ภพรัก ตอนที่ 4
น้ำรินเดินออกมาจากริมหน้าต่าง ทิ้งตัวลงนั่งแล้วครุ่นคิดต่อ
“ความผิดเหล่านั้นที่ก่อไว้ นอกจากเรื่องนกยูงเรายังเคยทำผิดเรื่องอื่นๆ อีกมั้ย?”
พลันก็หวนคิดถึงภาพสร้อย P N
“ฉันเคยมีสร้อยตัวอักษร P N ?”
โทรศัพท์มือถือของภพธรที่คว่ำอยู่ เห็นรอยแกะสลักรูป P N ภพธรนั่งอ่านแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ
พลางปรายตาเห็นอักษร P N บนโทรศัพท์มือถือ ทำให้คิดถึงน้ำริน เขาถอนหายใจยาววางปากกาในมือลงและเปิดลิ้นชักออกมา หยิบรูปน้ำรินขึ้นมาดูมองรูปด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะผูกพัน แต่ก็สับสนกับการกระทำของตัวเอง
ภพธรนึกถึงภาพตัวเองขณะกำลังนั่งคุยอยู่กับธาราในบ้าน
“สำหรับอา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคำว่า “ครอบครัว” หรอกนะธร”
ภพธรมองธาราที่แววตาดุอย่างสงสัย
“อาเลี้ยงธรมากี่ปีแล้ว”
“สิบกว่าปีครับ”
“ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อน จะก้าวมาทำงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่เครือโรงแรมอันดับหนึ่งของเมืองไทยได้”
ภพธรยิ้ม “ถ้าไม่ได้คุณอา ผมคงไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้”
“คนฉลาดอย่างธรน่าจะรู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ชีวิตของอาห่วงแต่น้ำรินคนเดียว อยากให้มีคนที่อาไว้ใจดูแลลูกสาวไปตลอดชีวิต ธรควรจะเป็นมากกว่าพี่ชายของน้ำริน อาต้องการให้ธรแต่งงานกับน้ำริน น้องโตพอที่จะมีครอบครัวได้แล้ว”
พลันเสียงของน้ำรินก็ดังแทรกเข้ามา
“คุยอะไรกันอยู่คะ ท่าทางซีเรียสจัง”
ทั้งสองคนหันไปมอง เห็นน้ำรินเดินเข้ามาพร้อมกับถุงข้าวของแบรนด์เนมที่เพิ่งไปช้อปปิ้งมาเต็มไปหมด
“พี่ธรมาก็ดีแล้ว วันนี้ไปปาร์ตี้กับน้ำหน่อยนะคะ กำลังต้องการคู่ควงหนุ่มหล่ออยู่พอดีเลย”
น้ำรินหน้ายิ้มแย้มไม่สนใจว่าทั้งคู่กำลังคุยอะไรกันอยู่ ห่วงแต่เรื่องเที่ยวของตัวเอง
ภพธรจ้องรูปน้ำรินแล้วครุ่นคิดในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ พอนับดาวเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง เขาก็รีบหย่อนรูปลงลิ้นชักแล้วปิด
“ซ่อนอะไรดาวคะ”
ภพธรท่าทางมีพิรุธ “เปล่า”
นับดาวรี่เดินตรงเข้ามา ชักลิ้นชักโต๊ะทำงานของภพธรออกมา
“เอารูปน้ำรินขึ้นมาดูทำไมคะ คิดถึงมันมากเหรอ”
“เปล่า แค่คิดว่าจะทำยังไงกับแม่เค้าต่างหาก”
นับดาวนั่งลงบนตักภพธรท่าทางยั่วยวน
“ไม่เห็นจะต้องคิดมาก ตอนนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว”
พลางหยิบช้อนกาแฟที่วางบนจานรอง มาคนในถ้วยกาแฟ
“ปล่อยให้ตายช้าๆ อย่างทรมานดีกว่า”
“สร้อยที่มีอักษรย่อ P กับ N ยังงั้นเหรอ บางทีอาจจะเป็นชื่อจริงกับนามสกุลจริงของคุณ”
เหยี่ยวครุ่นคิด พลางลองกดคอมพิวเตอร์คีย์หาข้อมูลคนหาย ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร P นามสกุลขึ้นต้นด้วยอักษร N แต่กลับมีรายชื่อเป็นพัน
“คุณเคยบอกว่ารถเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ดวงจิตคุณออกจากร่างใช่มั้ย”
น้ำรินพยักหน้า “ใช่ แต่คุณเคยตรวจสอบจากฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์แล้ว ไม่มีเคสของผู้ประสบอุบัติเหตุโรงพยาบาลไหน ที่ใกล้กับชื่อฉันเลย”
“ผมมีวิธีที่ดีกว่าตรวจจากคอมพิวเตอร์”
เหยี่ยวเดินตรงไปที่ตู้เอกสารด้านหนึ่ง หยิบแฟ้มมาสี่ห้าแฟ้มกองลงที่โต๊ะด้านข้าง แล้วหยิบแฟ้มมาเปิดดูทีละหน้าๆ น้ำรินมองอย่างหงุดหงิด เพราะคิดว่าหาจากคอมฯ น่าจะเร็วกว่า พลางพยายามวางนิ้วและพิมพ์ลงบนแป้นพิมพ์ ปรากฏว่านิ้วทะลุแป้นพิมพ์ไปหมด เพราะหยิบจับอะไรไม่ได้ ที่สุดก็เผลอตัวยกขึ้นทั้งสิบนิ้ว แล้ววางฟาดลงบนคีย์บอร์ดอย่างแรง หน้าจอคอมฯ ของเหยี่ยวดับวูบทันที
น้ำรินยกมือขึ้นมาดู สีหน้าดีใจที่จู่ๆ ก็สามารถหยิบจับอะไรได้แล้ว
“คุณ ฉันทำได้แล้ว ฉันจับของได้แล้ว”
เหยี่ยวย่อตัวนั่งลงแล้วลองกดเปิดเครื่องใหม่ แต่เปิดเท่าไหร่ก็ไม่ติด น้ำรินหน้าจ๋อยๆ แต่แล้วจู่ๆ เครื่องก็ติดขึ้นมา
เหยี่ยวมองน้ำรินแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ แล้วเดินไปเปิดแฟ้มเอกสารต่อ
ภพธรนั่งเซ็นเอกสารอยู่ในห้อง นับดาวเดินเปิดประตูเข้ามาทันทีพร้อมกับเอกสารฉบับหนึ่ง ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ภพธรเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาไม่พอใจ ที่เธอเข้ามาโดยไม่เคาะประตู
“ระหว่างเรายังมีเรื่องอะไรต้องปิดปังกันอีกเหรอคะ”
ภพธรถอนหายใจอย่างอึดอัด นับดาววางเอกสารลงบนโต๊ะ แล้วจ้องหน้าแบบค้นหาความจริง
“เมื่อเดือนที่แล้วพี่ธรโอนเงินหลายแสน ไปที่ชลบุรี? โอนไปทำไม?”
ภพธรทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “เพื่อนเก่าเดือดร้อน ขอความช่วยเหลือ”
“ดาวถามไปที่แบงค์แล้ว พี่ธรโอนไปที่โรงพยาบาล ดาวไม่เคยได้ยินว่าพี่ธรมีเพื่อนที่ชลบุรี”
ภพธรส่ายหน้า
“เธอต้องรู้จักเพื่อนพี่ทุกคนเหรอ ทำไม คิดว่าอะไร นับดาว เธอต้องรู้จักให้เกียรติกันมากกว่านี้นะ ถ้าต้องการจะคบกันต่อไป”
นับดาวจ้องภพธรอย่างจับผิด
น้ำรินขมวดคิ้วนั่งเท้าคางจ้องเหยี่ยวที่หาเอกสารทีจะใบในแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ แล้วจดลงในสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ
“พบชื่อที่มีตัวย่อ P หรือ N บ้างมั้ย”
“ในเขตปริมณฑล ผมได้รายชื่อผู้ประสบอุบัติเหตุที่เป็นผู้หญิงมา 3 ราย อยู่ในจังหวัดจันทบุรี, ระยอง และชลบุรี ผมโทรเช็คกับโรงพยาบาลทั้งสามแห่งแล้ว ผู้ป่วยทั้งสามรายยังไม่ฟื้น”
“ขอให้เค้าส่งประวัติมาให้เราสิ จะได้เห็นหน้าผู้ป่วย”
เหยี่ยวถอนหายใจ “มันไม่ง่ายอย่างนั้น ระบบราชการมีระบบอำนาจดำเนินการ ยศแค่ผมทำไม่ได้”
จากนั้นก็เสนอว่าให้ตามไปดูให้เห็นกับตาที่โรงพยาบาลเลย
“หมายความว่าวันนี้ฉันจะได้เจอร่างตัวเอง เข้าร่างได้แล้วใช่มั้ย ไชโย”
น้ำรินดีใจมากกระโดดกอดเหยี่ยวอย่างลืมตัว ปรากฏว่าทะลุร่างไป ทั้งคู่ชะงัก เขิน แล้วรีบทำเป็นวางฟอร์มใส่กัน
“ไปกันเถอะ”
เหยี่ยวเดินนำออกไป น้ำรินยิ้มดีใจ รีบเดินตามออกไป
น้ำรินเดินออกมากับเหยี่ยวมาตามทางเดินในลานจอดรถ นกน้อยเดินออกมาจากอาคารสำนักงาน เอาพวงกุญแจใส่ที่นิ้วชี้แล้วเหวี่ยงเล่นระหว่างเดินมา
“เรียบร้อยหมวด รถว่างพอดีเลย คราวนี้ทำไมหมวดกล้านั่งรถไปไกลๆ ล่ะ”
เหยี่ยวสีหน้าเปลี่ยนไป ความจริงก็หวาดๆ อยู่เหมือนกัน นกน้อยหันไปแล้วนึกรู้ทันทีว่าอาการที่กลัวการนั่งรถยนต์ยังคงมีอยู่
“น่า อย่าวิตกไปเลย เดี๋ยวผมขับให้เรียบนิ่งสุดฤทธิ์เลย ไปไกลแค่ไหนหมวดก็ไม่รู้สึกอึดอัดหรอก เชื่อผมเหอะ”
นกน้อยเดินนำไปที่รถของสำนักงานสืบฯ เหยี่ยวมองตามไปที่รถด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ น้ำรินมองอาการ ก็พอเดาออกว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่
เหยี่ยวนั่งหลับตาพยายามทำสมาธิไม่ให้คิดอะไรเรื่องที่ต้องนั่งรถทางไกล น้ำรินนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ชะโงกมามองด้วยสายตาเป็นห่วง
เหยี่ยวส่งเอกสารที่จดรายชื่อโรงพยาบาลและชื่อผู้ป่วยให้นกน้อย
“ไปโรงพยาบาลตามรายชื่อ เริ่มจากไกลที่สุดก่อน”
นกน้อยรับเอกสารมาอ่าน
“จันทบุรี โอ้โฮ ไกลโขอยู่นะหมวด คราวที่แล้วไปทำคดีแค่นครปฐม หมวดยังเครียดจนอ้วกแล้วอ้วกอีก“เอาน่า ผมกำลังตามหาผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ผมรับปากกับเค้าไว้แล้ว ต้องทำให้สำเร็จ”
น้ำรินรู้สึกดีกับเหยี่ยวที่ตั้งใจจะช่วยเธอ
รถขับผ่านทางเข้าจังหวัดจันทบุรี เหยี่ยวชะโงกศีรษะออกมาจากรถ เหมือนๆ จะอาเจียน น้ำรินเห็นอาการแล้วสงสาร
เหยี่ยวนั่งหลับตา นิ่วเหน้าเหมือนกำลังอยู่ในความเครียด คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่รถประสบอุบัติเหตุ และพ่อกับแม่เขาเสียชีวิตคาที่ เขาผวาลืมตาขึ้นทันที พลางหอบหายใจถี่ๆ
“เที่ยวนี้เราเดินทางไกลมากไปหน่อย ใกล้จะถึงแล้ว อดทนอีกนิดนะหมวด ผู้หญิงคนนั้นคงสำคัญกับหมวดมากสินะ ถึงต้องยอมทนถึงขนาดนี้น่ะ”
“มันเป็น “สัญญา” ฉันต้องทำตามสัญญา”
น้ำรินมองมาที่เหยี่ยวอย่างซึ้งใจ
อ่านต่อหน้า 2
ภพรัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
เหยี่ยวกับนกน้อยยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์โรงพยาบาล กำลังรอพยาบาลที่ค้นข้อมูลให้อยู่ แต่พยาบาลแจ้งว่าคนไข้ ที่ชื่อ “ปวีณานัฐสิริกร” ถูกรับตัวไปแล้ว
น้ำรินท่าทางผิดหวังไม่ต่างไปจากเหยี่ยว
“ถ้าเค้าฟื้นแล้ว งั้นก็ไม่ใช่ฉัน”
“ยังเหลืออีกสองราย” เหยี่ยวพูดอย่างมีความหวัง
“ไม่ตามไปที่บ้านคนไข้เหรอ เผื่อจะใช่ผู้หญิงคนที่หมวดตามหา” นกน้อยหันมาถาม
“ไม่ใช่หรอก รีบไประยองกันดีกว่าจ่า ผมไม่อยากให้ติดเที่ยง”
เหยี่ยวเดินนำออกไป น้ำรินทำหน้าเหมือนคิดอะไรได้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ หมวดน่าจะขอตัวช่วยจากนางพยาบาลก่อนดีกว่าค่ะ”
เหยี่ยวทำหน้าสงสัยว่าน้ำรินหมายถึงอะไร
รถแล่นไปตามทาง เหยี่ยวดมยาดมที่ขอมาจากพยาบาลของโรงพยาบาล น้ำรินอมยิ้มภูมิใจในความคิดของตัวเอง ครู่เดียวเหยี่ยวก็ออกอาการพะอืดพะอมอีกครั้ง แต่ยังคงทนได้อยู่
พยาบาลกำลังพาเหยี่ยวกับนกน้อยเดินมาที่ห้องผู้ป่วยรวม น้ำรินเดินตามมาอย่างลุ้นๆ
“หวังว่าคราวนี้คงจะเป็นร่างของฉันนะ”
ผู้ป่วยที่นอนอยู่ ท่าทางเป็นเหมือนทอม กำลังหัวเราะกับญาติแบบสนิทสนม เพราะฟื้นแล้ว
น้ำรินกับเหยี่ยวหันมามองหน้ากันอย่างผิดหวัง
จากนั้นทั้งหมดก็ตามมาถึงที่โรงพยาบาลชลบุรี พยาบาลรีบบอก
“ผู้ป่วยยังไม่ฟื้นค่ะ หมดสติไปตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ”
น้ำรินกับเหยี่ยวมองหน้ากันอย่างมีความหวัง
“ขอเราเยี่ยมผู้ป่วยหน่อยได้มั้ยครับ”
“ญาติเพิ่งขอย้ายผู้ป่วยเข้ากรุงเทพฯ ไปเมื่อเช้าค่ะ”
“ย้ายไปที่โรงพยาบาลไหนครับ” เหยี่ยวถามอย่างร้อนรน
พยาบาลค้นเอกสารครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามาบอกชื่อโรงพยาบาล
เหยี่ยวเดินนำนกน้อยออกมาอย่างมีความหวัง น้ำรินยิ้มยินดี คิดว่าน่าจะพบกับร่างของตัวเองซะที
สงครามมาเยี่ยมธาราที่ยังคงไม่ฟื้น พลางวางดอกแก้วลงที่โต๊ะข้างเตียง ภาพความรักครั้งเก่าผ่านเข้ามาในความทรงจำ
สงครามในชุดนักเรียนนายร้อยปี 1 กำลังเดินมาส่งธาราในชุดนักศึกษากลับบ้าน ทั้งสองยิ้มแย้มกันเหมือนเป็นคู่รัก
ธาราเดินมองไปที่ด้านหน้าเห็นต้นแก้วอยู่ข้างทาง ก็ยิ้มแล้วหันมาบอกสงคราม
“รอแป๊บนึงนะคะ”
พลางเดินตรงไปที่ต้นแก้ว แล้วชะเง้อมองไปที่ดอกแก้วที่อยู่สูง พยายามเขย่งจะเก็บให้ได้ สงครามเดินตามมามอง เห็นดอกแก้วช่ออื่นที่อยู่ใกล้มือ แต่ธารากลับไม่เด็ด
“ดอกแก้วตรงนี้ก็มี”
ธาราส่ายหน้า “มันไม่เหมือนกัน เพราะดอกตรงนี้มันช้ำ ส่วนช่อนั้นใบแหว่งไม่สวย แต่ช่อโน้น ดอกไม่ช้ำ ใบไม่แหว่ง ช่อกำลังสวย เป็นช่อที่ดีที่สุด”
สงครามจึงพยายามเอื้อมมือไปเด็ดช่อดอกแก้วนั้นมาให้
“ถ้าผมไม่เด็ดให้ คุณจะเอื้อมไปเก็บ จนกว่าจะได้เหรอ ?”
ธารามองดอกแก้วอย่างมีความสุขแล้วมองสงคราม
“ถ้าเราเด็ดด้วยตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องหาวิธีจนกว่าจะได้”
ธาราก้มมองดอกแก้วอย่างชื่มชม สงครามมองที่ดอกแก้วในมือธารา
“ทำไมคุณต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการจับพวกค้ายาบ้าๆนั่นด้วย”
สงครามนอนอยู่บนเตียงคนไข้ สีหน้าเพลียเพราะเสียเลือดมาก มีแผลโดนยิงที่หัวไหล่ มีผ้าก็อตปิดอยู่ มีสายน้ำเกลือและถุงเลือดห้อยระโยงระยาง ธารายืนอยู่ข้างเตียง กำลังจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“มันเป็นหน้าที่ที่ผมภูมิใจ”
สงครามมองหน้าธาราอย่างมีความหมาย แล้วเอื้อมมือจับมือเธอ
“คุณรู้ไหม เมื่อเช้าท่านผู้การมาเยี่ยมท่านบอกว่าจะเลื่อนขั้นให้ผม อีกไม่นานผมจะได้เป็นรองสารวัตร เงินเดือนผมจะมากพอที่จะเลี้ยงคุณได้ เราแต่งงานกันนะ”
ธารามองสงครามนิ่ง ไม่มีท่าทางตื่นเต้นหรือดีใจ จากนั้นก็ค่อยๆดึงมือตัวเองออกมา
“ฉันรอไม่ได้ สำหรับคนอื่น ชีวิตอาจอยู่ได้ด้วยความหวัง แต่สำหรับฉัน มีชีวิตอยู่บนความจริง”
สงครามมองธาราด้วยสายตาสับสน “คุณกำลังพูดอะไร ?”
“วันนี้ ฉันจะมาลา”
สงครามเผลอลุกขึ้น แล้วเจ็บที่แผล แต่ยังใช้แขนตัวเองยันตัวให้ลุกขึ้น แล้วเอื้อมมือไปจับมือธาราไว้
“สงคราม คุณเป็นคนดี ดีมาก แต่ยังไม่ดีที่สุด”
พลางดึงมือของสงครามออก “ฉันขอโทษ” แล้วก็เดินออกจากห้องไปทันที
สงครามมองธาราด้วยความไม่เข้าใจ ตกใจ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็ว พลางจะลุกจากเตียงเพื่อไปตามธารา แต่เจ็บแผลจนเซล้มไปชนโต๊ะข้างเตียง ทำให้แจกันที่ใส่ช่อดอกแก้วล้ม แล้วค่อยๆ กลิ้งตกจากโต๊ะ
แจกันตกแตกกระจาย ดอกแก้วกระเด็นเกลื่อน
สงครามยืนมองหน้าธาราอยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกผูกพัน แววตาบ่งบอกว่ายังคงรักและห่วงใยผู้หญิงคนนี้
ธาราคล้ายๆ ใกล้จะรู้สึกตัวตื่น สงครามเห็นจึงค่อยๆ เดินออกจากห้องไป
เหยี่ยวเดินเข้ามา คลาดกับสงครามไปเพียงนิดเดียว น้ำรินเดินตรงเข้าไปคุยกับเหยี่ยว ส่วนนกน้อยเดินนำออกไปจึงไม่ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนกำลังพูดกัน
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อฉัน”
เหยี่ยวหันมามองหน้าน้ำริน ด้วยแววตาซึ้ง
“ผมทำด้วยความเต็มใจ”
ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูก
ธารารู้สึกตัวแล้ว แต่ยังนอนสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนเตียง ท่าทางอ่อนเพลียอยู่ไม่น้อย
พยาบาลกำลังวัดความดันและเช็คน้ำเกลือ
ธาราหันไปมองที่หัวเตียง เห็นดอกแก้ววางอยู่
“ดอกแก้ว?”
“เพื่อนคุณที่เป็นตำรวจเอามาให้ค่ะ ท่านผู้การมาเยี่ยมคุณทุกวันเลยนะคะ เมื่อกี้ก็เพิ่งกลับออกไป ก่อนที่คุณจะตื่นไม่นาน”
พยาบาลเตรียมจะเข็นเตียงออกไปจากห้องพักผู้ป่วย ธารายังคงสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น
“อาจารย์หมอขอเอ็กซเรย์สมองอีกครั้งนะคะ ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ อีกสองสามวัน คุณน่าจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้”
ธาราพยักหน้ารับรู้ แต่สายตายังมองที่ดอกแก้วซึ่งวางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วก็คิดถึงสงคราม
เหยี่ยวกับนกน้อยรอหมออยู่ที่บริเวณเคาน์เตอร์ น้ำรินยืนอยู่ข้างๆ พลางลุ้นว่าจะเจอร่างของตัวเองหรือไม่ ครู่หนึ่งหมอก็เดินออกมา
“หมวดเหยี่ยวที่โทรมาถามเรื่องคนไข้ที่เพิ่งย้ายมาจากชลบุรีใช่มั้”
“ใช่ครับคุณหมอ คนไข้อาการเป็นยังไงบ้างครับ”
“ยังสลบไม่ได้สติ คนไข้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ สมองกระทบกระเทือนอย่างแรง นอนไม่ได้สติมาสองสัปดาห์แล้ว”
น้ำรินดีใจหันไปบอกเหยี่ยว “ต้องเป็นฉันแน่ๆ เลยค่ะ”
“ขออนุญาตให้ผมพบคนไข้หน่อยได้มั้ยครับ”
หมอมีท่าทางอึกอัก เหยี่ยวรีบพูดต่อทันที
“เป็นเรื่องสำคัญมากครับหมอ ขอแค่ให้ผมเห็นหน้าคนไข้เท่านั้นก็พอ”
หมอมีท่าทางครุ่นคิดนิดหนึ่ง น้ำรินกับเหยี่ยวเฝ้ารอคำตอบลุ้นๆ
หมอพาเหยี่ยวกับพวกเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล กำลังจะไปห้องไอซียูที่ร่างผู้ป่วยคนนั้นพักฟื้นอยู่
“ผมอนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ แต่ไม่เกินห้านาทีนะครับ”
“ไม่มีปัญหาครับ แค่ผมพบคนไข้ เท่านั้นก็พอ”
อีกด้านหนึ่งของทางเดิน พยาบาลกำลังเข็นเตียงจะพาธาราไปเอ็กซเรย์สมอง เหยี่ยวกับนกน้อยเดินนำไปแล้ว น้ำรินเดินผ่านเตียงที่กำลังเข็นธารา ก็ชะงัก หยุดยืนมองเตียงที่ถูกเข็นออกไป แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของใบหน้า แต่รู้สึกได้ถึงความผูกพันบางอย่างระหว่างกัน
น้ำรินเดินแยกกับกลุ่มเหยี่ยว เดินตามธาราไปโดยไม่รู้ตัว
พยาบาลเข็นเตียงของธาราเข้ามารอในห้องเอ็กซเรย์สมอง ธาราหลับตาท่าทางอ่อนเพลีย สะลืม
สะลือ ยังไม่ได้สติเท่าไรนัก
พยาบาลรูดม่านปิดเตียง แล้วเดินออกไป
น้ำรินเดินเข้ามาที่เห็นร่างธาราที่ยังคงหลับตาผ่านผ้าม่านที่บังอยู่ จากนั้นก็ตัดสินใจจะเดินเข้าไปมองหน้าชัดๆ ด้วยความรู้สึกผูกพันอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“คุณเป็นใครคะ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ารู้จักกับคุณ”
ธาราคล้ายได้ยินเสียงน้ำริน กำลังจะเหลียวมามอง
“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ”
เจ้าหน้าที่เดินมาพอดี เข็นเตียงธาราไปที่อุปกรณ์เอ็กซเรย์สมอง ทำให้ทั้งคู่คลาดกันอีกครั้ง
น้ำรินมองตามธาราไป นึกสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้
อ่านต่อหน้า 3
ภพรัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
หมอเดินพาเหยี่ยวกับนกน้อยมาจนถึงที่หน้าห้องไอซียู น้ำรินเดินตามมาทันพอดี พลางรีบบอก
“ฉันเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ยังไม่ทันเห็นหน้า ฉันรู้สึกแปลกๆ “
ก่อนจะทั้งคู่จะพูดอะไรต่อไป พยาบาลรีบเดินออกมาจากห้องไอซียู ท่าทางร้อนรน
“คุณหมอคะ คนไข้ชักค่ะ”
หมอหันมาหาเหยี่ยวกับนกน้อย “พวกคุณรออยู่ที่นี่ ผมขอตัวก่อนนะ”
หมอรีบเข้าไปในห้องไอซียูทันที นกน้อยเดินไปมองที่กระจกด้วยความสนใจ น้ำรินรีบหันมาคุยกับเหยี่ยว สีหน้าตกใจ
“เป็นไปได้มั้ย พอดวงจิตของฉันมาอยู่ใกล้กับร่าง ก็เลยเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ร่างอาจกำลังเรียกให้ฉันกลับเข้าไปก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ รีบเข้าไปเลยสิ”
“งั้นฉันเข้าไปก่อน เดี๋ยวเจอกันนะหมวดเหยี่ยว”
น้ำรินกำลังจะเดินทะลุประตูเข้าไป แต่เหยี่ยวเรียกไว้
“ถ้าดวงจิตกลับเข้าร่างได้ แล้วคุณฟื้น ผมจะได้เจอคุณในร่างมนุษย์ใช่มั้ย”
น้ำรินยิ้ม “ก็ใช่น่ะสิ”
“คุณต้องฟื้นนะ”
“ฟื้นสิ ยังไงฉันก็ต้องตามมาขอบคุณหมวดแน่ ไม่ต้องห่วงหรอก”
เหยี่ยวมองยิ้มๆ น้ำรินยิ้มตอบ แล้วเดินทะลุเข้าประตูไป
น้ำรินเข้ามาในห้องไอซียู เห็นหมอกับพยาบาลกำลังรุมกันอยู่ที่เตียงคนไข้ ที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต “หัวใจหยุดเต้น เตรียมปั๊มหัวใจ”
น้ำรินเอามือกุมหน้าอกตัวเอง ด้วยความตกใจกลัวว่าตัวเองจะตาย เพราะเข้าสู่ร่างไม่ทัน พลางรีบเดินไปตรงเตียงที่หมอกำลังปั๊มหัวใจเพื่อช่วยชีวิตคนไข้
ร่างคนไข้กระตุกไปตามจังหวะการช็อตไฟฟ้าของหมอ
“อาการไม่ดีขึ้นเลยค่ะหมอ”
น้ำรินน้ำตาคลอ กลัวตัวเองตาย รีบเข้าไปใกล้ที่เตียงคนไข้ ชีพจรคนไข้หยุดเต้น ปั๊มยังไงก็ไม่ขึ้น
น้ำรินเสียงแผ่ว “ไม่จริง”
แสงสว่างวาบขึ้นมาในห้องไอซียู
“เค้ามารับวิญญาณของฉันแล้วเหรอ?”
น้ำรินหลับตา กลั้นใจจะเดินเข้าไปหาแสงสว่างนั้น ทันใดนั้นมีร่างอีกร่างปรากฏขึ้น เป็นร่างของหญิงสาวคนไข้ผมยาวคนนั้น คล้ายน้ำรินมากแต่ไม่ใช่
หญิงสาวคนนั้นหันมายิ้มให้น้ำริน แล้วสลายร่างไปกับแสงสว่างที่อยู่โดยรอบห้องไอซียูนั้น
น้ำรินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
เหยี่ยวยืนอยู่หน้าห้องไอซียูสีหน้ากังวลใจ นกน้อยกำลังรับโทรศัพท์มือถือพูดอยู่อีกมุมไกลออกไป ประตูห้องไอซียูเปิดออก หมอเดินออกมาด้วยท่าทางขรึมๆ เหยี่ยวรีบเดินเข้ามาถามอาการคนไข้ที่ตัวเองคิดว่าเป็นน้ำริน
“หมอเสียใจด้วย คนไข้หัวใจหยุดเต้นแล้ว”
เหยี่ยวตะลึงตกใจ ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนหมอเดินออกไป
จู่ๆ น้ำตาก็เอ่อล้น เพราะความผูกพันที่ตัวเองคิดไม่ถึง “น้ำ คุณตายแล้ว?”
พลางมองไปที่ห้องไอซียู แล้วค่อยๆ ทรุดลงนั่งที่เก้าอี้หน้าห้อง ความรู้สึกเหมือนกำลังสูญเสีย
จากนั้นก็เอนหลังพิงพนักอย่างพยายามระงับความรู้สึก แล้วค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
“เป็นอะไรหมวด ง่วงเหรอ?”
เหยี่ยวลืมตาขึ้น เห็นน้ำรินยังคงยืนอยู่ตรงหน้า
“คุณยังอยู่ ดวงจิตของคุณไม่ได้สลายไปพร้อมกับร่างนั้นเหรอ”
“นั่นไม่ใช่ร่างฉัน”
เหยี่ยวยิ้มทั้งน้ำตา “คุณรู้มั้ยว่าผมดีใจมากแค่ไหน ที่คุณยังอยู่แบบนี้”
จากนั้นก็เดินเข้ามาหาน้ำรินแล้วเผลอกอด แต่ก็สัมผัสกันได้เพียงแผ่วๆ
“ผมดีใจที่ได้พบคุณอีก”
น้ำรินน้ำตาคลอ “ขอบคุณนะที่ทำเพื่อฉัน ขอบคุณจริงๆ”
เหยี่ยวกับน้ำรินซึ้งกันอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มเขินกัน ทั้งสองเลยค่อยๆ ผละออกจากกัน
“หมวดเหยี่ยว”
เหยี่ยวเก้อๆ หันมามองนกน้อยแล้วยิ้มเก้อๆ
“ยืนยิ้มอะไรคนเดียวครับ”
“ปละ...เปล่า ไม่มีอะไร”
“ตกลงผู้หญิงคนนั้นรอดมั้ย แล้วใช่คนที่หมวดตามหารึเปล่า”
เหยี่ยวส่ายหน้า “ไม่รอด แต่ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น”
“งั้นเรากลับกันเถอะ ผมหิวข้าวแล้ว”
นกน้อยเดินนำออกไป เหยี่ยวเหลียวมองหาน้ำริน
“กลับบ้านกันเถอะ ฉันเหนื่อยเหลือเกิน”
เหยี่ยวยิ้มๆ “ดวงจิตอย่างคุณ เหนื่อยเป็นด้วยเหรอ ขอโทษนะที่วันนี้ช่วยอะไรคุณไม่ได้ พยายามแทบตาย สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว”
“เอาน่า อย่างน้อยฉันก็รู้ว่ามีคนเป็นห่วงฉันเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้ว”
น้ำรินมองไปที่เหยี่ยวแล้วอมยิ้ม แล้วก็เดินออกไป เหยี่ยวมองตาม แล้วเดินตามน้ำรินออกไปด้วยความรู้สึกดีๆ ต่อกัน
เหยี่ยวนั่งอยู่ข้างๆ นกน้อย ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ น้ำรินนั่งด้านหลัง แอบมองเสี้ยวหน้าเหยี่ยว โดยคิดว่าเขาคงไม่รู้ว่าถูกแอบมอง
ในขณะที่เหยี่ยวที่ทำเป็นนั่งหน้าตรง เหมือนตามองไปข้างหน้า แต่สายตาเหลือบมอง ผ่านกระจกส่องหลัง โดยที่น้ำรินไม่รู้ตัวว่าเหยี่ยวเห็นทุกอย่างที่เธอทำ
นกน้อยเหลือบมองเหยี่ยวที่ชอบมองกระจกส่องหลัง แล้วนึกสงสัย
“มีอะไรข้างหลังเหรอครับหมวด ? ทำไมมองกระจกหลังบ่อยๆ”
เหยี่ยวสะดุ้งเล็กน้อย น้ำรินเหลือบมองกระจกส่องหลังตามที่นกน้อยบอก พลางสบตากับเหยี่ยวที่มองมา แล้วก็ชะงัก เมื่อรู้ตัวว่าโดนเหยี่ยวมองอยู่
เหยี่ยวพูดยิ้มๆ “ไม่มีอะไรจ่า ผมแค่รู้สึกว่าโดนแอบมอง”
น้ำรินยิ่งสะดุ้งเขินที่เหยี่ยวเห็นที่เธอแอบมองเขาอยู่
นกน้อยมองกระจกส่องหลัง แต่ไม่เห็นใคร แล้วมองรถทางซ้ายทางขวา
“ใครแอบมองเรา รึเป็นพวกค้ายา”
เหยี่ยวทำหน้ากรุ้มกริ่ม “ไม่ใช่พวกยาเสพติดหรอก แต่อาจจะเป็นพวกยาใจ”
น้ำรินทำท่าจะอ้วกขึ้นมาทันที
“เมารถเหรอ”
นกน้อยนึกว่าเหยี่ยวพูดกับตัวเอง “เปล่าครับ”
เหยี่ยวมองนกน้อยเซ็งๆแล้วเหลือบมองน้ำรินผ่านกระจกส่องหลัง
“เอียนพวกหลงตัวเอง ฉันมองคุณเพราะจะดูว่าคุณจะอ้วกรึเปล่า”
เหยี่ยวมองไปข้างหน้ารถแล้วเริ่มรู้สึกมีอาการอึดอัดอีกครั้ง
“โธ่ จะพูดอีกทำไม ผมอุตส่าห์พยายามไม่คิดถึงมัน
นกน้อยยิ่งงง น้ำรินเห็นอาการก็เป็นห่วง พยายามหาทางช่วย แกล้งชวนคุยเรื่องอื่น
เหยี่ยวเดินจูงจักรยานเข้าบ้านมาพร้อมกับน้ำริน แนนเดินออกมาพอดี
“กลับมาแล้วเหรอเหยี่ยว”
น้ำรินมองแนน แล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา หาเรื่องพูดกระทบแนน แต่เหยี่ยวก็นึกรู้ จากนั้นก็รีบพูดตัดบท แล้วเดินโอบไหล่แนนเดินเข้าบ้าน โดยไม่คิดอะไร
แนนแอบมองมือเหยี่ยวที่โอบไหล่ตัวเองแล้วแอบยิ้ม น้ำรินรู้ว่าแนนรู้สึกดีที่เหยี่ยวโอบไหล่ ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
เหยี่ยวโอบแนนเข้าบ้านมา น้ำรินเดินตามแล้วมองตาเขียว เห็นยายนวลนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอย่างเอร็ดอร่อย เหยี่ยวรีบหันไปบอกแนน
“ขอชามนึงสิ เหมือนเดิมนะ ขอชามโตๆเลย หิวมาก”
แนนยิ้มรับ แล้วรีบเดินเข้าห้องครัว แล้วเผลอเอามือจับไหล่ตัวเองที่เหยี่ยวโอบอย่างมีความสุข
น้ำรินเห็นอาการของแนน แล้วหันไปพูดเหน็บเหยี่ยว
“เข้าใจนะว่ารักกัน แต่ช่วยแสดงความรักในที่ลับหน่อย ไม่ใช่แสดงต่อหน้าคนอื่นแบบนี้”
ยายนวลชะงักมือที่ตักก๋วยเตี๋ยวแล้วเอียงหูฟังน้ำรินพูด พลางถามอย่างสงสัยว่าทั้งคู่มีอะไรขัดใจกันรึเปล่า เหยี่ยวรีบปฏิเสธ
“ไม่มีอะไรหรอกยาย ผมก็แค่เดินโอบไหล่แนนเข้าบ้านมา คนสนิทกันเดินโอบกันไม่ใช่เรื่องแปลกหรือคุณไม่ชอบ”
“ไม่ใช่ แต่ผู้หญิงเขาเสียหาย”
ยายนวลฟังที่น้ำรินพูดแล้วนิ่งเหมือนคิดบางอย่าง เหยี่ยวดูอาการก็รู้ว่าน้ำรินคิดยังไง แต่แกล้งทำหน้าจริงจัง
“จริงด้วย ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย งั้นผมต้องไปขอโทษแนนแล้วล่ะ ผู้หญิงอย่างแนน ผมต้องให้เกียรติมากกว่านี้ เนอะ ?”
พลางมองน้ำรินยิ้มๆ สนุกที่ได้พูดยียวนกวนอารมณ์ แล้วเดินเข้าครัวไป น้ำรินมองเหยี่ยวอย่างหงุดหงิด ยายนวลฟังคำพูดน้ำรินและคำพูดเหยี่ยวแล้วคิดจริงจัง
“หนูน้ำ ยายถามตรงๆนะ หนูเห็นหนูแนนกับเหยี่ยวสนิทกัน แล้วหนูรู้สึก...”
น้ำรินตกใจกับคำถามของยายนวล จึงรีบพูดแก้ตัว
“หนูไม่ได้รู้สึกหึงหมวดเหยี่ยวกับหมวดแนนเลยนะคะ”
“ยายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่จะถามว่ามันดูไม่เหมาะสมจริงๆใช่ไหม”
น้ำรินได้ที รีบฟ้อง “ใช่ค่ะ ไม่เหมาะสมเลย ถึงจะสนิทกันแบบเพื่อน แต่ยังไงหมวดเหยี่ยวก็เป็นผู้ชาย หมวดแนนมาบ้านบ่อยๆแบบนี้ มันดูไม่ดีค่ะ”
“ งั้นยายต้องจัดการอะไรสักอย่างแล้ว”
น้ำรินมองยายนวลแล้วมองไปที่ครัวด้วยใบหน้าอมยิ้มคิดว่ายายนวลต้องห้ามแนนมาบ้านแน่
อ่านต่อหน้า 4
ภพรัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
เหยี่ยว ยายนวล น้ำรินเดินออกมาส่งแนนที่หน้าบ้าน แนนไม่กล้าสบตาเหยี่ยว เพราะกลัวเขาเห็นอาการเขิน จึงหันไปพูดกับยายนวลแทน
“แนนกลับก่อนนะคะยาย อ้อ พรุ่งนี้ตอนบ่าย ยายมีนัดกับหมอตรวจเบาหวานนะคะ”
“เอ้อ จริงด้วย ขอบใจนะที่เตือน”
น้ำรินมองแนนที่ดูเอาใจยายนวล แล้วยิ้มๆ พลางคิดว่าอีกหน่อย ยายนวลก็ห้ามมายุ่งแบบนี้แล้ว
แนนหันมาพูดกับเหยี่ยว “เรากลับก่อนนะ”
เหยี่ยวเอื้อมมือแตะไหล่แนนเหมือนห่วงใย “ขี่รถดีๆ ถึงบ้านแล้วโทร.หาเราด้วย”
แนนยิ้มให้แล้วปั่นจักรยานออกไป เหยี่ยวจะเดินเข้าบ้าน แต่ยายนวลรีบเรียกไว้ แล้วตัดสินใจพูด
“เหยี่ยวกับหนูแนนคบกันมานาน ตั้งแต่ก่อนหนูแนนไปเมืองนอก หนูแนนเข้าออกบ้านเราจนเป็นเรื่องธรรมดาแต่สำหรับคนอื่น หนูแนนอาจดูไม่ดี”
น้ำรินมองยายนวลแล้วแอบยิ้ม
“งั้นผมจะบอกแนนไม่ให้มาบ้านเราบ่อยๆ”
“ยายไม่ได้หมายความอย่างนั้น ที่พูดยายหมายถึงเหยี่ยวควรทำอะไรให้มันถูกต้อง ที่ถูกที่ควร ไม่ให้หนูแนนเสียหาย”
เหยี่ยวแกล้งพูดเล่น “แหม งั้นผมขอแนนแต่งงานซะเลยดีมั้ย จะได้อยู่ด้วยกันเลย”
ยายนวลยิ้มกว้าง “ต้องให้บอกกันตรงๆ อย่างนั้นเลยเหรอ”
น้ำรินตกใจ หันขวับมองหน้ายายนวล
แนนปั่นจักรยานวนกลับมาบ้านเหยี่ยว แล้วนึกขึ้นได้ว่าเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ จึงย้อนจะกลับไปบอก พอย้อนกลับมาจอดจักรยานแล้วกำลังจะเปิดประตูรั้ว ก็ได้ยินเสียงยายนวลคุยกับเหยี่ยว
“ความจริงเรากับหนูแนนก็คบกันมาหลายปี ถ้าจะพูดจะคิดเรื่องสร้างอนาคตร่วมกัน อย่างจัดงานแต่งงาน มันก็ไม่เห็นจะแปลก”
แนนชะงักมือที่เปิดประตูทันที แล้วยืนชะงักนิ่งด้วยความรู้สึกตกใจ ตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวรอฟังคำพูดของเหยี่ยว เช่นเดียวกับน้ำรินที่รอฟังเหมือนกัน แต่เหยี่ยวกลับเลี่ยงไปหน้าตาเฉย
“ผมง่วงแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะครับ”
พลางจะเดินเข้าบ้าน แต่กลับโดนยายนวลดึงมือไว้
“แล้วเมื่อไหร่จะคุย เราควรจะคิดถึงเรื่องอนาคตได้แล้ว อย่างน้อยก็ควรนึกถึงจิตใจของหนูแนนบ้าง”
เหยี่ยวมองยายนวล แล้วมองน้ำรินที่มองหน้าตัวเอง เลยตอบส่งๆ พอให้พ้นตัว
“อือ ๆ “ แล้วก็เดินเข้าบ้านทันที
น้ำรินยืนชะงัก ไม่เข้าใจความหมาย ยายนวลเองก็งง
ขณะที่แนนอมยิ้มปั่นจักรยานกลับบ้านไปอย่างมีความสุข
เหยี่ยวเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทางเหนื่อยๆแล้วล้มตัวลงนอน น้ำรินเดินตามเข้ามามองด้วยสายตาเหวี่ยงๆ แล้วหาเรื่องบ่นนั่นนี่ไปเรื่อย
“หัดทำตัวให้เป็นระเบียบหน่อย กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่แล้ว”
เหยี่ยวมองน้ำรินด้วยสายตากรุ่มกริ่ม
“อาการอย่างนี้ เหน็บแหนมใช่ไหม ? หึง?”
“บ้าเหรอ คนอย่างฉันไม่มีวันหึงคุณหรอก “
เหยี่ยวยิ้มยั่ว น้ำรินหงุดหงิดแล้วสะบัดหน้าเดินทะลุประตูออกไป
เหยี่ยวมองน้ำริน แล้วก็ยิ้มกรุ่มกริ่ม อาการแบบนี้ไม่น่าผิดไปจากสิ่งที่เขาคิด
น้ำรินท่าทางหงุดหงิด เดินออกมาที่บริเวณสนามข้างบ้าน ครู่หนึ่งผียายปริกก็ขี่จักรยานเข้ามาด้วยท่าทางยิ้มแย้ม พุดยั่วให้น้ำรินหายหงุดหงิด
“ปริกมาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องจะปรึกษา”
“มีอะไรจะปรึกกับปริกก็ว่ามา”
น้ำรินเล่าเรื่องที่สามารถฟาดคีย์บอร์ดให้ฟัง
“หล่อนต้องระลึกความรู้สึกที่ฟาดคีย์บอร์ดกระจายให้ได้ ตอนนั้นมุ่งมั่นจิตใจแน่วแน่อยู่กับอะไร ต้องเอามาใช้กับการจับตุ๊กตาตัวนี้”
ผียายปริกพูดพลางจ้องไปที่ตุ๊กตา แล้วหยิบติดมือขึ้นมา ก่อนจะวางลงแล้วให้น้ำรินลองทำดู
น้ำรินจ้องไปที่ตุ๊กตา รวบรวมจิตใจแน่วแน่แล้วจับเข้าที่ตุ๊กตา
“สำเร็จแล้ว”
พอน้ำรินตะโกนลั่น ตุ๊กตาก็ร่วงหล่นทันที
“มือใหม่หัดทำก็เงี้ยะแหละ ถ้าง่ายๆ ผีก็ทำได้ทุกตัวดิ มีเคล็ดลับอยู่ที่ว่า ต้องเริ่มจากของเล็กๆ ก่อน อย่าใจร้อน”
“ฉันต้องทำให้ได้ ปริกคอยดูก็แล้วกัน” น้ำรินพูดอย่างมั่นใจ
ผียายปริกเดินมากับน้ำรินที่จักรยานที่จอดไว้ที่หน้าบ้านเหยี่ยว
“ถ้าหล่อนเซ็งๆ อีตาหมวดเก๊ก สองสามวันนี้ไปเที่ยวป่าหิมพานต์กับฉันมั้ยล่ะ
พอน้ำรินทำท่าสนใจ ผียายปริกก็หัวเราะร่า
“ทำไมปริกชอบหลอกฉันนะ”
“อ้าว ก็เพราะหล่อนหลอกง่ายไง นอกจากจะให้คนอื่นหลอกได้แล้ว ยังชอบหลอกตัวเองอีก ว่าไม่มีความรู้สึก ไม่ได้ผูกพัน ไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้น
“ปริกหมายถึงใคร? “ น้ำรินย้อนถาม
“นั่นสิ ฉันหมายถึงใครหว่า ฮิๆๆ ว่าไง จะไปป่าหิมพานต์กันมั้ย”
น้ำรินส่ายหน้า “คราวนี้ฉันไม่เชื่อปริกหรอก อย่ามาหลอกฉันเลย”
“อ้าว อะไรที่เป็นเรื่องจริงดันหาว่าหลอก อะไรที่หลอกดันคิดว่าจริง มนุษย์หนอมนุษย์ ชอบหลอกตัวเอง ชีวิตง่ายๆ ก็ทำให้วุ่นวายซะงั้น”
น้ำรินมองด้วยสายตาแปลกๆ ไม่เข้าใจที่ผียายปริกพูดนัก ครู่หนึ่งผียายปริกก็ขอตัวกลับ พลางบอกว่าจะอีก 3 วันค่อยเจอกันใหม่ จากนั้นก็ปั่นหายออกไป น้ำรินมองไปทางหน้าต่างห้องนอนเหยี่ยว แล้วรำพึงกับตัวเอง
“ใครหลอกตัวเอง ไม่มีใครหลอกตัวเองสักหน่อย”
เหยี่ยวที่นอนหลับอยู่ ค่อยๆลืมตาตื่น เห็นหน้าน้ำรินจ้องอยู่เหนือหน้าตัวเอง ห่างกันไม่ถึงคืบ ก็ถึงกับสะดุ้ง
“คุณจะทำอะไรผม”
“รีบไปหาประวัติฉันเดี๋ยวนี้ เวลาฉันเหลือน้อยแล้ว เพราะคุณกำลังจะแต่งงานไง แต่งงานแล้วคุณก็ต้องเอาเวลาทั้งหมดไปให้เมียต้องพากันไปฮันนีมูน มีลูก สร้างประชากรเพิ่มมารกโลก ต่อไปคุณก็ไม่มีเวลามาช่วยฉันแล้ว”
เหยี่ยวมองน้ำรินแล้วหัวเราะ
“โธ่คุณ ยายผมก็พูดไปงั้นแหละ ไม่จริงจังอะไรหรอก”
เช้ารุ่งขึ้น ยายนวลหกลับเข้ามาบ้าน แล้วรีบบอกเหยี่ยว ที่กำลังจะออกจากบ้านด้วยน้ำเสียงดีใจว่าหลวงตาเคี้ยงให้ฤกษ์แต่งงานมาแล้ว
เหยี่ยวกับน้ำรินถึงกับชะงัก
“สิ้นปีนี้ ฉันได้ตัดชุดไปงานแต่งงานเอ็งแล้วไอ้เหยี่ยว”
เหยี่ยวมองยายนวลอึ้งๆ ไม่คิดว่าจะจริงจังขนาดนี้ น้ำรินมองอึ้งๆ เจ็บหัวใจบอกไม่ถูก
น้ำรินเดินนำหน้าเหยี่ยวออกจากบ้านด้วยอารมณ์แอบฉุนเฉียว
“เอาน่า ยายหาฤกษ์ไปก็เท่านั้น เพราะยังไงแนนก็ไม่แต่งกับผมหรอก”
“น้อยไปสิ ยายอยากให้คุณแต่งงานเร็วเท่าไร แฟนคุณยิ่งติดเทอร์โบ อยากแต่งงานเร็วยิ่งกว่า สายตาหมวดแนนหวานเยิ้มขนาดนั้นเด็กอนุบาลยังดูออกเลยว่าเขารักคุณ”
เหยี่ยวอมยิ้ม “พูดเบาๆก็ได้ ผมรู้ว่าคุณอยู่ในอารมณ์หึงผม”
“ไม่ได้หึง แต่ฉันเครียด “
น้ำรินพูดกับเหยี่ยวหน้าตาจริงจังจนแทบจะร้องไห้
“สำหรับคุณ มันอาจเป็นเรื่องสนุกที่ได้แกล้งผีอย่างฉัน แต่ฉันไม่สนุกด้วยที่ต้องมายืนดูคุณกับเมียคุณจู๋จี๋กัน ฉันอยากจะหนีไปไหนก็ไปไม่ได้ เพราะต้องมาติดกับคุณ จะขอให้คนอื่นช่วย ก็ไม่มีใครเห็นฉัน นอกจากคุณ”
เหยี่ยวเห็นน้ำรินเครียด ก็รู้สึกผิด รีบพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมสัญญา ยังไงผมก็จะไม่ทิ้งคุณ”
“ถึงเวลาคุณก็ลืม”
“ ใครจะไปลืมว่าตัวเองเห็นผี เรื่องอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนนะ มันน่าจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ทำให้คนที่ไม่เคยเห็นผีอย่างผม กลับมาเห็นคุณคนเดียว”
น้ำรินมองสบตากับเหยี่ยวแล้วรู้สึกหวิวๆ แปลกๆ ผูกพันกันอย่างบอกไม่ถูก
“เพื่อยืนยันคำพูดของผม วันนี้ผมอุทิศให้กับการหาร่างคุณทั้งวัน เราจะเริ่มจากที่ๆ เราเจอกันครั้งแรกดีกว่า”
น้ำรินนิ่งคิดตามคำพูดของเหยี่ยว “บึงน้ำ ?”
อ่านต่อตอนที่ 5