xs
xsm
sm
md
lg

ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 1

กลางดึก ขณะปฐวีนอนหลับใหลอยู่ในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ณ กรุงปารีส ท่าทีกระสับกระส่ายนั้นบอกให้รู้ว่านักธุรกิจหนุ่มรูปงามผู้มั่งคั่งกำลังฝันร้าย ภาพในฝัน เป็นเหตุการณ์ตอนที่เขายังเป็นเด็ก และเห็นผู้เป็นพ่อผูกคอตายตรงหน้า

ปฐวีสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ผวาตัวลุกขึ้นนั่งเหงื่อท่วมตัว พึมพำเบาๆ
“ฝัน นี่เราฝันร้ายอีกแล้วหรือ”
เนื้อตัวชายหนุ่มสั่นสะท้าน นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวชัดแจ้ง

บนท้องถนนยามเช้าในกรุงปารีสเต็มไปด้วยสีสัน รถประจำทางแล่นเข้ามาจอดตรงป้าย ชิดชบาวิ่งขึ้นรถอย่างรีบร้อน

ที่กรุงเทพฯ โสมสุภางค์เดินไปมา พยายามกดโทรศัพท์หาปฐวี แต่ไม่มีการรับสาย ระหว่างนี้ รถยนต์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ก่อนจะเห็น เถาว์เครือ ผู้เป็นมารดา เปิดประตูรถก้าวลงมาหาลูกสาวในท่าทีอันร้อนรน
“โสมสุภางค์ แม่มีข่าว”
“หนูกำลังโทร.ถึงวีค่ะ เขาไปปารีส เขาไม่รับสาย”
“นี่ ข่าวของแม่ เกี่ยวข้องกับปฐวีนะ นี่หนูไม่รู้จริงๆ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนปฐวีจะไปปารีส”
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“เขาพูดกันให้แซด ว่าปฐวีชนะพนันคุณชิดชงค์ เขาได้ไปหมด เงินพนัน ธุรกิจเรือสำราญ หรือแม้แต่บ้าน”
“วีน่ะหรือคะ”
โสมสุภางค์แปลกใจด้วยแฟนหนุ่มไม่เคยเล่าให้ฟัง

ปฐวีเดินลงมาจากโรงแรมหรู เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย รถประจำทางแล่นเข้ามาจอดตรงหน้า ปฐวีก้มลงมองที่จอภาพ ภาพของโสมสุภางค์ปรากฏขึ้นในจอ
“ฮัลโหล”
ระหว่างนั้น ชิดชบา เดินลงมาจากรถประจำทาง ชนปฐวีอย่างแรงจนโทรศัพท์หล่นลงพื้น แตกกระจาย ภาพของโสมสุภางค์ดับวูบ ทั้งสองก้มลงเก็บพร้อมๆ กัน ชิดชบาตื่นตระหนกพูดภาษาฝรั่งเศสในทันที
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉัน”
ต่างคนต่างเงยหน้าขึ้นสบตากัน ปฐวีมองหน้าชิดชบานิ่งนาน ก่อนตอบเป็นภาษาไทย
“ไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ”
ชิดชบายิ้มตื่นเต้น ดีใจ
“คุณเป็นคนไทยหรือคะ แล้วทำไมคุณรู้ว่า”
ปฐวีกวาดสายตาไปทั่วเนื้อตัวของชิดชบา แว่บเดียว
“ผมได้กลิ่นน้ำอบไทย”
ปฐวีเก็บเศษโทรศัพท์ เดินออกไป ชิดชบามองตามด้วยท่าทีลังเล ก่อนร้องตะโกน
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณ ฉันเสียใจที่ทำให้โทรศัพท์คุณพัง ฉัน”
ชิดชบาวิ่งตามมา ปฐวีเดินต่อไป ไม่ได้หันกลับมามอง
“คุณจะไม่มีเวลาฟังทั้งคำขอโทษ กับคำเสียใจของใครเลยหรือคะ”
ปฐวีชะงัก ก่อนก้าวเดินต่อไป ชิดชบาเดินเร็วๆ ขึ้นมาเคียง
“แล้วไง”
“ฉันขอโทษ แล้วฉันก็เสียใจ ให้ฉันจ่ายค่าเสียหายให้คุณได้มั้ย”
“ไม่จำเป็น”
“มันแปลว่าอะไรคะ ไม่จำเป็น แปลว่าฉันจะต้องจ่าย ฉันต้องซ่อม หรือซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้คุณ”
ปฐวีหยุดเดิน หันกลับมาจ้องมองชิดชบาด้วยแววตาเข้ม ดุ
“มันแปลว่า อย่ายุ่งกับผม”
ปฐวีเดินออกไป
“เขาเป็นอะไรของเขานะ”
ชิดชบาพึมพำเบาๆ

ตลับนาค พี่สาวของชิดชงค์ เดินนำหน้าจำเรียงคนรับใช้ ซึ่งถือถาดอาหารตามมา เธอมองรถของทนายเฉวียงที่จอดอยู่ด้วยความแปลกใจ ก่อนมองขึ้นไปบนตึก เฉวียงเดินสวนลงมาด้วยท่าทีเงียบขรึม
“คุณเฉวียง เกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ชิดชงค์กลับจากบ่อนพนัน เขาขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งคืน เขาเรียกคุณมาทำไม”
“มันเป็นเรื่องที่คุณชิดชงค์ควรจะอธิบายกับคุณตลับนาคด้วยตัวเองครับ ไม่ใช่ผม ขอโทษนะครับ ผมต้อง
ไปจัดการเรื่องที่คุณชิดชงค์สั่ง”
เฉวียงขึ้นรถขับออกไป ตลับนาคมองสงสัย ก่อนเดินนำหน้าจำเรียง ประคองถาดอาหารตามขึ้นมา เธอเคาะประตูห้องอย่างลังเล
“ชิดชงค์ ชิดชงค์ นี่พี่นะ”
ตลับนาคเคาะประตูห้องซ้ำ
“ชิดชงค์”
ไม่มีเสียงตอบรับ ตลับนาคเริ่มกังวล
“หรือว่า”
ภายในห้องที่อับแสง ชิดชงค์นั่งก้มหน้า ไหล่คู้ คอตกลงอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่จะยกมือสองข้างขึ้นปิดใบหน้า เริ่มสะอื้นไห้ลึกๆ

ชิดชบาเดินออกมาจากสถาบันสอนศิลปะ กรุงปารีส กำลังจะเดินไปยังป้ายรถประจำทาง เธอชะงักเมื่อเห็นปฐวีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวริมทาง กำลังต่อชิ้นส่วนของโทรศัพท์ที่แตกกระจาย เธอยิ้มขบขัน ก่อนก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าชายหนุ่ม ปฐวีค่อยๆ ไล่สายตาจากรองเท้าขึ้นมายังใบหน้าชองชิดชบา ที่กำลังมองมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันว่า ให้ฉันซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้คุณดีกว่าค่ะ ซิมของคุณคงใช้ได้กับเครื่องใหม่”
ปฐวีนิ่งๆ ไม่พอใจ
“ไม่ก็ ให้ฉันทำอะไรให้คุณ แทนคำว่าเสียใจหรือขอโทษ”
ปฐวีพยายามประกอบชิ้นส่วนโทรศัพท์ พูดเหมือนไม่ใส่ใจ
“เด็กอย่างคุณจะทำอะไรได้ ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่ไม่ใช่หรือ”
“ใช่ค่ะ แต่ฉันเป็นลูกเศรษฐี มีปัญญาซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้คุณ เราจะได้ไม่ติดค้างกันไปถึงชาติหน้าไง”
ปฐวีเงยหน้ามองชิดชบาด้วยความแปลกใจ เก็บชิ้นส่วนโทรศัพท์
“ไอ้คำว่าเสียใจหรือขอโทษนี่ คุณจะทำยังไง”
“ถ้าคุณไม่ต้องการโทรศัพท์ใหม่ ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณมื้อค่ำได้มั้ย”
ปฐวีมองด้วยแววตาตำหนิ
“พ่อรวยซีนะ เป็นพวกลูกเศรษฐีที่ใช้เงินเหมือนกระดาษ ได้ ผมจะให้โอกาสคุณกล่าวคำเสียใจกับขอโทษ ด้วยการ”
ตอนค่ำ ทั้งคู่มาทานอาหารที่ภัตตาคารหรู หลังทานอาหารเสร็จ บริกรนำบิลเดินเข้ามา ปฐวียิ้มเยาะ หยิบบัตรเครดิต
“นี่ค่ะ บัตรเครดิตของฉัน”
ชิดชบาวางบัตรเครดิตการ์ดทองลงบนถาดเงินในมือบริกร ปฐวีชะงัก สบตา ชิดชบายิ้มอย่างท้าทาย กระซิบด้วยท่าทีกวนๆ
“รวยจริงๆ ไม่ได้โม้นะ”
ชิดชบาเดินนำหน้าปฐวีออกมาจากภัตตาคารด้วยท่าทีรีบเร่ง
“เดี๋ยวก่อน คุณ”
“มีอะไรหรือคะ”
“รู้ว่ามีพ่อรวย แต่ถามหน่อย เรียนศิลปะที่ปารีส รู้จักปารีสดีแค่ไหน”
ชิดชบาหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ทะนง
“ก็ดีพอที่จะเป็นมัคคุเทศก์ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ หรือลูกท่านหลานเธอที่มาเที่ยวปารีสได้โดยไม่หลงทาง”
“ไม่น่าเชื่อ”
“นี่คุณ ครั้งแรกคุณก็ไม่เชื่อว่าฉันมีปัญญาจ่ายค่าเสียหายได้ แล้วฉันก็จ่ายแล้ว จ่ายมากกว่าค่าโทรศัพท์บุโรทั่งเครื่องที่มันพัง ตอนนี้ คุณไม่เชื่ออีกว่าฉันรู้จักปารีสดี คุณมีปัญหาเรื่องจิตใจหรือเปล่า”
ปฐวีเริ่มโกรธ
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าคนที่หมดความไว้วางใจมนุษย์ คือคนที่ถูกมนุษย์หลอกเสียจนเข็ด”
ปฐวีสลดลง หันหลังให้ชิดชบา
“คุยว่ารู้จักปารีสดี แล้วทำไมคุณไม่ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ พาผมเที่ยวปารีสล่ะ”
ปฐวีย้อนถาม

ภายในคฤหาสน์เก่า ตลับนาคถอนหายใจยาว มองจำเรียงซึ่งประคองถาดอาหารลงบันไดเวียนมา
“ยังไง”
“หนูขึ้นไปเคาะประตู แต่ท่านไม่เปิดค่ะ”
ตลับนาคพยักหน้ารับคำ จำเรียงนำถาดอาหารออกไป ตลับนาคมองขึ้นไปยังชั้นบน ผ่านบันไดเวียน
ก่อนถอนหายใจด้วยความหวั่นกลัว

ชิดชบาพาปฐวีมาที่หอไอเฟล พอมาถึง เธอกางแขนออกด้วยท่าทีรื่นเริง
“หอไอเฟล สร้างขึ้นในพ.ศ.2449 โดยสถาปนิก กุสตาฟ ไอเฟล สร้างเสร็จเมื่อปี 2473 หอแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบ 100 ปี ของการปฏิวัติฝรั่งเศส”
ทั้งคู่มองลงมาจากมุมมองบนหอ เห็นภาพเบื้องล่าง
“นี่คือปารีส นครแห่งแสงไฟที่งดงามเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรป เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง การศึกษา บันเทิง วิทยาศาสตร์ แฟชั่น เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า โรแมนติกที่สุดในโลก”
ปฐวีค่อยๆ หันมามองชิดชบาเงียบๆ
เวลาต่อมา ชิดชบาและปฐวีนั่งอยู่บนดาดฟ้ารถทัวร์ ปฐวีหยิบหูฟังมาใส่ก่อนเลือกภาษา
“นครปารีสตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ผ่านพัฒนาการมาจนกลายเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก งดงามที่สุดในโลก และทันสมัยที่สุดในโลก เรากำลังจะพาคุณนั่งรถชมเมืองปารีส ผ่านย่านเมืองเก่า โบสถ์ ประตูชัยของนโปเลียนที่หนึ่ง และอัมสเตอร์ดัมค่ะ”
ชิดชบาเลิกคิ้วเมื่อเห็นปฐวีไม่ได้สนใจ ปฐวีชี้ที่หูที่ใส่หูฟัง

บริเวณลานกว้างหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ กลุ่มนักศึกษานั่งนอนกันอยู่ทั่วไปในสนาม ชิดชบาวิ่งถลาลงมาด้วยท่าทางรื่นเริงเหมือนนก หมุนตัว ก่อนผายมือ
“พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ เดิมเคยเป็นพระราชวัง แต่ต่อมาเมื่อย้ายเมืองหลวงไปยังแวร์ซาย พระราชวังแห่งนี้จึงกลาย
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บงานศิลปะ รวมทั้งภาพเขียนอันลือลั่น ลึกลับ”
ชิดชบาก้าวเข้ามา จ้องหน้าปฐวีอย่างล้อเลียน
“เหมือนคุณ”
“เหมือนผมหรือ ผมลึกลับตรงไหน”
“คุณลึกลับตรงที่ นัยน์ตาของคุณซ่อนอะไรไว้ในใจเยอะแยะ แล้วรอยยิ้มของคุณก็ช่างน่าสะพรึง”
ปฐวีตัดบทด้วยการบุ้ยใบ้เข้าไปยังภายในพิพิธภัณฑ์ เป็นช่องทางเดินไปสู่ห้องโชว์ภาพโมนาลิซ่า ชิดชบาพยายามดึงปฐวีเข้าไปให้ใกล้ภาพที่สุด
จากนั้น ทั้งสองเดินเคียงกันมาบนถนนสายยาว ผ่านร้านกาแฟ มุ่งไปยังประตูชัยแห่งนโปเลียน
“นี่คือฌองเซลิเซ่ เป็นถนนสายที่สวยงาม แล้วก็มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ถนนสายนี้มุ่งไปยังอนุสรณ์สำคัญของปารีสคือประตูชัยนโปเลียน”
ปฐวีเงยหน้าขึ้นมอง
“ประตูชัยนโปเลียนแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ทรงมีชัยชนะในยุทธการเอาสเตอริสทซ์ และเพื่อเป็นการสดุดีต่อทหารกล้า ผู้ร่วมรบในประเทศฝรั่งเศสในสงครามนโปเลียน ที่นี่เป็นจัตุรัสแห่งดวงดาว เพราะมี
ถนน 12 สายมาบรรจบกันที่นี่”
ชิดชบาผายมือ ปฐวีเริ่มมองชิดชบามากขึ้น ก่อนพยักหน้ารับด้วยอาการเคร่งขรึม ชิดชบาเดินนำหน้าปฐวีจากประตูชัยนโปเลียนมายังถนนที่เต็มไปด้วยร้านกาแฟ ร้านค้าสินค้าแบรนด์เนม
“ถนนสายนี้ชื่อถนนละลายทรัพย์ เพราะทำคนกระเป๋าฉีกมาแล้วค่ะ เป็นถนนสายที่สวยงาม หรูหราราคาแพงที่สุด ฌองเซลิเซ่ค่ะ”
ปฐวีเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ
“อ้าว คุณ”
ชิดชบาวิ่งตามมาด้วยความสงสัย
“คุณ คุณจะไม่ซื้อกระเป๋า รองเท้า หรือไม่ก็นาฬิกาเรือนละสิบล้าน”
“คงไม่”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะผมถือว่าสาระของนาฬิกาก็คือ เดิน เดินให้ตรง ไม่ใช่เดินไปแพงไป”
ปฐวีเดินผ่านไป ชิดชบามองด้วยความแปลกใจ

โสมสุภางค์พยายามกดโทรศัพท์ด้วยความร้อนรน เถาว์เครือกลับมาจากข้างนอก ทั้งเหนื่อยและหงุดหงิด
“โสมสุภางค์ ว่าไง เรื่องที่ปฐวีเขาชนะพนันคุณชิดชงค์ เศรษฐีใหญ่ ได้กิจการเดินเรือกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดของชิดชงค์”
“หนูก็ยังไม่รู้รายละเอียดหรอกค่ะคุณแม่ เขาไปปารีสกะทันหัน ติดต่อไม่ได้ค่ะ”
“เป็นไปได้มั้ย เขาไปพบนักพนันตัวพ่อที่นั่น”
“คุณแม่คะ วีเขาก็ไม่ได้ออกหน้าเรื่องการพนันหรอกค่ะ เขาเคยทำงานที่”
“บ่อนแถบมาเก๊า ก็เลยมีเสียงค่อนนินทาว่าเขาเติบโตอยู่ในบ่อน เพราะยังงั้นแหละ เขาถึงได้เป็นนักพนันระดับเซียน พอๆ กับคุณชิดชงค์”
“หนู”
“แม่ก็ไม่ได้รังเกียจเขาหรอก ยังไงเขาก็มีบริษัทส่งออก ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเซียนพนัน เขาก็เป็นนักพนันมีระดับ แต่ที่แม่ห่วง”
“คุณแม่ห่วงอะไรคะ”
“โบราณท่านว่า โจรปล้นยังเหลือบ้าน ไฟไหม้ยังเหลือที่ดิน แต่คนเล่นการพนันน่ะ ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ ชีวิต”
เถาว์เครือวิตกกังวลไม่น้อย

กลางดึก ชิดชงค์ค่อยๆ เปิดลิ้นชัก ยื่นมือมาแตะที่ปืน ก่อนที่จะชักมือกลับ แล้วปิดลิ้นชักลง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ชิดชบา ลูกพ่อ พ่อ พ่อเสียใจ พ่อ พ่อ”

ตอนเช้า ชิดชบายืนรออยู่หน้าโรงแรม จ้องมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นปฐวีเดินออกมาจากโรงแรมพร้อมชาวฝรั่งเศส 4 คน จับมือลากันก่อนที่จะเดินเข้ามาหาเธอ
“ผมต้องกลับพรุ่งนี้ คุณมีอะไรจะนำเสนออีก”
“พรุ่งนี้ ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ”
“เอาเป็นว่าผมไม่ตอบคำถามของคุณนะ คุณตอบคำถามผมดีกว่า เป็นต้นว่าคุณชื่ออะไร”
“คุณไม่อยากจำชื่อเด็กๆ อย่างฉันให้รกสมองหรอกค่ะ ฉันก็ไม่ต้องการจดจำชื่อของคุณเหมือนกัน เพราะยังไงคุณก็คือ คนแก่”
ชิดชบาหัวเราะเบาๆ แต่หัวเราะค้างเมื่อเห็นปฐวีนิ่ง แววตาคม ดุ ท่าทีไว้ตัว
“เอาเป็นว่าเราไม่รู้จักกัน ไง เรื่องที่คุณนำเสนอผม มีอะไร”
“มีอะไรจะนำเสนอคุณน่ะหรือคะ มีค่ะ”
ชิดชบาดีดนิ้ว
“นี่เลย ตามฉันมา เชิญค่ะ”
ชิดชบาเดินนำปฐวีออกไป ชัยยงค์ ชัยญา ถกล ก้าวออกมาจากโรงแรม มองปฐวีไปด้วยความสงสัย
“ปฐวี เขามาทำอะไรที่ปารีสนี่ ก็ไหนว่า”

ปฐวีและชิดชบานั่งเรือล่องแม่น้ำแซน ชิดชบาลุกขึ้นมาเต้นรำอย่างสนุกสนาน เมื่อเรือแล่นผ่านสองฟากฝั่งที่มีชาวปารีสออกมานั่งดื่มไวน์ พบปะสังสรรค์ ปฐวีมองชิดชบาด้วยสายตาที่เริ่มอ่อนโยนลง
“มาค่ะ คุณต้องเต้นรำ คนปารีสสนุกสนานโรแมนติก รักการดื่มไวน์ แล้วก็เต้นรำ นักดนตรีบนเรือ เล่นดนตรีเพื่อการเต้นรำ”
ปฐวีถูกดึงให้ออกไปเต้นรำกับชิดชบา
“คุณเรียนศิลปะสาขาไหน”
“งานปั้น”
“จิตรกรรมซีนะ”
“ค่ะ ด้วยมือสองข้างของฉัน ฉันจะปั้นโลกนี้ ให้งดงามเหมือนอย่างที่ฉันมี โลกของฉันกับพ่อ”
ปฐวีพึมพำเบาๆ แววตาสลดลง
“พ่อ”
ชิดชบากอดเอวปฐวีหมุน เหวี่ยงตัวอย่างสนุกสนาน
“นี่คือปารีส”
“พรุ่งนี้ผมต้องไปแล้ว ขอบใจมากสำหรับคืนโรแมนติกในปารีส”
“นี่คือคำเสียใจกับขอโทษ ฉันเสียใจจริงๆ ค่ะ เรื่องที่ฉันซุ่มซ่ามทำให้คุณ”
ปฐวีเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร
“ช่างเถอะ”
ชิดชบาเก้อๆ กลัวๆ กล้าๆ
“พรุ่งนี้ฉันมีเรียนเช้า แต่ฉันจะไปส่งคุณที่สนามบินค่ะ”

ตอนเช้า ณ สนามบินชาร์ล เดอ โกล ปฐวียืนรอชิดชบาพร้อมกระเป๋าเดินทาง ก้มลงดูเวลาที่ข้อมือ ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนหิ้วกระเป๋าเดินเข้าสนามบิน ชิดชบาวิ่งมาแต่ไกล ด้วยท่าทีเหน็ดเหนื่อย
“เดี๋ยวก่อน รอด้วย ฉัน ฉัน”
ชิดชบาวิ่งเข้ามาชนปฐวี กระเป๋าตกกระจาย ปฐวีก้มลงเก็บกระเป๋าสตางค์ ที่เปิดออก เห็นรูปของชิดชงค์
เขาหยิบขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมองชิดชบาอย่างตื่นตระหนก
“พ่อฉันเองค่ะ พ่อที่ฉันรักที่สุด พ่อ ผู้ชายคนเดียวในดวงใจฉัน พ่อค่ะ”
ปฐวีตื่นตะลึง
“พ่อหรือ เขาเป็นพ่อคุณหรือ”
ชิดชบามองท่าทีของปฐวีด้วยความแปลกใจ
“คุณ”
ปฐวียื่นกระเป๋าให้ด้วยท่าทีเย็นชา
“ผมต้องไปแล้ว”
ปฐวีหันหลังกลับเดินเข้าสนามบินไป ชิดชบาโบกมือค้าง

ณ บ้านไม้เก่า ปฐวีฝันร้ายถึงเหตุการณ์เมื่อเขาอายุ 12 ปี เขามองผ่านปลายเท้าของพ่อไปยังประตูห้องของเรือนไม้ แม่เปิดประตูเข้ามา กรีดร้องอย่างตื่นตระหนก ยกมือขึ้นกุมทรวงอกด้านซ้าย เพราะอาการของโรคหัวใจกำเริบ แม่ตาเหลือกค้างก่อนทรุดลงฟุบกับพื้น ปฐวีวิ่งเข้ามา ร้องตะโกน
“แม่”
ปฐวีเงยหน้าขึ้น มองผ่านปลายเท้าที่แกว่งไกวเบาๆ ของพ่อ ก่อนไล่สายตาขึ้นมองจากปลายเท้าด้วยเนื้อตัวที่สั่นสะท้าน ริมฝีปากสั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าเขียวคล้ำ ลิ้นจุกปาก เลือดแห้งกรังจากนัยน์ตา จมูกและปากของพ่อ ปฐวีหวาดกลัวสุดขีดเมื่อเห็นพ่อผูกคอตาย เขาตะโกนสุดเสียง
“พ่อ”
ปฐวีสะดุ้งตื่นในอพาร์ทเมนต์ ผวาลุกขึ้นนั่ง หยดเหงื่อจับเกาะไปทั่วใบหน้า ทรวงอกที่เปล่าเปลือย สีหน้าแววตาตื่นตระหนก เหมือนเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กและมองเห็นภาพของพ่อผูกคอตาย เขาหายใจหอบ เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ค่อยๆ หันไปมองโสมสุภางค์ที่สะดุ้งตื่น
“วี เป็นอะไรไปคะ หรือว่าคุณ คุณ”
“ผม ฝันร้าย”
“ฝันร้าย ฝันร้ายอีกแล้วหรือคะ คุณฝันร้ายซ้ำซากมาตั้งหลายปีแล้ว ฉันว่า คุณควรจะไปพบจิตแพทย์นะคะ วี”
“ช่างเถอะ”
ปฐวีพลิกตัวออกไปจากผ้าห่ม เดินเข้าห้องน้ำ ดึงผ้าจากราวแขวนผ้าเช็ดตัวมาพันร่างที่เปล่าเปลือย ชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำ ก่อนหันกลับมายืนจ้องหน้าตัวเองในกระจก ก่อนที่แววตาจะกร้าวขึ้นด้วยรอยยิ้มของความเกลียดชัง
“คุณชิดชงค์”

ชิดชงค์ยกโทรศัพท์ขึ้นด้วยมือที่สั่นสะท้านขึ้นแนบหู เขากำลังจะยิงตัวตาย ชิดชบารับโทรศัพท์ด้วยท่าทีรื่นเริง
หิมะตกโปรยปรายผ่านบานหน้าต่าง
“พ่อ พ่อคะ”
“ชิดชบา”
น้ำเสียงของชิดชงค์แผ่ว สั่น สูญเสีย ชิดชบารื่นเริง
“พ่อโทร.มาทำไมคะ ทางนี้ตีหนึ่งค่ะ ต้องมีเรื่องสำคัญแน่ๆ พ่อถึงโทร.หาหนู พ่อจะมาปารีสหรือคะ หนูดีใจจังเลยค่ะ ที่หนูจะได้พบพ่อ”
“ชิดชบา”
ชิดชบาเริ่มสงสัย
“มีอะไรหรือคะ พ่อ”
“พ่อ พ่ออยากจะบอกลูกว่า พ่อ”
“พ่อคะ พ่อเป็นอะไร”
“พ่อ”
ชิดชงค์พยายามอดกลั้นเสียงร่ำไห้ ก่อนหลุดสะอื้น ชิดชบาเริ่มตื่นตระหนก
“พ่อ”
“พ่ออยากได้ยินเสียงของหนูเป็นครั้งสุดท้าย พ่อ พ่อ”
ชิดชบากรีดร้องอย่างตื่นตระหนก
“พ่อคะ นั่นพ่อกำลังจะทำอะไร พ่อ”
ชิดชงค์กดตัดสายโทรศัพท์ก่อนยกปืนขึ้นยิงหัวตัวเอง

หนังสือพิมพ์ไหลเลื่อนออกไปจากแท่นพิมพ์ด้วยความเร็ว ธวัชพงษ์ก้าวเข้ามา หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านข่าวพาดหัวด้วยความสนใจ
“เซียนพนันมือหนึ่งยิงตัวตายหนีอัปยศ”

ตอนเช้า โสมสุภางค์โยนหนังสือพิมพ์ลงตรงหน้าปฐวี ถามด้วยความแปลกใจและกังวล
“เรื่องที่ทำให้คุณฝันร้าย คือเรื่องนี้ใช่มั้ยคะวี คุณชิดชงค์ยิงตัวตาย”
ปฐวีก้มลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาจ้องมองด้วยความรู้สึกหวั่นไหว และรู้สึกผิด พยายามปัดความคิดออกไป
“คุณชิดชงค์”
“เขาเสียพนันคุณ เสียบ้านหลังนั้น เสียเกียรติภูมิที่เขาแพ้คนรุ่นลูก เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยที่ทำให้เขายิงตัวตาย”
“ไม่ใช่”
“แล้วคุณคิดว่า”
โสมสุภางค์ก้าวเข้ามาจ้องหน้าปฐวีอย่างบีบคั้น
“เขายิงตัวตายเพราะอะไร”
ปฐวีหันหลังให้โสมสุภางค์ ยิ้มเยาะด้วยแววตาอาฆาตพยาบาท
“เพราะกรรม ที่เขาทำไว้กับพ่อแม่ของผม”

เครื่องบินสายการบินยุโรปร่อนลงยังสนามบิน อรุณณรงค์เข็นกระเป๋าออกมาจากทางออกผู้โดยสารขาเข้า ชิดชบาวิ่งออกมาอย่างรีบร้อน ชนอรุณณรงค์ก่อนวิ่งผ่านไป อรุณณรงค์มองด้วยความแปลกใจ เฉวียงทนายความยืนรออยู่อย่างร้อนใจ รีบยกมือขึ้นเมื่อเห็นชิดชบา
“ทางนี้ครับ คุณหนู”
“พ่อ”
“ทางนี้ครับ”
“ไม่จริงใช่มั้ยคะคุณลุงเฉวียง ไม่ ไม่จริง”
“จริงครับ คุณพ่อคุณยิงตัวตาย”
ชิดชบานิ่งงันไป

ชิดชบาวิ่งเข้ามาในวัด จ้องไปยังรูปถ่ายของชิดชงค์ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าหน้าหีบศพ ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“พ่อ หนูไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อโทร.ถึงหนูเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะบอกลา โธ่ ทำไมพ่อต้องทำแบบนี้ พ่อเป็นนักสู้
พ่อสอนลูกให้สู้ แล้วทำไมพ่อต้องถอยด้วยการฆ่าตัวตาย ทำไม”
ปฐวีนั่งอยู่ที่โซฟายาวด้านหน้า กับตลับนาคและโสมสุภางค์ เขาค่อยๆ เบนสายตามาจับที่ชิดชบาด้วยแววตาเย็นชา ตลับนาคเลี่ยงเข้ามาคุกเข่าประคองกอดชิดชบา ร่ำไห้ไปด้วยกัน
“ชิดชบา”
“คุณป้า”
ป้าหลานต่างกอดกันร้องไห้หน้าโลงศพของชิดชงค์ ปฐวีมองชิดชบา ยิ้มเยาะในแววตาอย่างเงียบๆ ขณะที่โสมสุภางค์เหลือบมองแววตาของปฐวีด้วยความแปลกใจ

ธวัชพงษ์เดินเร็วๆ ตามตื๊อบรรณาธิการเข้ามาในกองบรรณาธิการข่าวอาชญากรรม ด้วยท่าทีกระตือรือร้น และไม่ยอมแพ้ บรรณาธิการไม่สนใจกับงานที่ธวัชพงษ์เสนอ
“ผมไม่เห็นประโยชน์ที่คุณจะทำสกู๊ปข่าวเรื่องนี้ คุณรู้มั้ยว่านักพนันที่ฆ่าตัวตายน่ะ มีแต่คนสมน้ำหน้า”
“นี่ไงครับ นี่คือประเด็น เราอาจจะช่วยหยุดการฆ่าตัวตายของคนพวกนี้”
“น้อง นักพนันทุกคนมีผีสิงอยู่ในตัวพวกเขา ถ้าการฆ่าตัวตายเป็นทางที่เขาเลือก สกู๊ปข่าวของคุณจะช่วยอะไรได้ คนอ่านคือคนที่ยังอยู่ ไหนบอกพี่มาซีไอ้น้อง ว่าคนอ่านจะได้อะไร”
“คนอ่านจะได้รู้ว่า การพนันคือหายนะ”
บรรณาธิการนิ่งอึ้งไปด้วยท่าทีลังเล จำนนต่อเหตุผลของธวัชพงษ์

รถแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมหรู บริกรเข้ามาเปิดประตูรถ ชิดชบาและเฉวียงลงมา ชิดชบา มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้างงงัน
“ทำไมคะคุณลุงเฉวียง บ้านล่ะคะ บ้าน บ้านของหนู นี่ นี่มันโรงแรม”
“คุณต้องพักที่นี่ จนกว่า”
“หนูไม่เข้าใจค่ะคุณลุง นี่หมายความว่าบ้านหลังนั้น บ้าน พ่อเสียพนันบ้านหลังนั้นด้วยหรือคะ”
“ไม่ใช่แค่บ้านที่คุณชิดชงค์เสียพนัน ธุรกิจทั้งหมด คุณตลับนาคย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านสวนแล้วล่ะครับ”
“พ่อ”
“คุณปฐวี รับผิดชอบเรื่องการทำศพของคุณพ่อคุณ เขาสั่งให้เปิดโรงแรมชั้นหนึ่งให้คุณพัก ตอนนี้เขากำลังจัดการเรื่องทางกฎหมาย เพราะว่า”
“เพราะอะไรคะ”
“คุณชิดชงค์เซ็นโอนลอยบ้านไว้ให้เขา”
“คุณพระช่วย บ้าน”
ชิดชบาตื่นตระหนก
“แล้วคุณปฐวีเป็นใคร”

แปลนคฤหาสน์เก่าถูกคลี่ออกอย่างช้าๆ ปฐวีจ้องมองแปลนนั้นอย่างเงียบๆ โสมสุภางค์แปลกใจ
“ฉันไม่เห็นด้วยที่คุณจะคืนบ้านหลังให้ลูกสาวคุณชิดชงค์ บ้านหลังใหญ่ มีมูลค่าเพิ่มจากเดิมหลายเท่า ถึงมันจะเก่าเหมือนบ้านโบราณ แต่คุณก็มีเงินซ่อมใหม่ ใช้เงินอีกไม่เท่าไหร่บ้านก็ฟื้นคืนชีวิต”
ปฐวียังจ้องมองที่แปลนบ้านนิ่งๆ เริ่มปรากฏรอยยิ้มในดวงตาอย่างผู้ชนะ
“ผมไม่สนใจบ้าน หรือมูลค่าเพิ่มของมัน สิ่งที่ผมสนใจคือ มันมีชัยชนะอยู่ในบ้านไม้ผุๆ นั่น”
“วี ฉันไม่เข้าใจคุณเลย”
“คุณรู้มั้ย บ้านหลังนี้มีเรื่องราวที่ทำให้ผม ฝันร้ายมาชั่วชีวิต”
“คุณชิดชงค์เขามีลูกสาวคนเดียว ลูกสาวเขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพ่อเป็นนักพนัน ก็ตามประสาคนมีเงิน ส่งลูกไปอยู่ไกลๆ ลูกจะได้ไม่รู้ว่าเงินที่สำราญอยู่มาจากไหน”
“ผมก็มีเงื่อนไขให้เลือก ว่าชิดชบาต้องการได้บ้านหลังนี้คืนหรือไม่ต้องการ”
“เงื่อนไขอะไรคะ แล้วมันจะคุ้มกับที่คุณเหนื่อยกับเกมพนันนั่นหรือเปล่า”
“ผมมีเหตุผลของผม”
“เหตุผลข้อไหน ในเมื่อฉันเป็นผู้หญิงที่คุณจะต้องแต่งงานด้วย คุณได้อะไรๆ มาเพราะชนะพนัน ใครจะรู้ว่าวันหนึ่ง คุณอาจจะเหมือนคุณชิดชงค์ก็ได้ เซียนพนันที่ยอมพนันทุกอย่าง แม้แต่ลูกหรือเมียของตัวเอง”
แววตาของปฐวีหวั่นไหวอย่างรุนแรง ผลุนผลันออกไป

ชิดชบาก้าวเข้ามาหยุดยืนก้มหน้านิ่งๆ ในห้องน้ำ น้ำตาเริ่มไหลริน สะอึกสะอื้น คร่ำครวญกับกระจกเงา
“พ่อคะ หนูไม่ต้องการชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องการไปเรียนเมืองนอก แล้วทำตัวอย่างลูกเศรษฐี หนูกลับมาเรียนที่นี่ได้ ขึ้นรถเมล์ได้ กินข้าวข้างถนนได้ หนูอยู่บ้านหลังเล็กๆ ได้ ถ้ามันแลกกับชีวิตของพ่อ พ่อ ทำไมพ่อทำแบบนี้”
เสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น ชิดชบาชะงัก เช็ดน้ำตาก่อนเดินไปเปิดประตู บริการเข็นรถอาหารหรูหราเข้ามา
“นี่อะไรกัน ฉันยังไม่ได้สั่งอะไรเลยนะ”
“เป็นคำสั่งของคุณปฐวีครับ”
ชิดชบาแปลกใจ
“คุณปฐวีหรือ”
เวลาเดียวกันนั้น ปฐวีเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุข อย่างผู้ชนะ ก่อนกดกริ่ง
“เรียกทนายมาพบผม”

โสมสุภางค์ขับรถเข้ามาจอดในบ้าน เถาว์เครือยืนรออยู่อย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นโสมสุภางค์วางประเป๋าถือ
ท่าทีโสมสุภางค์กังวลใจ หวั่นไหว วิตก
“เทจนหมดหน้าตักอย่างนี้ แล้วจะเหลือทางต่อรองปฐวีเรื่องแต่งงานหรือ”
“แม่คะ ยังไงหนูกับวีก็ต้องแต่งงานกัน”
“แต่รีบไปนอนค้างอ้างแรมกับเขานี่ คนเป็นแม่ลำบากใจนะ เออ เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์หรือยัง คุณชิดชงค์นักธุรกิจใหญ่ฆ่าตัวตาย มีข่าววงในว่าเขาแพ้พนันจนหมดเนื้อหมดตัว ธุรกิจก็ไม่เหลือ ซ้ำบ้าน บ้านเก่าราคาร้อยล้านก็หมด”
โสมสุภางค์เจื่อนๆ
“หนูรู้แล้วค่ะ”
“ลูกสาวคุณชิดชงค์กลับมาจากนอก คุณชิดชงค์น่ะมีลูกคนเดียว เมียตายเพราะตรอมใจ เอ่อ เพราะโรคหัวใจ แม่ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไม คุณชิดชงค์ถึงได้ฆ่าตัวตาย”
“เขาอาจจะ”
“จำคำที่แม่เคยเตือนหนูได้มั้ย คำโบราณที่ว่า โจรปล้นยังเหลือบ้าน ไฟไหม้ยังเหลือที่ดิน แต่มีผัวเป็นนักพนันน่ะ ไม่เหลือทั้งบ้านทั้งที่ ไม่เหลือ แม้แต่ชีวิต เหมือนคุณชิดชงค์ไงล่ะ”
โสมสุภางค์หวั่นไหว กังวล

บรรณาธิการนั่งอ่านข่าวชิดชงค์ฆ่าตัวตาย ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาธวัชพงษ์ ที่ยืนรอคำตอบอยู่อย่างจดจ่อ
“ตกลง แกเขียนสกู๊ปข่าวนั่น”
ธวัชพงษ์ยิ้ม ตื่นเต้น ดีใจ
“ขอบคุณครับ เจ้านาย”

ชัยยงค์เดินนำหน้าชัยญาออกมาจากสนามบิน โดยมีถกลหิ้วกระเป๋าเอกสารตามออกมา ท่าทีต่างเคร่งเครียด รีบเร่ง ขัยยงค์เอ่ยขึ้น
“พ่อว่ามันคงไม่ใช่เพราะเขาเสียพนันหรอก คนอย่างคุณชิดชงค์เขาโตมาในบ่อนไพ่ คนเป็นนักพนันน่ะ ลูกเมียยังหักหลังได้เลย เรื่องอะไรเขาจะหักหลังตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย”
“แล้วพ่อคิดว่า มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร”
“พ่อก็ไม่รู้ เราถึงต้องรีบกลับมาไง พ่อกลัวว่าบ้านหลังนั้นมันจะหลุดมือไป”
ถกลเปิดประตูรถยนต์ให้ชัยยงค์และชัยญา ก่อนขับรถออกไป

ภายในงานสวดศพ ผู้คนที่มางานศพชิดชงค์ต่างซุบซิบกันด้วยความสงสัย ชิดชบานั่งอยู่กับตลับนาค ปฐวีก้าวเข้ามานั่งลงมุมหนึ่งของโซฟาอย่างเงียบๆ ตลับนาคลำบากใจเมื่อเห็นชิดชบามองไปยังปฐวี
“คุณ”
ปฐวีกับชิดชบาต่างจ้องมองกัน ชิดชบาตื่นตระหนก ปฐวีเมินไป ธวัชพงษ์แทรกเข้ามาหาที่นั่ง เพื่อหาข้อมูล เกี่ยวกับชีวิตของชิดชงค์ คนที่มางานสะกิดกันมองด้วยความสนใจ
“นั่นลูกสาวคุณชิดชงค์หรือ”
“ครับ ผมคิดว่าใช่ครับ”
“ข่าวว่าไปอยู่เมืองนอก เรียนที่เมืองนอก คุณชิดชงค์ส่งไปอยู่ไกลๆ จะได้ไม่ต้องมารู้เห็นชีวิตส่วนตัวของเขา คุณชิดชงค์น่ะเมียเขาตายเพราะตรอมใจ เห็นว่า เพราะการพนันนี่แหละ เขาเป็นเซียนพนัน”
ปฐวีค่อยๆ เบนสายตา มองสบสายตาชิดชบา แววตาของชิดชบาสับสน
“คุณ คือ”

ปฐวีก้าวเข้ามายังคฤหาสน์เก่าของชิดชงค์ ที่กำลังซ่อมแซม เขามองด้วยรอยยิ้ม โสมสุภางค์เข้ามาทางด้านหลังโอบกอดปฐวี ปฐวีเย็นชา
“บ้านหลังนี้คุณได้มาเพราะไพ่พนันใบสุดท้าย ถึงมันจะมีที่มาที่ไปไม่น่าภูมิใจ แต่มันจะเป็นเรือนหอของเรา ใช่มั้ยคะ วี”
“โสมสุภางค์ ไม่น่าเชื่อนะว่าคุณเห็นความสำคัญของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี่”
“มาคิดดู มันไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย ถ้าพูดถึงเหงื่อที่คุณเสียไปก่อนที่จะได้มันมา คุณเสียสมองแต่คุณก็ได้มาเกินคุ้ม”
ปฐวีนิ่งอึ้ง น้ำเสียงห่างเหิน
“คุณไม่ได้ตอแยบ้านหลังนี้หรือของแถม เพราะมันมีค่าตีราคาเป็นเงินได้ ไม่ใช่หรือ”
“ฉันตอแยเรื่องนี้ ก็เพราะฉันรักคุณต่างหากล่ะคะวี อย่าลืมนะคะ เรารักกัน เราจะแต่งงานกัน ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น”
ปฐวีนิ่งอึ้ง โสมสุภางค์มองสบตาปฐวีเป็นเชิงเตือน

ชิดชบานั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นในห้องของโรงแรม นัยน์ตาบอบช้ำ เพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนัก
เสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น เธอมองผ่านช่องตาแมวที่ประตู หวั่นกลัวเมื่อเห็นปฐวี ก่อนตัดสินใจเปิดประตู
“ผมชื่อปฐวี”
ปฐวีเดินผ่านชิดชบาเข้ามาในห้อง หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า ท้าทาย ชิดชบายังมีอาการประหม่ากลัว พยายามมอดกลั้นความกลัว ตอบเสียงแผ่ว
“ค่ะ ฉันเคยได้ยินชื่อของคุณ เสียใจนะ ฉันควรจะรู้จักคุณที่ปารีส คุณนี่เอง คุณปฐวี”
“คุณเห็นจะต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับคนชื่อนี้นะ ในฐานะที่ผมเป็นผู้ถือเงื่อนไข และข้อเสนอ”
“หมายความว่ายังไง”
“ผมคือผู้ชนะคุณชิดชงค์ คุณพ่อของคุณสำหรับไพ่เกมนั้น”
ชิดชบาแค้น
“แก แกทำให้พ่อฉันฆ่าตัวตาย”
“สุภาพกับผมหน่อย ให้สมกับที่ผมเป็นคนสำคัญของคุณ นับตั้งแต่วินาทีที่คุณพ่อของคุณฆ่าตัวตาย คุณคงไม่ต้องการจะเสียใจมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ใช่หรือ คุณชิดชบา”
“แก แกมันสัตว์เดรัจฉาน”
“วาจาของนักเรียนนอก ลูกสาวคนเดียวของคหบดีมีชื่อ ที่อุตส่าห์ส่งลูกสาวข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนถึงปารีส ไม่น่าเชื่อนะว่านี่คือคุณ”
“แกต้องการอะไร”
“ผมมีข้อเสนอสำหรับบ้านหลังนั้น คุณคงรักมันมาก เพราะคุณเสวยสุขมากับบ้านหลังนี้นับตั้งแต่จำความได้ บ้านหลังใหญ่ มีเรื่องราวสีชมพู แต่คุณไม่รู้หรอกว่ามันปักเสาเข็มลงบนเลือดเนื้อ ชีวิต ของใครบ้าง”
ชิดชบาเริ่มตื่นตระหนก
“คุณ นี่คุณกำลังจะพูดถึงอะไร”
“ตุ๊กตาเนื้อกระเบื้อง ที่พอหล่นกระทบพื้นก็แตก”
“แก”
“มันอยู่ที่คุณจะยอมทำตามเงื่อนไขของผมหรือไม่ทำ คุณจะต้องตัดสินใจเอง”
ปฐวีเดินออกไป ชิดชบาวิ่งถลาออกไปที่ประตู มือจับประตูสั่นสะท้านด้วยความแค้นเมื่อรู้ว่าปฐวีเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชิดชงค์ฆ่าตัวตาย

ตอนเช้า อรุณณรงค์เดินชมสวนกุหลาบ ที่วังหม่อมจรัสเรือง สาวใช้จัดโต๊ะกาแฟอยู่มุมหนึ่ง หม่อมจรัสเรืองเดินเข้ามาหาอรุณณรงค์
“แม่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ก็แค่รักษาต้นไม้เก่าๆ ไว้ตั้งแต่ชายเอี่ยวไม่อยู่ มีอะไรแปลกตาไปมั้ย”
“ไม่มีครับ ตรงนี้ก็ยังเป็นสวนกุหลาบ ตรงนั้นต้นรำเพยก็ยังอยู่”
“ชายเอี่ยว แม่ดีใจที่ลูกกลับมา พอแม่อายุมากขึ้น รู้มั้ย สิ่งที่แม่ห่วงที่สุดคืออะไร”
“อะไรครับ”
หม่อมจรัสเรืองจับมืออรุณณรงค์ ยิ้มอย่างมีความสุข
“หาผู้หญิงที่เหมาะสม มาเป็นสะใภ้ของแม่น่ะซี”

ตลับนาคเดินนำหน้าชิดชบาผ่านสวนผลไม้ที่ออกดอกผลอย่างงดงาม ท่าทีทั้งคู่เงียบ เคร่งเครียด ทุกข์กังวลกับการสูญเสียที่ผ่านมา
“ป้าย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านสวนนี่ ตั้งแต่รู้ว่าชิดชงค์เขาโอนธุรกิจให้คุณปฐวีแล้ว ไม่อยากเห็นอะไรๆ ที่มันเคยเห็น เคยสุขสบาย ไม่คิดเลยว่า”
“ช่างมันเถอะค่ะคุณป้า อะไรที่สูญเสียไปแล้วเรียกคืนไม่ได้ ป่วยการที่จะไปคิดถึงมัน”
“มันไม่แค่นั้นน่ะซีลูกเอ๊ย บ้าน เป็นของนอกกายก็จริงอยู่ แต่ว่า”
“หมายความว่ายังไงคะคุณป้า”
“ปฐวีเขาพูดถึงเงื่อนไขของเขาหรือยัง”
“เขาขอให้หนูไปพบเขาคืนนี้ค่ะ”
ตลับนาคจับใบหน้าของชิดชบาไว้ด้วยความห่วงใย น้ำเสียงสั่นเครือ
“ชิดชบา ตัดสินใจให้ดีนะลูก ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะอยู่หรือย่อยยับ มันอยู่ที่การตัดสินใจของหนู มันขึ้นอยู่กับหนูคนเดียว”
ชิดชบาสบตากับตลับนาคด้วยท่าทีลังเล
“หนู หรือคะ”

ชิดชบามาที่คฤหาสน์ที่กำลังซ่อมแซม เงยหน้าขึ้นมองเพดานสูง คิดถึงชีวิต ความสุข เสียงหัวเราะของตนเอง เมื่อก้าวเข้ามาหยุดยืนที่บันไดวน ภาพในวัยเด็กผุดขึ้น ชิดชบาหัวเราะรื่นเริง เลื่อนตัวเองแล่นถลาลงจากราวบันได
โดยมีชิดชงค์ยืนมอง ยิ้มอย่างมีความสุข ชิดชบาเล่นเปียโนจังหวะครื้นเครง โยกตัวไปมา ชิดชงค์ถือแก้วเหล้ายืนฟัง
ด้วยรอยยิ้ม ชิดชบาวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ ชิดชงค์ยืนมองจากมุมระเบียงของคฤหาสน์ ด้วยความรักท่วมท้น
ชิดชบาค่อยๆ ทรุดตังลงนั่งที่ขั้นบันได กอดลูกกรงบันได ร้องไห้
“หนูเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อไม่อยากเสียบ้านหลังนี้ไป หนูรักบ้านนี้ เพราะมันมีภาพของความสุข มีภาพของเราพ่อ ลูก พ่อคะ หนูจะไม่ยอมเสียมันไป หนูจะไม่ยอม”
ชิดชบาร่ำไห้

โสมสุภางค์ไขกุญแจอพาร์ตเมนท์ของปฐวีเข้ามา กวาดสายตามองหาชายหนุ่ม
“วีคะ วี”
โสมสุภางค์เดินผ่านห้องต่างๆ เข้ามายังห้องนอน เห็นรูปถ่ายของชิดชบาและชิดชงค์ในอดีตวางอยู่ เธอหยิบขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ
“นี่รูปของคุณชิดชงค์กับลูกสาวนี่ วี เขาคิดจะทำอะไรน่ะ”

ปฐวีโยนปึกเอกสารลง ก่อนกดโทรศัพท์ถึงเฉวียง
“ผมพร้อมแล้วคุณเฉวียง”
ปฐวียิ้มเยือกเย็น เหี้ยม
“ชิดชบาพร้อมหรือยัง”
เวลาต่อมา ชิดชบา เฉวียง นั่งในรถคันใหญ่ที่ปฐวีส่งไปรับ ชิดชบามีอาการเครียด
“คุณลุงจะไม่อธิบายให้หนูเข้าใจหรือคะ เรื่องบ้านที่คุณพ่อทิ้งไว้ก่อนจะฆ่าตัวตาย”
“ผมขอเตือนคุณว่า ปัญหาต่อไปนี้คุณจะใช้อารมณ์ตัดสินไม่ได้ เลือดของคุณพ่อคุณ ที่คุณได้รับมา อาจจะทำให้คุณตัดสินใจผิด”
“เริ่มเถอะ หนูพร้อมที่จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ถ้าทางนั้นเป็นทางที่พ่อผลักให้หนูต้องเลือก”
“คุณปฐวีเป็นนักธุรกิจ เขาเป็นเซียนพนันที่รู้เรื่องพนันทุกชนิดทุกประเภท ร่ำรวย มีชื่อเสียงในสังคมนี้เพราะเขาเก็งหุ้นในตลาดผิดพลาดน้อยที่สุด เขาชนะพนันคุณชิดชงค์ คุณพ่อคุณเสียตั้งแต่ธุรกิจเรือสำราญ โรงแรม บ้าน”
“บ้าน”
“คุณชิดชงค์ใช้ชีวิตนักพนัน เขาเป็นเซียนโดยที่คุณไม่รู้ เขาประมาท เขาจึงเสีย เขาทนอยู่ดูหน้าคุณไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยแพ้”
“ในที่สุด พ่อก็ไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ชีวิต ผู้ชายคนนั้นทำให้พ่อล้มละลายถึงกับฆ่าตัวตาย หนูสูญเสียมา
มากแล้ว หนูจะไม่ยอมเสียอะไรอีก แม้แต่บ้าน”
ชิดชบาน้ำตารื้น สะเทือนใจ

รถยนต์ของชิดชบาแล่นเข้ามาจอดบริเวณคฤหาสน์เก่า คนขับรถก้าวลงมาเปิดประตูให้ ชิดชบาและเฉวียงก้าวลงมา จำเรียงเดินนำไป ชิดชบามองไปรอบๆ คฤหาสน์ ขณะเดินเข้าไป ทุกสิ่งทุกอย่างแต่งประดับงดงาม ภาพวาด แจกันแก้วเจียระไน เครื่องแก้วเจียระไน โคมไฟ แชนดาเลีย มองไปเห็นบันไดเวียนขึ้นชั้นบน เฉวียง ชิดชบา เดินขึ้นบันไดเวียนอันหรูหรา จนมาหยุดที่หน้าห้อง จำเรียงเคาะประตูห้อง เสียงปฐวีดังออกมา
“เชิญ”
จำเรียงเปิดประตูห้อง เฉวียง เดินนำชิดชบาเข้ามา ชิดชบาจ้องมองปฐวีอย่างชิงชัง
“คุณคงจำผมได้นะ”
“ค่ะ ฉันจำได้ ทั้งที่ไม่อยากจำ”
“ขอให้คุณคิดว่าบ้านนี้คือบ้านของคุณ”
ชิดชบานั่งลง เชิดหน้า ทะนง
“เริ่มต้นเถอะ ฉันมีเวลาร่ำไรไม่มาก งานศพพ่อฉันยังไม่เสร็จ”
ปฐวีมีท่าทีเยือกเย็น เหี้ยม
“คุณคงทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว เราดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในเรื่องที่คุณชิดชงค์เซ็นโอนลอยคฤหาสน์หลังนี้ไว้ให้ผม ทนายของคุณคงจะยืนยันได้”
“ฉันทราบค่ะ ฉันเคารพในสิ่งที่คุณพ่อทำ คุณต้องการอะไรอีก ในเมื่อ คุณก็ได้จากเราไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ผมเป็นนายทุนที่ตรงไปตรงมา คุณพ่อคุณแพ้ก็คงไม่ต่างจากนักพนันคนอื่นๆ ที่เคยแพ้ เราไม่ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่การฆ่าตัวตายของคุณชิดชงค์ คุณเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องทำ”
ชิดชบาผุดลุกขึ้นยืน ฟาดกระเป๋าลงกับโต๊ะ กรีดเสียง
“แก แกทำให้พ่อฉันฆ่าตัวตาย”
“คุณ คุณชิดชบา” เฉวียงพยายามห้าม
“ปล่อยฉัน ฉันจะฆ่ามัน”
“ถึงคุณจะฆ่าผม คุณชิดชงค์ก็ฟื้นขึ้นมาไม่ได้ ทำไมคุณไม่พยายามทำในสิ่งที่คุณพอจะทำได้ล่ะ”
“อะไร”
ชิดชบาแผดเสียงถาม
“พยายามไถ่บ้านหลังนี้คืนไป”
ชิดชบาสงบลง ตื่นเต้น ดีใจ
“เท่าไหร่”
“สำหรับบ้านที่ผมลงทุนลงแรง ต้องเสียเหงื่อเสียแรงสมองในเกมพนันข้ามวันข้ามคืน กับเสียเงินอีกหลายสิบล้าน เพื่อซ่อมแซมตกแต่งให้มันอยู่ในสภาพที่คุณเห็นอยู่นี่ ผมตีราคามันเท่ากับตัวของคุณ”
“คุณปฐวี”
“คุณได้ยินถูกต้องแล้วคุณเฉวียง ผมบอกแล้วไงว่าผมเป็นนายทุนที่ยังมีเมตตาอยู่มาก นายจ้างของคุณมีสิทธิ์ที่จะไถ่ถอนบ้านหลังนี้คืนไป ถ้าปฏิบัติตามเงื่อนไขผม เป็นนางบำเรอของผมหนึ่งปี”
ชิดชบาตะลึงงัน

ชิดชบาแล่นถลาลงมาจากตึก กรีดเสียงด้วยความโกรธ ส่งเสียงตะโกน กางแขน หมุนไปรอบๆ ราวกับจะคลั่ง
“บ้านฉัน นี่บ้านฉันนะ บ้านที่ฉันโตมา บ้านที่ฉันใช้ชีวิต ฉันปลูกกุหลาบกอนี้ ฉันลงไม้เถาที่นั่น ฉันรู้จักบ้านนีทุกซอกทุกมุม แล้วแกเป็นใคร แกเคยรู้มั้ยว่าบ้านหลังนี้มีเรื่องเล่าอะไรบ้าง ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ไอ้หมาจิ้งจอก ไอ้”
เฉวียงก้าวเข้ามา ดึงตัวชิดชบาเข้ามากอดไว้ ด้วยความรู้สึกรันทด ชิดชบาร่ำไห้กับไหล่ของเฉวียง ปฐวีก้าวออกมาหยุดยืนที่ระเบียง มองชิดชบาด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน ชิงชัง

เถาว์เครือกระวีกระวาดด้วยความดีใจ เพราะได้ข่าวลือเรื่องปฐวียึดบ้านราคาร้อยล้านได้
“โสม โสมสุภางค์ แม่มีข่าวดี”
“ข่าวอะไรคะ”
“ก็ข่าวปฐวีน่ะซี เขาพูดกันว่าปฐวียึดบ้านคุณชิดชงค์ได้ คุณชิดชงค์ที่ยิงตัวตายเพราะล้มละลายยังไงล่ะ บ้านหลังนั้นน่ะ ราคานับร้อยล้านเชียวนะ”
โสมสุภางค์เงียบขรึม ยกมือขึ้นทาบอก ด้วยอาการเสียวปลาบที่กล้ามเนื้อหัวใจ
“โสมสุภางค์ ไม่สบายหรือลูก”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ”
“จริงหรือ ทำไมไม่เล่าให้แม่ฟังว่าคุณปฐวีเขาได้อะไรมาบ้าง”
“เอ่อ”
“ยึดบ้านได้ก็ดีน่ะซี แต่งงานก็เอาบ้านหลังนี้เป็นเรือนหอ ที่ตั้งเกือบสิบไร่ หาได้ง่ายๆ หรือ คงเป็นบ้านเก่าบ้านแก่ บ้านที่คุณชิดชงค์เขาสร้างไว้ให้ลูกสาวอยู่ คิดว่าจะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ แต่”
โสมสุภางค์เริ่มมีอาการของโรคหัวใจ
“โสมสุภางค์ ยา ยาล่ะ ยาอมใต้ลิ้นอยู่ไหน”
เถาว์เครือลนลานหายาให้ลูกสาว
“หนู หนูไม่เป็นไรค่ะ”
“อย่าดีใจจนออกนอกหน้า ยังไงบ้านหลังนั้นก็ต้องเป็นเรือนหอของหนูกับปฐวี ทำใจดีไว้ ลูกแม่ อย่าตายเชียวนะ ลูกจะตายหนีคฤหาสน์ราคาร้อยล้าน ไม่ได้”
โสมสุภางค์กังวล

ตลับนาครู้เรื่องข้อเสนอของปฐวีก็โกรธมาก กังวลและห่วงใยชิดชบา
“พิลึก สกปรก ไม่เคยได้ยินเรื่องบ้าๆ แบบนี้ ช่างเถอะ เขายึดได้ก็ให้เขายึดไป บ้าน วันหนึ่งมันก็พัง มันก็ทับถมเรื่องราวเก่าๆ ของเราให้พังไปกับมันด้วย”
ชิดชบานั่งก้มหน้านิ่งๆ เศร้า ตลับนาคชะงัก ถอนหายใจ ท่าทีอ่อนลง
“แล้วหนูจะตัดสินใจยังไง”
“หนูยังคิดอะไรไม่ออกหรอกค่ะคุณป้า ไว้ให้เผาศพคุณพ่อก่อน ค่อยเริ่มคิดกันใหม่ ว่าแต่คุณป้าเถอะค่ะ กลับมาอยู่บ้านสวน ต้องทำงานหนัก คุณป้าต้องระวังเรื่องสุขภาพนะคะ หนูไม่มีใครอีกแล้ว”
ชิดชบาจะร้องไห้ ตลับนาคดึงเข้ามากอดไว้
“นอกจากคุณป้า”
“ป้าก็ไม่มีใคร นอกจากหนู ชิดชบา ที่ป้าออกมาจากบ้านหลังนั้นเพราะเราไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านแล้ว จะหน้าด้านอยู่ให้เขาไล่ทำไม”
“โลกนี้โหดร้ายจังเลยนะคะคุณป้า ใครจะรู้ว่าจู่ๆ สิ่งที่เราเคยเป็นเคยมี จะหายวับไปกับตา เผาศพคุณพ่อแล้วหนูจะตัดสินใจกับข้อเสนอของเขาค่ะ”
“คุณปฐวีเขามีผู้หญิง วันหนึ่งเขาแต่งงาน เราจะอยู่ทุเรศทุรังไปนานสักแค่ไหนล่ะ”
“เวลาแค่หนึ่งปี ถ้าหนูต้องการบ้าน บ้านของเรา”
“มันเป็นของนอกกาย ไม่ตายหาใหม่ได้ ทำไมหนูไม่ตัดใจจากมัน บ้านก็เหมือนวัตถุ ถ้าได้บ้านกลับคืนมาแล้ว หัวใจของหนู มีแต่รอยดำรอยด่าง มันจะเป็นบาปที่ค้างใจเราไปชั่วชีวิตนะลูก”
ชิดชบานิ่งอึ้ง ลังเล

บรรณาธิการนั่งทำงานอยู่ ธวัชพงษ์เดินเข้ามาพร้อมซองเอกสาร ด้วยความกระตือรือร้น เดินผ่านบรรณาธิการไปยังโต๊ะทำงานของตนอง
“ผมได้ประวัติคุณชิดชงค์มาแล้ว ผมต้องหาข้อมูลให้แน่น ก่อนวางแนวของสกู๊ปข่าว”
บรรณาธิการมองท่าทีกระตือรือร้นของธวัชพงษ์ด้วยความแปลกใจ
“จะเขียนเป็นบทความหรือ”
“ครับ ขอหน้ากลางฉบับวันอาทิตย์ให้ผมนะ”
“นั่นน่ะ พื้นที่ของมือระดับคอลัมนิสต์เชียวนะ วัช เขียนมาให้พี่อ่านก่อน แล้วพี่จะตัดสินเอง ว่าจะลงหน้ากลางวันอาทิตย์ หรือโน่น”
ธวัชพงษ์มองตามสายตา
“ถังขยะ”

กลางดึก ปฐวีนอนหันหลังให้โสมสุภางค์ ลืมตาอยู่ในความมืด โสมสุภางค์ลูบไล้แผ่นหลังของคนรัก
“เราจะแต่งงานกันแล้วใช้บ้านหลังนั้นเป็นเรือนหอ คุณสั่งให้ช่างซ่อมบ้านทั้งวันทั้งคืน เพื่อเตรียมเรื่องแต่งงานใช่มั้ยคะ”
ปฐวีลุกออกไป โสมสุภางค์ขยับตัว มองตามไปด้วยความแปลกใจ
“วี”
“ผมซ่อมบ้านหลังนั้นไว้เพื่อประโยชน์ของตัวเองน่ะ”
“แล้วการแต่งงานนี่ คุณได้ประโยชน์จากมันหรือเปล่าคะ วี”
ปฐวีหันกลับมา ยิ้มอ่อนโยน
“ไปยุโรปกันมั้ย”
“จริงหรือคะ”
“ผมจะพาคุณไปเที่ยวปารีส”
“ปารีส โอ ฉันฝันจะล่องแม่น้ำแซน ไปดูภาพโมนาลิซ่า เดินถนนชองเอลิเซ่ เต้นระบำกับคุณ เมื่อไหร่คะ”
โสมสุภางค์ตื่นเต้นดีใจ จนลืมข้อสงสัยของตัวเอง ผวาเข้ามากอดหลังปฐวีไว้ แนบใบหน้าลงบนแผ่นหลังของเขา ยิ้มอย่างมีความสุข
“เมื่อไหร่ๆๆ”
“เมื่อผมกวาดเรื่องรกๆ ลงถังขยะเสร็จแล้ว”
ปฐวีตอบด้วยแววตานิ่ง ขรึมลง

เฉวียงเดินกระวนกระวาย อยู่บริเวณโรงแรม ชิดชบาในชุดไว้ทุกข์เดินออกมาจากลิฟท์
“เมื่อวานผมโทร.มา คุณไม่รับสาย”
“เขาให้คุณลุงมาดูหนูว่าหนีไปหรือยัง ยังค่ะ เมื่อวานหนูไปค้างบ้านคุณป้าตลับนาคที่บ้านสวน หรือว่าเขาให้คุณลุงมาเร่งรัดเอาคำตอบ”
“ไม่ใช่ครับ คุณปฐวีให้เวลาคุณตัดสินใจ เขาต้องการคำตอบหลังจากเผาศพคุณพ่อคุณเรียบร้อยแล้ว ทนายเขาเพิ่งส่งเอกสารถึงผมเมื่อเช้า เรายังต้องจ่ายหนี้เป็นเงินสด เอ่อ ที่เกิดจาก”
“เท่าไหร่”
“ประมาณยี่สิบล้านบาท”
“ที่บ้านสวนของคุณป้า จะขายได้สักเท่าไหร่”
“อย่างมากไม่เกินสองล้าน ขายที่สวนตรงนั้น คุณตลับนาคจะไปอยู่ที่ไหนครับ ตอนบ้านถูกยึด คุณปฐวีก็ยอมให้อยู่ไปก่อน แต่คุณตลับนาคไม่อยากอยู่ครับ”
“ก็ยังดีนะ ที่เขายังมีเมตตากับคนแก่ เอ่อ เราจะไปเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ กู้แบงค์ได้มั้ยคะ”
“ตอนนี้ชื่อเสียงคุณชิดชงค์เท่ากับศูนย์ หลักทรัพย์ถูกยึดไปแล้ว เราไม่มีหลักประกันแบงค์ได้”
“นี่จะไม่มีทางออกเลยหรือคะ”
“มีอยู่อีกทางหนึ่ง คือ เอาโฉนดที่สวนของคุณตลับนาคไปจำนองกับทรัสต์ของคุณปฐวี”
ชิดชบาโกรธแค้น
“ไม่ ฉันจะหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้ มันจะได้หมดหนี้กรรมกันในชาติเดียว ฉัน กับนายปฐวี”

เลขาฯนั่งทำงานอยู่หน้าห้องปฐวี ปฐวีเปิดประตูห้องทำงานออกมา
“คุณโทร.ถึงคุณโสมสุภางค์ด้วยนะ ให้เตรียมตัวไปงานเผาศพคุณชิดชงค์ด้วย”
“ค่ะ คุณปฐวี”
ปฐวียิ้มหยัน

ภายในงานศพ ชิดชบาก้าวเข้ามาใส่ไฟ มองไปยังรูปถ่ายของชิดชงค์ เหมือนจะร้องไห้แต่พยายามอดกลั้น โสมสุภางค์ ปฐวี ถือดอกไม้จันทน์ ปฐวีสีหน้าเรียบเฉย โสมสุภางค์จ้องมองชิดชบาด้วยความสนใจ
“ลูกสาวคุณชิดชงค์นี่หน้าตาไม่เลวนะ ฉันก็เลยไม่แปลกใจกับเงื่อนไขที่คุณจะคืนบ้านหลังนั้นให้เจ้าของเดิม”
“ผมจะขึ้นไปเผาคุณชิดชงค์”
“คุณควรจะขออโหสิกรรมกับเขานะ ฉันไปด้วย คนอื่นจะได้ไม่ลืมฐานะฉัน ว่าเป็นคู่หมายของคุณ”
ชิดชบาใส่ไฟแล้วเดินลงมาหยุดยืนตรงหน้าปฐวีและโสมสุภางค์ ต่างมองสบตากันอย่างเย็นชา เชือดเฉือน
“ข้อเสนอของคุณเป็นข้อเสนอที่ดี เป็นอันว่าฉันตกลงค่ะ คุณปฐวี ฉันจะยอมเป็นนางบำเรอของคุณหนึ่งปี แลกกับบ้านของฉัน”
โสมสุภางค์ค่อยๆ หันมาจ้องหน้าปฐวีอย่างตื่นตะลึง
“นางบำเรอหรือ นี่มันอะไรกันคะวี ฉันนึกว่า ถ้าแม่นี่มีเงินมาไถ่บ้าน คุณก็จะคืนให้ แต่เงื่อนไขบ้าๆ นี่ ฉันไม่เคยได้ยิน ไม่จริงใช่มั้ยคะ มันโกหก”
“ตอบผู้หญิงของคุณไปซีคะ ว่ามันเป็นเรื่องจริง คุณเสนอจะคืนบ้านให้ฉัน เมื่อฉันยอมเป็น นางบำเรอของคุณ
หนึ่งปี เจ้าข้าเอ๊ย”
ชิดชบาแผดเสียง เมื่อผู้คนเข้ามารุมล้อมฟังด้วยความสนใจ
“มันช่างเป็นข้อเสนอที่พิลึกพิลั่นลามก แต่ฉันรับได้ค่ะ ฉันจะทำให้คุณรู้ว่าเวลาหนึ่งปี นรกเป็นยังไง”
ชิดชบาเดินออกไป โสมสุภางค์อ้าปากค้าง
“แก นัง”
ปฐวีมองตามชิดชบาไปด้วยความแปลกใจ

ชิดชบาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักโรงแรมอย่างเงียบๆ ยืนพิงประตู ก่อนที่จะค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งอย่างเศร้าหมอง
“พ่อคะ หนูจะเอาบ้านคืนมาให้ได้ หนูจะสู้ หนูจะไม่ยอมแพ้ หนูต้องได้บ้านคืนมา”
ชิดชบาร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
ในขณะที่โสมสุภางค์กลับมาที่อพาร์ตเมนท์ ก็กรีดเสียงด้วยความโกรธ หันขวับไปจ้องหน้าปฐวีที่ก้าวตามมาด้วยรอยยิ้ม
“คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือ บ้านราคานับร้อยล้าน แลกกับฐานะนางบำเรอของชิดชบา คุณจะมีผู้หญิงสักกี่คนก็ได้ โดยไม่ต้องเสียร้อยล้าน มันคุ้มมั้ย แล้วไหนจะ จะ”
“ผมไม่ได้คิดในแง่ของความคุ้มหรือไม่คุ้ม”
“แล้วคิดในแง่ของความเสี่ยงบ้างมั้ย เสี่ยงกับชื่อเสียงของคุณที่เป็นคนทำธุรกิจ เห็นฤทธิ์เห็นเดชของลูกสาวคุณชิดชงค์หรือยัง นรก มันอาจจะมีนรกจริงๆ ก็ได้”
“ผมก็อยากรู้ว่านรกมันเป็นยังไง โสมสุภางค์ เราจะแต่งานกัน และ ต่อไปนี้”
ปฐวีดึงตัวโสมสุภางค์เข้ามากอดไว้ ยิ้มด้วยแววตาอาฆาต
“ผมจะหยุดฝันร้าย”

หม่อมจรัสเรืองเดินลงมาส่งอรุณณรงค์ที่หน้าวัง เพื่อไปงานเลี้ยง
“ให้นายบ่ายขับรถให้ก็ไม่เอา ถนนเดี๋ยวนี้ กับถนนเมื่อก่อนที่ชายเอี่ยวจะไปเมืองนอกน่ะ มันไม่เหมือนกันแล้วนะลูก”
“ยังไงมันก็คือถนนครับหม่อมแม่ ผมกับถนนต้องอยู่ร่วมกันไม่ ว่าผมจะอยู่ที่ไหน อย่าห่วงผมเลยครับ”
“งั้นก็ขับรถดีๆ นะลูก นี่ถ้าแม่ไม่ติดธุระสำคัญ แม่ไม่ปล่อยให้ชายเอี่ยวไปงานเลี้ยงคนเดียวหรอก”
“ผมไปละครับหม่อมแม่”
“ขับรถระวังนะ”
อรุณณรงค์ขับรถออกไป หม่อมจรัสเรืองชะเง้อมองตามไปด้วยความห่วงใย

ชิดชบาเดินเหงาๆ ออกมาจากโรงแรม มองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกอ้างว้าง เหมือนคนไม่มีที่ไป เธอเดินออกมาด้านนอก หยุดยืนด้วยท่าทีเลื่อนลอย ก่อนจะวิ่งข้ามถนน รถยนต์ของอรุณณรงค์แล่นเข้ามาเฉี่ยวร่างของชิดชบาล้มลง
อรุณณรงค์รีบจอดรถเปิดประตูลงมาประคองชิดชบา
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เอ่อ ผมขอโทษ ผมเบรคไม่ทันจริงๆ ครับ เจ็บตรงไหนบ้าง”
“ฉัน”
“ผมพาคุณไปหาหมอดีกว่า เดินไหวมั้ยครับ”
“ฉัน ไม่ต้องค่ะ ฉันยังไปไหว ฉันจะรีบไป”
“คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่เจ็บ ลุกไหวมั้ยครับ”
ชิดชบาพยายามลุกขึ้นยืน เซ เสียหลัก อรุณณรงค์ช่วยรับร่างของเธอไว้ ทั้งสองต่างสบตากัน ชิดชบารีบเบี่ยงตัวยืน ทำทีเข้มแข็ง
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปส่งคุณได้มั้ยครับ ผมจะได้รู้สึกผิดน้อยลงที่ผม”
“ช่างเถอะ ฉันเซ่อเองที่ข้ามถนนไม่ดูรถ”
“คุณจะไปไหน ให้ผมไปส่งคุณนะ”
ชิดชบาขยับจะเดินออกไป แต่ชะงัก หันกลับมามองหน้าอรุณณรงค์ด้วยความแปลกใจ อรุณณรงค์ยิ้มสุภาพ เป็นสุภาพบุรุษ
“ก็ได้ ฉันจะไปบ้านคุณป้า”

ปฐวียืนแต่งตัวเพื่อไปงานเลี้ยง ด้วยแววตาเคร่งขรึม โสมสุภางค์เข้ามาโอบกอดด้านหลัง เธอเริ่มหวาดระแวงและไร้ความสุข แม้จะมีความหวังที่จะได้แต่งงานกับปฐวี
“เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ก่อนที่ข้อตกลงนั่นจะสมบูรณ์ ฉันจะอธิบายให้คุณแม่เข้าใจได้ยังไง เรื่องคุณกับ”“ชิดชบา ผู้หญิงคนนั้นชื่อชิดชบา”
“ชิดชบา ผู้หญิงสิ้นคิด ต้องเอาตัวแลกกับข้อตกลงของคุณเพื่อเงิน ฉันจะเรียกผู้หญิงจำพวกนี้ว่าอะไรดีนะ”
ปฐวีเหยียดยิ้ม ดูแคลนชิดชบา
“ผู้หญิงทุกคนมีศักดิ์ศรี คนที่มีมูลค่าสูงก็มีมากหน่อย ส่วนคนที่มีคุณค่าต่ำต้อยก็มีน้อย มันอยู่ที่ว่าสุดท้ายใครจะรักษามันอยู่ ไม่ขาย”
โสมสุภางค์มองปฐวีผ่านกระจกเงาด้วยความแปลกใจ
“แล้วชิดชบาล่ะคะ คุณจัดผู้หญิงคนนี้มีมูลค่าสูง หรือ ต่ำ”

อรุณณรงค์ขับรถเข้ามาจอดหน้าปากซอย ชิดชบาก้าวลงมาจากรถ อรุณณรงค์รีบเดินมาหาด้วยความอาทร
“คุณแน่ใจนะครับ ว่าไม่ได้เจ็บที่ไหน”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
“เอ่อ บ้าน บ้านคุณป้าคุณ ต้องเดินไปอีกไกลมั้ยครับ ผมจะเดินไปส่ง”
“ฉันเดินไปเองได้ค่ะ ขอบคุณที่มาส่ง”
ชิดชบาเดินเข้าซอยไป อรุณณรงค์ชะเง้อมองตาม ส่งเสียงตะโกน
“คุณ คุณชื่ออะไรนะ อ้าว เลยไม่รู้ชื่อกันเลย”
อรุณณรงค์มองตามไปอย่างเสียดาย

เถาว์เครือวิ่งตามโสมสุภางค์ขึ้นบันไดบ้าน เอะอะโวยวายไปด้วยความโกรธ เมื่อรู้ว่าปฐวีจะรับชิดชบามาเป็นนางบำเรอ เพื่อแลกกับบ้านที่ยึดมาได้จากชิดชงค์
“อะไรนะ รับผู้หญิงคนนั้นมาเป็น นางบำเรอ เพื่อแลกกับบ้านราคาเป็นร้อยๆ ล้านยังงั้นหรือ นี่แม่ไม่ได้ฟังผิดนะ ปฐวีเขาบ้าไปแล้วหรือ บ้านราคาร้อยล้าน กับผู้หญิงที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก”
โสมสุภางค์พยายามยิ้ม เสแสร้งมีความสุข
“แม่คะ แต่เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุดค่ะ เดี๋ยวหนูต้องไปงานเลี้ยงกับวีค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน พูดกันให้รู้เรื่อง แต่งงานกันนี่ คิดว่าการแต่งงานเป็นการเล่นขายของหรือยังไงโสมสุภางค์ แต่ง
งานทั้งที่มีผู้หญิงคนนั้นคาอยู่ในฐานะนางบำเรอ หนูทำใจได้ยังไงนะ”
เถาว์เครือก้าวเข้ามายืนตรงหน้าลูกสาว เริ่มชิงชังปฐวี
“ตอนรักกัน ปฐวีเขาจับหนูหันซ้ายหันขวา แม่พอรับได้ ตอนที่หนูเทหน้าตักไปนอนกับเขา แม่ก็ยังรับได้ แต่นี่ยื่นข้อเสนอแต่งงาน แต่มีนางบำเรอเป็นของแถม แม่ แม่จะรับได้ยังไง”
“เอ่อ”
“คิดว่านอนกอดทะเบียนสมรสแล้วเป็นสุขหรือ ระวัง หนูจะเป็นเมียที่อยู่บนหิ้ง แต่นางบำเรออยู่บนเตียง”
โสมสุภางค์เริ่มหวาดระแวง หวั่นกลัว

ชิดชบานั่งที่ศาลาท่าน้ำ บ้านสวน ปลิดกลีบกุหลาบทิ้งลงน้ำทีละกลีบ ตลับนาคมองหลานสาวด้วยความกังวล
“คิดดีแล้วหรือลูก”
“คิดถี่ถ้วนแล้วค่ะคุณป้า ถ้าตกลงทำตามเงื่อนไขนั่น หนูจะได้บ้านคืน แค่เสียสิ่งแลกเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ”
“ป้ารู้ว่าหนูทำไปเพราะความจำเป็น ไม่นึกเลยว่าชีวิตจะเหมือนผักเหมือนปลาตามตลาดอย่างนี้”
ตลับนาคสะเทือนใจ ซับน้ำตา ชิดชบาปลอบโยนทั้งที่เจ็บปวด แสร้งหัวเราะ ให้เห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆ
“ร้องไห้ทำไมคะคุณป้า หนูไม่ได้เดินไปตาย การเริ่มต้นไม่ได้มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตลูกผู้หญิง หนูจะเป็นคนที่เริ่มต้นทุกวัน ทุกวัน”
“แล้วนี่ คุณปฐวีเขาให้ทำอะไรบ้าง”
“เขายังไม่ได้สั่งให้ทำอะไรค่ะ หนูก็อยู่โรงแรมตามเดิม กินแล้วก็นอนค่ะ”
“แล้วหนูต้องเข้าไปอยู่ในบ้านนั้นหรือเปล่าชิดชบา”
“คงต้องไปค่ะ”
ตลับนาคดึงตัวชิดชบาเข้ามากอด ร้องไห้
“ชิดชบา ป้าเป็นห่วงหนูก็จริง แต่ป้าก็ทนเห็นอะไรทุเรศทุรังแบบนั้นไม่ได้ ไปมาให้ป้าเห็นหน้าหนู รู้ทุกข์รู้สุขของหนู บ้านอาจจะเป็นความหวังของหนู แต่ป้าน่ะ แก่เกินกว่าที่จะหวังอะไรอีกแล้ว ป้าเป็นห่วงหนูนะลูก ชิดชบา”
“คุณป้า”
ชิดชบาน้ำตาร่วงพรู

ภายในงานเลี้ยง ธวัชพงษ์กำลังยืนเขียนข่าว เงยหน้าขึ้นมองไปยังโสมสุภางค์ที่เดินควงแขนปฐวี ทักทายแขกที่ร่วมงานเลี้ยง มีคนแนะนำให้ปฐวีรู้จักกับอรุณณรงค์
“นี่คุณปฐวีครับ เขากำลังมาแรงทุกเรื่อง ตอนนี้ถ้าใครไม่รู้จักคุณปฐวี ก็คงถูกถามว่าไปอยู่ไหนมา”
“ถ้าอย่างนั้น ขออนุญาตผมทำความรู้จักคุณปฐวีด้วยนะครับ”
อรุณณรงค์ยื่นมือให้ปฐวีด้วยความเป็นมิตร ด้วยรอยยิ้มและท่าทีเปิดเผย โสมสุภางค์มองอรุณณรงค์ด้วยความชื่นชม
“คุณชายอรุณณรงค์ครับ เพิ่งกลับจากเมืองนอก”
แขกในงานแนะนำกับปฐวี
“ยินดีที่รู้จักครับ เรื่องของผมอาจจะเกินจริงไปหน่อย ฟังเรื่องของผมแล้วอย่าลืมเอาห้าหารนะครับ”
“คุณชายอรุณณรงค์นี่เอง คุณแม่เคยพูดถึงคุณชายด้วยความชื่นชมค่ะ ฉัน โสมสุภางค์ค่ะ”
โสมสุภางค์กระชับอ้อมแขน แสดงความเป็นเจ้าของปฐวี
“เป็นคู่หมายของวี เรากำลังจะแต่งงานกัน”
“จริงหรือครับ ผมแสดงความยินดีตอนนี้เร็วไปมั้ยครับ”
“เร็วไปครับ”
ท่าทางปฐวีองอาจ สง่างาม โสมสุภางค์เหลือบตาขึ้นมองปฐวีด้วยความแปลกใจ
“เพราะงานแต่งงานของเรา เราต้องเชิญคุณชายอรุณณรงค์ด้วยครับ”
โสมสุภางค์ยิ้มได้
“ค่ะ เราต้องเชิญคุณชาย”

ชิดชบานั่งกอดเข่า เหงา เศร้าหมอง อยู่ภายในห้องของโรงแรม เสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ลังเล ก่อนที่จะตัดสินใจเปิด โสมสุภางค์ยืนอยู่ ก่อนเดินผ่านชิดชบาเข้ามาด้วยท่าทีเชิด หยิ่ง
“คุณ”
“ขอบใจที่ยังจำฉันได้ ทั้งที่เรายังไม่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ อยู่สบายนี่”
“ค่ะ ตามคำสั่งเจ้านาย คุณปฐวี”
“วี เขาเป็นคนรสนิยมดีเรื่องที่อยู่ที่กิน รวมทั้งผู้หญิงด้วย แต่เสียอยู่อย่างเดียวเขาเบื่อง่าย ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ที่พัก หรือผู้หญิง”
“มันเป็นธรรมดาของคนที่มีโอกาสเลือกไม่ใช่หรือคะ เอาเป็นว่าเขามีสิทธิ์เลือก เขาก็ต้องทำตัวเป็นคนเรื่องมาก ไม่ยังงั้นก็ไม่ใช่ จริงมั้ย”
โสมสุภางค์หน้าเผือด เมื่อโดนย้อนรอยอย่างเรียบๆ เริ่มคุมอารมณ์ไม่ได้
“เธอคิดว่าเธอจะเป็นนางบำเรอของเขาได้นานสักเท่าไหร่”
“ฉันตอบคุณไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับนายจ้างกำหนด หรืองานของเราบรรลุเป้าหมายเกินคาด มันเป็นธุรกิจค่ะ มันก็คือธุรกิจ”
“เธอยังไม่รู้จักปฐวี แล้วเธอจะรู้จักเขา”
โสมสุภางค์สะบัดหน้าเดินออกไป ชิดชบาสลดลงด้วยความหวาดกลัว คว้าขวดไวน์ขึ้นมาเปิดก่อนดื่มแทนน้ำ แล้วเอารดศีรษะด้วยท่าทีลนลาน เพื่อดับความหวาดกลัว

ปฐวีขับรถเข้ามาจอดภายในโรงแรม บริกรเข้ามารับกุญแจเพื่อนำรถไปเก็บ เขาเหลือบสายตาขึ้นมองสูง แววตายิ้มเหี้ยม ก่อนจะเดินเข้าโรงแรมไปที่ห้องของชิดชบา ประตูห้องเปิดออกอย่างช้าๆ ปฐวียืนอยู่ภายนอก กวาดสายตามองเข้ามา ก่อนมองลงไปยังพื้นพรม ชิดชบานอนคว่ำหน้าหลับสนิทอยู่บนพื้น ปฐวีกระชากตัวหญิงสาวขึ้นมาด้วยความโกรธ
“คุณ นี่ คุณ”
“ใครน่ะ”
“ผมเอง”
“คุณ”
ชิดชบาจ้องหน้าปฐวีนิ่งๆ ยังมีอาการเมาค้าง
“คุณ”
“ใช่ ผมเอง การเป็นนางบำเรอไม่ใช่ของง่ายนะ อย่างน้อยคุณต้องจำผมได้ทุกครั้งที่ผมมาใช้บริการ”
“แล้วไง”
“นี่ คุณเมาหรือ”
“ใช่ ฉันเมา มีอะไรมั้ย ถ้าฉันจะเมา”
“ผมไม่ชอบให้ผู้หญิงของผม ทำตัวเหมือนผู้หญิงข้างถนน ถ้าผมต้องการผู้หญิงแบบนั้น ผมหาได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมาลงทุน”
ชิดชบาใช้นิ้วจิ้มอกของปฐวีผลัก ก่อนเซออกไปส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“อ้อ ต้องการผู้หญิงรสนิยมบนเตียงเยี่ยม เท่าๆ กับพาเดินบนถนนได้ซีนะ นี่แน่ะคุณปฐวี ฉันจะบอกอะไรให้ ผู้หญิงที่คุณซื้อได้น่ะ สันดานมันก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ ไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนที่คุณซื้อได้หรอก นอกจากผู้หญิงหยำฉ่าอย่างฉัน”
“คุณ”
ปฐวีก้าวเข้ามาด้วยความโกรธ ชิดชบาเชิดหน้าเชิดไหล่เผชิญหน้าก่อนทรุดฮวบลงนอนกองกับพื้น ปฐวีก้มลงมองชิดชบาด้วยความแปลกใจ

หม่อมจรัสเรืองแนะนำอรุณณรงค์ด้วยความภูมิใจ กับบรรดาคุณหญิงคุณนายและเถาว์เครือ
“ชายเอี่ยวของฉันไปอยู่อังกฤษตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ ตอนนี้เขาจะกลับมาสอนหนังสือ มาอยู่เป็นเพื่อนแม่ ฉันคงจะหายเหงา มีเพื่อนเดินออกกำลังตอนเช้าๆ ละค่ะ”
“ครับ ผมจะกลับมาดูแลหม่อมแม่ แล้วเริ่มทำงานเลยครับ”
“ยินดีกับหม่อมท่านด้วยนะคะ คุณชายเอี่ยวกลับมา กรุงเทพฯ คงจะหอมกลิ่นโสด ดีค่ะ จะได้มีอะไรๆ เป็นสีสัน จริงมั้ยคะคุณเถาว์เครือ”
“ค่ะ หม่อมท่านโชคดีที่มีคุณชายเอี่ยว”
“คุณเองก็กำลังจะได้โชคหลายชั้นไม่ใช่หรือคะ เห็นว่าหนูโสมสุภางค์จะแต่งงาน”
“แหม ก็ไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้าย เพราะได้ข่าวว่าคุณปฐวีเขามีของแถมเป็นนางบำเรอมาช่วยราชการหนูโสมสุภางค์ไม่ใช่หรือคะ”
คุณนายคนหนึ่งพูดขึ้น หม่อมจรัสเรืองอุทานเบาๆ ด้วยความแปลกใจ
“นางบำเรอหรือคะ”
เถาว์เครือกระอักกระอ่วน หม่อมจรัสเรืองหันมาสบตาอรุณณรงค์ด้วยความแปลกใจ

ปฐวีนั่งทำงานอยู่ โสมสุภางค์เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันมารับคุณไปทานกลางวันค่ะวี ฉันจองโต๊ะไว้แล้ว”
เลขาฯ เปิดประตูเข้ามา
“บัตรเครดิตที่คุณปฐวีสั่ง เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวผมจะออกไปกินข้าว คุณส่งไปให้ทนายเฉวียงเลยนะ”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน นี่บัตรเครดิตใคร”
“ของคุณชิดชบาค่ะ”
เลขาฯออกจากห้องไป โสมสุภางค์หันขวับมาจ้องหน้าปฐวี
“บัตรเครดิต นางบำเรอสมัยนี้ต้องใช้บัตรเครดิตด้วยหรือคะ”
“มันเป็นบริการเสริมน่ะ ไม่ยังงั้นนกตัวนี้จะไม่มีอะไรทำ”
ปฐวีเยาะๆ เข้ามากอดเอวโสมสุภางค์
“นอกจาก ถูกขังอยู่ในกรง”

ชิดชบายกบัตรเครดิตขึ้นส่องกับแสงไฟ ด้วยแววตาเจ็บปวด โกรธ หันมาถามเฉวียง
“บัตรเครดิตหรือ”
“ครับ คุณปฐวีเขาให้เลขาฯ ของเขาจัดการเรื่องบัตรเครดิตให้คุณ เรื่องนี้คุณเป็นคนตัดสินใจเองนะครับ”
“พ่อขี้ขลาด ฉันรู้แล้วละค่ะว่าพ่อกลัวที่จะมีชีวิตอยู่กับความสูญเสีย พ่อเคยร่ำรวยพริบตาเดียวจากการพนัน แล้วพ่อก็เสียมันในพริบตา แล้วนี่ท่านเจ้านาย เขาจะสั่งให้ทำอะไรต่อไปคะ”
“คุณต้องย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น”
“บ้าน”
ชิดชบาค่อยๆ ยกบัตรเครดิตขึ้นจ้องมองด้วยความแค้นใจ
“นายจะต้องรู้ว่านรกมีจริง”

ชิดชบาเดินช้อปสินค้าฟุ่มเฟือยมากมายอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า โดยใช้บัตรเครดิต เพื่อกลั่นแกล้งปฐวี
ก่อนโยนถุงจำนวนมากมายกระจายไปตามพื้น
“นายปฐวี ฉันจะรูด ๆ ๆ จนนายเหลือแต่กางเกงใน”

ปฐวีขับเครื่องบิน โดยมีนักบินที่สองทำหน้าที่ผู้ช่วย เขามีความสุขอย่างผู้ชนะ จากนั้น นำเครื่องบินลงจอด เจ้าหน้าที่วิ่งเข้ามาเปิดประตู
“คุณส่งสัญญาให้ฝ่ายกฎหมายผมพรุ่งนี้เลยนะ ตกลงผมซื้อลำนี้”
“ครับผม คุณปฐวี”
ปฐวี นักบินที่สองเดินออกไป อรุณณรงค์และเพื่อนเดินเข้ามา เพื่อนหันมาบอกอรุณณรงค์
“คุณปฐวี เขาเป็นคนที่จับธุรกิจหลายอย่าง ไม่ใช่จู่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมา โดยไม่มีสาเหตุ”
“เขาเป็นคนเก่งนะ”
“ครับ คุณชาย แต่เขามีเบื้องหลังเป็นนักพนัน”
อรุณณรงค์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“นักพนันหรือ”

โสมสุภางค์นั่งกอดอกอยู่ในบ้าน หน้านิ่งๆ พยายามเก็บความรู้สึก เถาว์เครือโวยวาย ร้อนใจ
“ปฐวีเขาทำอย่างนั้นทำไม ตอนนี้เรื่องของเขากับนางบำเรอกำลังกระฉ่อนไปทั่วสังคม ทำไมไม่จัดการให้มันรู้แล้วรู้รอด ทั้งที่เราเป็นคู่หมาย เรามีสิทธิ์นะลูก”
โสมสุภางค์ถอนหายใจ
“วีเป็นคนเข้าใจง่ายนักหรือคะ หนูก็ไม่เคยเข้าใจเขามาตั้งแต่ต้น จนป่านนี้ยังไม่รู้จักเทือกเถาว์เหล่ากอเขาเลยด้วยซ้ำ เรื่องผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนกัน เขาก็พูดไม่อ้อมค้อมหรอกค่ะคุณแม่ ว่าเขาต้องการไว้เป็นนางบำเรอ”
“แล้วหนูจะแต่งงานกับเขาทั้งที่เขามีผู้หญิงคาราคาซังอย่างนี้น่ะหรือ ใช่ เขารวย แต่รวยอย่างเดียวมันไม่พอนะ มันต้องหน้าตาดีมีหน้ากากสวมด้วย มันถึงจะดูดี”
“ปล่อยวีเขาสักพักหนึ่งเถอะค่ะ ตั้งแต่เขาขับเคี่ยวกับคุณชิดชงค์เรื่องเกมพนัน หนูไม่เคยเห็นเขามีความสุขเลย
จนกระทั่งเขาชนะ”
“คุณชิดชงค์เขาก็มือหนึ่ง ร่ำรวยขึ้นมาด้วยการพนัน มีไม่กี่คนหรอกทำได้อย่างเขา ไม่น่าเชื่อนะว่าเขาต้องแพ้สิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องฆ่าตัวตาย”
“หนูกลัวค่ะ กลัวว่าเวรกรรมมันจะตามทันปฐวี ถึงวันนั้นหนูก็ไม่รู้ว่าผลกรรมของวี จะตกมาถึงหนูหรือเปล่า ดูตัวอย่างคุณชิดชงค์ซิคะ กรรมที่เขาทำยังตกมาถึงลูก”
“อย่าปล่อยเขานัก ชิดชบามีเลือดนักพนัน”
เถาว์เครือเดินเข้ามาจ้องหน้าโสมสุภางค์
“เลือดพ่อคงแรงพอตัว ระวัง”
โสมสุภางค์เริ่มหวั่นไหว หวาดกลัว

ชิดชบาหิ้วถุงสินค้าที่ซื้อมาจากศูนย์การค้า ล้วนเป็นข้าวของแบรนด์เนมราคาแพงทั้งสิ้น
“แท็กซี่”
ชิดชบานั่งอยู่ในรถแท็กซี่อย่างเลื่อนลอย รอบตัวเต็มไปด้วยถุงสินค้า แท็กซี่บ่นถึงชีวิตรันทดเป็นภาษาอีสาน
“ลำบากครับ ผมต้องวิ่งรถสองกะ ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่อย่างนั้นไม่พอค่าเทอมลูก ไม่มีค่าอยู่ค่ากินให้แม่ให้เมีย นาแล้งครับ แล้งเงิน เอาไปจำนำกับนายทุนถูกยึด เลยต้องเข้ากรุงเทพมาขับแท็กซี่ ข้าวก็ต้องซื้อ หัวหอมหัว
กระเทียมก็ต้องซื้อ”
ท่าทีที่เลื่อนลอยเศร้าหมองของชิดชบาเริ่มกระเตื้องขึ้น เธอหันมาฟังเรื่องทุกข์ยากของคนอื่นด้วยความสนใจ
“เมียก็ทำงานหนักไม่ได้เป็นมะเร็งในมดลูก นี่ผมก็กำลังจะหาเงินสักก้อนไปรักษาเมีย สงสาร เคยอิ่ม
เคยอดมาด้วยกันครับ ไม่อยากให้ตาย ไม่รู้เมียตายแล้วผมจะอยู่ยังไง”
“เอ่อ จอดหน้าโรงแรมนั่น”
“ครับผม”
ขิดชบาเทเงินที่มีอยู่ให้คนขับแท็กซี่
“เอาเงินนี่ไปรักษาเมียนะ แล้วของนี่ ฉันฝากไปให้ลูกก็แล้วกัน”
ชิดชบาเปิดประตูรถแท็กซี่ออกไป แท็กซี่ร้องตะโกน
“คุณครับ คุณ ขอบใจหลายๆ เด้อครับ ขอให้มีความสุขหลายๆ เด้อ ใจบุญหลาย”
ชิดชบาเปิดประตูเข้ามาในห้อง ยืนพิงประตูพึมพำเบาๆ อย่างเศร้าหมอง
“ยังมีคนที่ทุกข์กว่า มีคนที่ลำบากกว่า มีคนที่เขาเจียนตายมากกว่าเรา เราต้องสู้ พ่อคะ”
ชิดชบาน้ำตาคลอ
“หนูจะสู้”

โสมสุภางค์นอนอยู่ แล้วพลิกตัวเข้ามาโอบกอดปฐวีซึ่งนอนหันหลังหลับตานิ่งๆ
“คุณถือว่าเรื่องนั้นเป็นธุรกิจเหมือนอย่างที่ชิดชบาคิดหรือเปล่า”
“ธุรกิจ หมายความว่ายังไง”
“ผู้หญิงที่กล้าขายตัวเองเพื่อสิ่งแลกเปลี่ยน เราเรียกว่า ผู้หญิงขายตัว จะชั้นสูงอยู่ในวิมานหรืออยู่ในซ่องโสโครก มันก็ผู้หญิงขายตัว มันเป็นธุรกิจค้าความใคร่”
ปฐวียิ้มด้วยความพอใจ กุมมือโสมสุภางค์มาแนบไว้กับอก
“คุณไปเก็บผู้หญิงพวกนั้นมาค้างใจทำไมกัน”
“ฉันรู้สึกว่าชิดชบาไม่ใช่ผู้หญิงขายตัวธรรมดาๆ น่ะซีคะวี ระวังชิดชบาจะทำให้คุณย่อยยับ”
“อะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้น”
“ก็เพราะคุณทำให้คุณชิดชงค์ฆ่าตัวตาย ชิดชบาเป็นลูกสาวคนเดียว ถ้าต้องขายตัวเพื่อแลกบ้าน มีหรือที่ชิดชบาจะไม่แก้แค้นคุณ”
“คิดมากไปหรือเปล่า วิตกไม่เข้าเรื่องน่ะ ผมเคยมีผู้หญิง ไม่เห็นคุณเคยหวั่นไหว”
ปฐวีจับมือโสมสุภางค์ขึ้นมาจูบ
“ตอนนี้คุณเอาความเป็นแม่พระของคุณไปไว้ที่ไหนนะ”
“เมื่อไหร่เราจะแต่งงาน”
“ถึงเวลานั้นคุณจะเตรียมตัวแทบไม่ทัน พนันกันมั้ยล่ะ”
โสมสุภางค์เริ่มหวั่นกลัว
“เลิกเอาชีวิตไปเล่นพนันเสียทีเถอะค่ะ ฉันเห็นชีวิตคุณชิดชงค์มาแล้ว เขาฆ่าตัวตายเพราะเขาเสียทุกอย่างให้การพนัน แม้แต่ลูกของเขาเอง ฉันกลัวค่ะ ฉันกลัว”
ปฐวีดึงโสมสุภางค์เข้ามากอดปลอบโยน ด้วยแววตาชิงชังชิดชบา

รถยนต์คันยาวแล่นเข้ามาจอดที่คฤหาสน์ ชิดชบาลงจากรถ เฉวียงก้าวตามลงมา จำเรียงและสาวใช้ในเครื่องแบบ 2 คน เข้ามายกมือไหว้อย่างนอบน้อม ชิดชบาถอดแว่นดำมองไปรอบๆ คฤหาสน์
“ไม่ต้องต้อนรับฉันเหมือนนางพญาหรอก นายจ้างพวกเธอเขาไม่ได้บอกหรือว่าฉันมาอยู่บ้านนี้ในฐานะอะไร”
“เชิญครับคุณชิดชบา”
“กรุณาเถอะค่ะคุณลุง อย่าทำให้หนูรู้สึกว่าเป็นนางฟ้าตัวเล็กๆ อีกเลย เพราะเดี๋ยวนี้ ที่นี่ เวลานี้ หนูเป็นแค่นางบำเรอ นางบำเรอที่แทบจะไม่มีเกียรติเหลืออยู่เลย”
ชิดชบามองไปรอบๆ บ้าน พยายามกัดริมฝีปากที่สั่นสะท้านด้วยความอดกลั้นกับความรู้สึกเจ็บปวดสูญเสีย
“นางบำเรอ”
ชิดชบาเดินเข้ามาในห้องโถง หมุนตัวไปรอบๆ มองไปยังภาพเขียน และเครื่องตกแต่งภายในคฤหาสน์
“บ้าน นี่คือบ้านของฉัน มีของที่ฉันเคยใช้ ของชิ้นนี้ไง ฉันวางไว้ที่นี่ตั้งแต่ฉันอายุสิบห้า บ้านของฉัน ทำไมเขา
ไม่กวาดของพวกนี้ทิ้งขยะ ทำไมล่ะ”
ชิดชบามองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ

ภายในห้องนอนของคฤหาสน์ ตกแต่งอย่างหรูหรา มีภาพของห้องนอนเก่าเมื่อครั้งที่ชิดชบาเคยใช้ชีวิต
เธอค่อยๆ เปิดประตูเข้ามา ก่อนก้าวเข้ามาด้วยท่าทีลิงโลด ตื่นเต้นดีใจ
“เตียง เตียงของฉัน โคมไฟก็ยังอยู่ ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นยังอยู่”
ชิดชบากางแขน หงายผึ่งลงนอนแล้วหลับตาลงอย่างมีความสุข ปฐวีเข้ามายืนมองด้วยแววตาเหยียด หยิ่ง ชิดชบาผวาลุกขึ้นนั่ง
“คุณ”
“คุณควรจะรักษากิริยาให้ดูดีกว่านี้นะ ชิดชบา”
“คุณจะมาหวังอะไรมากมายกับผู้หญิงหยำฉ่าอย่างฉัน นางพญากับนางบำเรอน่ะมันเหมือนกันไม่ได้หรอกค่ะ
คุณคงไม่หวังว่าสินค้าของคุณจะเลิศเลอนักไม่ใช่หรือคะ คุณปฐวี”
“ชิดชบา”
“จะบอกอะไรให้ วันนี้ฉันใช้บัตรเครดิตที่คุณทำให้ ไปแปดแสน เชอะ เป็นนางบำเรอเศรษฐีทั้งที จ่ายสี่ซ้า
ห้าหมื่นก็โง่เต็มทีละ”
ปฐวีตกใจ
“แปดแสนหรือ”
ชิดชบาแล่นถลาลงมาตามบันไดวน ด้วยท่าทีรื่นเริง ปฐวีก้าวตามลงมา เครียดหนัก
“แปดแสนหรือ”
“ค่ะ แปดแสน ฉันรู้ว่าขนหน้าแข้งคุณไม่ร่วงหรอก ก็อย่างที่ฉันบอก เป็นนางบำเรอเศรษฐี จะทำตัวซอมซ่อ ก็
เสียสถาบันนางบำเรอน่ะซีคะ”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะ ผมต้องการพูดกับคุณตอนยังสติดี”
“ฉันไม่ได้บ้า ไม่เคยมีประวัติโรคทางจิต ฉันพร้อมจะรับฟัง ว่ามา”
“ก่อนอื่นคุณต้องอยู่ที่นี่ในฐานะที่คุณเคยอยู่เคยเป็น”
“ว้าว เจ้าของบ้านหรือคะ แหม ฉันเลยไม่รู้จะรับความกรุณาทำนองนี้ เพื่อประโยชน์อะไร”
“มนุษย์น่ะ นับวันความสุขมันจะห่างชีวิตออกไปเรื่อยๆ ผมแนะนำให้คุณหาความสุขให้ตัวเอง ตลอดเวลาหนึ่งปีที่คุณติดคุกอยู่ที่นี่ ไม่มีผู้ชายคนไหนทุ่มเงินจำนวนนับร้อยล้านเพื่อไถ่ตัวคุณ หรือถึงจะมีผู้ชายร่ำรวยคนนั้น เขา
ก็คงคิดแล้วคิดอีก ว่ามันคุ้มกับสินค้าที่เขาจะใช้ประโยชน์หรือเปล่า”
ชิดชบานิ่งงัน แค้น เมื่อถูกตีราคาเหมือนสัตว์
“ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่า จริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมพูดนี่มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เป็นธรรมดาสำหรับคนไม่คุ้นเคยกันอย่างเรา ก็เลยต้องทำความเข้าใจกันให้มาก ก่อนจะเริ่มต้น”
ชิดชบาเชิดหน้า เก็บกลั้นความเจ็บปวด ขมขื่น
“ฉันพร้อมแล้ว ฉันเปลี่ยนหัวใจกับวิญญาณเป็นแม่ค้า ตั้งแต่รู้ว่าฉันต้องการบ้านหลังนี้คืน ฉันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว”
“คุณปลงได้ก็ดี เอกสารนี่ ผมจะให้ทนายฝ่ายผมส่งให้ทนายฝ่ายคุณ มันจะถูกโอนอย่างสมบูรณ์ในอีกหนึ่งปี
ข้างหน้า หมายถึงหนึ่งปีที่ผมจะต้องไปจากที่นี่ ถ้า”
ปฐวีเปิดซองเอกสารออก ให้ชิดชบาดู
“ผมแพ้คุณ”
ชิดชบาเหลือบตาจากเอกสารขึ้นมองหน้าปฐวีด้วยความแปลกใจ

โสมสุภางค์นั่งท้าวคางเงียบๆ ครุ่นคิด กังวล อยู่ในร้านอาหาร ปฐวีเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง
“ผมขอโทษที่มาช้า”
“เรียบร้อยใช่มั้ยคะ คุณส่งชิดชบาเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นแล้ว”
“ใช่”
“ถ้าเราแต่งงานกัน ชิดชบาจะอยู่ในฐานะอะไร”
“ก็ฐานะเดิมตามข้อตกลง ทำไมหรือ ชิดชบาทำให้คุณไม่สบายใจหรือ”
“คุณแม่ฉันแคร์กับเสียงคนรอบข้าง ฉันน่ะไม่เคยคิดว่าผู้หญิงอย่างชิดชบามีค่าอะไร”
“แล้วทำไมคุณไม่ลืมชิดชบา เหมือนลืมผู้หญิงอื่นๆ ของผม”
“วี คุณลงทุนเพื่อผู้หญิงคนนี้มากกว่าทุกคน สินค้าชิ้นนี้มีอะไรดีไปกว่าสินค้าอื่นๆ ที่คุณเคยลองใช้คะ”
ปฐวีนิ่งอึ้ง
“เวลาของเราไม่ควรมีคนอื่น”
“ฉันขอโทษค่ะ”
“ผมสัญญาว่าชิดชบาจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา เรายังไม่แต่งงานกันเร็วนักไม่ใช่หรือ เอาเถอะ ผมบอกแล้วไง เราจะไปยุโรปกันสักสองสามอาทิตย์ ใช้เวลาสำหรับเราสองคน”
โสมสุภางค์เริ่มยิ้ม
“ดื่มให้กับสินค้าชิ้นใหม่ค่ะ”
“ดื่มให้กับความสุขของเราดีกว่า เพราะถ้าโลกนี้มีเราสองคน โลกไม่ควรมีคนอื่น จริงมั้ย”
ทั้งสองต่างยกแก้วชนกัน ยิ้มอย่างมีความสุข

ชิดชบาเดินลงมาจากบันไดวน เฉวียงรออยู่ในห้องโถง
“ผมเอาเอกสารการโอนสิทธิ์มาให้คุณตรวจสอบก่อนส่งไปเก็บที่เซฟธนาคาร”
“คุณลุงตรวจดูหรือยังคะ”
“คุณปฐวีเซ็นโอนลอยไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เอกสารฉบับนี้จะสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด หนึ่งปีข้างหน้า”
“หนึ่งปี เวลาหนึ่งปี ไม่นานเลยไม่ใช่หรือคะคุณลุง”
“ค่าใช้จ่ายของคุณ เขาจะจ่ายให้เป็นรายเดือน รถยนต์เขาจัดมาให้ คุณปฐวีมีคอนโดส่วนตัวกลางเมือง คุณต้องศึกษาเอาเองในฐานะที่คุณต้องอยู่กับเขา”
“ฝากคุณป้าตลับนาคด้วยนะคะ”
“ผมจะดูแลท่านเอง คุณควรจะ”
“เก็บเอกสารฉบับนี้ไว้เถอะค่ะ วันนี้มันก็แค่เศษกระดาษ แต่วันหนึ่งข้างหน้า”
ชิดชบาเจ็บปวด ขมขื่น แต่ทระนง
“มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเรา”

อรุณณรงค์ยังคงกังวลใจ ที่ขับรถเฉี่ยวชิดชบา หม่อมจรัสเรืองมองด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือชายเอี่ยว”
“ผมห่วงผู้หญิงคนที่ผมขับรถเฉี่ยวน่ะครับ ไม่รู้อาการเป็นยังไงบ้าง”
“น่าจะถามชื่อเสียงเรียงนามไว้ จะได้แสดงความรับผิดชอบ รถเฉี่ยวรถชนนี่บางทีอาการยังไม่ออกเพราะ
ตกใจ”
“นั่นน่ะซีครับ ผมก็ลืมไป บางทีผมอาจจะตามไปที่”
“แล้วเอี่ยวรู้หรือลูก ว่าบ้านอยู่ที่ไหน”

ที่บ้านสวน ตลับนาคยืนคุมคนงานตัดแต่งสวนผลไม้ที่รกเรื้อ เนื่องจากถูกทิ้งร้างไปนาน
“นี่ ตัดแต่งนะ ไม่ใช่ตัดทิ้ง แต่งให้แตกใหม่มันจะได้ออกดอกออกผล สวนทิ้งร้างมานาน ดูเถอะ รกไปหมด”
“ครับ คุณป้า”
“ฉันจะขุดลอกคลองใหม่ จะได้มีน้ำขึ้นน้ำลง แถวนี้พอถนนตัดผ่าน ก็เลยเป็นย่านจัดสรร เสียดายนะ”
อรุณณรงค์เข้ามามองหาชิดชบา
“คุณป้าครับ”
“มีอะไรหรือคุณ”
“ผมมาตามหาผู้หญิง ชื่อ เอ่อ ผมไม่ทราบชื่อน่ะครับ แต่ผมเคยมาส่งที่ปากซอย เอ่อ”
“มาตามหาคนแต่ไม่รู้ชื่อ แล้วฉันจะรู้มั้ยล่ะว่าคุณตามหาใคร”
อรุณณรงค์อึกอัก ตอบไม่ได้

กลางคืน ชิดชบาเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนอย่างเศร้าหมอง ชะงักเมื่อเห็นปฐวียืนกอดอกนิ่งๆ หันหลังให้
“คุณ”
“ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้ขึ้นมายืนอยู่ที่นี่ในฐานะเจ้าของบ้าน”
ปฐวีหันกลับมาช้าๆ มองชิดชบาด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน แต่น้ำเสียงอ่อนโยน
“และเป็นเจ้าของคุณ”
“คุณปฐวี”
“มานี่”
“ฉันหรือ”
“ใช่ มายืนตรงนี้”
ปฐวีถอยอย่างสุภาพ ชิดชบาก้าวเข้ามายืนตรงหน้าต่าง
“คุณเห็นอะไร”
ชิดชบาจ้องหน้าปฐวีอย่างตื่นตระหนก ก่อนหันไปมองผ่านบานหน้าต่างลงไปยังสนามหญ้า
“คุณเห็นอดีตอย่างที่ผมเห็นมั้ย”
“ฉัน”
ภาพในอดีตผุดขึ้นมา เป็นภาพงานเลี้ยงหรูหราที่จัดขึ้นกลางสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ ชิดชบาเต้นรำอย่างมีความสุข ขณะที่ชิดชงค์และคนอื่นๆ เฝ้ามองท่าทีรื่นเริงเหมือนนกน้อยของชิดชบาด้วยความรัก
“ตอนนั้น คุณคงไม่คิดถึงมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่เคยเป็นเหยื่อของพ่อคุณหรอก ผมโตขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
เพราะพ่อผมถูกเพื่อนทรยศโกงจนหมดตัว”
“คุณ คุณจ้องมองเราอย่างเสือหิวมานานแล้วซีนะ”
“ผมไม่เคยพบคุณมาก่อน ถ้าผมพบคุณ ผมคงจำคุณได้ตั้งแต่เราพบกันที่ปารีส ผมรู้แต่ว่าคุณชิดชงค์มีลูกสาวสวยเหมือนนางฟ้า”
ปฐวีก้าวเข้ามา อ่อนโยน สุภาพ หากแต่ซ่อนลึกไปด้วยความแค้น ชิดชบาถอยด้วยความหวาดกลัว
“คือคุณ”
“ฉัน”
“ผมเป็นเสือลำบากที่ไม่เคยทิ้งสัญชาติญาณเสือ ผมพยายามไม่หยุดที่จะเอาชนะพ่อคุณ”
“คุณก็แค่เซียนพนันเหมือนพ่อฉัน แต่เกมนี้พ่อเป็นคนแพ้”
“พ่อคุณเคยชนะมานับครั้งไม่ถ้วน ก็เลยไม่เคยชินที่จะแพ้ คนที่ชนะคนอื่นมามาก มักไม่ชินกับความพ่ายแพ้ของตัวเอง”
ชิดชบาเริ่มร้องไห้ อ่อนแอ เจ็บปวด
“สักวันหนึ่ง กรรมเวรที่คุณสร้าง มันจะย้อนกลับสนองตัวคุณเอง ถึงเวลานั้น อย่าลืมความเป็นเซียนพนันของคุณก็แล้วกัน”
“ผมเป็นพ่อค้า เป็นนักเลงการพนัน สินค้าชิ้นนี้ มีทั้งปริมาณกับคุณภาพ มันคงคุ้มกับเงินที่ผมจ่ายไป”
“คุณ”
“ก็ไหนคุยว่าเป็นแม่ค้าไม่ใช่หรือ เสนอสินค้าของคุณซี ลูกค้าอย่างผมจะได้รู้ว่าปริมาณกับคุณภาพของสินค้าสมราคาหรือเปล่า หรือว่า มีแต่ปริมาณ คุณภาพ ยังงั้นๆ”
“นายปฐวี”
ปฐวีก้าวเข้ามาจนใบหน้าเกือบจะชิดหน้าของชิดชบา เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของเธอ
“คุณรู้ใช่มั้ย ว่าคุณต้องปฏิบัติต่อผมยังไง”
ชิดชบานิ่งงัน พยายามกล้ำกลืน ฝืนตัวเองที่จะเสียตัวให้ปฐวี เธอร้องไห้ พยักหน้าช้าๆ ปฐวีแตะที่ปลายคางของชิดชบา กำลังจะก้มลงจูบ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปฐวีชะงัก โสมสุภางค์เดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอน พูดโทรศัพท์อย่างร้อนใจ
“วีคะ คุณอยู่ไหน ทำไมคุณไม่โทร.หาฉันเลย ฉันห่วงคุณนะ วี วีคะ วี”
โสมสุภางค์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ปฐวีปิดโทรศัพท์ หันกลับมาจ้องหน้าชิดชบา
“ผมจะถามคุณอีกครั้ง ว่าคุณพร้อมจะทำธุรกิจ หรือว่า ยกเลิกข้อสัญญานั่น ผมให้ทางเลือกคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
ชิดชบาเริ่มมีอาการหวาดกลัว หลับตาลง ภาพบ้าน พ่อ ความสุข ครอบครัว ชีวิตในปารีส ผุดขึ้นมา เธอกัดริมฝีปากไว้ กลั้นเสียงสะอื้นไห้ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นและเชิดหน้า
“ค่ะ ฉันพร้อม”
ปฐวีเชยคางชิดชบาขึ้น ก่อนก้มลงประทับริมฝีปาก

ตอนเช้า ดอกกุหลาบถูกตัด ร่วงลงกับพื้น กลีบกระจาย เพราะหม่อมจรัสเรืองกำลังตัดแต่งกุหลาบ อรุณณรงค์เดินลงมาจากตึก ก้มลงเก็บกุหลาบที่พื้น
“อ้อ ชายเอี่ยว เจอคนที่ตามหามั้ยลูก”
“ไม่พบครับ ไม่รู้ชื่อ ผมก็เลยไม่รู้จะถามคนแถวนั้นยังไง วันนี้หม่อมแม่ไปไหนหรือเปล่าครับ”
“แม่มีประชุม แต่เชื่อเถอะ ประเด็นที่พูดกันแซดคงไม่ใช่เรื่องที่จะประชุมกันหรอก แต่เป็นเรื่องคุณปฐวี”
“คุณปฐวีนี่ เขาเป็นนักพนันหรือครับหม่อมแม่”
“เขาว่ากันอย่างนั้น แต่เขาก็มีธุรกิจขาขึ้น ไอ้เรื่องการพนันนี่คนดังๆ ในสังคมเรา ก็มีเบื้องหลังเป็นเซียนพนันกันตั้งหลายคน”
“แปลกนะครับ ท่าทางเขาดูดีกว่านักพนันทั่วไป ถ้าเล่นการพนันแล้วร่ำรวยอย่างคุณปฐวี คนรุ่นหลังจะคิดยังไงครับ”
“เป็นคนรุ่นนี้ จะอยู่ได้หรือไม่ได้ มันต้องอยู่ให้ฉลาด อบายมุขเดี๋ยวนี้มันมากันหลายรูปแบบ นั่งดูทีวี ยัง
ต้องมีพ่อแม่คอยชี้แนะ ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทำ อะไรไม่ สงสัยอะไรคุณปฐวีเขาหรือ หรือว่าเรื่อง”
“ไม่ใช่เรื่องที่เขาพูดกันหรอกครับ ผมแค่สงสัยว่า คุณโสมสุภางค์คิดยังไงนะ ถึงกล้าแต่งงานกับนักพนัน”
อรุณณรงค์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

โสมสุภางค์เดินเร็วๆ มาที่รถอย่างร้อนใจ เถาว์เครือส่งเสียงตามมา
“จะไปไหนแต่เช้า เมื่อคืนก็เดินไปเดินมา เดี๋ยวจะเจ็บป่วยไปอีกนะ”
“หนูจะไปหาวีค่ะ”
“ไปหาปฐวีหรือ ไปหาที่ไหน”
เถาว์เครือสงสัย

ปฐวีกลัดกระดุมเสื้อ มองชิดชบาซึ่งนั่งหันหลังห่มผ้าคลุมเตียงด้วยสีหน้าเยาะหยัน
“คุณจะไม่พูดอะไรสักคำหรือ”
ชิดชบาเจ็บปวด เก็บกลั้นน้ำตาไว้
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด”
“ผมเป็นคนพูดตรงๆ ไม่อ้อมโลก ผมแปลกใจจริงๆ ที่คุณยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง คุณอยู่ปารีส แล้วปารีสก็แสนจะ
โรแมนติก สังคมที่นั่นมีเสรีในเรื่องทางเพศ นี่ผมเจอรางวัลใหญ่หรือนี่ คุณ ไม่ร้องไห้”
ชิดชบาลุกขึ้นยืน แววตาเด็ดเดี่ยว
“เราทำธุรกิจ ฉันเป็นแม่ค้า ฉันไม่มานั่งเศร้าโศกกับสินค้าที่ฉันโก่งราคาจนเกินคุ้ม ดีเสียอีกที่ฉันทำมาค้าคล่อง”
“ก็ดูคุณเป็นแม่ค้าดีนี่ แต่เป็นแม่ค้าน่ะ ไม่ใช่จู่ๆ คุณเริ่มค้าขาย ก็รู้เล่ห์เหลี่ยมของการค้า เสียดายนะพ่อคุณน่าจะอบรมลูกสาวว่าค้าขายน่ะ มันมีกำไรขาดทุน”
ชิดชบาสะบัด พยายามพันผ้าคลุมเตียงให้รัดรอบตัว
“หมายความว่ายังไงขาดทุน”
“หนึ่งปีที่เราต้องอยู่ร่วมกันนี่ ผมต้องใช้สินค้าของผมคุ้มแน่ คุณแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่ท้อง”
ชิดชบาตื่นตระหนก ปฐวียิ้มเยาะหันหลังกลับ เปิดประตู โสมสุภางค์ยืนอยู่ที่ประตู มองข้ามไหล่ไปยังชิดชบา
ซึ่งยืนห่อตัวด้วยผ้าคลุมเตียงอย่างตกใจ เธอรับไม่ได้ รีบเดินลงมาชั้นล่าง เอามือทาบอกด้านซ้าย อาการโรคหัวใจกำเริบ ปฐวีเดินตามลงมา ไม่พอใจ
“คุณมาที่นี่ทำไม เราพูดกันรู้เรื่องแล้วนะ คุณควรจะอยู่ในที่ที่คุณควรอยู่”
“เอ่อ”
โสมสุภางค์ค่อยๆ หันไปจ้องมองปฐวี กลัวสูญเสีย
“ฉัน”
ปฐวีเข้ามาโอบไหล่โสมสุภางค์ น้ำเสียงอ่อนโยนลง
“มันคือการทำธุรกิจ ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมจะหยุดฝันร้ายให้ได้ ผมจะมีชีวิตกับฝันร้ายตลอดไปไม่ได้ ถ้าเราจะแต่งงานกัน”
“จริงหรือคะวี เราจะได้แต่งงานกันจริงๆ หรือคะ”
ธวัชพงษ์ด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ประตูบ้าน ปฐวีหันไปเห็น ส่งเสียงเข้ม
“ใครน่ะ คุณเป็นใคร”
“เอ่อ ผมเป็นนักข่าวครับ กำลังทำสกู๊ปข่าวเบื้องหลังคุณชิดชงค์ฆ่าตัวตาย”
“คุณ ไปให้พ้นนะ ออกไป”
“คุณปฐวีครับ ผมก็แค่ต้องการข้อมูลเพื่อเขียนถึงความจริง ผมขอความกรุณา”
“ออกไป ก่อนที่ผมจะเรียกตำรวจ”
“วีคะ ใจเย็นๆ ค่ะ เขาเป็นนักข่าวนะคะ”
ปฐวีเสียงดังกว่าเดิม
“ออกไป”
“ครับ แล้วผมจะกลับมาใหม่”
ธวัชพงษ์ถอยออกไป โสมสุภางค์ร้อนใจ
“วี ทำไมคุณพูดกับพวกนักข่าวอย่างนั้นล่ะคะ คุณรู้มั้ย พวกนี้มีปากกา จะระบายสีใครยังไงก็ได้ ถ้าเขา”
“เชิญ”
ปฐวีโกรธมาก
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าสังคมนี้จะเขียนถึงผมยังไง”

ระหว่างการประชุมสมาคม คุณนายจีบปากจีบคอนินทาปฐวี ต่างแบ่งความคิดออกเป็นสองฝ่าย เถาว์เครือนั่งฟังด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง ขณะที่หม่อมจรัสเรืองมองเถาว์เครือด้วยความเกรงใจ
“ใจร้ายใจมาร เล่นพนันชนะ จนคนแพ้หมดเนื้อหมดตัว ต้องฆ่าตัวตายเพราะล้มละลาย แล้วยังยึดบ้าน ยึดลูกยึดเมียเขาอีก อย่างนี้มันเหมือนแพ้สงครามเลยนะคะท่านขา”
“ใช่ เหมือนทำสงครามแพ้ ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด พ่อ แม่ ลูกต้องพลัดพรากจากกัน ถามหน่อยเถอะค่ะ..อย่างนี้บาปมั้ย”
“ท่านขา การกระทำแบบนี้ บาปมั้ยคะ”
“เอ่อ”
“แต่ฉันว่าไม่บาปหรอก มันเป็นเกมค่ะ คนเล่นเกมต้องมีแพ้มีชนะ มันจะแปลกตรงไหน”
“แต่คนที่เขาต้องเสียบ้าน เสียครอบครัวจนไม่เหลืออะไรเลย เขาจะรู้สึกยังไงคะ ลูกสาวคุณชิดชงค์ต้องตกเป็น
นางบำเรอ”
เถาว์เครือพยายามอดกลั้น มือกำหูกระเป๋าแน่นขึ้น หม่อมจรัสเรืองส่งสายตาปราม
“มีชีวิตที่ตกต่ำเหมือนขยะ เอ๊ะ แล้วคนที่ทำแบบนี้ไม่บาปหรือคะ”
เถาว์เครือผลุนผลันออกไป
“คุณเถาว์เครือ”
คุณนายทั้งหลายต่างมองยิ้มเยาะเถาว์เครือ

ชิดชบานั่งกอดเข่า ร้องไห้อยู่บนเตียงนอนด้วยความแค้น
“นายปฐวี ฉันสาบานว่า ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก”
ชิดชบาร้องไห้โฮ

ปฐวีเดินลงมาที่รถซึ่งจอดอยู่ภายในบริษัท ชัยยงค์ ชัยญา และถกลเดินเข้ามาหา ชัยยงค์พูดขึ้นทันที
“ผมกลับมาช้าไป แต่ผมไม่ถือว่าคุณตัดหน้าหรอก ผมขอแค่โอกาสล้างตา แล้วผมจะส่งเทียบเชิญ สำหรับ”
“ไม่ต้อง ผมคงจะต้องพักร้อนสักระยะ เกมสุดท้ายของผม ทำให้ผมเหนื่อย ข้อสำคัญ ผมยังเสวยสุขกับชัยชนะของผม ไม่อิ่ม”
ปฐวียิ้มเยาะก่อนขับรถออกไป
“เสวยสุขกับชัยชนะหรือ เขาหมายถึงอะไร”
ชัยญาแปลกใจ
“เขาหมายถึง ลูกสาวคุณชิดชงค์”
ชัยยงค์ขบกรามด้วยความเกลียดชัง

ชิดชบาขับรถด้วยท่าทางเหม่อลอย เศร้าหมอง เห็นคลินิกสูตินรี เธอหักพวงมาลัยรถเข้าจอด นั่งนิ่งๆ
ก่อนมองไปยังป้ายคลินิกด้วยอาการหวาดกลัว ชิดชบาเปิดประตูห้องตรวจโรคเข้าไป กำสายกระเป๋าแน่น หมอกำลังทำงานอยู่
“เชิญนั่ง เป็นอะไรมาครับ”
“เอ่อ ไม่ใช่เรื่องเจ็บป่วย แต่ฉันมีความจำเป็นต้องปรึกษาหมอค่ะ”
“เกี่ยวกับอะไรครับ”
“คือ ฉัน เอ่อ ฉันไม่ต้องการมีลูก”
“ยังไม่พร้อม คุณคงเพิ่งแต่งงาน”
“เอ่อ ก็ไม่เชิงค่ะ”
“หมอเข้าใจครับ คุณหลับนอนกับเขาบ่อยแค่ไหน”
“ก็ ยังไม่ทราบค่ะ”
“เอ๊ะ ยังไงล่ะครับ”
“คือ คือว่า ฉันต้องการป้องกันไม่ให้ท้องนะค่ะ ฉันมีความจำเป็นค่ะหมอ ฉันต้องรู้จักวิธีคุมกำเนิดที่ถูกต้องแล้วก็แน่นอน”
“การคุมกำเนิดมีหลายวิธี ผมแนะนำให้คุณคุมด้วยการใช้ยาคุมไว้ คงสักระยะ จนกว่าคุณจะต้องการมีลูก”
ชิดชบาหลับตาลง ผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลายขึ้น
“ขอบคุณค่ะ คุณหมอ”

โสมสุภางค์นั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับโรคหัวใจด้วยความสนใจ เถาว์เครือเดินกระแทกเท้าเข้ามาด้วยความโกรธจัด
“คุณแม่ เป็นอะไรหรือคะ ก็ไหนว่าไปประชุมสมาคม”
“รู้อย่างนี้ฉันไม่ไปหรอก เอาหน้ามุดโอ่งอยู่ที่บ้านดีกว่า เรื่องปฐวีมันฉาวไปทั้งเมือง ตอนนี้คนเขารู้กันทั่วไปแล้วเรื่องเงินร้อยล้าน เรื่องพนัน เรื่องที่คุณชิดชงค์ฆ่าตัวตาย”
“แล้ว แล้วยังไงคะ”
“แล้วยังไงน่ะหรือ สังคมก็ถามกันน่ะซี ว่าปฐวีทำให้คนหมดตัวจนต้องฆ่าตัวตาย ซ้ำยังยึดบ้านยึดลูกเขาไปเป็นนางบำเรอ มันบาปมั้ย”
โสมสุภางค์สะเทือนใจ เริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก ซวนเซ เถาว์เครือรีบเข้าประคองโสมสุภางค์อย่างตกใจ
“โสม โสมสุภางค์ เอ่อ แม่ แม่ขอโทษ แม่ไม่น่าพูดกับหนูรุนแรงอย่างนี้เลย มันไม่ใช่เรื่องของหนูสักหน่อย เป็นเรื่องปฐวี”
“เอ่อ”
“ยา ยาอยู่ไหน นังแหวน ยาคุณโสมสุภางค์อยู่ไหน เอายามาเร็วๆ”
“ค่ะ คุณนาย”
สาวใช้วิ่งไปเอายา เถาว์เครือประคองให้โสมสุภางค์นอนลงบนเก้าอี้ยาว หลับตานิ่งๆ
“โสมสุภางค์ นังแหวนได้หรือยังยาน่ะ ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ลูกแม่”

ชิดชบาและอรุณณรงค์ต่างถอยรถออกจากที่จอด แล้วเกิดชนท้ายกัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เห็นคุณ”
“เอ่อ ผมเสียใจ ผมต้องขอโทษด้วยที่ อ้าว คุณ”
“คุณน่ะเอง ฉันไม่เป็นไรค่ะ ช่างมันเถอะ ฉันขับรถไม่ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างซ่อมก็แล้วกันค่ะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ เอ่อ วันนั้น คุณเจ็บที่ไหนหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ฉันต้องไปแล้ว”
“ครับ”
ชิดชบาเดินกลับไปขึ้นรถด้านหน้า อรุณณรงค์วิ่งตามมาส่งนามบัตรให้
“นามบัตรผมครับ ถ้ามีอะไรเสียหาย ให้ผมชดใช้ โทร.ถึงผมได้เลยนะครับ เอ่อ ขอโทษ ผมยังไม่รู้จักคุณเลย”
“ฉันชื่อชิดชบาค่ะ”
ชิดชบาขับรถออกไป อรุณณรงค์มองตามไปด้วยรอยยิ้ม
“ชิดชบา”

ธวัชพงษ์แอบอยู่หลังประตูคฤหาสน์ เขาหลบวูบเมื่อเห็นรถของปฐวีแล่นเข้ามา จำเรียงวิ่งมาเปิดประตู ปฐวีเลื่อนกระจกลง มองไปยังลานจอดรถที่ว่างเปล่า
“คุณชิดชบาไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ ไม่ได้สั่งไว้ค่ะ”
ปฐวีไม่พอใจ ขับรถเลยไป จำเรียงปิดประตูลง ธวัชพงษ์ค่อยๆ โผล่หน้าออกมา มองตามไป

ชิดชบามาเยี่ยมตลับนาคที่บ้านสวน ตลับนาคนำผลไม้ และน้ำมาให้
“เขาดีกับหนูหรือเปล่า”
“ก็ไม่ร้ายอย่างที่คิดไว้หรอกค่ะคุณป้า หนูก็ไม่ได้หวังในความดีของใครหรอกค่ะ”
“คุณเฉวียงบอกว่า เขาเซ็นโอนบ้านกับที่ดินคืนให้แล้ว แต่เอกสารจะสมบูรณ์เมื่อครบตามกำหนดเวลาหนึ่งปี ป้าอดคิดไม่ได้ ว่าคุณปฐวีเขาจะทำอย่างนั้นทำไม ป้าไม่เห็นประโยชน์เลย เขาเสียเงินซ่อมบ้านไปหลายล้านไม่ใช่หรือ”
“เขามีเงินมากพอที่จะผลาญก็ปล่อยเขาเถอะค่ะ มันเป็นเรื่องของเขา”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ป้าก็อดคิดไม่ได้ว่าเขามีจุดหมายอะไร เขาเป็นฝ่ายเสียมากโขอยู่นะ”
“เราซีคะคุณป้า เราเสียมากกว่าเขา เราเสียทุกอย่าง สิ่งที่เขาให้เราคือโอกาส โอกาสที่เราจะกู้สิ่งที่เป็นของเราคืนมา อาจจะเป็นเพราะ เขาต้องการที่จะไถ่บาปที่เขาทำให้คุณพ่อฆ่าตัวตาย”
“ชิดชบา ฟังป้านะ ป้าจะเล่าเรื่องเก่าๆ สมัยที่หนูยังไม่เกิดให้ฟัง”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
“พ่อของหนูเคยโกงเถ้าแก่โรงสีที่เป็นเพื่อนเก่าจนหมดเนื้อหมดตัว เขาผูกคอตาย เหมือนอย่างที่พ่อของหนูยิงตัวตาย”
“จริงหรือคะ หรือนี่คือ กรรมที่พ่อต้องชดใช้”
ชิดชบาสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว

อรุณณรงค์ขับรถเข้ามาจอด ด้านหลังยังมีรอยบุบ หม่อมจรัสเรืองนั่งอยู่ที่โต๊ะสนาม ดื่มชาอยู่
มองลูกชาย
“นี่ ชายเอี่ยว นั่นรถเป็นอะไร”
“ชนกันน่ะครับหม่อมแม่ ผมไม่เห็นจริงๆ ดีนะเจ้าทุกข์เขาไม่เอาเรื่อง ของเขาก็บุบไปเยอะครับ”
“อ้าว ไม่มีเรื่องกันหรือ ใช้ถนนเดี๋ยวนี้มองหน้ากันก็ยิงทิ้งแล้วนะ ชนกันนี่ต้องเถียงกันอีกนานกว่าจะตกลงกันได้”
“นั่นน่ะซีครับ ผมก็เลยแปลกใจ”
“คู่กรณีคงคิดว่าฟาดเคราะห์ไป คนบางคนก็เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตจนไม่อยากเอาเรื่องหยุมหยิมมาแบกให้หนัก เราเองก็นึกว่าฟาดเคราะห์ กลับมาเหนื่อยๆ ผกา”
“ขา”
“ไปหาอะไรเย็นๆ มาให้คุณชายเอี่ยว เร็วๆ”
“ค่ะ”
อรุณณรงค์ลงนั่ง พึมพำเบาๆ เมื่อนึกถึงชิดชบา
“หม่อมแม่ครับ ผมพบผู้หญิงคนที่ผมขับรถเฉี่ยวแล้วล่ะครับ”
“จริงหรือ แล้วเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้บาดเจ็บอะไรใช่มั้ย ถามชื่อเสียงเรียงนามไว้หรือเปล่า”
“ถามครับ”
อรุณณรงค์ยิ้มอ่อนโยน
“ชื่อชิดชบา”

ชิดชบาขับรถเข้ามาในบ้าน ปฐวียืนอยู่ ธวัชพงศ์แอบอยู่หลังประตูรั้ว มองด้วยความสนใจ
“ไปไหนมา ก็ยังดีที่กลับมาทันดูพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็พร้อมจะปฏิบัติหน้าที่นางบำเรอ รถไปโดนอะไรมา”
“ไม่น่าถาม ก็เห็นๆ ท้ายต่อท้ายชนกัน”
“เรียกประกันหรือยัง”
“เรียกทำไม”
“ทำไมไม่เรียก”
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรนี่ ไม่มีใครอยากชนท้ายใครหรอกค่ะ แต่ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุคือมีเหตุต้องชน ก็ควรเลิกแล้วต่อกัน เพื่อไม่ให้รกถนน เข้าใจมั้ยคะ อุบัติเหตุ”
ชิดชบามีความสุข แต่ปฐวีเครียด
“ดีนะ ง่ายๆ ดี”
“ค่ะ ชีวิตมันยุ่งยากสับสนมากพอแล้ว ต่อไปนี้อะไรที่มันมักง่ายฉันจะทำสิ่งนั้น”
“เยี่ยม หวังว่าคุณคงรู้จักเลือกทำชุ่ยๆ เป็นบางกรณีนะ เพราะเมื่อผมประมูลซื้อคุณมาแล้ว ผมต้องถือสิทธิ์ของการเป็นเจ้าของ”
ปฐวีกระชากชิดชบาเข้ามาปะทะอก ขู่
“อย่าลืมความจริงในข้อนี้ก็แล้วกัน คุณชิดชบา”
ธวัชพงษ์จ้องมองด้วยความสงสัย

แพรวานั่งท้าวคางรอโสมสุภางค์ที่ร้านอาหาร โสมสุภางค์เดินเข้ามาทรุดลงนั่ง
“ฉันขอโทษนะแพรที่มาช้า”
“รถติด คำแก้ตัวแบบเดิมๆ แต่ยังใช้การได้ดีนะ ฉันเข้าใจ”
“แพร”
โสมสุภางค์กังวล
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องพบนักจิตวิทยา ฉันคงไม่รบกวนเธอ”
“ฉันรู้ ไม่มีใครอยากพบหมอโรคจิตอย่างฉันหรอก เพราะเขากลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้า นี่ โสมสุภางค์ คงไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นโรคหัวใจด้วย แล้วก็มีปัญหาทางจิตด้วยนะ”
โสมสุภางค์นิ่งอึ้ง หลบตาแพรวา
“เอ่อ เรื่องที่ฉันจะปรึกษา ไม่ใช่เรื่องตัวเอง แต่เป็นเรื่องของ”
“ของใคร”
“ของผู้ชายที่ฉันกำลังจะแต่งงานด้วย ปฐวี”

ประตูห้องนอนเปิดออก ชิดชบาถอยเข้ามาในห้อง ปฐวีก้าวตามเข้ามา จ้องมองชิดชบาด้วยแววตาซ่อนลึก
ไปด้วยรอยยิ้มเยาะ เหี้ยม ขณะที่มือปลดเนคไท ชิดชบาถอยไปจนหลังติดผนัง ปฐวีก้าวตาม ยกแขนขึ้นท้าวผนังห้อง กันตัวชิดชบาไว้
“ไหนล่ะ นางบำเรอ ได้เวลาทำหน้าที่ของคุณแล้วนี่ ทำซี ทำยังไงก็ได้ เพื่อให้ผมรู้สึกว่า ผมคือเจ้าของตุ๊กตาตัวนี้ คือคุณ”
ชิดชบาตื่นกลัว ปฐวีก้มหน้าลงต่ำเพื่อจะจูบ ชิดชบาเบี่ยงตัว หลับตาลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ขมขื่นและหวาดกลัว

โสมสุภางค์เล่าเรื่องฝันร้ายของปฐวีให้แพรวาฟัง เพื่อหาทางรักษาปฐวีให้หายขาด
“เขาฝันร้าย ฝันเห็นความตายของพ่อเขา มันเป็นความฝันที่ซ้ำซาก ทำให้เขาไม่มีความสุข เขาสะดุ้ง ผวา เป็นมาหลายปีแล้ว เขาเป็นบ้าหรือเปล่า แพร”
“ฉันยังตอบอะไรไม่ได้ เรื่องเกี่ยวกับจิตใจนี่ มันเชื่อมโยงถึงปัจจัยหลายอย่างในชีวิตนะ คุณปฐวีของเธอ เขามีความเป็นมาในชีวิตยังไง”
“ฉันก็ ไม่รู้”
“ไม่รู้”
“เพราะอย่างนี้แหละ ฉันถึงต้องขอความช่วยเหลือจากเธอ ฉันกับปฐวีรักกัน เรากำลังจะแต่งงานกัน แต่ฉันก็ไม่รู้เรื่องราวในชีวิตของเขาเลย”
“โสมสุภางค์ คนจะฝันร้ายซ้ำซากมันต้องมีเหตุนะ มันอาจจะเกี่ยวเนื่องกับอดีตของเขาก็ได้”
“ช่วยเขาด้วย ฉันรักเขา ฉันอยากแต่งงานกับวี แล้วอยู่กับเขาไปจนตายจาก เธอต้องช่วยเขานะ”
โสมสุภางค์จับมือของแพรวา อ้อนวอน
“ช่วยเขาด้วย”

ธวัชพงษ์ด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตูรั้ว มองเข้าไปยังคฤหาสน์ของปฐวี ค่อยๆ เปิดประตูเล็กๆ คลานหลบสายตาไปตามพื้นหญ้า ไปหยุดอยู่ตรงหน้านายสมควรคนทำสวน ที่กำลังจ้องมองด้วยความสงสัย
“เอ่อ”
ธวัชพงษ์เก้อๆ รีบลุกขึ้นยืน สมควรวางหน้าเฉย
“มาหาใคร”
“อ้า”
“คุณคงเป็นพวกนักข่าว เข้ามาสอดรู้สอดเห็นเรื่องเจ้านายผมใช่มั้ย คุณชิดชงค์ไม่อยู่แล้ว บ้านนี้มีเจ้าของใหม่แล้ว”
“นี่แสดงว่าลุงอยู่ที่นี่มานาน ลุงชื่ออะไรครับ”
“เปล่า ผมเพิ่งมาอยู่ตอนที่เปลี่ยนเจ้าของ”
“งั้นลุงก็เป็นคนของเจ้าของบ้านคนใหม่”
“ใช่ ผมชื่อสมควร เป็นคนของเจ้านาย คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณมาหาใคร”
“เอ่อ คุณปฐวี ผมหมายถึงเจ้าของบ้านคนใหม่น่ะครับ ผมรู้ว่าเขาชนะพนันคุณชิดชงค์ ได้บ้านหลังนี้มา ผมต้องการรู้ว่า”
“ไปซะ”
“ลุงครับ”
“ผมว่าคุณไปซะเถอะ คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่เขาได้เขาเสียบ้านน่ะมีความรู้สึกยังไง คุณจะไปหรือไม่ไป ถ้าคุณไม่ไป คุณถามไอ้นี่ในมือผมก่อนว่ามันจะเอายังไง”
สมควรขยับเสียมในมือ ธวัชพงษ์มองเสียมหวั่นๆ ก่อนยกมือไหว้
“ไปครับ ไป”
ธวัชพงษ์รีบถอยออกไป บุญถิ่นเดินเข้ามา
“ใคร ใครมาหาใคร มาหาคุณชิดชบาหรือ หรือว่ามาหา”
“มาหาใครก็ช่างเถอะ เจ้านายสั่งไว้ไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามายุ่มย่าม ไม่ยกเว้นแม้แต่พวกนักข่าว”

ชิดชบาใส่ชุดเสื้อคลุมนอน เปิดประตูห้องน้ำมาหยุดยืนหน้ากระจก ร้องไห้อย่างเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาตัวเอง ท่าทีเยือกเย็นทั้งที่น้ำตายังนองหน้า
“อดทนไว้นะ อดทนไว้ เวลาแค่หนึ่งปี หนึ่งปีเท่านั้น แค่หนึ่งปี”

ตอนเช้า ปฐวีเดินลงมาจากคฤหาสน์ สมควรยืนรอปิดประตู
“ถ้าคุณชิดชบาตื่น บอกด้วยว่าบ่ายๆ ฉันจะส่งช่างมารับรถไปซ่อมนะ”
“ครับ”
ปฐวีขับรถออกไป สมควรถอนหายใจเบาๆ อย่างกังวล
ชิดชบาเดินลงมาจากบันไดด้วยท่าทีเลื่อนลอย จำเรียงนำกาแฟเข้ามาจัดวางอย่างเงียบๆ ชิดชบาถอนหายใจก่อนยกกาแฟขึ้นจิบ ถามเหมือนเสียไม่ได้
“คุณปฐวีไปแล้วหรือ”
“ไปแล้วค่ะ คุณปฐวีมีประชุมค่ะ”
“ขอบใจ”
“เอ่อ คุณคะ”
“อะไรหรือจำเรียง”
“ป้าบุญถิ่นให้ถามคุณเรื่องอาหาร ถ้าคุณ”
“มีใครอยู่ในบ้านนี้บ้าง นอกจากฉัน”
“มีป้าบุญถิ่นคนทำครัว กับลุงสมควรคนทำสวน นอกนั้นก็ไม่มีใครแล้วค่ะ”
“แล้วบ้านหลังนี้ล่ะ”
“เปิดใช้แค่ไม่กี่ห้องเท่านั้นค่ะ มีห้องโถง ห้องกินข้าว ห้องสมุด ห้องนอนคุณ แล้วก็ห้องงานปั้น นอกนั้นใส่กุญแจไว้”
“ห้องงานปั้นหรือ”
“ค่ะ”
“ใครถือกุญแจ”
“ป้าบุญถิ่นถือไว้ชุด อีกชุดอยู่ที่ทนายเฉวียงค่ะ”
“ไปบอกคนถือกุญแจว่าฉันขอกุญแจเปิดห้องเก่าของคุณพ่อ”
แววตาชิดชบาสลดลง
“ฉันอยากเห็นห้องของคุณพ่อ”
ชิดชบาเปิดประตูห้องนอนชิดชงค์เข้ามา กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง น้ำตาคลอ จำเรียงตามเข้ามา
“คุณจะให้เปิดทำความสะอาดมั้ยคะ หนูเห็นว่าไม่ได้ใช้อะไรเลยปล่อยทิ้งไว้ตั้งแต่ เอ่อ”
“ไม่ต้องหรอกจำเรียง ที่จริงห้องนี้ก็ไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว ช่างเถอะ”
“คุณยังไม่ได้สั่งอาหารเลยนะคะ”
“บอกแม่ครัวทำอะไรก็ได้ ฉันเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย”
“ป้าบุญถิ่นกับลุงสมควร เคยรับใช้คุณปฐวีมาก่อน คุณปฐวีให้มาเฝ้าบ้านค่ะ”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ มีอะไรก็ไปทำ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ค่ะ”
จำเรียงเดินออกไป ชิดชบาน้ำตาคลอ มองไปรอบๆ ห้อง ยิ่งแค้นปฐวี
“บ้านของเขาหรือ นี่เขาคิดว่าบ้านหลังนี้เป็นของเขาหรือ แก ไอ้หมาจิ้งจอก”

ปฐวีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆ ภายในล็อบบี้ของโรงแรมแห่งหนึ่ง บุคลิกสง่างามน่าเกรงขาม แต่มีลักษณะเจ้าเล่ห์ รู้เท่าทันด้วยวิสัยของนักพนัน กำลังเจรจาธุรกิจอยู่
“ผมทำธุรกิจสองแบบ คืออย่างตรงไปตรงมา กับอย่างโกงไปโกงมา ก็แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกให้บริการแบบไหน ผมสั่งสินค้าคุณ คุณก็เลือกสินค้าของผมที่คุณต้องการ ผลประโยชน์ต่อผลประโยชน์ เราจะมีแต่ได้”
“ก็ยุติธรรมดี ผมตกลงกับเงื่อนไขของคุณ”
“ผมจะให้ฝ่ายกฎหมายของผมตรวจสอบสัญญาก่อนเซ็น”
“ได้ครับ ผมก็จะให้ฝ่ายกฏหมายของผม ยื่นสัญญาให้คุณตรวจสอบ”
“งั้นก็ตกลงตามนั้น”
ปฐวีกับคู่ค้าจับมือกัน

ชัยยงค์ ชัยญาและสกล จอดรถ มองผ่านรั้วเข้าไปยังตัวคฤหาสน์
“เสียดายที่บ้านหลังนี้หลุดมือเราไป มูลค่าของบ้านกับที่ดินสิบไร่กลางเมือง ไม่ได้มีมูลค่าแค่ร้อยล้านเท่านั้นนะ แต่มันทำประโยชน์ได้อีกหลายร้อยล้าน”
“แล้วพ่อคิดว่า ถ้าพ่อเป็นคู่แข่งของคุณชิดชงค์ พ่อจะชนะเกมหรือ”
“ปฐวียังชนะเขาได้ ทำไมเราจะชนะไม่ได้”
“พ่อ เกมน่ะมันอยู่ที่ไพ่ใบเดียวนะ ผมว่าพ่อเลิกคิดเรื่องบ้านหลังนี้ได้แล้ว เราไปต่อกันดีกว่า”
“ไม่ ฉันต้องหาทางเอามันมาเป็นของฉันให้ได้”
ถกลขับรถออกไป ธวัชพงษ์แอบซุ่มมองด้วยความสงสัย

โสมสุภางค์พยายามโทรศัพท์ถึงปฐวีด้วยความร้อนใจ เถาว์เครือเดินลงมา กำลังจะออกไปนอกบ้าน มองค้อนลูกสาว
“ติดต่อปฐวีไม่ได้น่ะซี ปิดโทรศัพท์ แบตหมด สิ้นช่องทางติดต่อ เพราะเขาอาจจะอยู่กับนางบำเรอก็ได้”
“คุณแม่ นี่เวลางานนะคะ วีเขาไม่ทิ้งงานหรอกค่ะ เขาไม่ได้ร่ำรวยมาได้เพราะการพนัน แต่เขาทำมาหากินค่ะ”
“รู้ว่าเขาทำงาน จะโทร.ถึงเขาทำไมล่ะ”
“หนูจะถามเขาว่าเขาว่างเมื่อไหร่ หนูอยากให้เขาพบแพรวาค่ะ”
“แพรวา เพื่อนลูกที่เป็นหมอโรคจิต”
“แพทย์สาขาจิตวิทยาค่ะ”
“นั่นแหละ เรียกง่ายๆ ว่าหมอโรคจิต เรื่องฝันร้ายซ้ำซากของเขาใช่มั้ย ปฐวีเขาจะยอมหรือ เขาต้องกลัวว่าใครๆ จะหาว่าเขาเป็นบ้า เพราะเรื่องที่เขาทำ น่ะ มันบ้า”
โสมสุภางค์สลดลงทันที เถาว์เครือรู้สึกตัว รีบเกลื่อน
“ไป ไม่มีอะไรทำก็ไปร้านเพชรกับแม่ แม่จะเอาต่างหูไปซ่อม ดีกว่าผุดลุกผุดนั่ง เดี๋ยวก็พาลต้องพบหมอโรคจิต แทนที่จะเป็นโรคหัวใจอย่างเดียว”
“เอ่อ”
“นะ เผื่อนอกบ้านจะมีความหวังใหม่ ไม่ใช่หวังอยู่กับผู้ชายคนเดียว ปฐวี”
โสมสุภางค์เหลือบมองแม่อย่างจำนน

อรุณณรงค์ กับหม่อมจรัสเรืองเดินจูงมือกันชมเพชรตามตู้ต่างๆ หม่อมจรัสเรืองเห็นเถาว์เครืออยู่ในร้านเพชรอีกด้านหนึ่งจึงสะกิดอรุณณรงค์
“ชายเอี่ยว นั่นคุณเถาว์เครือใช่มั้ย”
“ใช่ครับ คุณเถาว์เครือมากับลูกสาวครับ”
“หนูโสมสุภางค์น่ะเอง เข้าไปทักทายเสียหน่อยไม่ดีหรือ ไหนๆ ก็เห็นกันแล้วนี่ ชายเอี่ยวไม่มีธุระอะไรไม่ใช่หรือ”
“ไม่มีครับคุณแม่ ตามสบายครับ”
สองแม่ลูกเดินเข้าไปทักทายเถาว์เครือ และ โสมสุภางค์
“คุณเถาว์เครือ”
“สวัสดีครับ”
“ต๊าย นี่คุณชายอรุณณรงค์นี่เอง โสมสุภางค์ คุณชายเอี่ยวลูก”
“สวัสดีค่ะ”
“สบายดีหรือครับคุณโสมสุภางค์”
“สบายดีค่ะ ขอบคุณ”
“หมู่นี้ไม่ค่อยพบคุณเถาว์เครือในงานที่สมาคมเลยนะคะ”
“เอ่อ สุขภาพไม่ค่อยดีค่ะ หมอสั่งห้ามนั่งนานๆ ก็หาโอกาสอยู่ค่ะหม่อมขา เอ่อ โสมสุภางค์”
“แล้วนี่หนูแต่งงานเมื่อไหร่”
“คงยังค่ะ”
“อะไรกัน จะรอไปทำไม ว่าที่เจ้าบ่าวก็พร้อมแล้วไม่ใช่หรือ”
โสมสุภางค์อ้ำอึ้งตอบไม่ถูก อรุณณรงค์ขัดขึ้น
“เกือบเที่ยงแล้ว ไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่าครับ หม่อมแม่จะได้นั่งคุยกับคุณเถาว์เครือ คุณโสมสุภางค์ไม่มีธุระอะไรนะครับ”
“ค่ะ ไม่มี ฉันมาเป็นเพื่อนคุณแม่ค่ะ”
“งั้นขอให้ผมได้รับเกียรติจากคุณโสมสุภางค์นะครับ”
โสมสุภางค์หันไปสบตาของเถาว์เครือ เถาว์เครือส่งสายตายุยง เพราะเริ่มชื่นชอบในตัวอรุณณรงค์มากกว่าปฐวี
“ค่ะ ด้วยความยินดีค่ะ”
เถาว์เครือยิ้มพอใจ

โสมสุภางค์กับเถาว์เครือกลับเข้ามาบ้าน เถาว์เครือยังเต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวอรุณณรงค์
“แม่เพิ่งเห็นคุณชายอรุณณรงค์ชัดๆ วันนี้เอง”
“แล้วยังไงคะ”
“ยังไง แม่ก็เสียดายน่ะซี ผู้ชายที่พร้อมชาติตระกูล หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติเก่า แล้วก็แสนจะผู้ดีมีเชื้อสาย ไม่น่าเชื่อเลยนะว่ายังโสด”
“สมัยนี้ เก้ง กวาง เยอะนะคะ คุณชายอรุณณรงค์อาจจะเก้งกวางหรือเปล่าก็ไม่รู้ อยู่มาได้ยังไงเป็นโสด แฟนก็ไม่มี”
“นี่ คุณชายเอี่ยวน่ะเขาสุภาพบุรุษ ไม่ใช่เก้ง กวางแน่ ใครได้แต่งงานด้วย อนาคตคุณหญิงเชียวนะ เฮ้อ คิดแล้ว ถ้าหนูได้แต่งงานกับคุณชายอรุณณรงค์ก็ดีหรอก”
“คุณแม่พูดเหมือนการแต่งงานนี่มันจับยัดกันได้”
“ถ้าแกตัวเปล่ามันก็ไม่แน่ แม่จะจับยัดให้เอง แม่กับหม่อมจรัสเรืองก็ชอบพอนับถือกันมาก อาจจะ”
“มันสายแล้วละค่ะ หนูมีปฐวีแล้ว”
“ใช่ สายไปแล้ว แม่ถึงได้เสียดายคุณชายอรุณณรงค์ แม่พบเขาช้าไปหน่อย ก็ไม่รู้ว่าอะไรมาปิดตาแม่ แม่ถึงได้ไม่คิดเรื่องอนาคตของหนู”
“คุณแม่ยังไม่รู้อีกหรือว่า อะไรมาปิดตาคุณแม่”
“อะไร”
“เงินไงคะ เงินของปฐวี”
“อย่ามาประชดแม่นะ คนเป็นแม่น่ะ ต้องเห็นแก่อนาคตที่ดีก่อนเรื่องอื่น ใครจะผลักลูกไปกัดก้อนเกลือกินกับผู้ชายที่มีแต่ตัว แต่เดี๋ยวนี้แม่คิดได้แล้ว เงินน่ะมันยังไม่พอต้องมีเกียรติยศด้วย”
“คุณแม่”
โสมสุภางค์ค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมหัวใจ
“ถ้าหนูแต่งงานกับคุณชายอรุณณรงค์ อนาคตอาจเป็นถึงคุณหญิง เป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลกับแม่ ปฐวีน่ะ หมั้นก็ไม่ได้หมั้น ก็แค่หมายกันไว้ กี่ปีแล้วล่ะ แล้วตอนนี้เขามีเรื่องนางบำเรอ หึ่งไปทั้งสังคม คิดดู แม่จะตอบคำถามของนังพวกไฮโซไฮซ้อยังไง”
สีหน้าโสมสุภางค์สลดลง

ชิดชบานั่งเงียบ ซึม อยู่ตรงหน้าโครงเหล็กและแป้นที่จะขึ้นงานปั้นดิน ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เธอขมวดคิ้วก่อนเดินไปที่หน้าต่าง สมควรและจำเรียงกำลังจัดการให้ช่างนำรถยนต์ไปซ่อม
“นั่นจะเอารถไปไหน”
“คุณปฐวีสั่งช่างมารับรถไปซ่อมรอยชนครับ”
“ไม่ต้องซ่อม”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
ชิดชบายิ้มเหยียด น้ำเสียงเยาะหยัน ชิงชัง
“เพราะฉันจะชนอีก”

ตกตอนค่ำ ปฐวีเก็บงานเสร็จ เปิดประตูออกมา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เลขาฯรับสาย
“คุณโสมสุภางค์หรือคะ ค่ะ เอ่อ คุณปฐวีคะ สายคุณโสมสุภางค์ค่ะ”
ปฐวีเดินผ่านเลยไป เลขารวบรวมความกล้า ตอบโสมสุภางค์ว่า
“เอ้อ คุณปฐวีกลับไปแล้วค่ะ”
โสมสุภางค์ลดโทรศัพท์ลง เริ่มหวาดระแวง
“กลับไปแล้วหรือ”
เถาว์เครือเดินเข้ามา เติมความหวาดระแวงให้โสมสุภางค์
“กลับไปที่คอนโด หรือกลับไปหานางบำเรอ”
“เอ่อ”
“จะทำอะไรก็ทำเสียเถอะ จะจับตัวปฐวีไปหาหมอโรคจิต หรือจะจับเขาแต่งงาน ทำให้มันเสร็จสักเรื่องนะ โสมสุภางค์”
“ค่ะ คุณแม่”

ปฐวีขับรถเข้ามาจอดหน้าตึก สมควรปิดประตูแล้ววิ่งตามมา ธวัชพงษ์ค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมาจ้องมอง
“วันนี้มาดึกนะครับคุณปฐวี”
“นี่เพิ่งจะเที่ยงคืน ชิดชบาออกไปไหนหรือเปล่า”
“ไม่ได้ไปครับ เรื่องรถ เอ่อ ไม่ได้ซ่อมหรอกครับ คุณชิดชบาไล่ช่างกลับ”
“ไล่กลับหรือ”
“ครับ บอกว่าไม่ต้องซ่อม จะชนอีกครับ”
ปฐวีขบกราม ตาวาวขึ้นด้วยความโกรธ
“ไปนอนเถอะ”
“ครับผม”
สมควรแยกออกไปทางหลังตึก ปฐวีเงยหน้าขึ้นมองไปยังหน้าต่างที่เพิ่งปิดไฟลง ยิ้มเยาะอย่างชิงชัง เขาเดินขึ้นบันไดวนอย่างช้าๆ มองสูงขึ้นไปด้วยแววตาเหี้ยม เย้ยหยัน มือปลดเนคไทอย่างช้าๆ ถอดสูทขว้างออกไป
ก่อนที่จะเคาะประตูห้องนอน
“ชิดชบา ชิดชบา”
ปฐวีเคาะประตูซ้ำ
“ผมรู้นะว่าคุณยังไม่หลับ ผมเห็นไฟในห้องคุณเพิ่งปิดเมื่อกี้นี้เอง”
ปฐวีบิดลูกบิดประตูพบว่าประตูล็อคไว้
“ชิดชบา”
ชิดชบานั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง มองมายังประตูด้วยแววตาชิงชัง พึมพำเบาๆ
“ลงนรกไป๊ นายปฐวี”
ชิดชบาทิ้งตัวลงนอน รีบคลุมโปงทันที

บุญถิ่นและสมควรนอนหันหลังให้กันอยู่บนเตียง เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสองงัวเงียตื่น
“ใครวะ”
“ไปเปิดซี”
“แกไปเปิดซี เกิดเป็นผู้ร้ายล่ะ ยิ่งตอนนี้มีคนมาด้อมๆ มองๆ อยู่ด้วย ไป แกไปเปิด”
“ใคร จะเอาอะไรวะ”
สมควรเดินไปเปิดประตู จำเรียงโผล่หน้าเข้ามา
“น้าบุญถิ่น คุณปฐวีให้มาเอากุญแจที่น้า”
“กุญแจห้องไหน กุญแจมีตั้งพวงเบ้อเริ่ม คุณปฐวีจะเอาไปไขอะไรดึกๆ ดื่นๆ วะ”
“กุญแจห้องนอนคุณชิดชบาน่ะ”
บุญถิ่นกับสมควร หันมาสบตากันด้วยความแปลกใจ
“กุญแจห้องนอนคุณชิดชบาหรือ”
ปฐวีไขกุญแจห้อง เปิดประตูเข้ามา พบว่าชิดชบานอนหลับสนิท เขาจ้องมองหญิงสาวด้วยความโกรธ เอื้อมมือจะแตะ แต่ชะงัก ค่อยๆ ถอยออกไป

ตอนเช้า ปฐวีและชิดชบานั่งทานอาหารด้วยกัน เขาจ้องมองหญิงสาวด้วยความโกรธ ชิดชบาทำเมิน ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย จำเรียงเสิร์ฟอาหารแล้วเลี่ยงออกไป
“เมื่อคืนคุณล็อคห้องทำไม”
“ฉันเกรงจะไม่ปลอดภัย เมืองนี้ผู้ร้ายเดินกันเหมือนแมวจับหนู ฉันก็เลยไม่รู้จะกลัวแมวหรือกลัวหนูดี”
“จำไว้นะ ถ้าผมมานอนที่นี่ก็หมายถึงผมต้องการจะใช้บริการของนางบำเรอ”
ชิดชบาชะงัก นิ่งอึ้ง เจ็บปวดขมขื่นในจิตใจ แต่พยายามฝืนสีหน้าให้เข้มแข็ง
“อ้าว ตายจริง คุณไม่ได้ถือกุญแจบ้านนี้ไว้ชุดหนึ่งหรือคะ”
“เวลาที่ผมมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด”
“หน้ามืด”
“คุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ช่างเถอะ ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครมัวแต่ไขกุญแจหรอก”
ชิดชบายิ้มเย้ยหยัน ยั่วโทสะ
“ฉันก็เพิ่งรู้ ว่าคู่หมายของคุณปล่อยให้คุณอดอยากปากแห้งกับเรื่องบนเตียง ทั้งที่ผู้ชายสมัยนี้เขาไม่วางคู่หมายไว้บนหิ้งพรหมจรรย์ เอ๊ะ หรือว่าคุณ”
ปฐวีกระแทกถ้วยกาแฟลง
“คุณจะออกไปไหนหรือเปล่า”
“ฉันจะออกไปบ่ายๆ”
“มีธุระอะไร”
“เปล่า ไม่มี ฉันต้องออกไปเดินบริหารเส้นเอ็นรับแสงอาทิตย์บ้าง หน้าที่ของนางบำเรอ ไม่ได้ให้บริการแค่บนเตียงเท่านั้นนะคะ เสื้อผ้าหน้าผมต้องพร้อม เผื่อมีภาคสนาม เป็นต้นว่า”
ปฐวีมองชิดชบาด้วยความแค้น
“ใช่ คุณเตรียมทำใจไว้ก็ดีแล้ว เพราะผมมีงานภาคสนามให้คุณทำ”
“พบปะกับนักธุรกิจใหญ่ ต้องเอานางบำเรอไปเสนอหน้าด้วย เพื่อแสดงฐานะทางสังคม กับสมรรถภาพทางเพศ ข้อสำคัญคุณได้ประจานฉัน”
“ผมลงโทษคุณ ที่คุณล็อคประตูเมื่อคืนนี้ต่างหากล่ะ”
ปฐวีลุกขึ้นยืน ชิดชบาลุกยืนเผชิญหน้า ปฐวีชี้หน้า
“ฉันจะไปทำหน้าที่นางบำเรอ ของคุณ”

ที่ภัตตาคารจีน ชิดชบาใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสด นั่งกินอาหารจีนอย่างมูมมาม จิ้มนั่นเขี่ยนี่ด้วยตะเกียบ เคี้ยวอาหารเสียงดัง จาม แคะจมูกไปมา เพื่อกลั่นแกล้งปฐวี นักธุรกิจจีนมองหน้าชิดชบาด้วยความแปลกใจ ปฐวีเริ่มอับอาย พยายามดึงความสนใจจากคู่ธุรกิจ
“ผมจะส่งคนของผม ไปดูสเป็กสินค้าของคุณที่เซี่ยงไฮ้ก่อนเซ็นสัญญา ถ้าไม่มีปัญหาอะไรผมจะบินตามไป ผมต้องการให้ เอ่อ”
ชิดชบาคีบปลานึ่งใส่ปากเคี้ยว ก้างติดคอ ตาเหลือก ทะลึ่งพรวดลุกขึ้น
“คุณ คุณ”
“ซี้ซั้วต่า อีติดคอ”
“บ๋อย เรียกรถพยาบาลเร็ว”
ปฐวีส่งเสียงเอะอะ บริกรต่างเปิดประตูเข้ามา วิ่งกันอย่างตื่นตระหนก ชิดชบาชัก ดิ้น อยู่ในอ้อมแขนของปฐวี ปฐวีรีบพาไปโรงพยาบาล หลังจากพบแพทย์ ชิดชบาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง อิดโรย ก้างหลุดจากลำคอแล้ว
“เอิ๊ก”
พยาบาลคีบก้างปลาอันใหญ่ขึ้นมา
“นี่ค่ะ ก้างปลาที่ติดคอคุณ คุณหมอคีบออกมาได้แล้วค่ะ”
ปฐวีเมินหน้า กัดฟันด้วยความโกรธ

จำรียง บุญถิ่น สมควร ช่วยกันปัดฝุ่นทำความสะอาดห้องโถง ปฐวีเดินตามชิดชบาเข้ามาด้วยความโกรธ ส่งเสียงดัง
“ทำลงไปได้ ไม่รู้จักอับอายขายหน้าคนต่างชาติ รู้มั้ยว่าคู่ธุรกิจของผมจะพูดถึงคุณยังไง”
“เขาจะพูดถึงฉันยังไง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าฉันชื่ออะไร แต่เขารู้ว่าคุณชื่อคุณปฐวี”
ชิดชบายิ้มเยาะ สะใจ สมควร จำเรียงและบุญถิ่น ค่อยๆ ขยับมารวมตัวกันด้วยความหวาดกลัว
“ชิดชบา”
“คุณปฐวีนักธุรกิจใหญ่ มีบริษัทส่งออกส่งเข้า มีบริษัทการเงิน แล้วก็มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เขาก็จะพูดว่า อาคุงปัดถาวีนี่อีไร้รดซานิโยม เสียแรงอีเป็งนักธุรกิกหย่าย แต่นางบำเรอของอี ท่าทางเหมืองผู้หญิงหยำฉ่า เง็กเซียง
ช่วยอีล่วย”
ปฐวีหันมามองคนใช้ทั้งสาม ก่อนกระชากชิดชบาขึ้นบันไดวนไป
“มานี่”
ชิดชบากลัว ทั้งเตะทั้งถีบ
“ปล่อยฉัน”
เสียงเอะอะลับหายไป จำเรียงหันมากระซิบ
“ป้า นั่นคุณปฐวีจะทำอะไรคุณชิดชบาน่ะ”
“เฮ้อ ข้าชักจะสงสารคุณชิดชบาว่ะ”
ปฐวีเปิดประตูห้องนอน หิ้วปีกชิดชบาเข้ามา ชิดชบาสะบัด รีบวิ่งหนีเข้าห้องน้ำ ปิดประตู ปฐวีส่งเสียงโกรธ
“ใช่ คุณพูดถูก แทนที่ผมจะประจานคุณ คุณกลับเป็นฝ่ายประจานผม ถามหน่อย เอาอะไรคิด คิดออกมาได้ยังไง ทำลงไปได้ยังไงนี่”
ชิดชบานั่งพิงประตูห้องน้ำ หัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข

โสมสุภางค์นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ภายในบ้าน เถาว์เครือเดินลงมา
“แซยิดหม่อมจรัสเรือง แม่อยากให้หนูไปด้วย”
โสมสุภางค์เนือยๆ
“เมื่อไหร่คะ”
“มะรืนนี้ วันหยุดไม่ต้องตื่นแต่เช้า หม่อมจรัสเรืองท่านบอกแม่ในฐานะคนคุ้นเคย”
“คุณแม่จะไปหรือคะ”
“ไปซี ไม่ไปได้หรือ ท่านอุตส่าห์บอกด้วยตัวเอง ไม่ไปก็เสียมารยาท แม่อยากให้หนูไปด้วยนะ”
“ไม่ทราบว่า วี จะว่างหรือเปล่า”
“นี่งานคนแก่ คู่หมายของหนูเขาจะไปหรือ”
“ในฐานะคู่หมาย วีต้องไปซีคะ อีกอย่าง หนูอยากให้หม่อมจรัสเรืองท่านเห็นว่าเรายังรักกันดีอยู่ ถึงเราจะยังไม่ได้แต่งงานกัน”
“ก็ตามใจ ว่าแต่ปฐวีเขาจะมีเวลาไปงานหรือ เห็นเขาไม่เคยว่าง ติดต่อเขาได้หรือยังล่ะ หรือว่าเขายังเพลินกับอาหารว่างอยู่”
โสมสุภางค์เจ็บปวด
“ถ้าหนูบอก เขาต้องไปค่ะ คุณแม่ไม่ต้องห่วง คนอย่างปฐวี เขาต้องทำหน้าที่คู่หมายให้ดีที่สุดค่ะ”
โสมสุภางค์ผลุนผลันลุกออกไป เถาว์เครือถอนหายใจด้วยความห่วงใย
“แตะเป็นไม่ได้ คุณปฐวี ไม่รู้ว่าเหาะเหินเดินอากาศได้หรือไง”

ชิดชบาค่อยๆ เปิดประตูห้องน้ำ โผล่แต่หน้าออกมา จำเรียงเก็บเสื้อผ้าในตะกร้า
“จำเรียง คุณปฐวีไปแล้วหรือ”
“ค่ะ ไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ”
“เฮ้อ”
ชิดชบาถอนหายใจโล่งอก
“สาธุ”

โสมสุภางค์เดินเข้ามาที่ห้องทำงานของปฐวี เลขาฯ หน้าห้องรีบมาต้อนรับด้วยความเกรงใจ
“สวัสดีคะคุณโสมสุภางค์”
“คุณวี มีแขกหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ”
“ฉันจะเข้าไปพบเขา”
“เชิญค่ะ”
เลขาฯ เดินมาส่ง โสมสุภางค์เปิดประตูห้องทำงาน ปฐวีกำลังเซ็นงานอยู่ เงยหน้ายิ้มให้ โสมสุภางค์เข้ามากอดด้วยความรัก
“โสมสุภางค์”
“คุณไม่โทรหาฉันตั้งสามวันแล้วนะคะ”
“ขอโทษ ผมงานยุ่งน่ะ ผมมีเลี้ยงลูกค้าจากเมืองนอกสองวันแล้ว เราต่อรองเรื่องแลกเปลี่ยนสินค้า ใกล้จะได้เซ็นสัญญาแล้ว นี่ผมไม่ได้โทรถึงคุณนานขนาดนั้นเชียวหรือ”
“คุณไปนอนกับชิดชบามาหรือคะ”
ปฐวีนิ่งอึ้ง
“ถ้าตอบว่าไม่ได้ไป ฉันยิ่งสงสารคุณนะ แล้วอย่างนี้คุณจะใช้สินค้าชิ้นนี้คุ้มหรือ”
ปฐวีลุกขึ้นมาโอบกอดโสมสุภางค์ไว้ ด้วยท่าทีอ่อนโยน
“ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้ผมว่าง ผมจะทดแทนที่ผมขาดหายไปจากชีวิตคุณ กี่วันนะ”
“วีขา คุณน่ารักจริงๆ”
“ผมรักคุณ”
ปฐวีจูบลงบนเส้นผมของโสมสุภางค์อย่างอ่อนโยน
ในขณะที่ชิดชบาเริ่มงานปั้นโครงสร้างด้วยอารมณ์เงียบเหงา เจ็บปวด ขมขื่น และอ้างว้าง

ปฐวีและโสมสุภางค์พากันไปดื่มอย่างมีความสุข
“วีคะ ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่คุณจะหยุดฝันร้าย ฉันมีเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ แพรวาเป็นหมอที่เก่ง อาจจะรักษาคุณได้ คุณอาจจะหาย ไม่ต้องฝันร้ายอีก”
ปฐวีค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมองโสมสุภางค์นิ่งๆ โสมสุภางค์ชะงัก เริ่มร้อนใจ
“เอ่อ จริงๆ นะคะ เพื่อนของฉันเป็นหมอทางจิตที่เก่งจริงๆ”
ปฐวีนิ่ง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตาไม่พอใจ
“นี่คุณคิดว่าผมเป็นบ้าหรือ”

เถาว์เครือมองผ่านกระจกหน้าต่างไปยังรถของปฐวีที่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ปฐวียังคงนั่งนิ่งๆ โสมสุภางค์มองด้วยท่าทีอาทร
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกค่ะวี ฉันคิดแค่ คุณเป็นผู้ชายที่ฉันรัก อย่าว่าแต่คุณจะหมดตัวเพราะหุ้น เพราะเกมพนัน หรือคุณจะแขนขาดขาขาด ฉันก็ยังรักคุณค่ะ ฉันรักคุณนะคะ วี”
ปฐวีมองสบตาโสมสุภางค์ แตะปลายคางเชยขึ้น ยิ้มอ่อนโยน
“ผมรู้ ไป ไปนอนเถอะ เราต้องมีชีวิตที่ดีรออยู่ ขอเวลาให้ผมสักพัก นะ”
โสมสุภางค์จูบที่ฝ่ามือของปฐวีก่อนเปิดประตูรถออกไป

ปฐวียังคงนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าแววตาเคร่งเครียดขึ้น

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น