xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 4

เช้าวันนี้ ดวงแก้วสวมผ้านุ่งและเสื้อสีขาวเรียบร้อยมาทำบุญที่วัดละแวกบ้าน และกำลังประเคนของสังฆทานและอาหารอยู่บนศาลา กับปลั่งและพุด หลวงตารับของแล้วตั้งตาลปัตร

“เอ้า ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลถึงเจ้ากรรมนายเวรญาติพี่น้องนะพระเริ่มสวด ดวงแก้ว กรดน้ำ ตาพุด ยายปลั่ง เกาะตามกันสีหน้าดวงแก้ว ไม่ค่อยสบายใจนัก”
เบื้องหลังสามคน เป็นโรจน์ ชายผมเผ้าดูรุงรังในชุดหม้อฮ่อม เดินเซเหมือนคนเมา ทั้งที่ไม่เมา อาการคล้ายคนสติไม่อยู่กับตัว โรจน์หิ้วเครื่องมือวาดรูปมาด้วย พอขึ้นมาบนศาลาชะงัก เมื่อเห็นกลุ่มดวงแก้วกรวดน้ำอยู่
ตาพุดที่มือหนึ่งเกาะต่อเอวเมียกรวดน้ำ กำลังหลับตาอยู่ดีๆ มีนิ้วจิ้มมาที่พุง พุดสะดุ้งโหยง หันไป เจอหน้าโรจน์ สภาพกระเซอะกระเซิง สวมหมวกหรุบหน้า อ้าปากแยกยิ้ม ยกมือพนมข้างเดียวที่อก อีกมือจิ้มเอวพุดอยู่ พุดค้อนปะหลักปะเหลือก แต่ไม่กล้าพูด รอจนพระสวดมนต์เสร็จ
“ใครวะเนี่ย อยู่ๆ มาจิ้มเอว จักกะเดี๋ยมแทบแย่ ไป”
โรจน์แยกยิ้มท่าทีน่าขัน “ขอแบ่งบุญด้วย หวงเหรอ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ดวงแก้วบอกกับโรจน์ “ดีแล้ว ร่วมกันอนุโมทนาบุญกันนะจ๊ะ”
โรจน์คุกเข่า กราบพระสามที แล้วคว้าของลุกเดินไป
“ใครน่ะเจ้าคะ หลวงตา ท่าทางเหมือนคนไม่เต็มเต็ง” ปลั่งถาม
“เขาว่าเขาชื่อ โรจน์ เป็นใครมาจากไหนอาตมาก็ไม่รู้ มาขออาศัยอยู่วัดได้สักเดือนมาแล้ว”
พุดหันไปมอง เห็นโรจน์เริ่มตั้งขาหยั่งวางกระดาษ เริ่มวาดรูป
“หลวงตา ระวังนะครับคนสุ่มสี่สุ่มห้า” พุดป้องปาก “ไม่ได้ว่านะ เกิดเป็นขโมย ขะโจร จะทำไงล่ะครับ”
“ก็ดี หลวงตาจะได้สอนธรรมะให้กลับตัวกลับใจ” หลวงตาหัวเราะ
“อั้นแน๊” พุดขำ
“นายคนนี้คงไม่กล้าทำผิดศีลหรอก เห็นว่า เคยไปเที่ยวนรกมา” หลวงตาบอก
สองผัวเมียตาโต “ฮ้า” / “ว่าไงนะคะ”
“มาอยู่นี่ วันๆ ก็เอาแต่วาดรูป...นี่ไง”
หลวงตาดึงกระดาษวาดรูปสามสี่ใบข้างตัวมา เสือกไปให้
ตาพุดหยิบมาดู แต่ดูไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นภาพแอปแสตรกใช้สีฉุดฉาด ดำแดง และ มีเงาร่างคนในนรก ดูไม่ค่อยชัดนัก เหมือนยังคุมสติไม่อยู่ในการวาด
“ดูไม่เห็นรู้เรื่อง คนบ้าแหงๆ หลวงพ่อก็ระวังตัวหน่อยนะครับ”
ดวงแก้วหันไปมองโรจน์ เห็นโรจน์กำลังนั่งวางท่าวาดรูป ไม่สนใจใคร

เช้าวันเดียวกัน เจริญขวัญเปิดหน้าต่างห้องออกมา สีหน้าท่าทางไม่ค่อยแจ่มใส ตั้งแต่มีอาการเมื่อวาน หญิงสาวยืนข้างหน้าต่าง ทอดสายตาไปไกลลิบ
อรุณแอบอยู่ด้านล่างข้างต้นไม้ และแอบมองเจริญขวัญอย่างปวดใจ หวนนึกถึงความสัมพันธ์ในอดีต
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่สนามฟุตบอล มีนักเรียนชายม.ปลาย เตะบอลกันอยู่ อรุณในชุดนักเรียนเดินมาต้องชะงัก เห็น เจริญขวัญและเพื่อนสาวๆ ดูเพื่อนนักเรียนชายแตะฟุตบอลในสนาม ส่งเสียงกิ๊วก๊าว อยู่ อรุณชะงักคิดปราดเดียว
อรุณเดินลงสนามไปร่วมแตะกับเพื่อน ท่าทางละล้าละลัง แต่พยายามโชว์ออฟเต็มที่ เตะพลาดอยู่หลายที เจริญขวัญและเพื่อน หัวเราะขำ
อรุณหยุดวิ่ง เอาแต่เขินอยู่หน้าประตู เลยไม่ทันเห็น เพื่อน 1 อีกคน กำลังเตะบอลมา
เพื่อนๆ ร้องบอก “เฮ้ย อรุณ
อรุณหันมาลูกบอลลอยใส่โดนเข้าที่หน้าอรุณอย่างจัง

ไม่นานต่อมา เจริญขวัญนั่งอยู่ตรงม้านั่งระเบียงหน้าห้องเรียน เห็นในสนามฟุตบอล ยังมีนักเรียนเตะบอลอยู่ เจริญขวัญกำลังเอาสำลีชุบทิงเจอร์ เช็ดหัวโนของอรุณ
“อูย...ซี้ด”
เจริญขวัญค้อน “แหม หัวโนนิดเดียว เลือดออกแค่ซิบๆ ทำร้องซะ”
“ห๊ะ เลือดออกด้วยเหรอ โฮ้ย เจ็บ”
“เล่นไม่เป็นยังไปเตะกับเขาอีกแนะ รู้นะ จะทำโชว์แมนอวดยายเมตตาล่ะซี่ เห็นแอบเหล่ๆอยู่ ใช่มะ ใช่มะ”
“เฮ่ย เปล่านะ บ้าเหรอ” อรุณซ่อนความรู้สึก แอบมองเจริญขวัญแล้วแกล้งร้องโอดโอยเจ็บเว่อร์ “โอย..ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว โอย”
เจริญขวัญขำ “มา มา เป่าให้ เพี้ยงหาย เพี้ยงหายนะ”
เจริญขวัญยื่นหน้าเป่าขมับให้ อรุณตื่นเต้น รู้สึกดี
อรุณเขินลอบมองเจริญขวัญ จนหน้าแดงโดยที่เจริญขวัญไม่รู้ ยิ้มใสกับเพื่อน

อีกวัน เจริญขวัญอยู่ในชุดดำ นั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน เงยหน้ามองรูปวาดของพ่อที่แขวนอยู่
“อรุณ พ่อเราไม่อยู่แล้ว”
อรุณลงนั่งชันเข่าข้างๆ เอื้อมมือไปโอบบ่าเจริญขวัญปลอบ
“เราคิดถึงพ่อ อรุณ เราคิดถึงพ่อ”
อรุณสงสารเจริญขวัญ โอบเธอมาพิงบ่า เจริญขวัญยังร้องไห้ไม่หยุด อรุณสงสารมือที่โอบบ่าเจริญขวัญกระชับร่างเธอเข้ามาอีก

และเขารู้สึกถึงการอยากดูแลและปกป้องเจริญขวัญเป็นครั้งแรกตั้งแต่บัดนั้น

เจริญขวัญเปิดประตูบ้านออกมา หน้าตายังอิดโรยอยู่ เธอเดินมาตรงหน้าระเบียง ทันใดนั้นมีลูกโป่งสีสด ลอยผ่านหน้าไปใบหนึ่ง เจริญขวัญแปลกใจ พอหันมาอีกทาง ลูกโป่งอีกหนึ่งใบก็ลอยผ่านหน้าไปอีก เจริญขวัญมองตามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เจริญขวัญเดินเรื่อยๆ มาจนหยุดหน้าต้นไม้หน้าบ้าน เห็นว่าบนต้นไม้ มีลูกโป่งผูกเต็มไปหมด เจริญขวัญมองอย่างประหลาดใจและชอบใจว่าสวย
อรุณเดินเข้าเฟรมด้านหลังเจริญขวัญ อรุณเอามือไขว้หลังอยู่ถือบางอย่างซ่อนอยู่
เจริญขวัญรู้สึกได้ว่ามีใครอยู่ข้างหลังก็หันมา เมื่อเห็นเป็นอรุณ เจริญขวัญก็หน้าเคร่งขึ้น จะเดินหนี
“เดี๋ยว ขวัญ”
เจริญขวัญชะงัก อรุณเดินเข้ามาอย่างขัดเขิน ขลาดๆ
“เอ้อ...ขวัญ เคยชอบลูกโป่ง...เราเลยเอามาให้ขวัญ ผูกมันเยอะๆ ก็สวยดีนะ”
“เธอนึกว่าทำแค่นี้ แล้วฉันจะยกโทษให้เหรอ”
เจริญขวัญจะเดินไป
“เดี๋ยวสิขวัญ”
เจริญขวัญนิ่ง
อรุณตื่นเต้นขึ้น “งั้น เอางี้มั้ย ถ้าเราทำให้ขวัญหัวเราะได้ ขวัญต้องยกโทษให้เรานะตกลงนะ”
เจริญขวัญกอดอก ยังงอนอยู่ แต่อยากรู้
“ทำให้เราหัวเราะเหรอ ไม่มีทางหรอก”
อรุณยิ้มตื่นเต้น “น่า ตกลงนะ”
เจริญขวัญนิ่งเป็นเชิงยอมรับ
อรุณดีใจหันหลังไป เจริญขวัญมองอย่างสงสัย
อรุณดูดแก๊ซฮีเลี่ยมในลูกโป่ง แล้วหันมา ยิ้ม
อรุณทำเสียงแหลมเหมือนเป็ด “ขวัญ เราขอโทษ...”
เจริญขวัญตาโต คาดไม่ถึง
“เรา ผิดไปแล้ว เรามันโง่ ฮา ฮ๊า ฮ๊า”
เจริญขวัญกลั้นหัวเราะ พยายามทำหน้าเคร่งไว้ อรุณลดมือลงทำท่าเดินเป็ด เดินไปเดินมา
“ก๊าบ ก๊าบ...ก้าบ ก้าบ…”
เจริญขวัญทนไม่ไหว หลุดหัวเราะ อรุณเดินเป็ดให้เจริญขวัญดู
อรุณค่อยๆ เงยมองเจริญขวัญ
“ขวัญ เราขอโทษนะ”
เจริญขวัญขัด ช่างเถอะ เราลืมมันไปแล้ว อรุณก็ต้องลืมเหมือนกันแค่...” เจริญขวัญมองหน้า เน้นคำอย่างขอร้อง “จำไว้อย่างเดียวว่า เราเป็นเพื่อนกัน...นะ”
อรุณอึ้งไป ถอนหายใจยาว แล้วก็ยิ้มพยักหน้า เจริญขวัญยิ้มกว้าง

ฟากย่าอุ่นนอนหลับตาอยู่ ปากเผยอหายใจรวยริน ขณะที่ทนายวันชัยก้มกระซิบเล่าอะไรบางอย่างจนจบ ทนายวันชัยเงยหน้าขึ้น ย่าอุ่นก็ค่อยๆ ลืมตา
“ตาเล็ก ตายแล้ว...เหรอ” หญิงชราสะดุดคิดถึงตัวเองหากไม่ได้ทำดีก่อนตาย และเริ่มกลัว “ลูก..เมีย มันยโส นัก” ย่าอุ่นอยากร้องไห้ กลัวตกนรกไม่ใช่สำนึกผิด “แล้ว..ชั้นจะทำยังไงดี...ชั้น...กลัว”
“คุณหญิง...กลัวอะไรเหรอครับ” วันชัยถาม
ย่าอุ่นพูดไม่ออก หันหน้ามาอีกทาง เห็นผีนางหยก นอนแนบหน้ากับหมอนใกล้กับหน้าตน ยิ้มแสยะให้
“นรกไง ใช่ไหม นังอุ่น...เอ็งน่ะ กลัวตกนรก” ผีนางหยกหัวเราะเสียงหวีดแหลม
ย่าอุ่นมองนางหยก หมดสภาพไร้เรี่ยวแรง ได้แต่หลับตาลง

อิศรากำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องท่าทางหงุดหงิด วันชัยเดินซับเหงื่อออกมา
“คุณอา ทำไมหมู่นี้คุณย่าเรียกหาบ่อยเหลือเกินครับ ผมถามจริงๆ มีอะไรกันครับ”
“จะต้องให้ผมตอบกี่ที คุณอิศถึงจะเข้าใจว่าผมพูดอะไรไม่ได้”
“งั้นตอบผมมาคำเดียว คุณย่าเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมหรือเปล่าครับ”
ทนายวันชัยมองหน้าถอนหายใจยาว
อิศราอึ้งไป

ย่าอุ่นนอนหลับตาอยู่ อิศราเดินเข้าลงนั่งข้างเตียง
“คุณย่า...คุณย่าครับ”
ย่าอุ่นค่อยๆ ลืมตา
อิศราอึดอัดใจมาก “ที่ผ่านมา ผมทำผิดกับคุณย่าเพียงครั้งเดียว แต่...นอกจาก เรื่องนั้น...ผมก็เชื่อฟังคุณย่าเสมอ ผม...ไม่เคยทอดทิ้งคุณย่าเลย”
ย่าอุ่นไม่มองหน้าอิศรา มองผ่านไปปลายเตียง
“ถึงคุณพ่อผม จะเป็นเพียงเด็กที่คุณย่าเก็บมาเลี้ยง... ถึงแม้ ผมอาจจะไม่ได้มีสายเลือดของคุณย่า แต่” อิศรามองย่าอุ่น น้ำตาคลอเบ้า “สำหรับผม คุณย่า ก็คือคุณย่าแท้ๆ ของผม เพียงคนเดียว”
อิศรามองรอบห้อง แค่นยิ้ม “พ่อผม ดูแล รักษาบ้านนี้ ผมโตมากับบ้านหลังนี้ มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมมีครอบครัว มีหัวนอนปลายตีน แล้วคุณย่าก็บอกกับใครๆมาหลายปีแล้ว ว่าบ้านหลังนี้จะเป็นของผม”
อิศรายื่นหน้าไปใกล้ย่าอุ่น พยายามยิ้มทั้งที่น้ำตาคลอเจียนหยด
“คุณย่าครับ...มันยังเป็นอย่างนั้นอยู่ใช่ไหมครับ”
ย่าอุ่น เหลือบตามองอิศรา อย่างทั้งรัก สงสารและระคนกับความอิดโรย และหวาดกลัว
ผีนางหยก เข้าเฟรมใกล้ชิดหน้าย่าอุ่น
“บอกลูกของตาใหญ่ไปสิ ว่าแก จะเอาสมบัติไปยกให้คุณเล็กเพื่อหวังจะไถ่บาป เพราะแก ไม่อยากตกนรก”
ย่าอุ่นอ้าปากจะพูดบอก แต่มองหน้าอิศราแล้วก็ไม่กล้าพูด
ผีนางหยกหัวเราะเสียงแหบพร่า “เอ้า ทำไมไม่พูดล่ะ นังอุ่น แก กลัวมันจะทิ้งแกไป ไม่มีคนดูแลแกใช่มั้ยล่ะ แกกลัว ว่าถ้าแก ไม่มีสมบัติ แกก็ต้องเปื่อยผุเน่าไปตามลำพัง คนใจดำอย่างแก ใคร๊ มันจะรักจริ๊ง”
ผีนางหยกกรีดเสียงหัวเราะหยัน
ย่าอุ่นน้ำตาคลอ มองอิศราที่กำลังพยายามยิ้มทั้งที่จะร้องไห้ แล้วได้แต่เบือนหน้าหนี โรยแรง

เจริญขวัญอยู่ในห้องพระ เพิ่งกรวดน้ำเสร็จ ก้มกราบพระสามครั้งอย่างดงาม ขณะจะลุกออกไปพร้อมภาชนะกรวดน้ำในมือ พลันสายตามองไปที่รูปบิดา พบว่ามีซองจดหมายสีน้ำตาลซองนั้นวางอยู่เจริญขวัญสงสัย หยิบมา
“ทำไมแม่มาวางไว้ที่นี่”
เจริญขวัญเปิดซอง หยิบจดมายออกมาอ่าน สีหน้าพิศวง

ออกจากห้องพระเจริญขวัญเดินเข้ามามองดวงแก้วอย่างสงสัยว่าทำไมแม่ไม่บอก
ดวงแก้วคร่ำเคร่ง อยู่กับการทำบัญชี และ ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เจริญขวัญเดินไปใกล้ดวงแก้ว ยิ่งมองอาการแม่ยิ่งสงสาร ตัดสินใจไม่ถามอะไร
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ ดวงแก้วยังง่วนทำบัญชีอยู่ ถอนหายใจยาว ปิดสมุดบัญชี เจริญขวัญมาวางแก้วโอวันตินให้แม่
“โกโก้ร้อนค่ะแม่ ดื่มอะไรร้อนๆ แม่จะได้นอนหลับสบาย”
“ขอบใจลูก”
ดวงแก้วดื่ม เจริญขวัญเข้าชิด กอดพิงดวงแก้ว
“อะไรลูก”
“ขวัญรักแม่”
ดวงแก้วฉงน “หือม์ เป็นอะไรขึ้นมา”
เจริญขวัญเสียงใส “ก็เรามีกันสองคนแค่นี้ ไม่ให้บอกรักแม่ จะให้ขวัญไปบอกรักใครล่ะจ้ะ” หญิงสาวยิ้มมองแม่ “รักแม่ รักแม่ รักแม่ รักแม่ รักที่สุดในโลกเลย”
“จ้า แม่ก็รักหนู”
ดวงแก้วเอนตัวมาหอมเจริญขวัญ แล้วรู้สึกสะดุดใจว่าทำผิดหรือไม่ที่ไม่ให้ขวัญไปพบย่าอุ่น

แม่ลูกกอดรักกัน ต่างคนต่างมีบางอย่างในใจ

อีกฟาก ขณะที่อรอนงค์จะเดินผ่านห้อง แล้วชะงัก แอบฟังเอกดนัยพูดโทรศัพท์

“โธ่ อีกสองวัน ผมต้องบินแล้ว ขอเจอหน้าเพื่อชาร์จแบตหัวใจหน่อยนะ...ทำไมล่ะครับ...น่า...” เอกดนัยยิ้ม “ได้ๆ เจอชั่วโมงเดียวก็ได้ โอเคจ้ะ ที่เดิม รักนะ จุ๊ฟๆ”
เอกดนัยวางหูหันมา แทบสะดุ้ง อรอนงค์กอดอกมองน้องชายหน้ามุ่ย
“แฟนเราคนนี้ ใครกัน ฟังดูแล้ว เล่นตัวเหลือเกิน”
“คนเรามีดี ก็เล่นตัวเป็นธรรมดา”
“พี่ว่ามากไปหรือเปล่า เอกก็ไม่ใช่ธรรมดานะ เป็นถึงสจ๊วต เงินเดือนตั้งเท่าไหร่ เราน่ะ อย่าหลงผู้หญิงจนลืมรู้คุณค่าของตัวเองสิ”
เอกดนัยเย้า “โห...พี่อร วันนี้เล่นบทแม่”
“พ่อแม่เราไม่อยู่แล้วนี่ พี่ก็ต้องเล่นบทคุณแม่บ้างล่ะ” อรอนงค์งอนน้อง
เอกดนัยขยับมาเข้าใกล้ เอาใจ “อย่าทำหน้าแบบนี้สิ ดูๆ อีกามาประทับรอยแล้ว”
อรอนงค์หน้าตึง ก่อนหันมาทางค้อนน้อง
“เอก พี่ว่ามันถึงเวลา ที่เราจะพาแฟนเรามาให้พี่รู้จักหน้าค่าตาบ้างแล้ว”
เอกดนัยอึ้งแล้วหัวเราะแก้เก้อ

สองคนอยู่ตรงริมระเบียงยอดตึกสูง เบื้องล่างเป็นภาพกรุงเทพฯ ลิบตา
ชาลินีเดินเข้ามาหัวเราะเบาๆ “ถ้าอรอนงค์รู้ว่าเป็นพี่ มีหวังอกระเบิด”
“เฮ้...พูดแบบนี้ ยอมรับว่าเป็นแฟนเอกแล้วใช่ไหม”
ชาลินีอึดอัดใจ “บ้า อย่าพูดเป็นเล่นน่ะ พี่ไม่ชอบ”
“โธ่ ชา...ชาจะเห็นผมเป็นของเล่นของชาอย่างนี้ ไปอีกนานแค่ไหน”
ชาลินีตาดุขึ้นมา “คิดแบบนี้ ก็ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลย”
ชาลินีหันหลังจะเดินหนี เอกดนัยตกใจ กลัวโดนโกรธ รีบคว้าแขน
“ปล่อยนะ”
เอกดนัยระล่ำระลัก “ไม่ ชา ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจว่าชานะ แต่ว่า...ชาจ๋า ผมอยากพาชาไปอวดใครๆ ว่าผมมีแฟนสวยที่สุดในจักรวาล...อยากพาชาไปเที่ยวรอบโลก อยากแต่งงาน อยากมีลูกกับชา”
ชาลินีสะดุ้งนิดๆ กับคำว่าลูก สวนกลับอย่างแรง “พอเลย ไม่ต้องพูดอะไรแบบนี้อีก” จนทำอารมณ์ได้ ถอนใจแรงๆ มองเอกดนัย “เอก... ตื่นซะที”
เอกดนัยเสียใจ เริ่มจริงจังมองชาลินี
“เอกไม่ได้หลับนะ หัวใจเอก มันตื่นตัว รักผู้หญิงตรงหน้าคนนี้มาหลายปีไม่เคยเปลี่ยน...ชาต่างหาก ที่ต้องตื่นจากความฝัน”
ชาลินีอึ้งกับท่าทางจริงจังของเอกดนัย
“ชาฝันที่จะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาพาชาไปอยู่ปราสาท ชา...เจ้าชายมีแต่ในฝันเท่านั้นแหละ ชาจะรอเจ้าชายในฝันไปอีกนานแค่ไหน”
เอกดนัยเดินมาใกล้ จับมือชาลินีมาประทับหน้าอกตรงหัวใจ มองหน้าชาลินี บอกอย่างมุ่งมั่น
“แต่ผู้ชายคนนี้สิ ลูกผู้ชายตัวจริงเสียงจริง ที่พร้อมจะมอบชีวิตทั้งชีวิต พิสูจน์ว่ารักชาลินี”
ชาลินีพูดไม่ออก ทั้งสงสารและอึดอัดใจ
ครู่หนึ่ง เอกดนัยดึงร่างชาลินีมากอด สีหน้าชาลินีที่แนบหน้ากับอกของเอกดนย มีความรู้สึกหลากหลายปนเป สุขปนเศร้า
ส่วนเอกดนัยสุขล้ำ “เชื่อเอกสิ ว่าเอก จะเป็นคนที่ทำให้ชามีแต่ความสุขตลอดไป”

ชาลินีหลับตา ไม่มั่นใจตัวเองแม้จะมีความรักให้เอกดนัยอยู่บ้าง

ค่ำแล้ว ย่าอุ่นนอนหลับอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตา รู้สึกตัว นึกกระหายน้ำ

“น้ำ...ขอน้ำหน่อย มีใครอยู่บ้าง”
ย่าอุ่นไอ เผลอยกมือขึ้นทาบลำคอตัวเอง แล้วย่าอุ่นก็ต้องชะงัก ค่อยๆ ยกมือข้างนั้นมาดู ทั้งประหลาดใจ และ ดีใจ ยกมืออีกข้างขึ้นมาปรากฏว่าขยับร่างกายได้
ย่าอุ่นค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น สีหน้าพิศวงกับการขยับร่างกายเองได้ ขาย่าอุ่นหย่อนลงจากเตียงวางที่พื้น
ย่าอุ่นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วมองขาตนเองที่ยืนได้ ย่าอุ่นดีใจที่ตัวเอง ดูมีกำลังวังชาขึ้นบ้างอย่างน่าประหลาด
“นี่ ชั้น...หายแล้วเหรอ”
แต่แล้วมีน้ำหยดหล่นหยดลงใบหน้าย่าอุ่นอีก ย่าอุ่นยกมือขึ้นเช็ดน้ำ แล้วค่อยๆ เงยหน้ามอง
เห็นผีนางหยกห้อยหัวจากด้านบนจ้องย่าอุ่นใกล้ๆหน้า ย่าอุ่นร้องกรี๊ด
ผีนางหยกลอยอยู่ยื่นมือมากำคอย่าอุ่น ย่าอุ่นจะดึงมือผีออก
แต่ผีนางหยกมายืนเสมอหน้าย่าอุ่น ยื่นหน้ามาจนชิด หัวเราะร่า
“อีอุ่น ใกล้เวลามึงเต็มที กูจัดการมึงได้แล้ว”
“ปะ...ปล่อย”
ย่าอุ่นหันไปทางเตียง ก็พบว่าร่างตัวเองนอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีสายใยบางๆ ของดวงจิตร้อยอยู่ที่เอวต่อกับช่วงอกของร่างที่นอนอยู่
ผีนางหยกปรากฏขึ้นทางเบื้องหลังย่าอุ่น มือยังคงกำคอย่าอุ่นแยกยิ้มหัวเราะเสียงกระเส่าเหมือนเสียงร้องไห้
“อีอุ่น บาปกรรม...ที่มึงทำกับกู กับลูกกู กับพี่มึง หรือแม้แต่ผัวคนแรกที่มึงผลักมันตกน้ำตายมึงต้องชดใช้...อีอุ่น”
ร่างย่าอุ่นที่ยืนอยู่ ร้องไห้เสียงสะท้าน หวาดกลัวอย่างรุนแรง
ร่างย่าอุ่นที่นอนอยู่บนเตียง เกิดการหายใจไม่ออก ลืมตาโพลง พยายามหายใจ อย่างทุรนทุราย
ท้องฟ้ามืดครึ้ม บอกให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนจะตก เสียงฟ้าร้องครืนครัน

ค่ำคืนนี้ อิศราหงุดหงิดเรื่องคุณหญิงอุ่น พาตัวเองมานั่งดื่มเหล้าแก้กลุ้มอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ ดื่มจนหมด วางแก้วลง บริกรสาวสีหน้าเรียบ รินเหล้าเติมให้ เบื้องหลังมีสาวสวยสองคน แอบมองอิศราอยู่ ลุกมาหาเกาะไหล่
“พี่อิศขา”
อิศรามองฝืนยิ้ม แม้จะหงุดหงิดในใจ
“อ้าว เอมิลี่ ... เป๊ก มาเหมือนกันเหรอจ้ะ”
“มาตั้งนานแล้วค่ะ พี่อิศน่ะสิไม่สนใจจะมองใครเลย”
“นั่นสิ นั่งดื่มเหล้าทำท่าเหมือนกันคนอกหัก”
อิศราหัวเราะกลบ “บ้า พี่น่ะเหรอ จะอกหัก”
“นั่นสิ มีแต่จะหักอกคนอื่น อย่างเอมิลี่เป็นต้น”
อิศรายิ้ม หันมามองเอมิลี่ เต็มตา
“จริงเหรอ...ทำไมพี่มันแย่อย่างนั้นน้อ”
“เอมิลี่ไม่ยอมนะคะ คืนนี้” สาวเจ้าขยับมาชิดใกล้เคล้าเคลีย “พี่อิศต้องดามหัวใจให้เอมิลี่นะ”
อิศราหัวเราะเบาๆ รู้ความนัย มือถืออิศราดังขัดขึ้น
“สักครู่นะจ้ะ” อิศรารับสาย “ฮัลโล” สีหน้าตกใจมาก “ว่าไงนะ”
ฝนทำท่าจะตกปรอยๆ อิศราเดินเร่งฝีเท้ามาที่ลานจอดรถหน้าคลับ แล้วชะงัก เห็นรถท่านชายวสวัตแล่นมาจอดขวาง กระจกถูกเลื่อนลง
ท่านชายทัก “รีบร้อนไปไหนอิศรา”
อิศราร้อนรนมาก “อาการคุณย่าทรุดหนักครับ ผมต้องรีบกลับ”
“ขึ้นรถสิ ฉันจะไปส่ง”
อิศราลังเลอย่างเกรงใจ ท่านชายยิ้มบางๆฟ้าร้อง ครืนครัน

ไม่นานนักฝนตกหนัก รถท่านชายแล่นฝ่าสายฝนมาจนน้ำกระจาย อิศราร้อนรุ่น นั่งไม่ติดที่ ด้านหลังเคียงข้าง ท่านชาย
อิศราเร่งสิริ “เร็วอีกหน่อยได้ไหม”
“แค่นี้ก็เร็วมากแล้ว เดี๋ยวก็ถึงน่า ใจเย็นๆ ฝนตกหนักขนาดนี้แทนที่จะไปดูใจคนไข้ เราจะกลายเป็นคนไข้เสียเอง”
“โธ่ ท่านชาย ผมกลัวไปไม่ทันดูใจคุณย่าล่ะแย่เลย”
“ก็ถ้าห่วงนัก ทำไมอุตส่าห์ออกมาอีก”
อิศราถอนใจเหนื่อยหน่าย “คุณย่าเจ็บมาเป็นเป็นปี ขืนมัวแต่คอยดูใจ ผมก็คงไม่ได้ไปไหน”
ท่านชายปรายตามองยิ้มบางๆ
“หรือเป็นเพราะ พินัยกรรมจัดแจงไว้เรียบร้อยแล้ว เลยไม่ต้องห่วงนักหรือเปล่า”
“ท่านชายไม่เคยต้องรอรับมรดกจากใคร ก็พูดได้สิครับ”
“ใครว่า ชั้นมี มรดก ที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว”
“ครับ มากมายล้นเหลือ”
“คำว่ามรดก บางครั้งก็ไม่ได้หมายความถึง ทรัพย์สมบัติอย่างเดียว”
“แต่สำหรับผม ผมภาวนา ขอให้เป็นอย่างนี้อย่างเดียว”
ฟ้าร้องครืนครัน แสงจากฟ้าผ่าส่องสว่างวาบที่ใบหน้าแสนชาเย็นของท่านชาย
อิศราร้อนใจไม่หาย “เราจะไปทันไหมครับเนี่ย”

ท่านชายเยื้อนยิ้มพลางบอก “รับรองว่า ทัน”

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 4 (ต่อ)

ย่าอุ่นนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง แม่บ้านสี และ คุณนมนั่งร้องไห้ อยู่ข้างๆ คุณหญิงเพ็ญ น้ำตาคลอ ยืนอยู่กับหมอไพโรจน์

คุณหญิงถามเบาๆ “คิดว่า...อีกนานไหมหมอ”
ไพโรจน์ส่ายหน้า
“โธ่ คุณแม่...ป่านนี้พ่อหลานรักก็ยังหายหัว แม่ชาก็ติดต่อไม่ได้ เฮ้อ...”
คุณนมยื่นหน้าใกล้คุณหญิง
“คุณหญิงเจ้าขา ระลึกถึงคุณงามความดีที่คุณหญิงเคยทำนะเจ้าคะ...พุทโธ เจ้าค่ะ พุทโธ...พุทโธ...”
ขณะที่ย่าอุ่นนอนหายใจรวยรินอยู่นั้น ผีนางหยกแสยะยิ้มยื่นหน้ามาชิดหน้าอีกด้านของย่าอุ่นพูดเสียงกลบเสียงสวดมนต์ของคุณนม
“นังอุ่นเจ้าขา...ความเลชั่วช้าที่เอ็งทำ จำไว้ให้แม่นนะเจ้าคะนรกเจ้าค่ะ...นรก..นรก..นรก”
ผีนางหยกกรีดเสียงหัวเราะหวีดหวิว ย่าอุ่นขมวดคิ้วกระสับกระส่ายทุรนทุราย ใจไม่สงบ
คุณหญิงเพ็ญกดมือถือ สายไม่ติดตลอด
“ชาลินี ไปอยู่ไหนนะ”

กระเป๋าและมือถือชาลินีวางอยู่ข้างเตียง ส่วนชาลีนีหลับอยู่บนเตียง เอกดนัยครึ่งนั่งครึ่งนอน ค่อยๆ เสยผมชาลินีอย่างเบามือด้วยความรัก ชาลินียังคงหลับสนิท
เอกดนัยนิ่งคิด แล้วเอื้อมมือไปคว้ามือถือของตัวเองมากดถ่ายคลิป ขณะชาลินีกำลังหลับสนิท
“ฮัลโหล ชาที่รัก อย่าว่าผมเลยนะ ที่แอบถ่ายชาตอนหลับ ผมแค่ อยากเก็บภาพของคุณไว้ ในทุกเวลาที่เรามีความสุขด้วยกัน ผมจะขอพูดเป็นครั้งที่ล้านว่า... I love you ชาลินี แม่ดอกลิลลี่ของผม”
ภาพจากมือถือ เป็นภาพเอกดนัยก้มหอมแก้มเบาๆ ชาลินีขยับแต่ยังหลับพริ้ม เอกดนัยมีสุขล้น

ฝนยังคงตกอยู่ หน้าเรือนใหญ่บ้านคุณหญิงอุ่น มีรถคันอื่นจอดเรียงอยู่หลานคัน ตัวตึกมีแสงไฟส่องออกมา รถสีดำของท่านชายแล่นเข้ามา อิศราชะเง้อมอง
“จอดหน้าบันไดเลยสิริ”
รถเลื่อนมาจอดหน้าบ้าน ทันใดนั้น ตัวตึกทั้งหลังไฟดับลงพรึ่บ

ในห้องย่าอุ่นไฟก็ดับอยู่ ทุกคนผุดลุกบ้าง ตกใจบ้าง
“ว้าย ทำไมไฟมาดับตอนนี้ สี ไปหาไฟฉาย เทียนไขอะไรก็เร็วๆ”
“ค่ะๆ”
ผีนางหยกชะงักงัน สีหน้าหวาดเกรง
“ท่าน”
ผีนางหยก หายวับไป

ฝ่ายอิศราเปิดประตูลงไปก้มลงมองท่านชาย
“เชิญไปด้วยกันสิครับ”
“จะดีรึ”
“ท่านชายก็รู้จักกับคุณย่าแล้ว เชิญด้วยกันเถอะครับ”
สิริก้าวลงไปเปิดประตูด้านท่านชายนั่ง ท่านชายวสวัตก้าวลงมายืนนิ่ง หันข้างให้สิริ พูดเบาๆกับสิริ
“ถึงไม่เชิญ ก็เป็นหน้าที่ ที่ข้าต้องไปใช่ไหมสิริ”
สิริค้อมศีรษะ ท่านชายเงยหน้าดูท้องฟ้าที่ยังมีสายฝนปรอยปราย ด้วยสีหน้ารำคาญ ยกมือขึ้นปัดละอองฝนจากบ่า

ภายในบ้าน จุดเทียนไว้หลายจุด ทำให้เกิดแสงวับแวม เงาวูบวาบตามแรงแสงไฟจากเทียน สีถือเชิงเทียนเดินมารับสีหน้าร้อนรน
“คุณอิศรา เร็วๆ ค่ะ ท่านกำลังคอยคุณอยู่”
อิศราเดินเร็วรี่ตามสี ขาสะดุดเล็กน้อย จึงหันมาทางท่านชายที่เดินเนิบข้าตามมาเงียบๆ
“ระวังตรงนี้นะครับ เดี๋ยวจะสะดุด”
อิศราเดินต่อไปท่านชายเดินตาม ไม่มีสะดุด

ท่านชายเดินเอามือไขว้หลัง ตามอิศราที่เดินรวดเร็วตามแม่บ้านสีไป พออิศราพ้นตัวไปแล้ว ท่านชายขึ้นบันไดมา ชั้นสอง ชะงักหยุดเดิน ด้วยที่พื้นริมบันได นางหยกในชุดธรรมดา ใบหน้าขาวซีด นั่งพับเพียบชิดราวบันไดพนมมือ ร้องไห้อยู่
“ขอความเป็นธรรมให้ลูกด้วย ขอความเป็นธรรมแก่ลูก ฮือๆ”
ท่านชายปรายตามอง สีหน้าขรึม เยือกเย็น
“สัมภเวสี หยุดก่อกรรม ไปตามทางของเจ้าได้แล้ว”

ท่านชายเดินผ่าน ผีนางหยกหมอบคู้ไหว้ตัวสั่นเทา แล้วจางหายไป

ในห้องย่าอุ่นตอนนี้ หมอไพโรจน์กำลังจับชีพจรย่าอุ่นอยู่ คุณหญิงเพ็ญยืนปลายเตียง ซับน้ำตา คุณนมกอดประคองคุณหญิงเพ็ญ ทุกอย่างอยู่ในความสงบ รอเวลา
อิศราทรุดลงข้างเตียง เงยหน้ามองหมอไพโรจน์เป็นเชิงถาม ไพโรจน์ส่ายหน้า อิศรามองย่าอุ่นบอกเบาๆ
“คุณย่า ผมมาแล้วครับ โธ่ ตอนผมจะออกไป คุณย่ายังดูดีๆอยู่เลย”
คุณหญิงเพ็ญค้อนอิศราที่ไม่ดูแลแม่ ย่าอุ่นอ้าปากเหมือนพยายามพูดแต่หายใจติดขัดไปหมด หมอไพโรจน์ก้มกระซิบ
“อย่าพูดอะไรเลยครับ ท่านกำลังอ่อนแอมาก”
ร่างท่านชายวสวัตมาหยุดกลางกรอบประตู เกิดเป็นเงาทะมึนอยู่ ย่าอุ่น ลืมตาครึ่งๆ ด้วยความหวั่นหวาด
“ใคร”
“ผมไงครับ อิศรา”
“ลูกอยู่นี่นะค่ะคุณแม่”
ท่านชายเดินเข้ามา
“ไม่ใช่...นั่น..ใครอีก” ย่าอุ่นถามอีก
ท่านชายเดินไปใกล้หัวเตียง “ผมเอง”
“ใคร...ใคร”
“ท่านชายวสวัตที่มาเยี่ยมคุณย่าคราวก่อนไงครับ วันนี้ท่านมาส่งผม เลยขึ้นมาเยี่ยมคุณย่าด้วย” อิศราบอก
ท่านชายก้มมองมาด้วยรอยยิ้มบางๆ “ผมเอง วสวัต” น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนใจดี แต่กลับมีกระแสความมีชัยซ่อนซุกอยู่ “ทำใจดีๆ ไว้เถอะครับ”
ย่าอุ่นหายใจหอบ หมอไพโรจน์จับชีพจร ท่านชายถอยยืนชิดหัวเตียง
ย่าอุ่นลนลาน “คุณพระคุณเจ้า ช่วยด้วยเถอะ”
“โธ่...คุณแม่”
“นึกถึง” ท่านชายทอดเสียงนุ่มแต่เต็มไปด้วยความเยาะหยัน “พระอรหันต์ ที่พึ่งสุดท้าย”
“ท่าน” ย่าอุ่นกลัวสุดขีด เบิกตากว้าง “ฉัน...รู้จัก...ท่าน”
“ใช่ เราเคยพบกันแล้ว”
“ไม่ใช่ ฉันรู้จักท่านแล้ว อย่าตามมาเลย ฉัน...รู้แล้ว สำนึกแล้ว”
ท่านชายจ้องย่าอุ่น ตาคมกริบแม้ปากมีรอยยิ้มนิดเดียว
ย่าอุ่นที่หน้าท่านชาย กลับเห็นความเหี้ยมเกรียม
“ท่าน” ย่าอุ่นเบิกตากว้าง ตกใจสุดขีด “ท่าน ท่าน คือ…”
ย่าอุ่น หอบอีกเฮือก ตาย ตาเบิกโพลงด้วยความกลัว
“คุณหญิงสิ้นใจแล้วครับ” หมอบอกทุกคน
อิศรา คุณหญิงเพ็ญ คุณนม สี โผเข้าหาร่างย่าอุ่น ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายนัก
“คุณแม่ขา” คุณหญิงเพ็ญกราบเท้าแม่
“คุณย่า” อิศรากราบตาม
ตาย่าอุ่นยังคงเบิกโพลงมาทางท่านชาย คล้ายหวาดกลัวสุดขีด หมอไพโรจน์ปิดตาลง
ท่านชายถอยออกมาตามองเลยไปปลายเตียงในมุมมืด โดยไม่มีใครเห็นว่าในเงามืดนั้นวิญญาณย่าอุ่นปรากฏขึ้น แต่ยังอยู่ในอาการงุนงง เดินงกๆ เงิ่นๆ คล้ายคนหลงทาง
ภุมมะก้าวออกมาจากเงามืดจับร่างย่าอุ่นที่ตกใจกรีดร้องไร้เสียง และมีมือดำๆ อีกหลายมือมารวบร่างย่าอุ่นฉุดเข้าหลุมดำ

ท่านชายมองจนทั้งหมดหายวูบไปในความมืด

หมอไพโรจน์คลุมผ้าห่มแค่อกให้ย่าอุ่น คุณหญิงเพ็ญ นม สี ร้องไห้ อิศราลุกถอยออกจากเตียง ตายังคงมองร่างย่าอุ่นตลอดเวลา ด้วยยังคงอยู่ในอาการตะลึงงัน ขยับมายืนใกล้ท่านชาย

ท่านชายแสร้งเศร้าท่าทีเหมือนจริงใจ “เสียใจด้วยนะอิศรา”
“ครับ...แต่ท่าน คงไปดี”
ท่านชายยิ้มมีเลศนัย “ก็ท่านทำความดีมาตลอดทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ”
อิศราชะงัก ไม่กล้าสบตา ด้วยรู้แก่ใจว่าย่าอุ่นเป็นคนอย่างไร
“ฉันไปก่อนนะ”
“ครับ ขอบพระคุณท่านชายที่กรุณา แถมยังอุตส่าห์ขึ้นมาดูคุณย่าจนวาระสุดท้าย”
“เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว หน้าที่ของเพื่อนไงล่ะ ถ้าหากจะให้ช่วยอะไร ก็บอกไปนะ ยินดีเสมอ”
อิศราไหว้ “ขอบพระคุณครับ”

ท่านชายเดินผ่านมาอย่างโดดเด่นผ่านเชิงเทียนที่จุดไว้ตามมุม เกิดแสงเงาวูบวาบ ท่านชายหยุดยืน หมอไพโรจน์เดินตามหลังมา ท่านชายพูดกับหมอที่อยู่เบื้องหลัง
“จะกลับแล้วหรือหมอ”
“ครับ ต้องไปรีบเตรียมเอกสารหลายอย่าง ใบมรณะของคุณหญิงด้วย”
ท่านชายยิ้มบางๆ เดินนำไป ไพโรจน์เดินตามกันมา

ฝนพรำสายปรอยๆ ขณะท่านชายและหมอไพโรจน์ เดินมาหยุดหน้าบ้าน
ไพโรจน์มองฟ้า บ่น “ฝนยังไม่หยุดเลย”
ท่านชายเหลือบมองฟ้า “เดี๋ยวก็หาย”
ท่านชายมองไพโรจน์เต็มตา
“หมอคงเจอคนตายต่อหน้าหลายครั้งแล้วสิ รู้สึกยังไง”
“ก็...มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตนี่ครับ หมอก็ช่วยอย่างสุดความสามารถ แต่บางครั้งเราก็ต้องยอมรับความจริงว่า…”
ท่านชายต่อให้ “ความตายเป็นของธรรมดา และเป็นสิ่งเดียวที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้”
“ก็อาจจะใช่ครับ แต่เดี๋ยวนี้ วิทยาศาสตร์ การแพทย์เจริญก้าวหน้าก็ช่วยชีวิตคนไว้ได้มากมาย”
“หมอหมายถึง หมอเชื่อว่า การแพทย์ เอาชนะความตายได้”
“ไม่ใช่เชื่อครับ แต่ว่า มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยได้ทุกคน แต่ก็มากกว่าสมัยที่การแพทย์ยังล้าหลัง”
ท่านชายยิ้มมองไพโรจน์ แววตาลึกซึ้ง
“งั้นรึ งั้นต้องขอบใจวิทยาศาสตร์การแพทย์”
รถสีดำแล่นมาจอดเทียบ ประตูหลังเปิดออกเอง ทั้งที่สิริไม่ได้ลงมาเปิด ไพโรจน์เห็นก็แปลกใจนิดเดียวแต่ไม่คิดมาก ขณะที่ท่านชายมองหมอตลอดหยั่งความรู้สึก
“ฉันไปก่อนนะ”
“ครับ”
ท่านชายขึ้นรถพอนั่งกายตรงประตูก็ปิดเอง หมอมองตามจนรถแล่นไป
“ไม่ยักรู้ รถโบราณรุ่นนี้มีระบบออโตเมติกสมัยใหม่ด้วย”

รถท่านชายที่มีสิริขับแล่นมาตามถนน ท่านชายนั่งด้านหลัง แสงฟ้าแลบแปลบปลาบ ท่านชายหงุดหงิดโบกมือคล้ายไล่
“ไปเสียที รำคาญ”
แสงฟ้าแลบจางหาย รถท่านชายแล่นไป รถหมอไพโรจน์แล่นตามมา
หมอไพโรจน์ขับรถมา กลางสายฝนปรอยๆ ที่ปัดน้ำฝนทำงานอยู่ จู่ๆ ฝนหยุดตก สายฝนจางหาย ไพโรจน์ปิดที่ปัดน้ำฝนงง ชะเง้อมองท้องฟ้าด้านนอก
“บทจะหยุดตก ก็หยุดเอาดื้อๆ”
ท่านชายคุยกับสิริที่ขับรถไปเรื่อยๆ “สิริ เมื่อครู่เจ้าเห็นภุมมะหรือเปล่า”
“เห็นเจ้าข้า”
“เรามีงานที่จะต้องทำกันล่ะซินะ ป่านนี้ โรรุวนา คงจะรุ่งโรจน์ด้วยแสงเพลิงแล้ว ข้าเกลียดมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำให้ข้าต้องยุ่งยากไม่มีสิ้นสุด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหน้าที่ของข้า ทั้งเจ้า ทั้งภุมมะ ก็ไม่ชอบหน้าที่นี้พอๆกับข้านั่นแหละ”
ท่านชายกอดอก ปรายตามองเบื้องหลังก่อนจะหันกลับมา
“เจ้าหมอคนนั้น ขับรถตามหลังมาอยู่ใช่ไหม”
“เจ้าข้า”
“วิทยาศาสตร์” ท่านชายแค่นหัวเราะ “แสดงให้มันเห็นสักทีสิว่า บางอย่างก็เป็นเรื่องเหนือแก่การพิสูจน์”
“เจ้าข้า”
ไพโรจน์มองผ่านกระจกหน้า เห็นท้ายรถและไฟหลังรถของท่านชายที่แล่นอยู่ข้างหน้า ขับตามมาอย่างทอดอารมณ์
ฉับพลันทันใดนั้นเอง รถของท่านชายหายไปทั้งคัน เห็นแต่ถนนโล่ง
“เฮ้ย”
ไพโรจน์ตกใจ หักรถจอดข้างทาง มองไปจนสุดถนน ไม่เห็นแม้เงารถท่านชาย
สีหน้าหมอไพโรจน์เต็มไปด้วยความพิศวง
“ขับตามมาติดๆ รถท่านชายหายไปทางไหน เร็วจริง”

ท่านชายออกมาหยุดยืนกลางลานพิพากษาในนรกภูมิ มองวิญญาณย่าอุ่นที่หันไปมองรอบตัวอย่างหวาดกลัว ย่าอุ่นเห็นท่านชาย
“ท่าน...ท่าเจ้าขา ช่วยอิฉันด้วยเจ้าค่ะ อิฉันสำนึกแล้ว
“คุณหญิงสำนึกจริงงั้นรึ หรือเพียงเพราะกลัวโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ”
“สำนึก อิฉันสำนึกจริงๆ เจ้าค่ะ”
“งั้นตอบข้ามา ตลอดทั้งชีวิต คุณหญิงเคยทำความดีอะไรบ้าง ถ้าตอบได้ ข้าจะส่งให้เจ้าไปเสวยบุญ ก่อนค่อยมารับโทษทัณฑ์”
“อิฉัน...อิฉัน”
ย่าอุ่นคิด เรื่องราวผุดซ้อนขึ้นมา ตั้งแต่ภาพด่าเด็กชายใหญ่ ป้อนยาฆ่าคุณอิ่มพี่สาว ฆ่านางหยก ด่าว่าคุณเล็ก และสุดท้ายผลักสำลีตกบันใดจนแท้งลูก กดขี่อิศราสารพัด ย่าอุ่นลุกลี้ลุกลน กุมหัว เพราะมีแต่ความชั่วทั้งสิ้น
“อิฉัน...อิฉัน…”
ท่านชายเสียงดัง “ตอบมา”
ย่าอุ่นสะดุ้ง ร้องไห้ ยกมือไหว้วิงวอน “ได้โปรดเถิด อิฉันกลัวแล้ว”
“บุญไม่เคยสร้าง จิตไม่เคยแม้แต่จะมีความเมตตาอันเป็นกุศลใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น สิริ ภุมมะ”
สิริ ภุมมะ น้อมรับ “เจ้าข้า”
“ไสหัวมันไป ชดใช้กรรม”
“เจ้าข้า”

ย่าอุ่นกรีดร้องโหยหวน ภุมมะ และ สิริ เข้าประกบ

วันนี้ ญาติทุกคนอยู่ในชุดดำ นั่งหารือกันอยู่ตรงโต๊ะยาวกลางห้อง ชาลินีสวมแว่นดำ สีหน้าไม่ค่อยสนใจอะไรกับใคร

ญาติหญิง 1 เอ่ยขึ้น “งานของคุณหญิงท่าน ยังไงก็ต้องจดให้สมเกียรตินะแม่เพ็ญ นี่อาก็ตามพวกญาติๆ คนเก่าแก่ทางท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงให้แล้ว”
“เรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณแม่เป็นถึงคุณหญิงแล้วก็เป็นคุณแม่สามีของท่านนายพล หญิงไม่ให้น้อยหน้าใครหรอกค่ะ”
ญาติ ชาย 1 กระแอม “ลุงว่า ข้าวของคุณหญิงมากมายในบ้าน มีคนคอยดูแลเก็บรักษา จดๆ ไว้หน่อยก็ดีนะ”
อิศราเอ่ยขึ้น “ผมว่าคุณลุงคุณน้า พูดตรงๆ ดีกว่าครับ ว่าที่มานี่ เพราะห่วงสมบัติของคุณย่า”
ชาลินีมองอิศรายิ้มขำ ในขณะที่คนอื่นๆ มองหน้ากันอย่างมีพิรุธ
คุณหญิงเพ็ญปรามแต่ให้ท้ายอิศรา “อิศราก็ ยังไม่มีใครเขาพูดถึงพินัยกรรมสักคำ เธอก็ ระวังมารยาทกับผู้ใหญ่หน่อยเถอะ”
อิศราหงุดหงิด

ต่อมาชาลินีเดินคุยมากับอิศราที่นอกบ้าน
“อารมณ์ร้อนเหลือเกินนะเธอนี่”
“ก็มันจริงไหมล่ะ จะมามัวเล่นละครอยู่ทำไม ตอนคุณย่ายังอยู่ ไม่เห็นมีใครว่างจะมาเยี่ยมสักเท่าไหร่ พอคุณย่าเสียแค่วันเดียว มากันพรึบพรับ”
“แหม คุณย่าป่วยเป็นปีๆ ใครเขาจะมาเยี่ยมได้บ่อยๆ ล่ะ ว่าแต่เธอล่ะ ตอนนี้รู้สึกเหมือน นกที่โดนปลดปล่อยออกจากกรงหรือยัง”
“คุณก็พูดไปได้ คุณย่าเพิ่งเสียเมื่อวาน ยังไง เย็นนี้ ช่วยปั้นหน้าเศร้ารับแขกด้วยแล้วกันนะ”
ชาลินีแกล้งทำหน้าเศร้า แล้วหลุดหัวเราะกันซะเอง

อีกฟากหนึ่ง ที่ตลาดสด คนขายผัก ยัดเยียดผักให้เจริญขวัญที่ยืนข้างๆ ดวงแก้ว
เจริญขวัญไม่ยอม “ไม่เอา ของซื้อของขายจะมาให้ขวัญทำไมคะ”
“รับไปเถอะค่ะคุณขวัญ ถือว่าเป็นของตอบแทนที่อุตส่าห์เย็บเสื้อให้เด็กๆ นะคะ”
เจริญขวัญอึกอัก หันมามองแม่ ดวงแก้วยิ้มพยักหน้า
“ขอบคุณนะคะ”

ดวงแก้วมองลูกสาวอย่างภาคภูมิใจ

รถกระบะของดวงแก้วจอดอยู่ตรงที่จอดรถตลาด มีพุดนั่งรออยู่ตรงเพิงขายยาดอง พุดเปรี้ยวปากหันซ้ายแลขวา ข้างๆ มีโต๊ะผู้ชายนั่งดื่มเหล้าอยู่ 2 คน หัวเราะเฮฮากัน

“ยายปลั่ง ตัวขวางคอไม่ได้มา ขอสักกรึ๊บเถอะวะ เจ๊ ยาดองมาแก้วดิ๊”
โรจน์สวมหมวกหรุบหน้า สะพายย่ามเดินเป๋ๆ มา
คนขายยื่นแก้วเล็กใส่ยาดองให้ พุดเปรี้ยวปากเต็มที่จะยกดื่ม
โรจน์มาหยุดข้างๆ มองหน้า พุดชะงักมอง แล้วไม่สนใจจะยกแก้วดื่ม โรจน์จับมือพุดลงวาง พุดงง ยกแก้วอีก โรจน์ก็จับมือวางอีก
พุดงงใหญ่ มองหน้า โรจน์ยิ้มกว้าง
“อะไรวะ คนจะกินมาดึงอยู่ได้ อยากกินด้วยหรือไงเอ้า ข้าจะซื้อให้แก้วนึง เอาบุญ”
โรจน์บอก “ไม่เอา”
“ไม่เอาก็อย่ามายุ่งสิวะ”
พุดยกแก้วจะดื่มให้ได้ โรจน์คว้ามือ คราวนี้ดึงแก้วเหล้าไปเลย
โรจน์ถือแก้วไว้ชั่วอึดใจ ก็เทเหล้าทิ้ง
“เฮ้ย”
“อย่าไปกิน มันผิดศีล มันบาป ตกนรก ต้องโดนกรอกน้ำกระทะทองแดง” โรจน์หันไปหาชาย 2 คนที่นั่งกินอยู่ ยกแก้วยกขวดเททิ้งอีกด้วย “นี่ ทุกคน เลิกซะ อย่าไปกินนะ มันบาปเข้าใจมั้ย”
ชาย 2 คน ตกใจ แล้วกลายเป็นโมโห
“เฮ่ย อะไรวะ ไอ้บ้านี่ ชกแม่งเลยเว้ย”
ชาย1 สั่งเพื่อน ชาย 2 ชกหน้าโรจน์ล้มบนโต๊ะ ข้าวของกระจาย ชาย 1 ตามซ้ำ กระชากคอเสื้อ โรจน์มีเลือดไหลที่มุมปากแต่ยังยิ้มได้
“ต่อยข้าน่ะ บาปนะ ผิดศีลนะ”
“ผิดศีลเหรอ ผิดมากมั้ย” ชาย 1 ชกอีก
พุดทนไม่ไหว กระโจนไปขวาง
“เฮ้ยๆ อย่าๆ อย่าไปเอาเรื่องเอาราวคนบ้าเลยน่า”
โรจน์เซมาเกาะเอวพุดจากด้านหลัง โผล่หน้าแม้เลือดออกปาก หัวเราะร่า
“พวกมึงน่ะสิที่บ้า บ้าอยากตกนรก ไอ้พวกคนบาป”
พุดชักฉุน “เอ๊า ไอ้หมอนี่ก็ไม่หยุดเว้ย” หันไปยกมือห้ามสองชายที่จะปราดมาชกอีก “พอๆ ขอร้องเว้ย ขอร้อง ไอ้นี่ก็ มาเกาะเอวอยู่ได้ จักกะจี้ปล่อยซี่”
ดวงแก้ว กับ เจริญขวัญ มาถึงรถ ชะงักมอง เห็นพุดถูกโรจน์เกาะเอวอยู่

ไม่นานต่อมา โรจน์นั่งให้พุดจะทายาแก้ช้ำที่ขอบปากให้ แต่โรจน์คอยเบี่ยงหน้าหนี
“เฉยๆสิ จะได้ทายาให้ แนะ หลบอีก ไม่ทงไม่ทาล่ะ”
เจริญขวัญ และดวงแก้วยืนมองอยู่
“มา ลุงพุดคะ ขวัญทำให้”
“จะดีเหรอครับ เดี๋ยวเกิดมัน...”
เจริญขวัญสวนคำ “ไม่เป็นไรมั้งคะ”
พุดลุกขึ้น ยืนคุมจับบ่าโรจน์ไว้ เจริญขวัญยิ้ม
“ทายาหน่อยนะจ้ะ”
โรจน์นั่งนิ่งมองหน้า เจริญขวัญจึงป้ายยาที่ริมขอบปาก
“ต้องถึงกับพาไปหาหมอไหม” ดวงแก้วถาม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณแก้ว ไกลหัวใจ ใช่มั้ยเรา”
พุดหันมาทางโรจน์ที่สูดปาก ทั้งแสบทั้งเจ็บ
“เจ็บอ่ะ”
“งั้นทีหลังอย่าไปหาเรื่องให้โดนต่อยอีกนะ” เจริญขวัญบอก
“นรก มันมีจริง จริงๆนะ บอกใครก็ไม่เชื่อ” โรจน์บ่นเรื่องนรกอีก
“เคยตายมาก่อนหรือไง ถึงได้เห็นนรก ฮ่าๆ” พุดหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องตลก
“เคยน่ะสิ แต่ เขาเอาไปผิดคน เลยถูกส่งกลับมา” โรจน์มองดวงแก้วที เจริญขวัญที พูดไปเรื่อยจนดูเหมือนเพ้อเจ้อ “วิญญาณรอรับกรรม เข้าแถวกัน โฮ้ย สุดลูกหูลุกตา ไอ้พวกที่ต้องโทษ ก็เต็มนรกไปหมด เสียงร้อง...” โรจน์ออกอาการกลัวจนตัวสั่น “เสียงพวกมันถูกลงโทษ ทรมาน..มันร้องกันเซ็งแซ่ โหยหวน...มันน่ากลัวจริงๆ นะ”
“เหรอๆ แล้วเอ็งกลับมาได้ยังไง”
โรจน์มองหน้าท่าทีจริงจัง แต่แล้วกลับร้องเพลงเบาๆ “ไม่ถึงที่ตาย..ก็ไม่วายชีวา..รอดตายกลับม๊า...ลอยๆ ปู๊ดดด ขึ้นมา”
“ปู๊ดเลยใช่มั้ย เอาล่ะ เพ้อแล้ว ไปกันดีกว่าครับ คุณแก้ว คุณขวัญ”
ดวงแก้วหยิบกระเป๋า ควักเงินยื่นให้โรจน์หนึ่งร้อย “ชั้นให้ เอาไปทานข้าวนะจ๊ะ”
โรจน์มองเงิน มองหน้าดวงแก้วที่มองมาด้วยความเมตตา และมองเจริญขวัญ ก่อนจะเอื้อมมือรับ
ดวงแก้วส่งยิ้มให้ ก่อนหันไปแตะลูก “ไปกันเถอะลูก”
เจริญขวัญลุก เดินตามดวงแก้วไปที่รถ
“นี่ แล้วอย่าไปเที่ยวขวางลูกกระเดือกใครเขาอีก เข้าใจรึเปล่า” พุดกำชับแล้วเดินไปขึ้นรถ
รถดวงแก้วที่ตาพุดขับ เคลื่อนออกไป โรจน์มองเงินในมือ ยิ้มบางๆ

ค่ำนั้น ศพคุณหญิงอุ่นถูกนำมาประกอบพิธีฌาปนกิจที่วัดชื่อดังแล้ว รูปย่าอุ่นประดับในกรอบตั้งอยู่ใกล้โลงสีหน้าดุดัน มีคุณนม และ สี ช่วยกันจัดดอกไม้ประดับสวยงาม ในศาลามีแขกนั่งกันอยู่รอพระสวดพอประมาณ คุณหญิงเพ็ญคอยต้อนรับแขกกับนายพลบัญชาหน้างาน
ชาลินีกำลังพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ข้างศาลา ปลายสายเป็นเอกดนัยที่โทร.มาจากบ้านหลังรู้ข่าวย่าอุ่นเสีย
“ให้ผมไปหาไหม...มีอะไรให้ผมช่วยบอกได้เลยนะชา”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่งานศพ ไม่มีอะไรน่าสนุกเท่านี้นะ พี่ต้องรับแขกแล้ว”
เอกดนัยงอน “โห พี่อีกแล้ว ชาเนี่ย”
ชาลินีหัวเราะคิก “เท่านี้นะ” กดปิดมือถือ

ด้านเอกดนัยวางสายแล้วจุ๊บมือถือ อรอนงค์เข้ามากอดอกมองน้องชาย
“เธอนี่บ้านะ เป็นเอามาก”
เอกดนัยหัวเราะ “ก็คนมีความรัก พี่อร คงไม่เข้าใจ ระวังน้า เดี๋ยวแก่ก่อนจะรู้รสชาติของคำว่ารัก นี่ๆ ผมขาวเริ่มขึ้นแล้วนี่ๆ”
อรอนงค์ ปาหมอนใส่ “ว่าชั้นแก่เหรอ เธอนี่” แล้วลงนั่งข้างน้อง
“โอ๋ๆๆ” เอกดนัยกอดพี่เอาใจ “ล้อเล่นน่า เจ๊น่า”
“ตกลงจะพาสาวของเธอมาให้พี่ได้รู้จักเมื่อไหร่ ว่ามา”
เอกดนัยคิดปราดแล้วยิ้ม “ก่อนเอกบินเที่ยวหน้า พี่จะได้พบกับหวานใจตัวจริงของเอก แน่นอน”
“จริงนะ”
เอกดนัยยิ้ม สีหน้ามุ่งมาดวาดแผนในใจ

“เอกว่า ถึงเวลาที่ควรเปิดตัวแฟนเอกสักที”

ฝ่ายชาลินียืนมองคุณหญิงเพ็ญและนายพลบัญชารับแขกอยู่อย่างทึ่งๆ อิศราเดินมาใกล้มองตามสายตา

“ปลื้มใจพ่อแม่เหรอชา”
“เปล่า ขำดี เวลาเขาออกสังคมด้วยกัน เมื้อนเหมือนรักกันมาก” ชาลินีหันมามองอิศรา “แล้วนี่ชะเง้อหาใคร”
“แขกคนสำคัญของผมน่ะสิ”
“ใคร”
“ท่านชายวสวัต มานั่นแล้ว”
อิศราเดินพรวดจากไป ชาลินีมองตามรำพึงออกมา
“ท่านชาย วสวัต”

รถจอดเทียบหน้าศาลา ทุกคนหันไปมองอย่างสนใจ สิริเป็นคนขับรถ ภุมมะนั่งข้างหน้ามาด้วย ภุมมะลงมาเปิดประตูให้
ท่านชายวสวัตลงมาด้วยชุดสีขาว ดวงหน้าขาวผ่องคมคาย งามสง่า และเยือกเย็น
ชาลินีอยู่ในศาลามองมาทางท่านชาย สะดุดตากับดวงหน้าคมคาย เยือกเย็นนั้น จู่ๆ ชาลินีขนลุกเกรียว ต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเอง หล่อนจดสายตามองทุกอิริยาบถของท่านชาย ราวต้องมนต์
อิศรารีบออกมาต้อนรับไหว้ทัก “ท่านชาย เชิญครับ”
ท่านชายเยื้อนยิ้มมองไปในศาลา “แขกเยอะไม่ใช่เล่นเลยนะอิศรา”
“ครับ เชิญท่านชายด้านใน”
“เดี๋ยวนะ ฉันต้องแวะไปอีกงานก่อน ศาลาใกล้ๆนี่”
ท่านชายพูดแล้วแลเลยไปด้านหลังของอิศรา เห็นชาลินีเดินเยื้องกรายตรงมา ท่านชายปรายยิ้มบางๆ ส่งให้
ชาลินีมองมาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ แต่พอสบตาของท่านชายก็มีอาการคล้ายสะดุ้งนิดๆ
ท่านชายยิ้มกว้างมากขึ้น มองด้วยดวงตาคมกริบ ชาลินีมองตะลึง ทั้งสองสบตากันนิ่งนาน
อิศรามองตามสายตาทั้งคู่ แล้วแนะนำ “อ้อ ท่านชายครับ นี่ชาลินี ลูกสาวของคุณอาผมครับ”
“ก็เป็นญาติของเธอ ยินดีที่ได้...พบกัน”
ชาลินักไหว้ทัก “ท่านชายวสวัต ดิฉันได้ยินชื่อท่าน เห็นข่าวท่านมานาน...แต่ว่า...” หล่อนถามด้วยความสงสัย “ท่านเคยไปอยู่อเมริกาไหมคะ”
“ทำไมรึ” ท่านชายวสวัตยิ้มนิดๆ
“ดิฉันรู้สึกเหมือน เคยพบท่านมาก่อน...ที่ไหนสักแห่ง”
“ที่ไหนล่ะ เพราะไม่มีที่ไหนในโลกนี้ที่ฉันไม่เคยไป”
“ก็...ไม่ทราบสิคะ แต่ว่า...รู้สึก...เราเคยพบกันมาก่อนที่ไหนคะ”
ท่านชายแย้มยิ้มน้ำเสียงเจือหัวเราะ “งั้นลองคิดเป็นปริศนาเป็นยังไง” ท่านชายมองลึกซึ้งขณะบอกว่า “เขาว่า...ผู้หญิง มักจำอะไรไม่ค่อยแม่น”
“แต่ดิฉันไม่น่าจะลืมท่านชาย”
ท่านชายมองชาลินีด้วยสายตาลึกล้ำ ดวงหน้ายิ้ม ดูมีเสน่ห์ พูดคล้ายจงใจตัดพ้อแต่หัวเราะเจือ “แต่...เธอก็ลืม”
ชาลินีขนลุกด้วยความปีติ ติดกับบ่วงเสน่ห์ท่านชายเต็มเปา
ท่านชายหันมาทางอิศรา “คอยสักครู่นะอิศรา เดี๋ยวฉันมา”
“ครับผม”
“ภุมมะ”
อิศราแทบสะดุ้ง เมื่ออิศราหันมาเห็นภุมมะยืนใกล้อิศราพร้อมพวงหรีดในมือ ดวงตาเยียบเย็นแลมา ทำให้อิศราเกิดสะท้านโดยประหลาด
ท่านชายยิ้มก้มศีรษะให้ทั้งสองคนเป็นเชิงลา ก่อนเดินนำภุมมะไปอีกทาง
“น่ากลัวชะมัด” อิศราบ่นว่าภุมมะ
ชาลินีมองตามท่านชายอยู่ ยิ้มอย่างพึงใจ
“บ้า...น่ากลัวที่ไหน ผู้ชายอะไร หล่อชะมัด”
“ผมหมายถึงคนของท่านชาย ไม่ใช่ท่านชาย คุณก็”
ชาลินีปรายยิ้มมองตามท่านชาย อิศรามองตามสายตาของชาลินีก็นึกขำ
“อย่าบอกนะ ว่าหลงเสน่ห์ท่านชายเข้าให้แล้ว”
“ใครหลงเสน่ห์ใครกันแน่”
ชาลินียิ้มมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง

อีกศาลาหนึ่งในวัด ภาพที่หน้าโลงศพเป็นรูปสตรีสูงวัยในชุดข้าราชการ ผู้คนในงานร้องไห้โศกเศร้าอย่างจริงใจ ภุมมะวางพวงหรีดก้มคำนับอย่างงดงาม
ท่านชายยืนมองอยู่ ก่อนจะทรุดลงนั่งหน้าโลง บรรดาญาติผู้ตายมองท่านชายอย่างประหลาดใจว่ารู้จักได้อย่างไร
หญิงคนหนึ่งส่งธูปให้อย่างนอบน้อม ท่านชายรับมา
“ขอบใจจ้ะ”
ญาติๆ มองหน้าแอบซุบซิบกันอย่างฉงน ท่านชายพนมมือ มองไปยังข้างโลง
โดยที่ยืนอยู่ข้างโลงตอนนี้ คือวิญญาณสุภาพสตรีสูงวัยในรูปในชุดขาว เหลียวมองมาที่ญาติๆ อย่างปลดปลง และปล่อยวาง ก่อนจะหันมามองท่านชาย
ท่านชายพยักหน้านิดเดียว วิญญาณนั้นก็จางหายไปกับละอองพราวแพรวคล้ายเกล็ดเพชร
ท่านชายยิ้มบางๆ พนมมือไหว้น้อมนอบงดงาม ก่อนส่งธูปให้ญาตินำไปปัก แล้วหันมาคุยกับลูกชายผู้ตาย
“คุณคงไม่เคยเห็นผม”
ชาย1 ท่าทีนอบน้อม “ครับ แต่คุณแม่ท่านก็รู้จักคนมาก เวลาไปวัดไปวาทอดกฐินผ้าป่า ผมเองก็มัวแต่ทำงานขึ้นๆ ล่องๆ”
ท่านชายยิ้ม เหลียวไปมองรูปผู้ตาย “ท่านเป็นคนดี” แล้วหันกลับมาหาชาย1“ท่านไปดีแล้วล่ะคุณ”
“ครับ ตลอดชีวิตผมก็ไม่เคยเห็นคุณแม่ทำบาปกรรมอะไร ตอนสิ้น ลูกหลานก็ไม่ได้เห็นใจ ท่านเข้านอนแล้วก็หลับไปเฉยๆ”
“เขาว่าคนมีบุญ เวลาตายก็มักไปอย่างสงบแบบนี้ล่ะคุณ คุณเองก็ได้ตอบแทนบุญคุณท่านมามากพอสมควรแล้ว อย่าเสียใจไปเลย”
ชาย 1ซับน้ำตา “ครับผม”
ภรรยาที่นั่งอยู่ด้านหลังมองท่านชายอย่างฉงน

ท่านชายและภุมมะเดินออกมาหน้าศาลา ชาย 1 กับภรรยา เดินตามมาส่ง
“วันเผา ฉันจะมา” ท่านชายบอก
ชาย1บอก “ขอบพระเดชพระคุณครับ เอ้อ แต่จะให้ส่งการ์ดเชิญที่ไหนครับ”
“ส่งไปที่ท่านชายวสวัต...ไม่เป็นไร แล้วฉันก็รู้เอง”
ท่านชายยิ้มผงกศีรษะรับไหว้ก่อนเดินจากไป มีภุมมะตามหลัง พวกญาติๆ มองตาม พากันงงว่าใครกัน

ด้านชาลินีชะเง้อคอรอท่านชายวสวัตอยู่ในศาลา คุณหญิงเพ็ญมาเห็นเข้าก็ตำหนิเอา
“ทำไมทำท่าลุกลนแบบนี้ ดูไม่งามเลย”
“เดี๋ยวแม่ก็ทราบค่ะ ดีไม่ดี แม่จะลุกลนกว่าหนู”
คุณหญิงสนเท่ห์ พอชาลินีมองเห็นท่านชาย รีบเดินออกไปรับอย่างเร็ว พยายามข่มอาการตื่นเต้น
“ท่านชาย เชิญค่ะ”
ท่านชายเยื้อนยิ้มเดินนำเข้ามา ชาลินีตามหลัง ภุมมะถือพวงหรีดอีกพวงเดินตาม
ชาลินีเดือนใกล้ท่านชายเข้ามา ผู้คนเหลียวมอง
“ใครๆ หันมามองท่านชายกันใหญ่เลยค่ะ”
“คงไม่ใช่ฉันมั้ง สิ่งที่สวยที่สุดต่างหากที่ดึงดูดสายตาของคน”
ชาลินีตีหน้าซื่อไร้เดียงสา “ท่านหมายความว่ายังไงคะ”
ท่านชายหยุดมองจ้องหน้าชาลินี “ฉันหมายความว่าเขาหันมามองคนสวยอย่างเธอไง..ชาลินี”
ชาลินีชะงักงันต้องเสน่ห์อีกรอบ แล้วยิ้มภาคภูมิออกมา
ท่านชายยิ้มตอบ มีแววขบขันในดวงตา ด้วยรู้ถึงก้นบึ้งจิตใจของชาลินีอย่างดี

ชาลินีปรายยิ้มทรงเสน่ห์ให้อีกที ทั้งคู่ที่ยิ้มให้กัน ด้วยความรู้สึกในใจที่แตกต่างกัน

อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 4 (ต่อ)

อิศราเข้ามาแทรกระหว่างกลาง มองทั้งสองคนอย่างประหลาดใจ แล้วกลายเป็นกึ่งขำเพราะรู้ทันญาติสาวว่ากำลังโปรยเสน่ห์ให้ท่านชาย ที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก

ภาพของคุณหญิงอุ่นในกรอบดูดุดัน ภุมมะวางพวงหรีดด้วยกิริยาแข็งกว่าความอ่อนน้อมต่างจากอีกศาลา พลางปรายตามองรูปยิ้มเย้ยหยัน ก่อนขยับตัวค้อมหลีกให้ท่านชายที่เดินมา อิศรารออยู่ส่งธูปให้ท่านชายที่ทรุดลงนั่ง ชาลินีลงนั่งข้างอิศรา ท่านชายรับธูปมาแล้วมองรูปย่าอุ่นนิ่ง
“ภาพคุณย่ารูปนี้ค่อนข้างดุไปหน่อยค่ะ แต่เราหาภาพอื่นที่แต่งตัวเต็มยศไม่ได้” ชาลินีว่า
“ฉันเคยเห็นท่านตอนนั้น...ฉันหมายถึง ฉันเคยเห็นรูปนี้มาก่อนน่ะ”
ท่านชายมองภาพย่าอุ่นนิ่ง อิศรามองตามแล้วแทบสะดุ้ง เมื่อพบว่าภาพย่าอุ่นมีสายตาหวาดกลัวเบิกกว้างมองมายังท่านชาย
“เอ๊ะ”
“อะไร อิศ”
อิศรากระพริบตามองอีกครั้งภาพย่าอุ่นเป็นปกติ
“เอ้อ...เปล่า”
ท่านชายมองอิศราจากหางตา ปรายยิ้ม แล้วไหว้สุภาพ รวดเร็วพอเป็นพิธี ไม่อ่อนน้อมเนิบช้าอย่างเมื่อครู่ แล้วส่งธูปต่อให้อิศราไปปักในกระถาง

ฝ่ายคุณหญิงเพ็ญมองท่านชายตลอด แทบนั่งไม่ติดที่ หันไปบอกนายพลบัญชา
“คุณคะ ประเดี๋ยวดิฉันจะให้ยายชา เชิญท่านชายมานั่งที่นี่ คุณชวนคุยทำความรู้จักดีๆ นะคะ”
“นี่คุณสอนผมให้คุยกับคนเหรอ” ผู้เป็นสามีค่อน
“โธ่ จะมาถือยศอะไรนักหนา นี่น่ะท่านชายวสวัต ร่ำรวยล้นฟ้ารู้จักไว้ เสียหายตรงไหน”
นายพลบัญชาชักรำคาญเมีย
“อย่าให้ถึงกับผมต้องลุกไหว้เด็กก็แล้วกัน ถึงจะเป็นเจ้าชายต่างประเทศก็เถอะ”
คุณหญิงค้อนควัก ลุกออกไปอย่างหงุดหงิด
ท่านชายลุกขึ้นยืน ชาลินี กับอิศราลุกตาม
“เชิญท่านชาย นั่งด้านหน้าเลยครับ”
“ขอโทษนะ แต่ฉันคงต้องขอตัว”
สีหน้าชาลินีผิดหวัง แต่ไม่ทันพูดอะไร คุณหญิงเพ็ญก็เข้ามายิ้มเรี่ยราด
“ท่านชายจะรีบไปไหนล่ะคะ กรุณาอยู่ต่อสักพักสิคะ ประเดี๋ยวพระก็สวดรอบสุดท้ายแล้ว”
“ต้องขอโทษจริงๆ พอดีฉันมีงานต้องทำ”
“คะ ท่านต้องทำงานตอนกลางคืนด้วยเหรอคะ” ชาลีนีฉงน
อิศรากระแอม “แน่ล่ะ เพราะผมเอง พบท่านครั้งแรกก็ตอนกลางคืนเชิญเถอะครับท่านชาย เท่าที่กรุณามาก็เป็นเกียรติแล้ว”
คุณหญิงเพ็ญเสียดายโอกาส “โธ่...”
ท่านชายวสวัตยิ้มบางๆ ในสีหน้า รู้ทัน
ท่านชายเดินออกมาหน้าศาลา มีชาลินี และ อิศรา ตามมาส่ง ภุมมะรีบเดินไปที่รถ รอเปิดประตู
“ท่านชายขอบทำงานกลางคืน ไม่ชอบไปเที่ยวไหนๆ บ้างเหรอคะ”
อิศรามองชาลินีได้แต่กระแอมเบาๆเชิงรู้ทันในลำคอ
“ไปสิ ฉันไปบ่อยด้วย”
“อ้าว เห็นว่าชอบทำงานตอนกลางคืน โธ่ ท่านชายจะหมายถึงไปเที่ยวไหนๆ ก็ไม่บอก”
“งาน ก็คือการไปเที่ยวไงล่ะ ไปสอดส่องดูแล”
ชาลินีถอนหายใจพลางหัวเราะเบาๆ “ตายละ ท่านชายพูดแบบนี้ ดิฉันตามไม่ทัน”
ท่านชายหันมองชาลินี “พยายามตามเถอะ คงทันแน่ ฉันคอยเธอเสมอนี่นะ”
ชาลินีโดนเข้าอีกดอก ชะงักงันไปแล้วยิ้มตาพราวเสน่ห์
“ที่จริงดิฉันก็ไม่อยากให้ใครคอยหรอกค่ะ”
“แต่ก็มีคนคอยเธอเสมอ...สมชื่อเธอนั่นแหละ”
“คะ ชื่อดิฉันเหรอคะ ท่านชายทราบความหมายของชื่อดิฉันหรือคะ ดิฉันเองยังไม่เคยรู้เลย”
อิศราเย้า “ผมรู้...แปลว่า ชาใส่นม”
ชาลินีค้อน ท่าทีน่ารัก “บ้า อิศนี่”
“ชื่อของเธอ ถ้าแปลตามคำศัพท์ จะแปลว่า ตาข่าย ที่จะดักใครๆ ไว้ได้เสมอ”
อิศราแซวอีก “อื้อหือ อาหญิง ตั้งชื่อเธอได้สมจริงๆ”
“แล้ว มีความหมายอื่นอีกไหมคะ”
“มีสิ” ท่านชายยิ้มกว้าง “อีกความหมายหนึ่งของชาลินี คือ...ตัณหา”
ท่านชายเยื้อนยิ้มมองชาลินีอย่างนึกสนุก
“ตัณหา...คือความอยากได้ อยากมี หรือคือ บ่อเกิดของกิเลส ความชั่วร้ายทั้งปวง”
อิศราหัวเราะขัน “โอ้โห...ตรงจริงๆ”
ชาลินีงอน “แหม ที่จริงมนุษย์เราไม่แสวงหาความสุขไว้ตอนมีชีวิตอยู่ได้ยังไงล่ะคะ ตายไปก็ตอบยมบาลไม่ถูกกันพอดี”
ท่านชายหัวเราะ นัยน์ตาเข้มขึ้นมานิดๆ
ชาลินีกึ่งงอนและให้ท่าท่านชาย อิศรามองขำท่าทางชาลินี
ระหว่างนี้สิริ นั่งในรถหันมามองชาลินี ภุมมะที่ยืนรอข้างประตูก็มองชาลินีอย่างเลือดเย็นทั้งคู่

รถท่านชายที่มีสิริขับแล่นมาตามทาง โดยท่านชายนั่งตอนหลัง มือพาดพิงขอบหน้าต่าง ภุมมะนั่งนิ่งเบื้องหน้า
ท่านชายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ภุมมะ สิริ เจ้าจำผู้หญิงคนนั้นได้ไหม”
“เจ้าข้า”
“เขาก็จำข้าได้ ทันทีที่สบตากัน เขาทำเหมือนจะจำข้าได้” พูดถึงตอนนี้ท่านชายหัวเราะชอบใจ สีหน้าเย้ยหยัน “แต่แล้ว เขากลับนึกไม่ออก จำนายเหนือหัวมันไม่ได้”
ภุมมะและสิริ ฟังนิ่ง
“จะมีมนุษย์สักกี่คน ที่จะจำ โรรุวนา มหาโรรุวนาได้ ว่าเป็นชื่อของอะไร จะมีสักกี่คนที่จรดจำ ถึงวาระที่ต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้ตัดสินได้ ...นาง ก็เป็นคนหนึ่งที่โฉดเขลา...และ อยากเล่นกับไฟ” พญามารยิ้มเหี้ยม “นางหนีไม่พ้นวาระแห่งวิบากของนางเอง”
รัศมีรอบกายท่านชายเปล่งประกาย สีหน้าสว่างขึ้น เห็นนัยน์ตาดุดัน
“เอาเถอะ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”

กลับจากงานศพคืนนั้น ชาลินีนอนแช่น้ำในอ่าง ในความคิดยามนี้ มีแต่ภาพท่านชายผุดมาเป็นระยะๆ
ท่านชายหยุดมองหน้าชาลินี “ฉันหมายความว่าเขาหันมามองคนสวยอย่าง..เธอไง..ชาลินี”
คิดแล้วชาลินียิ้มกริ่ม
“ตายล่ะ ท่านชายพูดแบบนี้ ดิฉันตามไม่ทัน”
ท่านชายหันมองชาลินี “พยายามตามเถอะ คงทันแน่ ฉันคอยเธอเสมอนี่นะ”
ชาลินีคิดเรื่องนี้แล้วยิ้มระบายลมหายใจ สำลักมนต์เสน่ห์ท่านชาย

ชาลินีถอดผ้าสะบัดสยายผม พลางเช็ดผม เกิดมโนไปว่าท่านชายกำลังเดินมาอีกซ้อนทางเบื้องหลัง ชาลินียิ้มให้กระจก อิ่มเอมกับความคิดฝัน ภาพท่านชายหายไป
“โฮ้ย อะไรนี่ จะคอยตามมาในหัวอยู่นั่นแหละ ท่านชายวสวัต”
ชาลินียิ้มพราย แล้วแลเลยไปเห็นดอกลิลลี่ รอยยิ้มจางลงทันที นึกถึงคำพูดจริงจังของเอกดนัยขึ้นมา
“ชาต่างหาก ที่ต้องตื่นจากความฝัน แล้วก็ยอมรับความจริงซะทีชาฝันที่จะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาพาชาไปอยู่ปราสาท ชา เจ้าชายมีแต่ในฝันเท่านั้นแหละ”
ชาลินีเพิ่งสำเหนียกถึงอันตรายหากไม่เลิกกับเอกดนัยเป็นครั้งแรก
“เอก...บางที...พี่อาจจะพบเจ้าชายของพี่แล้วก็ได้”

ชาลินีมองกระจก สีหน้าว้าวุ่น กังวลกับการบอกเลิกเอกดนัย

ขณะเดียวกัน ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่ง มีภาพคุณหญิงอุ่นพร้อมข้อความว่า “เชิญฟังสวดอภิธรรม คุณหญิงอุ่นศรี ธรรมาภิรักษ์...” ดวงแก้วอ่านรายละเอียดแล้วก็อึ้งไป

เจริญขวัญกำลังนั่งเย็บเสื้ออยู่ใกล้ๆ เงยหน้าขึ้นมามองแม่โดยไม่ตั้งใจ เห็นดวงแก้วนั่งนิ่งงันอยู่ก็สงสัย
“แม่..มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ดวงแก้วหันมองลูกสาว สีหน้าตัดสินใจ

เช้าวันถัดมาภาพถ่ายสีเหลืองซีดในกรอบเก่าๆ ในมือดวงแก้ว ถูกส่งให้ลูกสาว เจริญขวัญรับมาดู เอานิ้วไล้รูปของบิดาอย่างประหลาดใจและคิดถึง
“รูปครอบครัวของพ่อเหรอคะแม่” เจริญขวัญก้มดูอีกทียิ้มเศร้า “พ่อหล่อจังค่ะแม่ มิน่า” หญิงสาวยิ้มน้ำตารื้น แต่ทำเสียงสดใส “แม่ถึงหลงรักพ่อ”
“คุณพ่อ เป็นลูกกำพร้าแม่...คุณย่าแท้ๆ เสียตั้งแต่คลอดคุณพ่อใหม่ๆ พอโตมาได้สักสิบปี คุณปู่ก็เสีย คนที่หนูเห็นตรงกลางนั่น คือ คุณย่าอุ่น ที่เป็นทั้งน้องสาวแท้ๆของคุณแม่ของพ่อ และก็ภรรยาคนที่สองของคุณปู่” ดวงแก้วยิ้มบางๆ “ฟังตามทันไหมลูก”
“งั้นคุณย่าอุ่น ก็เป็นทั้ง คุณน้า แล้วก็ แม่เลี้ยงของคุณพ่อ”
“จ้ะ แต่ว่า...” ดวงแก้วถอนหายใจ “เรื่องในอดีตระหว่าคุณพ่อกับคุณย่าอุ่น แม่ไม่อยากรื้อฟื้นมาก มันไม่ดี รู้เพียงว่า คุณพ่อ ช้ำใจที่คิดว่าคุณย่าไม่รัก พอแต่งงานกับแม่แล้วก็ไม่เคยอยากกลับไปที่บ้านนั้นอีก”
เจริญขวัญเข้าใจ “โถ คุณพ่อ”
ดวงแก้วส่งหนังสือพิมพ์ เปิดช่วงกรอบข้อความการสวดพระอภิธรรมคุณหญิงอุ่น ให้ลูกสาวดู เจริญขวัญอ่าน สีหน้าตกใจเล็กน้อย หันมามองแม่ ดวงแก้วขรึมเศร้าแต่พยักหน้ายืนยัน
“ทนายของคุณย่าติดต่อมา ทั้งจดหมาย กับมาหาถึงที่นี่ว่าคุณย่าอยากพบคุณพ่อ หรือ ทายาท แต่แม่..คิดว่า คุณพ่อก็ไม่อยู่แล้ว เลย ปฏิเสธไป ไม่รู้ว่าแม่ทำผิดไปหรือเปล่า”
เจริญขวัญยิ้มปลอบแม่ “ไม่หรอกค่ะแม่” มองรูปย่าอุ่นในมือนิ่งนาน

สองแม่ลูกชวนกันไปทำบุญให้ย่าอุ่นที่วัดใกล้ไร่ เวลานี้นั่งอยู่บนศาลา ภาพถ่ายครอบครัวเมื่อคืนนี้ ถูกนำมาใส่กรอบ มีสายสิญจน์คล้องกรอบรูปนั้น และโยงมาที่หลวงตา
เจริญขวัญ กับ ดวงแก้ว ถวายจตุปัจจัย และ ผ้าไตร หลวงตาสวดบังสุกุล สองแม่ลูกกรวดน้ำ
เจริญขวัญตั้งสมาธิกรวดน้ำ
“บุญใดที่ลูกได้ทำมา ขออุทิศบุญนั้นแก่คุณย่าอุ่น หากท่านทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ หากมีสุข ก็ขอให้มีสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยเทอญ...”
หยาดน้ำที่เทลงถ้วย ส่องประกายสายงามเหลือเกิน

เสียงของเจริญขวัญดังกึกก้องขึ้นในนรกภูมิ “สาธุ”
ประกายหยดน้ำ หยดลงหน้าย่าอุ่นในทะเลนรก แวบหนึ่ง ใบหน้าย่าอุ่นจากสัตว์นรก กลายเป็นใบหน้าปกติ ย่าอุ่นชะงักตาเบิกโพลงด้วยความดีใจ ได้หายจากทุกข์ทรมานเพียงแวบเดียวเท่านั้น ใบหน้าย่าอุ่นคืนสภาพเป็นสัตว์นรก กรีดร้องโหยหวนดั่งเดิม

อีกฟาก ชาลินีขับรถสปร์อตปราดเปรียวเข้ามาหน้าบ้านย่าอุ่น เปิดประตูลงมาด้วยเสื้อผ้าสดใส สวมแว่นดำ เดินปึงๆ เข้าไปในโถงบ้าน เจอสีออกมารับ
“สวัสดีค่ะคุณชาลินี”
“นายอิศล่ะ”
“เพิ่งเที่ยง...ยังไม่ตื่นหรอกค่า”
ชาลินียิ้ม เดินเข้าไปในบ้าน สีลอบมอง พลางส่ายหน้า
“เพิ่งตั้งสวดให้คุณหญิงได้วันเดียวเอง คุณชาลินีออกทุกข์ซะแระ”

อิศราเปลือยท่อนบนนอนคว่ำหน้าหลับอยู่บนเตียง ชาลินีเปิดประตูเข้ามา แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างแรงบนเตียงข้างๆ จนอิศราสะดุ้งตื่น
“เฮ้ย” อิศราหันมาหยีตามองเห็นว่าใคร “เฮ้ย” แล้วนอนต่อ
“ตื่นได้แล้ว อยากคุยด้วย”
อิศราส่ายหัวเสียงอู้อี้
“ตื่นๆๆๆๆ” ชาลินีเอาหมอนตี
อิศราลุกหัวยุ่ง แต่ยังหล่อ หยีตามอง “เอ๊ะ อะไรนะคุณนี่”
“ลุก สิ”
“ลุกได้ยังไง ผมไม่ได้สวมอะไร หรืออยากเห็น”
“บ้า” ชาลินีลุก “ให้ไวนะ ชั้นจะรอข้างล่าง”
ชาลิเดินออกจากห้องไป อิศราส่ายหัวทิ้งตัวลงนอนต่อสะบัดผ้าคลุมโปง ชาลินีปราดเข้ามาทันควัน สะบัดผ้าเปิดโปงออก
“ลุก”
“เฮ่ย” อิศรารีบลุก คว้าผ้ามาคลุมเอว

อิศรานุ่งผ้าขนหนูอาบน้ำเสร็จแล้ว กำลังโกนหนวดหน้ากระจก ชาลินียืนเกาะประตูคุยด้วย ถามแต่เรื่องท่านชาย
“เธอเคยไปวังท่านชายมาแล้วใช่ไหม เป็นไงบ้าง ใหญ่มากมั้ย”
“ก็ถ้าเรียกว่าวัง ก็ต้องใหญ่...บิ๊ก...เบ้อเริ่ม สมชื่อวังสิ”
“เคยเห็นผู้หญิงบ้างไหม”
“มีแต่พวกคนรับใช้ท่าน ที่หน้าเหมือนผีนั่นแหละ”
“แล้วก็ โลกันต์คลับนั่นอีก..ท่านรวยมากเลยสินะ”
“ปริญญา หล่อ รวย คงจะครบบัญญัติของคุณล่ะสิ” อิศราค่อนขอด
“บัญญัติอะไร”
อิศราเดินมา ยื่นหน้ามาหน้าประตูใกล้ชาลินี
“บัญญัติหาคู่ของคุณไง”
ชาลินีหันขวับจะเอาเรื่อง อิศราหัวเราะปิดประตูห้องน้ำ
ชาลินียืนหน้ามุ่ยกอดอก ครู่หนึ่งประตูแง้มอิศรายื่นมือออกมามีผ้าพันเอวเมื่อครู่ มืออิศราทิ้งผ้าลงพื้น
“บ้า”
ชาลินีเดินหนี มีเสียงอิศราหัวเราะตามหลัง

อิศรานั่งทานข้าวต้มอยู่ มีชาลินีนั่งคุยด้วย แน่นอนว่าเป็นเรื่องท่านชายอีก
“เธอว่าท่านชาย จะมีผู้หญิงประเภท รักใครอยู่หรือ” ชาลินียักไหล่ไม่แคร์นัก “ประเภทเมียน้อยเมียเก็บบ้างไหม”
“ท่านน่ะต้องอยู่กับสาวๆ” อิศราแกล้งแหย่เล่น ยิ้มขันเมื่อเห็นชาลินีหูผึ่ง “หมายถึง สาวๆ ที่ทำงานที่คลับมีออกตรึม แถมพวกที่มาเที่ยวอีกล่ะ แต่ ผมไม่เคยท่านชาย ชายตามองใครเลย สาวๆ ก็ว่าท่านหยิ่ง”
“จริงเหรอ แต่กับชา ไม่เห็นจะหยิ่ง”
อิศรารู้ทัน “สนท่านล่ะสิ”
“ต้องถามใหม่นะจ๊ะ ว่าใครสนใครก่อน เธอไม่เห็นสายตาท่าที่มองฉันเหมือนมองลึกไปถึงหัวใจเหรอ...แล้วท่านก็หล่อขนาดนี้ ดวงตางี้ คมกริบ แล้วก็เป็นถึงท่านชาย ร่ำรวยมหาศาล”
อิศราต่อให้ “เหมาะกับชาลินีมากที่สุดว่างั้นเถอะ แล้วผู้ชายในสังกัดหายไปไหนหมด เห็นว่ามีลูกชายเจ้าของห้างมาจีบ” อิศราไล่รายชื่อกิ๊กชาลีนี
“ไม่ได้เรื่อง ดีแต่รวย อย่างอื่นแพ้ราบ”
“ว่าที่นายพลที่หนุ่มที่สุดนั่นล่ะ”
“มียศ ไม่มีเงิน”
“งั้นอีกรายที่ตามเทียวไล้เทียวขื่อ ที่ว่าจบดอกเตอร์”
“เก่งแต่เรื่องในตำรา ขี้เกียจไปหย่าทีหลัง”
อิศราเซ็ง “เฮ่ย คุณนี่ ช่างเลือก”
“ทำไม ผู้ชายเท่านั้นเหรอที่จะมีสิทธิ์เลือก จริงๆ นะอิศ พอฉันพบท่านชาย ฉันรู้สึกเหมือนว่า...เคยพบมาก่อน เคยใกล้ชิดมาก่อน ยังไงก็ไม่รู้”
อิศราหมั่นไส้ “เถอะ อย่าให้ถึงกับ บอกรักท่านก่อนก็แล้วกัน”
“ก็ไม่แน่ ถ้าท่านขี้อายนัก ก็จะลองดู” ชาลินีหัวเราะระรื่น
“บราโว ให้กับผู้หญิงที่อาสาจะทำให้ท่านชายวสวัตหมอบราบคาบแก้ว”
“ผู้ชาย ก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ...อยากรู้นัก ว่าท่านชายจะจูบผู้หญิงเป็นไหม”
อิศราแทบสำลักน้ำดื่ม ชาลินีหัวเราะกิ๊ก
“คุณก็ลองสอนท่านดูแล้วกัน”

อิศราลุกไป ชาลินียิ้มขำๆ อยู่ มือถือดัง ชาลินีดูมือถือ เห็นเป็นชื่อเอกดนัย ชาลินีคลายยิ้ม กัดริมฝีปาก ขบคิด

ชาลินีออกมาคุยมือถืออยู่ในสวน ไม่อยากให้อิศรารู้

“ฮัลโล”
เอกดนัยอยู่ที่บ้านจุ๊บมือถืออย่างแรง “ส่งจูบมาตามสาย ถึงหัวใจคนรักจ้ะ”
ชาลินีสงสารและอึดอัดใจ ชักทำตัวไม่ถูก
“มะรืนนี้ก็จะบินแล้วใช่ไหม กู๊ดลัค นะจ๊ะ”
“เฮ้ ชา อย่าบอกนะว่าจะไม่ยอมพบกันก่อนผมบิน”
“แหม เย็นนี้ก็ต้องไปงานคุณย่า”
“พรุ่งนี้ยังมีอีกวันนี่นา ทานข้าวเที่ยงกันนะ”
ชาลินีครุ่นคิด ตัดสินใจ
“โธ่ ชา เอกเป็นคนดีของชาอยู่เสมอ ชาจะไม่ให้ของขวัญก่อนบินทริปนี้ด้วยการเจอเอกหน่อยเหรอจ๊ะ”
ชาลินีตัดสินใจเด็ดขาดจะบอกเลิก
“ก็ดีเหมือนกัน เราน่าจะได้...คุยกัน”

ขณะที่อรอนงค์นั่งทาเล็บอยู่ จู่ๆเอกดนัยทิ้งตัวนั่งลงโซฟาเดียวกันเต็มแรงจนเก้าอี้ยวบ
อรอนงค์วี้ด “ว้าย ระวังหน่อยสิ เล็บชั้นเสียหมด”
เอกดนัยหัวเราะ เลื่อนตัวมานั่งตรงกันข้ามพี่สาว ดึงมือมา เป่าเล็บให้แล้วช่วยทาเล็บให้อย่างสนิท
อรอนงค์เหล่ “อะไร อยู่ๆมาทำน่ารักกับพี่”
เอกดนัยยิ้มพูดไม่มองหน้า “พรุ่งนี้เจ๊ว่างไหม เที่ยงไปกินข้าวกันมั้ย”
“พรุ่งนี้ วัลภาชวนพี่ไปดูพื้นที่ ที่ห้างที่เขาจะเปิดร้านเสื้อน่ะสิ”
เอกดนัยวางขวดยาทาเล็บ พูดลอยๆ “ผมนัดแฟนไว้ ไม่อยากเจอก็ตามใจ”
“ว่าไงนะ ไปสิ ไปๆ พี่ไปได้ เอกพูดจริงรึเปล่าเนี่ย”
“เซอร์ไพร้ส์”
อรอนงค์ตื่นเต้น เอกดนัยยิ้มร่าทำน่ารักกับพี่สาว

วันต่อมา สองคนนัดเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ตอนนี้เอกดนัยกำลังยิ้มแย้มรินชาใส่แก้วชาลินี ที่นั่งขรึมตั้งแต่มาถึง หาช่องทางพูดตัดขาด
“เที่ยวนี้เอกต้องไปยุโรป แวะอิตาลี ฝรั่งเศส ด้วย ชาอยากได้อะไรไหมจ้ะ ครีม หรือน้ำหอมดี”
ชาลินีมองสงสารแวบหนึ่ง แต่ใจแข็งเพราะมีที่หมายใหม่
“ของคราวที่แล้วยังใช้ไม่หมดเลย นี่...เอก”
“อะไรจ๊ะ” เอกดนัยยิ้มแย้ม แววตามีแต่ความรักจริงใจ
ชาลินีมองก็อึ้งไป ระบายลมหายใจบางเบา

ขณะเดียวกัน สามสาวเดินเรียงกันเข้ามาในร้านเดียวกัน ท่าทางอรอนงค์ตื่นเต้นที่สุด
วัลภาเย้า “ตื่นเต้นจะเจอว่าที่น้องสะใภ้หรือจ้ะ อร”
“ตาเอกเขารักของเขามากเลยนะ แอบคบกันมาตั้งนานไม่ยอมให้ชั้นเจอเลย เพิ่งจะวันนี้แหละ” อรอนงค์ยิ้มชื่น
ปวีณาแซว “หน้าบานเชียวอร ท่าทางอยากมีหลานเต็มแก่”
สามสาวหัวเราะกิ๊กกั๊ก

ชาลินีกับเอกดนัยนั่งอยู่ในห้องส่วนตัว
“คือ เอก...เรื่องระหว่างเรา...คือพี่”
เอกดนัยกุมมือชาลินีมั่น “เอกก็อยากคุยกับชาเรื่องนี้เหมือนกัน ชาจ๋า เอกรู้ว่าชาคิดยังไงกับเอก แต่ชาเพียงไม่มั่นใจว่าชาจะฝากอนาคตไว้กับเอกได้ไหม”
“ก็ถูก แต่ว่า”
เอกดนัยยิ้มชื่น ยกมือไล้หน้าชาลินีแผ่วเบา “เอกว่า มันถึงเวลาแล้วที่เราจะไม่หลบซ่อนความรักของเราอีก เราต้องเปิดเผยเรื่องของเราให้ทุกคนรู้”
ชาลินีชะงัก “เปิดเผยเรื่องของเรา”
เอกดนัยยิ้มพยักหน้ารับ
ชาลินีฉงน “ยังไง”
ขณะเอกดนัยขยับจะพูดต่อ ประตูห้องเปิดออก สองคนหันไปมองเห็นสามสาวก้าวเข้ามา อรอนงค์ที่ยิ้มๆ อยู่ พอเห็นเอกดนัยกุมมือชาลินีก็ชะงักงัน ไม่ต่างกันนัก ชาลินีตะลึงและเหลียวขวับมามองเอกดนัยตาขวาง โกรธสุดขีด เอกดนัยไม่สนใจลุกขึ้นและดึงชาลินีขึ้นมาด้วย
“พี่อร พี่วัลภา พี่ปวีณา ขอแนะนำให้รู้จัก” เอกดนัยโอบบ่าชาลีนี “แฟนของผมครับ”
ชาลินีตกใจมาก หันมามองเอกดนัยที่ยิ้มแย้มอยู่อย่างโกรธขึ้ง
อรอนงค์ เข่าอ่อน ปวีณา และวัลภา ตกตะลึง คิดไม่ถึง

ขณะเดียวกันอิศราหงุดหงิด อาละวาดเอากับทนายวันชัยทางโทรศัพท์
“ทำไมอาทนายสั่งห้ามผมเบิกเงินบัญชีของคุณย่า ตอนคุณย่ายังอยู่ก็ผมนี่แหละตัวแทนเอาเงินเข้าออกให้คุณย่า”
“แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้ว ผมต้องทำตามพินัยกรรมที่ท่านสั่งไว้ว่า ให้รอจนครบร้อยวันถึงจะมีการจัดสรรเรื่องสมบัติของท่านได้เอกสารการเงิน ต้องได้รับการรับรองถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะมีคำสั่งให้ทางธนาคารอนุมัติการจ่ายเงิน”
“แล้วไงครับ ระหว่างนี้จะให้ผมทำยังไง”
“เงินส่วนตัวบัญชีของคุณอิศราเองก็มีนี่ครับ มันคงมากพอที่คุณใช้ไปได้จนกว่าจะเปิดพินัยกรรมและจัดการเรื่องแบ่งสมบัติท่าน”

อิศราหงุดหงิด แทบเขวี้ยงมือถือ

ส่วนที่ห้องส่วนตัว ในร้านอาหารญี่ปุ่นบรรยากาศอึมครึม มาคุเต็มที่ ชาลินีผลักและขยับออกห่างจากเอกดนัย อรอนงค์พรวดเข้ามาหา โกรธจนเสียงและมือไม้สั่น

“นี่เธอเล่นตลกอะไรกับพี่ ตาเอก อย่าบอกพี่นะ ว่าแม่นี่ คือ ผู้หญิงที่เธอว่ารัก และแอบคบกันมาเป็นปีๆ นังชาลินีเนี่ยนะ”
ชาลินีช็อกและตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ เอกดนัยกุมบ่าชาลินีมั่น ตกใจเหมือนกัน คาดไม่ถึงว่าจะขนาดนี้
ปวีณากรีดเสียงเยาะ “ต๊าย หลอกกระทั่งน้องของเพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก”
วัลภาเสริม “ร้าย แรงส์ ทู่เรด มากเลย”
“เดี๋ยว ฟังผมก่อน! ผมขอโทษที่ทำให้พี่อรตกใจ แต่ผมคิดว่า มันถึงเวลาที่ต้องเปิดเผยความจริง และผมก็ต้องการให้พี่อร ให้เกียรติคนที่ผมรักด้วย”
ชาลินีตะลึงสุดขีด ตัดสินใจในทันที
“ผมกับพี่ชา เราสองคนน่ะ..รัก...”
เอกดนัยหันไปหาชาลินีจะพูดว่า รักกัน แต่ไม่ทันพูดจบ ชาลินีตบหน้าเอกดนัยเปรี้ยง ทั้งโกรธ ทั้งเพื่อปิดปาก
“ทุเรศมากเลยนะ เอก”
เอกดนัยตกใจ “ชา…”
อรอนงค์กรี๊ด “อ๊าย เธอตบหน้าน้องชั้นทำไม”
อรอนงค์หันซ้ายขวา หยิบแก้วน้ำร้อน สาดเข้าหาชาลินีจังๆ เอกดนัยตกใจผวาเข้ากอดกั้นกลาง
“เฮ้ย อย่า...โอย” เอกดนัยโดนน้ำร้อนร้องโอดโอย
ชาลินีอยู่ในอ้อมกอดของเอกดนัย เงยหน้ามองเอกดนัยที่แสบร้อนอย่างตกใจ
“อุ้ย เอก พี่ขอโทษ”
ชาลินีได้สติ ผลักเอกดนัยที่กอดอยู่ออก
“ปล่อยชั้นนะ” ชาลินีแทบกรี๊ด พยายามคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเต็มที่
“เอก เธอเห็นหรือยัง ได้ยินกับหูแล้วใช่ไหม ว่าพวกพี่สาวเธอ คิดยังไงกับพี่ เธอเล่นเกมแบบนี้ พี่จะไม่มีวันให้อภัยเธอ”
“ไม่ใช่เกมนะชา ผมคิดว่า มันถึงเวลาที่เราจะต้อง...”
“จะต้องอะไร” ชาลินีสวนคำ จ้องบังคับด้วยสายตาอย่างกราดเกรี้ยว แล้วหันมาทางสามสาว “ชั้นถูกน้องเธอหลอกมา เอกเขาคงหวังดีอยากให้พวกเราคืนดีกัน ใช่ไหม เอก” ชาลินีเน้นคำตอนท้าย “ใช่ไหม”
เอกดนัยอ้ำอึ้ง
ชาลินีหันขวับมาทางสามสาว “แต่ขอบอกไว้เลยว่า ไม่มีวัน”
ปวีณาวี้ดใส่ “โฮ้ย พวกชั้นน่ะ ก็ไม่อยากจะไปญาติดี คืนดีอะไรกับเธอหรอก”
“ก็ดี” ชาลินีคว้ากระเป๋าจะเดินออก สามสาวยืนกั้น ชาลินีมองทั้งสามคน
“หลีกไป”
เอกดนัยจับแขนรั้งไว้ “เดี๋ยว ชา”
ชาลินีสะบัดสุดแรง
“อย่ามาถูกตัวชั้นนะ” ชาลีนีหันมาทางสามสาว “หลีกไปซิ”
สามสาวแยกออกชาลินีผ่ากลางเดินออกไปเลย เอกดนัยจะตาม สามสาวยืนกั้นไม่ยอมให้ไป อรอนงค์คว้าแขนน้องชาย
“จะไปไหน เราต้องพูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
เอกดนัยมองหน้าทั้งสาม แล้วสะบัดแขนแรง เอกดนัยแหวกกลุ่มอรอนงค์วิ่งออกไป

เอกดนัยวิ่งออกมาหน้าร้าน มองหาชาลินีอย่างคลุ้มคลั่ง รถชาลินีขับออกมาผ่านหน้าร้านไป เอกดนัยวิ่งตามไปจะเคาะกระจกรถ
“ชา ชา ฟังผมก่อน”
ชาลินีขับรถปราดออกไป เอกดนัยงุ่นง่านรีบยกมือถือกดโทร.หา
มือถือในรถชาลินีดัง หล่อนชั่งใจครู่หนึ่งก่อนกดบลูทูธรับสาย
สองคนพูดโทรศัพท์
“ชา ผมขอโทษ มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
ชาลินีฟังหน้าขรึม
เอกดนัยระล่ำระลัก
“คุณไปที่ไหน ให้ผมตามไปหานะ ผมขอโทษจริงๆ ผมรักคุณ”
“เอก ฟังให้ดี มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราอีก โชคดีนะเอก”
ชาลินีกดปิดสาย โยนบลูทูธออกทิ้งลงเบาะ เอกดนัยตกตะลึง ช็อก ยืนไม่ติดที่
“ชา ชา..” เอกดนัยกดมือถือหาอีกครั้ง แต่สายไม่ติดแล้ว เอกดนัยงุ่นงานสุดขีด
ชาลินีที่ขับรถอยู่ คลี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“เธอผิดเองนะเอก ก็ดี ชั้นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาปัดเธอให้พ้นจากทางชีวิตของชั้น...ลาก่อนเอก”

เอกดนัยหมดเรี่ยวแรง ยืนเคว้งอยู่ที่เก่า ขณะอรอนงค์ ปวีณา และ วัลภา เดินเร็วรี่ออกมา
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เอก” อรอนงค์เสียงขุ่น
“เอก ตกเป็นเหยื่อของมันอีกรายแล้ว ใช่ไหม” ปวีณาซักไซ้
“โฮ้ย มันแน่นอนอยู่แล้ว ยายนั่นควักหัวใจน้องเอกมาขยี้แล้วแน่ๆ” วัลภาปิดท้าย
อรอนงค์เขย่าร่างน้องชาย “พูดมาสิเอก พูดความจริงออกมา”
เอกดนัยสวนออกมาอย่างรุนแรง “ใช่ ผมรักชา แล้วจะทำไม”
อรอนงค์ช็อก “ไม่นะ..ไม่ได้เด็ดขาดนะเอก”
“มันเรื่องของผม พี่ไม่มีสิทธิ์”
“แกว่าไงนะ ชั้นเหรอไม่มีสิทธิ์ แกมันน้องชั้นนะ”
“น้อง ไม่ใช่ลูก พี่ไม่ใช่แม่ อย่ามายุ่งกับผมเลย อ้อ แล้วพวกพี่ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ไปด่าว่าชาด้วย” เอกดนัยกดดันหนัก น้ำตาคลอ มองพี่และเพื่อนพี่สาว ทีละคน “อย่าให้ผม..ได้ยินพวกพี่ ว่าชาอีก เข้าใจมั้ย”
เอกดนัยผลุนผลันไป
“เอก!”

อรอนงค์ร้องสุดเสียง แต่น้องชายไม่เหลียวหลังกลับมา

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 4 (ต่อ)

ภายในห้องหนึ่งของวัง ทั้งห้องมืดสลัว มีภาพเขียนของนรกอเวจีติดประดับอยู่ข้างฝา วิญญาณเกรียงไกรยืนหน้าซีด สภาพเหมือนสิริ และภุมมะ แต่ขอบตาดำคล้ำกว่ามาก จ้องมองภาพเขียนนั้น

สีหน้าเกรียงไกรยามนี้เหมือนรำลึกถึงความเจ็บปวด เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ที่เคยได้รับ ยินเสียงหวีดร้องระงม เสียงเปลวไฟโหมกระหน่ำฟังดูน่ากลัว เกรียงไกรห่อร่างด้วยความหวาดกลัว
เสียงพญามารดังขึ้น “เจ้ารู้จักภาพนั้นดีไม่ใช่รึ”
ผีเกรียงไกรสะดุ้งหันมาแล้วค้อมคำนับ ลงไปหมอบคู้กับพื้น ท่านชายนั่งอยู่แล้วที่เก้าอี้ หมุนเก้าอี้มา ดวงตาดุ มีแสงกระทบเสี้ยวหน้า
“เจ้าข้า”
“เจ้าเห็นจะยังไม่คลายทิฐิสินะ”
“มิได้เจ้าข้า” เกรียงไกรเสียงสั่น
ท่านชายลุกมา เกรียงไกรค้อมตัวหมอบติดพื้น
“ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ควรดูภาพนี้ไว้บ่อยๆ เพื่อเตือนใจว่าความชั่วของ มนุษย์ จะได้รับผลกรรมอย่างไร”
“เจ้าข้า”
“เจ้ารู้ล่ะสินะว่า ใครคือนายของเจ้า”
“เจ้าข้า”
“เจ้าเข้ามาทำไม”
“ภุมมะ ให้มาเรียนว่า อีกสักครู่จะมีคนมา”
ท่านชายโบกมือขัดขึ้น ท่าทีเหนื่อยหน่าย “ข้ารู้แล้ว ว่าเดี๋ยวจะมีคนมา เจ้าไปได้”
เกรียงไกรขยับกาย
“และเจ้าก็รู้ใช่ไหม สำหรับเจ้า ไม่ควรออกมาปรากฏตัวให้แขกพวกนี้เห็น เพราะอะไร”
“เจ้า..เจ้าข้า” ผีเกรียงไกรถอยออก หายไปในความมืด
สีหน้าท่านชายเคร่งขรึม

รถอิศราแล่นเข้ามาจอดในวัง อิศราก้าวลงจากรถ มองไปรอบวังดูเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่
“บ้านเบ้อเร่อเบ้อร่า ผู้คนหายไปไหนกันหมด”
สิริยืนอยู่ด้านหลังมองอิศราอยู่ อิศราขยับปิดประตูรถ หันมาเห็นสิริก็สะดุ้งโหยง
“เฮ่ย มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
สิริมองอิศรานิ่งอยู่อย่างนั้น อิศราไม่ค่อยชอบหน้าที่เหมือนผีของสิรินัก
“ท่านชาย...” อิศราจะถามว่าท่านชายอยู่ไหม
“ท่านรออยู่แล้ว...เชิญ”
สิริเดินนำไป อิศรางง
“รออยู่แล้ว...รู้ได้ยังไงว่าเราจะมา”
อิศราเดินตามเข้าไปงงๆ

อีกฟาก อรุณค่อยๆ ทาสีลงบนไม้ศาลาอย่างบรรจง ขณะที่พุดทาสีอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว พุดหันมาจุ่มสีเห็นอรุณประดิดประดอยทาก็ขำ
“คุณรุณ ทาสีแบบนี้เมื่อไหร่จะเสร็จล่ะครับ”
“แหม ก็ต้องทำให้มันดีหน่อยสิครับลุงพุด”
“โฮ้ย อย่างนี้อีกกี่เดือนจะเสร็จครับ พรุ่งนี้คุณก็ต้องกลับกรุงเทพฯ แล้วไม่ใช่เหรอ” พุดป้องปาก “เดี๋ยวเสร็จไม่ทันอวดผลงานคุณขวัญนา”
อรุณนึกได้ รีบปาดทาสีเร็วขึ้น พุดขำ
เจริญขวัญนั่งซึมๆ ท่าทางดูอิดโรยอยู่ที่แคร่ไม้ด้านหน้า มองอรุณ กับตาพุด ช่วยกันทาสีศาลาห้องสมุดอยู่ เด็ก 1 นั่งดูหนังสืออยู่ชิดเจริญขวัญ
“พี่ขวัญขา” เด็ก 1 เรียกเสียงใส
“อะไรจ๊ะ”
“ทะเล กว้างมากเลยเหรอคะ”
“กว้างมากเลยจ้ะ บนโลกของเรา มีทะเล มากว่า พื้นดินอีกนะ”
เด็ก 1ก้มหน้าดูหนังสือ “หนูอยากเห็นทะเลจังเลย”
เจริญขวัญยิ้ม ลูบหัวเด็กอย่างเอ็นดู
ฉับพลันนั้นเอง เจริญขวัญเกิดรู้สึกแปลกๆ ที่หน้าอก เริ่มหายใจไม่คล่อง หญิงสาวหันไปมองเบื้องบนฟากฟ้า แดดส่องจ้ามาจนเจริญขวัญหยีตา ยกมือขึ้นมาแนบกับหัวใจ หน้าซีดเหงื่อแตก หายใจลำบาก
อรุณกำลังทาสีอยู่กับพุด ถูกเด็ก 1 เดินมาดึงเสื้ออรุณ
“หือ ว่าไงจ๊ะ”
เด็ก 1 ชี้ไปทางเจริญขวัญ อรุณมองตาม เห็นเจริญขวัญเหงื่อแตก หอบหายใจ อรุณตกใจสุดขีด
“ขวัญ”

ด้านอิศราก้าวเข้ามาในห้องสมุด สิริคำนับท่านชายก่อนถอยหลังออกไป ท่านชายวสวัตอ่านหนังสืออยู่ เงยหน้าขึ้นยิ้มทักอิศรา ก่อนวางหนังสือเล่มหนา ลงบนโต๊ะ
อิศราไหว้ “ท่านชาย”
“ไง อิศรา ดื่มอะไรหน่อยไหม”
อิศรายิ้ม “ท่านชายพูดเหมือนรู้ใจ หมู่นี้ผมไม่ได้แตะน้ำอย่างว่าสักหยดครับมัวแต่ยุ่งเรื่องงานคุณย่า”
“งั้นก็เชิญสิ” ท่านชายพยักหน้าไปทางเบื้องหลังอิศราหันมา สะดุ้งอีกเมื่อเห็นภุมมะเข็นรถวางขวดแก้วเจียรนัย สองสามใบหลากสี และแก้วมายืนเบื้องหลัง กำลังรินเหล้าใส่แก้วให้อิศรา
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แหม ท่านชายครับ คนวังนี้นี่ ไปไหนมาไหนเงียบเชียบอย่างกับ..เอ้อ…”
“ผีใช่ไหม” ท่านชายหัวเราะ “เธอนี่ตาแหลมไม่ใช่เล่น”
ภุมมะ ยื่นแก้วให้ อิศรารับมาดื่ม
“อือม์ เหล้าอะไรครับนี่ กลิ่นหอมเหลือเกิน รสชาติก็เยี่ยม”
“เรียกว่า น้ำทองแดง เป็นไง”
“ถ้าน้ำทองแดงกลิ่นและรสแบบนี้” อิศราหัวเราะขัน ไม่เชื่อ “สงสัยยมบาลคงเป็นนักต้มเหล้าเถื่อนตัวยง”
ท่านชายหัวเราะ ทำหน้าจริงจัง “อ้าว มาหาความกันง่ายๆ ยังงั้นเอง ว่าแต่วันนี้ ทำไมดูหงุดหงิด”
“ท่านชายไม่ไปเห็นที่บ้านผม ขนาดยังเพิ่งตั้งสวดศพคุณย่า คนนั้นก็จะมากันท่า คนนี้ก็จะมาอยากได้นั่นอยากได้นี่”
“อ้าว ไหนว่าพินัยกรรมทำไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ครับ แต่อีตาทนายสิครับดันยึกยัก ไม่ยอมเปิดพินัยกรรม จนกว่าจะสวดครบเจ็ดวัน แล้วก็แถม จะไม่ให้แบ่งสมบัติจนกว่าจะทำบุญครบร้อยวันคุณย่าด้วย สงสัยคุณย่าคงกลัวว่าจะไม่มีใครทำบุญไปให้”
แววตาท่านชายเปลี่ยนไปนิด คล้ายผิดหวังกับคำพูดอิศรา แล้วก็ยิ้มอย่างหมายมาด ใบหน้าเย็นชาขึ้น
“เรื่องการเงินเธอ เลยชักจะยุ่งล่ะสิ”
“โธ่ ท่านชายก็ทราบว่าผมอยู่ได้ด้วยเงินจากคุณย่า เงินที่พ่อเคยทิ้งให้ผมก็เอาไปซื้อหุ้นซะเกือบหมด แย่ชะมัด”
“จะเป็นไรไป เอาที่ฉันก่อนสิ”
ท่านชายเปิดลิ้นชักหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาวาง ก่อนไปยื่นให้อิศราที่รับมาอย่างลังเล
“โอ้โห เท่าไหร่ครับนี่” อิศราประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ
“ไม่รู้สิ ไม่เคยนับ”
“นี่คง ประมาณสองแสน แต่ท่านชายครับ ผมไม่ได้จะมาขอยืมเงินท่านชายหรอกนะครับ”
ท่านชายยิ้มบางๆ “เอาไปเถอะ ฉันให้ ไม่ต้องมาคืนด้วย”
อิศรายิ้มเกรงใจ “ไม่ดีหรอกครับ”
“ทำไมล่ะ ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ สำหรับเพื่อน ฉันให้ได้ทุกอย่าง”
ท่านชายเดินเข้าใกล้อิศราราวกับจะร่ายมนต์
“แม้แต่วังนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของฉัน ฉันก็ยกให้เธอได้ ถ้าเธอปรารถนา” ท่านชายวสวัตไปยืนพูดเบื้องหลังอิศรา “เธออยากเป็น ตัวตายตัวแทนของฉันไหมล่ะ อิศรา”
อิศราพิศวงหันไปมองฉงน ท่านชายกลับยิ้มเหมือนพูดเรื่องธรรมดา
“เราทำสัญญากันเลยก็ได้นะ ถ้าเธอไม่เชื่อใจ”

อิศราอึ้ง นิ่งงันไป ท่านชายเยื้อนยิ้ม

ฝ่ายเจริญขวัญถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เวลานี้นอนอยู่บนเตียงรถเข็น มีออกซิเจนครอบปาก และกำลังถูกเข็นไปที่ห้องไอซียู ดวงแก้วจับมือลูกเดินตามตลอดทาง

“ขวัญ ขวัญลูก ทำใจดีๆไว้นะลูก”
เจริญขวัญยินเสียงดวงแก้วไม่ถนัดนัก มองดวงแก้วที มองอรุณทีระหว่างถูกเข็นมา จนมือหลุดออกจากดวงแก้ว ประตูห้องฉุกเฉินปิดลง
ดวงแก้วขวัญเสีย เป็นห่วงลูกสาวอย่างมาก อรุณตกใจและเป็นห่วงไม่ต่างกัน

ส่วนที่ห้องสมุดวัง กระดาษสัญญาวางบนโต๊ะ อิศรานั่งอยู่อ่านสัญญา ท่านชายยืนอยู่มองอิศราด้วยดวงตาล้ำลึกยากจะคะเน สิริ วางปากกาบนโต๊ะให้ อิศราหยิบปากกาจะเซ็นแล้วชะงัก วางปากกา หัวเราะเบาๆมองท่านชายอย่างตื้นตัน
“ท่านชาย หาวิธีจะให้เงินผมง่ายๆ แค่เซ็นสัญญาปลอมๆ นี่ใช่ไหมครับ”
ท่านชายชะงักไปในการเข้าใจผิดของอิศรา
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”
“โธ่ วิญญาณเสเพลอย่างผมเอาไปท่านชายก็ปวดหัว หรือจะให้เป็นตัวแทนท่านชาย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ผมยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลย” ชายหนุ่มว่า
“เมื่อเธอเองก็คิดได้ ทำไม...ไม่ทำตัวให้เป็นโล้เป็นพายล่ะ”
“พอรับเงินมรดกคุณย่า ได้บ้านมาเป็นของตัวเอง ผมก็อาจจะเริ่มคิดอะไรได้ ท่านชายครับ คนไม่มีเงิน คิดอะไรไม่ออกหรอกครับ”
ท่านชายรำพึง “เงิน...ไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะอิศรา”
อิศราทอดเสียงนุ่ม ซาบซึ้ง “เพียงท่านชายกรุณาให้ผมยืมเงิน ผมก็ขอบคุณมากแล้วรับรองว่าผมจะรีบเอาเงินมาคืนหลังจากเรื่องพินัยกรรมเรียบร้อย”
ท่านชายมีสีหน้าประหลาดใจ สิริมองท่านชายว่าจะพูดอย่างไร ท่านชายเพียงเผยอยิ้มพึงใจบางๆ
“งั้นก็ได้”
“ขอบคุณมากครับท่านชาย ผมนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้รู้จักท่านชาย” อิศราหัวเราะ
“งั้นรึ” ท่านชายหัวเราะเสียงดังชอบใจ “ไม่เห็นใครที่ รู้จักฉัน เคยบอกอย่างนี้สักคน”
อิศรามองท่านชายอย่างประทับใจ และยิ่งชื่นชมมากขึ้น

ฝ่ายดวงแก้วนั่งตรงข้ามหมอหญิงเจ้าของไข้ สีหน้ากังวลมาก
“หมอคิดว่าระยะนี้ หนูเจริญขวัญอาจจะพักผ่อนไม่เพียงพอ ความดันเลยขึ้น ทำให้เลือดสูบฉีดผิดปกติ ตรงที่รูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่าง ทำให้หัวใจห้องซ้ายต้องทำงานมากกว่าปกติ”
“แล้วแกจะเป็นอะไรมากไหมคะ”
“ให้พักผ่อนสักสองสามวันก็คงกลับบ้านได้แล้วก็ทานยาต่อเนื่องเหมือนเดิม ที่จริงหมอก็อยากแนะนำให้ไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่กรุงเทพฯนะ การผ่าตัดหัวใจสมัยนี่ ทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะ บางที่อาจจะดีกว่าที่เราจะรอและหวังว่าร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาปิดรูรั่วของหัวใจเอง”
ดวงแก้วอึ้งเป็นห่วงลูกจับจิต

เจริญขวัญหลับอยู่มีสายน้ำเกลือเสียบที่แขนข้างหนึ่ง ดวงแก้วนั่งจับมือลูกสาว มองเจริญขวัญอย่างเป็นห่วง อรุณนั่งห่างออกมา
“พ่อรุณ ฝากยายขวัญก่อนนะ น้าจะไปเอาของที่บ้านแล้วจะรีบกลับมา”
“ครับ”
ดวงแก้วลุกมาหอมหน้าผากเจริญขวัญก่อนจะเดินออกไป อรุณนั่งมองเจริญขวัญอย่างห่วงใย

ดวงแก้วทุกข์ใจเหลือเกินแวะมาไหว้พระที่วัด เวลานี้นั่งอยู่ต่อหลวงตาที่มีสีหน้าสงบ มองดวงแก้วที่นั่งพนมมือตรงหน้า
“ดิฉันเป็นห่วงลูกเหลือเกิน เมื่อตอนเด็กๆ แกก็เกิดมาพร้อมกับโรคหัวใจรั่วนี่แหละค่ะ ตอนแรกเราก็ไม่รู้ จนไปตรวจ หมอก็บอกว่า เจอผนังหัวใจมีรูรั่วอยู่สามรู โตมา ร่างกายแกก็รักษาตัวเอง สร้างเนื้อเยื่อมาปิดรูรั่วได้เองสองรู ที่เหลืออยู่หมอก็บอกว่านิดเดียว”
“แล้วผ่าตัดไม่ได้หรือ โยม”
“หมอแนะนำให้ไปหาหมอที่กรุงเทพฯ ค่ะ เผื่อว่าจะผ่าตัดเรื่องหัวใจรั่วของลูกสาวได้ แต่ว่า...หลวงตาคะ ดิฉันกลัว”
“ห่วงเขา ก็ต้องพิจารณาให้ดีนะคุณโยม ทางใดที่รักษาเขาได้แต่เรามัวแต่ห่วง ไม่รักษา มันอาจจะไม่ถูกต้องนะคุณโยม”
ดวงแก้วถอนหายใจ ดวงตาแลเลยไปที่ภาพวาดที่ใส่กรอบไม้ธรรมดา ตั้งอยู่ หลวงตามองตาม
เป็นภาพนรกที่โรจน์วาดนั่นเอง ดวงแก้วมองอย่างไม่สบายใจ
“ภาพวาดที่นายโรจน์เขาบอกว่าไปเห็นมาน่ะ อาตมาก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริงหรือเท็จ แต่เขาก็วาดได้สวยดีนะ เขาขอเอามาตั้งไว้เตือนสติญาติโยม”
ดวงแก้วถอนใจก้มกราบหลวงตา
ในภาพวาดเห็นเป็นร่างคนยืนมองการถูกลงโทษของเหล่าสัตว์นรก ดวงแก้วยังไม่สังเกตเห็นว่า ดวงหน้าเล็กๆ ในภาพนั้น คือใบหน้าท่านชายวสวัต

งานสวดศพคุณหญิงอุ่นคืนนี้ ผู้คนมาร่วมงานหนาตาเช่นเคย ชาลินีออกมายืนคุยกับอิศราอยู่ข้างศาลาอีกมุม
“วันนี้เธอไปพบท่านมาเหรอ ท่านชายถามถึงชั้นบ้างไหม”
“ทำไมท่านต้องถามถึงคุณ”
“อ้าว ก็คนรู้จักกันแล้ว” ชาลินียิ้มพราย “นี่ วันหลังพาชั้นไปหาท่านชายหน่อยสิ”
อิศราเหล่มอง รู้ทัน พูดหยอก “ท่าทางคุณเอาจริงแฮะ”
ชาลินีหัวเราะเบาๆ พูดทีเล่นทีจริง และมั่นใจ
“ทำไมล่ะ มีญาติเป็นพริ้นเซส ไม่ดีหรือไง”

ขณะที่คุณหญิงเพ็ญและนายพลบัญชายืนรับแขกอยู่หน้าศาลา เห็นเอกดนัย สีหน้าเครียดเคร่ง เดินขึ้นมาไหว้ คุณหญิงและนายพล
“เชิญค่ะ ขอบคุณนะคะ เอ๊ะ เพื่อนนายอิศ หรือว่า…”
เอกดนัยแนะนำตัวเอง “ชาลินี...เอ้อ พี่ชาลินีครับ ผมเป็นน้องพี่อรอนงค์”
ท่านนายพลนึกได้ “เออ จริงสิ ไม่เห็นเพื่อนๆ ของชาลินีเลย”
เอกดนัยเหลียวหาชาลินี

ชาลินีหันมาเห็นเอกดนัยพอดี ก็ชะงัก ชักสีหน้าไม่พอใจ
“เอก...มาทำไมนะ”
ชาลินีเดินไปหา อิศรามองตาม ไม่ใส่ใจนัก
เอกดนัยเดินผ่านคุณหญิงและนายพลจะไปหาชาลินี
“ชา…”
ชาลินีมาถึงตัวคว้าแขนเอกดนัย พลางมองคุณหญิงและนายพลอย่างไม่อยากให้เกิดพิรุธนัก
“เชิญค่ะ” ชาลินีพูดเบาๆ แล้วลากเอกดนัยไปด้วยกัน

ชาลินีเดินนำเอกดนัยมาตรงมุมข้างศาลา ด้วยความหงุดหงิด เอกดนัยหวั่นใจกับความโกรธของชาลินี
“ชา เอกขอโทษที่ต้องบุกมาถึงงานของคุณยายของชา แต่เอกทนรอไม่ไหว พรุ่งนี้ก็ต้องบินแล้ว เอกคงแบกความรู้สึกนี้ไปไม่ได้ ชา...เอกขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อกลางวัน เอกคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเลยเถิดไปแบบนี้”
ชาลินีขรึมนิ่งพูดไม่จา เอกดนัยยิ่งกระวนกระวาย
“ชา...ชาพูดอะไรกับเอกหน่อยสิ ด่าเอกก็ได้ โธ่ชา อย่าทำเย็นชากับเอกแบบนี้สิ เอกใจจะขาด”
“ก็ดีนะที่เอกจะบินพรุ่งนี้ จะได้ไปมีเวลาให้ตัวเอง” ชาลินีมองหน้าเอกดนัย “ตัดใจเสีย”
“ไม่ ไม่นะ”
“เรื่องของเราไม่มีวันเป็นไปได้ สิ่งเดียวที่คงเหลืออยู่ คือมิตรภาพ”
“ไม่..ไม่...” เอกดนัยใจจะขาดรอนๆ “ชาทำแบบนี้กับเอกไม่ได้นะ”
“เอก เป็นลูกผู้ชายนะ เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวก็ลืมได้เอง เอกน่ะมีโอกาสที่จะมีผู้หญิงอื่นๆให้เลือกอีกเยอะแยะ อย่ามาจมปลักกับพี่เลย”
เอกดนัยน้ำตาคลอ “เอกไม่มีวันรักใครเท่าชา”
“เวลา จะช่วยเอกเอง พี่จะเข้าไปข้างในแล้ว เอกกลับไปเถอะ”
ชาลินีหันหลังจะไป เอกดนัยคว้าแขนอีก ชาลินีหันมามองด้วยสายตาเย็นชา
“พี่พูดดีๆ ก็ขอให้รู้เรื่องนะ ปล่อย”
เอกดนัยจำใจปล่อยแขน ชาลินีเชิดหน้าเดินกลับไปทางศาลา เอกดนัยทุรนทุรายใจ น้ำตาคลอมองตาม ไม่กล้าหือ

อิศราเดินสวนมา มองผ่านหลังชาลินีไปที่เอกดนัย “มิตรรักแฟนเพลงเบอร์ที่เท่าไหร่ล่ะนั่นน่ะ”
“ไม่ตลกนะ ..แล้วตามมาทำไม”
“พระจะสวดแล้ว คุณอาหญิงให้มาตาม”
ชาลินีพนักหน้าเดินนำไป อิศราไม่วายมองไปทางเอกดนัยอีกครั้ง ก่อนเดินตามไป

ดึกแล้ว อรอนงค์ผุดลุกผุดนั่งอยู่ในโถงบ้าน นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนกว่า สักครู่หนึ่ง เสียงรถแล่นเข้ามา ประตูปิดปัง เอกดนัยเดินเข้ามา ท่าทางเมามาย ถอดรองเท้าเหวี่ยงไปคนละทาง แล้วชะงักเมื่อเห็นพี่สาว
เอกดนัยแค่นหัวเราะ ชี้หน้า “อ๊ะ อ๊ะ พี่สาว...พี่สาว เจ้าชีวิต”
เอกดนัยจะเดินขึ้นห้องไป อรอนงค์ปราดมาขวาง
“ทำไมเมามาแบบนี้ พรุ่งนี้จะตื่นไปทำงานไหวเหรอ นี่ไปหามันมาใช่มั้ยเนี่ย”
“ใช่” เอกดนัยหัวเราะหยัน “ทำไมจะหาโซ่ล่ามคอผมไว้รึไง” เขากระแทกน้ำเสียงใส่ “คุณพี่”
“นี่...เอก แกจะบ้าหลงแม่นั่นไม่ได้นะ แกเป็นคนนะไม่ใช่ควายที่จะให้แม่นั่นมาสนตะพายไว้ แกต้องเลิกกับมัน”
เอกดนัยยิ่งฟังยิ่งเจ็บช้ำ ขึ้นเสียงใส่ อย่างรุนแรง เสียงสั่นเครือ
“เค้าทิ้งกับผมแล้ว พอใจหรือยัง” เอกดนัยชี้หน้า “ทุกอย่าง เป็นเพราะพี่พี่ทำลายชีวิตผม”
อรอนงค์โมโห “เฮ่ย บ้า ชั้นไปทำลายชีวิตอะไรแก ชั้นฉุดแกขึ้นจากเหวต่างหาก”
“พี่ต่างหาก ผลักผมตกเหว...ผมรักชา ได้ยินมั้ย” เอกดนัยปล่อยโฮออกมา “ผมรักเขารักมาเป็นสิบปี แต่...เพราะพี่ กับพวกเพื่อนพี่ ทำลายผม...ฮึ่ย”
เอกดนัยฉุนขาดเดินเซซัดไป
“เอก...”

อรอนงค์ตกใจ มองตามน้องไปอย่างห่วงใย และนึกโกรธชาลินี

เอกดนัยเซซัดเข้ามาล้มแผ่หลาบนเตียง น้ำตาไหลพราก เอื้อมล้วงมือถือมากดดูคลิปที่เคยถ่ายไว้เอกดนัยร้องไห้ ดูคลิปที่ตัวเองถ่ายไว้ขณะชาลินีหลับ

“ฮัลโหล ชาที่รัก อย่าว่าผมเลยนะ ที่แอบถ่ายชาตอนหลับผมแค่ อยากเก็บภาพของคุณไว้ ในทุกเวลาที่เรามีความสุขด้วยกัน ผมจะขอพูดเป็นครั้งที่ล้านว่า... I love you ชาลินีแม่ดอกลิลลี่ของผม”
เอกดนัยร้องไห้หมดสภาพ อกหักยับเยิน
ตอนกลางวันของอีกวัน รถอิศรแล่นมาจอดหน้าประตูวัง เขากดแตรเรียก ชาลินีอยู่ในรถด้วย หล่อนสวมแว่นดำ ชะเง้อมองผ่านหน้าต่างหน้ารถ สีหน้าตื่นเต้น
“โอ้โห”
อิศราอมยิ้มทำนองว่า เดี๋ยวเธอเห็นข้างในเสียก่อนจะหนาว
ประตูวังเปิด รถเคลื่อนเข้าไป

รถอิศราเคลื่อนเข้ามาช้า แลเห็นบริเวณวังที่กว้างขวางใหญ่โต พอรถจอดชาลินีก้าวลงมาก่อน ถอดแว่นดึงไปคาดผม มองไปโดยรอบอย่างตื่นตา อิศราตามลงมา มองหน้าชาลินียิ้มๆ
“เก็บอาการนิดนึงก็ดีนะคุณนะ”
ชาลินีค้อนควัก มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าสงสัย “ทำไมเงียบแบบนี้ ท่านจะอยู่เหรอ”
อิศราแกล้งตีหน้าซื่อ “ไม่รู้สิ คุณรบเร้าให้ผมพามา ผมก็พามา ไม่ได้บอกท่านหรอก อาจจะไม่อยู่เนอะ” เขาแหย่หล่อนอีก “กลับกันเลยมั้ย”
“บ้า เดี๋ยวสิ”
ภุมมะออกมายืนหน้าประตูตึกใหญ่ ชาลินี กับ อิศราหันไปมอง
“เชิญ” อิศราพูดเบาๆ ซ้อนคำพูดภุมมะ
ชาลินีหันมองอิศรอย่างฉงนว่าทำไมพูดซ้อนได้เหมือนกัน อิศรายิ้ม ยักไหล่ ภุมมะมองชาลินีเขม็ง ชาลินีเห็นสายตามองของภุมมะก็ฉงนอีก ขยับเข้าหาอิศรากระซิบถาม
“ดูตานั่นสิ เขามองอะไรของเขา”
อิศรามองภุมมะ พูดกลั้วหัวเราะ “เออ พวกนี้ก็มีหัวใจเหมือนกันแฮะ รู้จักดูคนสวยๆ ด้วย”
ชาลินีกังวล “ไม่ใช่นะ เขามองเหมือน คนเคยรู้จักมาก่อนงั้นแหละ”
ชาลินีเหลือบมองภุมมะอีก ภุมมะยังคงมองเขม็ง หน้าตาเย็นชา

ภุมมะเดินนำ อิศราและชาลินีเดินตาม ชาลินีคงมองรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ
“สวยมาก น่าอยู่เหลือเกิน”
อิศราสัพยอก “น่ากลัวน่ะสิไม่ว่า”
ท่านชายวสวัตก้าวออกมาเงียบๆ
“อะไรรึที่น่ากลัว”
อิศราไหว้ทัก “ท่านชาย”
ชาลินียิ้มหวาน ไหว้ท่านชายอย่างชดช้อย
“นึกว่าท่านชายจะไม่อยู่วังแล้วค่ะ คงเสียดายถ้าจะไม่ได้พบ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันคงก็คงเสียใจเป็นอย่างยิ่งทีเดียว”
ท่านชายยิ้มบางเจ้าเสน่ห์ ชาลินีซ่อนแววลำพองในใจ ช้อนตาหวาน
“ถ้าท่านชายเมตตาแบบนี้ เห็นทีคงต้องมาบ่อยๆ”
ท่านชายเล่นด้วย ซ่อนความนัยและนึกขัน “ที่นี่เต็มใจต้อนรับเธอเสมอ”

ท่านชายเดินนำอิศราและชาลินีมาในสวนสวย
“เรือนหลังเล็กทางโน้น” ชาลินีพยายามลวงถาม “มีคนอยู่ไหมคะ”
“ไม่มี ที่นี่ไม่ค่อยมี คน เท่าไหร่”
“น่าเสียดายนะคะ ที่ปิดตายไว้เฉยๆ”
“แล้วทำไมไม่หาแม่บ้านเสียทีล่ะครับ ข้อนี้คุณชาลินีเขาคงอยากรู้เหมือนกัน” อิศราแหย่ชาลินี
ท่านชายหันมายิ้ม สุดหล่อ แววตาระยิบคล้ายสนุกกับเกมมนุษย์
“ฉันสมควรหาแล้วรึ”
“แหม อายุท่านชายก็น่าจะสมควรมีแม่บ้านแม่เรือนแล้วนี่ครับ”
“เธอว่า ฉันอายุสักเท่าไหร่”
“สามสิบมั้งครับ” อิศราบอก
ชาลินีตอบ “ไม่เกินสามสิบห้าค่ะ”
ท่านชายมองทั้งสองคนแล้วหัวเราะเบาๆ

ตรงเก้าอี้สนามมุมรื่นรมย์ มีหมอนอิง สิริยืนนิ่ง ข้างรถเข็นเครื่องดื่ม ท่านชายเลื่อนเก้าอี้ให้ชาลินี
“ขอบคุณค่ะ”
ชาลินีขยับลงจะนั่ง ท่านชายสอดหมอนอิงรองรับเบื้องหลัง ท่าทางสุภาพมีเสน่ห์จนชาลินียิ่งหวั่นไหว ลำพองใจ ชาลินียิ้มปลื้ม และท่านชายก้มมาถามเสียงนุ่ม ดูเซ็กซี่ มีเสน่ห์ล้น
“สบายไหม”
ชาลินีช้อนตายิ้มแทนคำตอบ ท่านชายยิ้มลงนั่ง
“เสิร์ฟได้ สิริ”
สิริส่งเครื่องดื่มให้อิศรา ตามด้วยชาลินี
ชาลินีกำลังปลื้มหันมารับแก้วแล้วเผลอสบตาสิริที่กำลังจ้องหล่อนเขม็ง พร้อมรอยยิ้มสนเท่ห์น่าประหลาดใจ ชาลินีอึ้งไป ไม่พอใจ แต่เก็บอารมณ์
ชาลินีดื่มแล้วชะงัก พบว่ารสชาติอร่อยล้ำ “น้ำอะไรคะนี่ หวานซ่าคล้ายแชมเปญ แต่หอมเหลือเกิน
อิศราตอบให้ว่า “น้ำทองแดง”
ชาลินีประหลาดใจ “อะไรนะ”
“ท่านชายเรียกแบบนี้ สงสัยนายคนนี้คงกลั่นเอง” อิศราเหล่สิริ
“ครับผม เรากลั่นไว้โดยเฉพาะ” สิริช้อนตามองชาลินีอีก
ชาลินีไม่ค่อยชอบหน้าสิริเอาเลย หันมายิ้มเปลี่ยนเรื่อง
“ท่านชายยังไม่ได้บอกเลยค่ะ ว่าอายุเท่าไหร่”
“มาก...จนเธอคิดไม่ถึงทีเดียว”
“ผมว่า ดูยังไงก็ไม่น่าเกินสามสิบห้า” อิศราบอก
“ปราชญ์ฝรั่งบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น บางครั้งก็เป็นภาพมายาเท่านั้น”
“หมายความว่ายังไงครับ แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเห็นนี่ไม่ใช่ความจริงงั้นเหรอครับ” อิศราย้อนแย้ง
ท่านชายนึกสนุก พูดทีเล่นทีจริง “อย่างนั้นมั้ง แม้แต่ตัวฉันเองก็อาจจะไม่ใช่ของจริง”
ชาลินีหัวเราะระรื่น “ทั้งๆ ที่ทุกอย่างนี่เราสัมผัสได้งั้นหรือคะ ไม่ว่าจะเป็น” หล่อนว่าพลางสัมผัสสิ่งของทีละอย่าง “โต๊ะ เก้าอี้ หมอน...หรือแม้แต่...”
ชาลินีช้อนสายตามองท่านชาย แล้วทำใจกล้าเอื้อมมือไปที่มือของท่านชายที่วางบนโต๊ะ ท่านชายปรายตามองแต่ยิ้มเฉย
ชาลินีอมยิ้ม เอื้อมมือสัมผัสมือท่านชาย เกิดแสงสีแดงเป็นรัศมีบริเวณที่มือชาลินีสัมผัสมือท่านชาย ชาลินีสะดุ้ง ท่านชายยิ้มเฉย ชาลินีคุมสติ ยิ้มหวาน
“เอ้อ...มือของท่านชาย ก็อบอุ่นเหมือนคนทั่วๆไป”
ท่านชายยิ้มขัน มองชาลินีอย่างรู้ทัน
ชาลินีซุกมือที่จับท่านชายวางบนตัก ลูบนิ้วตัวเองเพื่อให้คลายร้อน อีกมือเสหยิบแก้วดื่ม
“อย่างนี้แล้ว ผี ล่ะครับท่านชาย มีจริงไหม”
ท่านชายปรายมามองอิศราที่ถาม อาการกึ่งสนุกกึ่งอยากรู้
ท่านชายนึกสนุกขึ้นมาอีก กอดอกอย่างสนใจ “ผีต้องเป็นยังไงล่ะอิศรา”
“ก็คงน่าตาน่าเกลียดน่ากลัวเหมือน เอ้อ...” อิศราชะโงกหน้ามาป้องปาก “คนของท่านชาย”
ท่านชายหัวเราะ “อ้าว ผีสวยๆจะไม่มีบ้างเชียวรึ”
“ถ้ามี เวลาตายผมคงไม่กลัว แหม ถ้ามีผีสวยๆ จริงผมคงอิจฉายมบาล ที่มีผีสวยๆมารายล้อม ทั้งที่หน้าตายมบาลไม่น่าพิศวาสสักนิด”
“ทำไม หน้าตายมบาลต้องเป็นยังไง”
“ก็ที่เขาวาดๆ รูปกัน ยมบาลมีเขาบนหัว”
ท่านชายยิ้ม ยกมือประหนึ่งลูบเสยผม
“แล้วก็มีเขี้ยวมุมปาก หน้าตาดุร้าย ไม่น่าเข้าใกล้” อิศราว่า
ท่านชายหัวเราะ “นั่นสินะ ทำไมใครๆ วาดภาพ ยมบาล...เป็นอย่างนั้นเสียหมด”
ชาลินีขัดขึ้น “แหม คุยกันเรื่องผีๆ ทำไม ถ้าผีมีจริง ทำไมไม่เห็นมีใครพิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์สักคน”
“ถ้าฉันพิสูจน์ได้ล่ะว่า ผีมีจริง พวกเธอจะเชื่อไหม”

อิศรากับชาลินีอึ้ง มองท่านชายอย่างฉงน ท่านชายปรายยิ้มบรรยากาศดูน่าสะพรึงขึ้นมาทันที

ฟากอรอนงค์ยืนอยู่หน้าประตูห้องเอกดนัย เคาะประตูถามน้องอย่างเป็นห่วง

“เอก...เอก ตื่นหรือยัง ไหนว่ามีบิน..เอก...เอก”
เอกดนัยเปิดประตูออกมา หน้าตาหมองคล้ำ พร้อมกระเป๋าใบใหญ่และกระเป๋าสะพาย แทบไม่อยากมองหน้าพี่สาว
อรอนงค์พยายามยิ้มเอาใจ “เอก พี่คิดว่ายังไม่ตื่น กลัวไปขึ้นเครื่องไม่ทัน อ้าว...แค่ไปบิน ทำเอากระเป๋าไปใบเบ้อเริ่ม...แล้วนี่ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”
อรอนงค์ยกมือจะแตะหน้าน้องชาย เอกดนัยเบี่ยงหน้าหนี อรอนงค์ชะงักเสียใจ
“ผมจะย้ายออกจากที่นี่”
อรอนงค์อ้าปากค้างตะลึง “แล้ว...เอกจะไปอยู่ไหน”
“ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ที่ผมจะเป็นอิสระ จากพี่”
เอกดนัยลากกระเป๋าเดินไปเลย อรอนงค์ทั้งตกใจ และเสียใจ
“เอก”

ประตูห้องหนึ่ง เป็นห้องที่เก็บของโบราณมากมาย เปิดออก ท่านชายเดินนำชาลินีและอิศราเข้ามา บรรยากาศทั่วห้องดูอึมครึม
“โอ้โห ห้องนี้ มืดจังครับ”
ชาลินีตื่นเต้นมองรอบห้อง แล้วมองท่านชายหมายตาไว้
“อุ้ย”
ชาลินีสะดุดขาตัวเองอย่างตั้งใจ ผวาไปหาแผ่นหลังของท่านชายตรงหน้า พลันร่างท่านชายเหมือนหายวูบไป ชาลินีตกใจเสียหลักจะล้มลง จู่ๆ มือท่านชายแตะแนบฝ่ามือที่หลังของชาลินีเบาๆ เหมือนดูดให้ร่างชาลินีกลับมายืนตรงได้ ชาลินีหันมามองท่านชาย เห็นเพิ่งลดมือลง จึงคิดว่าท่านจับแขนตัวเอง
“มันมืดไปหน่อย เธอเลยคว้าฉันผิด ดีแต่ว่าฉันดึงไว้ทัน ไม่งั้นล่ะเสียชื่อเจ้าของบ้านแย่”
ชาลินีเสทำทีเป็นหัวเราะ “นั่นสิคะ ตอนเซกะว่าจะคว้าท่านทัน ทำไมพลาดไม่ทราบ(แก้) ท่านชายยิ้ม จุดไม้ขีด ลงที่เทียนที่เชิงเทียน”
ท่านชายหันหลังให้สองคน มือท่านชายโปรยนิ้วไปยังเชิงเทียน ไฟเทียนติด อิศราที่แยกไปเดินดูรอบห้องไม่ห่างนักหันมา
“ที่นี่น่ะเหรอครับที่ท่านว่าจะพิสูจน์เสียงวิญญาณ ผมคิดว่าจะเป็นเหมือนห้องทดลองวิทยาศาสตร์”
“เรียกว่า ห้องนี้เป็นห้องไสยศาสตร์แล้วกัน” ท่านชายแตะที่ครอบแก้วตรงหน้า “สมมุติว่า นี่เป็น เครื่องเก็บเสียงสะท้อน อย่างที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่พูดไว้ว่า…”
อิศราลงนั่งเก้าอี้โซฟากับชาลินี ฟังอย่างตั้งใจ
“เสียงมีลักษณะเป็นคลื่น ที่จะสะท้อนหมุนไปรอบโลก และถ้ามีใครสักคน มีเครื่องดักเก็บเสียงสะท้อนนั้นได้ เราจะได้ยินเสียงของคนในอดีต ที่ตายไปแล้ว อย่างที่เธอเรียกว่า” ท่านชายหันมองมา “เสียงของผี”
อิศราไม่เชื่อ “แค่ฝาครอบแก้วใบกระจิ๋วหลิวนี่น่ะหรือครับ”
“นี่ละ”
“โธ่ ...โอเคครับ ผมจะคอยดูท่านเล่นกล ว่าท่านจะแอบเปิดเครื่องเสียงตอนไหน”
ท่านชายยิ้ม แล้วคลายยิ้มเป็นขรึมขึ้น ขณะแตะฝาครอบแก้ว
“เธอจะได้ดู สิ่งที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดได้ดู เธอ...จะได้ยิน ในสิ่งที่มนุษย์สมัยนี้ ไม่เคยได้ยิน”
อิศรานั่งอย่างตั้งใจฟัง พลางมองสำรวจอย่างนึกสนุก ชาลินีค่อนข้างรำคาญการเสียเวลาที่ควรใกล้ชิดท่านชายและเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ยังรักษากิริยา ท่านชายมองทั้งสองคน ก่อนก้มมองที่ครอบแก้ว ยื่นมือแตะที่ฝาครอบแก้วนั้น

ระหว่างนี้ รอบวังท่านชาย เหมือนมีเงาเมฆฝน ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ แดง เหมือนฟ้ายามอัสดงแต่แสงเป็นแสงแดงแล้วกลับมาเป็นเงาดำ เหมือนมีเมฆฝนมา โดยฉันพลัน
ทั้งสามยังอยู่ในห้องเก็บของโบราณในวัง
แสงจากนอกหน้าต่างลดลง ทำให้ในห้องยิ่งดูมืดครึ้ม เชิงเทียนส่องให้เกิดเงาวูบวาบมากขึ้น
กายของท่านชายยืดตรง ดวงหน้าเคร่งขรึม รอยยิ้มดูเหี้ยมเกรียม เย็นชา และทรงอำนาจ อิศรา ชาลินี เริ่มรู้สึกหนาวสะท้านเย็นยะเยือก แปลกออกไป ท่านชายดูยิ่งใหญ่และน่าสะพรึง
“มนุษย์...จงฟัง”
มือท่านชายเปิดฝาครอบแก้ว หน้าต่างเปิดออกเอง ลมพัดวูบเข้ามาจนเปลวเทียนวูบไหว ชาลินี อิศรา สะดุ้ง
ยินเสียงสวดมนต์แว่วมา เบาแล้วดังซ้อนสลับกันไปมา
ท่านชายมีสีหน้าอิ่มเอม ท่าทีนอบน้อม พูดเสียงกังวาน “เสียงสวดมนต์ ในคราวสังคยานาพระไตรปิฎกเป็นครั้งแรก!”
อิศรา ชาลินี ตื่นตะลึง ท่านชายปรายตามองแล้วแตะคว่ำที่ครอบแก้ว เสียงต่างๆ หยุดทันควันที่ครอบแก้วคว่ำลง อิศรา ชาลินี ถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน
ท่านชายมองสองคน แล้วแตะที่ครอบแก้วนั้นหงายขึ้นอีกช้าๆ คราวนี้มีเสียงดนตรีไทย เสียงขับลำนำเสนาะดังขึ้น ชาลินีชะงัก
“เสียงขับลำนำงานพระราชพิธีจองเปรียง สมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนเสียกรุง”
ชาลินีเริ่มมีอาการคล้ายเห็นภาพซ้อนในหัว จนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้
มันเป็นสนมเอกเดินมาจะเข้าถวายตัว
ชาลินีหลับตา ท่านชายมองชาลินี แล้วคว่ำแก้ว ก่อนหงายอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
อิศรารู้สึกหวั่นไหวตามไปด้วย
คราวนี้ยินเสียงโห่ร้อง เสียงรบพุ่ง เสียงดาบกระทบกัน
“เสียงในราชสำนัก ขณะจะเสียงกรุง”
ในหัวอิศราเห็นภาพตอนเป็นขุนไกรกำลังฟันข้าศึก คมดาบคู่ตวัดในอากาศ
อิศราขมวดคิ้ว ท่านชายมองมาล่วงรู้ความคิดในหัวอิศรา ก่อนจะเหลือบมาทางชาลินี
เกิดเสียงแทรกซ้อน ทั้งเสียงปืนใหญ่ เสียงผู้หญิงหวีดร้องอย่างตกใจในเสียงปืน
ตามด้วยเสียงชายชราร้องเสียงกึกก้อง “หยุดนะ”
ท่านชายเอ่ยขึ้น “ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า ขุนหลวงเอกทัศน์ ได้ทรงหลงใหลนางสมเอกนางหนึ่งนักหนา จนแม้ยามจะยิงปืนใหญ่ ต่อสู้กับข้าศึกก็ทรงห้าม เพราะเกรงจะระคายโสตพระสนมโฉมงาม แต่ขวัญอ่อน...เสียงนั้นเป็นเสียงของนาง และ คืนวันนี้ เป็นคืนก่อนที่จะเสียกรุงเพียงคืนเดียว”
ชาลินีสะท้านไปทั้งร่าง ปวดหัวหนึบ เห็นภาพในหัวเพียงแวบเดียว เป็นภาพสนมเอก หรือชาลินีในอดีตชาติ กำลังปิดหูกรีดร้อง
“ว้าย...อย่ายิงนะเพคะ หม่อมชั้นกลัว”
มือชาลินีเกร็งบีบพนักเก้าอี้แน่น หอบหายใจแรง ท่านชายมองมาสีหน้าหยามเหยียดและเยาะหยัน
“ผู้หญิง นางผู้ที่ ไม่ว่ากี่ชาติ กี่สมัย หรือแม้แต่ไฟนรก ก็ไม่สามารถชำระล้าง เปลี่ยนนิสัยไปได้”
ชาลินีผุดขึ้นยืน เหงื่อผุดเต็มใบหน้า
“หยุดเถอะค่ะ ได้โปรด...หยุดเถอะ”
ท่านชายมองหน้าชาลินี อย่างขรึมเคร่ง เย็นชา ชาลินีหายใจแรง ตัวสั่น เหงื่อเต็มใบหน้า

อิศรามองชาลินีแล้วหันมามองท่าชายอย่างงุนงง

อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น