ภพรัก ตอนที่ 2
ที่หน้าเดอะชลาธาร เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเคลียร์สถานที่ และคร่ำเคร่งกับการสอบปากคำลูกค้า อินทรีทองยืนให้ปากคำกับตำรวจอยู่ไม่ไกลจากประตู
เหยี่ยวกับนกน้อยควบคุมตัวยอดชัดกับมังกรดำ ที่ถูกจับใส่กุญแจมือทั้งคู่ออกมา ยอดชัดมองอินทรีทองอย่างโกรธจัด ครู่หนึ่งหงส์ขาวก็เดินออกมา นกน้อยเห็นเข้า ก็พูดล้อๆ
“อุ้ยตาย คนคุ้นเคยเค้าเจอกัน คนนอกอย่างเรา ไปดีกว่า”
จากนั้นก็เดินผ่านร่างน้ำรินไป น้ำรินสะดุ้ง หันไปมองแนน หรือหงส์ขาว แล้วรำพึงกับตัวเอง
“คนคุ้นเคย ? ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายเถื่อนดิบอย่างคุณ จะมีผู้หญิงมาเป็นคนคุ้นเคย”
เหยี่ยวทำเป็นไม่ได้ยินเสียงพูดล้อๆของน้ำริน
“ขอแสดงความยินดีที่จับคนร้ายได้นะคะ หมวดคนเก่ง”
เหยี่ยวยิ้มให้ “แนน กลับมาทำคดีนี้ทำไมไม่บอกสักคำ”
“เป็นห่วงเราเหรอ ?”
เหยี่ยวนิ่งๆ ไม่ตอบ ในใจคิดเป็นห่วงแนนแค่ในฐานะเพื่อน น้ำรินสะบัดหน้าเดินเชิดออกไปตามทางนกน้อย เหยี่ยวหันไปเห็นก็เผลอเรียกเสียงดัง จนแนนสงสัยว่าเรียกใคร
“เอ้อ เรียกจ่านกน้อย พอดียังคุยเรื่องงานไม่เสร็จ วันหลังจะไปทำคดีอะไร บอกเราด้วยนะ”
แนนพยักหน้ายิ้มๆ “ต่อไปเหยี่ยวต้องรู้อยู่แล้ว เพราะเราจะกลับมาทำงานที่กองสืบฯ คงได้ร่วมงานกันเหมือนเมื่อก่อน เราดีใจนะ ที่เหยี่ยวยังทำงานอยู่ที่นี่”
“ แล้วเจอกันนะ ขอเราไปเคลียร์ด้านโน้นแป๊บนึง”
เหยี่ยวรีบเดินเลี่ยงตามนกน้อยไป แต่ความจริงคือเดินไปตามน้ำริน
นกน้อยเดินผละไปคุยกับตำรวจอีกคนหนึ่ง ทิ้งให้ตำรวจอีกคนคุมตัวยอดชัดไว้ ยอดชัดเดินเข้ามาใกล้ๆ พลางจ้องหน้าอินทรีทองอย่างโกรธแค้น แล้วกระซิบเบาๆ
“มึงคงลืมไปสินะ พวกกูรู้ว่าลูกเมียมึงอยู่ที่ไหน”
อินทรีทองหน้าถอดสี ยอดชัดเดินต่อไปให้นกน้อยควบคุมตัว โดยไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
เหยี่ยวเดินสวนกับยอดชัด ที่มองเขาอย่างโกรธแค้น แต่เหยี่ยวไม่สนใจเดินเข้าไปหาน้ำริน
“คุณ”
ทันใดนั้นน้ำรินรู้สึกวูบขึ้นมาอีก พลางจับที่หน้าอกด้านซ้าย “โอ๊ย”
เหยี่ยวรีบถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร ?”
น้ำรินหน้าเครียด งงกับอาการตัวเอง
“ไม่รู้ อยู่ๆฉันก็วูบเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว”
สงครามเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยท่าทางร้อนรนไม่สบายใจเพราะเพิ่งรู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับธารา พยาบาลสาวกุลีกุจอมาต้อนรับ แล้วพามาที่ห้องพัก
ธารานอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงคนไข้ มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตยังระโยงระยางอยู่เต็มไปหมด โดยมีภพธรยืนเฝ้าอาการของอยู่
“เกิดเรื่องร้ายขนาดนี้ ทำไมธรไม่บอกลุง”สงครามพูดเชิงตำหนิ
“เอ้อ ผมเกรงใจคุณลุง”
“เกรงใจอะไร พูดเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกลกัน เธอก็รู้ว่าอาธารากับลุงสนิทกัน”
สงครามเห็นสภาพของธาราแล้ว น้ำตาคลอด้วยความสงสาร
“อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ยังไง”
“คุณอาธาราจะไปประชุมที่พัทยา ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุรถวิ่งเข้าชน นายสนคนขับรถตายคาที่ ส่วนคุณอา.. “
ภพธรนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนพรั่งพรูพูดออกมาพร้อมน้ำตาซึม
“สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรงกระดูกสันหลังเคลื่อน คุณหมอบอกว่ามีโอกาสเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป อาจจะเดินไม่ได้”
สงครามกุมมือของธารา น้ำตาเอ่อคลอ
“โธ่ ธารา ลูกสาวหายตัวไปก็ยังหาตัวไปพบ ยังจะมาเกิดเรื่องแบบนี้กับคุณอีกเวรกรรมอะไรกันนะ”
จากนั้นก็คุยกับภพธรว่ายังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการหายตัวไปของน้ำริน ภพธรนิ่งฟังอย่างเดาความรู้สึกไม่ออก
ทางด้านน้ำริน ก็เอ่ยปากบอกกับเหยี่ยวว่าเธอรู้สึกว่าอยากร้องไห้ โดยไม่รู้สาเหตุ
“ฉันรู้สึก ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนที่ฉันรักที่สุดแน่ๆ คุณต้องรีบสืบประวัติให้ฉัน”
เหยี่ยวรับคำ “ได้ แต่ขอผมไปแถลงข่าวเรื่องการจับกุมวันนี้ก่อนนะ แถลงข่าวเสร็จแล้วผมจะหาทางช่วย”
จากนั้นก็จะเดินเลี่ยงไป น้ำรินรีบมาขวางไว้
“ไม่เชื่อ ฉันขอประกาศไว้เลยนะถ้าคุณไม่ช่วยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะจองล้างจองผลาญ ป่วนให้ถึงที่สุด”
“ผมสัญญาว่าจะช่วยก็แปลว่าช่วย แต่ตอนนี้ขอไปทำธุระสำคัญก่อน”
เหยี่ยวเดินทะลุร่างน้ำรินออกไปเลย นกน้อยเดินออกมาจากห้องแถลงข่าว เข้ามาบอกเหยี่ยวที่เดินเข้ามาพอดี
“หมวดรีบเข้าไปเถอะ สำนักประชาสัมพันธ์จะเตี๊ยมเรื่องข่าวที่จะแถลง”
น้ำรินมองมือตัวเองที่ยังมีคราบน้ำตาอย่างร้อนใจ แล้วมองไปทาง พลางคิดว่ายังไงต้องทำให้เหยี่ยวมาสืบเรื่องของเธอให้ได้
ขณะที่เหยี่ยวกำลังยืนคุยงานกับทีมงานที่เตรียมจะแถลงข่าว น้ำรินก็โผล่มาแกล้งร้องเพลงยั่วข้างๆ หู จนเขาฟังรายละเอียดงานไม่รู้เรื่อง
เหยี่ยวรำคาญจนทนไม่ไหว รีบพาเจ้าหน้าที่หญิงเดินหนีไปที่หน้าเวที น้ำรินรีบเดินตามอย่างไม่ลดละ คราวนี้เดินมายืนที่ข้างเจ้าหน้าที่หญิง แล้วแกล้งป่วนต่อ จนเหยี่ยวฉุน ชี้ไปที่น้ำรินที่ยืนข้างเจ้าหน้าที่หญิง
“พอเหอะ รำคาญ”
เจ้าหน้าที่งง “รำคาญฉัน?”
เหยี่ยวรีบปฏิเสธ แต่น้ำรินก็ยังไม่เลิกเซ้าซี้
“เลิกวุ่นวายซะทีออกไปได้แล้ว นี่คือคำสั่ง”
น้ำรินคล้ายโดนพลังงานบางอย่างดูดออกไป พร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่เดินออกไปอย่างหวาดๆ เพราะนึกว่าโดนเหยี่ยวไล่ตะเพิด
ขณะที่นักข่าวกำลังทยอยเดินเข้าไปในห้อง น้ำรินมาที่นั่งจ๋องที่เก้าอี้หน้าห้องแถลงข่าว พลางมองไปรอบๆ ตัวด้วยสีหน้าเครียดๆ แล้วก็ชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นอินทรีทองกำลังคุยมือถืออยู่ที่มุมหนึ่งท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจ
“อย่าทำอะไรลูกเมียผมเลย ผมยอมทำตามทุกอย่าง”
จากนั้นก็วางสาย แล้วเดินออกไปด้วยท่าทีร้อนรน น้ำรินเดินตามไปอย่างสงสัย
เหยี่ยวกำลังแถลงการจับกุมและสรุปผลการจับกุมให้สื่อมวลชนฟัง โดยด้านหนึ่งมีสงคราม สมเดช และยอดชัดที่ถูกจับกุมอยู่ที่โต๊ะแถลงข่าว
“วันนี้ถือเป็นการจับกุมครั้งสำคัญ เพราะยอดชัดเป็นหนึ่งในเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่”
นักข่าวสาวยกมือถาม
“คุณยอดชัดเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ มีหลักฐานอะไร ถึงมั่นใจว่าเค้าอยู่เบื้องหลังการค้ายา”
“เรามีฮาร์ดดิสก์ภาพวิดีโอวงจรปิด ขณะที่กำลังซื้อขายยาในเดอะชลาธาร”
สงครามเอียงหน้ามากระซิบคุยกับสมเดช สีหน้าเครียด
“เรามีหลักฐานแค่ฮาร์ดดิสก์เพียงอย่างเดียวใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“ดูแลให้ดี อย่าให้เกิดอะไรขึ้น”
ยอดชัดยิ้มร้าย เหมือนกำลังเตรียมการอะไรบางอย่าง
ที่หน้าห้องเก็บหลักฐานของสำนักงานสืบฯ เจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่เพียงคนเดียว อินทรีทองเดินเข้ามาทักทายอย่างคุ้นเคย ก่อนที่จะฉวยจังหวะปราดเข้าไปล็อกจนสลบเหมือด แล้วดึงบัตรสแกนออกไปจากคอ ก่อนที่จะรุดบัตรเข้าไปในห้อง
น้ำรินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็รีบตัดสินใจรวบรวมความกล้าเดินทะลุประตูเข้าไป
น้ำรินเห็นอินทรีทองพยายามไล่ค้นหาฮาร์ดดิสก์ตามชั้นเก็บหลักฐาน แต่ยังหาไม่เจอเพราะมีหลักฐานอยู่หลายชิ้น พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น
“ยังหาไม่เจอ หลักฐานมีอยู่เต็มห้อง คงไม่เจอง่ายๆ หรอก”
“คิดว่ามีผู้มีอิทธิพลคนอื่น เกี่ยวข้องอีกใช่มั้ยคะ”
นักข่าวถามต่อ เหยี่ยวรีบอธิบาย
“สำนักงานสืบของเราจะขยายผลการสอบสวนต่อไปครับ”
อีกคนถามเพิ่ม “หมวดเหยี่ยวเคยมีประวัติซ้อมผู้ต้องหา มั่นใจได้ยังไงว่าคุณยอดชัดจะไม่โดนซ้อม
จนต้องรับสารภาพ”
เหยี่ยวมองหน้าคนถามอย่างไม่พอใจ “คิดว่าคำถามนี้สร้างสรรค์ที่สุดแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ได้ถามหมวด ผมถาม ผบ.สงคราม”
สงครามพยายามระงับอารมณ์ แล้วตอบแบบขรึมๆ “ขอให้มั่นใจ ผมไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแน่”
เหยี่ยวย้อนถามกลับ
“ผมถามกลับบ้างนะ จะมั่นใจได้ยังไงว่าสื่อไม่ได้ถูกพ่อค้ายาซื้อตัวเพื่อมาถามคำถามโง่ๆ ทำให้ยอดชัดพ้นผิด”
“พูดแบบนี้ผมฟ้องหมวดได้นะ”
สงครามหันไปมองสมเดชเหมือนจะให้เตือนเหยี่ยว น้ำรินโผล่เข้ามาในห้องท่าทางตกใจ
“หมวดเหยี่ยว แย่แล้ว”
เหยี่ยวหันขวับไปทางน้ำริน พลางถลึงตาเหมือนจะเตือนว่าเข้ามาทำไม คนในห้องสงสัยว่าเหยี่ยวหันมาดุใคร น้ำรินไม่สนใจ รีบบอกทันที
“อินทรีทองบุกเข้าไปในห้องเก็บหลักฐานกำลังจะขโมยฮาร์ดดิสก์ภาพวงจรปิดที่ใช้เล่นงานนายยอดชัด”
เหยี่ยวตกใจร้องเสียงหลง แล้วรีบบอก “ขอจบการแถลงข่าวเพียงแค่นี้ก่อนครับ”
จากนั้นก็กระซิบกับสงคราม “ขออนุญาตครับ ผบ..มีคนบุกเข้าไปในห้องเก็บหลักฐาน กำลังจะขโมย หลักฐานชิ้นสำคัญของคดีนี้ไป”
เหยี่ยวรีบพุ่งออกไปทันที ยอดชัดหน้าเสียเมื่อรู้ว่าตำรวจไหวตัวแล้ว
เหยี่ยวรีบวิ่งมาที่หน้าห้องเก็บหลักฐาน เห็นเจ้าหน้าที่ซึ่งสลบหมดสติอยู่ ก็รีบรูดการ์ดเข้าไปภายในห้องเก็บหลักฐาน นกน้อยกับเจ้าหน้าที่วิ่งตามมา น้ำรินตามมาด้วยใกล้ๆ กัน
เหยี่ยวออกมาจากห้องเก็บหลักฐานด้วยท่าทางร้อนรน “อินทรีทองได้ฮาร์ดิสก์ไปแล้ว”
น้ำรินที่มองๆ ไปที่กระจกด้านหนึ่งเห็นอินทรีทองกำลังเดินออกไปจากสำนักงานสืบฯ ผ่านกระจก
“กำลังจะหนีออกไปทางด้านหลังสำนักงานค่ะหมวด”
เหยี่ยวหันขวับมาทันที แล้วหันไปร้องสั่งนกน้อย
“มันหนีไปทางด้านหลัง ตามไป”
เหยี่ยววิ่งนำออกไปทันที นกน้อยมองตามอย่างงงๆ
อ่านต่อหน้า 2
ภพรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
อินทรีทองรีบถือฮาร์ดดิสก์อออกมาตามถนนเปลี่ยว เหยี่ยววิ่งตามมา แล้วกระโจนเข้าใส่จนล้มไปด้วยกัน
“ไอ้ทรยศ”
“ผมจำเป็นต้องทำแบบนี้”
ทั้งสองต่อสู้ด้วยมือเปล่าไปพักหนึ่ง ในที่สุดเหยี่ยวเล่นงานอินทรีทองจนล้มคว่ำไปกับพื้น แล้วจับใส่กุญแจมือ และยึดฮาร์ดดิสก์กลับมาได้
นกน้อยกับเจ้าหน้าที่ฯ ตามมาพอดี เหยี่ยวส่งฮาร์ดดิสก์ไปให้นกน้อยถือไว้
น้ำรินลอยหน้าลอยตาพูดแบบน่ารัก
“หมวดเก๊กเก่งจริงๆ แต่จะเก่งยังไงก็เป็นหนี้บุญคุณฉัน เสร็จงานนี้ ต้องจัดการสืบประวัติให้ฉันจริงๆจังๆสักทีนะเก๊ก”
เหยี่ยวกำลังคุยงานกับสงครามและสมเดชอยู่ในห้องประชุม โดยมีนกน้อยและเจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งร่วมประชุมอยู่ด้วย น้ำรินนั่งข้างเหยี่ยว
ภาพบนจอที่ผนังเป็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็กหญิงตัวเล็ก กำลังถ่ายรูปคู่อยู่กับอินทรีทอง นกน้อยรีบรายงาน
“อินทรีทองสารภาพว่าที่ทำไปเพราะเมียกับลูกโดนข่มขู่จากลูกน้องของยอดชัด”
เหยี่ยวพูดเสริม “ผมส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือลูกเมียของอินทรีทองไว้ได้แล้วครับ”
“ยอดชัดจะต้องไม่ได้ทำงานคนเดียวแน่ๆ” สงครามคาดการณ์
ภาพบนจอเปลี่ยนไปเป็นภาพยอดชัดอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยบุคคลต่างๆ โดยรอบ เหยี่ยวอธิบายเพิ่ม“จากการสืบข้อมูลในทางลึก เดอะชลาธารและธุรกิจนอกกฏหมายอื่นๆ ใช้เงินลงทุนมากกว่าที่จะสามารถทำเพียงคนเดียว”
“คงต้องนำสืบต่อไปว่าใครร่วมมือกับมันบ้าง”
สมเดชสั่งการ พร้อมๆ กับที่น้ำรินจ้องไปที่จอมองยอดชัด ทันใดนั้นเธอเห็นรอยสักที่หลังมือ รอยสักนั้นทำให้มีภาพอดีตผ่านเข้ามาในสมอง
ภาพในความทรงจำของน้ำริน คือภาพยอดชัด ที่กำลังเอามือเสยผมเห็นรอยสักที่หลังมือ แล้วหันกลับมามองผู้หญิงคนหนึ่ง แต่น้ำรินเห็นเพียงด้านหลัง จึงไม่รู้ว่าเป็นใคร
น้ำรินเดินลงบันได อดชัดหันมายิ้มให้
“หนูน้ำใช่มั้ย ได้ยินชื่ออยู่บ่อยๆ ไม่นึกว่าตัวจริงจะเป็นสาวแล้ว”
น้ำรินยิ้มให้ตามมารยาท พลางยกมือไหว้ยอดชัด
ภาพนั้นเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ในความรู้สึกของน้ำริน ณ เวลานี้
เหยี่ยวที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าห้องประชุม แล้วหันมามองน้ำริน เหมือนกำลังรอ ๆ เธออยู่
น้ำรินยังคงต้องไปที่ภาพบนจอที่เป็นหน้าของยอดชัด ด้วยความรู้สึกตกใจกับข้อมูลที่เพิ่งระลึกและจำได้
“จู่ๆ ฉันก็รู้สึกคุ้นหน้าคนๆ นี้ เหมือนฉันจะเคยรู้จักมาก่อน”
“ยอดชัดมันค้ายา คุณจะไปเกี่ยวอะไรกับพวกค้ายา”
น้ำรินจ้องไปที่หน้ายอดชัดบนจอภาพ แววตาครุ่นคิด
ยอดชัดกำลังคุยกับทนายในห้องควบคุมตัวด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“ถ้าพัง ก็พังไปด้วยกันทั้งหมด ไปบอกมัน ฉันไม่ยอมพังแทนใคร มันต้องช่วยฉันออกไปจากที่นี่...
ออกไปอย่างสง่าผ่าเผย”
แววตายอดชัดแข็งกร้าว
คงคาเดินเปิดประตูเข้ามา มองซ้ายมองขวา เห็นในห้องไม่มีใครอยู่ เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น มันจึงรีบเดินเข้าไปรับสาย
“ครับบอส”
“จัดการมันซะ” ปลายสายสั่งการเสียงเข้ม
คงคาหันไปมองที่ข้างโทรศัพท์ เห็นมีขวดยาพิษวางอยู่
“แต่ยอดชัดทำงานกับเรามานานนะครับบอส”
คงคาฟังเสียงทางปลายสาย พลางถอนหายใจยาว แล้วจำต้องทำตามคำสั่ง
เหยี่ยวขี่จักรยานมาจอดที่บริเวณบ้าน จากนั้นก็จะเดินเข้าบ้าน น้ำรินรีบเดินตาม พลางย้ำเรื่องให้ช่วยเธอแบบจริงๆ จังๆ เหยี่ยวรีบรับคำ แนนเดินออกจากบ้านมาเห็นเหยี่ยวยืนพูดคนเดียว ก็มองอย่างงงๆ
เหยี่ยวกับน้ำรินหันมามองแนนอย่างแปลกใจ
“อ้าว มาได้ยังไงเนี่ย”
ยายนวลเดินตามออกมา แนนรีบไปพยุง
“ก็มาเก็บกวาดซักเสื้อผ้าให้เอ็งน่ะสิ นี่ถ้าไม่ได้หนูแนน บ้านคงรกเป็นรังหมาไปแล้ว มาๆ มากินข้าวกัน หนูแนนทำกับข้าวไว้เพียบเลย”
น้ำรินมองแนนที่ดูสนิทกับยายนวล แล้วเหลือบมองเหยี่ยวอย่างแอบหมั่นไส้ จากนั้นก็สะบัดหน้าเดินเชิดออกรั้วบ้านไป
เหยี่ยวกับแนนช่วยกันเดินพยุงยายนวลเข้าบ้าน แนนมองอาการเหยี่ยวที่คอยเหลียวไปมองหน้าบ้านอย่างสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าเหยี่ยว”
เหยี่ยวรีบตอบ “ไม่มีอะไร”
ยายนวลพูดลอยๆ “คงกลัวรถไฟชนกันล่ะสิ”
แนนกับเหยี่ยวหันมามอง ยายแนนรีบตัดบท
“หนูแนนเข้าไปเตรียมเครื่องแกงจืดให้ยายหน่อยนะ ยายอยากกินแกงจืดตำลึง เดี๋ยวยายไปเก็บยอดตำลึงข้างบ้านก่อน”
แนนรับคำ แล้วเดินเข้าบ้านไป ยายนวลหันมาตวาดใส่เหยี่ยว
“เอ็งนี่มันน่าเขกกบาลจริงๆ หนูแนนหายไปเรียนต่อยายก็คิดว่าเอ็งกับหนูแนนเคลียร์กันแล้ว ถึงได้พาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้าน แต่ที่ไหนได้ เอ็งคิดจะควงควบเหรอไอ้เหยี่ยว”
เหยี่ยมองยายอย่างงงๆ “ยายพูดเรื่องอะไรเนี่ย”
“ไม่ต้องมาดัดจริตทำเสียงไร้เดียงสา ยายเคยเจอหนูน้ำแล้ว รู้ด้วยว่าวันก่อนเราสองคนนอนห้องเดียวกัน”
เหยี่ยวรีบปฏิเสธ “แต่มันไม่ใช่อย่างที่ยายคิดนะ” จากนั้นก็แก้ตัวไปว่า “น้ำเค้าเป็นพยานในคดีร้ายแรงคดีหนึ่งครับ ผมจำเป็นต้องให้เค้ามาอาศัยที่นี่ เป็นเซฟเฮ้าส์”
“แล้วทำไมต้องนอนห้องเดียวกัน” ยายนวลซักต่อ
“เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดครับ”
“จริงเหรอ แล้วตอนนี้หนูน้ำไปไหน ? ไม่อยู่ในบ้าน เดี๋ยวก็เป็นอันตรายหรอก”
เหยี่ยวมองไปทางหน้าบ้าน นึกเป็นห่วงอย่าเหมือนกัน ว่าน้ำรินหายไปไหน
เหยี่ยวพายายนวลเดินเข้าบ้านมาที่โต๊ะกินข้าว พอเห็นน้ำรินนั่งหน้าหงิกเซ็งอยู่ ก็แอบยิ้มทะเล้นที่เธอไม่หายไปไหน น้ำรินนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเหยี่ยว
แนนเดินออกจากในครัว แล้วมองที่มือยายนวล แต่ไม่เห็นตำลึงอย่างที่บอก
“อ้าว ไหนยายบอกจะไปเก็บตำลึงยังไงล่ะคะ”
ยายนวลรีบหาข้ออ้าง “ตำลึงมีแต่ยอดแก่ๆ ยายไม่อยากกินแล้ว กับข้าวที่หนูแนนทำ ก็เยอะแยะแล้ว ขอยายไปเข้าห้องน้ำแป๊บ ถ้าหิวก็ทานกันไปก่อนได้เลยนะลูก”
ยายนวลเดินออกไป เหยี่ยวนั่งทางซ้าย แนนนั่งเก้าอี้ทางขวา ซ้อนทับร่างของน้ำรินที่มองอย่างไม่พอใจ
จากนั้นจึงลุกขึ้นไปนั่งเก้าอี้อีกตัวด้วยความหงุดหงิด
น้ำรินมองแนนที่ปรนนิบัติยายนวล และตักอาหารให้เหยี่ยว ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินอย่างบอกไม่ถูก
เหยี่ยวเดินมาส่งแนนที่หน้าบ้าน แล้วพูดยิ้มๆ
“ขอบใจนะที่มาทำความสะอาดบ้านให้เรา”
“ไม่เป็นไร เราอยากช่วยยาย”
น้ำรินที่แอบฟังอยู่นานแล้วโผล่พรวดออกมา “อยากช่วยยายหรือเอาใจผู้ชายกันแน่ ?”
เหยี่ยวหันมาดุ “นี่แอบฟังคนอื่นคุยกันเหรอ ?”
แนนมองอย่างแปลกใจ เหยี่ยวรีบแก้ตัว
“ คนข้างบ้านไง ชอบแอบฟังคนอื่นคุยกัน แล้วไปเม้าท์คนพวกนี้นิสัยแย่ ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น
พวกปากปลาร้า”
เหยี่ยวจงใจพูดเหน็บน้ำริน แล้วหันมายิ้มให้แนน
“ รีบกลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน”
“เราดีใจนะ ที่ได้กลับมาทำงานร่วมทีมเดียวกับเหยี่ยว เหมือนเมื่อก่อน”
แนนเอามือแตะไหล่เขาอย่างแผ่วเบา เหยี่ยวชะงักมองมือเธอ
น้ำรินเห็นอาการที่ทั้งสองถูกเนื้อต้องตัวกันได้ แล้วก็สลด แนนเดินออกไปแล้ว น้ำรินมองเหยี่ยวอย่างหมั่นไส้ ยายนวลตะโกนออกมาจากในบ้าน
“ไอ้เหยี่ยว พาหนูน้ำมานอนได้แล้ว ดึกดื่นค่ำคืน อันตราย”
เหยี่ยวเดินหัวเราะทะเล้นเข้าบ้านไป น้ำรินรีบเดินตาม
ยายนวลเป็นคนจัดการคุมให้เหยี่ยวกั้นห้องนอนใหม่ มีตู้ไซด์บอร์ดเล็กๆ มาขวางกั้นกลางระหว่าง
ห้องแบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นเบาะที่วางปูไว้สำหรับเหยี่ยว อีกด้านหนึ่งเป็นเตียงเหยี่ยวเดิมที่จะให้น้ำรินนอน
“เหยี่ยว เราไม่ได้หลอกยายเรื่องหนูน้ำใช่มั้ย”
เหยี่ยวอึกอักนิดหนึ่ง
“ผมจะหลอกยายไปทำไมครับ น้ำต้องมาอยู่กับเราเพราะไม่มีที่ไป ไม่มีเรื่องเสื่อมเสียแน่นอน”
ยายนวลเอามือลูบหัวเหยี่ยวด้วยความรัก
“ยายเชื่อเหยี่ยว เรามีกันอยู่สองคน หลานยายไม่ใช่คนเหลวใหล เมตตาหนูน้ำให้มากๆ นะเหยี่ยว ยายรู้สึกถูกชะตากับเด็กผู้หญิงคนนี้”
เหยี่ยวพยักหน้ายิ้มๆ “ครับ ยายรีบเข้านอนเถอะครับคืนนี้ เผื่อจะฝันเห็นเป็นตัวเลข”
เหยี่ยวเดินกลับมาที่ห้อง ขณะที่น้ำรินกำลังเดินสำรวจไปทั่วทั้งห้อง
“ฉันเพิ่งสังเกตอย่างจริงๆ จังๆ ห้องคุณเนี่ย รกยิ่งกว่ากองขยะอีก ขนาดหนูแนนสุดสวยมาทำความสะอาดแล้วนะเนี่ย”
จากนั้นก็บ่นนั่นบ่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนเหยี่ยวรำคาญ
“พอเหอะแม่นางเยอะ วิญญาณอะไรแพ้อากาศ”
เมื่อได้ยินคำว่าวิญญาณน้ำรินก็สลดลงเมื่อระลึกได้ว่าเธอเป็นเพียงดวงจิตเท่านั้น
“จริงสินะ ฉันมันก็แค่ “ดวงจิต” ไม่มีร่างกาย ไม่มีชีวิต”
เหยี่ยวยิ้มปลอบใจน้ำริน
“คืนนี้คุณนอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้เรายังมีเรื่องต้องช่วยกันทำอีกหลายอย่าง”
เหยี่ยวล้มตัวลงนอนแล้วหลับตาน้ำรินมองเหยี่ยว แล้วลองนอนแล้วหลับตาดูบ้าง
เหยี่ยวแอบลืมตาแล้วมองไปทางน้ำรินที่นอนหลับตาแล้วยิ้ม น้ำรินลืมตาแล้วมองไปทางเหยี่ยวที่นอน แล้วแอบยิ้ม รู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้เหยี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
อ่านต่อหน้า 3
ภพรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
น้ำรินนอนลืมตาอยู่บนเตียงอีกฟากหนึ่งของห้อง ภาพในความทรงจำระหว่างตัวเองกับยอดชัดกลับเข้ามาอีกครั้ง
“หนูน้ำใช่มั้ย ได้ยินชื่ออยู่บ่อยๆ ไม่นึกว่าตัวจริงจะเป็นสาวแล้ว”
น้ำรินยิ้มให้ตามมารยาท พลางยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ คุณ.....”
ยอดชัดยื่นนามบัตรให้
“อาชื่อยอดชัด กำลังจะทำธุรกิจร่วมกับคุณแม่ของน้ำ อาจะเปิดเดอะชลาธาร ถ้าว่างลองแวะไปสิ วัยรุ่นอย่างน้ำน่าจะชอบ”
น้ำรินนอนกระสับกระส่าย จนเหยี่ยวรู้สึกตัวชะโงกหน้ามอง น้ำรินรีบล้มตัวนอนเหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจยังคงตกใจกับภาพระลึกได้ถึงอดีตตัวเองที่เคยรู้จักกับยอดชัด
เหยี่ยวลืมตาแอบเหลือบมองน้ำรินหน้าตาเคร่งเครียด
รุ่งเช้าขณะที่เหยี่ยวพาน้ำรินมาทำบุญที่วัด เธอก็รีบบอกว่า
“เมื่อคืนฉันรู้เรื่องของตัวเองเพิ่มมาอีกอย่างแล้ว นายยอดชัดทำธุรกิจร่วมกับแม่ของฉัน นี่แม่ฉันเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเหรอ? “
เหยี่ยวเห็นอาการของน้ำริน ก็นึกรู้ว่าเธอกำลังไม่สบายใจเรื่องนี้
“อย่าเพิ่งฟุ้งซ่าน ไปทำบุญให้สบายใจก่อนดีกว่า”
เหยี่ยวพาน้ำรินเดินมาถึงประตูหน้าวัด
“ลืมไป คุณเป็นวิญญาณจะเข้าวัดได้เหรอ ไม่กลัวร้อนรึไง”
“ดูหนังมากไปแล้วหมวด ถึงเป็นวิญญาณ ฉันก็เป็นดวงจิตที่ดี ตั้งใจจะมาทำบุญทำกุศลในวัด แล้วทำไมดวงวิญญาณดีๆ จะเข้าวัดไม่ได้”
น้ำรินยิ้มหวานพลางยักคิ้วให้เหยี่ยวแล้วเดินนำเข้าวัดไปหน้าตาเฉย
พอเดินมาถึงที่หน้ากุฏิหลวงตาเคี้ยง เหยี่ยวนึกขึ้นมาได้รีบหันไปบอกน้ำริน
“อย่าขึ้นไปบนกุฏิเลย ถ้าหลวงตาเคี้ยงรู้ว่าคุณมากับผม กุฏิกระเจิงแน่”
“พระกลัวผี?”
“เอาน่า เดินเล่นแถวนี้ไปก่อน”
น้ำรินมองค้อน “ก็ได้ อย่านานนะ ฉันกลัวผีในวัด”
“ฮ่าๆ ผีกลัวผีได้ไง”
เหยี่ยวเดินขึ้นไปบนกุฎิ น้ำรินมองซ้ายมองขวาชื่นชมกับบรรยากาศที่ร่มรื่น แล้วจึงเดินออกไปทางหนึ่ง
หลวงตาเคี้ยงรับของที่เหยี่ยวประเคนมาให้ พลางมองไปรอบๆ ด้วยสายตาระแวดระวัง เหยี่ยวรีบออกตัวว่าให้รออยู่ข้างล่าง
“เธอบอกว่าติดต่อกับผมได้อยู่คนเดียว ตามติดผมไปทุกที่ จนบางทีผมอึดอัดเลยนะครับ”
“คงจะเคยทำบุญสร้างกุศลร่วมกันมาก หมวดอาจจะเป็นคนเดียวที่ปลดห่วงเค้าได้”
“แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะไปล่ะครับ” เหยี่ยวถามอย่างเป็นกังวล
“เมื่อภารกิจสำคัญสำเร็จเสร็จสิ้นไป”
น้ำรินเดินเรื่อยมาจนมาถึงเมรุเผาศพ ที่มีการเก็บกระดูกที่เพิ่งเผาศพไปเมื่อวานนี้ พ่อกับแม่ยืนล้อมรอบกระดูกเด็กหญิง แล้วร้องไห้อย่างอาลัย ข้างๆ มีรูปถ่ายเด็กหญิงน่ารักอยู่ด้วย
น้ำรินมองเห็นด้วยความสะเทือนใจ เมื่อหันไปมองข้างๆ เมรุ ก็ต้องนิ่วหน้าเพราะเห็นวิญญาณเด็กหญิงน่ารักยืนอยู่ข้างพ่อแม่ที่กำลังร้องไห้อยู่ เมื่อพระมาสวดที่หน้ากระดูก และพ่อกับแม่โปรยดอกไม้ บังเกิดแสงสว่างเรืองรองบนท้องฟ้าพุ่งเข้ามาที่เด็กหญิง คล้ายกำลังมารับวิญญาณนั้น เด็กหญิงยิ้มให้พ่อกับแม่ แล้วยกมือไหว้
“หนูลาค่ะพ่อ แม่”
น้ำรินเห็นภาพนี้แล้วน้ำตาคลอด้วยความสะเทือนใจ วิญญาณเด็กหญิงสลายรวมไปกับแสงสว่างเรืองรองนั้น แล้วค่อยๆ พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
น้ำรินเดินมาถึงที่ศาลาริมน้ำในวัดบรรยากาศร่มรื่น เห็นยายปริก นั่งเหงาๆ อยู่ที่ริมน้ำ เหม่อมองไปที่แม่น้ำ ก็รีบเดินมานั่งที่ข้างๆ แล้วชวนคุย
“อากาศดีเนอะป้า ฉันอิจฉาป้าจังเลยที่ยังมีชีวิต มีเลือด มีเนื้อ มีความรู้สึก มีโอกาสรับลมที่มาปะทะใบหน้า รับบรรยากาศดีๆ แบบนี้ ป้า อีกนานแค่ไหน ฉันถึงจะได้กลับไปเป็นคน”
ยายปริกนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยิน น้ำรินรำพันต่อ
“ชีวิตคืออะไร? เราเกิดมาพบกัน เพื่อรอเวลาที่จะลาจาก ผูกพันเพื่อจะเสียใจ เวลาที่ต้องจากลาอย่างไม่มีวันกลับเหรอ”
น้ำรินมองไปที่แม่น้ำอย่างปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ ยายปริกพุดเสียงเข้มอย่างไม่พอใจ โดยที่มองหน้าน้ำริน
“มึงเป็นใคร เข้ามาที่ของกูได้ยังไง”
“ป้า ป้าได้ยินฉัน”
“กูจะทำลายวิญญาณทุกตนที่เข้ามาบุกรุก ออกไปเดี๋ยวนี้”
พลันก็บังเกิดลมพายุกระหน่ำรอบบริเวณศาลา พัดวนจนข้าวของแถวนั้นล้มระเนระนาด
ฟ้าผ่าลงไปที่ต้นไม้ริมศาลาเปรี้ยง.. !!!
ลมพายุกระชากแรง ต้นไม้บริเวณนั้นปลิวว่อน ผู้คนต่างตกใจไปตามๆ กัน
“ผียายปริกเฮี้ยนออกฤทธิ์อีกแล้ว” จากนั้นก็วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
ผียายปริกอาละวาด ผลักน้ำรินจนล้มคว่ำ
“ออกไป ศาลานี้เป็นของกู กูอยู่มาเป็นร้อยปี”
ลมพัดเข้ามาปะทะเต็มแรง จนวิญญาณน้ำรินลอยหวือออกไปจากศาลา ไปกองอยู่แทบพื้นด้านนอก ผียายปริกยืนตระหง่านท่าทางน่ากลัว
เหยี่ยวกำลังเก็บที่กรวดน้ำทองเหลืองที่ไว้ใส่น้ำเพื่อกรวดน้ำเก็บเข้าที่ ชาวบ้านวิ่งแตกตื่นขึ้นมาบนกุฏิ แล้วกรูมานั่งข้างๆหลวงตาเคี้ยง
“ผีนังปริกมันอาละวาดอีกแล้ว”
ขาดคำหน้าต่างกุฏิก็โดนลมกระโชกปิดดังปัง หลวงตาเคี้ยง เหยี่ยว ชาวบ้านสะดุ้งโหยง
“ผีนังปริก ผีเจ้าถิ่นในตำนานของวัดนี้ ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกเหรอครับหลวงตา” เหยี่ยวหันมาถามด้วยสีหน้าตระหนก
“ยัง มันเหมือนกำลังรออะไรสักอย่างอยู่ แต่ไม่เฮี้ยนแบบนี้มานานแล้ว”
“แล้วทำไมวันนี้ถึงอาละวาดล่ะครับ”
“คงมีใครแหยมเข้าไปในที่ของมันน่ะสิ”
เหยี่ยวสังหรณ์ใจถึงน้ำริน
น้ำรินวิ่งหนีผียายปริกด้วยท่าทางหวาดกลัว เสียงลมพัดกระโชกดังมาจากศาลาวัดริมน้ำ พุ่มใบไม้บนต้นไม้โดนลมกระโชกต่อๆกันเป็นทอดๆมาจากทางศาลาวัดริมน้ำ จนมาถึงต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัวน้ำริน
“จะหนีไปไหน”
เสียงผียายปริกฟังดูน่ากลัว น้ำรินรีบวิ่งต่อทันที
เหยี่ยวเดินลงมาจากกุฏิด้วยความรีบร้อนเป็นห่วง น้ำรินวิ่งผ่านหน้าไป เหยี่ยวรีบตะโกนตาม ทันใดนั้นร่างน้ำรินที่วิ่งไปไกล เหมือนโดนพลังบางอย่างดูดกลับมายืนตัวติดกับเหยี่ยว
“จะมาเรียกฉันอะไรตอนนี้ ผีมาแล้ว วิ่งหนีเร็ว”
เหยี่ยวหันไปมองตามทางที่น้ำรินชี้ “ผมไม่เห็นใครเลย”
น้ำรินมองไป เห็นผียายปริกกำลังเดินเข้ามา “หล่อนหนีฉันไม่พ้นหรอก”
น้ำรินตกใจกลัว “คุณเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง ตอนนี้วิ่งก่อน”
“คุณเห็นผี คุณก็วิ่งสิ”
น้ำรินรีบบอก “ฉันวิ่งไปไหนไม่ได้ตัวฉันติดกับคุณเนี่ย วิ่งเร็ว”
“แล้วคุณจะให้ผมวิ่งไปทางไหน”
น้ำรินมองผียายปริกที่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นด้วยความกลัว
“จะไปทางไหนก็วิ่งสักทางเถอะ”
เหยี่ยวมองซ้ายมองขวา แล้วตัดสินใจวิ่งไปทางที่ผียายปริกเดินมา
“เฮ้ย จะวิ่งเข้าไปหาผีทำไมเล่า”
เหยี่ยวชะงัก “เอ้า ก็ผมไม่เห็นผีนี่ คุณเห็น คุณก็บอกสิว่าจะให้วิ่งไปทางไหน”
น้ำรินชี้ไปทางออกจากวัด “ทางโน้น”
เหยี่ยวรีบวิ่งไปทางออกวัด น้ำรินวิ่งตามไป ผียายปริกเดินเข้ามามองตาม แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นหน้า น้ำรินชัดๆ
“หล่อนหนีฉันไม่พ้นหรอก”
เหยี่ยววิ่งออกมาจากวัด โดยมีน้ำรินวิ่งตาม ท่าทางเหนื่อยหอบทั้งคู่ เมื่อเห็นว่าผียายปริกไม่ตามมาแล้ว จึงหยุดวิ่ง
“ไปทำอีท่าไหนให้ผีมันวิ่งไล่” เหยี่ยวหันมาถาม
“จะไปรู้เหรอ ฉันคุยโน่นคุยนี่อยู่ดีๆ ใครจะไปรู้ว่าในโลกนี้จะมีผีหวงอาณาเขตด้วย เพราะคุณนั่นแหละ ฉันถึงต้องเจอแบบนี้”
เหยี่ยวรีบโวยวายกลับ
“เฮ้ย มาโทษอะไรผมไม่ได้จุดธูปให้ผีมาหลอกคุณสักหน่อย เออ วันหลังถ้าคุณเยอะกับผม ผมจุดธูปเรียกผีมาหลอกดีกว่า มีเรื่องสนุกให้ทำแล้วเว้ย”
น้ำรินไม่ตลกด้วย “รู้ไหมว่าฉันกลัวขนาดไหน ถ้าฉันเป็นคน ก็ยังพอมีคนอื่นมาช่วยได้ แต่นี่ฉันเป็นดวงจิตแถมยังมีคุณคนเดียวที่มองเห็น ถ้าฉันเป็นอะไรไป ใครจะรับผิดชอบ”
น้ำรินพูดเสียงเครือๆ พลางคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เมรุเผาศพ
“บางทีพ่อแม่ฉันอาจจะรอให้ฉันฟื้นอยู่ก็ได้ ฉันยังไม่อยากเป็นอะไรโดยที่ไม่ได้ลาพ่อแม่นะ”
เหยี่ยวชะงักรู้สึกผิดที่ตัวเองเอาแต่พูดเล่นมากไปจนลืมความทุกข์ร้อนของน้ำริน
พลันมือถือของเหยี่ยวก็ดัง
“ว่ายังไงจ่า ยอดชัดมันไม่ยอมให้การอะไรสักอย่าง”
น้ำรินคิดนิดหนึ่ง แล้วรีบบอก
“ถ้าความฝันเมื่อคืนเป็นความจริง ยอดชัดเป็นหุ้นส่วนกับแม่ของฉัน ยอดชัดต้องรู้แน่ๆ ว่าฉันเป็นใคร คุณรีบไปสอบสวนมันสิ”
เหยี่ยวนิ่งคิดตามคำพูดของน้ำริน
เหยี่ยวกำลังสอบสวนยอดชัดอยู่ น้ำรินยืนอยู่ข้างๆ พลางพยายามจ้องมองรอยสักที่มือของยอดชัดให้มากกว่าที่เคยเห็นแต่กลับคิดไม่ออก
“ฉันรู้ว่าเดอะชลาธารยังมีหุ้นส่วนสำคัญอีกคนหนึ่ง ใคร?”
ยอดชัดปฏิเสธเสียงแข็ง “หุ้นส่วนที่ไหน ไม่มี”
เหยี่ยวพยายามระงับอารมณ์ ในขณะที่น้ำรินจ้องเขม็งรอคำตอบ
“ก็หุ้นส่วนคนที่มีลูกสาวชื่อ “น้ำ” ยังไงล่ะ”
ยอดชัดชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ยังทำเป็นใจดีสู้เสืออยู่
“ผมหิว เวลาหิวสมองไม่ทำงาน ขอกินของเยี่ยมก่อน”
เหยี่ยวจ้องหน้ายอดชัดอย่างหงุดหงิด ยอดชัดหยิบแก้วเครื่องดื่มมาดูดน้ำยั่วอารมณ์ เหยี่ยวแทบจะพุ่งเข้าไปกระชากตัว แต่นกน้อยขวางไว้
“ใจเย็นๆหมวด เดี๋ยวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
น้ำรินหันไปมองยอดชัด แล้วหันไปบอกเหยี่ยวด้วยความตกใจ
“แย่แล้ว...”
เหยี่ยวหันขวับไป เห็นยอดชัดนอนดิ้นอยู่กับพื้น น้ำลายฟูมปาก เอามือจับคอตัวเองทุรนทุราย
“ชะ ชะ ช่วย”
ยอดชัดยังพูดไม่ทันจบ มือที่เอื้อมขอความช่วยเหลือร่วงตกพื้น ตาเหลือกโพลง
เหยี่ยวกับนกน้อยรีบเข้าไปดูอาการ แล้วกันช่วยกันจับชีพจรและปั้มหัวใจทำการช่วยชีวิตเบื้องต้น
ทันใดนั้นน้ำรินเห็นพื้นห้องเป็นรอยแตกข้างๆร่างของยอดชัดพื้นธรณีแยกออกควันดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับแสงส้มราวกับลาวาเดือด มีมือมากมายโผล่พ้นขึ้นมาจากบ่อลาวาเหมือนคนกำลังแย่งกันตะเกียกตะกายขึ้นมาจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน รุมตะปบร่างของยอดชัดจนวิญญาณของมันออกจากร่าง
กลุ่มมือแย่งกันฉุดกระชากวิญญาณยอดชัดจนฉีกขาดเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ค่อยๆเลื่อนลงกลับสู่อเวจี พื้นธรณีเลื่อนปิดดั่งเดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
น้ำรินมองภาพนั้นอย่างหวาดกลัว
“พามันส่งโรงพยาบาล”
น้ำรินรีบพูดด้วยอาการยังช็อกกับภาพที่เห็น “ไม่ทันแล้วล่ะคุณ ฉันเห็นยอดชัดโดนฉีกวิญญาณลงนรกไปแล้ว”
เหยี่ยวมองน้ำรินอึ้งๆ พลางมองเห็นเครื่องดื่มไหลคาปากยอดชัด แล้วมองไปที่แก้วเครื่องดื่ม
“ใครเป็นคนส่งอาหารนี้”
บุรุษพยาบาลคนหนึ่งซึ่งกำลังคุยมือถืออยู่
“จัดการไอ้ยอดชัดเรียบร้อย กำลังจัดการรายต่อไป”
พยาบาลวิ่งตามมาเรียก “มารับคนไข้ทางนี้หน่อยค่ะ”
บุรุษพยาบาลหันหน้าที่สวมหน้ากากปิดปากและจมูกกลับมา ที่แท้มันคือคงคานั่นเอง
“มีคนไข้ที่ต้องไปรับอยู่แล้ว”
คงคาในคราบบุรุษพยาบาลพูดจบ ก็เดินออกไปทันที พลางมองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาเหี้ยม
คงคาในคราบบุรุษพยาบาลเดินมาถึงหน้าห้องธารา เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ก็ล้วงกระเป๋าเสื้อ แล้วเปิดประตูเข้าห้องไป ขณะที่สงครามกำลังเดินมาเยี่ยมธาราพอดี
คงคาในคราบบุรุษพยาบาลยืนอยู่ข้างเตียง พลางล้วงกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบเข็มฉีดยาที่มียาพิษบรรจุอยู่เต็มหลอดขึ้นมา จากนั้นก็เอื้อมมือไปจับขวดน้ำเกลือ แล้วจ่อเข็มฉีดยาจะเจาะขวดน้ำเกลือเพื่อฉีดยาพิษใส่
ทันใดนั้นได้ยินเสียงเคาะประตู คงคาชะงักหันขวับไป พยาบาลเปิดประตูเข้ามาตรวจเช็คความเรียบร้อยของธารา เมื่อเห็นว่ายังหลับปกติ จึงเดินออกไป
คงคาเดินออกจากห้องน้ำแล้วมองไปที่ประตูห้อง เห็นพยาบาลปิดประตูห้องแล้ว ก็เดินกลับมาข้างเตียงธาราอีกครั้ง ขณะกำลังจะกดฉีดยาพิษใส่น้ำเกลือ ก็ได้ยินเสียงพยาบาลพูดอยู่หน้าห้อง
“สวัสดีค่ะท่านผู้การ”
คงคาตกใจรีบร้อนจะฉีดยาพิษใส่น้ำเกลือ แต่พลาดทำกระบอกฉีดยาตกพื้นกระเด็นเข้าไปอยู่ใต้เตียง จึงรีบก้มจะเก็บ
อ่านต่อหน้า 4
ภพรัก ตอนที่ 2 (ต่อ)
สงครามเปิดประตูเข้าห้องมาแล้วมองไปทางธาราที่นอนหลับสนิทอยู่ลำพัง เท้าของสงครามยืนอยู่ไม่ห่างจากเข็มฉีดยาที่ตกอยู่ใต้เตียง
สงครามล้วงจะหยิบของจากกระเป๋าด้านในของเสื้อสูท แต่มือไปโดนปากกาที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตตกพื้น ใกล้ๆกับเข็มฉีดยา
ขณะกำลังจะก้มลงเก็บปากกา พลันก็ได้ยินเสียงของในห้องน้ำตกพื้น สงครามชะงักแล้วหันหน้ามองไป ก่อนที่ตจะลุกเดินไป เห็นประตูห้องน้ำปิดอยู่ จึงใช้มือผลักประตูเปิดออก เดินเข้าไปดูในห้องน้ำ
คงคาเดินเข้ามาจากระเบียงห้องรีบวิ่งไปไปเก็บเข็มฉีดยาที่อยู่ใต้เตียงเปิดประตูออกไป
สงครามออกจากห้องน้ำเฉียดฉิวกับที่คงคาเปิดประตูห้องออกไป เดินกลับที่เตียงของธารา แล้วก้มลงเก็บปากกาตัวเองที่ตกใต้เตียงซึ่งไม่มีเข็มฉีดยาอีกแล้ว
คงคาในคราบบุรุษพยาบาลกำลังเดินห่างจากห้องพักของธาราพร้อมคุยมือถือด้วยเสียงหวั่นกลัว
“ขอโทษครับนาย คราวหน้าผมไม่พลาดแน่ครับ”
สงครามเอาปากกาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต แล้วค่อยๆเลื่อนมือไปที่กระเป๋าด้านในเสื้อสูท แล้วหยิบดอกแก้วออกมา จากนั้นก็ค่อยๆยื่นช่อดอกแก้วจะไปไว้ในมือธารา แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจโยนช่อดอกแก้วใส่ถังขยะแทนแล้วหันหลังเดินออกจากห้องพักอย่างพยายามตัดใจ พร้อมๆ กับสียงมือถือดังขึ้น
“ว่ายังไงนะ”
สงครามกลับมาที่ห้องทำงาน พลางสอบถามเหยี่ยวกับนกน้อย แล้วเจ้าหน้าที่ทุกคน ด้วยสีหน้าเครียด
“ใครเป็นคนเอาอาหารให้ยอดชัด”
นกน้อยยอมรับเสียงสั่น “ผมครับ เป็นของเยี่ยมที่มาจากคนที่อ้างว่าเป็นญาติ”
สมเดชรีบถามทันที “ตรวจสอบก่อนรึเปล่า”
“ผมคิดว่าจ่าพนาตรวจแล้วครับ ผมเลยไม่ได้ตรวจ”
สงครามตบโต๊ะดัง ด้วยความโมโห “คุณใช้คำว่า “คิดว่า” เหรอ”
เหยี่ยวรู้ว่านกน้อยกลัวสงคราม จึงรีบออกรับแทน
“เป็นความผิดของผมเอง ถ้าผมตรวจสอบละเอียดกว่านี้คงไม่เกิดเรื่อง ท่านลงโทษตามวินัยได้เลยครับ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาแสดงตัวเป็นพระเอก ทุกคนจะต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนทั้งหมด รู้มั้ยว่าความมักง่ายแค่ไม่กี่วินาที ทำให้พวกค้ายานรกยังลอยนวล หรือต้องให้ญาติพี่น้องลูกเมียของคุณเจอภัยจากยา
เสพติดก่อน คุณถึงจะใส่ใจงานนี้มากขึ้น”
เหยี่ยวรีบหันไปมองนกน้อยอย่างห่วงใย เพราะรู้ว่าคำพูดของสงครามไปกระทบปมในใจบางอย่าง“ ท่านไม่พูดเกินไปหน่อยเหรอครับ ท่านคงลืมไปแล้วว่าพวกผมเสี่ยงลูกปืนไปจับไอ้ยอดชัดมา
พวกผมคงไม่บ้าอยากให้มันตายไปต่อหน้าต่อตาหรอก คิดว่าท่านทุกข์ร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้นคนเดียวเหรอ ยังมีคนอื่นที่เป็นทุกข์ ยิ่งกว่าท่านท่านแค่เสียผลงาน แต่คนอื่นเขาเสีย….”
นกน้อยทนไม่ไหวพูดเสียงดังขึ้นมา “ผมบอกให้พอไงครับหมวด”
เหยี่ยวชะงัก น้ำรินมองอย่างตกใจ ไม่คิดว่าคนขี้เล่นอย่างนกน้อยจะเสียงดังได้น่ากลัวอย่างนี้
นกน้อยเดินนำออกจากห้องทำงานของสงคราม เหยี่ยวกับน้ำรินเดินตามมา นกน้อยเดินหนี เพราะรู้ว่าเหยี่ยวไม่พอใจที่เขายอมรับผิด เหยี่ยวรีบเรียกไว้ นกน้อยหยุดเดิน แล้วหันมาฝืนพูดยิ้มๆ
“ขอโทษด้วยนะหมวดที่ผมเสียงดังใส่ ผมไม่อยากให้หมวดมีเรื่องกับ ผบ.สงคราม
เหยี่ยวมองอย่างรู้ทันว่านกน้อยไม่ได้ยิ้มแย้มจริง
“จ่า ผมรู้นะว่าจ่าไม่โอเค”
“ผมโอเค. ปั๊ดโธ่ หมวดทำอย่างกับผมไม่เคยโดนผู้การด่า ทำงานมาเกือบจะ20ปีแล้ว โดนแค่นี้จิ๊บๆ ไปก่อนนะหมวด ต้องรีบกลับไปจัดงานวันเกิดกับครอบครัว”
นกน้อยรีบเดินออกไป เหยี่ยวรีบเรียกไว้ น้ำรินมายืนตรงหน้า มองเหยี่ยวอย่างไม่เข้าใจ
“คุณจะต่อล้อความยาวสาวความยืดไปทำไม จ่าเค้าจะกลับไปจัดงานวันเกิดกับครอบครัว ปล่อยเค้าไปเถอะ”
“คุณไม่เข้าใจหรอกน่า”
พูดจบ เหยี่ยวก็เดินออกไป น้ำรินเดินตาม จังหวะเดียวกับที่แนนเดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนใจ
“เหยี่ยว เรารู้เรื่องทั้งหมดจากจ่าพนาแล้ว จ่านกน้อยเป็นยังไงบ้าง ?”
น้ำรินมองแนนอย่างรำคาญๆ
“กลับบ้านไปจัดงานวันเกิดแล้ว”
แนนที่รู้เรื่องประวัตินกน้อยเป็นอย่างดี มีสีหน้าเป็นห่วง
“จะปล่อยให้จ่าไปคนเดียวเหรอ งั้นเราไปหาจ่านกน้อยด้วยกันนะเหยี่ยว”
น้ำรินมองอย่างไม่เข้าใจ เหยี่ยวพยักหน้า
“ได้ แนนไปรอที่รถก่อนเดี๋ยวเราตามไป”
เหยี่ยวเห็นแนนเดินไปแล้ว จึงหันมามองน้ำริน
“ขอร้องละ เรื่องบางเรื่องซับซ้อนกว่าที่คุณเห็น”
น้ำรินมองเหยี่ยวอย่างหมั่นไส้ “ไม่เห็นจะซับซ้อน ก็แค่ข้ออ้างของผู้ชายที่จะไปพรอดรักกับผู้หญิง”
เหยี่ยวเอื้อมมือเหมือนจะไปบีบคอแล้วเขย่าน้ำรินให้หายหงุดหงิด แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายต้องหันมา
บีบคอตัวเองเป็นการระบายความเครียด แล้วรีบเดินออกไป น้ำรินรีบเดินตาม
เหยี่ยวเดินมาที่รถจักรยานเมาเทนไบค์ น้ำรินเดินตามมา
“แล้วคุณจะไปกันยังไงสองคน อย่าบอกนะว่าคุณจะปั่นจักรยานให้สุดที่รักซ้อนไป”
น้ำรินนึกถึงภาพแนนนั่งซ้อนจักรยานด้านหน้า โดยเหยี่ยวใช้มือจับแฮนด์ทำให้แนนนั่งกลางอ้อมกอดของเหยี่ยว แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาฉับพลัน
“ไปกันรึยังคะเหยี่ยว”
น้ำรินหันไปมองเห็นแนนเดินจูงจักรยานเมาเทนไบค์แบบเดียวกับเหยี่ยวเข้ามา
“ไปแวะซื้อของขวัญก่อนดีกว่า”
น้ำรินมองเหยี่ยวกับแนนพยักหน้ากันไปมาอย่างไม่เข้าใจว่าสื่ออะไรกัน แล้วมองจักรยานของทั้งคู่อย่างหมั่นไส้
เหยี่ยวกับแนนขี่จักรยานออกไปพร้อมกัน
น้ำรินมองทั้งคู่ขี่จักรยานคู่กันห่างออกไป แล้วมองตัวเองที่ยืนอยู่คนเดียว ด้วยความรู้สึกวูบๆ ในใจใจมันวูบแปลกๆ
น้ำรินเดินตามหลังเหยี่ยวกับแนน ที่ชี้ชวนกันดูของด้วยท่าทางที่สนิทสนมอย่างหมั่นไส้
เหยี่ยวเดินอย่างเร็วตามนิสัยคนใจร้อนเข้ามาในร้านกิ๊ฟช็อป น้ำรินรีบเดินตามมาแล้วบ่นอย่างเหนื่อยๆ ว่าเดินตามแทบไม่ทัน
เหยี่ยวส่ายหน้าเซ็งๆ “ในโลกนี้ จะมีใครเยอะเท่าคุณอีกไหม?”
แนนเดินตามเข้ามามีท่าทางเหนื่อยหอบเช่นกัน
“อยู่นี่เอง เดินช้าๆหน่อยสิ เราตามไม่ทัน”
น้ำรินยิ้มเยาะ “นี่ไง พูดเหมือนฉันเป๊ะ บ่นเขาสิ”
แนนจับที่หลังเท้า “พอดีวันที่ปลอมตัวเป็นหงส์ขาว เราโดนรองเท้าส้นสูงกัดเลยเดินไม่ค่อยถนัด”
เหยี่ยวกระซิบพูดย้อนน้ำริน “คนเจ็บขาไม่เรียกว่าเยอะ แต่เรียกว่ามีเหตุผล”
น้ำรินหมั่นไส้ที่เหยี่ยวเข้าข้างแนน
แนนเดินนำเหยี่ยวไปที่ชั้นวางตุ๊กตาหลายชนิด น้ำรินมองตามแล้วเบ้ปาก
“ผู้หญิงของคุณท่าทางจะรสนิยมบกพร่อง จ่านกน้อยเป็นผู้ชายไม่เล่นตุ๊กตาหรอก”
จากนั้นก็หันไปชี้ร้านนาฬิกาหรูที่อยู่ตรงข้าม “ไปซื้อนาฬิกาดีกว่าเหมาะกว่าเยอะ”
เหยี่ยวมองตามแล้วส่ายหน้า “ท่าทางจะแพง”
แนนมองป้ายราคาของตุ๊กตาแล้วหันมาบอก “450 บาท ไม่แพงนะเหยี่ยว”
เหยี่ยวรีบแก้ตัว “อ๋อ เออ ไม่แพง แนนว่าตุ๊กตานี่น่ารักเหรอ ?”
แนนพยักหน้ายิ้มๆ น้ำรินหมั่นไส้ แล้วแกล้งมองหาของอย่างอื่นมาเกทับ แต่สุดท้ายเหยี่ยวก็ซื้อของตามที่แนนเลือก
แนนถือตุ๊กตาสีชมพู ที่ตัวเองเลือกเดินผ่านร่างของน้ำรินไป น้ำรินพาลที่แพ้จึงรู้สึกว่าแนนเดินผ่านตัวเองเหมือนเดินเย้ยหยาม
“ฉันอยากกลับบ้าน ฉันอยากกลับบ้าน สั่งฉันให้ไปที่บ้านเดี๋ยวนี้”
เหยี่ยวมองน้ำรินที่เจ้าอารมณ์อย่างเซ็งๆ
น้ำรินเดินเข้าประตูรั้วบ้านเหยี่ยวเข้ามาด้วยอารมณ์หงุดหงิด จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุผล”
น้ำรินชะงักว่าเสียงใคร พลางรู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่ข้างหลัง จึงค่อยๆหันหน้าไปมอง ผียายปริกพยายามยิ้มให้น้ำริน แต่ดูเหมือนแยกเขี้ยวขู่มากกว่า
“คิดถึงฉันมั้ย ?”
น้ำรินตกใจรีบถอยห่าง “อย่าทำอะไรฉันเลยนะ วันนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปเขตของป้านะคะ”
“เรื่องวันนั้นฉันไม่โกรธหรอก แต่จะโกรธก็ตอนหล่อนเรียกว่าป้านี่แหละ ป้าที่ไหนจะหน้าเด้งเป็นก้นเด็กแบบนี้”
น้ำรินไม่รอช้า จะหนีเข้าบ้าน ทันใดนั้นผียายปริกก็เดินผ่านประตูบ้านออกมายืนดักตรงหน้า น้ำรินรีบวิ่งไปปิดประตูรั้วบ้านเพื่อจะหนี แต่ปิดเท่าไรก็ปิดไม่ได้
ผียายปริกนั่งเก้าอี้ไขว่ห้างใช้พัดขนนกนั่งเป็นคุณหญิงดักหน้าอยู่หน้าบ้าน น้ำรินจะวิ่งหนีเข้าบ้านอีกรอบ ผียายปริกใช้พัดขนนกขวางทางไว้
"หยุดหนีฉันได้แล้ว ฉันอุตส่าห์ทำตัวติงต๊องเอาฮา อยากให้หล่อนขำแล้วนะ”
“เจอผีตามแบบนี้ ใครจะไม่เครียด ขอร้องล่ะ อย่าตามฉันเลยนะ”
ผียายปริกส่ายหน้า แล้วหัวเราะ “ไม่ได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุผล”
“แต่ฉันไม่มีเหตุผลที่จะเจอป้า”
“ป้าอีกแล้ว!! เดี๊ยะๆๆ “ ผียายปริกโวยวาย
“แล้วจะให้เรียกว่าอะไร เรียกน้องรึไง”
“เอาวะ ป้าก็ป้า หล่อนไม่อยากเจอฉันก็ไม่เป็นไร แค่ฉันอยากเจอหล่อนก็พอ”
น้ำรินมองอย่างงงๆ “จะอยากเจอฉันทำไม ?”
ผียายปริกมองน้ำรินอย่างจริงจัง
“แม้กายจะดับสูญแต่ความรักในหัวใจไม่เคยสลาย”
น้ำรินยิ่งงงหนัก จู่ๆ ผียายปริกก็ผละไป แล้วจู่ๆ ก็กลับมาอีก
“ที่มาก็เพื่อจะให้รู้ว่าฉันไม่ได้คิดจะทำร้ายหล่อน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลในตัวของมันเอง หล่อนกับฉันผูกพันกัน หล่อนหนีฉันไม่พ้นหรอก เพราะฉะนั้นเลิกกลัวฉันได้แล้ว”
ผียายปริกเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ที่ต้นไม้ด้านข้างส่งให้ น้ำรินเห็นแล้วตกใจมาก
“คราวนี้ไปจริงละ บ๊ายบาย”
พลางหย่อนดอกไม้ลงในมือน้ำริน ตอนแรกน้ำรินก็รับดอกไม้นั้นได้ แต่เมื่อผียายปริกออกไปไกลและหายไปจากบริเวณนั้น ดอกไม้ในมือก็กลับร่วงลงพื้น...
น้ำรินมองภาพนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“เหยี่ยวไปงานวันเกิดของไอ้จ่า ? จ่านกน้อยเกิดวันนี้เหรอ ?ทำไมเหยี่ยวไม่บอกยาย”
ยายนวลพูดกับน้ำรินหลังจากรู้แล้วว่าเหยี่ยวจะไปงานวันเกิด
น้ำรินพึมพำเบาๆ “คงกลัวต้องดูแลยายจนไม่มีเวลาจู๋จี๋น่ะสิ เป็นหลานที่ดีต้องดูแลยายถึงจะถูก ยายอยากไปงานมั้ยเดี๋ยวหนูพาไป”
“อย่าเลย ยายไม่อยากไปเป็นภาระ”
“ภาระอะไรที่ไหนล่ะคะ ผู้หมวดพูดกับหนูตลอดเวลาว่าการดูแลยาย คือความสุข”
ยายนวลยิ้มแป้น “เออ ไอ้หลานคนนี้ มันปากหวานจริงๆ”
จากนั้นน้ำรินก็เซ้าซี้จนยายนวลยอมไปจนได้
“แต่หนูรบกวนนิดนึง หนูไปไหนไม่ได้ถ้าหมวดไม่เรียกไป ยายโทรบอกให้หมวดเรียกหนูไปงานหน่อย
สิคะ”
น้ำรินยิ้มมีความสุขที่จะได้เอายายนวลไปขวางเหยี่ยวกับแนน พลันปลาทูกับปูอัดเปิดประตูเข้าบ้านมา แล้วถามหาข้าวกิน น้ำรินได้ทีรีบบอกให้ยายนวลชวนทั้งคู่ไปงานด้วย
ปลาทูกับปูอัดคึกคักรีบจูงยายนวลเดินออกจากบ้าน น้ำรินมองตามแล้วยิ้มสนุก
“หมวดเก๊ก อย่าหวังจะหาความสุขได้เลย ชิ”
จ่านกน้อยกำลังติดสายรุ้งในบ้านด้วยสีหน้ามีความสุข
“แก่อีกปีแล้วนะแต่การแก่ไม่ใช่เรื่องผิด เหมือนอย่างขิงไง ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน”
ปูอัด ปลาทู เดินร้องเพลงเข้ามา น้ำรินเดินตามยายนวลมาติดๆ
“สุขสันต์วันเกิด จ่านกน้อย”
นกน้อยยืนมองทุกคนอึ้งๆ “มากันได้ยังไง”
ปลาทูกับปูอัดซุบซิบอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ค่อยๆย่องผ่านหลังนกน้อยขึ้นบันไดไปชั้น 2 ยายนวลรีบบอก
“วันเกิดแกทั้งทีจะไม่มาอวยพรได้ยังไง”
“ยายรู้มาจากไหน ?”
“ก็รู้จากยายหนูนี่ไง”
พูดพร้อมกับชี้ไปทางน้ำริน นกน้อยมองไป แล้วก็งงว่ายายนวลชี้ใคร
เหยี่ยวกับแนนถือกล่องของขวัญเข้ามา พอเห็นน้ำรินยืนยิ้มอยู่ข้างๆยายนวลแล้วชะงัก
“มากันได้ยังไง”
“ยายโทรบอกเหยี่ยวแล้วไง เหยี่ยวยังบอกโอเค..โอเค”
เหยี่ยวงง “ผมไปบอกตอนไหน”
น้ำรินยิ้มเย้ยๆ “ก็บอกตอน…”
พลางย้อนเล่าถึงตอนที่เหยี่ยวยืนคุยมือถือกับยายนวล
“จะพาเยอะไปงานวันเกิดใครนะครับ ฮัลโหล..ยายผมไม่ค่อยได้ยินฮัลโหล เอาอย่างนี้ ตามใจยายแล้วกัน ผมยอมให้เยอะไปกับยายด้วย”
เหยี่ยวฟังน้ำรินเล่า แล้วชักสีหน้าไม่พอใจ
“เฮ้ย ก็ตอนนั้นมือถือมันไม่มีสัญญาณ ลักไก่นี่หว่า”
ยายนวลโวยกลับ “แกกล้าว่ายายรึไอ้เหยี่ยว”
เหยี่ยวส่ายหน้า “เปล่านะยาย แต่ถ้ารู้ว่าจะมางานนี้ ผมไม่ให้มาเด็ดขาด”
น้ำรินเบ้ปาก “อกตัญญู กลัวยายจะมาเป็นก้างขวางคอไอ้หลานเห็นแก่ตัว”
ทันใดนั้นเสียงมือถือของนกน้อยดังขึ้น พอเห็นชื่อเบอร์ ที่โทรเข้ามา ก็ถึงกับช็อก
“เป็นอะไรจ่า ?” แนนถามอย่างสงสัย
“นกยูงโทรมา”
เหยี่ยว แนน ยายนวล ตกใจหันมามองหน้ากัน น้ำรินมองอย่างงงๆ
“ใครคือนกยูง ?”
อ่านต่อตอนที่ 3