อนิลทิตา ตอนที่ 18
ทางด้านกระถินพยายามเอาหินทุบแม่กุญแจกรงขังด้วยความมุ่งมั่น เช่นเดียวกับที่เจ้าพงษ์สุริยันก็เขย่าลูกกรงหมายจะให้ลูกกรงหลุดออกมา อย่างไม่ยอมแพ้
“ต้องออกไปให้ได้ ต้องออกไปให้ได้”
บันดาสาที่ถูกขังอยู่อีกกรงกับเจ้าดาเรศ ติดๆ กัน มองมาที่เจ้าพงษ์นครและกระถินอย่างรู้ว่าไม่มีประโยชน์
“อย่าพยายามเลยเจ้า ไม่มีประโยชน์หรอก...ลูกกรงที่นี่ถึงจะมีอายุเป็นร้อยปี แต่ก็แข็งแรงมาก...เจ้าไม่มีทางจะทำลายมันได้หรอก”
กระถินกลุ้มใจ หาทางออกไม่ได้
“แล้วเราจะทำยังไงล่ะยาย จะให้นั่งงอมืองอเท้ารอความตายอยู่ในนี้น่ะเหรอ”
เจ้าดาเรศที่กำลังเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิดบอกกระถินอย่างมั่นใจ
“ไม่หรอกกระถิน เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เราก็ต้องมีความหวัง”
เสียงโฉมสุรางค์ ดังเข้ามา “งั้นแกก็เตรียมตัวหมดหวังได้เลย”
โฉมสุรางค์เดินเข้ามา มองเจ้าดาเรศอย่างเกลียดชัง พูดด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม
“เพราะแกกำลังกำลังจะหมดลมหายใจภายในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว”
เจ้าดาเรศกับบันดาสาตกใจอุทานพร้อมกัน
“คุณแม่” / “แม่หญิง”
โฉมสุรางค์ไขกุญแจเปิดกรงขัง เดินเข้าไปหาเจ้าดาเรศ บันดาสาผวาเข้าไปขวางไว้ทันที
“แม่หญิง พี่ขอร้อง อย่าทำอะไรเจ้าดาเรศเลยนะ”
โฉมสุรางค์ผลักบันดาสาออกไปให้พ้นทาง กระชากร่างเจ้าดาเรศ เหวี่ยงออกไปนอกห้องขัง
เจ้าดาเรศล้มลงที่พื้น จากนั้นโฉมสุรางค์ก็ใส่กุญแจกรงขังไว้อย่างเดิม
เจ้าพงษ์สุริยันที่ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นตั้งแต่เห็นโฉมสุรางค์ แต่พอเห็นโฉมสุรางค์กระชากแขนเจ้าดาเรศออกไป ก็ตะโกนออกมาอย่างลืมกลัว
“คุณโฉม อย่าทำลูก”
โฉมสุรางค์ไม่สนใจคำขอร้องของเจ้าพงษ์สุริยัน ตรงเข้าไปกระชากเจ้าดาเรศที่ล้มฟุบอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้นมา เจ้าดาเรศขืนรั้งตัวไว้
“คุณแม่อย่าทำอะไรดาเลยนะคะ” หญิงสาวทั้งเสียใจทั้งสะเทือนใจ “ถ้าคุณแม่เกลียดดาเพราะเรื่องคุณจักร ดาสาบานได้ว่าดาไม่เคยคิดจะแย่งเค้าไปจากคุณแม่เลย”
“ไม่มีประโยชน์ที่แกจะมาพูดเอาตอนนี้ ในเมื่อคุณจักรเค้ารักแกจนไม่มีหัวใจเหลือไว้ให้ฉันอีกแล้ว แก...นังตัวมาร แกทำลายความรักของฉัน แกอย่ามีชีวิตอยู่อีกต่อไปเลย”
โฉมสุรางค์กระชากกริชที่เหน็บไว้ที่เอว เงื้อขึ้นหมายจะแทงเจ้าดาเรศให้แดดิ้น
เจ้าพงษ์สุริยันตกใจเขย่าลูกกรงสุดแรง ตะโกนสุดเสียง
“คุณโฉม อย่า...นั่นลูกของเรานะ”
“คุณโฉม อย่าทำอะไรเจ้าดาเรศเลยนะคะ” กระถินอ้อนวอนอีกคน
โฉมสุรางค์ชะงัก ยิ้มเย้ย
“ลูกเหรอ...มันอาจจะเป็นลูกแก แต่มันไม่ใช่ลูกฉัน...”
เจ้าพงษ์สุริยันกับกระถินตะลึงอย่างนึกไม่ถึง
“คุณโฉม” เจ้าละล่ำละลัก “เป็นไปไม่ได้ คุณโฉมท้อง เรามีลูกด้วยกัน”
โฉมสุรางค์ยิ้มอย่างสาแก่ใจ
“ฉันไม่เคยท้อง...ฉันจะมีลูกกับแกได้ยังไง ในเมื่อฉันรักสินธุคนเดียว ฉันไม่เคยรักแก และฉันก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับแก”
โฉมสุรางค์กระชากเจ้าดาเรศที่ยืนอึ้งตะลึงอยู่เข้ามาใกล้ มองด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ทีนี้แกก็เลิกสงสัยได้แล้วสินะ ว่าทำไมฉันถึงฆ่าแกได้ลงคอ”
ฝ่ายบันดาสาไม่ยอมเสียเวลาคิดถึงอย่างอื่น นอกจากชีวิตของดาเรศ
“แม่หญิงได้โปรดอย่าฆ่าเจ้าดาเรศเลยนะ ถึงเจ้าดาเรศจะตายสินธุก็ไม่มีวันจะกลับมารักแม่หญิงได้อีก...แต่ถ้าแม่หญิงไว้ชีวิตเจ้าดาเรศ พี่จะทำให้แม่หญิงกับสินธุได้ครองรักกัน”
โฉมสุรางค์เหลียวมามองบันดาสาอย่างไม่เชื่อ
ระหว่างนี้จักรากับพงษ์นครกำลังเดินหาทางลับเข้าถ้ำอีกทางหนึ่ง แต่ไม่พบ
“นี่เราก็เดินวนอยู่หลายรอบแล้วนะครับคุณรชา แต่ทำไมยังไม่เจอทางลับเข้าถ้ำอีกทางที่เจ้าดาเรศบอกเลย”
“นั่นสิครับเจ้า ผมก็พยายามจะโทร.กลับไปหากระถินอีก แต่ก็โทรไม่ติด” รชาคิดปราดเดียว “หรือเราจะลองหาทางเข้าทางปากถ้ำกันดูอีกรอบ”
“หินที่ปิดปากถ้ำก้อนใหญ่ซะขนาดนั้น ยังไงเราก็ไม่มีทางเขยื้อนมันได้หรอกครับ อีกอย่าง วันนั้นแม่เฒ่านายิกีก็ทำลายกลไกที่ใช้เปิด ปิดปากถ้ำไปแล้วด้วย”
สองหนุ่มเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ
“เอาไงดีล่ะครับ ยิ่งช้า โอกาสที่พวกนั้นจะรอดก็ยิ่งน้อยลงทุกที”
รชาตัดสินใจได้ทันที “ถ้าเราหาทางลับอีกทางไม่ได้ เราก็ต้องหาทางเปิดปากถ้ำให้ได้”
เจ้าพงษ์นครมองอย่างสงสัยว่ารชาคิดจะทำอะไร
สองหนุ่มกลับมาที่รีสอร์ทตอนเย็น แม่เฒ่านายิกีกำลังรวบรวมพลังนั่งสมาธิก่อนจะกระอักเลือดออกมา เป็นเวลาเดียวกับที่จักราและพงษ์นครเปิดประตูเข้ามาพอดี สองคนปราดเข้ามาหานายิกีอย่างตกใจ
“แม่เฒ่า แม่เฒ่าเป็นอะไรไปครับ”
นายิกีอ่อนแรงมาก “ข้าพยายามเพ่งหาไอ้จักรแต่ก็ไม่เห็น นังโฉมมันต้องใช้ม่านมนตราบังไว้แน่ๆ”
“เราจะลองไปตามหาคุณจักรในถ้ำดูครับ คุณป้าอาจจะคิดว่าเราไม่มีทางจะหาทางกลับเข้าไปในถ้ำนั้นได้อีก” เจ้าพงษ์นครว่า
“แต่พวกแกต้องระวังตัวให้มาก นังโฉมมันเพิ่งได้พลังกลับคืนมา ข้าเกรงว่าพวกแกจะรับมือมันไม่ไหว...” แม่เฒ่านึกเจ็บใจตัวเอง “ข้าก็จนใจว่าด้วยสภาพของข้า ถ้าไปกับพวกแกตอนนี้ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากจะเป็นภาระ”
“ไม่ต้องห่วงครับแม่เฒ่า ผมมีตัวช่วยแล้ว...ก็ให้มันรู้ไปว่าอานุภาพของมนต์ดำมันจะมาสู้อานุภาพของสิ่งที่ผมมีได้”
รชาพูดอย่างเอาจริงและเชื่อมั่น ส่วนเจ้าพงษ์นครกับนายิกีมองหน้ากันอย่างไม่มั่นใจนัก
ไม่นานต่อมา มี ชาย 2 คน ช่วยกันยกลังไม้ขนาดใหญ่วางบนโต๊ะทำงานของรชา
“ผมเอาของที่คุณรชาสั่งมาส่งครับ” ชาย 1 บอก
รชาพยักหน้ารับรู้ เปิดฝาลังออกดู
เจ้าพงษ์นครชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย เห็นสตรอว์เบอร์รี่ลูกใหญ่วางเรียงอยู่เต็มลัง ก็หน้าตาเหรอหรา หันไปมองหน้ารชาอย่างงุนงง นึกไม่ถึง
“อย่าบอกนะครับว่าคุณรชาจะเอาไอ้ของในกล่องนี้ไปปราบคุณป้า”
รชาขำหน้าตาท่าทางของเจ้าพงษ์นคร “ของในกล่องนี้ล่ะครับ แต่เป็นไอ้นี่ต่างหาก”
พูดจบรชาก็ดึงกระดาษที่รองสตรอว์เบอร์รี่ออกไป คราวนี้เจ้าพงษ์นครมองตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นระเบิดทีเอ็นทีหลายสิบลูกวางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ
“พระเจ้า...ทั้งหมดนี่มันระเบิดภูเขาได้ทั้งลูกเลยนะครับ คุณรชา”
รชามองระเบิดในลังแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“แล้วทีนี้เจ้าจะเชื่อหรือยังล่ะครับ ว่าอานุภาพมนต์ดำน่ะ สู้อานุภาพของที่เรามีไม่ได้แน่ๆ”
เจ้าพงษ์นครยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 18 (ต่อ)
เวลาเดียวกันโฉมสุรางค์กำลังฟังบันดาสาอย่างตั้งใจ ในขณะที่เจ้าดาเรศถูกจับมัดไว้กับเสาในถ้ำ
“พี่จะทำพิธีสลับร่างสลับวิญญาณ...เพื่อให้วิญญาณของแม่หญิงเข้าไปอยู่ในร่างเจ้าดาเรศ และวิญญาณของเจ้าดาเรศเข้ามาอยู่ในร่างของแม่หญิงแทน”
โฉมสุรางค์พูดสวนขึ้นทันทีอย่างไม่แยแส
“ไม่จำเป็น ในที่สุดสินธุก็ต้องกลายเป็นผีดิบเหมือนกับไอ้โล้นและเค้าก็จะต้องอยู่กับข้าไปชั่วกัปชั่วกัลป์อยู่แล้ว”
บันดาสาย้อนแย้ง “แต่ก็อยู่อย่างไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก แล้วแม่หญิงจะมีความสุขไปได้อย่างไร”
โฉมสุรางค์พูดไม่ออก นึกสะเทือนใจปนแค้นใจ เพราะรู้ว่าสิ่งที่บันดาสาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
บันดาสาโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมต่อ “หากแม่หญิงยอมทำตามวิธีของข้า ท่านก็จะได้ครองรักกับสินธุเฉกเช่นเดียวกับชายหญิงคู่อื่นๆ ที่จะอยู่ด้วยกันและตายจากกันตามอายุขัย...และแม่หญิงก็จะไม่ต้องฆ่าคนเพื่อเอาเลือดมาทำพิธีอีก”
แค่คิดก็เจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ได้ โฉมสุรางค์ปรายหางตามองไปที่เจ้าดาเรศอย่างเกลียดชัง
“แต่ข้าก็จะต้องทนให้เค้าคิดว่าข้าคือนังดาเรศ ทนฟังเค้าพร่ำเพ้อเรียกมันในขณะที่พลอดรักกับข้า”
“นั่นเป็นสิ่งที่แม่หญิงต้องยอมรับและตัดสินใจเลือก” บันดาสาบอก
โฉมสุรางค์นิ่งไปชั่วขณะ สีหน้าครุ่นคิดตริตรอง ก่อนจะถามขึ้นมาด้วยเสียงของคนที่ตัดสินใจแล้ว
“แล้วข้าจะต้องทำอย่างไร ถ้าข้าเลือกที่จะใช้ร่างของนังดาเรศ”
ทางฝ่ายเจ้าพงษ์สุริยันกับกระถินมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
กระถินตื่นตระหนก “ทำไมยายถึงแนะนำให้คุณโฉมทำแบบนี้ล่ะคะเจ้า”
เจ้าพงษ์สุริยันมั่นใจ “ฉันไม่รู้ แต่บันดาสาไม่มีทางทำร้ายลูกดาแน่ๆ”
กระถินงงๆ อยู่ “แต่เจ้าดาเรศต้องไปอยู่ในร่างของคนที่อายุเป็นร้อยๆ ปีเนี่ยนะคะ อย่างนี้มันก็เท่ากับฆ่าเจ้าดาเรศทั้งเป็นชัดๆ”
“ฉันแน่ใจ บันดาสารักลูกดา เค้าไม่ทำร้ายลูกดา”
กระถินคิดตาม “ถ้าอย่างนั้น นี่อาจจะเป็นวิธีที่ยายกำลังหาทางช่วยเจ้าดาเรศอยู่ก็ได้นะคะเจ้า”
เจ้าพงษ์สุริยันไม่รับรู้เรื่องอื่น นอกจากความห่วงใยที่มีต่อลูกสาวเท่านั้น
บันดาสาหยิบลูกแก้ว 2 ลูกขึ้นมาถือไว้ในมือ
“แม่หญิงกับเจ้าดาเรศจะต้องถอดจิตมาเก็บไว้ในลูกแก้วทั้ง 2 ลูกนี้ แล้วข้าจึงจะทำพิธีเรียกวิญญาณของแม่หญิงเข้าไปในร่างของเจ้าดาเรศ และเรียกวิญญาณของเจ้าดาเรศให้เข้าไปอยู่ในร่างของแม่หญิงแทน”
โฉมสุรางค์มองบันดาสาด้วยสายตาลึกซึ้ง พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ก็ได้...ข้าจะทำตามที่พี่บอก”
บันดาสาลอบถอนใจอย่างโล่งอก
โฉมสุรางค์ยิ้มในสีหน้า “งั้นก็เริ่มพิธีได้เลย”
บันดาสาชะงักไปอย่างนึกไม่ถึง ก่อนจะแย้งขึ้นมาเพื่อประวิงเวลา
“แต่...พิธีนี้ต้องทำในคืนที่มีปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนเท่านั้น”
โฉมสุรางค์หัวเราะหยันอย่างรู้ทัน สายตาโกรธเกรี้ยวอย่างน่ากลัว จู่ๆ โฉมสุรางค์ก็หยุดหัวเราะและตบเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าบันดาสาสุดแรง จนบันดาสาล้มคว่ำไป
“คนทรยศ แม้แต่พี่ก็ยังทรยศข้า พี่คิดว่าข้าโง่นักรึ พิธีนี้ไม่ได้มีจริง พี่โกหกข้าเพื่อจะซื้อเวลาไม่ให้ข้าฆ่านังดาเรศใช่มั้ย...อย่าหวังเลย ข้าจะฆ่ามันด้วยมือของข้าเองต่อหน้าพี่เดี๋ยวนี้”
โฉมสุรางค์คว้ากริชได้ก็ปราดเข้าไปหาเจ้าดาเรศ บันดาสาผวาเข้ามาเกาะขาคุณโฉมไว้
บันดาสาลนลาน ละล่ำละลัก “ไม่ใช่นะแม่หญิง...พิธีนี้มีจริงๆ พี่ไม่ได้หลอกแม่หญิง ข้าจะทำพิธีให้แม่หญิงเดี๋ยวนี้”
โฉมสุรางค์มองบันดาสาอย่างผู้ชนะ
ด้านรชากับเจ้าพงษ์นครสะพายเป้ขนาดใหญ่เดินดุ่มๆ อย่างรีบร้อนลัดเลาะเข้ามาในป่าจนเห็นปากถ้ำอยู่ด้านหน้า เจ้าพงษ์นครชะงัก
“คุณรชา หยุดก่อนเถอะครับ เราใกล้จะถึงปากถ้ำมากแล้ว”
“งั้นก็รีบไปสิครับ ไม่รู้ว่าพวกที่ถูกจับไปจะเป็นยังไงบ้าง ผมไม่อยากจะเสียเวลาเลยแม้แต่วินาทีเดียว”
รชาพูดจบก็ขยับจะเดินต่อไปอย่างคนใจร้อน เจ้าพงษ์นครคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวครับ คุณรชาอย่าลืมสิว่าแม่เฒ่าสั่งให้เราทำอะไรก่อนจะบุกเข้าไปในถ้ำ”
รชาชะงัก หวนนึกถึงเหตุการณ์ในห้องพักแม่เฒ่านายิกี ที่รีสอร์ทก่อนหน้านี้
ตอนนั้น แม่เฒ่านายิกีหยิบว่านสีขาวและสีแดงออกมาจากย่าม ท่องมนต์โอมอ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งว่านสีขาวให้รชากับเจ้าพงษ์นครคนละชิ้น
“ว่านสีขาวอันนี้คือว่านปิดตา เจ้าต้องกินก่อนที่จะบุกเข้าไปในถ้ำ จะได้ไม่มีใครมองเห็น แม้แต่แกสองคนก็จะมองไม่เห็นกันเองด้วย แต่ฤทธิ์ของมันจะหมดภายใน 2 ชั่วโมง และจะกินซ้ำอีกไม่ได้จนกว่าเวลาจะผ่านไปอีกวันนึง”
นายิกีหยิบว่านสีแดงส่งให้รชากับพงษ์นครอีกคนละชิ้น
“ส่วนว่านสีแดงนี่คือว่านเปิดตา ถ้าแกต้องการให้ใครมองเห็นแก ก็เอาว่านเปิดตาให้คนๆ นั้นกิน”
รชามองว่านในมือตัวเอง
“งั้นเราก็ควรจะกินทั้งว่านปิดตาและเปิดตา จะได้ไม่มีใครเห็นเรา แต่เราจะมองเห็นกันเองได้”
เจ้าพงษ์นครพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“ถูก”
ทั้งรชาและเจ้าพงษ์นครกินว่าน ทันใดนั้นเองร่างของทั้งสองคนก็หายวับไปกับตา
โดยที่พื้นดิน เห็นดิน มีรอยเหยียบเหมือนมีคนเดินย่ำไป
อีกฟากร่างผุดผ่องของเจ้าดาเรศเดินขึ้นมาจากบ่อน้ำที่มีควันพวยพุ่งขึ้นมา โดยมีบันดาสานำเสื้อคลุมมาสวมให้ ก่อนจะพาเข้าไปในเวิ้งใกล้ๆที่มีเทียนสีแดงจุดอยู่รอบๆ เป็นแท่นหินมีพานใส่ชุดนางพญาเขมรสมัยโบราณและเครื่องประดับวางอยู่
เจ้าดาเรศยืนนิ่งให้บันดาสาเปลื้องเสื้อคลุมออกและแต่งตัว เกล้าผม ใส่เครื่องประดับให้
ระหว่างที่บันดาสาแต่งตัวให้ เจ้าดาเรศตัดสินใจถามถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในความคิดของตนจากบันดาสา
“ยายจ๋า เมื่อกี้นี้ที่คุณแม่บอกว่าดาไม่ใช่ลูกของท่าน มันเป็นความจริงใช่มั้ยจ๊ะ”
บันดาสานิ่งไป แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดความจริง “ใช่”
เจ้าดาเรศสะเทือนใจ “มิน่าล่ะ ดาถึงรู้สึกมาตลอดว่าคุณแม่ไม่เคยรักดา...ตั้งแต่ดาจำความได้ คุณแม่ไม่เคยกอดดาเลยด้วยซ้ำ...เวลาดาเจ็บ ดาร้องไห้ ก็มีแต่เจ้าพ่อคนเดียวเท่านั้นที่คอยปลอบ”
บันดาสาฟังเจ้าดาเรศแล้วน้ำตารื้น รู้สึกผิดอย่างที่สุด เพราะเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นเพราะตน
บันดาสามองลูกด้วยความสงสารจับใจ
“ทั้งหมดเป็นความผิดของยายเอง ที่เจ้าต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะยาย”
เจ้าดาเรศชะงัก นิ่งมองอากัปกริยาของบันดาสาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามอย่างตั้งใจ
“ทำไมถึงเป็นความผิดของยายล่ะจ๊ะ ยายรู้อะไรมาบ้าง ยายรู้ใช่มั้ยว่าแม่ของดาคือใคร”
บันดาสานิ่ง น้ำตาไหลพราก ยอมรับด้วยอากัปกริยา
“งั้นยายบอกความจริงกับดาได้มั้ยจ๊ะ ให้ดาได้รู้ก่อนที่ดาจะตาย...ว่าแม่ของดาคือใคร”
บันดาสายังไม่ทันจะตอบ โฉมสุรางค์ก็เดินเข้ามาส่งเสียงมาว่า
“เสร็จหรือยังพี่บันดาสา ข้าต้องการทำพิธีคืนนี้นะ ไม่ใช่พรุ่งนี้”
บันดาสากับเจ้าดาเรศชะงัก หันกลับไปเผชิญหน้ากับโฉมสุรางค์ที่มองมาทั่วร่างเจ้าดาเรศอย่างตกตะลึง เจ้าดาเรศเต็มตัวในชุดนางพญาเขมรทั้งสวย ทั้งสง่า โฉมสุรางค์มองความอ่อนเยาว์สวยสดของเจ้าดาเรศด้วยความริษยา
“สวยเหลือเกินนะ...แต่แกจะมีโอกาสอยู่ในร่างนี้ได้อีกแค่คืนเดียวเท่านั้นล่ะ นังดาเรศ”
โฉมสุรางค์พูดเสร็จก็เพ่งสายตาสะกดจิตดาเรศ เหมือนที่ทำกับจักรา
เจ้าดาเรศนิ่งไปอย่างไร้ความรู้สึก โฉมสุรางค์สั่งบันดาสา
“พามันออกไปได้แล้วพี่บันดาสา”
บันดาสาประคองเจ้าดาเรศออกไป โฉมสุรางค์มองตามอย่างพอใจ
บันดาสาพาเจ้าดาเรศซึ่งถูกมนต์สะกดอยู่มานั่งที่แท่นพิธี ที่มีเทียนสีแดงจุดอยู่รอบๆ 9 เล่ม โดยมีลูกแก้วลูกหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า
ด้านตรงข้ามกับที่เจ้าดาเรศนั่ง ก็มีเทียนสีแดงจุดอยู่รอบๆ 9 เล่มเช่นกัน และมีลูกแก้วอีกลูกหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า หลังจากที่บันดาสาพาดาเรศไปนั่งยังแท่นพิธีเรียบร้อยแล้วก็หันมาพูดกับโฉมสุรางค์
“เชิญแม่หญิงมานั่งที่แท่นพิธีได้แล้ว...แต่ระหว่างที่ทำพิธีถอดจิตแม่หญิงห้ามขยับเขยื้อนร่างกายเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้”
“ไม่ ข้าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น จนกว่าพี่จะเรียกดวงจิตของนังดาเรศออกมาไว้ในลูกแก้วให้เสร็จซะก่อน”
โฉมสุรางค์มองหน้าบันดาสาอย่างรู้ทัน น้ำเสียงเยาะหยัน
“ใครจะรู้ว่าพี่อาจจะคิดจะทำลายข้าเพื่อช่วยชีวิตลูกของพี่ก็ได้”
บันดาสาฝืนใจสบตากับโฉมสุรางค์อย่างบริสุทธิ์ใจ
“การที่พี่ติดตามแม่หญิง และทำทุกอย่างเพื่อท่านมาเป็นร้อยๆ ปีนั้นยังไม่สามารถทำให้แม่หญิงเชื่อใจพี่ได้อีกหรือ”
โฉมสุรางค์เจ็บแค้น แทบกระอัก “ข้าถูกคนที่รักทรยศจนไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้ว นอกจากคนๆเดียวเท่านั้นที่ภักดีต่อข้าไม่เปลี่ยนแปลง”
“แม่หญิงหมายถึงใคร”
โฉมสุรางค์เดินไปที่หลุมศพไอ้โล้นที่ถูกฝังอยู่ใต้กองดินปนหินในถ้ำ เหนือหลุมศพมีกริชที่บันดาสาเคยใช้ทำพิธีให้เป็นผีดิบปักไว้ บันดาสาเดินตามเข้ามาด้วย
“ถึงแม้เจ้าจะหาชีวิตไม่แล้ว แต่เจ้าก็ยังเป็นผู้ที่ข้าไว้ใจที่สุด...ไอ้โล้น”
โฉมสุรางค์หยิบว่านอสูรกาย 4 แง่งโยนลงไปบนหลุม ก่อนจะหยิบมีดขึ้นมากรีดที่ฝ่ามือตัวเอง กำมือบีบให้เลือดค่อยๆ ไหลหยดลงไปที่ว่านทั้ง 4 แง่ง เลือดซึมเข้าไปในว่านช้าๆ
“ด้วยอำนาจของว่านอสุรกายนี้จะคืนชีวิตให้เจ้าอีกครั้ง เจ้าจงลุกขึ้นมา...ลุกขึ้นมาอยู่กับข้า ลุกขึ้นมาเพื่อเป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของข้าตลอดไป”
กองดินปนหินสะเทือน เหมือนมีอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ดินพยายามจะแทรกตัวออกมา สุดท้ายแลเห็นมือข้างหนึ่งของไอ้โล้นโผล่ขึ้นมา ก่อนที่ไอ้โล้นซึ่งมีตัวสีเขียว ตาสีขาวขุ่น เล็บยาวสีดำจะผุดลุกขึ้นมาบันดาสาตกตะลึง ดวงตามีแววประหวั่นพรั่นพรึง
โฉมสุรางค์มองไอ้โล้น ยิ้มพอใจก่อนจะหันกลับมามองบันดาสาอย่างท้าทาย
“พี่กลับไปทำพิธีต่อได้แล้ว ข้ารับรองว่าไอ้โล้นมันไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำลายพิธีของเราแน่ๆ”
พูดจบโฉมสุรางค์ก็เดินออกไปโดยมีไอ้โล้นเดินตามไปด้วย
ส่วนที่หลุมศพ แลเห็นมือข้างหนึ่งของไอ้โล้นโผล่ขึ้นมาอีก บันดาสาผงะออกไปอย่างนึกไม่ถึง สายตาจับอยู่ที่มือของโล้นที่โผล่ขึ้นมา ทันใดนั้น ไอ้โล้นอีกตัวหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนตัวแรกทุกอย่างก็ผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วเดินตามโฉมสุรางค์ออกไป
บันดาสามองตามอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะมีไอ้โล้นอีกตัว และอีกตัวเดินตามออกไป รวมทั้งหมด 4 ตัว
สีหน้าบันดาสาที่มองตาม อมนุษย์ 4 ตน สายตาหวาดหวั่นเป็นที่สุด
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 18 (ต่อ)
บันดาสาจูงเจ้าดาเรศ ในชุดนางพญาเขมรซึ่งถูกมนต์สะกดอยู่เข้ามาช้าๆ ที่ศีรษะปักปิ่นด้ามแหลมไว้ ระหว่างที่จูงเดินมานั้น บันดาสามองเจ้าดาเรศด้วยแววตาเศร้าสร้อย เพราะความรู้สึกผิดกัดกินใจ
บันดาสาพาเจ้าดาเรศเดินมาจนถึงบริเวณพิธี ที่มีวงเทียนสีแดงจุดอยู่รอบๆ 9 เล่ม และมีลูกแก้วลูกหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า ด้านตรงข้ามกับที่เจ้าดาเรศจะนั่ง จุดเทียนสีแดงอยู่รอบๆ 9 เล่มเช่นกัน และมีลูกแก้วอีกลูกหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า หันเข้าหาเจ้าดาเรศ
บันดาสาพาเจ้าดาเรศก้าวขาข้ามวงเทียนเข้าไปพลางสั่ง
“นั่งลง”
เจ้าดาเรศนั่งลงกลางวงเทียน บันดาสารำพึงรำพันกับตัวเองด้วยความพะวักพะวน
“ขอให้แผนนี้สำเร็จ และลูกแม่ปลอดภัยด้วยเถอะ”
เจ้าดาเรศนั่งนิ่งเพราะตกอยู่ในมนต์สะกด ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น มีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น บันดาสาหันไปมอง
โฉมสุรางค์เดินออกมาจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำในชุดนางพญาเขมรชุดเดียวกับที่เจ้าดาเรศสวมทุกประการ และปักปิ่นแบบเดียวกับเจ้าดาเรศบนเรือนผมด้วย
โฉมสุรางค์เดินเข้าไปกลางวงเทียน แล้วนั่งลง มองมายังเจ้าดาเรศ รำพึงอย่างสาสมใจ
“อีกไม่นาน ข้าก็จะเข้าไปอยู่ในร่างที่สินธุรักนักหนา และได้ครองรักกับสินธุอย่างที่ข้าเฝ้ารอมานานแสนนาน”
เจ้าดาเรศนั่งนิ่งอยู่ในภวังค์แห่งมนต์สะกด
โฉมสุรางค์นั่งลงในท่าขัดสมาธิในวงเทียนตรงข้ามกัน ตวัดสายตามองเจ้าดาเรศด้วยความเกลียดชัง
“พี่บันดาสา เริ่มพิธีได้เลย”
บันดาสาถอนใจใหญ่พยายามข่มใจ ก่อนเข้าไปยืนข้างๆ เจ้าดาเรศ
“เจ้าดาเรศ เจ้าจงหลับตา”
เจ้าดาเรศหลับตาลงตามสั่ง สายตาบันดาสาเต็มไปด้วยความกังวล และห่วงใย
บันดาสาชูมือทั้งสองขางในท่าห้ามไปทางลูกแก้วทั้งสองลูก หลับตาลง ถอนหายใจ พยายามรวบรวมสมาธิ ท่องมนตราออกมา
“ซิน...อา...รู ซิน...อา...รู ซิน...อา...รู”
ทันใดนั้น เหมือนกับว่าบริเวณที่โฉมสุรางค์กับเจ้าดาเรศนั่งอยู่เริ่มหมุนรอบตัวเองช้าๆ
มีควันสีขาวลอยออกจากจมูกโฉมสุรางค์แล้วลอยไปที่ลูกแก้วลูกหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับที่มีควันสีขาวออกจากจมูกเจ้าดาเรศแล้วลอยไปที่ลูกแก้วลูกหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
บริเวณที่โฉมสุรางค์กับเจ้าดาเรศที่นั่งอยู่ หมุนรอบตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างเร็วขึ้นๆ
มือของบันดาสาชูค้างในท่าห้ามไปทางลูกแก้วทั้งสองลูก ท่องมนตราคำเดิม
“ซิน...อา...รู ซิน...อา...รู ซิน...อา...รู”
กระถินมองไปที่บริเวณพิธีด้วยสีหน้าตื่นเต้น เป็นห่วงเจ้าดาเรศ เจ้าพงษ์สุริยันเขย่ากรงตะโกนเสียงดัง
“คุณโฉม ปล่อยลูกดา ปล่อยลูกดาเดี๋ยวนี้”
กระถินเข้าไปประคองเจ้าพงษ์สุริยันไว้อย่างเป็นห่วง
“เจ้า ใจเย็นๆ ค่ะ” พลางฝืนใจปลอบเจ้าพงษ์สุริยันและปลอบตัวเองด้วย “เจ้าก็บอกเองว่ายายไม่มีทางทำร้ายเจ้าดาเรศ ยายต้องกำลังหาทางช่วยเจ้าดาเรศอยู่แน่ๆ”
“แล้วนี่พิธีอะไร ทำไมน่ากลัว ฉันเป็นห่วงลูก”
กระถินนิ่งคิด “คุณโฉมจะฆ่าเจ้าดาเรศ แต่ยายเสนอให้ทำพิธีนี้” สุดท้ายคิดได้ “หรือยายอาจจะคิดว่าให้เจ้าดาเรศไปอยู่ในร่างคุณโฉมก็ยังดีกว่าถูกฆ่าก็ได้”
เจ้าพงษ์สุริยันฟังบันดาสาแล้วยิ่งกลัว
“มันจะไปดีกว่าได้ยังไง”
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 18 (ต่อ)
มุมหนึ่ง ตรงบริเวณหน้าปากถ้ำอาบน้ำโลหิตที่ว่างเปล่าไม่มีใคร ได้ยินเสียงคนเดิน และเห็นรอยหญ้าแหวกแต่ไม่เห็นตัวคน
รอยหญ้าแหวกนั้นเกิดจากรชากับเจ้าพงษ์นครที่ถือปืนคนละกระบอก แบกเป้ทหารใบใหญ่มาคนละใบ แต่คนทั่วไปมองไม่เห็นทั้งสองคน ด้วยสองหนุ่มกินว่านปิดตาของแม่เฒ่านายิกีแล้ว
เวลานี้รชากับเจ้าพงษ์นครเดินมาหยุดซุ่มอยู่ห่างจากปากถ้ำอาบน้ำโลหิตไม่ไกลนัก
“เรารีบระเบิดปากถ้ำแล้วบุกเข้าไปเลยดีกว่า” รชาบอก
เจ้าพงษ์นครพยักหน้ารับ เห็นด้วย ก่อนจะมองไปที่ปากถ้ำอย่างเตรียมพร้อม แล้วชะงัก เบิกตากว้าง โดยไม่อยากเชื่อสายตา
“คุณรชา ดูนั่นสิครับ”
รชามองไปที่ถ้ำตกใจไม่ต่างกัน ด้วยพบว่าบริเวณปากถ้ำยามนี้มีไอ้โล้น 1 เดินไปเดินมาเฝ้ายามอยู่ สองหนุ่มเพ่งมองไปที่ไอ้โล้นอย่างไม่เชื่อสายตา
“ไอ้โล้นจริงๆ ด้วย”
“แต่มันถูกแม่เฒ่าฆ่าตายไปแล้ว” รชาประหลาดใจ
“หรือเพราะมันเป็นผีดิบ มันถึงฆ่าไม่ตาย”
รชาถอนใจใหญ่หนักหน่วง ก่อนจะพูดอย่างเด็ดขาดออกมาว่า
“จะตายไม่ตายเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก...ลุยอย่างเดียว”
สองหนุ่มมองหน้ากัน พยักหน้าให้กัน พร้อมลุย ก่อนจะย่องตามกันไปอย่างระมัดระวัง
ไอ้โล้น 1 ยืนเฝ้าระวังยามอยู่ รชากับเจ้าพงษ์นครย่องอย่างเบาที่สุดไปทางด้านหลังมัน
ที่ด้านหลัง ไอ้โล้น 1 คล้ายมีเสียงฝีเท้าคนเดินสวบสาบเบามากๆ บนใบไม้แห้ง โดยไม่เห็นตัวคน ไอ้โล้น 1 ได้ยิน ก็หันขวับไปทางเสียง แต่ไม่เห็นตัวใคร ไอ้โล้น 1 สีหน้าฉงนและสงสัย มันเดินเข้ามาตรงที่ได้ยินเสียงฝีเท้า
เจ้าพงษ์นครกับรชาชะงัก ตกใจที่เห็นว่าไอ้โล้นได้ยินเสียงพวกเขา ไอ้โล้นเห็นไม่มีใครก็หันหลังเดินกลับไป
รชากับเจ้าพงษ์นครให้สัญญาณกัน แล้วค่อยๆ ย่องกลับไปที่เดิม
สองหนุ่มเดินออกมาจนห่างจากไอ้โล้น 1 หารือกัน สีหน้าหนักใจ
“ถึงไอ้โล้นมันจะมองไม่เห็นเรา แต่มันก็ได้ยินเสียง แล้วก็เห็นรอยเท้าเราอยู่ดี” รชาว่า
เจ้าพงษ์นครใช้ความคิด “เอางี้ ผมว่าเราแยกกันก่อนดีกว่า ผมจะล่อมันไปทางโน้น คุณรชารีบไประเบิดปากถ้ำ แล้วผมค่อยหาทางตามเข้าไป”
รชากังวลอยู่ดี “เจ้าคนเดียวจะเอาโล้นไหวเหรอ”
เจ้าพงษ์นคร ยิ้มนิดๆ ฮึดสู้
“สบายมากครับ ถ้าตัวต่อตัวอย่างนี้ ผมเอาอยู่”
“งั้นส่งเป้มาเลย ผมจัดการเอง”
เจ้าพงษ์นครส่งเป้บนหลังตัวเองให้รชาไป
รชารับเป้มาเปิดตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง เห็นระเบิดเป็นตับอยู่ในเป้นั้น รชาปิดเป้ก่อนจะยกขึ้นสะพายบ่า
“ระวังตัวด้วยนะเจ้า”
เจ้าพงษ์นครพยักหน้ารับ ก่อนจะแยกย้ายกันไป
รชายืนซุ่มดูอยู่ ส่วนเจ้าพงษ์นครถือปืนค่อยๆ ย่องไปทางปากถ้ำที่ไอ้โล้น 1ยืนยามอยู่
รชามองตามไปอย่างลุ้นระทึก เห็นไอ้โล้น 1 เดินยามอยู่ที่ปากถ้ำท่าทีขึงขัง
เจ้าพงษ์นครเดินไปหยุดใกล้ๆ ไอ้โล้น 1 อย่างทำใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านหน้ามันไป โดยทำให้เกิดเสียงฝีเท้าคนเดินสวบสาบบนใบไม้แห้ง
ไอ้โล้น 1 ชะงัก เพราะได้ยินเสียงสวบสาบที่บริเวณเบื้องหน้าตน มันมองจ้องไปบริเวณที่ได้ยินเสียง
และเห็นรอยเท้าของเจ้าพงษ์นครเหยียบใบไม้แห้งเป็นรอยเดินอยู่บริเวณเบื้องหน้านี่เอง
รชาจดสายตามองตามเจ้าพงษ์นครไปอย่างเป็นห่วง เห็นเจ้าพงษ์นครเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งให้เกิดเสียงดังยิ่งขึ้น จงใจยั่วยุไอ้โล้น 1
“ทางนี้โว้ย”
ไอ้โล้น1 มองหาที่มาของเสียง พบว่าที่พื้นดิน เห็นรอยเหมือนมีคนกำลังวิ่งผ่านใบไม้
รชามองดูเจ้าพงษ์นครที่วิ่งล่อไอ้โล้น 1 ออกไปจากปากถ้ำ
ไอ้โล้น 1 ยืนงงอยู่ชั่วขณะ เห็นรอยเท้าของเจ้าพงษ์นครเหยียบใบไม้แห้งเป็นรอยวิ่งไกลออกไปมันคำรามออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะรีบวิ่งตามรอยเท้านั้นไป
รชาที่ซุ่มอยู่มองตามไอ้โล้น 1 ไป ก่อนจะรีบแบกเป้เดินไปที่ปากถ้ำทันที
ไอ้โล้น1 วิ่งเข้าใส่บริเวณว่างเปล่าที่ได้ยินเสียงพงษ์นครและเห็นรอยเท้าพงษ์นครที่วิ่งไป
แล้วโล้น1ก็กระแทกกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น แล้วกระเด้งออกมาอย่างแรง
“นี่แน่ะ”
เป็นเจ้าพงษ์นครนั่นเองที่เป็นคนถีบ ไอ้โล้น 1 มันร้องร้องคำรามลั่นด้วยความโกรธปนเจ็บ
“อ๊าก...”
ไอ้โล้น 2 ยืนยามอยู่อีกทิศหนึ่ง ได้ยินเสียงไอ้โล้น 1 ร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด
ไอ้โล้น 2 ตกใจหันไปตามเสียงไอ้โล้น 1 ร้อง
เช่นเดียวกับ ไอ้โล้น 3 ไอ้โล้น 4 ที่ยืนยามอยู่อีกคนละทิศ ได้ยินเสียงโล้น 1 ร้อง ก็ตกใจหันไปตามเสียง ไอ้โล้น ทั้ง 3 ออกวิ่งไปทางที่ได้ยินเสียง
ฝ่ายรชากำลังหยิบอุปกรณ์การระเบิดและสายชนวนออกมาวางที่ปากถ้ำ ได้ยินเสียงโล้น 1 คำรามด้วยความเจ็บปวดดังแว่วมา ก่อนจะมีเสียงวิ่งดังมาจากอีกทางหนึ่ง รชาหยุดชะงัก หันไปมองตามเสียง เห็นไอ้โล้น 2 วิ่งมาจากทางหลังถ้ำ
“เฮ้ย มาได้ไงเนี่ย”
รชายืนอึ้ง ตะลึงงัน ก่อนจะเห็นไอ้โล้น 3 ไอ้โล้น 4 วิ่งมาจากอีกสองทิศ
สามโล้นมุ่งไปทางเจ้าพงษ์นคร รชาตาเหลือก นึกไม่ถึง
“ทำไมมันหลายตัวนักวะ” รชาออกอาการพะว้าพะวัง “เจ้าพงษ์แย่แน่ๆ”
รชาตัดสินใจเอาเป้ระเบิดวางซ่อนไว้ในพุ่มไม้ ก่อนจะหยิบปืนที่เหน็บเอวไว้ออกมา รีบวิ่งไปทางเจ้าพงษ์นคร
โล้น 1 ที่เพิ่งโดนถีบจนล้มสีหน้างงงัน เจ้าพงษ์นครชักปืนขึ้นมาจะยิงใส่
“ไอ้โล้น เสร็จฉันแน่”
มีเสียงฝีเท้าคน 2-3 คนดังใกล้เข้ามา เจ้าพงษ์นครหันไปตามเสียง เห็นไอ้โล้น 2 ไอ้โล้น 3 และไอ้โล้น 4 วิ่งคำรามเข้ามา เจ้าพงศ์นครชะงักไปอย่างตกใจ
“เฮ้ย เป็นไปได้ยังไงวะ หรือว่าเหนื่อยจนตาฝาด”
ขณะที่เจ้าพงษ์นครขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตานั้น ไอ้โล้น 1ก็ลุกขึ้นเล็งแลแล้วพุ่งมาที่เจ้าพงษ์รชาด้วยท่าทางดับเครื่องชน เจ้าพงษ์นครล้มลงไป ใบไม้แห้งแตกกระจาย ปืนในมือกระเด็นออกไปไกล
“โอ๊ย”
แม้จะไม่เห็นตัว ไอ้โล้น1 ส่งสัญญาณให้สามโล้น รู้ว่ามีคนที่มองไม่เห็นตัวอยู่บริเวณที่ใบไม้แห้งแตกกระจาย
ไอ้โล้นทั้ง 4 ตัว กรูกันเข้ามาล้อมกรอบบริเวณนั้นไว้
เจ้าพงษ์นครตกใจ หน้าซีด รชาวิ่งตามมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง เห็นไอ้โล้นทั้ง 4 ตัวยืนล้อมเจ้าพงษ์นครไว้ กางเล็บเตรียมขยุ้มร่างที่ตกอยู่กลางวงล้อม เจ้าพงษ์นครหันมาเห็นรชา ใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากคิดหาทางออก
ส่วนในถ้ำ บันดาสาชูมือทั้งสองข้างในท่าห้ามไปทางลูกแก้วทั้งสองลูก
“ซิน...อา...รู ซิน...อา...รู ซิน...อา...รู”
บริเวณที่ร่างของทั้งคู่ที่นั่งอยู่หมุนรอบตัวเองไปเรื่อยๆ
มีควันสีขาวออกจากจมูกโฉมสุรางค์แล้วลอยไปที่ลูกแก้วลูกหนึ่งอย่างต่อเนื่องดังเดิม และควันสีขาวออกจากจมูกเจ้าดาเรศแล้วลอยไปที่ลูกแก้วลูกหนึ่งอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
สักครู่หนึ่งบันดาสาหยุดท่องมนต์ มองไปที่เจ้าดาเรศอย่างพะว้าพะวัง ก่อนจะค่อยๆ ลุกเดินถอยหลังเลี่ยงออกมาจากบริเวณพิธี
เจ้าพงษ์สุริยันกับกระถินกำลังเกาะลูกกรงมองไปที่เจ้าดาเรศ ใจหายใจคว่ำ ก่อนจะเห็นบันดาสาค่อยๆ เดินเลี่ยงเข้ามา
กระถินโวยสายเสียงกระซิบ “ยาย นี่กำลังทำอะไรของยาย”
“บันดาสา อย่าทำลูกดา ช่วยลูกดาด้วย”
เจ้าบันดาสามองไปที่เจ้าพงษ์สุริยันและกระถินด้วยสายตาเข้มแข็ง พูดบอกด้วยเสียงหนักแน่น
“ฟังข้า...ข้ากำลังทำพิธีเรียกดวงจิตของแม่หญิงกับเจ้าดาเรศให้เข้าไปอยู่ในลูกแก้ว...ทันทีที่ดวงจิตของแม่หญิงเข้าไปอยู่ในลูกแก้วแล้ว ข้าจะปล่อยดวงจิตเจ้าดาเรศให้กลับเข้าร่าง”
เจ้าพงษ์สุริยันสงสัย “แล้วลูกดาจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
บันดาสาส่ายหน้าอย่างมั่นใจ
“เมื่อดวงจิตกลับเข้าร่าง เจ้าดาเรศก็จะรู้สึกตัว พวกเจ้าต้องรีบพาเจ้าดาเรศหนีออกไปทันที”
กระถินคาใจ “แล้วคุณโฉมล่ะ ยายจะทำยังไงกับคุณโฉม”
บันดาสานิ่งงันไป ยังไม่ทันตอบอะไร เจ้าพงษ์สุริยันมองเลยร่างบันดาสาออกไป เบิกตาโตด้วยสีหน้าตกใจ
“คุณโฉม”
บันดาสาหันขวับไปดูทางแท่นพิธี
บริเวณที่ร่างของเจ้าดาเรศกับโฉมสุรางค์นั่งอยู่ที่หมุนรอบตัวเองไปเรื่อยๆ หยุดหมุนอย่างกะทันหัน
ควันสีขาวที่ค่อยๆ ลอยออกจากจมูกโฉมสุรางค์หยุด โดยควันสีขาวที่ลอยออกมาลอยกลับเข้าไปในจมูกโฉมสุรางค์ บันดาสาตกใจ รีบเดินกลับไปที่บริเวณพิธี
“แม่หญิง”
โฉมสุรางค์ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวออกมาจากวงล้อมของเทียน เดินตรงเข้ามาหาบันดาสา
“แม่หญิง ใยจึงหยุดการถอดจิตเสียเล่า”
โฉมสุรางค์ตอบเสียงเรียบ “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” พลางมองบันดาสาอย่างรู้ทัน ยิ้มเยือกเย็น “ข้าจะรอให้ดวงจิตของนังดาเรศมันเข้าไปอยู่ในลูกแก้วซะก่อน...แล้วข้าจึงจะถอดจิตเข้าไปอยู่ในร่างของมันเลย”
บันดาสาหน้าเสีย พยายามหาทางแก้ไขเสียงตะกุกตะกัก
“แต่ว่า...”
โฉมสุรางค์ตวัดสายตามองบันดาสาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด น้ำเสียงเย็นเยียบอำมหิต
“วิธีนี้ง่ายกว่าตั้งมากมาย เหตุใดข้าจึงต้องเสี่ยงถอดดวงจิตของตัวเองไปไว้ในลูกแก้วด้วยเล่า จริงมั้ยพี่บันดาสา”
บันดาสาพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าไปส่งๆ
โฉมสุรางค์หันกลับไปมองที่เจ้าดาเรศ เห็นควันขาวออกจากจมูกเจ้าดาเรศไหลเข้าไปอยู่ในลูกแก้วอย่างต่อเนื่องดังเดิม
ฝ่ายรชา เห็นเจ้าพงษ์นครอยู่ในวงล้อมของไอ้โล้นทั้ง 4 ที่ต่างกำลังกางกรงเล็บ เดินสามขุมตรงเข้าไปหมายจะขยุ้มเจ้าพงษ์นครในอีกไม่กี่เสี้ยววินาที
รชาตัดสินใจยิงปืนกระหน่ำไปที่ไอ้โล้นทั้ง 4 ตัว ทว่าผิวที่ถูกยิงกระจุยเหมือนเวลายิงกระสุนไปที่ต้นไม้ ไอ้โล้นทั้ง 4 ชะงัก เหลียวมองหาที่มาของกระสุน
เจ้าพงษ์นครถือโอกาสนั้น วิ่งออกจากวงล้อมตรงไปหยิบปืนที่ตกอยู่ ก่อนจะวิ่งไปรวมตัวกับรชาหอบหายใจ อย่างออกสั่นขวัญแขวน
“ลูกปืนทำอะไรมันไม่ได้จริงๆ”
รชามองไปที่ไอ้โล้นทั้ง 4 ที่กำลังวิ่งตะลุยเข้ามาเพราะเห็นทิศทางที่มาของกระสุนแล้ว
“ยังไงก็ต้องยิงสกัดไว้ก่อน”
รชากับเจ้าพงษ์นครหันหลังชนกัน ช่วยกันรัวปืนใส่ไอ้โล้นทั้ง 4 ตัวที่กำลังดาหน้าตรงเข้ามา
ไอ้โล้นทั้ง 4 เข้ามาใกล้สองคนมากขึ้นทุกที ทุกตัวคว้าหินก้อนยักษ์เดินตรงเข้ามาอย่างช้าๆ แต่มั่นใจ เข้ามาล้อมกรอบรชาและเจ้าพงษ์นครไว้ ก่อนจะสุ่มทุ่มหินมาที่สองหนุ่มซึ่งหลบได้อย่างหวุดหวิด 3 ก้อน
ในขณะที่ไอ้โล้นตัวที่ 4 กำลังจะทุ่มหินใส่รชากับเจ้าพงษ์นครในระยะอันใกล้ ทันใดนั้นเอง หินก้อนใหญ่ในมือไอ้โล้น 4 ก็แตกกระจายเป็นผุยผง
รชากับเจ้าพงษ์นครหันไปทางหนึ่ง แลเห็นแม่เฒ่านายิกีในร่างโปร่งใส เพิ่งใช้อำนาจมนตราระเบิดหินจนกระจุยไป
สองหนุ่มดีใจมาก “แม่เฒ่า...”
ไอ้โล้น 4 ตน ชะงักหันไปตามสายตารชากับเจ้าพงษ์นคร คำรามอย่างดุร้าย นายิกีมอง 4 ไอ้โล้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“รุกขสุรกาย (รุก-ขะ-สุ-ระ-กาย) หรือนี่”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนายิกี ร่างของไอ้โล้นทั้ง 4 ตัวก็เคลื่อนมารวมกัน และกลายเป็นไอ้โล้นยักษ์ ลำตัวของมันสูงใหญ่เท่าต้นไม้ พุ่งเข้าไปหานายิกีอย่างรวดเร็ว หมายจะคว้าร่างโปร่งใสของนายิกีให้ได้
รชากับเจ้าพงษ์นครผงะหงายตกใจสุดขีด แม่เฒ่านายิกีมองอย่างไม่หวั่นไหว พนมมือ จ้องไปที่ไอ้โล้นยักษ์
“เตโช-กสิณัง เตโช-กสิณัง เตโช-กสิณัง”
พลันนั้นเอง เกิดไฟลุกโหมไหม้ไอ้โล้นยักษ์อย่างรุนแรง มันคำรามอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ก่อนจะไหม้เหลือเป็นกองขี้เถ้า
นายิกี รชา และเจ้าพงษ์นครถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน โล่งอกที่พากันรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่จะพากันมองเข้าไปด้านในอย่างเป็นกังวล
อ่านต่อตอนที่ 19