ภพรัก ตอนที่ 11
ธาราถือปากกา อ่านเอกสารในแฟ้มที่ภพธรเอามาให้เซ็นอย่างละเอียด ภพธรกับนับดาวสบตาร้าย อย่างรู้กัน
ธาราวางปากกา ปิดแฟ้มแล้วเลื่อนคืนให้ภพธร ไม่ยอมเซ็น
“อาคงเซ็นให้ไม่ได้ วัสดุที่ผู้รับเหมาเลือกใช้ยังไม่ได้มาตรฐาน ฝ่ายอาคารยังไม่มีการคุยเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมกับชาวบ้านเลย ระงับการก่อสร้างไว้ก่อน”
ภพธรตกใจ “ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คุณอาไม่เคยมีปัญหา”
“ตอนนี้อาอยากให้บริษัทยึดหลักการทำงานที่มี “คุณธรรม” และ “คุณภาพ” มากกว่าผลกำไร”
ภพธรกับนับดาวพายามพูดเกลี้ยกล่อม
“ไม่พอใจก็เปลี่ยนผู้รับเหมา รีบแก้ไขตามที่อาสั่ง”
ธารายกน้ำชาขึ้นจิบ เป็นการตัดบท ภพธรเม้มริมฝีปากแน่น พยายามระงับอารมณ์ไม่พอใจไว้อย่างสุดกลั้น
ภพธรระเบิดความอัดอั้นออกมาทันทีที่ก้าวพ้นคฤหาสน์
“จู่ ๆ เกิดนึกถึงคุณธรรมและศีลธรรมบ้าบออะไรขึ้นมา”
นับดาวครุ่นคิด “หรือมันจะรู้ว่าเราแอบฮั้วกับผู้รับเหมา”
“ไม่มีทาง คนใกล้ตายมันก็แค่อยากลบล้างความเลวที่ตัวเองเคยก่อไว้ พิการขนาดนี้ยังจะมีพิษสงได้อีก”
“ถ้าไม่มีผบ.สงคราม ความตายของนังธาราก็อยู่แค่เอื้อม”
นับดาวยิ้มเหี้ยมอย่างมีแผนร้าย
สงครามกับเหยี่ยวเดินคุยกันออกมาจากสำนักงานสืบสวน
“เร่งขยายผลเรื่องเครือข่ายของบุษบันให้เร็วที่สุด น่าจะมีคนเกี่ยวข้องมากกว่านี้”
เหยี่ยวทำความเคารพ แล้วจะเดินไปอีกทาง แต่สงครามเอ่ยทัก
“ติดรถไปด้วยกันสิ เดี๋ยวผมแวะไปส่งที่บ้าน”
เหยี่ยวมองสงคราม อย่างสองจิตสองใจ
พยาบาลกำลังช่วยทำกายภาพบำบัดยกขาขึ้นลงให้ ธาราสาวใช้เข้ามาถามธาราอย่างนอบน้อม ว่าให้เตรียมมื้อเที่ยงให้สงครามหรือเปล่า
“เค้ามาทานมื้อเที่ยงกับฉันทุกวัน ยังต้องถามอีกเหรอ ?”
สาวใช้ก้มศีรษะรับคำแล้วจะเลี่ยงไป ธารารีบบอกทันที
“บอกแม่ครัวให้ทำแกงส้มผักรวมเพิ่มอีกอย่าง ผู้การสงครามไม่ชอบทานแกงกะทิ”
สาวใช้พยักหน้ารับคำ รีบเข้าครัวไป ธาราชำเลืองมองนาฬิกาสีหน้าเรียบ รอสงครามมาทานข้าวด้วยกัน
สงครามชำเลืองมองเหยี่ยวที่นั่งตัวเกร็งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ สีหน้าซีดเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะความสะเทือนใจจากอุบัติเหตุของพ่อแม่
“ยายสบายดีมั้ย ? ตั้งแต่งานศพวิหค ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมยายนวลเลย”
“ผมจะบอกยายให้ครับ”
เหยี่ยวตอบอย่างอึดอัด ไม่ค่อยอยากพูดถึงพ่อ จึงเมินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างข้างประตู
พลางเหลือบเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับตามรถมาติด ๆ ท่าทางมีพิรุธ
มอเตอร์ไซค์คันเดิมเร่งความเร็ว แซงขึ้นมานำหน้ารถของสงคราม ก่อนที่คนซ้อนจะชักปืนออกมายิงเข้าใส่รถของสงครามไม่ยั้ง
สงครามหักพวงมาลัยซ้ายขวาหลบกระสุน เหยี่ยวกระชากปืนออกมา โผล่ตัวออกนอกรถแล้วยิงสวนใส่มือปืนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ทั้งสอง
มือปืนปาดมอเตอร์ไซค์ซ้ายขวาหลบกระสุนแล้วยิงตอบโต้อย่างดุเดือด ก่อนจะรีบบิดมอเตอร์ไซค์หนีออกไป
เหยี่ยวกลับมานั่งลงพร้อมเปลี่ยนแม็กใส่กระสุนปืนใหม่
“มันกล้าท้าทาย ก็จัดให้”
สงครามพูดพร้อมกับเหยียบคันเร่ง ไล่ตามมอเตอร์ไซค์มือปืนไปทันที
มอเตอร์ไซค์มือปืนร้ายบิดหนีมาตามทางบนสะพาน รถสงครามวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ พอมอเตอร์ไซค์บิดข้ามไปแล้ว ปรากฏมีรถกระบะคันหนึ่งแล่นออกมาขวางสะพานด้านหนึ่งไว้มิด
สงครามที่ตามมา รีบเหยียบเบรคกะทันหัน พลางจะถอยรถกลับ ทันใดนั้น รถกระบะอีกคันก็พุ่งเข้ามาขวางปิดสะพานอีกด้านไว้ ทำให้สงครามกับเหยี่ยวหนีไปไหนไม่ได้
มือปืนหลายคนลงมาจากรถกระบะทั้งสองคัน เหยี่ยวกับสงครามโผตัวลงจากรถ แล้วก็หน้าเสียเมื่อพบว่าตนตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของมือปืน
เหล่ามือปืนจากหัวสะพานและท้ายสะพานยิงกระหน่ำเข้าใส่ เหยี่ยวกับสงครามกลิ้งตัวเข้าหลบบริเวณข้างรถสงคราม พร้อมกับยิงตอบโต้เหล่ามือปืนที่พุ่งเข้ามาจากหัวสะพานและท้ายสะพาน
เหยี่ยวยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูดน้ำเสียงร้อนรน
“ขอกำลังเสริมที่ กม.4 ด่วน ย้ำ ขอกำลังเสริมด่วน”
จากนั้นก็กลิ้งตัวออกไปด้านหนึ่ง สงครามกลิ้งออกไปอีกด้าน ก่อนทั้งสองจะลุกขึ้นยิงเข้าใส่มือปืนอีกหลายคนที่ยืนซุ่มยิงอยู่ล้มลงระนาว
เหยี่ยววิ่งอ้อมไปหาสงคราม แล้วกระชากแขนให้วิ่งไปด้วยกัน ขณะเหล่ามือปืนสาดกระสุนไล่หลังทั้งคู่
เหยี่ยวและสงครามวิ่งหนีห่ากระสุนมาอย่างไม่คิดชีวิต เหยี่ยวหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์มือปืน กำลังเล็งปืนมายังสงครามกับเขา
“โดดครับผู้การ”
พลางล็อกตัวสงครามกระโดดออกนอกราวสะพานพร้อมกันตกลงในแม่น้ำตูมใหญ่
“ตามไป” เสียงมือปืนสั่งการ
เหยี่ยวกับสงครามว่ายน้ำมาขึ้นฝั่ง เหยี่ยวพยุงสงครามขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
“พวกมือปืนต้องตามเรามาแน่ รีบหาที่หลบก่อนเถอะครับ”
เหยี่ยวหันมาบอก สงครามพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นทั้งคู่ก็แอบเข้ามาหลบในโรงเลื่อยระแวดระวัง
เหยี่ยวยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูดแต่วิทยุตกน้ำไม่ทำงานแล้ว พลันประตูโรงเลื่อยก็ถูกเปิดอย่างแรงทั้งคู่รีบชะงักหันไปมองตามเสียง
เหล่ามือปืนเดินกรูเข้ามาพร้อมปืนในมือ เหยี่ยวกับสงครามตกใจ รู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึงตัว
“ผู้การหลบตรงนี้ก่อน ผมจะล่อพวกมันไปอีกทาง”
เหยี่ยวหันมาบอก แต่สงครามกลับแย้งว่า “เราต้องไปด้วยกัน”
“รวมกันเราอยู่ใช้ไม่ได้ผลกับพวกสุนัขลอบกัด เราต้องแยกกันเล่นงานพวกมัน”
พูดพลางกระชับปืนมั่นในมือแล้ววิ่งออกไปอย่างไม่รอช้า สงครามมองตามอย่างเป็นห่วง
เหยี่ยววิ่งผ่านหน้าเหล่ามือปืนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดหันไปกราดยิงตาม แต่กระสุนพลาดไปอย่างเฉียดฉิว จากนั้นก็ยิงกระหน่ำสวนเข้าใส่ จนมือปืนตายไปหลายคน
เหยี่ยวฉวยจังหวะตวัดขาเตะปืนในมือมือปืนกระเด็น พลางยกปากกระบอกปืนจ่อไป
“เจ้านายแกเป็นใคร”
มือปืนยิ้มเหี้ยมไม่ตอบ ดีดตัวลุกขึ้น เตะปืนในมือเหยี่ยวกระเด็นออกไป แต่ก็ถูกเหยี่ยวยกเท้าขึ้นเตะสวนกลับ จนเซเสียหลักไปเช่นกัน
ทางด้านสงครามก็ถือปืนจะตามไปช่วยเหยี่ยว แต่เหล่ามือปืนเข้ามาเห็นพอดี จึงกราดยิงเข้าใส่
สงครามกระโจนหลบกระสุน กลิ้งไปตามพื้นก่อนจะยิงตอบโต้สู้กับเหล่ามือปืนล้มทั้งยืน
อ่านต่อหน้า 2
ภพรัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
มือปืนคนหนึ่ง วาดปืนในมือเหยียดตรงไปยังเหยี่ยวที่ยืนหันหลังให้ สงครามเข้ามาอีกทางรีบยกปืนยิงไปทางมือปืน
“หมวด ระวัง”
เหยี่ยวหันมาเห็นมือปืนอีกคนวาดปืนตรงมาทางด้านหลังสงครามเช่นกัน
“ผู้การ หลบ”
เหยี่ยวกับสงครามต่างเอี้ยวตัวหลบวูบ เหยี่ยวยิงเข้าใส่มือปืนที่อยู่ข้างหลังสงคราม ขณะที่สงครามก็ยิงเข้าใส่มือปืนที่อยู่ข้างหลังเหยี่ยว มือปืนที่อยู่ด้านหลังเหยี่ยวกับสงครามโดนยิงจนล้มลงทั้งคู่ แต่ทว่ามือปืนที่อยู่ด้านหลังสงคราม ยกปืนขึ้นมายิงใส่อีกนัด
เหยี่ยวร้องอย่างตกใจ สงครามสะดุ้งเฮือก
รถตำรวจแล่นเข้ามาในบ้าน ธารากับพยาบาลมองออกไปด้วยความแปลกใจ แนนกับตำรวจอีกสองนายเดินเข้ามา ท่าทางเคร่งเครียด
“มีเรื่องอะไรเหรอหมวดแนน ?“ ธาราถามอย่างร้อนใจ
“ผู้การสงครามถูกมือปืนดักทำร้ายระหว่างเดินทางมาบ้านคุณธาราค่ะ”
แนนยังพูดไม่ทันจบดี ธาราก็น้ำตาคลอเบ้า ใจเต้นระรัวอย่างไม่คิดฝันว่าจะมีวันนี้ เกิดความรู้สึกกลัวการสูญเสียที่ไม่มีวันย้อนกลับมาได้
เหยี่ยวกับนกน้อยยืนมองพยาบาลพันแผลถูกยิงที่แขนซ้ายให้สงครามจนเสร็จ
“โชคดีที่ผู้การโดนยิงแค่เฉี่ยวๆ”
เหยี่ยวพูดอย่างโล่งใจ
“เกือบเป็นผีเฝ้าโรงเลื่อยแล้วเหมือนกัน”
สงคราม คิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ตอนที่เหยี่ยวหมุนตัวกระหน่ำยิงมือปืน จนล้มคว่ำแน่นิ่ง จากนั้นนกน้อยก็นำกำลังตำรวจกรูเข้ามา
เหยี่ยว สงคราม นกน้อย กำลังจะเดินกลับออกจากโรงพยาบาล เหยี่ยวนึกขึ้นได้ รีบหันมาถามนกน้อย
“มือปืนรอดกี่คน”
“บาดเจ็บสาหัสคนเดียว ที่เหลือไปรายงานตัวในนรกแล้ว”
สงครามรีบสั่งการต่อ “จัดตำรวจเฝ้ามือปืนคนนี้ตลอด 24 ชั่วโมง มันฟื้นเมื่อไหร่ผมจะสอบปากคำมันเอง”
“พอจะรู้มั้ยครับว่าใครอยากฆ่าผู้การ ?”
เหยี่ยวถามอย่างข้องใจ สงครามหน้าเครียด เพราะอยากรู้เช่นกัน
ภพธรเหวี่ยงแก้วไวน์ในมือทิ้งจนแตกกระจาย โมโหที่นับดาวทำงานพลาด
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”
ภพธรเสียงเย็น พลางหันหลังให้ ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า นับดาวอึ้งกับท่าทางเกรี้ยวกราดของภพธร ทั้งเสียใจและไม่พอใจ แต่ก็ยอมออกไปโดยดี
ภพธรแค้นใจที่ฆ่าสงครามไม่สำเร็จ
น้ำรินจ้องตุ๊กตาหมีสีฟ้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ราวกับกำลังทำสมาธิ แต่ตุ๊กตาหมีก็ยังไม่ขยับเขยื้อน เสียงหัวเราะของเหยี่ยวดังขึ้น น้ำรินหันขวับไปเห็นขายืนขำเธออยู่มุมหนึ่ง พอเห็นท่าทางน้ำรินเบื่อ ๆ ไม่รู้จะทำอะไร เหยี่ยวก็รีบบอก
“มีวิธีแก้เบื่อให้คุณ สนใจมั้ย ?”
น้ำรินมองเหยี่ยว ดวงตาเป็นประกาย
เหยี่ยวเอากล่องจิ๊กซอว์ออกมาจากใต้เตียง แล้วเปิดกล่องออกมาให้น้ำรินดู เป็นรูปวิวทิวทัศน์เมื่อครั้งที่ทั้งคู่เคยเจอกันในวัยเด็ก น้ำรินมองภาพจิ๊กซอว์ รู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด
“ผมเอารูปนี้ไปทำจิ๊กซอว์ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ครอบครัวเราไปเที่ยวกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเกิดอุบัติเหตุ”
น้ำรินสังเกตได้ว่าน้ำเสียงเหยี่ยวเหมือนจะฝืนความรู้สึกเจ็บปวดไว้ลึก ๆ
“มันคือจิ๊กซอว์ที่ผมพยายามต่อมาหลายปี แต่ยังไม่สำเร็จ”
“เพราะใจคุณทนรับความเจ็บปวดเรื่องการสูญเสียพ่อแม่ไม่ได้ คุณก็เลยไม่กล้าทำให้ภาพนี้สมบูรณ์
ฉันจะช่วยคุณหาจิ๊กซอว์ส่วนที่ขาดหายไปเองค่ะ”
น้ำรินเริ่มหันมองหาชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่จะต่อเข้าไปทันที
เหยี่ยวหยิบชิ้นส่วนจิ๊กซอว์อันใหม่มาทาบรูปภาพ แต่ไม่เสมอกัน น้ำรินจึงบอกให้ลองขยับหมุน แล้ววางลงไปใหม่ ปรากฏว่าวางได้พอดี ทั้งคู่หันมาหากันด้วยความดีใจ สายตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความผูกพันที่ยากจะอธิบาย
ธารานั่งมองดอกแก้วช่อเล็ก ๆ ในมือ ด้วยความคิดถึงสงคราม
“เป็นห่วงผมเหรอ ?”
ธาราเงยหน้าขึ้น เห็นสงครามดันประตูห้องที่แง้มอยู่ เดินเข้ามา ที่แขนซ้ายยังมีผ่าพันแผลพันอยู่
“เจ็บตัวแล้วทำไมไม่นอนพักที่บ้าน”
“รู้ว่ามีคนเป็นห่วง เจ็บ แต่ก็คุ้ม เพราะมันทำให้คุณยอมเสียน้ำตาเพื่อผม หมวดแนนบอกผมหมดแล้วว่าคุณเป็นห่วงผมมาก”
“ฉันก็แค่ตกใจ”
สงครามยิ้ม “ผมสนใจการกระทำของคุณ มากกว่าคำพูดที่ไม่ตรงกับใจ”
ธาราตัดบทเอาดื้อๆ “คุณมีศัตรูที่ไหน ทำไมมันอยากฆ่าคุณ”
สงครามนิ่งไป ไม่อยากพูดถึง ธาราถามต่อทันที
“คนที่ทำร้ายคุณ คือคนที่คิดจะฆ่าฉันใช่มั้ย ? ฉันเป็นต้นเหตุทำให้คุณตกอยู่ในอันตราย”
“ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะปกป้องคุณให้ปลอดภัย ชีวิตผมไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากคุณ”
สงครามพูดอย่างจริงจัง สายตามั่นคงเด็ดเดี่ยว ธาราอึ้ง จนพูดไม่ออก ซาบซึ้งกับความรักที่สงครามมีต่อเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นับดาวยื่นแฟ้มเอกสารให้ธาราอย่างอ่าน แล้วรีบรายงานอย่างพยายามเอาใจ แต่ธารากลับติงว่าเป็นหน้าที่ของภพธร
“เธอทำงานเกินหน้าที่ของตัวเองรึเปล่า ?”
นับดาวไม่พอใจ แต่ต้องปั้นหน้านอบน้อม รู้สึกผิด “ดาวแค่อยากช่วยพี่ธร”
ธารามองนับดาว พอจะดูออกว่านับดาวชอบภพธรมานานแล้ว
“น้ำรินกับเธอเป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เธอเป็นเพื่อนรักที่น้ำรินช่วยจ่ายค่าใช้จ่าย ให้เงินหยิบยืมค่าเทอมอยู่บ่อยครั้ง”
“ดาวไม่เคยลืมค่ะ ถ้าไม่มีน้ำ ดาวก็คงเรียนไม่จบ และไม่ได้เข้ามาทำงานในบริษัทของคุณอาธารา”
นับดาวพูดเหมือนสำนึกบุญคุณ แต่ลึก ๆ ไม่พอใจเพราะเหมือนถูกธาราพูดลำเลิก
“อาดีใจที่น้ำรินมีเพื่อนรักอย่างนับดาว เพื่อน คือคนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และไม่ทรยศหักหลังกัน”
นับดาวนิ่ง สายตาเยือกเย็น พลางนึกถึงอดีต สมัยที่ยังเป็นนักศึกษา และน้ำรินชวนให้มาทำรายงานที่โรงแรมของธารา นับดาวมองอย่างตื่นตาตื่นใจ น้ำรินปราดตาดูก็รู้ความรู้สึกนับดาว
“ลืมไปว่าเธอโตในแฟลตหลังตลาด คงไม่คุ้นเคยกับที่กว้างๆ สวยๆ แบบนี้ ฉันวิ่งเล่นที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะจ้ะ”
น้ำรินพูดแล้วเดินจากออกไป นับดาวมองตาม ด้วยแววตาไม่ค่อยพอใจน้ำริน จากนั้นก็นึกถึงภาพและเหตุการณ์ที่เธอถูกน้ำรินเหยียดหยามมาตลอด นับดาวอิจฉาที่ตกเป็นรองน้ำรินทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องของภพธร ที่นับดาวแอบชอบ
นับดาวมองธาราด้วยแววตาใสซื่อ ยิ้มแย้ม และนอบน้อม
“น้ำรินคือเพื่อนที่ดีที่สุดของดาว เราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป จนกว่าความตายจะพรากความเป็นเพื่อนของเราจากกัน”
ยิ่งคิด ธารายิ่งรู้สึกใจหาย เป็นห่วงน้ำริน นับดาวสังเกตสีหน้า ก็แสร้งพูดอย่างห่วงใย
“อย่าเพิ่งท้อนะคะ ดาวเชื่อว่าอีกไม่นานน้ำจะต้องกลับมา”
นับดาวกุมมือธาราอย่างปลอบใจ แต่สีหน้าร้ายลึก มีเลศนัย
น้ำรินกำลังช่วยเหยี่ยวต่อจิ๊กซอว์ จู่ ๆ ก็รู้สึกใจหาย สังหรณ์ใจไม่ดี
“ฉันเป็นห่วงแม่”
เหยี่ยวตื่นเต้น “คุณจำแม่ได้แล้วเหรอ ?”
“แค่รู้สึกว่าแม่อยู่กับคนที่ไม่น่าไว้ใจ”
น้ำรินถอนใจยาว สีหน้าเครียด พลางคิดถึงคำเตือนของผียายปริก
“เหลือเวลาอีกแค่ 9 วันพระ ถ้ายังตามหาร่างไม่เจอ หล่อนก็จะกลับเข้าร่างไม่ได้อีกเลย”
น้ำรินมองเหยี่ยวอย่างไม่สบายใจ เพราะไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้
ธาราทำกายภาพบำบัดกับพยาบาลอย่างตั้งใจ แล้วรู้สึกเหมือนใครคนหนึ่งวูบผ่านประตูไปอย่างรวดเร็ว แต่พอหันหลังไปมองแต่ไม่เห็นใคร จึงหันกลับมาอย่างไม่คิดอะไร พลันก็มีเสียงแก้วตกแตกดังมาจากด้านนอก
ธารากับพยาบาลชะงัก ตกใจ พยาบาลรีบเดินออกไปดู
ธารากดรีโมทเคลื่อนรถเข็นไปตามทาง พลางมองหาที่มาของเสียงแก้วแตกเมื่อครู่ด้วยความสงสัย
จู่ ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินตามมา จึงหยุดรถเข็น หันขวับกลับไปมองทางด้านหลังทันที
“ใครน่ะ”
มีดปอกผลไม้ที่อยู่ในมือนับดาว หันปลายแหลมเข้ามาหา ธาราเห็นมีด ก็สะดุ้งตกใจ จังหวะนั้นพยาบาลก็เข้ามารายงาน
“เสียงแก้วแตกในห้องรับแขกค่ะ ฉันเรียกแม่บ้านไปเก็บกวาดแล้ว”
ธาราหันมาบอกกับนับดาว “อานึกว่าเธอกลับไปแล้ว”
“ดาวปอกผลไม้ให้คุณอาก่อนไปทำงานค่ะ”
ธารามองปลายคมมีดในมือนับดาวอย่างไม่สบายใจ นับดาวแกล้งตกใจ รีบหันมีดเก็บมาที่ตัว
“ขอโทษค่ะ ดาวรีบจนหยิบมีดติดมือมาด้วย”
“รอบคอบหน่อย ของมีคมมันอันตราย”
นับดาวแสร้งก้มหน้ารับคำอย่างรู้สึกผิด พลางส่งจานผลไม้ให้พยาบาล แล้วเดินหันหลังออกไป ในมือกำมีดแน่น พลางยิ้มอย่างสะใจ ที่ทำให้ธาราตกใจได้
น้ำรินมองหาชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่จะเอามาต่อชิ้นต่อไป เหยี่ยวหยิบจิ๊กซอว์ชิ้นที่น้ำรินสนใจขึ้นมา พลางรอให้เธอตัดสินใจว่าจะให้วางจิ๊กซอว์ลงตรงส่วนไหน
น้ำรินชี้ให้เหยี่ยววางชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ลงไปตรงมุมหนึ่ง แต่พอเขากำลังจะวาง น้ำรินก็เปลี่ยนใจ ชี้ให้วางอีกมุม
เหยี่ยววางจิ๊กซอว์ชิ้นต่อไปลงในภาพได้พอดี ทั้งคู่ยิ้มดีใจที่เห็นจิ๊กซอว์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
ยายนวลยืนอยู่ตรงประตูที่แง้มอยู่ แอบฟังเสียงของเหยี่ยวกับน้ำรินด้วยความไม่สบายใจ พลางคิดทำอะไรสักอย่างเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม
อ่านต่อหน้า 3
ภพรัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
จิ๊กซอว์ถูกต่อจนเกือบเสร็จสมบูรณ์ เหลืออีกชิ้นเดียวเท่านั้น
เหยี่ยวมองภาพจิ๊กซอว์อย่างใช้ความคิด แล้วนึกถึงตอนที่เขาโยนตัวจิ๊กซอว์ในมือลงกล่อง แต่จิ๊กซอว์ตัวนั้นกลับกระเด็นหายไป ทั้งคู่จึงก้มมองหา ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นจิ๊กซอว์ซ่อนอยู่ตรงขาเตียง
น้ำรินยื่นมือไปหยิบจิ๊กซอว์ชิ้นนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เหยี่ยวยื่นมือมาหยิบจิ๊กซอว์ชิ้นเดียวกันพอดี ทำให้เหยี่ยวกุมมือน้ำรินขึ้นมาพร้อมกับจิ๊กซอว์
“คุณสัมผัสฉันได้อีกแล้ว ?”
“สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องดีของเราสองคน”
เหยี่ยวประคองมือน้ำรินที่จับจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย วางลงไปบนช่องวางของภาพจิ๊กซอว์ ช้า ๆ
จิ๊กซอว์ถูกต่อเสร็จสมบูรณ์ เป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่ทั้งคู่เคยพบกันในวัยเด็ก น้ำรินนิ่งมองภาพจิ๊กซอว์ รู้สึกคุ้น ๆ
“ภาพนี้คือวิวที่คุณบอกว่าไปเที่ยวครั้งสุดท้ายกับครอบครัว”
เหยี่ยวพยักหน้า “ใช่ ผมยังจำไม่มีวันลืม”
“จำเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังได้ด้วย ?”
“ฉันไม่เคยลืมเรื่องของคุณ”
พอนึกขึ้นได้ว่าหลุดปากบอกความในใจออกไป น้ำรินก็รีบแก้ตัว
“ฉันไม่ใช่คนขี้ลืม”
“ ขอบคุณที่ช่วยต่อจิ๊กซอว์ของผมจนเสร็จ คุณทำให้ชีวิตที่ขาดหายไปของผมกลับคืนมา”
“ฉันดีใจที่เห็นคุณมีความสุข”
“ผมมีความสุขที่มีคุณ”
เหยี่ยวยิ้มหวานซึ้ง น้ำรินหลบสายตาเขิน มองมือเหยี่ยวที่ยังกุมมือเธอไว้ด้วยความสงสัย
“จะไม่บอกสาเหตุที่เหยี่ยวสัมผัสตัวฉันได้เหรอ ?”
น้ำรินอดใจไม่ได้ เมื่อเจอหน้าผียายปริกก็รีถามทันที แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบ เสียงเหยี่ยวก็ดังแทรกขึ้นมา
“น้ำ คุณอยู่ไหน ?”
“ความรักเรียกหาอีกแล้ว”
ผียายปริกพูดล้อๆ
แนนคุยโทรศัพท์กับยายนวลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“วันนี้หนูไม่ได้เข้าเวร ยายมีอะไรเหรอคะ ?”
น้ำรินเดินตามเหยี่ยวเข้ามาในร้านเสื้อผ้าสตรี ท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ
“ฉันช่วยคุณต่อจิ๊กซอว์จนไม่ได้นอนทั้งคืน ยังจะพาฉันมาช่วยซื้อของให้หมวดแนนแฟนคุณอีกเหรอ”
“ซื้อให้แฟน แต่แนนไม่ใช่แฟนผม”
น้ำรินขมวดคิ้ว “คุณมีคนอื่นนอกจากหมวดแนนเหรอ ?”
“ใช่ ก็คุณไง”
เหยี่ยวพูดหน้าตาเฉย เล่นเอาน้ำรินตั้งตัวไม่ทัน
“วันนี้ผมจะให้ของขวัญที่คุณช่วยต่อจิ๊กซอว์ ด้วยการเป็นแฟนคุณหนึ่งวัน”
“ความจริง ฉันควรเป็นคนเลือกของขวัญเอง”
“ผมรู้ใจคุณ”
น้ำรินเขิน เหยี่ยวเดินเนียนไปเลือกเสื้อผ้าสวยหลายชุดในร้าน แล้วชูให้เธอดู
“วันนี้อยากใส่ชุดไหน ? “
น้ำรินค้อนเหยี่ยวที่มัดมือชก แต่ข้างในลึก ๆ ก็แอบดีใจ
หลวงตาเคี้ยงมองถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าที่เหยี่ยวเอามาถวายอย่างสุดเอือม
“ผมต้องรีบถวาย รีบไปธุระครับ”
เหยี่ยวรีบบอก
“ถวายด้วยใจ อยู่ตรงไหนก็ได้บุญ ออกไปนั่งนอกกุฏิก็ได้นะ ลมเย้นเย็น”
“ตรงนี้ก็เย็นแล้วครับ”
เหยี่ยวกับน้ำรินประเคนถุงกระดาษวางลงบนผ้า หลวงตาเคี้ยงสวดให้พร พลางหรี่ตามองเหยี่ยว แล้วเร่งบทสวดให้เร็วขึ้นด้วยความกลัว
น้ำรินเงยหน้าขึ้นมาในชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาถวาย เหยี่ยวมอง แล้วยิ้มถูกใจ ก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อโดนน้ำมนต์จากหลวงตาเคี้ยงเต็มๆ
“อิ่มบุญอิ่มใจก็ไปที่ชอบ ๆ กันนะโยม แต่ไม่ต้องชอบที่นี่หรอก สาธุ”
หลวงตาเคี้ยงวางไม้รดน้ำมนต์ แล้วลุกเดินเข้าห้องปิดประตูลงกลอนทันที
นับดาวกระแทกตัวนั่งลงตรงข้ามโต๊ะทำงานภพธรอย่างหงุดหงิด
“นังธาราให้พี่ธรดูแลทุกอย่างในเครือรินธารา แต่อำนาจการตัดสินใจขึ้นอยู่กับมันคนเดียว งานของเราก็สะดุดทำอะไรก็ไม่สะดวก”
“ชีวิตที่ทรมานเพราะร่างกายพิการ ทุกข์ใจเพราะคิดถึงลูก ทำให้มันเจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น”
“แต่เป้าหมายการล้างแค้นของเราไม่ใช่แค่นี้”
ภพธรนิ่ง เริ่มหงุดหงิดเพราะความเซ้าซี้ของนับดาว
“หรือพี่ธรกำลังใจอ่อน เพราะอาลัยอาวรณ์นังน้ำริน พี่ธรคงไม่ลืมว่าน้ำรินกับแม่ของมันทำร้ายครอบครัวเรายังไง ดาวจะอาฆาตพวกมันจนกว่าจะแก้แค้นสำเร็จ”
ภพธรก้มหน้าทำงานต่อ เพื่อยุติการสนทนา นับดาวนั่งจ้องด้วยความหึงหวงและน้อยใจ แต่ไม่กล้าโวยวาย
เหยี่ยวพาน้ำรินมาเดินเที่ยวตลาดน้ำ ที่มีกลิ่นอายกาลเก่าตลบอลอวลไปทั่วบริเวณ พ่อค้าแม่ค้าในชุดแต่งกายแบบเก่าๆ ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และเป็นกันเอง
น้ำรินตื่นตากับบรรยากาศตรงหน้า ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วทั้งคู่ก็เดินเที่ยวดูกันอย่างมีความสุข
จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินมายังท้องทุ่งนาเขียวขจี ผสานกับรวงข้าวเหลืองอ่อนฝูงควายกินหญ้าและแช่ตัวดับร้อนในบ่อโคลนอย่างสบายอารมณ์ บ่งบอกถึงความเป็นอู่ข้าวอู่น้ำตามวิถีไทย
น้ำรินหันมองธรรมชาติรอบตัว แล้วยิ้มอย่างสุขใจ
“ฉันเพิ่งรู้สึกว่าธรรมชาติสวยงามกว่าสิ่งที่ฉาบหน้าด้วยวัตถุ แสง สี”
เหยี่ยวพยักหน้ายิ้มๆ “เราหลีกเลี่ยงความจอมปลอมในสังคมไม่ได้ นอกจากอยู่กับมันให้เป็น”
“เมื่อก่อนฉันคงเป็นคนหลงวัตถุ อยู่กับสิ่งฉาบฉวยจนเคยตัว”
“ยายเคยบอกว่า เวลาสำคัญที่สุดคือปัจจุบัน เพราะเราได้เป็นเจ้าของเวลาอย่างแท้จริง คนสำคัญที่สุด คือคนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะไม่รู้อนาคตจะมีโอกาสได้เจอกันอีกรึเปล่า”
น้ำรินสบตาเหยี่ยวแล้วงรู้สึกใจหาย ไม่อยากให้ถึงวันนั้น
“ขอบคุณที่ให้ของขวัญพิเศษนี้กับฉัน นอกจากแม่ ก็มีคุณที่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจ”
“ความสุขของคุณ คือความสุขของผมเหมือนกัน”
เหยี่ยวยิ้มให้น้ำรินอย่างอบอุ่น น้ำรินยิ้มตอบ เขิน ๆ สายตาลึกลับที่แอบมองเหยี่ยวกับน้ำรินอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ กำลังจ้องมองทั้งสองยิ้มให้กันและกัน บรรยากาศอึมครึม ดูน่ากลัว
แนนเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ ช่วยประคองยายนวลลงมาจากรถ
“ยายจะซื้อของไปทำบุญวันพระพรุ่งนี้เหรอคะ”
ยายนวลยิ้มเจ้าเล่ห์ “เด็ดกว่างานบุญ คืองานอภิมหามงคล”
แนนงง ๆ ไม่เข้าใจ แต่ก็ช่วยประคองยายนวลเดินเข้าไปร้านสังฆภัณฑ์
เหยี่ยวกับน้ำรินนั่งอยู่ที่ปลายสะพานปลาริมทะเล จู่ๆ ก็มีมือดำทะมึนลึกลับโผล่ขึ้นมาจากน้ำ แล้วกระชากแขนน้ำรินอย่างแรง จนเสียหลักตกลงไปในน้ำ
“น้ำ”
เหยี่ยวรีบกระโดดตามลงน้ำไปอย่างไม่รอช้า
น้ำรินดำดิ่งลึกลงไปในน้ำ สองมือไขว่คว้าหาที่ยึด ด้วยความตกใจ เหยี่ยวรีบแหวกว่ายลงไปช่วย พยายามคว้าตัวน้ำริน แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศธาตุ
จู่ ๆ ก็มีเงาดำมืดพุ่งเข้ามากระชากตัวน้ำรินเอาไว้ พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะของชลชาติดังกึกก้องในน้ำ เหยี่ยวและน้ำรินตกใจมองหาต้นเสียงกันเลิกลั่ก
ชลชาติยืนอยู่ใต้น้ำ พร้อมกับยื่นมือไปบีบหมับที่คอ น้ำรินดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ธาราสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมาจากการนั่งทำสมาธิ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จนพยาบาลต้องหยิบหนังสือสวดมนต์มาให้ท่อง
เหยี่ยวว่ายน้ำเข้าไปช่วยน้ำริน แต่กลับถูกชลชาติยื่นมืออีกข้างมาบีบคอไว้ พร้อมทั้งจ้องน้ำรินด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ดุร้าย
“ภูตผีมีจะมีอิทธิฤทธิ์ในวันพระวันโกน ดวงจิตอ่อนแออย่างมึงไม่มีทางสู้กูได้”
ชลชาติบีบคอทั้งคู่แน่นขึ้น เหยี่ยวกับน้ำรินดิ้นรนด้วยความทรมาน ร่างน้ำรินเหมือนไฟติด ๆ ดับ ๆ เริ่มอ่อนแรงลง แต่ทั้งสองยังคงพยายามเอื้อมมือ ไขว่คว้าหากัน
ชลชาติหัวเราะเยาะรอคอยเวลาตายของทั้งคู่ ดวงจิตน้ำรินใกล้จะสูญสลายเข้าไปทุกที
พลันเสียงสวดมนต์ของธารา ก็ดังแว่วเข้ามาในจิตของของน้ำริน เหยี่ยว และชลชาติ
“...สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ”
ร่างน้ำรินจางลง จางลง กำลังจะแตกดับ เหยี่ยวตกใจมาก พลางฮึดเฮือกสุดท้าย คว้ามือเธอไว้ได้ แล้วกระชากตัวน้ำรินเข้ามากอดไว้แนบแน่น เพื่อปกป้องผู้หญิงที่เขารัก
พลันบังเกิดพลังรักอันบริสุทธิ์ของมนุษย์ เป็นแสงสีทองพุ่งเข้าใส่ชลชาติ จนกระเด็นหายวับไป
อ่านต่อหน้า 4
ภพรัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
เหยี่ยววางร่างไม่ได้สติของน้ำรินลงอย่างทะนุถนอม ด้วยความเป็นห่วง แต่เธอยังคงนอนแน่นนิ่ง ไม่รู้สึกตัว
เหยี่ยวนึกถึงรอยยิ้มของน้ำริน ก็ยิ่งใจเสีย กลัวเธอเป็นอันตราย
“น้ำ คุณจะตายไม่ได้นะ”
พลางโผเข้าไปหา แล้วกอดเธอไว้แนบอก
“ฟื้นขึ้นมาสิน้ำกลับมาเติมเต็มชีวิตที่ขาดหายไปของผม กลับมามีความสุขด้วยกัน คุณจะตายไม่ได้นะน้ำ ผมขอสั่งไม่ให้คุณตาย”
น้ำรินค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ “ดวงจิตฉันยังไม่แตกสลายใช่มั้ย”
เหยี่ยวโผเข้ากอดน้ำรินด้วยความดีใจ
“คุณยังมีชีวิต คุณยังอยู่กับผม ผมจะกอดคุณไว้อย่างนี้ จนกว่าคุณจะดีขึ้น”
น้ำรินหลับตาพริ้ม รับรู้ถึงความอบอุ่นของเหยี่ยว ที่ตั้งใจส่งผ่านความเข้มแข็งของเขาไปสู่ตัวเธอให้มากที่สุด
น้ำรินนั่งพิงหมอน ยิ้มมองตุ๊กตาหมีสีฟ้าอยู่บนเตียง เหยี่ยวเอามือจับที่คอตัวเอง
“ผีที่ตามจองเวรคุณมันทำร้ายผมได้ เพราะสร้อยพระผมหายไป หายไปไหนได้ยังไง? ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย ?”
เหยี่ยวนั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปกุมมือน้ำรินด้วยความเป็นห่วง แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศธาตุเหมือนเดิม
“วันนี้เราสัมผัสกันได้หลายครั้ง แต่ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้ว”
“มันแปลกตั้งแต่เราเจอกันครั้งแรกแล้วมั้ง ตอนอยู่ในน้ำ ฉันได้ยินเสียงสวดมนต์ของแม่”
“ผมก็ได้ยินเหมือนกัน เสียงคุ้นหูมาก”
เหยี่ยวนั่งนิ่ง พลางครุ่นคิดอย่างสงสัย
ภายในห้องประชุม ภพธรนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะเป็นตัวแทนของธารา มีนับดาวอยู่ข้าง ๆ ทั้งหมดกำลังประชุมเรื่องเกี่ยวกับโครงการใหม่
“คุณอาธารามอบหมายให้ผมดูแลโปรเจ็กต์ร่วมทุนจากต่างประเทศ และจัดงานเลี้ยงต้อนรับมิสเตอร์หลิว ตัวแทนบริษัทร่วมทุนของเรา”
กรรมการหลายคนพยักหน้ารับรู้และเห็นด้วย
“มิสเตอร์หลิวจะเดินทางมาเมื่อไหร่ ?”
ขณะเดียวกันดารณี ก็กำลังประชุมลูกน้องทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อีกสองวัน พ่อค้ายาเสพติดต่างชาติจะเดินทางเข้ามาในเมืองไทย คนๆ นี้พัวพันกับคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ ที่ตำรวจหลายประเทศกำลังจับตามอง”
สงครามรีบพูดเสริม สีหน้าเคร่งเครียด “มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับคดีค้ายาเสพติดในสปาของบุษบัน”
ผู้ติดตาม 2 คนเข็นกระเป๋าสัมภาระ เดินนำมิสเตอร์หลิวออกมาจากช่องผู้โดยสารขาเข้า เหยี่ยวกับนกน้อยก้าวออกมาจากมุมหนึ่งหยุดมอง และเดินตามไปห่าง ๆ ตามที่ได้รับคำสั่งจากสงคราม
เหยี่ยวกับนกน้อยตามมาที่หน้าสนามบิน เห็นรถลิมูซีนกำลังขับออกไป ทั้งสองรีบตามออกไปทันที
รถลิมูซีนเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าโรงแรมเครือรินธารา พนักงานโรงแรมเข้ามาเปิดประตูให้มิสเตอร์หลิวอย่างนอบน้อม
นกน้อยจอดรถอยู่มุมหนึ่งหน้าโรงแรม เหยี่ยวมองตามหลังมิสเตอร์หลิวเข้าไป พร้อมกับกดมือถือรายงานสงครามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป้าหมายของเราเข้าพักที่โรงแรมของคุณธารา ผมให้คนของเราคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง”
“มีความคืบหน้าอะไร ให้รีบรายงานผมทันที”
เหยี่ยวจูงจักรยานออกมา กำลังจะกลับบ้าน เจอแนนที่เดินสวนมาพอดี
“วันก่อนเราพายายไปซื้อของ ไม่เห็นเหยี่ยวเลย”
“มีธุระนิดหน่อย”
“ปกติเหยี่ยวไม่เคยมีความลับกับเรา”
แนนพูดอย่างน้อยใจ เหยี่ยวรีบอธิบาย
“เรายังรู้สึกกับแนนเหมือนเดิม”
เหยี่ยวหมายถึงรู้สึกเหมือนเพื่อน แต่แนน ที่เข้าใจว่าหมายถึง “รัก” ก็แอบยิ้มหัวใจพองโต
“รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ จะได้พร้อมสำหรับงานสำคัญ”
“งานอะไร”
เหยี่ยวย้อนถาม แต่แนนกลับตอบเลี่ยงๆ “พรุ่งนี้เหยี่ยวก็รู้เอง”
นกน้อยกำลังตำน้ำพริกอยู่ในครัวที่บ้านเหยี่ยว พลางหันมาถามหามะนาว ยายนวลคว้ามะนาวบนโต๊ะแล้วโยนให้ แต่นกน้อยรับแล้วทำหลุดมือ มะนาวกลิ้งออกประตูไปหยุดที่เท้าของน้ำริน ที่รีบถือมาส่งให้ยายนวล
ยายนวลหันมาบอกนกน้อย ปลาทู และปูอัดว่ามีคนเก็บมะนาวมาให้แล้ว ทุกคนหันมามองหน้ากัน แล้วก็ขนลุกซู่ แล้วก็รีบเดินออกไปทันที
เหยี่ยวเดินเข้ามา ก็ประหลาดใจที่เห็นอาหารเต็มบ้าน ยายนวลรีบแก้ตัวอย่างมีพิรุธ
“ทำบุญเลี้ยงพระนิดๆหน่อยๆ ไม่ใช่วันสำคัญหรือโอกาสพิเศษอะไรร๊อก จริง จริ๊ง”
เหยี่ยวกับน้ำรินหันมามองหน้ากันงงๆ
“วันสำคัญ? หมวดแนนต้องเกี่ยวกับที่ยายนวลทำกับข้าวเลี้ยงพระพรุ่งนี้แน่ๆ เลย" น้ำรินตั้งข้อสังเกตกับเหยี่ยว เมื่ออยู่กันตามลำพัง
“อยากรู้ไปทำไม ถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน วันไหนๆ ก็สำคัญเหมือนกันหมด”
จากนั้นก็แกล้งพูดแหย่น้ำริน จนเธอโมโห รวมพลังจิตแล้วหยิบหมอนข้างขึ้นฟาด แต่กลับถูกเหยี่ยวกระชากหมอนข้างมาหาตัว น้ำรินก็ล้มลงตามเข้ามาชิดเหยี่ยว ทั้งสองคนสบตากันหัวใจวาบหวาม เสียงหัวใจเต้นจนได้ยินชัด
เหยี่ยวเคลิ้มจนเผลอเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ น้ำรินก็หลับตาพริ้ม แต่จู่ๆ ยายนวลก็เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ลืมบอกว่าพรุ่งนี้ตื่นเช้าๆ มาทำบุญกับยายนะ นอนได้แล้ว หนูน้ำก็เหมือนกัน ดึกๆ ดื่นๆคุยกันสองต่อสองมันไม่งาม ถ้าอยากคุยก็คุยในเวลาราชการ หัดเกรงใจหนูแนนเค้าบ้าง”
ยายนวลรีบพูดกันท่า แล้วเดินออกไป บรรยากาศในห้องอึดอัดขึ้นมาทันที ต่างคนต่างพูดไม่ออก
น้ำรินเสพูดทำลายความเงียบ
“ถ้าวันไหนๆ ก็เหมือนกัน ฉันก็จะอยู่กับปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับวันนี้ให้มากที่สุด เพราะเราอาจจะไม่มีพรุ่งนี้ด้วยกัน”
พูดจบก็รีบเดินออกไป เหยี่ยวลุกตามไป จนมาเจอน้ำรินนั่งร้องไห้น้ำตาคลออยู่ใต้ต้นไม้หลังบ้าน
“ฉันไม่อยากร้องไห้ให้คุณเห็น เผื่อว่าเป็นวันสุดท้ายของเรา ฉันไม่อยากให้คุณจำหน้าฉันแบบนี้”
เหยี่ยวลงนั่งข้างๆ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์เต็มดวง
“คุณคิดว่านกที่เห็นท้องฟ้าทุกวัน จะลืมฟ้าวันที่ฝนตกเหรอ ฟ้ามืด ฟ้าร้อง ฟ้าสดใส ฟ้ามีพายุ หรือฟ้าแบบไหนๆ ก็คือท้องฟ้า”
“แล้วถ้านกตาบอด นกจะจำฟ้าได้มั้ย”
“บางทีเราก็ไม่ได้จำทุกอย่างไว้ที่สมอง”
เหยี่ยวพุดพร้อมกับจับมือไปที่หัวใจ
“เพราะสมองอาจจะลืม แต่ใจไม่มีวันลืม”
น้ำรินมองเหยี่ยวอย่างซึ้งใจจนน้ำตาไหลออกมาอีก เหยี่ยวเผลอตัวไปเช็ดน้ำตาให้ แต่เช็ดไม่ได้
“ ถ้าจะเช็ดน้ำตา ก็ต้องหาร่างคุณให้เจอก่อนสินะ”
“แล้วถ้าไม่เจอล่ะ”
น้ำรินกับเหยี่ยวประสานสายตากัน ทั้งสองรู้ถึงความปวดร้าวที่อยู่ในหัวใจของทั้งคู่
“ต้องเจอสิ”
เหยี่ยวลุกขึ้นไปดึงเชือกสีแดงเส้นเล็กบางๆที่ยายนวลใช้ผูกดามต้นไม้ในกระถาง ออกมาผูกปมเป็นห่วงไว้ที่ปลายเชือกทั้งสองข้าง น้ำรินลุกขึ้นมาดูด้วยความสนใจ
เหยี่ยวส่งห่วงเชือกที่ปลายข้างหนึ่งให้ น้ำรินเพ่งสมาธินิดหนึ่ง ทำให้สามารถรับปลายเชือกมาถือไว้อย่างงงๆ
“ตำนานจีนเล่าว่า มีตาแก่คนหนึ่งชื่อ เฒ่าจันทรา มีหน้าที่ผูกด้ายแดงล่องหน ที่นิ้วก้อยของคนสองคนที่เป็นเนื้อคู่ เวลา สถานที่ หรือ เหตุการณ์อะไรก็พรากคนทั้งสองไม่ได้”
จากนั้นก็เอาห่วงเชือกสีแดงฝั่งตัวเอง คล้องที่นิ้วก้อยมือซ้าย
“ด้ายแดงเส้นนี้ ไม่ว่าจะถูกดึงให้ตึง หรือผูกเป็นปมยุ่งเหยิงยังไง มันก็ไม่มีวันขาด”
เหยี่ยวดึงเบาๆ แต่เชือกกลับขาด เพราะความเปื่อย ทั้งคู่ใจหายวาบ
“ความรักที่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้มีด้ายแดงเป็นพันเส้น ก็ผูกเราไว้ไม่ได้”
น้ำรินหน้าเศร้า ยายนวลได้ยินสิ่งที่ทั้งคู่พูดทั้งหมด ถึงกับส่ายหน้าหนักใจ
น้ำรินน้ำตาซึม เหยี่ยวทำท่าเหมือนโอบเธอไว้ น้ำรินเอียงหัวมาซบที่อกเหยี่ยว ทั้งคู่เศร้าโศกเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเวลาเหลือน้อยลงทุกที
เหยี่ยวเดินออกมากับน้ำริน พลางมองยายนวล นกน้อย ปลาทู ปูอัด ที่แต่งตัวสวยหล่อเต็มที่ กำลังจัดอาหาร และของทำบุญที่มุมหนึ่งบริเวณบ้านด้วยแววตางงๆ
“ไม่ใช่สงกรานต์หรือปีใหม่ ต้องแต่งชุดผ้าไหมใส่สูทกันเลยเหรอ”
ยายนวลไม่ตอบ แต่รีบพูดตัดบท
“เอ ทำไมหลวงตาเคี้ยงยังไม่มาซะที เดี๋ยวไม่ทันฤกษ์กันพอดี”
เหยี่ยวหัวเราะ “เค้าเรียกว่าไม่ทันเพลจ้ะยาย ฤกษ์เค้าใช้กับงานมงคล”
ยายนวลรีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“วัยรุ่นก็งี้ หลงๆลืมๆ เฮ้ย ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หน้าบ้าน หลวงตาเคี้ยงมาแล้วแน่ๆ เลย ออกไปรับเร็วไอ้ปลาทูปูอัด”
ปลาทูกับปูอัด และยายนวลรีบเดินไป เหยี่ยวกับน้ำรินมองตามไปขำๆ
น้ำรินนั่งอยู่ข้างเหยี่ยว เห็นห่วงด้ายสีแดงที่นิ้วก้อยของเหยี่ยวก็แอบอมยิ้ม เหยี่ยวเห็นน้ำรินมอง ก็แกล้งชูนิ้วก้อยให้เห็นชัดๆ จากนั้นก็ส่งสายตามองกัน แล้วก็เขินกันเอง
หลวงตาเคี้ยงเดินเข้ามาพอดี ทุกคนรีบกราบ
“ได้ฤกษ์แล้วเริ่มพิธีได้”
เหยี่ยวมองอย่างงงๆ “พิธีอะไรครับหลวงตา”
ยายนวลรีบบอก “พิธีหมั้นของเอ็งกับหนูแนนไงล่ะ”
แนนในชุดผ้าซิ่นกับเสื้อลูกไม้หวานๆ แต่งหน้าทำผมสวย เดินเข้ามา เหยี่ยวมองอย่างประหลาดใจ
แนนเห็นอาการอ้าปากค้าง นึกว่าตะลึงในความสวยของเธอ ก็ก้มหน้าเขิน ก่อนที่จะคลานเข้าไปราบหลวงตาเคี้ยง และไหว้ยายนวล
“แนน นี่ไปนัดหมายอะไรกันตอนไหน ยังไง ทำไมไม่บอก”
ทุกคนเหมือนรู้เรื่องกันมาก่อนแล้วมีแต่เหยี่ยวกับน้ำรินที่งุนงง
“อย่าทำให้ยายเสียหน้านะ”
ยายนวลแยกออกมาพูดกับเหยี่ยวตามลำพังด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่เหยี่ยวดูไม่ค่อยพอใจนัก
“แต่ผมไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
“ก็เห็นพูดกันมานานสองนาน ไม่จัดการอะไรซักที ยายก็เลยขอฤกษ์จากหลวงตาเคี้ยง แล้วขอให้ท่านทำพิธีหมั้นให้เอ็งสองคน”
“ผมไม่หมั้น” เหยี่ยวเสียงแข็ง
“เหยี่ยว ชั่วชีวิตที่อยู่ด้วยกันมา ยายเคยขอร้องอะไรเอ็งมั้ยครั้งนี้ทำเพื่อยายสักครั้งเถอะ ถ้าไม่เห็นแก่ยาย ก็เห็นแก่หน้าหนูแนนบ้างสิ จู่ๆ เอ็งจะปฏิเสธได้ยังไง งานก็จัดแล้ว เค้าทำผิดอะไร ชีวิตเค้าก็มีแต่เอ็ง ยังไงวันนี้เอ็งก็ต้องหมั้น ต่อไปหนูแนนเข้านอกออกในบ้านเราจะได้ไม่มีใครว่าเอาได้”
เหยี่ยวถอนหายใจอย่างอึดอัด “ยายกำลังสร้างความลำบากใจให้ผม”
“ถือว่าครั้งนี้ทำเพื่อยาย ถ้าวันนี้เอ็งไม่ยอมหมั้นกับหนูแนน ถือว่าเราขาดกัน”
ยายนวลพูดอย่างเด็ดขาด เหยี่ยวถึงกับชะงัก
อ่านต่อตอนที่ 12