ภพรัก ตอนที่ 6
นับดาวหิ้วกระเช้าผลไม้เดินมาที่หน้าสำนักงานสืบฯ จังหวะเดียวกับที่นกน้อยกระหืดกระหอบวิ่งออกมา
“จะรีบไปไหนคะคุณจ่า ดาวตั้งใจจะมาคุยกับคุณจ่าเรื่องงานสัมมนาเดือนหน้าพอดีเลยค่ะ”
“วันนี้คงไม่ได้ มีเรื่องสำคัญครับ ผมจะไปจับตัวคนที่ฆ่าลูกสาวผม”
นับดาวตาวาว “ขอให้จับได้นะคะ”
เหยี่ยวเดินมาตาม นกน้อยรีบเดินไปกับเหยี่ยว
นับดาวรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก
คงคาขับรถมากลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ำ พร้อมๆ กับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หน้าจอขึ้นชื่อว่านับดาวกำลังโทรเข้า พอดีกับตำรวจที่ตั้งด่านตรวจอยู่โบกให้จอด คงคาจึงไม่สนใจรับโทรศัพท์
“มีอะไรครับพี่”
ตำรวจดูหน้าคงคาแล้วเทียบกับรูปสเก็ตช์ในแทปเล็ต
“ขอดูใบอนุญาตหน่อย”
คงคาล้วงกระเป๋า หาใบขับขี่ ทันใดนั้น มีอีเมลล์เข้ามา ตำรวจเปิดอีเมลล์ดู เห็นรูปของคงคาชัดเจน
คงคาชะเง้อเห็นรูปตัวเองบนแทปเล็ต ก็กระแทกประตูรถเปิดชนตำรวจ แล้ววิ่งหนีเข้าไปในพงหญ้าใต้สะพานทันที
นกน้อยกำลังขับรถให้เหยี่ยว ที่พูดโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“โอเค. จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
พอวางสาย ก็หันไปบอกนกน้อย “คนร้ายอยู่ที่ปากเกร็ด”
ตำรวจล้อมกำลังซุ่มจับ คงคาโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนยิงตำรวจไม่ให้บุกเข้าไป เหยี่ยวกับนกน้อยมาถึงก็รีบเข้าไปสมทบ
เหยี่ยวลุยเข้าไป ก็โดนคงคายิงสวนออกมา จึงหันมาทำสัญญาณมือให้นกน้อยอ้อมไปอีกทาง
คงคายิงกลับมาทางตำรวจอีกสองสามนัด แล้ววิ่งไปทางบันไดสะพาน เหยี่ยวกับนกน้อย แยกกันไปคนละทาง
วิ่งไล่ยิงตามหลัง คงคาวิ่งขึ้นบันไดแล้วหันหลังยิงสวนกลับมา ลูกปืนเฉี่ยวเหยี่ยวไปนิดเดียว
น้ำรินกระวนกระวาย ร้อนใจอย่างประหลาด พลางตะโกนเรียกผียายปริกให้ออกมาช่วย
“ปริกช่วยฉันด้วย ฉันออกไปจากที่นี่ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้”
“เพราะสร้อย สร้อยในลิ้นชัก”
ผียายปริกลุกขึ้นเดินไปเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบสร้อยขึ้นมา
“สร้อยอาถรรพณ์”
ผียายปริกสะดุ้งเหมือนจับเหล็กไฟ กรีดร้องเสียงดัง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“ปริก โยนสร้อยทิ้งเร็ว”
ผียายปริกโยนสร้อยออกไปนอกหน้าต่าง น้ำรินมองตามไป
“สร้อยอยู่ข้างนอก ฉันก็ออกไปข้างนอกได้แล้วสิ”
น้ำรินรีบเดินทะลุประตู แล้วเดินกลับเข้ามาใหม่
“ปริก ขอบใจนะ ฉันออกไปข้างนอกได้แล้ว”
“แต่สร้อยยังอยู่นี่”
ผียายปริกหงายมือให้น้ำรินดูว่าสร้อยยังอยู่ในมือ “ฉันไม่ได้โยนออกไปซักหน่อย”
“แล้วที่ปริกปวดแสบปวดร้อน”
ผียายปริกหัวเราะก๊าก “ฉันแกล้ง”
“สร้อยยังอยู่ในห้อง แล้วฉันออกไปข้างนอกได้ยังไง”
“คิดไปเอง จิตปรุงแต่งขึ้นทั้งนั้นทุกอย่างมันมีเหตุผลเสมอ”
พูดจบผียายปริกก็เดินทะลุประตูไป น้ำรินมองไปที่สร้อยงงๆ เกี่ยวกับความผูกพันระหว่างตัวเองกับเหยี่ยว
คงคาสุ้กับเหยี่ยวจนพลาดท่าตกลงไปจากสะพาน เหยี่ยวชะโงกหน้าลงไปมองหาที่แม่น้ำแต่ไม่พบร่างของคงคาแล้ว
ภพธรกดวางสายโทรศัพท์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด
“ไอ้คงคาโทรมา มันหนีตำรวจไปได้หวุดหวิด”
นับดาวถอนหายใจ “โล่งใจไปที”
ภพธรหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไปที่ประตู
“พี่ธรจะไปไหนคะ”
“ไปสร้างความมั่นใจ ความลับของเราจะต้องเป็นความลับตลอดไป”
ภพธรพูดด้วยแววตาโหดเหี้ยม
เงาของชายคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ที่ท่าน้ำมืดๆ น้ำหยดไหลจากเสื้อผ้านองเต็มพื้น
รถคันหรูแล่นเข้ามาจอด ภพธรก้าวลงมาจากรถ หิ้วกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งมายื่นให้กับร่างที่นั่งอยู่ริมท่าน้ำ
“สิบล้านตามที่ขอ”
คงคาหันมา ภพธรวางกระเป๋าตรงข้างๆ ขา
“ขอบใจมาก ไม่มีใครเก็บความลับได้ดีเท่าแกอีกแล้ว”
คงคาหยิบกระเป๋าขึ้นมาเปิดดู แล้วพบว่าข้างในกระเป๋ามีแต่กระดาษเปล่าตัดเท่าธนบัตรมัดไว้เป็นพอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าภพธรถือปืนรออยู่แล้ว
ภพธรยิ้มแล้วยิงคงคาร่วงตกน้ำ กระดาษเปล่าปลิวว่อนกระจาย
“คนที่เก็บความลับดีที่สุด ก็คือคนตาย”
ภพธรยิ้มชั่วร้าย
นับดาวรินน้ำชาใส่ถ้วย แล้วยื่นให้ธารา
“ชามะลิที่คุณอาชอบคะ”
ธารามองน้ำชานิ่งเฉย ไม่ยอมทาน
“ไม่ดีกว่า หมอสั่งให้ฉันงดชากาแฟ”
ธาราเลื่อนรถเข็นออกไป นับดาวมองตามอึดอัดใจที่ไม่เป็นตามแผนที่วางไว้
เหยี่ยวกำลังกำลังซ้อมยิงปืนอย่างคร่ำเคร่ง น้ำรินเดินทะลุเป้ายิงออกมา เหยี่ยวยังรัวกระสุนใส่แบบยั้งไม่ทัน กระสุนพุ่งทะยานจากปากกระบอกปืน น้ำรินตกใจยกมือขึ้นบังตัวตามสัญชาตญาณ แต่กระสุนทะลุตัวไป อีกนัดพุ่งมาที่มือ
เหยี่ยวตกใจหยุดยิง น้ำรินหายตกใจโวยวายทันที
“จะฆ่าฉันเหรอ เออ ฉันลืมไป ฉันตายไม่ได้นี่เนอะ”
น้ำรินค้อนแล้วรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในมือก็ก้มหน้าดู พอเห็นกระสุนปืนอยู่กลางมือ ก็ตื่นเต้นดีใจ รีบวิ่งเข้ามาอวดเหยี่ยวตรงแท่นยิง
“อย่าเพิ่งมากวนได้มั้ย ผมต้องทดสอบการยิง”
“วันนึงฉันอาจจะช่วยรับกระสุนแทนคุณก็ได้”
“จะออกไปเองหรือจะให้ไล่กลับบ้าน”
น้ำรินทำหน้าบูด วางกระสุนลงตรงหน้าเหยี่ยว แล้วออกไปนั่งจ๋องๆ อยู่อีกมุมหนึ่ง
“ เมื่อกี้เรารับกระสุนได้? ปริกบอกว่า ต้องจดจำความรู้สึกนั้นไว้”
น้ำรินหันไปทางด้านข้าง พยายามตั้งจิตให้มั่นจับแก้วยกขึ้น ปรากกฎว่ายกได้ พอแก้วขยับจะร่วงหล่นพื้น ก็รีบถลึงตาแล้วคว้าแก้วไว้ได้อีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ประคองแก้ววางลงที่โต๊ะ
อ่านต่อหน้า 2
ภพรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
เหยี่ยวซ้อมยิงปืนต่อจนครบแล้วดึงเป้ายิงมาดู รอยกระสุนเข้าที่จุดสำคัญ สงครามยืนปรบมือให้
เหยี่ยวมองอย่างระแวง
“ยิงปืนแม่นเหมือนพ่อไม่มีผิด”
“พูดถึงพ่อทำไม”
“ถึงจะใจร้อนมุทะลุไปหน่อยแต่อนาคตไกลแน่นอน ถ้าวิหคยังอยู่คงภูมิใจในตัวลูกชาย ที่มีความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ที่ดีของตำรวจ”
เหยี่ยวมองสงครามอย่างรู้ทัน
“มีเรื่องขอให้หมวดช่วย หมวดจำคุณธาราได้มั้ย ผู้หญิงคนนี้เจออุบัติเหตุหลายครั้งจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ”
“ท่านจะให้ผมสืบ?”
สงครามส่ายหน้า “ เปล่า ผมตั้งใจจะพาเค้าไปอยู่ที่ปลอดภัย อยากให้หมวดช่วยไปดูแล”
เหยี่ยวครุ่นคิด
เหยี่ยวกำลังขันน็อตที่ล้อจักรยาน น้ำรินชะโงกหน้าเข้ามามอง
“ไปต่างจังหวัดด้วยจักรยานเนี่ยนะ”
เหยี่ยวไม่ตอบ ทำต่อไปจนเสร็จ ยายนวลเดินออกมาอวยพรให้ แล้วลูบหัวด้วยความรัก
“พระคุ้มครองนะลูก”
เหยี่ยวขึ้นขี่จักรยานออกไป น้ำรินรีบเดินกลับเข้าบ้าน
เหยี่ยวยกจักรยานมาเก็บที่ตู้ขนของ มัดไว้อย่างดี แล้วมองซ้ายมองขวาเหมือนหาน้ำริน
“ไม่มาจริงเหรอ?”
จากนั้นก็นั่งอย่างเหงาๆ เพราะเคยชินกับการมีน้ำรินในชีวิต พอเหลือบไปมองข้างๆ ก็เห็นเธอนั่งตาแป๋วอยู่
“อ้าว ไหนบอกไม่มาไง”
น้ำรินทำหน้าเซ็ง “ชีวิตฉันมีทางเลือกมานักเหรอ จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ ต้องมาตามติดอยู่กับคุณอยู่เนี่ย”
จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงแนนว่าทำไมไม่มาส่ง เหยี่ยวเอามือเท้าที่พนักเก้าอี้เหมือนโอบที่ไหล่ของน้ำริน
“ผมจะไปฮันนีมูน ไม่อยากให้ใครกวน”
น้ำรินงง “ฮันนีมูน? ฮันนีมูนกับใคร?”
เหยี่ยวขยับเข้าไปใกล้ แล้วจ้องเข้าไปในตา
“คุณไง ตัวติดกันขนาดนี้ ยิ่งกว่าคู่ใหม่ปลามันอีกนะ ขาดก็แต่เรายังไม่ได้....”
น้ำรินคิดตามแล้วหน้าแดง รีบลุกหนีทันที เหยี่ยวมองตามขำๆ
สงครามอุ้มธาราอย่างทะนุถนอมออกจากรถเข็น พาไปนั่งที่ข้างคนขับที่รถตัวเองแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้อย่างเบามือ ธารามองอย่างซาบซึ้ง แล้วจึงหันไปบอกแม่บ้าน
“อย่าบอกใครว่าฉันไปไหน ถ้าใครถามก็บอกว่าฉันไปพักผ่อน ไม่อยากให้ใครกวน”
ขณะนั่งอยู่ในรถ ธาราได้กลิ่นหอมของดอกไม้ก็นึกแปลกใจ สงครามจึงบอกให้เปิดในลิ้นชักดู ดอกแก้วช่อหนึ่งวางอยู่ในนั้น ธาราอึ้งไปนิดหนึ่งเพราะเป็นเรื่องราวความหลังระหว่างเธอกับสงคราม
“ดอกแก้วช่อที่ดีที่สุด สูงที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด อย่างที่คุณชอบ”
สงครามมองไปที่ดอกแก้วในมือของธารา
“ผมปลูกเองกับมือเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้ว วันที่คุณแต่งงาน”
ธารากำลังดมดอกแก้วถึงกับชะงัก
“ผมดูแลอย่างดีมาตลอด เพื่อให้เป็นดอกแก้วที่ดีที่สุด สำหรับคุณ”
สงครามสบตาธาราอย่างมีความหมาย ด้วยความรักที่มั่นคงตลอดมา
“เมื่อก่อนฉันชอบดอกแก้ว แต่พอเวลาผ่านไป ชีวิตเจอเรื่องต่างๆ มากมาย หลายอย่างฉันไม่ได้ชอบดอกแก้วที่สุดแล้วค่ะ”
“ไม่เป็นไร ถึงคุณไม่ชอบมันแล้วผมจะยังดูแลมันให้ดีที่สุดไปตลอดชีวิตของผมอยู่ดี”
แววตาสงครามเต็มไปด้วยความรักและความเศร้า ธารามองอย่างสงสาร
เหยี่ยวกำลังนั่งคิด กังวลใจถึงสิ่งที่กำลังจะเจอข้างหน้า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำรินร้องอย่างดีใจ
“ถามจริง ขึ้นรถไฟครั้งแรกในชีวิตเหรอ”
น้ำรินยิ้มๆ “มั้ง ไม่รู้เหมือนกัน แล้วคุณล่ะ”
“ไปรถไฟ ถ้าใกล้ๆก็ขี่จักรยาน”
น้ำรินมองหน้าเหยี่ยวอย่างจริงจัง “คุณกลัวรถ คุณก็ต้องนั่งให้หายกลัวไปข้างนึง”
“แล้วทำไมคุณต้องมากะเกณฑ์ให้ผมนั่งรถ ในเมื่อตัวผมเองยังไม่เดือดร้อนเลย คุณไม่ต้องยุ่งหรอกน่า”
“ไม่ยุ่งได้ไง พรหมลิขิตให้เราเจอกัน คุณช่วยแก้ปัญหาให้ฉัน ฉันก็ต้องแก้ปัญหาให้คุณ เราจะได้ฝ่าฟันมันไปด้วยกันไง”
น้ำรินพูดด้วยความเป็นห่วงเหยี่ยวอย่างจริงใจ
“ฉันพูดจริงๆนะ คุณบอกว่าคุณจะไม่ทิ้งฉัน ฉันก็ไม่ทิ้งคุณ “
เหยี่ยวรู้สึกอบอุ่นในใจ พลางเอนพิงเก้าอี้ แล้วหลับตา น้ำรินมองเหยี่ยวแล้วครุ่นคิดอย่างเจ้าเล่ห์
รถไฟเข้ามาเทียบจอดที่ชานชาลา น้ำรินพาเหยี่ยวลงมาจากรถไฟ บอกว่าให้หารถเช่าขับต่อไป จะได้หายกลัวรถ แต่เหยี่ยวไม่ยอมทำตาม กลับมาขึ้นรถไฟเหมือนเดิม น้ำรินรีบวิ่งตามมา
ทั้งคู่กลับเข้ามานั่งบนรถไฟอีกครั้ง น้ำรินแกล้งแหย่เหยี่ยวอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ประสานสายตากัน สรรพเสียงทุกอย่างเงียบโดยพลัน มีเพียงเสียงหัวใจเต้นกับสายตาหวานฉ่ำของทั้งคู่
แม่กับลูกสาววัย 6 ขวบหน้าตาน่ารักเดินมาหาที่นั่ง แม่ถามเหยี่ยว
“ขอโทษนะคะ ตรงนี้มีคนนั่งมั้ยคะ”
เหยี่ยวกับน้ำรินสะดุ้ง ออกจากภวังค์
“เอ้อ ไม่มีครับ”
แม่กับเด็กลงนั่ง เหยี่ยวกับน้ำรินมองหน้ากันแล้วเขินกันเอง เสมองกันไปคนละทางต่างคนก็ต่างแอบอมยิ้ม
แม่เอาขนมชั้นจากกล่องมาป้อนให้ลูกสาวกิน เหยี่ยวมองตาม พลางคิดถึงแม่ตัวเองแล้วก็เศร้า หันมาอีกทีก็เห็นน้ำรินนั่งร้องไห้ เหยี่ยวเป็นห่วง แต่ไม่กล้าพูดอะไร เพราะมีคนอื่นนั่งอยู่ จึงพยักหน้าเรียกให้ตามไปทางท้ายรถ
ก่อนที่จะถามด้วยความห่วงใย
“ร้องไห้ทำไม”
น้ำรินร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ฉันคิดถึงแม่ ฮือๆฉันอยากเจอแม่ อยากกอดแม่อีกซักครั้งแต่ฉันคงไม่มีหวังแล้ว ฉันกลัวว่าจะไม่ได้เจอแม่ในชาตินี้อีกแล้ว”
“คุณดูนะ รางรถไฟเป็นเส้นขนานไปเรื่อยๆใช่มั้ย”
พลางชี้ให้น้ำรินดูรางรถไฟที่ประตูท้ายขบวน น้ำรินพยักหน้า
“แต่รู้มั้ยว่ามันมีจุดที่รางรถไฟมาบรรจบกันด้วย เค้าเรียกว่าประแจ เป็นจุดสับรางรถไฟให้เบี่ยงไปซ้ายหรือขวา มันก็เลยมีรางสองคู่มาตัดกันเหมือนทางแยกของถนนไง ชีวิตคนสองคนก็เป็นเส้นขนานเหมือนรางรถไฟนี่แหละ มันไม่มีโอกาสเจอกัน จนกว่าจะถึงจุดที่เรียกว่าพรหมลิขิต ตอนนี้เราสองคนเจอกันแล้วก็เหมือนอยู่บนรถขบวนเดียวกัน ส่วนแม่คุณก็อาจจะรอเราอยู่ที่สถานีหน้า ถ้าคุณมัวแต่กลัวเราก็ไปข้างหน้าไม่ได้”
น้ำรินคิดตามแล้วพยักหน้า แต่แอบเจ้าเล่ห์นิดๆ
“ก็ได้ งั้นคุณก็ต้องสัญญาว่าคุณจะยอมหัดขับรถกับฉัน คุณพูดเองนะว่าเราเป็นรถไฟขบวนเดียวกันคุณก็ต้องสู้กับมันสิ”
เหยี่ยวพยักหน้าอย่างจำยอม “โอเค. ไม่น่าหลงขึ้นรถขบวนเดียวกับคุณเลย”
แต่น้ำรินก็ไม่หยุดร้องไห้ เหยี่ยวมองอย่างทั้งขำ ทั้งสงสาร พลางอ้าแขนออก เหมือนจะกอด น้ำรินโผเข้ามาเหมือนจะซบอกเหยี่ยว
ใบหน้าของเธอแนบชิดอยู่กับตัวของเขาแบบเหลื่อมๆ ตามแรงเขยื้อนของรถไฟ มือของเหยี่ยววางอยู่บนหลัง อีกมือก็วางทาบอยู่เหนือเรือนผมของน้ำริน แต่ไม่สามารถสัมผัสกันได้อย่างแท้จริง
นับดาวเดินเข้ามาในบ้าน มองรูปถ่ายของน้ำรินกับธาราที่ติดอยู่กลางบ้าน ด้วยสายตาของผู้ชนะ
“อีกไม่นานหรอกน้ำริน ฉันจะได้ทุกสิ่งของเธอมาครอบครอง”
พลางถามแม่บ้านถึงธารา แม่บ้านบอกแค่ว่าออกไปข้างนอก ไม่รู้ไปไหน
นับดาวฉงนสงสัย
เหยี่ยวกำลังปั่นจักรยานคู่ใจ น้ำรินที่เกาะอยู่ด้านหลัง มองไปที่ถนนข้างหน้าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เต็มสองข้างทาง
“คุณดูถนนข้างหน้าสิ สวยเนอะ”
สีหน้าของเหยี่ยวขรึมเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ฉันเหมือนเคยมาที่นี่”
น้ำรินนึกถึงตอนตัวเองเด็กๆ ที่ยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถ มองไปที่ต้นไม้กับท้องฟ้า แสงแดดอ่อนๆฉายลงบนใบหน้า แล้วก็หลับตา ปล่อยให้ลมปะทะใบหน้าจนผมปลิว
“แสงแดดสวยๆ แบบนี้ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสรับลมเย็นๆ ปะทะผิวหน้า”
น้ำรินลืมตาขึ้น ไม่ทันสังเกตว่าเหยี่ยวหน้าซีดมาก แววตาเต็มไปด้วยความปวดร้าวสุดจะบรรยาย จึงนึกสนุกเลยแกล้งเอามืออ้อมไปปิดตาเหยี่ยว
“อย่า”
เหยี่ยวจอดรถแบบกะทันหัน จนรถล้ม แล้วปัดมือน้ำรินออก
“ปล่อย ผมบอกให้ปล่อย”
น้ำรินตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วรีบเอามือลง พลางมองเหยี่ยวที่เหนื่อยหอบอย่างไม่เข้าใจ
“คุณเป็นอะไร”
เหยี่ยวหายใจหอบ “ไม่เป็นไร”
“แต่หน้าคุณซีดมากเลยนะ”
“ ผมบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ”
น้ำรินมองเหยี่ยวอย่างไม่เข้าใจ
อ่านต่อหน้า 3
ภพรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ที่บ้านพักริมทะเล ที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆ ห่างไกลผู้คน มีรั้วรอบขอบชิด และมีหาดส่วนตัว สงครามเข็นรถไปส่งธาราถึงในหน้าห้อง
“ขอบคุณนะคะคุณดีกับฉันเสมอเลย”
“แต่คงยังดีไม่พอ”
“ฉันอยากเดินไปข้างหน้า มากกว่าถอยหลังไปเริ่มใหม่”
สงครามฝืนยิ้มแต่นัยน์ตาแฝงความปวดร้าว ธาราเข็นรถตัวเองออกไป
เหยี่ยวขี่จักรยานเข้ามาจอด แล้วลงนั่งพัก หน้าซีดเซียว
“เป็นอะไรมากมั้ย ฉันขอโทษนะ”
เหยี่ยวนิ่ง ไม่ตอบ น้ำรินรู้สึกผิดมากเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เหยี่ยวเป็นแบบนี้
สงครามเดินออกมาที่หน้าบ้าน เห็นสีหน้าท่าทางของเหยี่ยวก็รีบเดินมาหา
“เป็นอะไรหมวด สีหน้าไม่ดีเลย เป็นเพราะถนนทางเข้ามาที่นี่รึเปล่า”
เหยี่ยวอึ้ง แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณธาราล่ะครับ”
“เข้าไปนอนพักแล้ว ช่วงค่ำๆ ผู้กองดารณีคงจะมาถึง จะช่วยดูแลคุณธาราเรื่องพยาบาลทั่วไป แต่หมวดคงต้องช่วยเรื่องอาหารกับที่พักบ้าง เพราะผมไม่อยากให้ใครเข้ามาที่นี่เกินความจำเป็น”
เหยี่ยวรับคำ สงครามเดินออกไป น้ำรินรีบหันมาถาม
“ถนนทางเข้ามีอะไรเหรอคะ”
เหยี่ยวนิ่ง แต่แววตามีรอยสะเทือนใจอย่างรุนแรง
ระหว่างที่สงครามนั่งทานอาหารอยู่กับธาราที่ริมระเบียง เหยี่ยวที่สีหน้ายังไม่สู้ดีนักเดินออกมาพอดี
น้ำรินเดินตามต้อยๆ มาด้วย พอหันไปเห็นธารา ก็ถึงกับชะงักนิด
“ผู้หญิงคนนี้?”
น้ำรินมองไปที่ธารา รู้สึกได้ถึงความผูกพันอย่างประหลาด
เหยี่ยวเดินมาหยุดยืนมองไปที่ทะเล แววตาดูเศร้ากว่าที่เคยเป็น น้ำรินเดินตามมา แล้วรีบถามอย่างข้องใจ
“หมวด ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
เหยี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “คุณธารา”
“ทำไมฉันรู้สึกคุ้นกับเธอจัง”
“ไม่แปลกหรอก คุณธาราเป็นเจ้าของโรงแรมที่เราไปเมื่อวันก่อน”
น้ำรินครุ่นคิด
“แต่มันไม่น่าจะแค่นั้น ทำไมฉันถึงคุ้น”
เหยี่ยวชำเลืองมองน้ำริน พูดเสียงหนักๆเหมือนกำลังเต็มไปด้วยความเครียดในใจ
“ขอผมอยู่คนเดียวก่อนได้มั้ย”
จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกไปอีกทางหนึ่ง น้ำรินจำต้องยอมเดินกลับมาที่บ้าน
น้ำรินเดินกลับมายืนเกาะระเบียงมองเหยี่ยวที่เดินอยู่ที่ริมหาดอย่างเป็นห่วง ธาราที่หันไปมองทางเดียวกันอยู่ หันไปถามสงคราม
“ท่าทางหมวดเหยี่ยวไม่ค่อยสบายใจเลย”
“เรื่องในอดีตน่ะครับ ตอนหมวดเหยี่ยวยังเด็กครอบครัวเกิดอุบัติเหตุรถชนกับรถบรรทุกที่ถนนทางเข้านี่ล่ะครับ”
น้ำรินที่ฟังอยู่ เข้าใจทันทีว่าสาเหตุที่เหยี่ยวมีอาการไม่สบาย ไม่ใช่เพราะเธอ แต่เป็นความสะเทือนใจที่กลับมาอยู่ในสถานที่เกิดเรื่องร้ายแรงกับครอบครัวอีกครั้ง
“สารวัตรวิหคกับภรรยาเสียชีวิตทันที หมวดเหยี่ยวรอดมาได้คนเดียว ตั้งแต่เกิดเรื่อง เหยี่ยวเหลือแต่ยายคนเดียว การมาที่นี่คงเหมือนต้องกลับมารับรู้เรื่องทุกข์ใจที่สุดในชีวิต”
น้ำรินมองเหยี่ยวด้วยความเห็นใจ
เหยี่ยวเดินอยู่ริมชายหาด น้ำรินเดินตามมา พลางมองเขาด้วยความรู้สึกสงสารจนน้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว
เหยี่ยวรู้สึกได้ว่ามีคนเดินตามมา หันไปเห็นน้ำรินน้ำตาคลอก็เริ่มสงสัย
“เป็นอะไร คิดถึงแม่อีกแล้วเหรอ”
น้ำรินส่ายหน้า “เปล่า ฉันสงสารคุณต่างหาก เรื่องที่ถนน”
เหยี่ยวมองไปทางบ้านพักแล้วเดาได้ว่าน้ำรินรู้จากสงคราม
“พอรู้ว่าจะต้องมาที่นี่ ผมทำใจมาตลอดทาง ผมกะสู้กับมันซักตั้งอย่างคุณบอก แต่พอมาถึงจริงๆ มันเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงเข้าไปในอก บีบจนผมหายใจไม่ออก”
เหยี่ยวสะเทือนใจจนน้ำตาซึมออกมา น้ำรินอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ถ้าฉันต้องสูญเสียพ่อแม่พร้อมกันฉันคงอาการหนักกว่าคุณอีก และฉันก็คงทำใจลืมมันไม่ได้”
“วันนั้นเรามาเที่ยวทะเล มันเป็นความทรงจำดีๆที่เจ็บปวดที่สุด”
น้ำรินหน้าเศร้า“แต่อย่างน้อยคุณก็ยังมีเรื่องให้นึกถึง ดีกว่าฉัน ที่ต้องเจ็บปวดเพราะไม่มีความ ทรงจำอะไรเหลืออยู่เลย”
พอเห็นว่าน้ำรินทำท่าจะร้องไห้อีก เหยี่ยวก็คิดหาทางปลอบใจ
“ทำไมจะไม่มี อยู่กับนายตำรวจสุดหล่อมาตั้งหลายวัน มันน่าจะเป็นความทรงจำอันแสนหวานของคุณนะ”
น้ำรินกับเหยี่ยว มองตากันด้วยความรู้สึกผูกพันและเข้าใจกันมากขึ้น ทั้งสองคนพยายามจูงมือกันเดินเล่นริมทะเล แม้จะเป็นการสัมผัสได้แต่เพียงอากาศ
ดารณีเข็นรถพาธารามาส่งสงครามบริเวณที่จอดรถ เหยี่ยวเดินตามมา สงครามมองธาราด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แล้วหันไปบอกดารณีกับเหยี่ยว
“ฝากด้วยนะ ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วยนะหมวด”
สงครามขึ้นรถแล้วขับออกไป ธารามองตาม เหยี่ยวมองไปที่น้ำริน ที่นั่งเล่นอยู่ที่ชายหาด
น้ำรินกำลังฝึกจิต บังคับจับกิ่งไม้จนได้แล้ว จากนั้นก็พยายามวาดรูปบนผืนทราย เป็นรูปเด็กผู้หญิงจูงมือกับแม่ พอเหยี่ยวเดินมาหา น้ำรินก็บอกว่า
“ฉันเป็นห่วงแล้วก็สงสารผู้หญิงคนนั้น”
น้ำรินมองไปทางชายหาดอีกทาง ที่ดารณีกำลังเข็นรถเข็นให้ธารารับแดดอ่อนๆตอนเช้า
“ฉันไม่อยากให้เค้าโดนฆ่าตาย คุณอยู่ดูแลเค้าที่นี่ไปก่อน แล้วเราค่อยกลับไปหาร่างกัน”
น้ำรินหันไปใช้กิ่งไม้ขีดเขียนรูปบนทรายต่อ เหยี่ยวมองดูรูปที่น้ำรินวาดแล้วคิด
“ตอนเด็กๆ ผมเคยเจอเด็กผู้หญิงคนนึงที่นี่ วาดรูปเหมือนคุณเดี๊ยะเลย”
เหยี่ยวมองเห็นภาพตัวเองในวัยเด็ก กำลังเดินถือกระป๋องเก็บเปลือกหอยตามชายหาดอยู่ ครู่หนึ่งก็
ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้อยู่ตรงชายหาด จึงรีบเดินเข้าไปหา
“น้อง ร้องไห้ทำไม”
น้ำรินวัยเด็กชี้รูปที่ทราย เป็นรูปเด็กผู้หญิงจูงมือกับแม่ที่โดนคลื่นซัดจนรูปเลือน ไม่ชัด
“รูปหาย”
เหยี่ยวหัวเราะ “ใครใช้ให้มาวาดตรงนี้เล่า คลื่นซัดมันก็หายอ่ะดิ”
เหยี่ยวจูงมือน้ำรินขยับขึ้นมาบนฝั่ง “อ่ะนี่ วาดตรงนี้ คลื่นมันมาไม่ถึง”
น้ำรินนั่งลง ใช้กิ่งไม้วาดรูป
“มา พี่ช่วย”
เด็กชายเหยี่ยววางกระป๋องลงแล้วช่วยเด็กหญิงน้ำรินวาดรูป
น้ำรินฟังอย่างเพลิดเพลิน
“แล้วพ่อแม่เด็กคนนั้นอยู่ไหนล่ะ”
“น้องบอกว่าพ่อตายแล้ว แม่มาทำงาน ก็เลยต้องมานั่งเล่นคนเดียว”
น้ำรินหน้าเศร้า“โถ เหมือนฉันเลย พอพ่อตาย แม่ไปทำงานที่ไหนก็เอาฉันไปปล่อยให้เล่นอยู่แถวนั้นแหละ เหงาจะตาย”
“คุณจำเรื่องราวของตัวเองได้เพิ่มขึ้นอีกแล้วนะ”
“เออ จริงด้วย คุณเล่าเรื่องตัวเองตอนเด็กๆ ให้ฉันฟังอีกสิ เผื่อฉันจะจำเรื่องตัวเองได้อีก”
เหยี่ยวเริ่มเล่าต่อ ถึงตอนที่ส่งเปลือกหอยให้น้ำริน แล้วชี้ไปที่ผมของรูปแม่บนผืนทราย
“วางตรงนั้น”
น้ำรินวางเปลือกหอยบนผมของรูปแม่ “แม่ซ้วย สวย”
เหยี่ยววางเปลือกหอยอีกอันบนผมของรูปลูกสาว
“อ่ะนี่ ลูกสาวก็สวย”
น้ำรินยิ้มแป้น แล้วหันมาหอมแก้ม เหยี่ยวอ้าปากค้าง พร้อมๆ กับที่เสียงพ่อเรียกดังเข้ามา
วิหคกับสกุณาเดินลงมา พร้อมถือกล้องถ่ายรูปพร้อมขาตั้งกล้องมาวางบนพื้นทราย
“มาถ่ายรูปกัน”
เหยี่ยวรับคำวิ่งไปหาสกุณา วิหคเซ็ทกล้องเสร็จก็วิ่งไปหาเมียกับลูก สามคนพ่อแม่ลูกกอดคอกันยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุข โดยไม่ทันสังเกตว่าในภาพนั้นมีเด็กหญิงน้ำรินนั่งมองเหยี่ยวตามแป๋วอยู่ด้วย
เหยี่ยวเลือกซื้ออาหารทะเลสดๆจากชาวประมง มีน้ำรินคอยชี้สั่ง ช่วยเลือกซื้อ ตอนขากลับ ก็ชี้ชวนให้ดูโน่นดูนี่อย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็มาเข้าครัวสอนเหยี่ยวทำอาหาร
เหยี่ยวเลื่อนถ้วยข้าวต้มปลากระพงให้ธารากับดารณี แล้วลงนั่งตรงข้าม มีถ้วยข้าวต้มของตัวเอง ตรงกลางโต๊ะมีเครื่องปรุงใส่ถาดจัดสวยงาม น้ำรินนั่งระหว่างเหยี่ยวกับธารา
ธาราตักข้าวต้มมาชิม แล้วออกปากชมว่าอร่อย
“รสมือเหมือนลูกสาวฉันเลยค่ะ แกชอบทำข้าวต้มปลากะพงให้ฉันทานเพราะรู้ว่าฉันชอบ”
น้ำรินมองธาราตาเป็นประกาย รู้สึกดีใจวูบขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เหยี่ยวหันมาถาม
“ลูกสาวคุณธาราอยู่ไหนเหรอครับ”
“ไม่อยู่ค่ะ”
ธาราก้มหน้าหลบตาตักข้าวต้มกิน เหมือนไม่อยากพูดอะไรต่อ
อ่านต่อหน้า 4
ภพรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
คนขับรถกับแม่บ้านของธารายืนก้มหน้าด้วยความกลัว เพราะถูกภพธรกับนับดาวคาดคั้นถามว่าธาราไปไหน ทั้งคู่ได้แต่บอกว่าไม่รู้
ภพธรตบโต๊ะปังแล้วลุกขึ้นด้วยความโมโห
“ถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง ฉันไล่พวกแกออก”
แม่บ้านตกใจ “อย่าไล่ฉันเลยค่ะ เอ้อ คุณท่านไปกับผู้การสงคราม”
ภพธรหันไปยิ้มกับนับดาวอย่างสมใจ
ภาพจากกล้องส่องทางไกล ผ่านหน้ากระจกรถยนต์ ไปที่สงคราม ที่กำลังเดินออกจากที่ทำงานไปที่รถ แล้วจับออกไป
รถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งที่ซุ่มจอดอยู่ แล่นตามออกไปทันที
สงครามขับรถไปแล้วชำเลืองมองกระจกหลัง รู้ว่ามีมอเตอร์ไซด์ขับตาม ก็เร่งเครื่องหนี มอเตอร์ไซด์ยังคงตามติด
สงครามตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าซอยอย่างกะทันหัน มอเตอร์ไซด์ขับเลยไป แต่พอเลี้ยวเข้าซอยย่อยอีกซอย มอเตอร์ไซด์อีกคันโผล่มาตามต่อไป
สงครามตัดสินใจเลี้ยวเข้าที่จอดรถที่อาคาารแห่งหนึ่ง ระหว่างที่รอรับบัตรจอดรถ ก็เหลือบมองไปข้างหลังผ่านกระจกมองหลัง เห็นมอเตอร์ไซด์สองคันยังคงตามมา
สงครามขับมาจนมาถึงชั้นดาดฟ้า พบว่าหนีไปต่อไม่ได้ จึงถอยรถเข้าซองแล้วมองไปทางขึ้นอย่างใจเย็น
มอเตอร์ไซด์ตามรถสงครามไปตามทางวนโค้งขึ้นตึก วนไปวนมา จนเกือบมาถึงดาดฟ้า สวนกับรถอีกคันที่แล่นลงไป พอขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้า พบว่ารถสงครามจอดอยู่ เลยขับเข้าไปเทียบ แต่ทว่าสงครามไม่ได้อยู่ในรถ
รถคันที่แล่นสวนกับมอเตอร์ไซด์ลงไป ลดกระจกหน้าต่างลง เพื่อคืนบัตรจอดรถ ที่แท้ก็คือสงครามนั่นเอง
นกน้อยแวะมาเยี่ยมยายนวล พร้อมกับบอกว่าซื้อกับข้าว แต่ยายนวลกลับบอกว่ามีคนซื้อมาให้แล้ว
“ ใคร?”
นกน้อยงง แนนเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับข้าวของเต็มมือ
แนนรู้จากนกน้อยที่แกล้งปดว่าเหยี่ยวลาพักร้องไปต่างจังหวัด ก็แอบรู้สึกน้อยใจนิดๆ แต่พยายามเก็บอาการ ครู่หนึ่งนกน้อยก็ขอตัวกลับ ยายนวลรีบหันมาถามแนน
“พ่อแม่เป็นไงบ้าง”
“สบายดีค่ะ แกเรียกหนูไปคุยเรื่องแต่งงาน เพราะว่าท่านผู้ว่าฯ มาทาบทามหนูให้ลูกชายเค้าค่ะ”
ยายนวลตื่นเต้น “เอาแล้วไง! แล้วหนูตอบตกลงไปรึยัง”
“ไม่ตกลงค่ะ หนูยังอยากทำงานยังไม่อยากแต่งงานตอนนี้”
“อยากทำงานหรือรอไอ้เหยี่ยวหลานยาย”
แนนยิ้มเขินๆ
“แหมๆๆเขินๆ คบกันก็นานแล้วนะ ไม่เคยคุยกันเลยรึ”
“เรื่องแบบนี้ หนูเป็นผู้หญิง จะไปพูดอะไรได้ล่ะคะ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวยายจัดให้ ไอ้เหยี่ยวมันดื้อเงียบ ลองไปบอกให้มันทำ มันก็จะไม่ทำ เราต้องมี
เทกกะนิก”
เหยี่ยวยืนมองไม้กวาดกับไม้ม๊อบถูพื้นอย่างเซ็ง แต่ก็จำต้องยอมทำความสะอาดบ้านพักให้อย่างไม่มีทางเลี่ยง น้ำรินเดินตาม ทำท่าคุณนาย ชี้นิ้วสั่ง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เหยี่ยวกดเปิดสปีคเกอร์ มือก็วุ่นทำงานบ้านตามที่น้ำรินสั่ง
“ครับยาย”
ฝั่งยายนวล ก็คุยมือถือผ่านสปีคเกอร์เหมือนกัน โดยมีแนนนั่งฟังอยู่ด้วย
“เมื่อคืนยายฝันถึงแม่เอ็ง ยายฝันว่าแม่เอ็งอยากให้เอ็งเป็นฝั่งเป็นฝา แต่งงานแต่งการซะที เค้าจะได้หายห่วง”
เหยี่ยวขมวดคิ้ว หันไปสบตาน้ำรินที่หน้าม่อยไปทันที
“จะให้ผมแต่งกะใครล่ะ”
“ก็หนูแนนไง” ยายนวลหันมายิ้มให้แนน
น้ำรินฟังแล้วรู้สึกปวดร้าวในอกขึ้นมาเฉยๆ เหยี่ยวอึกอัก คิดหนัก
“คุยเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่ยอมจบซะทีนะ”
“เอ็งอยากให้จบ ก็รีบๆคิด รีบชวนหนูแนนคุยเรื่องอนาคตสิ ชักช้าเดี๋ยวหนูแนนแต่งไปกับคนอื่นซะ เอ็งจะเสียใจนะ”
ยายนวลวางสายไป เหยี่ยวหนักใจ หันมาหาน้ำริน แต่เธอไม่อยู่แล้ว
ธารานั่งอยู่บนรถเข็น ที่ริมชายหาด เหม่อมองไปที่ขอบฟ้า คิดถึงลูก
น้ำรินเดินมานั่งที่พื้นข้างๆ มองไปที่ทะเลเช่นกัน ทำเหมือนจะชวนธาราคุย ทั้งที่คุยกันไม่ได้ยิน
“ฉันไม่ชอบพระอาทิตย์ตกเลย มันสวยก็จริง แต่เหงา เห็นแล้วอยากจะร้องไห้”
ขาดคำน้ำริน น้ำตาของธาราร่วงลงมาบนแก้ม น้ำรินหันมามองธาราอย่างสงสัย
“คุณร้องไห้ทำไม”
สงครามเดินมาหาพอดี
“คิดถึงลูกเหรอครับ”
น้ำรินหูผึ่ง ในใจรู้สึกแปล้บขึ้นมาอย่างประหลาด
“ฉันมัวแต่ทุ่มเทให้กับงาน ถึงจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดลูกอยู่บ้างแต่มันก็น้อยเต็มทน มารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว”
ธาราร้องไห้หนักขึ้น สงครามเข้าไปโอบ ธาราแข็งขืนตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมซบหน้าร้องไห้กับอกสงคราม
น้ำรินมองธาราอย่างสงสารสุดๆ
เหยี่ยวเดินออกมาตามหา เห็นหลังน้ำรินนั่งซึมอยู่ริมทะเล ก็รีบเดินมาหา
“ทำอะไรอยู่”
น้ำรินร้องไห้พลางใช้กิ่งไม้วาดรูปผู้หญิงกับผู้ชายที่ทราย แล้วคลื่นก็ซัดรูปหายไป
“เปล่า”
พูดพลางก็รีบลุกขึ้น หันหน้าเดินหนีไปอีกทาง เหยี่ยวสงสัย เดินไปดักหน้า แล้วถึงเห็นว่าน้ำรินร้องไห้
“เป็นอะไร”
“สงสารตัวเอง ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว”
“ผมก็อยู่ตรงนี้คุณจะอยู่คนเดียวได้ไง”
น้ำรินร้องไห้หนัก “ถ้าคุณแต่งงานกับหมวดแนน ฉันก็ไม่เหลือใคร”
“จะคิดทำไม ยังไม่ถึงเวลาซักหน่อย ผมยังไม่คิดเลย”
“คุณเป็นคนดี ฉันรู้สึกดีที่ได้อยู่กับคุณ”
น้ำรินพูดอย่างจริงจังและจริงใจ
“ฉันตั้งใจว่าจะใช้เวลาที่ยังได้อยู่กับคุณตอนนี้ให้ดีที่สุด ฉันจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจแบบคุณธาราที่ไม่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก”
“แล้วคุณรักผมเหรอ”
น้ำรินตกใจที่หลุดปากออกไปรีบเฉไฉ
“เปล่า ฉันหมายถึงคุณธาราต่างหากล่ะ”
เหยี่ยวมองตามน้ำรินที่เดินออกไปพลางครุ่นคิด แล้วตั้งคำถามกับตัวเองที่เริ่มมีความรู้สึกดีๆให้ น้ำรินเช่นกัน
น้ำรินเดินมาหยุดยืน แล้วพึมพำกับตัวเอง “ฉันรักเค้าเหรอ”
จากนั้นก็พยายามปรับหน้าตาท่าทางที่หวั่นไหวให้เป็นปกติ ก่อนจะหันกลับไปเจอสายตาของเหยี่ยวที่มองอยู่ ทั้งคู่ต่างรู้สึกหวั่นไหวในหัวใจ
เหยี่ยวกับน้ำรินประสานสายตากัน สื่อสารกันด้วยหัวใจและสายตาโดยไม่ใช้คำพูด
บนตู้วางหนังสือในห้องทำงานของภพธร มีกล่องใบใหญ่วางอยู่บนชั้นสูงสุด และใต้กล่องใบนั้นมีหนังสือถูกวางทับอยู่หนึ่งเล่ม
นับดาวเอื้อมมือดึงหนังสือทำให้กล่องใบใหญ่ร่วงลงมา ฝากล่องเปิด เครื่องบินบังคับวิทยุลำเก่าร่วงออกมา ชิ้นส่วนปีกเครื่องบินหักกระเด็นออกมาจากกล่อง
ภพธรเดินเข้ามาพอดี นับดาวหน้าเสีย
“ดาวขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไร มันหักอยู่แล้ว”
ภพธรคิดถึงอดีต ตอนที่พ่อกำลังต่อเครื่องบินบังคับวิทยุ ส่วนเขาคอยส่งชิ้นส่วนต่างๆและเครื่องมือให้บรรยากาศระหว่างพ่อลูกเต็มไปด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม จนกระทั่งต่อเสร็จ พ่อ-ลูก ก็ช่วยกันถือรีโมทบังคับเครื่องบิน“อีกสองเดือนมีแข่งเครื่องบินบังคับ พ่อพาผมไปได้มั้ยครับ”
“พ่อติดงาน”
ภพธรหน้าม่อย
“แต่สำหรับลูกชายคนสำคัญที่สุดของพ่อ ไม่ได้ก็ต้องได้”
ภพธรดีใจสุดๆ “ขอบคุณครับพ่อ ผมรักพ่อที่สุดในโลกเลย”
นุติก้มลงหอมศีรษะภพธรเบาๆ
อ่านต่อตอนที่ 7