่ฟื้น อาจจะมีปัญหาที่สมองหมอขอตรวจให้ละเอียดอีกทีนะครับ”
“ฉันขอเข้าไปดูลูกได้มั้ยคะ”
“รอข้างนอกดีกว่าครับ”
พูดจบหมอหัก็นหลังกลับเข้าไป พอดีกับหมออีกคนหนึ่งที่ดูแลเหยี่ยว เดินสวนออกมารับอุปกรณ์ช่วยชีวิต ที่พยาบาลกำลังเข็นเข้าไปในห้อง สงครามรีบถาม
“หมวดเหยี่ยวเป็นยังไงบ้างครับ”
“สมองของคนไข้ขาดออกซิเจนมานาน อาการไม่น่าไว้ใจแต่หมอกำลังพยายามอย่างเต็มความ สามารถครับ”
ธารากลัดกลุ้มจนอยู่ไม่ติด “น้ำริน อย่าตายนะลูก”
สงครามต้องกุมมือธาราไว้แน่น
“ทำใจดีๆไว้ คุณได้ลูกกลับมาแล้ว น้ำรินต้องรอด แต่หมวดเหยี่ยวนี่สิ”
สงครามถอนหายใจหนักๆ ด้วยความกังวล เป็นห่วงเหยี่ยว

หมอและพยาบาลยังคงปั๊มหัวใจสลับกับการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ และฉีดยากระตุ้นหัวใจเข้าเส้น
ใบหน้าเหยี่ยวยังคงนิ่ง ซีดขาวจนน่ากลัว
ก่อนที่กราฟชีพจรจะกระตุกขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย

น้ำรินค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น แต่ภาพตรงหน้ายังคงเบลอๆ ไม่กระจ่างจัด

สัญญาณชีพจรของเหยี่ยวขึ้นลงตามแรงช็อตหัวใจด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้ากลับเป็นเส้นตรงเหมือนเดิม ก่อนที่เสียงสัญญาณเตือนจากมอนิเตอร์ดังยาว
หมอกับพยาบาลโกลาหล เพราะคนไข้ใกล้จะเสียชีวิตแล้ว

น้ำรินค่อยๆหลับตาลงไปคล้ายหมดสติอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดเหมือนรวบรวมพลังครั้งสุดท้าย แล้วในที่สุด สติก็กลับคืนมา

เสียงชีพจรและกราฟชีวิตของเหยี่ยวระบุว่าหัวใจไม่เต้นแล้ว หมอกำลังดูนาฬิกาเพื่อจะขานเวลาเสียชีวิต ทันใดนั้นเสียงชีพจรของเหยี่ยวกลับดังขึ้นมาอีกครั้ง

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา....
-สุนทรภู่-

แนน ยายนวล และนกน้อย ยืนมองเหยี่ยวผ่านประตูกระจกหน้าห้องไอซียู ด้วยความเป็นห่วง
สายตาแนนที่มองเหยี่ยวเต็มไปด้วยความรักความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง
“โลกนี้จะมีใครรักเหยี่ยวได้เท่าหนูแนนอีกมั้ย ยายว่าผู้หญิงที่เหมาะสมกับหลานยายมากที่สุดก็คือหนูแนนนี่แหละ”
ยายนวลลูบแขนแนนด้วยความรักใคร่เอ็นดู

สงครามเข็นรถของธารา ไปห้องพักของน้ำริน นกน้อยพายายนวลเดินมาอีกทาง สงครามเห็นยายนวลก็รีบทักและพนมมือไหว้ ธารายกมือไหว้ตาม
“เหยี่ยวเป็นยังไงบ้างครับ”
“ยังไม่ฟื้น หมอยังให้อยู่ในห้องไอซียู ดูอาการคืนนี้ค่ะ”
ธารารีบแนะนำตัวกับยายนวล
“ดิฉันชื่อธาราค่ะ หมวดเหยี่ยวช่วยชีวิตลูกสาวดิฉันไว้ ขอบพระคุณเหลือเกินค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เหยี่ยวเป็นตำรวจ มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้วค่ะ เรื่องบาดเจ็บก็เป็นธรรมดาของอาชีพที่มีความเสี่ยง”
“ดิฉันขอรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายของหมวดเหยี่ยวเพื่อเป็นการขอบคุณนะคะ
ดิฉันจะกราบขอพรพระให้หมวดเหยี่ยวหายไวไวนะคะ”
ยายนวลยิ้ม “ดิฉันก็จะใส่บาตรทำบุญให้ลูกสาวคุณด้วย ลูกสาวชื่ออะไรนะคะ”
“น้ำรินค่ะ”
ยายนวลสะดุดใจกับชื่อน้ำรินทันที

น้ำรินนอนอยู่บนเตียงห้องหนึ่ง สงครามกับธารานั่งอยู่ในห้องรับรองญาติ ที่อยู่ภายในบริเวณเดียวกัน “คุณเหนื่อยมากแล้ว กลับไปนอนพักที่บ้านเถอะ พรุ่งนี้ผมจะไปรับแต่เช้า”
“ฉันจะนอนเฝ้าน้ำรินที่นี่ ทันทีที่ลูกเปิดตาขึ้นมา จะได้เห็นแม่เป็นคนแรก”
สงครามพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วจึงเดินออกไป ธารามองไปทางน้ำรินด้วยความรักอาทร

สีหน้าน้ำรินนิ่งสงบเหมือนคนนอนหลับ ขณะเดียวกันภาพในฝันกลับกระจ่างชัด
ในฝันน้ำรินเห็นใบหน้าของผียายปริก มีน้ำมีนวลเห็นเหมือนคนปกติ
“จำที่ฉันเคยบอกได้มั้ย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผล คนทุกคนจึงเกิดมาเพื่ออะไรซักอย่างเสมอฉันกับหล่อนเกิดมาเพื่ออุปถัมภ์ค้ำชูช่วยเหลือกันทุกภพทุกชาติ”
“ทุกภพทุกชาติ? ปริกกับฉันเคยเจอกันมาหลายชาติแล้วเหรอ”
ยายปริกยิ้ม แววตาอ่อนโยน และดูนบนอบน้ำรินมากกว่าเดิม
“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูของปริก”
ที่แท้ทั้งคู่ผูกพันกันมาหลายภพหลายชาติ ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนถึงกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
“ถ้าคุณหนูกับหมวดเหยี่ยวเกิดมาเพื่อความรักซึ่งกันและกัน ปริกกับคุณหนู มันก็คือความจงรักภักดีต่อให้เกิดมาชาติไหน คุณหนูจำปริกไม่ได้ ปริกก็จำคุณหนูได้”
ชุดของน้ำณฺนเปลี่ยนไปเป็นสมัยปลายกรุงศรีฯ และสมัยต้นรัตนโกสินทร์..
“ไม่ว่าความรักแบบไหน เกิดขึ้นจากเหตุ 2 ประการ คือด้วยการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน และด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน”
จากนั้นชุดของน้ำรินเปลี่ยนไปจนไปจบที่ชุดสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นชุดสมัยเดียวกับที่ยายปริกใส่มาตลอด
“แปลว่า เมื่อชาติก่อนฉันเคยเจอปริก เคยเจอหมวดเหยี่ยวมาแล้วอย่างงั้นเหรอ”
“คุณหนูกับหมวดเหยี่ยวเคยครองคู่ ร่วมทุกข์ร่วมสุข มีการจากพรากอันน่าอาลัยมาก่อน และที่สำคัญ..เคยทำบุญในพุทธเขตร่วมกัน ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แรงเหวี่ยงของกรรมใหญ่ฝ่ายกุศล จึงดึงดูดให้วิญญาณตามติดกันไปเรื่อยๆ เหมือนดังด้ายแดงในตำนานของชาวจีน ที่ผูกมัดเป็นสายใยของทั้งคู่ให้ต้องพบกันและรักกัน มันคือบุพเพ สันนิวาส”
“บุพเพสันนิวาสงั้นเหรอ”
“ชะตาชีวิตของคนสองคนที่เป็นคู่แท้ก็เหมือนแม่เหล็ก ไม่ว่าจะหนีไปไหน ชีวิตนึงก็จะลากอีกชีวิตนึงเข้ามาหากันเสมอสายใยอื่นตัดได้ แต่ตัดสายใยแห่งบุญที่คู่แท้กระทำร่วมกันมาไม่มีวันขาด”
น้ำรินนิ่งคิดตามคำพูดของปริก

น้ำรินในชุดปัจจุบันเดินเข้ามาในศาลา พลางทอดสายตาออกไปในน้ำอย่างเศร้าสร้อย
“แต่ชาตินี้ฉันกับเค้าต่างก็มีคู่หมั้นหมาย รักของเราไม่มีทางเป็นไปได้”
ยายปริกเก็บดอกบัวที่ขึ้นอยู่ข้างศาลาส่งให้น้ำริน
“บุญเก่าทำให้ได้พบกัน บุญใหม่เกื้อหนุนกันให้ได้อยู่ร่วมกันในชาตินี้ ตราบใดที่มีศรัทธาร่วมยินดีในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีลมีจาคะใจอยากสละให้ และมีปัญญาพูดภาษาเดียวกัน ทั้งสี่อย่างนี้เปรียบเสมือนใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ชาตินี้หรือชาติไหนก็ได้ครองรัก มิต้องพรากจากกันตลอดไป”
น้ำรินจับมือยายปริก พลางมองด้วยสายตาเศร้าอาลัยอาวรณ์
“แล้วเราล่ะ ทำไมเราต้องจากกันวันนี้ ฉันไม่อยากให้ปริกไปเลย ปริกอยู่กับฉันเถอะนะ”
พลางโผเข้ากอดปริก น้ำตาริน
“มันหมดเวลาของปริกแล้ว ปริกได้ดูแลปกป้องคุ้มครองคุณหนู หน้าที่ของปริกเสร็จสมบูรณ์แล้ว ปริกก็ต้องไป”
ยายปริกร้องไห้ แต่พยายามกลั้นน้ำตา
“อย่าเศร้าไปเลย เราพบแล้วก็จาก จากแล้วก็พบกันมาเจ็ดร้อยปีแล้ว เฉกเช่นความรักแบบอื่นๆ ที่ยังไงก็ต้องทำให้พบกัน. เราหนีกันไม่พ้นหรอ”
น้ำรินกับยายปริกต่างร่ำไห้ ทันใดนั้นก็บังเกิดแสงสว่างเรืองรองบนท้องฟ้าพุ่งเข้ามาที่ยายปริก คล้ายกำลังมารับวิญญาณนั้น
วิญญาณยายปริกสลายรวมไปกับแสงสว่างเรืองรองนั้น แล้วค่อยๆ พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า น้ำรินฝืนยิ้มทั้งน้ำตา

น้ำรินลืมตาขึ้นมา แล้วรู้สึกใจหายเมื่อคิดว่ายายปริกจากไปแล้วจริงๆ พลางมองไปรอบๆห้อง แล้วจึงเห็นธารานั่งหลับอยู่บนเก้าอี้เข็นข้างเตียง
“แม่”
ธาราได้ยินเสียงก็ลืมตาขึ้น
“น้ำริน หนูตื่นแล้ว”
น้ำรินพยายามลุก ธารารีบเลื่อนเก้าอี้เข้ามาหา
“อย่าเพิ่งลุก ร่างกายหนูยังอ่อนแอมาก”
ธารากับน้ำรินสวมกอดกันด้วยความรักและคิดถึง

“ต่อไปนี้เราจะไม่จากกันแล้วนะลูก"
 
อ่านต่อหน้า 4

ภพรัก ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)

แนนมองเหยี่ยวที่นอนในห้องไอซียูอย่างกลุ้มใจ พลางมองแหวนหมั้นที่นิ้วตัวเอง แล้วนึกถึงความ สัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา ที่นับวันก็ยิ่งดูห่างเหิน

แนนถอนหายใจยาว พยายามปัดเรื่องหนักใจในความสัมพันธ์ออกไป เพื่อเฝ้ามองดูอาการบาดเจ็บของเหยี่ยวด้วยความเป็นห่วง
ครู่หนึ่ง พยาบาลคนหนึ่งเปิดประตูออกมาจากห้องไอซียู แนนรีบวิ่งเข้าไปถาม
“หมวดเหยี่ยวเป็นอะไรคะ”
“คุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”
แนนอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนตอบ “เป็นคู่หมั้นค่ะ”
“คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ ถึงยังไม่ได้สติ แต่ก็ถือว่าพ้นขีดอันตรายคุณหมออนุญาตให้ย้ายออกจากไอซียูพรุ่งนี้เช้าค่ะ”
แนนหันไปมองเหยี่ยว แล้วก็ยิ้มทั้งน้ำตา

หลังจากที่พยายาบลมาเช็คอาการเรียบร้อยแล้ว น้ำรินก็หันมาถามธารา
“คุณแม่ทราบข่าวตำรวจที่ช่วยชีวิตหนูบ้างมั้ยคะ”
“หมวดเหยี่ยวน่ะเหรอ รักษาตัวอยู่ที่นี่เหมือนกันจ้ะ”
น้ำรินตกใจ “เค้าเป็นอะไรคะ”
“เกิดอุบัติเหตุจมน้ำ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย”
“น้ำอยากไปเยี่ยมเค้า”
“รักษาตัวให้หายก่อนเถอะลูก เค้าช่วยชีวิตลูกก็แปลว่าชาติก่อนลูกกับเค้าเคยทำบุญร่วมกันมา ยังไงซะก็ต้องได้เจอกัน”
คำพูดของธาราทำให้น้ำรินรำลึกถึงคำพูดขอยายปริก

พยาบาลเข็นรถนั่งของน้ำรินมาที่หน้าลิฟต์เข้าไปที่ลิฟท์ตัวหนึ่ง พร้อมๆ กับที่พยาบาบาลอีกคนเข็นเตียงของเหยี่ยวเข้าไปที่ลิฟท์อีกตัว
จังหวะที่สวนกัน น้ำรินเกิดความรู้สึกประหลาดที่หัวใจ รู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดให้มองตามเตียงเข็นที่ผ่านไป แต่ประตูลิฟต์ปิดเสียก่อน

ร่างของเหยี่ยวที่นอนอยู่บนเตียง กระตุกมือขึ้นนิดๆ แนน ที่เข้ามาในลิฟท์พร้อมกับพยาบาลสังเกตเห็น
“เหยี่ยวขยับมือ คุณเห็นมั้ยคะเหยี่ยวฟื้นแล้ว”
พยาบาลหยิบไฟฉายเล็กๆ ขึ้นมาส่องดูม่านตาของเหยี่ยว แล้วหันมาบอก
“ยังไม่ฟื้นค่ะน่าจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อกระตุกมากกว่า”
แนนผิดหวัง จับมือเหยี่ยวด้วยความสงสาร

หลังจากทำกายภาพบำบัดมาได้พักใหญ่ น้ำรินก็เริ่มเดินได้เป็นปกติด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง โดยมีธาราคอยให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด
“น้ำเดินมากอดแม่ได้แล้วค่ะ”
น้ำรินดีใจจนน้ำตาคลอ ธาราลูบผมของลูกสาว แล้วก็น้ำตาคลอไปเช่นกัน

ขณะที่เหยี่ยวยังคงนอนนิ่ง ไม่รู้สึกตัว สงครามกับแนนยืนมองอย่างหนักใจ
แนนจัดผ้าห่มให้เหยี่ยว สงครามมองไปที่แหวนหมั้นที่นิ้วของเธอ
“ผมได้ยินว่าคุณกำลังจะแต่งงานกับหมวดเหยี่ยว”
แนนมองเหยี่ยว อย่างเป็นกังวล “คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ค่ะ”
“แล้วถ้าหมวดเหยี่ยวไม่ฟื้นตลอดไป”
“ดิฉันก็จะไม่ทิ้งเหยี่ยว เพราะชีวิตฉันไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากเหยี่ยว”
สงครามมองแนนอย่างชื่นชม ความรักของเธอที่มีต่อเหยี่ยวนั้นมั่นคง เฉกเช่นเขากับธารา

ภพธรถือช่อดอกไม้ ยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่หน้าลิฟต์ สีหน้าและแววตาเครียด
“ฉันไม่ไว้ใจนังนับดาว มันพร้อมจะเปิดโปงเราทุกเวลา สั่งให้สายของเราคอยจับตาดูมันไว้ถ้าเห็นท่าไม่ดีเก็บมันซะ”
ภพธรกดวางสาย พอดีประตูลิฟต์เปิดออก สงครามออกมาจากลิฟต์ ทั้งสองชะงักมองหน้ากัน
ภพธรรีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม
“สวัสดีครับผู้การ”

น้ำรินฝึกเดินได้คล่องแคล่วกว่าเดิม โดยมีนักกายภาพคอยดูแลให้คำแนะนำ ธาราที่นั่งดูอยู่ข้างๆ รีบบอกด้วยความตื่นเต้น
“หมออนุญาตให้หนูกลับบ้านได้พรุ่งนี้แล้วนะ “
น้ำรินยิ้มดีใจ “ขอไปเยี่ยมคนสำคัญก่อนกลับได้มั้ยคะ น้ำอยากขอบคุณเค้าด้วยตัวเอง”

น้ำรินเดินเข้าไปในห้องเหยี่ยว ภาพที่เห็นเหยี่ยวนอนไม่ได้สติอยู่คนเดียวเหงาๆ ทำให้เธอสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
เหยี่ยวยังนอนนิ่งน้ำรินจับมือเขามาบีบ
“ฉัน น้ำรินไงคะ ฉันกลับมาหาคุณด้วยร่างที่มีชีวิตแล้ว ฉันไม่ใช่ดวงจิตแล้วค่ะ คุณเสียสละชีวิตเพื่อฉัน คุณต้องมาเป็นแบบนี้เพราะฉัน”
น้ำรินน้ำตาคลอ แล้วเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆ หูของเหยี่ยว
“เหยี่ยว ตื่นได้แล้ว ตื่นมามองฉันอย่างที่เคยมอง”
นิ้วของเหยี่ยวกระตุกเบาๆ แต่น้ำรินไม่ทันเห็น
แนนถือถาดใส่ที่โกนหนวด เปิดประตูเข้ามา พอห็นน้ำรินใกล้ชิดกับเหยี่ยวก็งง
“คุณเป็นใครคะ”

ภพธรกับสงครามยืนคุยกันอยู่บนดาดฟ้าโรงพยาบาลตามลำพัง
“ช่วงนี้คุณอาธาราอารมณ์ดี เพราะสุขภาพน้องน้ำดีขึ้นมากแล้ว เห็นแบบนี้ผมก็สบายใจ ที่คนที่ผมรักทั้งสองคนมีความสุข”
ภพธรแสร้งพูดให้ตัวเองดูดี สงครามมองอย่างประเมินท่าที
“ถ้าไม่เคยรู้เรื่องที่ผ่านมา ผมต้องคิดว่าคุณเป็นคู่หมั้นที่วิเศษที่สุด”
ภพธรชะงัก แต่พยายามรักษาอาการจนสงครามไม่สามารถจับผิดได้ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ผู้การมาเยี่ยมหมวดเหยี่ยวทุกวันเลยเหรอครับ”
“ไม่ทุกวันหรอก ผมกำลังยุ่งเรื่องคดีนับดาว กำลังอยู่ในช่วงสืบสวนขยายผลว่ามีใครเกี่ยวข้องอีกบ้าง”
สงครามมองหน้า ภพธรมองตอบ พร้อมกับปั้นสีหน้าเสียใจ สำนึกผิด
“ผมเจ็บใจตัวเองจริงๆ ไม่น่าหลงผิดตกเป็นเครื่องมือของนับดาวเลย”
“คุณเป็นคนฉลาด ไม่น่าเชื่อว่าจะตกเป็นเครื่องมือใครง่ายๆ”
“บางครั้งคนที่ฉลาดที่สุด อาจจะโง่ที่สุดในบางเรื่องผู้การครับ คนทุกคนอาจจะทำเรื่องผิดพลาดได้แต่ถ้าคนๆ นั้นสำนึกและเสียใจ เราก็ควรให้โอกาสเค้าแก้ไข และทำความดีไม่ใช่เหรอครับ”
ภพธรปั้นหน้าเป็นคนดีๆ สงครามยิ้ม แต่ในใจยังระแวง

แนนโกนหนวดให้เหยี่ยวอย่างระมัดระวังและเบามือ น้ำรินยืนมองอย่างสะท้อนใจที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรให้เหยี่ยวได้แบบนี้
“จริงๆต้องให้พยาบาลทำ แต่ฉันอยากฝึกไว้ ถ้าเหยี่ยวกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ฉันจะได้ดูแลเค้าไปตลอดชีวิต”
น้ำรินรู้สึกทึ่งในความรักของแนนที่มีต่อเหยี่ยว พลางหันไปจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกผูกพัน
“เหมือนคนนอนหลับ ไม่เหมือนคนป่วย มันอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้”
แนนน้ำตาคลอ “หมอบอกว่าสมองขาดออกซิเจนนานเกินไป รอดมาได้ถือว่าปาฏิหาริย์แล้วค่ะ”
น้ำรินพยายามกลั้นน้ำตาเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ชายคนรักกลายเป็นเจ้าชายนิทรา
พลันริมฝีปากของเหยี่ยวก็ขยับ พร้อมกับปลือกตาที่ขยับเหมือนพยายามจะเปิดตา ปากก็พึมพำเบาๆ
“น้ำ”
น้ำรินกับแนนยิ้มดีใจ เหยี่ยวค่อยๆลืมตาขึ้น มองแนนแล้วมองก็มองน้ำริน
“น้ำ”
น้ำรินกับแนนพูดพร้อมกัน ด้วยความหมายที่ต่างกัน “น้ำอยู่นี่”
แนนรีบคว้าเหยือกน้ำรินน้ำใส่แก้ว เสียบหลอดแล้วส่งให้เหยี่ยวดื่มทันที น้ำรินมองเก้อๆ
เหยี่ยวดื่มน้ำ สีหน้ายังเบลอๆ งงๆ
“แนนกลับมาจากเมืองนอกแล้วเหรอ”
น้ำรินกับแนนได้ยินคำถามก็งง
“เรากลับมาตั้งสองเดือนแล้ว”
“ทำไมเราไม่รู้ กลับก่อนกำหนดล่ะสิ”
แนนส่ายหน้า “เปล่า เราเรียนจบแล้วก็กลับมา ก่อนหน้านี้เราก็เจอกันตลอด ยังทำคดีด้วยกันเลยเหยี่ยวจำไม่ได้เหรอ”
เหยี่ยวยิ่งงงหนัก “แล้วเรามาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง”
แนนมองไปที่น้ำริน “เหยี่ยวพาคุณคนนี้หนีคนร้ายแล้วเกิดอุบัติเหตุจมน้ำ”
“คุณช่วยชีวิตฉันไว้ จำได้มั้ยคะ”
น้ำรินมองเหยี่ยวด้วยความคาดหวังว่าเขาจะจำได้
เหยี่ยวมองน้ำริน แล้วพยายามนึก แต่สายตาของเขาที่มองเธอเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับน้ำรินเหลืออยู่เลย
“จำไม่ได้”
น้ำรินช็อก เสียใจ แต่ไม่ลดความพยายาม
“จำไม่ได้เลยเหรอ ลองคิดดูดีๆสิคะ คุณต้องจำฉันได้”
สัญชาตญาณของผู้หญิงทำให้แนนรู้สึกแปลกๆกับท่าทางของน้ำริน เหยี่ยวส่ายหน้า รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที แนนรีบกดเรียกพยาบาลแล้วหันมาบอกให้น้ำรินออกไปก่อน
น้ำรินมองเหยี่ยวอย่างสะเทือนใจ ก่อนที่จะออกมายืนหมดแรงอยู่ที่หน้าห้อง ช็อกและเสียใจที่เหยี่ยวจำตัวเองไม่ได้

พยาบาลเข็นรถให้น้ำรินนั่งมาส่งที่ห้องพัก ภพธรกับสงครามนั่งรออยู่กับธารา ภพธรหันมาพูดกับน้ำรินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“น้องน้ำอยากไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างล่างมั้ย พี่จะพาไป”
น้ำรินลังเล แต่ธารารีบตอบแทน
“ไปเถอะ แม่จะกลับบ้านแล้ว ฝากดูน้องด้วยนะภพธร”
สงครามมองธาราอย่างแคลงใจ

ภพธรเข็นรถให้น้ำรินนั่ง มาจอดที่ใต้ร่มไม้สวยๆ พลางจับมือเธอมากุมไว้
“เราจะเริ่มต้นใหม่ แต่งงานกันเมื่อไหร่ พี่จะทำให้น้องน้ำเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก”
น้ำรินนั่งคิด ในใจคิดถึงแต่เหยี่ยว
“ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเห็นเค้ามีความสุข”
ภพธรงง “ใคร? ใช่พี่รึเปล่า”
“คนที่น้ำรัก”
ภพธรยิ้มกว้าง เพราะคิดว่าเป็นตัวเอง
“พี่จะมีความสุขมากเมื่อเราได้แต่งงานกัน”
น้ำรินมองภพธรด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ขณะที่ภพธรมอง้ชเธอด้วยสายตาโลภ เพราะเมื่อไหร่ที่ทั้งคู่แต่งงานกัน เมื่อนั้นเขาก็จะได้ครอบครองสมบัติของธาราทั้งหมด

เหยี่ยวกำลังเข้าเครื่องซีทีสแกนหรือ MRI เพื่อตรวจสมอง
“เท่าที่ตรวจอย่างละเอียด การทำงานของสมองไม่มีอะไรผิดปกติ มีเพียงความทรงจำบางส่วนที่ขาดหายไป”

เหยี่ยวกับแนนนั่งคุยกับหมอ
“ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้าย ผมกำลังขี่จักรยานกลับบ้าน พบการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ที่ริมบึง หลังจากนั้น ผมจำอะไรไม่ได้อีกเลย”
“สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนมาก อาการนี้เรายังหาสาเหตุไม่ได้”
แนนรีบถามอย่างร้อนใจ “แล้วความทรงจำจะกลับมามั้ยคะ”
“ต้องให้เวลาครับ”

แนนบีบมือเหยี่ยวอย่างให้กำลังใจ

ภพธรกำลังเข็นน้ำรินกลับจากไปเดินเล่น มายืนรอลิฟต์ จังหวะเดียวกับที่พยาบาลพาเหยี่ยวจากห้องตรวจกลับห้อง โดยมีแนนมาด้วย

น้ำรินหันไปเห็นแนนดูแลเหยี่ยว แนนยิ้มให้นิดๆตามมารยาท
พยาบาลเข็นรถเหยี่ยวมาใกล้มากขึ้น น้ำรินมองเขาตาไม่กะพริบ เต็มไปด้วยความหวังว่าเหยี่ยวจะจำได้ แต่ขากลับมองผ่านเธอไปเลย
น้ำรินเสียใจ เจ็บปวดหัวใจจนแทบจะร้องไห้
ภพธรเข็นน้ำรินเข้าไปในลิฟต์ เหยี่ยวหันไปมองน้ำรินกับภพธรเหมือนมีแรงดึงดูดให้หันไปมองเองตามอัตโนมัติ
น้ำรินมองเหยี่ยวจากในลิฟต์ เป็นสายตาตัดพ้อและเศร้าสร้อย เหยี่ยวกับน้ำรินสบตากันแล้วประตูลิฟต์ก็ปิด
เหยี่ยวรู้สึกผูกพันกับผู้หญิงคนนี้อย่างประหลาด

ธารานั่งคุยกับสงครามที่บ้าน พร้อมกับบอกว่าจะวางมือให้น้ำรินดูแลงานแทน และให้ภพธรเป็นคนช่วยสอนงาน
“คุณไว้ใจภพธรแล้วเหรอ” สงครามถามอย่างคลางใจ
“ไม่ แต่ฉันคิดว่าควรให้โอกาสคนผิด”
“เค้าเคยมีส่วนทำร้ายคุณกับน้ำรินนะ”
ธาราส่ายหน้า “ต้นเหตุของเรื่องก็คือฉันฉันทำทุกอย่างโดยใช้ไฟแห่งโทสะเป็นเจ้าเรือน ฉันทำเพื่อผลประโยชน์ จนทุกคนรวมทั้งตัวเองไม่มีความสุขต่อไปนี้ ฉันจะขอเป็นน้ำ หมั่นทำดี มีสติรู้ตัว ลดละความโกรธแค้นในใจฝึกให้อภัย...ถึงมันจะยาก แต่ฉันจะพยายาม”
สงครามมองธาราด้วยความเข้าใจ ทั้งสองสื่อสารความรู้สึกผ่านทางสายตา


ยายนวล นกน้อย ปลาทู ปูอัด มาเยี่ยมเหยี่ยวที่โรงพยาบาล นกน้อยหลุดปากพูดเรื่องที่เหยี่ยวกับแนนหมั้นกันแล้ว เหยี่ยวถึงกับตกใจ
“นี่ผมกับแนนหมั้นกันแล้วเหรอ”
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ยายนวลรีบบอก
“หมั้นกันนานแล้ว หนูแนนช่วยชีวิตเอ็งตอนสู้กับคนร้าย เอ็งก็เลยรู้ว่าหนูแนนรักเอ็งจริงไม่กิงก่องแก้ว”
นกน้อยช่วยพูดเสริม “หมวดป่วยคราวนี้ หมวดแนนดูแลจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน งานการแทบไม่ได้ไปทำเลยนะ”
แนนเขินก็เลยรีบออกตัว Wพอดีเพิ่งจบคดีใหญ่ค่ะ ก็เลยเหมือนได้พักไปในตัว”
ทุกคนหน้าตาเบิกบาน ยกเว้นเหยี่ยวที่นิ่วหน้า ความรู้สึกในหัวใจบอกว่าไม่ใช่

ภพธรพาน้ำรินกลับมาที่บ้าน น้ำรินยังมีทีท่าซึมเศร้า ไม่กระตือรือร้น เพราะใจยังพะวงอยู่กับเรื่องเหยี่ยว
ธารารอต้อนรับอยู่ น้ำรินเข้าไปกอดแม่
“เป็นอะไรไป หน้าเซียวๆ”
“น้ำเหนื่อยๆ ค่ะแม่ ขอไปพักก่อนนะคะ”
น้ำรินเดินขึ้นบ้านไป ธารามองตามอย่างเป็นห่วง

ภพธรเข็นรถของธาราเดินเล่นในสวน ภพธรแสร้างทำเป็นพูดถึงน้ำรินด้วยความเป็นห่วง
“คนที่ได้รับอุบัติเหตุก็เป็นแบบนี้ครับคุณอา หลายคนที่ร่างกายหายแล้ว แต่จิตใจยังกระทบกระเทือนผมจะคอยดูแลน้องอย่างใกล้ชิด ให้น้องกลับมาเป็นปกติเร็วที่สุด ผมเสียใจมากที่ทำร้ายคนที่ผมรักมากที่สุดด้วยความหลงผิดขาดความยั้งคิด ผมขอโทษนะครับ”
ภพธรก้มลงกราบที่มือธารา น้ำตาไหล
“เธอก็เหมือนลูกของอา เมื่อลูกทำผิด แม่จะไม่ให้อภัยได้ยังไง”
ภพธรเช็ดน้ำตา ธาราพูดต่อเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ
“การขอโทษที่จริงใจเท่านั้น ที่สมควรที่จะได้รับการอภัย”

ธาราวางช่อกุหลาบสีขาวที่หน้าหลุมศพของนุติ
“ฉันขอโทษที่ทำเรื่องเลวร้ายกับเพื่อน อโหสิกรรมให้ฉันนะ นุติ”
ภพธรยืนอยู่ด้านหลังฟังธารา แต่สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและโกรธแค้น

น้ำรินถือกระเช้าผลไม้มาที่บ้าน แต่เห็นประตูบ้านปิดเงียบ เธอจึงเดินไปที่หลังบ้าน ไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งในคืนที่มาบ้านเหยี่ยวเป็นคืนแรก
น้ำรินถอนหายใจยาว คิดถึงความทรงจำที่เคยใช้เวลาอยู่กับเหยี่ยวที่บ้านหลังนี้
“แล้วถ้าหัวใจของคุณลืมฉัน ฉันจะทำยังไง”
เหยี่ยวเดินมาจากทางหน้าบ้าน เห็นน้ำรินนั่งก้มหน้าร้องไห้ ก็เลยเดินเข้ามาหา
“คุณ.เป็นอะไร มานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ทำไม”
น้ำรินเงยหน้าขึ้นมามองเหยี่ยว ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาในสมอง
เหยี่ยวงงกับท่าทางและสายตาของเธอ
“เป็นอะไรรึเปล่า คุณเป็นใคร มานั่งร้องไห้ตรงนี้ทำไม”
“จำฉันไม่ได้จริงๆเหรอคะ”
เหยี่ยวมองน้ำริน คิดๆ “อ๋อ ผมจำได้แล้ว”
น้ำรินยิ้มดีใจเพราะคิดว่าเหยี่ยวจำเธอได้จริงๆ
“คุณ คนที่ผมเจอที่โรงพยาบาล ที่แนนบอกว่าผมเคยช่วยชีวิตคุณไว้”
สีหน้าน้ำรินผิดหวัง
“ระหว่างฉันกับคุณ มันมีรายละเอียดมากกว่านั้น”
จากนั้นน้ำรินก็พยายามรื้อฟื้นความทรงจำ หวังให้เหยี่ยวจำเธอได้ แต่แนนกลับโผล่มาขัดจังหวะ รีบเข้ามาประคองเหยี่ยว แล้วหันมามองน้ำรินอย่างขอร้อง
“เหยี่ยวเพิ่งออกจากโรงพยาบาลวันนี้ คุณควรให้เค้าพักผ่อนเยอะๆ นะคะ”
“ฝากผลไม้ให้ยายนวลด้วยนะคะ”
น้ำรินเดินออกจากบ้านไปอย่างเศร้าๆ แนนมองตามด้วยสายตาเริ่มไม่ค่อยสบายใจ

น้ำรินยืนคุยกับนกน้อยที่หน้าสำนักงานสืบฯ ด้วยสีหน้าเศร้า และเป็นทุกข์
“เรื่องผ่านไปแล้วผมจับคนที่ฆ่าลูกผมได้แล้ว คดีก็ปิดไปแล้วผมไม่ติดใจอะไรแล้วล่ะครับ”
“แต่ฉันยังไม่สบายใจ จนกว่าจะได้ขอโทษและรับการอโหสิจากจ่าค่ะ”
“ทุกคนเกิดมาเพื่ออะไรซักอย่างครับ นกยูงลูกผมเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมที่มันอาจจะก่อเมื่อชาติที่แล้ว คนที่ฆ่ามันก็คือยอดชัดไม่ใช่คุณ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความผิดของคุณ ผมขออโหสิกรรมให้ครับ”
การอโหสิกรรมของนกน้อยก่อให้เกิดลมพัดมาวูบหนึ่งจนผมของน้ำรินปลิว
น้ำรินหันไปทางด้านข้าง เจอเหยี่ยวยืนอยู่พอดี
“คุณอีกแล้ว ผมไปที่ไหนก็เจอคุณตลอดเลยนะ”

เหยี่ยวเดินเข้ามาในห้องทำงาน พลางหยิบแฟ้มคดีต่างๆที่ทำมาเมื่อสองเดือนก่อนบนโต๊ะมาอ่านอย่างไม่เข้าใจ น้ำรินเดินเข้ามา
“ฉันจะมาขอบคุณที่คุณเคยช่วยเหลือฉันมากมายหลายอย่าง”
เหยี่ยวขมวดคิ้ว “มากมายหลายอย่าง? เท่าที่ผมฟังมา ผมแค่เอาร่างคุณออกมาจากบ้านหลังนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่แค่นั้น คุณช่วยตามหาร่างให้ฉัน คุณค้นข้อมูลจากในตู้เอกสารนี้จากในคอมพิวเตอร์ แล้วก็ไปตามหาตามโรงพยาบาลด้วย”
“เดี๋ยวๆ ยิ่งฟังยิ่งงง ในเมื่อคุณหมดสติ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมตามหาร่างให้คุณ”
น้ำรินพูดช้าๆอย่างตั้งใจ
“ร่างฉันหมดสติ แต่ใจฉันเคยอยู่ที่นี่ อยู่กับคุณตรงนี้ เราหาข้อมูลด้วยกันคุณจำได้มั้ยคะ”
เหยี่ยวงง จำอะไรไม่ได้ ภาพความทรงจำลางเลือน
เหยี่ยวปวดหัวจนเซไปจนแฟ้มในมือของน้ำรินตกกระจาย แล้วก็เดินไปชนคอมพิวเตอร์จนจอดับวูบ
น้ำรินตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พยายามเข้าไปประคองเหยี่ยว พลางร้องให้คนช่วย
แนนวิ่งเข้ามาในห้องเพราะได้ยินเสียงดัง แล้วมองหน่าน้ำรินอย่างเคืองๆ
“คุณอีกแล้ว”
แนนรีบประคองเหยี่ยวออกจากห้องทำงาน โดยไม่สนใจน้ำริน

แนนมาบ่นกับยายนวลเรื่องน้ำรินที่บ้าน จากนั้นก็ขอตัวเดินเข้าไปดูเหยี่ยวในห้อง พร้อมๆ กับที่ยายนวลได้ยินเสียงคนเปิดประตูรั้ว
“ใครมา”
ยายนวลฟังเสียงเดินแล้วจำได้ “หนูน้ำ?”

เหยี่ยวนอนหลับอยู่ในห้อง แนนจัดข้าวของในห้องอย่างเบาๆ ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงรบกวนเหยี่ยว
จากนั้นก็กรอบรูปจิ๊กซอว์ ปลาทองในอ่าง และตุ๊กตาหมีสีฟ้า ด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นก็เหลือบไปเห็นกล่องเหล็กเล็กๆวางอยู่ พอเปิดกล่อง ก็เห็นเศษด้ายสีแดงเก่าๆถูกเก็บไว้อย่างดี
แนนหยิบเศษด้ายแดงขึ้นมาดู เห็นแหวนหมั้นในนิ้วตัวเอง ก็นึกขึ้นมาได้
“เก็บไว้ทำไม”
ขณะที่เหยี่ยวที่นอนหลับแล้วเริ่มกระสับกระส่าย แล้วก็ละเมอออกมาเบาๆ
“น้ำ”
แนนหันมามองแล้วอมยิ้ม
“นิสัยนอนละเมอไม่หายซักที ฝันว่าคอแห้งสิท่า”
เหยี่ยวกระวนกระวายทั้งที่ยังนอนหลับ
“คุณต้องไม่เป็นอะไร คุณต้องอยู่กับผม คุณจะตายไม่ได้”
แนนงงว่าเหยี่ยวพูดถึงใคร

“หยิบยาก่อนอาหารมาให้ยายด้วย”
แนนเดินออกมาจากห้องเหยี่ยว นึกว่ายายนวลใช้ตัวเอง แต่หันไปเห็นว่าน้ำรินกำลังหยิบยาของยายนวลจากที่เก็บออกมาได้อย่างถูกต้อง
“หนูหายไปนานเลย คดีที่หนูเป็นพยานจบแล้วใช่มั้ย”
น้ำรินงงๆแล้วนึกขึ้นมาได้ “อ๋อ จบแล้วค่ะ ตอนนี้หนูกลับไปอยู่บ้านแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ ตอนนั้นยายก็กลัวว่าแนนจะรู้ว่าหนูน้ำมาอยู่กับเหยี่ยวที่นี่ เหยียบความลับซะเท้าแบบโป่ง”
แนนตะลึงเมื่อเพิ่งรู้ความจริงว่าน้ำรินเคยอยู่ที่นี่ แต่ยังไม่แสดงตัวให้คนทั้งคู่เห็น
“เหยี่ยวกำลังจะแต่งงานกับคู่หมั้น”
ยายนวลพูดตรงๆ ทำเอาน้ำรินอึ้งไป
“เมื่อไหร่คะ”
“คงเร็วที่สุด ทันทีที่อาการป่วยของเหยี่ยวดีขึ้นกว่านี้ น้ำริน หนูกลับไปใช้ชีวิตของหนูเถอะปล่อยให้เหยี่ยวใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนที่เค้ารักซะทีเถอะนะ”
น้ำรินสะเทือนใจ น้ำตาร่วง
“หนูไปจากเค้าแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ เพราะหนูยังไม่ได้บอกเค้าเลยว่าหนูรู้สึกยังไงกับเค้า”
แนนอึ้งที่ได้ยินน้ำรินพูดประโยคแบบนี้
“จะบอกไปทำไม ถ้าความรู้สึกของหนูจะทำให้เกิดปัญหากับเหยี่ยวอย่าทำให้เหยี่ยวสับสนสิ เชื่อยาย เถอะ ต่อไปนี้หนูกับเหยี่ยว ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า อย่าสร้างปัญหาให้กับใครอีกเลย เพื่อความสุขของทุกๆ คน”
น้ำรินอึ้งไปกับคำพูดของยายนวล

น้ำรินหลบมานั่งเศร้าอยู่ที่ริมแม่น้ำที่เคยมากับเหยี่ยวประจำ พลางทอดสายตามองไปยังสายน้ำเบื้องหน้า แล้วก็น้ำตาคลอเมื่อคิดถึงเรื่องราวความหลังระหว่างเธอกับเขา
เหยี่ยวขี่จักรยานมาหยุดที่ริมแม่น้ำห่างออกไป น้ำรินหันไปเห็น พลางลังเลว่าจะลุกไปหาดีหรือไม่ แต่แล้วก็ทนไม่ได้ ตัดสินใจลุกไป
พลันเสียงกริ่งจักรยานดังขึ้น น้ำรินตกใจ รีบหลบ แนนที่ขี่จักรยานมาพร้อมกับเหยี่ยว มาหยุดยืนดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน
“หายเร็วๆ นะ เราอยากได้เหยี่ยวคนเดิมของเรากลับมา”

น้ำรินแอบมองเศร้าๆ แล้วค่อยหันหลังกลับเดินออกไป

นับดาวที่ถูกสวมกุญแจมือ ถูกตำรวจพาเข้ามานั่งที่โต๊ะ พลางมองหน้าผู้ชายที่นั่งตรงข้ามอย่างแปลกใจ

“ผมเป็นทนายที่จะมาว่าความให้คุณ”
“คุณไม่ใช่ทนายคนเดิม ?”
ทนายความพูดนิ่งๆ “มีคนจ้างผมมา”
“ใคร ?”

ภพธรเดินคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลมาตามททางเดินในสำนักงานสืบฯ
“จัดการหาทนายมือดีที่สุดไปให้นับดาวเรียบร้อยแล้วครับ”

“ไม่จริง พี่ธรจะจ้างทนายมาให้ฉันเพื่ออะไร”
ภพธรเดินเข้ามาในห้องพอดี “เพราะพี่เป็นห่วงเธอ”
นับดาวหันไปมองแล้วหัวเราะอย่างขมขื่น ภพธรพยักหน้าให้ทนายความเดินออกไปจากห้อง
“ห่วงว่าดาวจะแฉเหรอ คนรักกันไม่หักหลังกัน ดาวเคยบอกแล้ว งูเป็นสัตว์อาฆาตพยาบาทรุนแรง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ก็ต้องล้างแค้นให้ได้”
ภพธรจ้องหน้านับดาวนิ่ง อย่างเดาความรู้สึกไม่ออก
“คิดว่ามีใครต้องกลัวเหรอ? เธอมีหลักฐานอะไรปรักปรำคนอื่น ตรงกันข้าม หลักฐานทุกชิ้นระบุว่าเธอเป็นคนทำ ห่วงตัวเองเถอะคนเราไม่มีอะไรแน่นอน ความตายเกิดขึ้นได้ทุกที่ แม้แต่ที่นี่”
นับดาวโกรธจัด จ้องหน้าภพธรด้วยความเจ็บใจสุดๆ
“คนทรยศ เอาทนายความของพี่กลับไป”
“ไม่ใช่ทนายของฉัน”
“ งั้นของใคร ?”
เสียงประตูเปิดออก นับดาวหันไปทางประตู พลางมองน้ำรินที่เข็นรถของธาราเข้ามาอย่างไม่เชื่อสายตา
“เหลือเชื่อจริงๆ ฉันฆ่าเธอสองครั้ง แต่เธอยังมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ตายยากตายเย็น”
ธาราพูดเสียงเข้ม
“หยุดนะนับดาว รู้มั้ยว่ามันยากแค่ไหนกว่าจะทำใจให้อภัยคนที่ทำร้ายลูกตัวเอง”
“ถ้ามันยาก จะมาช่วยฉันทำไม”

“การที่ฉันพิการ ต้องจมอยู่กับความทุกข์กว่าจะได้น้ำรินกลับคืนมาทำให้ฉันได้คิด ชีวิตที่เต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่น อาฆาตพยาบาท จมอยู่กับกิเลสและความโลภ ไม่ทำให้ใครเป็นสุข เราควรมีชีวิตอยู่เพื่อให้ ให้กับคนที่ยากไร้ คนที่ด้อยโอกาส”
น้ำรินเดินเข้ามาใกล้ๆ “นับดาว ฉันเคยทำไม่ดีกับเธอไว้มาก ฉันผิดที่เอาแต่ใจ ไม่เคยคิดถึงจิตใจของคนรอบข้าง โดยเฉพาะเธอที่เป็นเพื่อนรักของฉัน ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว ให้อภัยฉันเถอะนะ”
น้ำรินและนับดาวต่างน้ำตาคลอ น้ำรินร้องไห้เพราะรู้สึกผิด แต่นับดาวร้องเพราะความแค้นใจในเรื่องอดีต
“เรื่องที่เธอเคยคิดร้าย คิดฆ่าฉัน ฉันอโหสิกรรมให้ ถือว่าเป็นการชดใช้สิ่งที่ฉันเคยทำกับเธอ ต่อไปนี้เวรกรรมระหว่างเราหมดสิ้นกัน เรากลับมาเป็นเพื่อน กลับมาทำความดีระหว่างกันเถอะนะ นับดาว”
ขาดคำ ก็บังเกิดลมพัดปลิวไสว คล้ายมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกครั้ง...

จู่ๆ เหยี่ยวที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำกับครดีต่างๆในแฟ้ม ก็รู้สึกปวดหัว ตาพร่ามองอะไรไม่ชัด จนต้องหลับตาลง
ภาพคดีต่างๆ ประเดประดังเข้ามาอย่างสับสนวุ่นวาย

นับดาวมองหน้าน้ำรินอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ที่คนอย่างน้ำรินจะยอมให้อภัยเธอได้ง่ายๆ ธาราพูดกับนับดาวด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน
“เพื่อเป็นการไถ่บาปที่เราสองคนแม่ลูกเคยทำกับเธอไว้ ฉันจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเธอ จนกว่าคดีจะสิ้นสุด”
นับดาวอึ้ง ในใจเริ่มอ่อนลง
“คุณอากับน้ำรินเมตตาขนาดนี้ เธอควรจะรับสารภาพความผิดทุกข้อหา ศาลท่านจะได้เมตตาลดหย่อนโทษ และถ้ากลับตัวกลับใจเป็นคนดีพี่กับน้ำรินก็พร้อมจะช่วยเหลือเธอตลอดไป”
ภพธรโอบไหล่น้ำรินอย่างทะนุถนอมทั้งคำพูดของภพธรและภาพนั้นบาดตาบาดใจนับดาวยิ่งนัก
“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกแก ฉันเกลียดพวกแกเกินจะให้อภัย ความเกลียดนี้จะไม่มีวันหาย ไม่ว่าชาติหน้าชาติไหน ฉันก็จะไม่ให้อภัย”
นับดาวมองหน้าทุกคนอย่างอาฆาตแล้วเดินออกไปจากห้อง

ภพธรเข็นรถให้ธารา เดินมาคู่กับน้ำรินที่ยังเป็นกังวลเรื่องนับดาว
“คนที่อยู่กับความเคียดแค้นมาตลอดชีวิต คงไม่เคยมีความสุขเลยนะคะแม่”
ภพธรขบกรามขึ้นเป็นสันนูน เพราะเขาก็คือคนที่อยู่กับความแค้นมาตลอดชีวิตเช่นกัน
น้ำรินหันไปเห็นเหยี่ยวเดินอยู่ไกลๆ ก็รีบหันมาบอกภพธร
“พี่ธรพาคุณแม่กลับก่อนนะคะ”

น้ำรินกำลังจะเดินไปทักเหยี่ยว แต่พอเห็นแนนเดินมา ก็รีบหลบ แล้วแอบฟังทั้งคู่คุยกันอยู่
“เมื่อกี้เราเห็นภาพในอดีต เห็นคดีที่เราเคยทำ”
แนนหันไปมองเหยี่ยว เริ่มรู้สึกใจไม่ดีว่าเหยี่ยวจะจำอะไรได้มากกว่านั้นหรือไม่
“เหยี่ยวจำอะไรเพิ่มขึ้นได้อีกมั้ย?”
“จำได้นิดหน่อย ไม่ปะติดปะต่อ ขาดๆ หายๆ เราอยากจำได้ เรามีความรู้สึกว่าความทรงจำเหล่านั้นเป็นช่วงวลาที่ดีที่สุดในชีวิต”
น้ำรินฟังแล้วก็รู้สึกหัวใจพองโต มีกำลังใจขึ้นมา
“มันต้องดีที่สุดอยู่แล้ว เพราะเป็นช่วงที่เราหมั้นกัน”
น้ำรินเจื่อนลงทันที เหยี่ยวพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
น้ำรินเดินหนีออกมาด้วยความน้อยใจ เมื่อเห็นเหยี่ยวเดินตามมา ก็รีบเดินหนีไป

น้ำรินเดินหลบมาในร้านหนังสือ แต่เหยี่ยวก็ยังเดินตามเข้ามา จนเธอต้องมุดหนีไปจนสุดมุมร้าน แล้วแกล้งหยิบหนังสือมาบังหน้า ทำทีเป็นอ่านหนังสือ พอเห็นเหยี่ยเดินออกไปก็แทบหมดแรง พลางวางหนังสือคืนบนชั้น แล้วเห็นว่าหน้าปกหนังสือที่ตัวเองหยิบมาเขียนว่า “บุพเพสันนิวาส”
น้ำรินคิดอย่างเศร้าๆ วางหนังสือคืนชั้นแล้วเดินหงอยๆออกไป

ธาราบอกกับภพธรว่าจะวางมือจากงาน ภพธรแอบยิ้มสมใจ แต่แล้วก็กลับผิดหวัง
“ตั้งใจจะให้น้ำดูแลงานทั้งหมด ช่วยสอนน้องด้วยนะภพธร”
“แต่น้ำไม่ชอบงานพวกนี้ ทำไมเราไม่ปล่อยให้น้องทำสิ่งที่ชอบ ผมจะเป็นคนดูแลน้ำและธุรกิจทั้งหมดเอง”
ธารายิ้มอย่างใจเย็น
“อาจะสบายใจกว่าถ้าได้เห็นน้ำดูแลกิจการ ตำแหน่งของเธอจะถูกส่งต่อให้น้ำริน เธอต้องพิสูจน์ตัวเอง...ช่วยน้ำรินทำงานโดยไม่มีตำแหน่งอะไรในบริษัทฯ”
ภพธรรู้สึกทันทีว่าธารายังไม่ไว้วางใจ แต่ก็รีบซ่อนความรู้สึกไม่พอใจไว้ภายใต้รอยยิ้ม
“ขอบพระคุณคุณอาที่ยังไว้ใจและเชื่อใจผม”

น้ำรินมาที่วัด พร้อมกับแนะนำตัวเองกับหลวงตาเคี้ยง เพราะตั้งใจจะมาปรึกษาเรื่องของเหยี่ยว
“หนูชื่อน้ำ เป็นดวงจิตที่อยู่กับหมวดเหยี่ยวไงคะ”
หลวงตาเคี้ยงปากสั่น
“อ๋อ รู้แล้วว่าใคร ทุกทีมาแต่เสียง แต่วันนี้มาให้เห็นหน้าค่าตากันกลางวันแสกๆ เลยเนาะ”
ปลาทูกับปูอัดที่ยืนอยู่ด้วย กลัวจนลนลาน แต่พอรู้ว่าน้ำรินเป็นคน ก็ถอนหายใจโล่งอก
น้ำรินส่ายหน้าขำๆ

จากนั้นหลวงตาเคี้ยงก็พาน้ำรินมานั่งคุยในศาลา มีปลาทูกับปูอัดคอยเสนอหน้า
“เหยี่ยวจำโยมไม่ได้ ก็ต้องมีสาเหตุ การที่เหยี่ยวเห็นดวงจิตของโยมอยู่คนเดียว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เมื่อโยมเข้าร่างได้แล้ว แต่เหยี่ยวจำโยมไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน ทุกเรื่องในโลกมีกรรมเป็นเครื่องกำหนด ถ้าเข้าใจเหตุก็จะเข้าใจผล ถ้าโยมคิดว่าความรักคือเหตุ แล้วรักแท้คืออะไร”

น้ำรินเดินเล่นที่ริมแม่น้ำที่เคยมากับเหยี่ยว พลางคิดถึงเรื่องราวที่ทั้งคู่เคยคุยกัน ณ ที่แห่งนี้
“ฉันกลับมาแล้วเหยี่ยว จำฉันได้ซะทีสิคะ”
น้ำรินถอนหายใจยาว พลางคิดถึงคำพูดของหลวงตาเคี้ยง
“รักแท้คืออะไร ?”

แนนยื่นกล่องจิ๊กซอว์ให้เหยี่ยว
“เราเคยอ่านเจอว่าการต่อจิ๊กซอว์จะช่วยเรื่องสมองและความจำก็เลยซื้อมาฝาก”
“ขอบใจนะ ชีวิตคนก็เหมือนจิ๊กซอว์ ต้องใช้เวลาต่อเรื่องราวทีละนิด”
เหยี่ยวพูดแล้วก็ชะงัก
“เอ๊ะ ทำไมคุ้นๆ เหมือนเราเคยพูดให้ใครฟังมาก่อน”
“คงไม่ใช่เรา เพราะเราเพิ่งได้ยินเมื่อกี้เป็นครั้งแรก”
แนนเทจิ๊กซอว์ออกจากกล่อง เหยี่ยวหยิบตัวจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งขึ้นมาดู พลันภาพของน้ำรินก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำ
เหยี่ยวรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดๆ ทำจิ๊กซอว์ตัวนั้นตกลงไปที่พื้น แนนรีบก้มลงเก็บตัวจิ๊กซอว์ เป็นจังหวะเดียวกับที่เหยี่ยวก้มลงไปเก็บ มือทั้งคู่จับจิ๊กซอว์พร้อมกัน ภาพของน้ำรินปรากฏซ้อนขึ้นมา
เหยี่ยวสับสน ปวดหัว แล้วรีบลุกไป แนนมองตามอย่างไม่เข้าใจ

น้ำรินนั่งเหม่อมองแม่น้ำเศร้าๆ พอหันหลังจะกลับก็เจอเหยี่ยวยืนดูแม่น้ำอยู่ไม่ไกล
เหยี่ยวหันมาเห็นน้ำริน ก็ยิ้มให้เหมือนจำได้ น้ำรินชะงักไปเหมือนมีความหวัง
“คุณชื่อน้ำริน”
น้ำรินยิ้มดีใจ “คุณจำฉันได้”
“คุณบอกผมที่ออฟฟิศไง แต่ผมยังจำไม่ได้ว่าเคยช่วยอะไรคุณไว้บ้าง เห็นคุณบอกว่าเราสนิทกันมากเลยใช่มั้ย”
น้ำรินหน้าเจื่อนลง “ไม่เป็นไร คุณจำได้แค่นี้ ฉันก็ดีใจมากแล้ว อย่างน้อยคุณก็รู้แล้วว่าฉันชื่อน้ำริน
ชีวิตคนก็เหมือนจิ๊กซอว์ ต้องใช้เวลาต่อเรื่องราวทีละนิด สุดท้ายเราก็จะได้คำตอบ ได้จิ๊กซอว์ชีวิตที่สมบูรณ์”
เหยี่ยวงงๆ “เฮ้ย เดี๋ยว ทำไมคุณพูดเหมือนผมเป๊ะเลย”
“เพราะคุณเป็นคนบอกฉัน แล้วคุณก็บอกอีกว่า ฉันคือจิ๊กซอว์ที่ทำให้ชีวิตคุณสมบูรณ์”
“เอ อันนี้ผมจำไม่ได้แล้ว หวานๆ เลี่ยนๆ แบบนี้ แน่ใจรึว่าออกมาจากปากผม”
น้ำรินพยายามกลั้นร้องไห้ ทั้งที่หัวใจเจ็บปวด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“คุณเคยสัญญาว่าจะไม่ลืมฉัน ฉันจะไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ ฉันจะทำให้คุณจำเรื่องของเราให้ได้”

เหยี่ยวนั่งมองแหวนหมั้นอย่างสับสน ครู่หนึ่งยายนวลก็เดินเข้ามา
“ยาย ผมหมั้นกับแนนเพราะรักเค้าจริงๆ เหรอ”
“ก็จริงสิวะ อย่าบอกนะว่าเอ็งลืมไปแล้วว่ารักแนน”
เหยี่ยวส่ายหน้า “ไม่ลืม แต่ไม่รัก ผมรู้สึกกับแนนได้แค่เพื่อน”
“งั้นเอ็งก็รักหนูแนนซะสิ”
เหยี่ยวหน้าเศร้า “ผมคงรักใครไม่ได้ ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่มีเหตุผลหรอกยาย ผมรู้สึกเหมือนรอใครสักคนอยู่”
เหยี่ยวทอดสายตา มองไกลออกไปนอกหน้าต่าง

แนนนั่งนิ่งครุ่นคิดเรื่องราวระหว่างตัวเองกับเหยี่ยวอย่างสับสน พร้อมๆ กับเริ่มประติดประต่อกับท่าทีแปลกๆ ของเหยี่ยวในอดีตที่เหมือนๆ กับพูดกับใครสักคน ที่เธอมองไม่เห็น
“น้ำริน เธออยู่กับเหยี่ยวมาตลอด ?”

เหยี่ยวนอนหลับอยู่บนเตียง อย่างกระสับกระส่าย ในหัวเต็มไปด้วยภาพของน้ำริน ตอนที่ถูกวิญญาณของชลชาติกระชากตัวลงมาดำดิ่งในน้ำลึก และเขาพยายามดำลงไปช่วย แต่กลับคว้าตัวเธอได้เพียงอากาศธาตุ
เหยี่ยวผุดลุกขึ้นมานั่ง แล้วจึงรู้ว่าตัวเองฝันไป จากนั้นก็หันมองปลาทองว่ายไปมาอยู่ในตู้ ตุ๊กตาหมีสีฟ้าพิงอยู่ข้างตู้ปลา กล่องเหล็กเล็กๆ ที่มีเศษด้ายแดงอยู่ข้างใน
ขณะเดียวกันน้ำรินก็นั่งน้ำตาซึม คิดถึงเรื่องที่เหยี่ยวจำเธอไม่ได้

เหยี่ยวยกเศษด้ายแดงขึ้นมามองดู
น้ำรินน้ำตาซึม เศร้าโศกเสียใจที่ความรักเป็นไปไม่ได้
“ฉันจะต้องทำให้หัวใจของคุณจำฉันให้ได้”

“คุณเคยอยู่ในห้องนี้กับผม?”
เหยี่ยวประหลาดใจ น้ำรินยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองดูแม่น้ำ หันกลับมาพูดต่อ
“คุณเดียวที่มองเห็นดวงจิตของฉัน ฉันยังไม่ตาย คุณช่วยหาร่างให้ฉัน ฉันพิสูจน์ได้ คุณไม่สงสัยเหรอคะว่าห้องคุณมีอะไรเพิ่มขึ้นหลายอย่าง ตรงนั้น เป็นที่นอนของฉัน”

แนนเดินมาที่หน้าห้องเหยี่ยว ได้ยินเสียงน้ำรินก็เลยหยุดชะงัก

น้ำรินมองหน้าเหยี่ยวก็รู้ว่าเขายังไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูด

“ดูรอบๆ ที่นอนสิคะ”
เหยี่ยวไปดูที่ซอกที่นอน ที่มีเศษด้ายสีแดง เขารีบหยิบขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปเปิดกล่องเหล็กบนโต๊ะ แล้วหยิบเศษด้ายแดงออกมาเทียบกัน
“มันเคยเป็นเส้นเดียวกัน คุณคล้องมันที่นิ้วของคุณและฉัน หลังจากเล่าตำนานเรื่องเฒ่าจันทราที่ผูกด้ายแดงล่องหนไว้ที่นิ้วชายหญิงที่เป็นเนื้อคู่กัน”
น้ำรินหยิบตุ๊กตาหมีสีฟ้าขึ้นมา
“คุณซื้อตุ๊กตาตัวนี้ให้ฉัน เพราะฉันชอบสีฟ้”
จากนั้นก็ชี้ไปที่ปลาในตู้ปลา
“ปลาตัวนี้คุณก็ซื้อให้ เพราะคุณคิดว่ามันหน้าเหมือนฉัน ในวันที่ฉันเศร้าสิ้นหวัง คุณชวนฉันจัดตู้ปลาให้ลืมความหม่นหมอง คุณบอกฉันว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณจะไม่ลืมฉัน ไม่ลืมผู้หญิงที่ชื่อน้ำริน”
เหยี่ยวพยายามนึก น้ำรินเล่าต่ออย่างเศร้าๆ
“สมองคุณอาจจะลืม แต่ใจไม่มีวันลืม”
เหยี่ยวอึ้ง เพราะคำพูดพวกนั้นปักเข้าที่กลางใจของเขาอย่างจัง
แนนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ตระหนักว่าเธอกำลังรับรู้เรื่องราวความจริงทุกอย่างแล้ว

น้ำรินเดินมาหยุดมองที่รูปจิ๊กซอว์ที่เป็นรูปวิว
“ฉันช่วยคุณต่อจิ๊กซอว์นี้จนเสร็จ คุณบอกว่าฉันเติมเต็มชีวิตที่ขาดหายไปของคุณ คุณช่วยดวงจิตของฉันไม่ให้สลายไปเพราะดวงวิญญาณร้าย”
เหยี่ยวมองสบตาน้ำริน
“คุณเอง ที่ผมฝันถึง ผมฝันว่าลงไปช่วยผู้หญิงคนนึงขึ้นจากน้ำ แต่มองไม่เห็นหน้าเธอ”
น้ำรินชะงักค้าง แสงสว่างแห่งความหวังพุ่งเข้ามาจับใจของเธอ

แนนช็อก เจ็บปวดใจมาก ทำอะไรไม่ถูก และเกินกว่าจะทนฟังต่อไปไหว

น้ำรินมองเหยี่ยวด้วยความหวัง
“เราเคยสัญญากันว่าเราจะไม่จากกัน”
เหยี่ยวพูดช้าๆอย่างไม่มั่นใจ “ผมรู้ว่าตัวเองรอใครซักคนอยู่ แต่ผมจำคุณไม่ได้จริงๆ”
น้ำรินผิดหวัง พร้อมๆ กับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมากดรับสาย
“พี่ธร น้ำออกมาธุระนิดหน่อยค่ะ กำลังจะกลับอยู่พอดี พี่ธรมีธุระอะไรกับน้ำเหรอคะ ได้ค่ะ น้ำรู้จัก แล้วเจอกันค่ะ”
น้ำรินมองหน้ากับเหยี่ยว ที่ยังคงจำเธอไม่ได้

แนนเดินออกมาจากบ้านเหยี่ยว ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง รู้ตัวดีว่าถึงเวลาแล้วจะต้องออกไปจากชีวิตของเขา

ภพธรกับอยู่ในภัตตาคารหรูโรแมนติกกับน้ำริน ที่เอาแต่เหม่อลอย เพราะใจคิดถึงแต่เหยี่ยว
จู่ๆ ภพธรก็หันไปส่งสัญญาณให้บริกรเข็นรถเข็นเข้ามา ในรถเข็นตกแต่งด้วยดอกไม้ จานสีขาวใบใหญ่มีฝาสีเงินครอบมาอย่างดี
บริกรเปิดฝาครอบออก ในจานมีกล่องใส่แหวนเล็กๆ ภพธรหยิบกล่องแหวนออกมา ก่อนจะเปิดให้น้ำรินเห็นแหวนเพชรที่อยู่ในกล่อง
“ชีวิตของพี่เคยเดินทางผิดพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความรักของน้ำทำให้พี่อยากเป็นคนดีอีกครั้ง ให้เกียรติพี่ได้ดูแลน้ำไปตลอดชีวิตนะครับ”
น้ำรินอึดอัดหนักใจ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจปฏิเสธ
“น้ำยังแต่งงานตอนนี้ไม่ได้ น้ำรักใครไม่ได้ค่ะ น้ำขอตัวกลับนะคะ”
น้ำรินลุกเดินหนีไปทันที ภพธรเหมือนจะตามไป
“อย่าตามน้ำมานะคะ น้ำต้องการอยู่กับตัวเอง อีกไม่นานคงมีข้อสรุปในอนาคตระหว่างเรา”
ภพธรมองตามน้ำรินออกไป ก่อนที่จะตบโต๊ะด้วยความขัดใจ เพราะกำลังจะสูญเสียทรัพย์สมบัติและ
น้ำรินไปอย่างถาวร

ภพธรเดินออกมาด้วยแววตาโกรธแค้น พร้อมกับสั่งการทางมือถือไปด้วย
“น้ำรินเลือกที่จะตาย เก็บน้ำรินกับไอ้หมวดเหยี่ยว ยิงกระสุนให้เจาะกลางกบาล ส่วนนังนับดาว มะรืนนี้จะถูกย้ายไปฝากขังที่เรือนจำ จัดการเก็บมันซะระหว่างทาง ใครที่ขัดขวาง มันต้องตาย”
ภพธรสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบแต่อำมหิตเลือดเย็น แววตาร้อนแรงด้วยไฟแค้น

นับดาวที่สีหน้าอิดโรยทรุดโทรมมากใส่กุญแจมือ ถูกตำรวจคุมตัวขึ้นเบาะหลังรถ แล้วรถก็เคลื่อนออกไป
พอถึงแยก รถกลับวิ่งผ่านไป ตำรวจที่นั่งข้างคนขับงง
“ทำไมไม่เลี้ยวขวา”
นับดาวรู้สึกได้ถึงความแปลกพิกล พลางแอบมองหน้าคนขับผ่านกระจกมองหลัง ก็รู้สึกคุ้นหน้า
“ไปกลับรถข้างหน้า”
พอถึงที่กลับรถ ตำรวจขับผ่านแล้วไปเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเปลี่ยว ก่อนที่จะหันมายิงใส่ตำรวจคนที่นั่งข้างๆตายคาที่
นับดาวจ้องคนขับรถเขม็ง “ภพธรส่งแกมาใช่มั้ย”
คนขับไม่ตอบแต่จอดรถที่ข้างทางเปลี่ยว ก่อนที่จะหันขวับกลับมา แล้วจ่อปืนไปที่นับดาว ที่หลับตานิ่ง เหมือนกำลังยอมรับกับความตายที่กำลังจะมาเยือน

ในที่สุดแนนก็ตัดสินใจมาคุยกับน้ำรินตรงๆ
“ฉันถอนหมั้นกับเหยี่ยวแล้วค่ะ”
น้ำรินอึ้ง ตกใจ “แล้วหมวดเหยี่ยวกับยายนวลว่ายังไงคะ”

ยายนวลนั่งรออยู่ที่ศาลา ละล้าละลังคล้ายกำลังรอใครอยู่ เหยี่ยวเดินเข้ามาหาด้วยหน้าตาท่าทางไม่ค่อยสบายใจนัก
“ทำไมหนูแนนยังไม่มา ไหนบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาไง”
เหยี่ยวหน้าเครียดๆ แล้วนั่งลงที่ข้างๆ
“เค้าไม่มาแล้วครับ ผมเพิ่งได้รับเมล์จากแนน”

แนนคุยกับน้ำรินด้วยสีหน้าแววตาเครียดและน้ำตาคลอ เสียใจในการตัดสินใจของตัวเอง แต่ก็เชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“ฉันได้แต่หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ ยอมรับการตัดสินใจยกเลิกงานแต่งงานระหว่างฉันกับเหยี่ยว ไม่มีอะไรเศร้าไปกว่าการต้องอยู่คนที่ไม่มีวันรักเรา เพราะเค้ามีคนอื่นอยู่เต็มหัวใจ”
“การถูกคนรักลืม เจ็บปวดไม่แพ้กันหรอกค่ะ”
แนนยิ้มเศร้า “ถึงเค้าจำคุณไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าหัวใจของเหยี่ยวมีแต่คุณ คิดถึงคุณ ฝันถึงคุณ ถ้าฝืนต่อไป ก็เท่ากับฉันทำร้ายคนที่ฉันรักมากที่สุด”

เหยี่ยวกับยายนวลกำลังดูวิดีโอของแนนในไอแพด
“ถึงเวลาที่ฉันต้องเลิกหลอกตัวเอง ชีวิตแต่งงานต้องประกอบด้วยความรักของคนทั้งคู่ ไม่ใช่ความรักข้างเดียวที่สุดท้ายจบลงด้วยความทุกข์ทรมานของทุกๆ คน”
ยายนวลฟังด้วยความไม่สบายใจ เหยี่ยวนิ่งขรึม
“เหยี่ยว เราทำเรื่องขอไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และคงย้ายไปประจำที่โน่น ไม่กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว”
ยายนวลและเหยี่ยวอึ้ง ตกใจ

แนนหันมาสบตาน้ำริน จับมือเธอไว้เหมือนต้องการคำสัญญา
“ช่วยดูแลเหยี่ยวด้วยนะคะ ดูแลเค้าแทนฉันด้วย ฉันอยากเห็นรอยยิ้มของเหยี่ยว ช่วยทำให้เค้ามีความสุขแบบที่ฉันไม่มีวันทำได้ด้วยนะคะ”
พูดจบแนนก็เดินจากไป ทิ้งให้น้ำรินมองตาม

“ลาก่อนค่ะเหยี่ยว เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป”
ภาพแนนในไอแพดพยายามฝืนจะไม่ร้องไห้ แต่ก็ยากเต็มทน ในที่สุดน้ำตาของเธอก็ไหลอาบแก้ม
ยายนวลนิ่ง อย่างยอมรับความจริง ก่อนจะหันมาบอกเหยี่ยว
“เหยี่ยว บ่วงที่เกิดขึ้นในชีวิตเอ็ง เริ่มคลี่คลายไปทีละเปลาะ ทีละเปลาะแล้ว สิ่งที่เอ็งไม่เข้าใจ คงใกล้จะแจ่มชัดขึ้นซะที รีบไปเถอะเหยี่ยว”
เหยี่ยวอึดอัดใจ “ยายจะให้ผมไปตามแนนกลับมาใช่มั้ย?”
ยายนวลส่ายหน้า “เปล่า ยายผิดไปแล้วที่ทำให้คนสามคนไม่มีความสุข โดยเฉพาะเอ็ง หลานรักของยาย”
พูดพลางก็น้ำตาคลอด้วยความสำนึกผิด
“ไปเถอะ ไปตามหาคนที่เอ็งรักและรักเอ็ง ไปตามหาความทรงจำที่ดีของตัวเอง ชีวิตเป็นของเอ็ง ใช้มันให้มีความสุขนะลูก”
เหยี่ยวสวมกอดยายนวล ที่ลูบหัวเขาด้วยความรัก

ดารณีอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ กำลังตรวจสอบหลักฐานบางอย่างอยู่ แล้วนิ่วหน้าเมื่อปรากฏหลักฐาน
สำคัญส่งเข้ามาในอีเมล์ของเธอ
จากนั้นก็หอบหลักฐานเข้ามารายงานสงครามในห้อง
“เรายังไม่ได้เบาะแสนับดาวที่หายตัวไป แต่กลับมีคนส่งอีเมล์มาให้ เป็นหลักฐานที่ใช้เล่นงานภพธรได้โดยตรงเลยค่ะ”
ดารณีเปิดภาพบัญชีธนาคารต่างประเทศจากคอมพิวเตอร์ให้สงครามดู
“หลักฐานโอนเงินค้ายาเสพติดของภพธรไปต่างประเทศ”
จากนั้นก็เลื่อนไปอีกภาพ
“นี่เป็นแบบแปลนก่อสร้างคาสิโนผิดกฎหมายในรินธารารีสอร์ท เกาะสมุย อนุมัติโดยภพธร และนี่คือรายชื่อพ่อค้ายาเสพติดทุกคนที่ภพธรเคยทำธุรกิจด้วย”
“ภพธรอยู่เบื้องหลังนับดาวอย่างที่คาดไว้จริงๆ คราวนี้มันดิ้นไม่หลุดแน่”

เหยี่ยวยืนมองชิงช้าสวรรค์ในเพลินวาน สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย ก่อนจะหันมาถามน้ำริน
“เราเคยมาที่นี่ด้วยกันจริงๆเหรอ”
“คุณยังบอกฉันเลยว่าถ้าฉันจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร ก็อย่าเผลอลืมคุณ แต่กลายเป็นคุณที่ลืมฉัน”
เหยี่ยวขมวดคิ้ว “ผมพูดอย่างงั้นจริงเหรอ จำไม่ยักได้”
น้ำรินมองเหยี่ยวเศร้าๆ แล้วก็ฮึดขึ้นมาใหม่ อย่างไม่ยอมแพ้
จากนั้นเธอก็พาเหยี่ยวเข้ามาที่มุมถ่ายภาพ ช่างภาพเห็นเหยี่ยวก็จำได้ทันที
“คุณนั่นเอง สวัสดีครับ”
เหยี่ยวประหลาดใจ “คุณรู้จักผมเหรอ”
“จำได้สิครับ คราวก่อนคุณมาคนเดียว ถ่ายรูปคนเดียว แต่วันนี้พกแฟนมาด้วย”
น้ำรินยิ้มเขินๆ ขณะที่เหยี่ยวหันไปมองอย่างอึดอัด ไม่รู้จะพูดยังไง
ช่างภาพชวนให้เหยี่ยวกับน้ำรินถ่ายรูปคู่ เหยี่ยวปฏเสธ แต่น้ำรินไม่ยอม
“ฉันอยากถ่ายค่ะ รูปภาพสามารถแทนคำพูดได้ล้านคำ เพราะมันไม่ได้บันทึกแค่สิ่งที่อยู่ในรูป แต่มเรื่องราว ความรู้สึก ณ ตอนนั้นอยู่ด้วย บางทีรูปอาจจะทำให้คนบางคนรำลึกถึงความผูกพันในอดีตได้”
เหยี่ยวจำยอม พลางมองไปรอบๆ ร้าน โดยไม่มีทีท่าว่าจะจำได้เลย

เหยี่ยวนั่งรอน้ำรินอยู่ที่ฉาก น้ำรินใส่ชุดเก่าเมื่อตอนเป็นดวงจิตมานั่งข้างๆ
เหยี่ยวหน้าขรึม แต่น้ำรินยิ้มหวาน ช่างภาพชะโงกออกมาจากกล้อง
“ตอนถ่ายเดี่ยวยิ้มแฉ่ง แต่ถ่ายกับแฟนหน้าบึ้งเลยนะครับ ยิ้มหน่อยสิครับ”
น้ำรินหันมาคะยั้นคะยอ เหยี่ยวฉีกยิ้มอย่างจำใจ น้ำรินเห็นท่าทางของเหยี่ยว รอยยิ้มก็หดหายไป แววตาเต็มไปด้วยความเศร้า

เหยี่ยวมองดูภาพคู่ที่อยู่ในมือ ทั้งคู่ยิ้มแบบฝืนๆ แววตาของเหยี่ยวไร้ความรู้สึก แต่น้ำรินเต็มไปด้วยความเศร้า
น้ำรินวางภาพอีกภาพลงข้างๆ เป็นรูปเหยี่ยวยิ้มกว้างคนเดียว เพราะถ่ายน้ำรินไม่ติด
“ผมเคยถ่ายรูปที่นี่จริงๆด้วย”
“ตอนนั้นฉันบอกให้คุณเก็บรูปไว้เปรียบเทียบว่ารูปไหนคุณจะยิ้มหล่อกว่ากัน”
เหยี่ยวจิ้มที่รูปเดี่ยว
“ผมว่ารูปนี้หล่อกว่านะ ถ้าคุณบอกว่ารูปบันทึกความรู้สึกได้ ตอนนั้นผมต้องมีความรักอยู่แน่ๆเลย ดูสิหน้าอินเลิฟชัดๆ คุณจำได้มั้ยว่าผมรักใคร”
คำถามของเหยี่ยวทำให้น้ำรินสะเทือนใจจนพูดไม่ออก
“คุณจำไม่ได้จริงๆเหรอคะ”
เหยี่ยวส่ายหน้า น้ำตาของน้ำรินเอ่อขึ้นมา แม้จะพยายามกลั้นอย่างเต็มกำลัง

เหยี่ยวกับน้ำรินเดินเข้ามาในลานจอดรถ
“แปลกนะ ผมเคยเกลียดกลัวการนั่งรถมาก แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว”
“คนเราจะสู้กับความกลัว ก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง”
เหยี่ยวยิ้ม เมื่อนึกขึ้นได้
“เออ มีคนเคยบอกผมแบบนี้เลย เค้าบอกให้ผมนั่งรถจนกว่าจะหายกลัวไปข้างนึง”
น้ำรินยิ้มอย่างมีความหวังว่าความทรงจำของเหยี่ยวกำลังจะกลับมา

บนดาดฟ้าของอาคารสูง มือปืนที่ซุ่มดูอยู่ แนบตาที่กล้องเล็ง แล้วจ่อปืนตรงมา
ภพธรมองวิวนอกตึก สีหน้านิ่งโหด ขณะคุยกับมือปืนผ่านสมอลล์ทอล์ค
“พบเป้าหมายใช่มั้ย?”
“ล็อกเป้า พร้อมยิง รอคำสั่งยืนยัน”
ภพธรสีหน้าเครียด เหมือนกำลังตัดสินใจอีกครั้ง
ปลายนิ้วมือปืนพร้อมกระแทกลงที่ไกปืน ขณะที่ส่องกล้องไปที่เป้าหมาย
“กรุณายืนยันคำสั่ง”
ภพธรถอนหายใจยาวคล้ายตัดสินใจได้เด็ดขาด
“ยิง”
มือปืนกกระแทกไกส่งกระสุนยิงออกไปทันที

ภพธรเผลอปัดมือถือร่วง จึงก้มลงไปเก็บ กระสุนจึงพุ่งผ่านไปโดนขวดน้ำแร่อย่างหวุดหวิด
ภพธรหันไปทางต้นทางของกระสุนปืนด้วยสีหน้าตกใจ ปลายกระบอกปืนของมือปืน เล็งตรงมาที่ระเบียงของภพธร
“มึงทรยศกู”
กระสุนปืนพุ่งตามมาอีกหลายนัด ภพธรรีบกระโดดพุ่งตัวเข้าไปในห้อง ก่อนที่จะรีบวิ่งตรงไปที่ลิฟต์
พลันมือปืนออกมาจากลิฟต์มาพอดี
ภพธรรีบวิ่งไปที่บันไดหนีไฟ มือปืนวิ่งตาม พลางไล่ยิงกระหน่ำไม่ลดละ
ภพธรตัดสินใจเปิดประตูวิ่งกลับเข้าไปในอาคารอีกครั้ง

ภพธรวิ่งหนีอย่างหอบเหนื่อยมาที่ลิฟต์ พร้อมกับกดลิฟต์รัวๆ ขณะที่มือปืนยังวิ่งตามมา เขาจึงตัดสินใจวิ่งลงบันได แต่มือปืนอีกคน ที่กำลังขึ้นมา ลั่นกระสุนใส่ ภพธรเอี้ยวหลบ แล้วรีบวิ่งกลับขึ้นมาเข้าไปในอาคาร แล้วรีบลงลิฟท์ไปก่อนที่มือปืนจะไล่ตามมาทัน
ที่ด้านหน้าคอนโด สงคราม ดารณี นำกำลังตำรวจมาปิดล้อม
“กระจายกำลังล้อมไว้ จับกุมตัวภพธรให้ได้”
ภพธรที่กำลังจะวิ่งมาที่ประตู ได้ยินก็ตกใจ ถอยหลังแล้ววิ่งไปทางด้านหลังคอนโด
สงครามกับดารณีเข้ามาก็เห็นหลังภพธรวิ่งไปไวๆ จึงรีบไล่กวดไป

ภพธรซ่อนตัวอยู่หลังประตู ถือท่อนเหล็กอยู่ในมือ ฟาดเข้าใส่ สงครามรับท่อนเหล็กไว้ได้ ภพธรผลักดารณีล้มลงแล้ววิ่ง
รถคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอด
“ขึ้นมา”
นับดาวยื่นออกมาจากกระจกฝั่งคนขับ ยิงใส่สงครามและดารณี ภพธรกระโดดขึ้นรถ สงครามและดารณีรีบหลบ แล้วยิงโต้ตอบ แต่รถแล่นออกไปแล้ว ทั้งคู่มองตามอย่างเจ็บใจ

นับดาวพาภพธรเข้ามาในบ้านนุติ ภพธรมองนับดาวอย่างซาบซึ้ง
“คิดไม่ถึงว่าเวลาคับขันที่สุด ดาวกลับเป็นคนช่วยพี่”
ภพธรดึงนับดาวมาซบที่บ่า
“พี่ธรทำร้ายดาว ทำเหมือนไม่เคยมีดาวอยู่ในหัวใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ถึงยังไงดาวก็ยังรักพี่ธร รักมากที่สุด ชีวิตนี้คงรักใครไม่ได้เท่านี้อีกแล้ว ดาวรักจนปล่อยให้พี่ธรต้องตกเป็นอันตรายเพราะคนอื่นไม่ได้ ดาวไม่ยอมให้พี่ธรต้องตาย ด้วยน้ำมือคนอื่น”
พลันเสียงปืนก็ดังขึ้นมา ภพธรสะดุ้งเฮือกสุดตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“รักมากเท่าไหร่ก็แค้นมากเท่านั้น”
นับดาวผละออกจากตัวภพธร ที่เต็มไปด้วยเลือด ก่อนจะล้มลง
“พอกันที กับชีวิตชั่วๆ ของพี่ธร”
นับดาวลูบแก้มของภพธรอย่างอ่อนโยน เต็มไปด้วยความรัก ครู่หนึ่งก็ยืนขึ้น ปล่อยให้ร่างภพธรอยู่ตรงนั้น พลางมองศพอย่างเหม่อลอย ดวงตาแข็งกร้าวแต่ไม่มีน้ำตา จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก
“ศูนย์รับแจ้งเหตุฯ 191 ครับ”
“ฉันมีเรื่องจะสารภาพ ฉันเพิ่งฆ่าคนตาย”
นับดาวเดินออกไป พร้อมๆ กับที่ภพธรลืมตาขึ้นมา
“เรายังไม่ตาย”
แต่เมื่อหันไปมองข้างๆ กลับเห็นศพตัวเองนอนจมกองเลือดอยู่ที่เดิม สีหน้าภพธรไม่ยอมรับว่าตัวเองกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว
ภพธรตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว เมื่อมองไปที่พื้นเบื้องหน้าตัวเอง ซึ่งปรากฏเป็นแผ่นดินแยกออก เกิดมีแสงแห่งเปลวไฟสีส้มฉาดฉายออกมาจากรอยแยก มือสีดำจำนวนมากโผล่ขึ้นมาจากรอยแยกนั้น ดึงวิญญาณของภพธรลงไปในรอยแยก พร้อมๆ กับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสของภพธร
ฉับพลันแผ่นดินก็ปิดสนิทแนบเหมือนเก่า

ธารานุ่งขาวห่มขาวนั่งฟังแม่ชีเทศน์อยู่ที่ใต้ต้นไม้ร่มรื่น ด้วยใจสงบ
“การบริจาคเงินและสถานที่เพื่อสร้างสถานปฏิบัติธรรมของคุณ เป็นอานิสสงส์ที่ยิ่งใหญ่ จะสร้างความสงบและชีวิตที่ดีให้กับคนได้อีกหลายคน”
“ชีวิตในอดีต...ทำให้ดิฉันรับรู้ ความโกรธอันตรายยิ่งกว่าไฟ ไฟเสมอด้วยโกรธไม่มี เราต้องดับไฟด้วยน้ำ ดับความโกรธด้วยการอภัย ต่อไปนี้ชีวิตของฉันจะเปลี่ยนไปแล้ว การให้อภัยคือทานอันยิ่งใหญ่ อานิสสงส์ของอภัยทานคือความสุขจากการเป็นผู้ให้ ที่เหนือกว่าการให้ทั้งปวง ”

น้ำรินเดินนำเหยี่ยวเข้ามาที่ชายหาด เหยี่ยวยังมีสีหน้างงๆ จากนั้นก็ค่อยๆ นึกขึ้นได้
“ที่นี่ ผมเคยมาที่นี่”
สีหน้าเศร้าสร้อยของน้ำริน ค่อยๆ จุดประกายความหวังขึ้นมาใหม่
“คุณจำได้เหรอ”
น้ำรินยิ้มดีใจ น้ำตาคลอ
“ที่นี่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย มันเป็นที่แห่งความทรงจำของคุณและฉัน คุณเคยเจอเด็กผู้หญิงคนนึงที่นี่”
“เด็กผู้หญิงคนนั้นร้องไห้เพราะโดนคลื่นซัดทราย รูปหายไป ผมก็เลยช่วยวาดให้ใหม่ที่ตรงนี้”
น้ำรินยิ้ม “ในที่สุดคุณก็จำได้แล้วคุณจำได้มั้ยคะว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นคือใคร”
แต่เหยี่ยวกลับทำท่าเหมือนจำไม่ได้
“คุณต้องจำได้สิ”
น้ำรินเริ่มใจเสีย เหยี่ยวสีหน้าครุ่นคิด...

ธาราพนมมืออธิษฐานกับพระประธานในโบสถ์
“ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม กรรมใดที่ทำแก่ผู้ใด ในชาติใดๆ ก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมและนายเวร จงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าและครอบครัว อย่าได้จองเวรจองกรรมกันต่อไปอีกเลย แม้แต่กรรมที่ใครๆ ได้ทำกับข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น และขอยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อข้าพเจ้ากับครอบครัวอันเป็นที่รักจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อผู้ใดอีกแล้ว”

น้ำรินยังคงมุ่งมั่นกับการพยายามรือฟื้นความทรงจำของเหยี่ยวด้วยคำพูด และเหตุการณ์ต่างๆ
เหยี่ยวนิ่งฟัง และครุ่นคิดตาม
พลันเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ก็ดัวงเข้ามา พร้อมกับความทรงจำของเหยี่ยว
“ผมรักคุณ”
“คุณจำได้ฉันได้แล้ว”
เหยี่ยวพยักหน้า ทั้งสองคนกอดกันแน่นด้วยความดีใจ
เหยี่ยวผละออกจากน้ำริน แล้วค่อยๆหอมแก้มเธอ
“ผมจำได้นะว่าตอนเด็กๆ คุณเคยขโมยหอมแก้ม แล้วผมบอกว่าถ้าคุณกลับเข้าร่างได้เมื่อไหร่ ผมจะทวงหนี้ทันที”
น้ำรินหัวเราะทั้งน้ำตา เหยี่ยวหอมแก้มน้ำรินอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะงกอดกันด้วยความรักและดีใจที่สุด
ในชีวิต

ธารามองสายตาอันเปี่ยมด้วยความเมตตาของพระประธานแล้วเกิดความปิติในใจจนน้ำตาคลออย่างไม่รู้สึกตัว พลางก้มลงกราบ แล้วสะดุ้งเบาๆ ก่อนที่จะจับที่ขาตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“ขาของฉัน? ขาฉันมีความรู้สึกแล้ว?”
ธาราหันไปมองพระประธาน พนมมือ น้ำตาไหลอาบลงมาที่แก้ม
“ขอบคุณความเมตตาและความดีที่ยังมีอยู่บนโลกใบนี้”

หมอและพยาบาลเข็นเตียงธาราออกมาจากห้องผ่าตัด
“การผ่าตัดสำเร็จด้วยดีครับ”
เหยี่ยว น้ำริน และสงคราม ยิ้มด้วยความดีใจ

สงครามวางช่อดอกแก้วลงบนมือของธารา พลางยิ้มให้เธออย่างมีความสุข ธารายิ้มอย่างดีใจเหลือบมองดูช่อดอกแก้วในมือ
“ขอบคุณมาก สำหรับช่อดอกแก้วที่สูงที่สุด สวยที่สุด”
“ถึงตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่ดอกไม้ที่คุณชอบที่สุด แต่ผมก็จะเก็บมาให้คุณทุกวันเหมือนเดิม”
“ฉันไม่ต้องการดอกไม้ที่สูงที่สุดหรือสวยที่สุดอีกแล้ว เพราะว่าตอนนี้ฉันมีเพื่อนรักแสนดีที่อยู่ใกล้ฉัน และจะอยู่ข้างๆ ฉันตลอดไป”
ธารากับสงครามมองตากันด้วยความรู้สึกดีๆ และความรักฉันเพื่อน

เหยี่ยวกับน้ำรินเดินเข้ามาอยู่ที่ศาลาริมน้ำ สีหน้าและแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและผูกพันซึ่งกันและกันอย่างที่สุด
“ไม่น่าเชื่อนะว่าเราอยู่ด้วยกันไม่กี่เดือน แต่เหมือนอยู่ด้วยกันมาแล้วทั้งชีวิต”
น้ำรินยิ้มรับ “มีคนเคยบอกฉันเรื่องคู่แท้ คู่แท้ที่ตามติดข้ามภพกันมาตลอด ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ คุณเชื่อเรื่องแบบนี้มั้ย”
“เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือวันนี้ เวลานี้ ผมดีใจที่เรารักกัน”
พลางจับมือน้ำรินไปแนบที่หัวใจ
“คุณอยู่ในหัวใจผมเสมอเพราะผมเกิดมาเพื่อรักคุณ”
น้ำรินน้ำตาคลอ ก่อนที่จะเหลือบมองที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง ที่มีด้ายแดงผูกอยู่ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งผูกติดกับนิ้วของเหยี่ยว
“หัวใจของเราสองคนมีด้ายแดงผูกติดกันไว้ ไม่ว่าเราจะไปเกิดในภพใดภูมิใดที่ไหนในโลก เราก็ต้องมาเจอกัน เพื่อรักกันและอยู่ด้วยกันตลอดไป”
เหยี่ยวกำมือตัวเองข้างที่คล้องด้ายแดง แล้วปล่อยมือให้แหวนเงินวงเล็กๆ ร่วงลงมาตามด้ายแดงไปที่นิ้วของน้ำริน
“แต่งงานกันนะ”
น้ำรินยิ้มทั้งน้ำตา เหยี่ยวสวมแหวนให้น้ำริน แล้วก็มองหน้ากันด้วยความรัก
“ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะรักกันตลอดไปนะน้ำริน”
น้ำรินยิ้มกอดเหยี่ยวไว้ด้วยความรักเช่นกัน
“ไม่ว่าชาติไหน ภพไหน เราจะเป็นคู่แท้ของกันและกันค่ะเหยี่ยว”
เหยี่ยวกับน้ำรินเดินจูงมือกันเหมือนกำลังจะออกมาจากศาลา เดินมาตามทางเดินไม้ที่เข้ามายังในบ้าน แต่แล้วทั้งคู่กลับได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงคนหนึ่ง
เหยี่ยวกับน้ำรินหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย หันหลังกลับไปมอง กลับเห็นผู้หญิงสาวผมยาวคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่ศาลา
ทั้งคู่เดินตรงเข้ามาหาผู้หญิงคน
“คุณ คุณเป็นอะไร”
“ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่คะ”
ผู้หญิงสาวสวยคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความยินดี
“ คุณเห็นฉันเหรอคะ ?”

Love is composed of a single soul inhibiting two bodies “ความรักคือหนึ่งวิญญาณที่แบ่งอยู่ในสองร่าง” อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก...
กำลังโหลดความคิดเห็น