xs
xsm
sm
md
lg

อนิลทิตา ตอนที่ 20 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อนิลทิตา ตอนที่ 20 อวสาน

จักราเดินรีบร้อนเข้ามาในห้องโถงเรือนใหญ่ พบว่าเจ้าดาเรศรออยู่แล้ว

“คุณดา”
จักราตรงเข้าไปหา มองซ้ายแลขวาไม่เห็นมีคนอื่นอยู่ด้วยเลยก็นึกสงสัย
“คุณดาอยู่คนเดียวเหรอครับ”
“ค่ะ เจ้าพ่อกับกระถินไปจัดการเรื่องศพที่วัด คุณจักรขึ้นไปข้างบนเถอะค่ะ รูปคุณโฉมยังอยู่ในห้อง”
ดาเรศเดินนำจักราไป

จักราเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนโฉมสุรางค์ เจ้าดาเรศเดินตามเข้ามา
ทั้งคู่ตรงไปที่หน้าห้องลับ จักราเปิดกลไกห้องลับ ประตูเปิดออก จักรามองหน้าเจ้าดาเรศ พยักหน้าให้กัน แล้วก้าวเข้าไป
สองคนเข้ามาในห้องแล้ว บรรยากาศวังเวง มืดสลัว น่าขนลุก ขนชัน จักราเดินมาหยุดต่อหน้ารูปอนิลทิตา มองรูปด้วยสายตาลึกซึ้ง อารมณ์ความรู้สึกปนเปหลากหลาย ทั้งสงสาร ทั้งหนักใจ
“คุณโฉม...แม่หญิงอนิลทิตา ขอให้เราหมดเวรหมดกรรมกันแต่เพียงเท่านี้นะครับ”
แววตาในรูปอนิลทิตามองจักราอย่างเย้ยหยัน จักราเอื้อมมือไปจับที่กรอบรูป เทียนที่หน้าแท่นทำพิธีติดวาบขึ้น เจ้าดาเรศตกใจหันไปดู
“คุณจักรคะ”
จักราหันไปตามเสียงสายตาเจ้า เห็นเทียนติดๆดับๆอยู่
“เกิดอะไรขึ้น”
จักราขยับรูป ดึงจะให้หลุดออกจากผนัง แต่รูปไม่ขยับ เหมือนกับรูปนั้นหนักมาก
ระหว่างนี้กริชวางอยู่บนพาน ค่อยๆ ขยับ ลอยขึ้น แล้วพุ่งตรงมาใส่จักรา เจ้าดาเรศเห็นพอดี ผลักจักราออก
“คุณจักร ระวังค่ะ”
จักรากระเด็นห่างออกไป กริชปักไปที่ผนังดังฉึก
แท่นพิธีเริ่มขยับเหมือนแผ่นดินไหว ข้าวของหล่นเกลื่อนกล่น เจ้าดาเรศมองอย่างหวาดกลัว หัวกวางที่แขวนอยู่บนผนัง ขยับจะหล่นลงมาใส่เจ้าดาเรศ จักราเห็นก่อนรีบดึงตัวเจ้าออกทัน
เจ้าดาเรศร้องกรี๊ด เขากวางนั้นเฉียดแขนเจ้าดาเรศเป็นรอยแดงเลือดซิบ เขาหล่นลงพื้นแตกกระจาย
“วิญญาณของคุณโฉมอาละวาดแน่ๆ เลยค่ะ”
จักรามองไปรอบๆ ท่าทีหวาดหวั่นไม่น้อย
“หยุดนะครับ พอเถอะครับคุณโฉม”
ใบหน้าอนิลทิตาในรูป จ้องเขม็งมาที่สองคนอย่างโกรธแค้น ในห้องสั่นสะเทือนมากขึ้น
“เรารีบเอารูปคุณโฉมออกไปเถอะค่ะ”
จักราเอาสายสิญจน์ของนายิกีออกมา แล้วพันที่รูปทันที เสียงโฉมสุรางค์กรีดร้องดังโหยหวน ทุกอย่างในห้องสงบลง จักรากับเจ้าดาเรศลองขยับรูปอีกครั้ง รูปเขยื้อนหลุดออกจากผนังได้
ทั้งคู่ช่วยกันยกรูปอนิลทิตาออกไป
รถของรชาแล่นเข้ามาจอดที่ลานโล่งแห่งนี้ รชากับเจ้าพงษ์นครลงจากรถ และประคองนายิกีที่สะพายย่ามลงมา
“แม่เฒ่าไม่น่ารีบออกจากโรงพยาบาลเลยนะครับ น่าจะอยู่ต่ออีกซักหน่อย”
เจ้าพงษ์นครเป็นห่วง “นั่นนะสิครับ ดูอาการแล้ว แม่เฒ่าจะไหวเหรอครับ”
นายิกีน้ำเสียงเด็ดขาด
“ข้าต้องรีบจัดการกับดวงวิญญาณของนังโฉม ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้มันจะยิ่งมีกำลังมากขึ้น”
เจ้าพงษ์นครเข้าใจแม่เฒ่า แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
“ของที่ข้าสั่งไว้จัดการเรียบร้อยหรือยัง”
“ทางนี้ครับ”
รชาเดินนำไป เจ้าพงษ์นครประคองนายิกีตามติดๆ

เชิงตะกอนไม้ถูกเตรียมไว้ตรงมุมหนึ่งของลานโล่งนี้ มีรูปวาดอนิลทิตาวางนอนอยู่เตรียมจะเผา ห่างออกมาไม่มากนัก นายิกี จักรา เจ้าดาเรศ รชา และเจ้าพงษ์นครนั่งอยู่ในวงกลมเทียนที่จุดไว้แล้ว
“ถึงเวลาแล้ว จะได้จบสิ้นกันซักที”
นายิกีซึ่งร่างกายยังอ่อนแออยู่ พนมมือหลับตาท่องคาถา ทุกคนรอลุ้นอย่างตื่นเต้น
แม่เฒ่าค่อยๆ ลืมตาขึ้น ปากยังขมุบขมิบท่องคาถาอยู่ แล้วหยิบเทียนสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาจุดต่อไฟจากเทียนที่ตั้งอยู่รอบตัว แล้วโยนเทียนลงไปที่เชิงตะกอน
ไฟไหม้ไหลวนเป็นเกลียวไปรอบเชิงตะกอนวนขึ้นไปสามรอบ เปลวไฟไหลลามไปจนถึงรูปวาดอนิลทิตาที่อยู่บนสุดของเชิงตะกอน ไฟลุกไหม้จนท่วมเชิงตะกอน ในวงเทียน เจ้าดาเรศมองไปที่รูปด้วยสายตาสงบนิ่ง จักรามองไปที่รูปด้วยสายตาอโหสิกรรม
“ผมขออโหสิกรรมให้คุณนะครับคุณโฉม”
รูปวาดอนิลทิตา ไม่ไหม้ ยังเหมือนรูปวาดปกติทุกอย่าง เมฆดำลอยเลื่อนเข้ามาทุกทิศทุกทาง ท้องฟ้าปั่นป่วน ลมกรรโชกแรง เกิดฟ้าร้องดังครึนๆ ทุกคนแหงนเงยหน้ามองฟ้า
“เหมือนฝนกำลังจะตก” เจ้าดาเรศว่า
สีหน้านายิกีประหลาดใจนัก “เอ๊ะ”
นายิกีพยายามพยุงตัวลุกขึ้น จักราเข้ามาประคอง
“มีอะไรเหรอครับแม่เฒ่า...”
จักราถามไม่ทันขาดคำ รูปวาดอนิลทิตาก็ตั้งขึ้นมาท่ามกลางกองเพลิง ทุกคนตกใจรีบลุกขึ้นยืน ยกเว้นนายิกี
“ดูรูปคุณป้าสิครับ” เจ้าพงษ์นครบอกทุกคน
ทุกคนมองไปที่รูปอนิลทิตา พริบตานั้นเองเม็ดฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมา
ไฟบนเชิงตะกอนค่อยๆมอดดับลง เหลือแต่รูปวาดอนิลทิตาตั้งเด่น แววตาในรูปเหี้ยมโหด
รชาตกใจ “ไฟดับแล้ว นังแม่มดมันยังไม่ยอมแพ้จริงๆ ด้วย”
“จิตของมันยังอยู่ อาคมของมันแข็งนัก”
นายิกีหลับตา พนมมือท่องคาถา
“มันไม่มีทางเก่งไปกว่าข้าได้หรอก”
เสียงฟ้าร้องดังครึนๆ แสงจากสายฟ้าแลบแปลบปลาบ สว่างวาบไปทั่วพื้นที่ ใบหน้าในรูปวาดอนิลทิตา ดวงตาแข็งกร้าว และเห็นสายฟ้าฟาดลงพื้น ตรงนั้นที ตรงโน้นที
“แกเสร็จข้าแน่นังอนิลทิตา”
นายิกีพูดจบ สายฟ้าก็ฟาดเข้าใส่รูปวาดอนิลทิตา ขาดเป็นสองท่อน ทว่ามีควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากรูปวาดนั้นทันที แล้วพุ่งตรงเข้าชนร่างนายิกีลอยลู่ไปกับพื้นห่างออกไป ทั้งหมดตกใจ รีบวิ่งตามไป

ร่างนายิกีหล่นนอนกองกับพื้น สลบไป ควันสีดำลอยหายไปในดงไม้ รชาเข้ามาประคองแม่เฒ่าขึ้น
“แม่เฒ่าแย่แล้ว ช่วยแม่เฒ่าด้วย”

จักราขับรถมาด้วยความเร็วสูง เจ้าพงษ์นครนั่งคู่ แม่เฒ่านายิกีนั่งอยู่หลังคนขับในอ้อมกอดของเจ้าดาเรศ บาดเจ็บสาหัส อาการร่อแร่ มีรชาอยู่ข้างๆ ด้วย
“ข้าคงไม่รอดแน่ ไม่ต้องพาข้าไปโรงพยาบาล
เจ้าดาเรศร้อนรน “ไม่ค่ะ แม่เฒ่าต้องรอด แม่เฒ่าต้องไม่เป็นอะไร”
จักราเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น
มีควันดำดวงจิตอนิลทิตาลอยอยู่บนท้องฟ้า ตามรถของจักราไปท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน
เจ้าพงษ์นครจากกระจกมองหลัง เห็นควันดำดวงจิตอนิลทิตาลอยตามมา
“แย่แล้ว”
จักรางง “มีอะไรครับ”
“วิญญาณคุณป้าตามมาแล้วครับ”
รชาหันไปดูข้างหลัง ตกใจ
“จริงด้วย ไอ้จักร เร็วเข้า”
รถแล่นเร็วขึ้นไปอีก

ควันดำดวงจิตอนิลทิตาพุ่งตรงเข้าที่หลังคารถของจักราทันที นายิกีหลับตาทำสมาธิ ท่องคาถา
เกิดแสงสว่างวาบขึ้นป้องกันรถของจักราไว้ ควันดำดวงจิตอนิลทิตาถูกรัศมีป้องกันกระเด็นออกไป ม้วนตัวเป็นใบหน้าอนิลทิตาลอยคว้างอยู่บนอากาศแววตาโกรธจัด
นายิกีเหนื่อยหอบ
“เร็วหน่อยค่ะคุณจักร แม่เฒ่าจะแย่แล้ว”
จักราเหยียบคันเร่ง จ้องมองกระจกหน้ารถ ขับรถด้วยความมุ่งมั่น แต่แล้วก็ต้องชะงักร้องอย่างตกใจ
“คุณโฉม”
ทุกคนในรถมองไปตามเสียงของจักราที่ถนน เห็นอนิลทิตาในชุดเขมรโบราณสีดำ ตัวใหญ่บังถนนไว้อยู่
เจ้าดาเรศร้องด้วยความตกใจ

“ระวังค่ะคุณจักร”

จักราชะลอความเร็วรถและทำท่าจะเบรก แม่เฒ่านายิกีรีบพูดขึ้น

“เอานี่ไป”
พร้อมกันนั้นแม่เฒ่ารีบถอดสร้อยประคำที่สวมประจำอยู่ที่คอออก ส่งให้เจ้าดาเรศ
“ปาใส่มัน”
เจ้าดาเรศรับสร้อยประคำแล้วส่งให้เจ้าพงษ์นครที่นั่งอยู่ข้างคนขับ ใบหน้าอนิลทิตาพุ่งตรงมาอย่างแรง เจ้าพงษ์นครเปิดกระจกรถ แล้วปาสร้อยประคำออกไปใส่ในจังหวะที่หน้าอนิลทิตาชนปะทะรถของจักราพอดี
อนิลทิตากรีดร้องโหยหวน ควันดำดวงจิตของนางแตกกระจายไป นายิกีกระอักเลือดออกมา
“แม่เฒ่า อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับ กำลังจะถึงโรงพยาบาลแล้ว” รชาร้อนรุ่มไปหมด
“ข้ารู้ตัวดี ข้าไม่รอดแน่ หมอช่วยอะไรข้าไม่ได้ พาข้ากลับไป ข้ามีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ”
พอเห็นทุกคนลังเล นายิกีก็สั่งเสียงเข้ม “ทำตามที่ข้าสั่งเดี๋ยวนี้”
จักราตัดสินใจเลี้ยวรถกลับทางเมาน์เทนรีสอร์ท

รุ่งเช้า สองคนช่วยกำลังช่วยกันขึงสายสิญจน์รอบรีสอร์ท มือรชาขึงสายสิญจน์ กระถินก็กำลังขึงสายสิญจน์ สองคนช่วยกันมัดสายสิญจน์
กระถินนั้นเครียดมาก “สายสิญจน์จะช่วยได้จริงๆ เหรอคะคุณรชา”
“ได้สิครับ แม่เฒ่าให้เอามาล้อมรีสอร์ทไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณโฉมเข้ามา”
กระถินหวั่น กลัวไม่หาย
“แล้วเราจะอยู่ในนี้กันตลอดไปเลยเหรอคะ ถ้าวันไหนเราออกไปข้างนอกก็คงตายแน่ๆ”
รชาครุ่นคิด เจ้าพงษ์นครถือม้วนสายสิญจน์เดินเข้ามาสมทบ และได้ยิน
“นั่นนะสิครับ ตอนนี้แม่เฒ่าก็เจ็บหนัก ไม่มีแรงสู้กับคุณป้าได้หรอกครับ”
ทั้งหมดกลุ้มหนัก

เจ้าดาเรศยืนชะเง้ออยู่หน้าประตู มองเข้าไปในห้องนายิกี เห็นแม่เฒ่านอนทำสมาธิอยู่บนเตียงท่าทางอ่อนแรงเต็มที เจ้าดาเรศสงสารเดินห่างออกมา

เจ้าดาเรศมาสมทบกับ จักรา เจ้าพงษ์สุริยัน เจ้าพงษ์นคร และกระถิน ซึ่งนั่งหารือกันอยู่ที่มุมหนึ่งในสวนรีสอร์ท
“อาการแม่เฒ่ายังไม่ดีขึ้นเลยค่ะ”
เจ้าพงษ์สุริยันครุ่นคิด ก่อนเอ่ยขึ้น
“ไหนๆ ผมกับลูกดาก็จะลงไปกรุงเทพฯอยู่แล้ว ผมคิดว่าเราพาแม่เฒ่าไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ ดีกว่าครับ”
กระถินตกใจ พูดโพล่งขึ้นมา
“ออกไปข้างนอก...คุณโฉมรอฆ่าเราอยู่นะคะเจ้า”
เจ้าพงษ์นครเห็นด้วย “ใช่ครับเจ้าลุง ตอนนี้เราอยู่ในสายสิญจน์ ขืนออกไปเราได้ตายกันหมดแน่”
“แต่แม่เฒ่าเจ็บหนักขนาดนี้ ผมว่าเราจำเป็นต้องเสี่ยง”
ทุกคนอยู่ในห้องพักนายิกีแล้ว พยายามเกลี้ยกล่อม แต่นายิกีพูดออกมาเสียงแผ่วเบา
“ไม่ ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะจัดการกับนังแม่มดอนิลทิตาให้ได้ก่อน”
“แต่แม่เฒ่าบาดเจ็บมากนะครับ ถ้าแม่เฒ่ายังเจ็บอยู่แบบนี้จะสู้กับคุณโฉมได้ยังไง” จักราทักท้วง
นายิกีนิ่ง
“ถ้าไม่ไป แล้วแม่เฒ่ามีวิธีไหนบ้างมั้ยครับที่พวกเราจะช่วยแม่เฒ่าได้”
นายิกีนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง พยักหน้ารับ
“เวลาของข้าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว แต่ข้าต้องจัดการกับนังแม่มดให้สำเร็จ...เพราะฉะนั้นพวกเจ้าต้องช่วยต่อชีวิตของข้า”
ทุกคนมองหน้านายิกี เห็นแววตาหมายมั่นของแม่เฒ่า

ใต้ต้นโพธิ์วัดแห่งหนึ่ง เวลาตอนกลางวัน เห็นมีพระพุทธรูป เทวรูป กุมาร ที่ชำรุดเสียหายวางไว้โคนต้น พระสงฆ์ยืนอยู่รูปหนึ่ง จักรากับดาเรศนั่งอยู่ต่ำลงมา
จักราพนมมือ “นมัสการครับหลวงพ่อ กระผมต้องการต่อเศียรพระพุทธรูปเพื่อต่อชะตา สร้างบุญกุศลให้กับแม่เฒ่านายิกีครับ”
หลวงพ่อมีสีหน้าสงบนิ่ง เปี่ยมเมตตา
“อนุโมทนาด้วยโยม”

จักราลุกขึ้นไปเลือกพระพุทธรูปที่ชำรุดจากโคนต้นโพธิ์มา 1 องค์

อ่านต่อหน้า 2

อนิลทิตา ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)

วันต่อมา จักรายกพระพุทธรูปองค์ที่เขานำเอามาจากใต้ต้นโพธิ์ ซึ่งซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประเคนถวายพระสงฆ์ เจ้าดาเรศถวายเครื่องสังฆทานตาม พระสงฆ์เริ่มสวดชยันโต

เสียงสวดชยันโตอันเข้มขลังยังดังต่อเนื่อง นายิกีอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิอยู่ในห้องพัก จิตใจสงบนิ่ง แสงธรรมสีทองลอยเข้ามาใส่ตัวนายิกี เสียงสวดชยันโตจบลง

บนศาลาในวัดอีกแห่งหนึ่ง รชากับกระถิน พนมมืออยู่ต่อหน้าพระสงฆ์ มีพระพุทธรูปที่ชำรุดวางอยู่ตรงหน้า
“แม่เฒ่านายิกีอาการสาหัสมาก พระคุณเจ้าช่วยต่อชะตาให้แม่เฒ่าด้วยครับ”
รชาประเคนพระพุทธรูปที่ซ่อมเสร็จแล้วให้พระสงฆ์ มีกระถินถวายดอกไม้และปัจจัย พระสงฆ์เริ่มสวดชยันโต
เสียงสวดยังดังอยู่อย่างนั้น พร้อมๆ กับแสงธรรมสีทองลอยเข้ามาใส่ตัวนายิกีเพิ่มขึ้น ใบหน้าแม่เฒ่า ผ่องใสขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เสียงสวดชยันโตจบลง
ทางฝ่ายจักรากับเจ้าดาเรศเดินมาด้วยกัน สีหน้าแววตาจักรามุ่งมั่น แต่แฝงไปด้วยความกังกล
“ผมหวังว่าเราจะช่วยแม่เฒ่าได้สำเร็จ”
เจ้าดาเรศนิ่งคิดก่อนตอบด้วยความเชื่อมั่น
“ดาเชื่อว่าความดีต้องชนะความชั่วค่ะ ยังไงพระก็ต้องคุ้มครองคนดี”
สีหน้าจักราดีขึ้น เชื่อมั่นอย่างนั้นเช่นกัน
เช้าวันนี้ ยินเสียงสวดชยันโต ดังคลอไปทั่วโบสถ์หลังนี้ จักรา เจ้าดาเรศ มาทำพิธีต่อชะตาให้นายิกี
รชา และกระถิน ทำบุญถวายพระพุทธรูปให้พระสงฆ์ในวัดอีกแห่ง เจ้าพงษ์นคร กับพงษ์สุริยัน ทำพิธีต่อชะตาให้นายิกี ทุกคนร่วมแรงใจสลับกันทำบุญต่อชะตาให้นายิกีจนครบทั้ง 9 วัด
แม่เฒ่านายิกีนั่งทำสมาธิอยู่ แสงธรรมสีทองลอยเข้ามาหานายิกี ใบหน้าแม่เฒ่าสดใสขึ้นถนัดตา

กลับจากวัด จักรากับดาเรศเดินเข้ามาที่ล็อบบี้ ในมือของจักราถือขวดน้ำมนต์มาด้วย
“เราทำพิธีต่อชะตาให้แม่เฒ่าจนครบเก้าวัดแล้ว น้ำมนต์จากเก้าวัดก็ได้มาแล้ว” จักรามีความหวัง “อาการของแม่เฒ่าคงจะดีขึ้นนะครับ”
รชา กระถินเดินเข้ามา ในมือของรชาถือโหลใส่น้ำตาเทียนมาด้วย
“เรียบร้อยมั้ยคะคุณรชา” เจ้าดาเรศหันไปทัก
“เรียบร้อยครับ แล้วก็นี่น้ำตาเทียนจากเก้าวัด”
กระถินเอ่ยขึ้น “ทีนี้ก็รอแต่เจ้าพงษ์สุริยันกับเจ้าพงษ์นครกลับมาพร้อมกับผงธูป”
เจ้าพงษ์สุริยันกับเจ้าพงษ์นครเข้ามาพอดี ในมือเจ้าพงษ์นครถือห่อใส่ผงธูปอยู่
“ผงธูปก็ได้แล้วครับ อยากรู้จังแม่เฒ่าจะเอาไปทำอะไร”
สีหน้าพงษ์นครนึกสงสัย

แม่เฒ่านายิกีนั่งสมาธิอยู่ สีหน้าผ่องใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังมีอาการอ่อนแรงอยู่ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทุกคนเข้ามาหา วางโหลน้ำตาเทียน ขวดน้ำมนต์ ห่อผงธูปไว้ตรงหน้านายิกี
“นี่ครับ ของที่แม่เฒ่าต้องการ” จักราบอก
“ขอบใจพวกเจ้ามาก ข้าจะรวบรวมพลังอีกครั้ง แล้วไปจัดการกับนังอนิลทิตา”
เจ้าพงษ์นครสงสัยยิ่งนัก “แม่เฒ่าจะทำยังไงกับคุณป้าครับ”
“วิญญาณของนังอนิลทิตามันอาฆาตแรงนัก จะปราบมันก็ทำไม่ ได้ วิธีเดียวที่จะหยุดวิญญาณมันได้ ข้าจะจับวิญญาณของมันจองจำไว้ไม่ให้ออกไปทำร้ายใครได้อีก”
เจ้าพงษ์สุริยันตกใจ
“จองจำวิญญาณ หมายความว่าคุณโฉมต้องทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเลยสิครับ”
เจ้าพงษ์สุริยันใจหาย สุดท้ายอดสงสารโฉมสุรางค์ไม่ได้
“ทางเดียวที่นังอนิลทิตาจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรม มันต้องลด ละ เลิก ความโกรธอาฆาตแค้นในใจ แล้วตั้งจิตเป็นกุศล ดวงวิญญาณของมันก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี แต่ถ้ามันยังมีจิตพยาบาท มันก็ต้องตกอยู่กับความทุกข์ทรมานไม่ได้ผุดได้เกิด”
ท่าทีแม่เฒ่านายิกีเหนื่อยอ่อน ทุกคนจึงปล่อยให้นางพักผ่อน

จักราทอดถอนใจอยู่มุมหนึ่ง ด้วยความสงสารโฉมสุรางค์ เจ้าพงษ์สุริยันเดินเข้ามาหา
“คิดเรื่องคุณโฉมอยู่เหรอครับ”
“ครับ ผมอดสงสารคุณโฉมไม่ได้ ทุกอย่างที่คุณโฉมทำไปก็เพราะรักผม เลยทำให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์ขนาดนั้น ผมรู้ว่าคุณโฉมผิด แต่ไม่รู้จะช่วยเธอยังไง”
เจ้าพงษ์สุริยันครุ่นคิด
“ถ้าสงสาร ทางเดียวที่เราจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เราควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณโฉม”
จักราแววตาเศร้า
“ก็ดีครับ...ดีกว่าเราไม่ทำอะไรเลย”

สีหน้าชายหนุ่มหมองเศร้า อมทุกข์หนัก

อ่านต่อตอนต่อไป

ตกตอนกลางคืน เจ้าพงษ์นครส่องไฟฉายในมือสาดส่องไปทั่ว ขณะกำลังเดินตรวจเช็คสายสิญจน์รอบๆ เมาน์เทนรีสอร์ท สีหน้าชายหนุ่มพอใจที่พบว่าทุกอย่างยังเรียบร้อยเหมือนเดิม

เจ้าพงษ์นครเดินเข้ามาหาเจ้าดาเรศในล็อบบี้
“สองสามวันมานี่ ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดีมาก ไม่มีวี่แววว่าคุณโฉมจะออกมารบกวนพวกเรา”
“หรือว่าคุณโฉมจะยอมแพ้ ยอมไปผุดไปเกิดแล้วคะเจ้าพี่” เจ้าดาเรศคิดในแง่งาม
“ไม่น่าเป็นไปได้นะคะ คนที่เฝ้ารอความรักมา 300 ปีกว่าจะได้พบ ไม่น่าจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
รชาเดินเข้ามาพอดี
“ใช่ครับ อย่าเพิ่งวางใจกันเลยครับ ผมว่าที่คุณโฉมเงียบไป คุณโฉมเตรียมการจะทำอะไรอยู่ต่างหาก”
ทุกคนครุ่นคิด หนักใจ และเป็นกังวลพอกัน

ควันสีดำ อันเป็นดวงจิตอนิลทิตาลอยตรงมาหยุดเหนือเมาน์เทนรีสอร์ท แล้วม้วนตัวเลื่อนลงมาที่พื้นกลายร่างเป็นอนิลทิตาในอาภรณ์สีดำ แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
“ข้าจะตามจองล้างจองผลาญ ฆ่าพวกแกทุกคน”
อนิลทิตาเปลี่ยนเป็นควันสีดำพุ่งตรงเข้าไปในเมาน์เทนรีสอร์ท เกิดแสงเรืองวาบขึ้นจากสายสิญจน์ ป้องกันไว้รอบรั้ว ดวงจิตอนิลทิตากรีดร้อง ด้วยความเจ็บปวดปนอาฆาตแค้น ก่อนจะคืนร่างเป็นอนิลทิตา และเพ่งจิตมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เกิดลมพายุแรงโหมกระหน่ำรอบๆ เมาน์เทนรีสอร์ท ท้องฟ้าปั่นป่วน เมฆดำปกคลุมราวกับกลางคืน นก กา แตกตื่นบินกันว่อน อนิลทิตาเพ่งมองไปที่ต้นไม้ใหญ่
ฉับพลันทันใดนั้นเอง ต้นไม้ใหญ่รอบบริเวณในรีสอร์ทถูกลมพายุพัดจนลำต้นเอนลู่ กิ่งก้านหักโค่นลงมา น้ำในลำธารไหลเชี่ยวแรงกว่าปกติ

จักราแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังจะออกไปนอกห้อง จู่ๆ มีลมพัดแรงเข้ามาในห้องพัก ชายหนุ่มมองไปที่หน้าต่างเห็นต้นไม้ด้านนอกเอนลู่ อากาศมืดครึ้มวิปริต ปรวนแปรอย่างรุนแรงแลดูน่ากลัว
“เกิดอะไรขึ้น”
จักรารีบวิ่งออกไปทันที

พายุพัดโหมกระหน่ำหนักขึ้น ท้องฟ้าเริ่มมืดทั้งๆ ที่ยังเช้าอยู่ เจ้าดาเรศกับกระถินวิ่งออกมาด้วยกัน ตรงเข้ามาหาคนอื่นๆ ในล็อบบี้ มองไปรอบๆ อย่างตื่นตะลึง
กระถินถามขึ้นอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมฟ้ามืดและลมแรงแบบนี้”
รชา กับเจ้าพงษ์นครวิ่งเข้ามาสมทบ
“นี่มันไม่ใช่ลมธรรมดาแน่ๆ ครับ”
ทุกคนกรูเข้ามาหากัน มองหน้ากันเลิกลัก
“จะต้องเป็นฝีมือของคุณโฉมแน่ๆ” เจ้าดาเรศสังหรณ์ใจ
“ถ้าเราอยู่ในนี้ วิญญาณของคุณป้าเข้ามาไม่ได้หรอกครับ” เจ้าพงษ์นครบอก
เจ้าดาเรศมองซ้ายมองขวาไม่เห็นเจ้าพ่อ
“เจ้าพ่อล่ะคะ เจ้าพ่ออยู่ไหน ดาจะไปตามเจ้าพ่อ”
เจ้าดาเรศวิ่งออกจากทุกคน กระถินตามวิ่งไป จักราวิ่งสวนเข้ามาพอดี เรียกไว้
“เดี๋ยวคุณดา”
เจ้าดาเรศไม่ฟังรีบวิ่งออกไปกับกระถินทันที

เจ้าพงษ์สุริยันรีบเปิดประตูออกมาด้วยความตกใจ เจ้าดาเรศกับกระถินวิ่งออกจากห้องเข้ามาหา
“ลูกดาเกิดอะไรขึ้น”
“คงเป็นวิญญาณของคุณโฉมอาละวาดค่ะเจ้าพ่อ”
กระถินตื่นเต้น
“เรารีบไปรวมกับคนอื่นกันเถอะเจ้า”
เจ้าดาเรศดึงมือเจ้าพงษ์สุริยันวิ่งไปทันที กระถินวิ่งตาม

ทั่วบริเวณหน้าเมาน์เทนรีสอร์ทตอนนี้ มีพายุลมพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง พัดจนกิ่งไม้หักโค่นลงมาถูกสายสิญจน์ขาด
นายิกีซึ่งกำลังปั้นหุ่นรูปนางอัปสรอยู่ในห้องพัก รับรู้ได้ว่าสายสิญจน์ของตนขาดแล้ว
“นังอนิลทิตา”
นายิกีรีบเร่งปั้นหุ่นนางอัปสรต่ออย่างรวดเร็ว

อนิลทิตามีสีหน้าสะใจ ก่อนจะกลายกลับเป็นควันสีดำพุ่งเข้าไปในเมาน์เทนรีสอร์ททันที
สามคนอยู่ในล็อบบี้เมาน์เทนรีสอร์ท รชา เจ้าพงษ์นคร และจักรา ตกอยู่ในอาการประหลาดใจ
“ลมสงบแล้ว สงสัยคุณโฉมคงจะไปแล้ว”
ขาดคำของรชาหลอดไฟที่อยู่เหนือศีรษะของทั้งสามหนุ่มก็แตกดังเพล้ง และไล่แตกเป็นแถวไปตลอดแนว ทุกคนขวัญกระเจิง
จักราร้องลั่น “เฮ้ย”
หลอดไฟไล่แตกมาจนถึงทางเดิน ที่เจ้าดาเรศ เจ้าพงษ์สุริยัน และกระถินกำลังเดินมา ควันสีดำพุ่งลอยมาแล้วรวมตัวเป็นร่างอนิลทิตา ดักหน้าทุกคนไว้ เจ้าดาเรศตกตะลึง
“คุณโฉม”
“แกตาย”
อนิลทิตานิมิตมือยาวยื่นออกไปหมายจะบีบคอเจ้าดาเรศ ทว่าเจ้าพงษ์สุริยันเห็นรีบผลักลูกออก
“ลูกดาหนีไป”
ไม่ทันขาดคำ มือนิมิตของอนิลทิตาก็บีบคอเจ้าพงษ์สุริยันแทน และโยนเหวี่ยงร่างทิ้งไป ศีรษะเจ้ากระแทกกับผนังห้อง เลือดไหลอาบเป็นทาง สลบคาที่
“เจ้าพ่อ”
เจ้าดาเรศตกใจกำลังจะวิ่งเข้าไปหาเจ้าพ่อ แต่ไปไม่ถึง มือนิมิตของโฉมสุรางค์อันยาวเหยียดยื่นมาบีบคอเธอไว้ เจ้าดาเรศพยายามแกะมือออก กระถินตกใจยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก จักรา รชา และเจ้าพงษ์นครวิ่งมาถึงพอดี
“ช่วยเจ้าด้วยค่ะ”
รชาถอดแหวนพระที่นิ้ว พนมมือแล้วปาใส่ไปที่อนิลทิตาทันที อนิลทิตากรีดร้อง ร่างแตกออกเป็นสายไปรวมตัวเป็นร่างใหม่ที่มุมหนึ่ง จักราเข้าไปประคองเจ้าดาเรศไว้พลางร้องบอก
“พอซักทีเถอะคุณโฉม อย่าก่อเวรก่อกรรมต่อกันอีกเลย ยิ่งทำแบบนี้ก็จะยิ่งสร้างบาปกรรมให้ติดตัวคุณโฉมไปนะครับ”
“ข้าไม่กลัว ข้าฆ่าคนมาเยอะแล้ว จะฆ่าพวกแกอีกจะเป็นอะไรไป ถึงยังไงข้าก็ต้องตกนรก ขอให้ข้าได้แก้แค้นคนทรยศให้สาสมใจ”
“ถ้าคุณโฉมจะฆ่าทุกคน ขอให้ฆ่าผมดีกว่า เพราะผมเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด” จักราขอร้อง
อนิลทิตาแค้นสุดขีดเขม้นมองจักรา
“ก็ได้ ข้าจะฆ่าแก แล้วก็จะฆ่าทุกคน”
อนิลทิตาเพ่งจิต พลันเกิดการสั่นไหว ผนังห้องเกิดรอยร้าวปริแยกแตกออกอย่างน่ากลัว ทุกคนพยายามทรงตัว จับกันไว้
“ตายพร้อมกันทุกคนอยู่ที่นี่แหละ” อนิลทิตาคำราม
“หยุดเดี๋ยวนี้นะนังอนิลทิตา”
อนิลทิตาหันไปตามเสียง เห็นนายิกียืนอยู่ด้านหลัง และแม่เฒ่ากำลังหยิบหุ่นปั้นนางอัปสรขึ้นมาจากในย่าม พนมมือท่องคาถา ชูหุ่นปั้นขึ้น
อนิลทิตาถูกดูดเข้าไปในหุ่นปั้นนางอัปสร แม้จะพยายามขัดขืนต้านไว้สุดแรง แต่ก็ไม่สำเร็จ กายค่อยๆ ไหลเข้าไปในหุ่นปั้นอย่างรุนแรงจนหายวับไป

แรงกระแทกจากอนิลทิตาทำให้ร่างนายิกีลอยกระเด็นไปกระแทกผนังอย่างแรง แม่เฒ่ากระอักเลือดออกมาฟุบลงไป โดยไม่รู้เป็นหรือตาย

อ่านต่อหน้า 3

อนิลทิตา ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)

เจ้าพงษ์นครตกใจสุดขีด รีบเข้าไปประคองร่างอันบอบช้ำของแม่เฒ่านายิกีเอาไว้

“เวลาของข้าหมดลงจริงๆแล้ว”
แม่เฒ่านายิกีพึมพำ พลางหยิบสายสิญจน์ออกมาจากย่าม พันไว้รอบหุ่นปั้นนางอัปสร ส่งให้เจ้าพงษ์นคร
“เจ้ารีบเอาหุ่นปั้นนี้ไปฝังไว้ภายในวัด ดวงจิตของนังแม่มด อนิลทิตาจะได้ไม่หลุดออกมาก่อกรรมทำเข็ญได้อีก”
นายิกีก็กระอักเลือดออกมา
จักราพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แม่เฒ่าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำตามที่แม่เฒ่าสั่ง”
เจ้าดาเรศจับมือนายิกีไว้ให้กำลังใจ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“รีบพาแม่เฒ่าไปหาหมอเถอะค่ะ แม่เฒ่าจะต้องปลอดภัย”
“ไม่ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมแห่งชีวิตที่ใครก็หนีไม่พ้น...ที่ข้าต่อชะตามาแล้วครั้งนั้น เพราะข้ายังมีภาระที่ต้องสะสาง”
นายิกีหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ถึงร่างกายจะบอบช้ำแต่หน้าตาผ่อนคลายเป็นสุข
“แต่ตอนนี้ ข้าไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว”
แม่เฒ่าจอมอาคมพูดจบ ร่างกายก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง จนสิ้นลมหายใจสุดท้าย ใบหน้านายิกีผ่องแผ้วเป็นสุข ไม่มีความกังวลใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

รุ่งเช้าวันใหม่ ภายในวัด จักรา เจ้าดาเรศ รชา กระถิน และเจ้าพงษ์นครเดินมาด้วยกัน ในมือของจักราถือหีบเหล็กมาด้วย
“ผมขออนุญาตเจ้าอาวาสแล้ว ท่านให้เอาหุ่นมาฝังไว้ที่ท้ายวัดได้”
มือของจักราบรรจงวางหุ่นปั้นนางอัปสรลงในหีบเหล็กขนาดใหญ่กว่าหุ่นปั้นประมาณหนึ่ง ก่อนจะปิดหีบและวางลงในหลุมข้างกำแพงวัด
“ขอให้เรื่องระหว่างเราสิ้นสุดลงแต่เพียงชาตินี้นะครับ อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันไปอีกเลย”
เจ้าดาเรศวางพวงมาลัยลงบนหีบเหล็กใบนั้น
“อโหสิกรรมให้ดาและพวกเราทุกคนด้วยนะคะคุณโฉม”
จักรากลบดินลงบนหีบเหล็ก กระถินมองหีบเหล็กในหลุมอย่างสลดหดหู่ใจ
“น่าสงสารคุณโฉมนะคะ ที่ต้องมาถูกขังอยู่ที่นี่ชั่วกัปชั่วกัลป์”
“แต่ก็ยังดีกว่าเป็นวิญญาณร้ายออกมาอาละวาดนะ” เจ้าพงษ์นครว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอกกระถิน แม่เฒ่าบอกว่าถ้าคุณโฉมปล่อยวาง ลด ละจากความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท ดวงวิญญาณก็จะเป็นอิสระหลุดพ้นไปเอง”
“แต่กว่าคนอย่างคุณโฉมจะเลิกอาฆาตพยาบาทได้ ก็ไม่รู้จะนานแค่ไหนนะครับ” รชาปรารภ
จักราฟังด้วยสีหน้านิ่งๆ เป็นกังวลไม่คลาย

1 เดือนผ่านไป
เช้านี้รชาเคาะประตูห้องพักหนึ่งของรีสอร์ท ไม่ถึงอึดใจก็เห็นกระถินเปิดประตูห้องออกมา
กระถินมองอย่างแปลกใจ “คุณรชา มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
รชามองผ่านประตูเข้าไปในห้อง เห็นเสื้อผ้าของกระถินพับไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่บนเตียง ข้างๆกระเป๋าเดินทางซึ่งมีเสื้อผ้าบางส่วนของกระถินอยู่ข้างในแล้ว
“ตกลงคุณจะไปกรุงเทพฯ จริงๆ เหรอครับ”
กระถินฉันเป็นคนของเจ้าดาเรศ เจ้าไปไหนฉันก็ต้องไปด้วยสิคะ
รชาอึ้งไปใจหาย
“ผมขอคุยอะไรกับคุณหน่อยได้มั้ย”

รชากับกระถินเดินคุยกันมาเรื่อยๆ ในสวนสวยของรีสอร์ท รชาลอบมองใบหน้ากระถิน รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างประหลาด รชาคิดไปคิดมา ก่อนที่สายตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาเหมือนคิดอะไรออก เขาแกล้งถอนใจเฮือกใหญ่ ทำหน้าวิตกสุดฤทธิ์ หว่านล้อมกระถินด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมว่า อย่างคุณนี่ไม่น่าจะทนอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้นะ คนก็เยอะ รถก็ติด อากาศก็ไม่ดี มีแต่ฝุ่นกับควัน ต้นไม้ซักต้นก็แทบจะไม่มี...อยู่ได้เกินอาทิตย์ก็เก่งแล้ว”
กระถินหน้าเสียไปถนัด แต่ยืนยันหนักแน่น “ในเมื่อเจ้าดาเรศตัดสินใจจะไปอยู่ที่นั่น ฉันก็ต้องไปกับเจ้า ฉันเป็นห่วงเจ้านายฉัน”
“จะต้องห่วงทำไม รับรองว่าไอ้จักรมันทั้งดูทั้งแลเจ้าดาเรศแบบไม่ให้คลาดสายตาแน่ๆ...ถ้าคุณจะห่วง ห่วงคนที่เค้าอยู่ตัวคนเดียวจะดีกว่ามั้ง”
กระถินถึงกับชะงักงัน หันไปถามงงๆ “ใคร”
“จะใคร...ก็ผมน่ะสิ อยู่กับผมที่นี่นะ”
กระถินอดหวั่นไหวไม่ได้ แต่ไม่กล้าอาจเอื้อมที่จะคิดว่ารชาจะมีความรู้สึกพิเศษกับตนซึ่งเป็นเพียงแม่บ้าน รีบดึงตัวเองกลับมาจากความรู้สึกที่คิดว่าเพ้อฝัน พยายามตัดบทเสียงแข็ง
“ห่วงทำไม และทำไมฉันต้องอยู่กับคุณด้วย”
กระถินพูดจบก็รีบเดินหนีด้วยความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ในใจอย่างประหลาด

กระถินเดินหนี รชาเดินแกมวิ่งตามมาจนทัน รชารั้งแขนกระถินไว้ให้หันมาเผชิญหน้า
“เดี๋ยวก่อนสิกระถิน ตกลงยังไง คุณยังไม่ตอบผมเลย ผมอยากให้คุณอยู่กับผมที่นี่จริงๆ”
กระถินเขิน
“จะให้ฉันอยู่ที่นี่น่ะเหรอ มีปัญญาจ้างฉันหรือเปล่าแล้วจะให้ฉันอยู่ในตำแหน่งอะไร”
รชามองอย่างเอ็นดู “คุณแค่คอยดูแลผมก็พอ แต่บางทีผมก็ใจร้อน ขี้โมโห เอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่ผมดูแลไม่ยากหรอกนะ”
กระถินพูดขัดขึ้น “สรุปว่าไม่มีอะไรดีซักอย่าง”
“มีสิ ข้อดีของผมก็คือถ้าผมรักใคร ผมจะรักจริงๆ รักตลอดไปรักไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และตอนนี้ ผมก็รักคุณเข้าแล้ว” รชาพูดอย่างคนเอาแต่ใจตัวเอง “และคุณก็ต้องรักผมด้วย”
กระถินเขินเป็นการใหญ่ “แต่ฉันไม่รักนี่” พอพูดจบก็ทำท่าจะเดินหนีไป
รชาดึงร่างกระถินเข้ามากอด “ไม่รักเหรอ” เขาก้มหน้าลงมา ทำท่าจะจูบ
กระถินพยายามผลักรชาออกไป “อย่านะคุณรชา อย่ามาทำอะไรบ้าๆ ตรงนี้นะ”
“ก็บอกมาก่อนสิว่าจะรักหรือไม่รัก...ตอบดีๆ นะ ไม่งั้น...” รชาทำท่าจะก้มลงไปจูบกระถินอีก
กระถินรีบตอบ “รักก็ได้”
รชายิ้มอย่างพอใจ “คุณยอมรับว่ารักผมแล้วนะกระถิน”

กระถินยิ้มเขิน รชาสวมกอดกระถินไว้อย่างรักล้นใจ

จักรากับดาเรศยืนคุยกันอยู่ในสวนสวยแห่งหนึ่ง สองคนมีสีหน้าเปี่ยมสุขคลายกังวลลงไปมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน เจ้าดาเรศทอดสายตามองไป เห็นผืนป่าเขียวขจีอยู่ด้านหน้าตัดกับท้องฟ้าสวยยามเย็น

“กระถินตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่กับคุณรชา พรุ่งนี้ดาจะลงไปจัดการธุระที่กรุงเทพฯ แล้วก็อาจจะอยู่เที่ยวด้วย คุณจักรจะไปกับดามั้ยคะ”
จักราจับมือเจ้าดาเรศไว้ มองหน้าเธอด้วยความรักสุดหัวใจ
“ผมอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ ทำให้คุณมีความสุขที่สุด...แต่ผมขอทำอะไรบางอย่างก่อน”
จักรานิ่งไป ก่อนจะตัดสินใจพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เต็มไปด้วยความสะเทือนใจ
“ผมตั้งใจแล้วว่าผมจะไปปฏิบัติธรรม เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับดวงวิญญาณของคุณโฉม จนกว่าเธอจะหลุดจากบ่วงกรรมที่เธอทำไว้ ผมรู้สึกผิด ที่ทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่ผมควรรับผิดชอบในสิ่งที่คุณโฉมทำ”
เจ้าดาเรศน้ำตารื้น มองจักราด้วยความเข้าใจ พยายามข่มความรู้สึกเศร้าเอาไว้ พูดด้วยความจริงใจ
“ดาเข้าใจค่ะ และดาขอให้คุณประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้นะคะ”
จักราจับไหล่เจ้าดาเรศดึงเข้ามาใกล้ๆ มองเธอด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
“แต่มันอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี...หรือว่าตลอดชีวิตของผม”
เจ้าดาเรศพยักหน้า ยิ้มรับทั้งน้ำตา พูดอย่างเข้มแข็ง
“คุณจักรไม่ต้องห่วงดานะคะ...ดาจะไม่ขอคำมั่นสัญญาอะไรทั้งนั้น ดาแค่อยากจะให้คุณจักรรู้ไว้อย่างเดียวว่า ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ดาจะเป็นกำลังใจให้คุณเสมอ”
จักรากับดาเรศยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ จักราดึงดาเรศเข้ามากอด ดาเรศกอดตอบ กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

หลายวันต่อมา แดดอัสดงทอแสงทั่วบริเวณป่าลึกอันเงียบสงัด แลเห็นกลดสีขาวตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีจักรานุ่งขาวห่มขาว กำลังนั่งสมาธิอยู่ ได้ยินเสียงอนิลทิตากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บแค้น จักราได้ยินแต่ข่มใจให้จดจ่ออยู่ในสมาธิ
วิญญาณที่อนิลทิตาถูกขังอยู่ในที่มืดมิดและคับแคบ หน้าตาซูบซีด ทนทุกข์ทรมานอยู่ในหุ่นปั้นนางอัปสร หาทางออกไม่ได้ มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด อนิลทิตาพยายามดิ้นรนหาทางออก อย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหลุดออกไปได้ ทุกครั้งที่ร่างของอนิลทิตาโดนกำแพงของสิ่งที่กักขังไว้ก็เหมือนถูกนาบด้วยเหล็กร้อน อนิลทิตาทั้งเจ็บ ทั้งแค้น แต่ก็ไม่ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากใคร
“ถ้าข้าออกไปได้เมื่อไหร่ ข้าจะแก้แค้นพวกเจ้าทุกคน ให้สาสมกับสิ่งที่พวกเจ้าทำกับข้า”
เสียงจักราดังขึ้นมา “หยุดเถิดแม่หญิงอนิลทิตา”
อนิลทิตาได้ยินก็ชะงัก ดีใจ
“สินธุ นั่นท่านหรือ”
อนิลทิตาพยายามหาทางออก ขณะที่ละอองแสงสีทองแห่งธรรมระยิบระยับ ลอยเข้ามาและโปรยปรายลงบนตัวของอนิลทิตาที่มีสีหน้าประหลาดใจมาก
“แสงแห่งธรรม นี่มันอะไรกัน ข้าได้รับผลบุญนี้ได้อย่างไร”

จักรายังคงนั่งสมาธิอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว ในนิมิตของจักรายามนี้ เขาเห็นร่างอนิลทิตาในชุดเขมรสีดำ ปรากฏขึ้นต่อหน้า
“แม่หญิงอนิลทิตา”
อนิลทิตามองจักราอย่างไม่อยากจะเชื่อในภาพที่เห็น
“สินธุ นั่นท่านทำอะไร”
“ผมนั่งกรรมฐาน เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน”
“ถ้าท่านอยากช่วยข้า ก็ปล่อยข้าไปสิ อย่ากักขังข้าเอาไว้เช่นนี้”
“ผมไม่ได้กักขังคุณ สิ่งที่กักขังคุณคือ ความอาฆาตแค้น แต่ถ้าดวงจิตของคุณปล่อยวาง และเป็นกุศลเมื่อไหร่ ใจของคุณก็จะเป็นสุข ดวงวิญญาณของคุณก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน”
อนิลทิตาเสียใจ ร้องไห้ออกมา “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คงจะถูกจองจำไว้เช่นนี้ชั่วนิรันดร์ เพราะข้าไม่มีวันอภัยให้พวกท่าน”
ร่างของอนิลทิตาค่อยๆ จางหายไปจากนิมิตของจักราที่ลืมตาขึ้น หนักใจ แต่ก็ยังมุ่งมั่นที่จะกระทำในสิ่งที่ตนคิด
“ผมจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยแบ่งเบาความทุกข์ทรมานไปจากคุณ”
จักราค่อยๆ หลับตาลง แล้วแผ่เมตตาให้อนิลทิตาต่อไป โดยไม่ย่อท้อ
“สัพเพ สัตตา อะเวราโหนตุ อัพพะยาปัชฌา โหนตุ อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ”
เวลาผ่านไป จักรายังนั่งนิ่งหลับตาอยู่ในสมาธิอย่างมุ่งมั่น
“ขอให้ดวงวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน จงพบกับความสุขสงบ”
ขณะเดียวกันในที่อันมืดทึบและคับแคบนั้น อนิลทิตานั่งเศร้าสร้อยอยู่ ละอองแสงสีทองระยิบระยับโปรยปรายลงบนตัวของนาง อนิลทิตาน้ำตาไหล สัมผัสได้ถึงความรักและความหวังดีของจักราที่ส่งมา
เวลาผ่านไปอีก แลเห็นละอองแสงสีทองแห่งธรรม โปรยปรายลงบนตัวของอนิลทิตาอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา หน้าตาอนิลทิตาค่อยๆ เปลี่ยนไปจากขุ่นขึ้งเคียดแค้น กลายเป็นค่อยๆ สงบลงมากขึ้น

จักรายังคงนั่งสมาธิแผ่บุญกุศลให้อนิลทิตาอยู่อย่างนั้น โดยสงบ

อ่านต่อหน้า 4

อนิลทิตา ตอนที่ 20 อวสาน (ต่อ)

หลายปีต่อมา

ภายหลังจากที่เจ้าดาเรศพร้อมกับเจ้าพงษ์สุริยันย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เจ้าดาเรศหันมาทุ่มเทให้กับงานถ่ายรูปที่เธอรัก และที่ออฟฟิศในสตูดิโอถ่ายภาพของเจ้าดาเรศเช้าวันนี้ ภาพถ่ายหลายร้อยภาพวางอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ มีทั้งภาพวิวทิวทัศน์ของประเทศต่างๆ ภาพคน สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ ทุกภาพล้วนบ่งบอกถึงความสุข รูปรอยยิ้มของเด็กในสลัม ความสัมพันธ์ของหมาข้างถนนกับคนจรจัด ฯลฯ เจ้าดาเรศกำลังเลือกภาพบนโต๊ะนี้
“ภาพถ่ายของน้องดานี่สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะ สถานที่พวกนี้พี่ก็ไปเที่ยวมาแล้วทั้งนั้น แต่ไม่เคยเห็นในมุมที่น้องดาถ่ายรูปมาเลย” เจ้าพงษ์นครที่อยู่ด้วย ชมจากใจจริง “สวย สุดยอด...เข้าใจเลือกมุมมั่กๆ”
ต่อมาเจ้าพงษ์นครกำลังนั่งดูภาพถ่ายจากจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของเจ้าดาเรศ
“มันก็มีทั้งสวยและไม่สวยนะคะ แต่ก็อยู่ที่เราว่าจะเลือกมองในมุมไหน”
เจ้าพงษ์นครเดินไปหาเจ้าดาเรศ
“พี่ดีใจนะ ที่น้องดาเลือกที่จะมองแต่สิ่งที่สวยงามมาตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา”
เจ้าดาเรศชะงัก เงยหน้าขึ้นมาจากการเลือกรูป ดวงตามีแววรำลึกจดจำ
“จะว่าไป น้องก็ต้องขอบคุณคุณโฉมที่ทำให้น้องเรียนรู้ว่าไม่ควรจะจมอยู่กับความทุกข์ เพราะมันไม่เพียงแต่จะทำร้ายตัวเองเท่านั้น แต่มันยังทำร้ายคนที่เรารักด้วย”
เจ้าพงษ์นครมองเจ้าดาเรศอย่างเห็นใจ ก่อนจะตัดสินใจถาม
“น้องดาได้ข่าวคุณจักราบ้างหรือเปล่า”
เจ้าดาเรศยิ้มบางๆ “ครั้งสุดท้ายที่ดาทราบ คุณจักรยังทำสิ่งที่เค้าตั้งใจอยู่ค่ะ”

หลายปีมานี้ จักรายังคงนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้อนิลทิตาโดยไม่ย่อท้อ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ตอนเย็นวันนี้ เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าอีกแห่งหนึ่ง โดยในนิมิตของเขายามนี้ แลเห็นอนิลทิตามีหน้าตาสดใส สวยงามในชุดเขมรสีแดง ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้า สายตาที่อนิลทิตามองมา เต็มไปด้วยความรักและรู้สำนึกบุญคุณในความเพียรของจักรา
“สินธุ...ข้าไม่นึกเลยว่าท่านจะทำเพื่อข้าได้ถึงเพียงนี้”
“ผมอยากให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน”
อนิลทิตาเศร้า สะเทือนใจ “สิ่งที่ทำให้ข้าเป็นทุกข์อยู่ตอนนี้หาใช่ความแค้นเคืองที่ข้ามีต่อพวกท่านไม่ หากแต่เป็นความทุกข์ที่ข้าต้องเห็นท่านเสียสละตัวเองเพื่อช่วยคนบาปอย่างข้า”
จักราไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างดีใจ
“ผมยินดี และดีใจที่คุณเลิกอาฆาตแค้นได้”
อนิลทิตามองจักราด้วยความรักลึกซึ้ง “แต่ข้าก็ยังเลิกรักท่านไม่ได้...”
จักราอึ้งไป
“และข้าก็เพิ่งจะรู้ว่าความสุขของการที่ได้รักนั้น ไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการที่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขต่างหาก”
อนิลทิตาเดินเข้ามาใกล้ๆ มองหน้าจักรา พูดด้วยความจริงใจและปรารถนาดี
“เลิกทำเพื่อข้าได้แล้ว” อนิลทิตาพูดออกมาอย่างสำนึกผิด “ข้ารู้ว่าข้าทำผิดมหันต์ โทษของข้าคือนรกเท่านั้น ข้าต้องการจะชดใช้ในสิ่งที่ข้าทำ เพื่อจะได้กลับมาเวียนว่ายในวัฏสงสารเช่นเดียวกับสัตว์โลกอื่นๆ”
จักรายิ้มออกมา ในที่สุดก็ทำสำเร็จ

เช้าวันหนึ่ง จักรายังนุ่งขาวห่มขาวอยู่ เอื้อมมือลงไปหยิบหีบเหล็กขึ้นมาจากหลุม แล้วเปิดออก เห็นหุ่นปั้นนางอัปสรนอนอยู่ในหีบ จักราหยิบขึ้นมา แล้วโยนลงไปในกองไฟ
หุ่นปั้นในกองไฟ ค่อยๆ หลอมละลายกลายเป็นน้ำตาเทียน มีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากกองไฟ กลายเป็นอนิลทิตาหน้าตาสดใส สวยงามในชุดนางพญาเขมรสีแดงยืนอยู่ตรงหน้าจักรา
จักรามองอนิลทิตาด้วยความรู้สึกปิติเป็นล้นพ้น ที่สามารถช่วยให้อนิลทิตาหลุดพ้นจากความอาฆาตพยาบาทที่สุมอยู่ในใจได้
“เมื่อคุณพ้นวิบากกรรม คุณก็จะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้น”
อนิลทิตายิ้มให้จักราอย่างอ่อนโยน พร้อมจะเผชิญกับทุกอย่าง
“อโหสิกรรมให้ข้าด้วยนะสินธุ”
“ครับ ผมอโหสิให้คุณ”
อนิลทิตาน้ำตาซึม ซาบซึ้ง มองหน้าเขาอย่างอาลัยอาวรณ์
“ลาก่อน สินธุยอดรักของข้า”
อนิลทิตาพูดจบก็มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมาล้อมรอบตัวนางไว้ ก่อนจะพันร่างอนิลทิตาและดูดดึงลงไปในพื้นดิน

จักรามองตามอย่างสะเทือนใจ

หลายวันต่อมา ค่ำคืนนี้เจ้าดาเรศเตรียมงานแสดงภาพถ่ายของเธอชื่องาน “Happiness is all around” อยู่ใน Art Gallery แห่งหนึ่ง งานจะเปิดแสดงขึ้นในวันพรุ่งนี้ แลเห็นทีมงานกำลังช่วยกันจัดเตรียมงานแสดงภาพถ่ายของดาเรศอยู่

ขณะที่เจ้าดาเรศยิ้มแย้มแจ่มใส กำลังตรวจเช็คภาพถ่ายที่ติดอยู่บนบอร์ดจัดแสดง เจ้าพงษ์นครเดินเข้ามาหา
“ตื่นเต้นมั้ยน้องดา พรุ่งนี้แล้วงานแสดงภาพถ่ายก็จะเกิดขึ้นตามความฝันของน้อง พี่ดีใจด้วย”
“ดาต้องขอบคุณเจ้าพี่มากค่ะ ที่ช่วยดาจนเกิดงานนี้ขึ้นมา”
“เรามีกันอยู่แค่สองคน ถ้าพี่ไม่ช่วยดาแล้วพี่จะไปช่วยใคร”
เจ้าดาเรศซึ้ง
“มา...มีอะไรให้พี่ช่วยมั่ง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ดาว่าตรงนี้มันยังดูขาดๆ อะไรไปซักอย่าง เจ้าพี่ช่วยไปหยิบภาพที่เหลือมาให้ดาทีได้มั้ยคะ”
“ได้”
เจ้าพงษ์นครเดินออกไป เจ้าดาเรศหันกลับมามองดูภาพอีกครั้ง มีเสียงของหล่นดังมาจากด้านหลัง เจ้าดาเรศหันขวับไป
“เจ้าพี่”
เจ้าดาเรศกวาดตามอง เห็นแต่ความว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ ตรงจุดเกิดเสียง ผ่านบอร์ดจัดแสดงภาพถ่ายเข้ามา แลเห็นเงาใครคนหนึ่งในความมืด เจ้าดาเรศหยุดชะงักมองเขม้น
“เจ้าพี่หรือเปล่าคะ”
เงาดำนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ แสงสว่างส่องถึงจนเห็นใบหน้าชัดเจนว่าเป็นจักรานั่นเอง เจ้าดาเรศดีใจมาก
“คุณจักร”
จักราโผเข้ากอดดาเรศทันที “คุณดา”
ทั้งคู่ตกอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ไฟในแกลเลอรี่ดับพรึ่บลง
ทั้งคู่ตกใจ จักราร้อง “เฮ้ย” ออกมา

ณ สถานที่อันมืดมิด แลเห็นร่างอนิลทิตาทุกข์ทรมานอยู่ในอ่างไฟ คล้ายอ่างอาบน้ำโลหิตในถ้ำยังไงยังงั้น แต่เป็นเปลวเพลิงโหมไหม้ขึ้นมาแทน ท่าทางอนิลทิตาเจ็บปวดทรมานมาก แต่นางก็ไม่ได้ร้องครวญครางหรือมีน้ำตาแม้แต่น้อย ในความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสนี้ ได้เกิดนิมิตเห็นภาพจักรากอดเจ้าดาเรศด้วยความรักขึ้นมาต่อหน้า อนิลทิตาน้ำตาไหลริน เปล่งวาจาอำนวยพรออกมาว่า
“สินธุ ข้าขอให้ท่านมีความสุขกับคนที่ท่านรัก”
พลันร่างอนิลทิตาก็กลืนหายไปกับเปลวไฟที่ลุกโหมขึ้นมาจนท่วมร่างของนาง
พร้อมกันนี้ไฟในแกลเลอรี่สว่างพรึ่บขึ้น เจ้าดาเรศเอ่ยขึ้น
“ไฟมาแล้วค่ะ”
ทั้งคู่คลายกอดออกจากกัน จักรามองเจ้าดาเรศด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
“ผมกลับมาแล้วครับคุณดา...และต่อจากนี้ ผมจะไม่จากคุณดาไปไหน จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้ายของผม”
เจ้าดาเรศยิ้มอย่างมีความสุข จังหวะนี้จักราหยิบกล่องแหวนออกมาเปิดออก เผยให้เห็นแหวนเพชรวงไม่ใหญ่มากแต่สวยงาม เจ้าดาเรศใจเต้นรัว
จักราพูดอย่างจริงใจ “ผมพร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคุณแล้วครับ แต่งงานกับผมนะครับคุณดา”
เจ้าดาเรศน้ำตารื้น ปลื้มปิติ ยิ้มรับด้วยความรักสุดหัวใจ
“ค่ะ คุณจักร”

จักราบรรจงสวมแหวนให้เจ้าดาเรศอย่างทะนุถนอม ทั้งคู่โอบกอดกันแนบแน่น ด้วยรักสุดหัวใจ

จบบริบูรณ์

โปรดติดตาม "ลิเก๊ลิเก" เร็วๆ นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น