บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 14
ด้านนิชานึกสนุกแกล้งงอนใส่ปรก จะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว เพราะกว่าปรกจะมาได้ ก็เกือบจะสายไปแล้ว
“คุณมาไม่ทันแล้วล่ะ งานหมั้นเลิกแล้ว”
ปรกตกใจ รีบขวางหน้านิชาไว้
“แปลว่าคุณหมั้นแล้วเหรอ”
นิชามองปรก แล้วแกล้งพูดเป็นเชิงถาม “ถ้าใช่ แล้วคุณจะทำยังไง”
ปรกชะงักไปนิดๆ จึงพูดต่อ “ผมก็จะแสดงความยินดีกับคุณ แล้วก็กลับไปทำถนนที่เชียงใหม่คนเดียว”
“แค่นั้นเหรอ”
“คุณรู้ไหม ทำไมผมถึงกลับมา เพราะผมคิดว่าภูเขาที่สูง ผมก็สร้าง ถนนผ่านมาแล้ว แม่น้ำที่ว่ากว้างใหญ่ ผมก็สร้างสะพานข้ามมาแล้ว ทำไมครั้งนี้ผมจะสร้างโอกาสให้ตัวเองบ้างไม่ได้”
นิชามองปรกอย่างซาบซึ้ง ปรกมองตอบ วูบเดียวสายตาก็สลดลงอย่างเจียมตัว
“แต่ ก่อนจะสร้าง เราต้องผ่านการคำนวณให้ได้มาตรฐานที่ถูกต้อง หนึ่งบวกหนึ่ง คำตอบคือสอง ถ้ามันเกินเป็นสามแปลว่ามันไม่ถูกต้อง เราไม่อาจสร้างอะไรต่อได้ ไม่ว่าสะพาน ถนน หรือโอกาส...”
นิชาทักท้วง “แต่ตอนนี้มันไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่ง แต่เป็นหนึ่งบวกศูนย์อยู่ต่างหาก”
ปรกชะงักมองนิชา “คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็แปลว่าฉันไม่มีใครมาหมั้นแล้วน่ะสิ”
“แล้วพี่ปานเทพล่ะ”
“เขามีภรรยาแล้ว ภรรยาอุ้มท้องมาทวงพ่อลูกเขาคืน ตอนนี้เคลียร์กันอยู่ในห้องบอลรูม”
ปรกอึ้ง คาดไม่ถึง
ภายในห้องบอลรูมบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดอึมครึม
ปานรุ้งไล่สายตามองหน้าชูนาม ร้อยกรอง วิภาวี และ มาหยุดที่ปานเทพ ชูนาม และ ร้อยกรองมองปานรุ้งอย่างผู้ชนะ วิภาวีตีหน้าเศร้า ปานเทพนั้นเครียดจัด ไม่พอใจที่วิภาวีทำแบบนี้ เพราะรู้ว่ามันจะทำให้ปานรุ้งไม่พอใจในตัวเขา
“คุณน่ะเหรอจะจัดงานแต่งให้ลูก ฉันว่าคงไม่เหมาะมั้ง”
ร้อยกรองแหวขึ้นมา “ทำไม ถึงยังไงชูนามก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของปานเทพ ทำไมจะจัดงานแต่งให้ลูกไม่ได้”
“เพราะทุกคนในสังคมรู้ว่าปานเทพ เป็นลูกชายของฉัน เจ้าของบริษัทพีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ และมีพลเรือโทวาสุเทพเป็นพ่อ ถ้าคุณรักลูกอย่างที่พูด คุณคงไม่อยากให้ใครรู้หรอกว่าพ่อแท้ๆของนักเรียนนอกอนาคตไกล มีพ่อเพิ่งออกจากคุก”
ชูนามมองปานรุ้งด้วยสายตาโกรธแค้น ที่โดนปานรุ้งพูดเอาคืนอย่างเจ็บแสบ แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มเย้ย
“แต่ผมว่า ถ้าผมจัดงานแต่งให้ลูกจริงๆ คนที่จะเสียชื่อไม่ใช่ปานเทพ แต่เป็นคุณ คิดดู พาดหัวข่าวใหญ่ ปานรุ้งผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ยอมจัดงานแต่งให้ลูกชาย ทั้งๆที่ว่าที่ลูกสะใภ้กำลังท้อง เพียงเพราะฝ่ายหญิงไม่เหมาะสม จนพ่อที่เพิ่งออกจากคุก ต้องกู้เงินมาจัดให้ ทีนี้ทุกคนก็จะได้รู้ว่าขนาดชีวิตเด็กที่ไม่รู้เรื่อง เจ้าของ พีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ ยังไม่สนใจ แล้วนับประสาอะไรกับชีวิตผู้โดยสารคนอื่น”
ปานรุ้งคุมแค้นจ้องชูนามราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ วาสุเทพฟังอยู่นานเอ่ยแทรกขึ้น
“ถ้าพีแอนด์เอสที เสียหาย คนที่จะสูญเสียไม่ใช่ปานรุ้ง แต่เป็นปานเทพต่างหาก คุณอาจไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณไม่อยู่ รุ้งกับลูกไม่เหลืออะไรแม้แต่ที่นอน รุ้งเริ่มต้นสร้างทุกอย่างใหม่ จากศูนย์จนกระทั่งมี พีแอนด์เอสที แอร์ไลน์ ไม่ใช่เพื่อตัวรุ้งเอง แต่รุ้งสร้างเพื่อลูก ถ้าคุณรักลูกอย่างที่
ปากพูด ก็ควรช่วยกันรักษาสิ่งที่เป็นของลูก ไม่ใช่คิดทำลาย อย่างที่ผ่านมา”
ชูนามเป็นฝ่ายคุมแค้น แล้วยิ้มกวนประสาทวาสุเทพ
“ขอบคุณที่เตือนสติผม สมกับที่เขาเป็นพระเอกตั้งแต่หนุ่มยันแก่งั้นสิ่งที่ผมทำก็ถูกแล้ว เพราะผมกำลังรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขของปานเทพอยู่” เขาหันไปทางปานรุ้ง “แล้วนางร้าย เอ๊ย นางเอกล่ะจะว่ายังไง”
ปานเทพ วิภาวี และร้อยกรองมองปานรุ้งว่าจะพูดยังไง
ในที่สุดปานรุ้งตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ได้ ถ้าเธอมั่นใจว่าเธอท้องกับลูกฉันจริง ฉันก็จะยอมให้ปานเทพรับผิดชอบ...ปานเทพ”
ปานเทพรีบเข้าไปหาปานรุ้ง “ครับนายแม่”
“พาวิภาวีไปอยู่กับลูกที่บ้านสมุทรเทวา”
วิภาวียิ้มดีใจ ปานเทพชะงัก แปลกใจมากกว่าดีใจ และคาดไม่ถึงว่าปานรุ้งจะยอมง่ายๆ เขามองหน้ามารดา ถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ
“จริงเหรอครับนายแม่”
ขณะเดียวกัน ปกรณ์เดินหน้าเครียดอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องแต่ตัวนิชา พยายามกดโทร.หาปานวาด แต่อีกฝ่ายไม่รับสาย
เด็กหนุ่มบ่นกับมือถือ “พี่วาดนะพี่วาด ไปหาเพื่อนคนไหนก็ไม่บอกไว้ ถ้านายแม่ถาม จะบอกชื่อกันถูกคนไหมเนี่ย”
ปกรณ์มองไปทางประตูห้องแต่งตัวนิชา
“ไม่รู้พี่นิชาเป็นยังไงบ้าง”
ปรกกำลังจะเปิดประตูห้องออกไปอธิบายกับคุณหญิงมารดา โดยลืมไปว่านิชายังไม่รู้ว่าตนเป็นลูกของปานรุ้ง
“นั่นคุณจะไปไหน”
ปรกเผลอปาก “ผมจะไปหานายแม่”
“นายแม่ หมายถึงแม่คุณน่ะเหรอ แล้วแม่คุณอยู่ที่ไหน”
ปรกชะงัก คิดได้ว่านิชายังไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกปานรุ้ง
“เอ่อ...คือ”
นิชานึกบางอย่างออก “แล้วเมื่อกี้ ถ้าฉันได้ยินไม่ผิด คุณเรียกพี่ปานเทพเหรอ นี่คุณรู้จักพี่ปานเทพด้วยเหรอ”
ปรกชะงัก มองหน้านิชาอย่างกระอึกกระอัก
จนได้ยินเสียงคนเคาะประตู ปรกกับนิชามองที่ประตู เห็นปกรณ์เปิดประตูเข้ามา
“พี่นิชาครับ พี่นิชาโอเคไหมครับ”
ปรกเห็นปกรณ์ก็อึ้งไป ปกรณ์งงที่เห็นปรกในนี้ แล้วเปลี่ยนเป็นดีใจ
“อ้าว พี่ปรก ไหนบอกว่าไปเชียงใหม่ไง ทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้”
นิชามองปรกที ปกรณ์ที สุดท้ายถามปกรณ์ขึ้น “นี่รู้จักกันด้วยเหรอ”
“รู้สิครับ ก็พี่ปรกเป็นพี่ชายของผม...เอ้อ พี่นิชายังไม่เคยเจอพี่ปรกนี่ครับ” เด็กหนุ่มเดินไปพูดแนะนำกับปรก “นี่พี่นิชา คู่หมั้นพี่ปานเทพที่ผมเคยเล่าให้พี่ฟังไง”
นิชาคิดปราดเดียว มองปรกตาขุ่นเขียว “อ้อ คุณรู้เรื่องของฉัน มีแต่ฉันสินะที่ไม่รู้อะไรเลย”
จากนั้นนิชาเดินออกจากห้องไปทันที
“นิชา เดี๋ยว”
ปรกรีบตามนิชาไป ปกรณ์มองตามสองคนอย่างงุนงง
ปานรุ้งเดินมาจากทางห้องบอลรูม ตรงไปยังห้องทำงานของนิรมล โดยมีวาสุเทพเดินตาม ออกมาด้วย
“ตกลงรุ้งจะจัดงานแต่งให้ปานเทพกับวิภาวีใช่ไหม”
“ไม่จัดค่ะ”
“อ้าว แล้วรุ้งจะให้วิภาวีอยู่กับปานเทพในบ้านเฉยๆ งั้นเหรอ”
“ไม่ให้อยู่ค่ะ”
“อะไรนะ แต่เมื่อกี้รุ้งเพิ่งบอกให้ปานเทพพาวิภาวีกลับบ้าน”
“เพราะรุ้งรู้ว่าถ้าขืนพูดต่อไป กำพืดกาฝาก ลองมันลงรากเกาะแล้ว มันไม่ปล่อยง่ายๆ รุ้งไม่ยอมให้สิ่งที่รุ้งวาดหวังไว้ให้ลูก ต้องพังเพราะพวกปรสิตนั่น ตอนนี้รุ้งต้องคุยกับคุณนิรมลก่อน ธุรกิจโครงการก่อสร้างคอนโดของเราต้องเดินต่อไป”
“รุ้งหมายถึงจะให้ปานเทพหมั้นกับหนูนิชาต่อเหรอ” วาสุเทพถอนใจ ไม่เห็นด้วย “แต่พี่ว่าเกิดเรื่องขนาดนี้ คงไม่มีแม่คนไหนยอมให้ลูกหมั้นต่อ โดยเฉพาะคนมีชื่อเสียงอย่างคุณนิรมล”
ปานรุ้งหน้าเครียด
ระหว่างนี้ นิชาเดินผ่านหน้าปานรุ้งไป โดยนิชาไม่เห็นสองคน จากนั้นปรกกับปกรณ์เดินตามนิชาผ่านปานรุ้งไป โดยไม่เห็นปานรุ้งเช่นกัน
“เดี๋ยว นิชา”
วาสุเทพมองปรกอย่างงุนงง ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“นั่นปรกนี่ ไหนบอกไปเชียงใหม่ แล้วทำไมถึงอยู่ที่นี่”
ปานรุ้งมองตามปรก แล้วจึงหันมาพูดกับวาสุเทพ “ถึงคุณนิรมลไม่ให้ปานเทพหมั้นกับหนูนิชา แต่คงไม่ปฏิเสธหมั้นกับคนอื่น”
วาสุเทพมองปานรุ้งว่ากำลังคิดอะไร
นิชาออกจากลิฟท์เดินหน้าบึ้งเข้ามาในล็อบบี้ สองหนุ่มออกจากลิฟท์อีกตัว ปรกวิ่งตามมาจับมือนิชาไว้ ปกรณ์วิ่งตามยืนดูห่างๆ
“ฟังผมก่อนนิชา”
“ก่อนจะให้ฉันฟังคุณ คุณตอบคำถามฉันก่อน คุณรู้เรื่องฉันจะหมั้นกับพี่ชายคุณ ก่อนหรือหลังจากที่ฉันบอกคุณ”
ปรกถอนใจ ไม่อยากตอบ “ก่อน”
นิชายิ่งโกรธ “แล้วคุณรู้เรื่องพี่ชายคุณมีเมียอยู่แล้วก่อนหรือหลังจากที่ฉันบอก”
ปรกถอนใจเครียด ไม่อยากตอบ “ก่อน”
นิชาควันออกหูแล้ว “แล้วตอนที่ฉันถามคุณเรื่องคลุมถุงชน คุณแนะนำให้ฉันแต่งงานกับพี่ชายคุณ ทั้งๆที่คุณรู้อยู่แล้วว่าเขามีเมีย มีลูก”
“ตอนที่คุณถามเรื่องคลุมถุงชน ผมยังไม่รู้ว่าคุณจะหมั้นกับพี่ผม”
“แต่พอคุณรู้ ทำไมคุณถึงไม่ห้ามฉัน”
“ผมอยากห้าม แต่ผมมีสิทธิ์อะไรที่จะห้ามคุณ สิ่งที่ผมทำได้ คือพยายามห้ามพี่ชายไม่ให้ทำผิดกับคุณ เขารับปากจะไม่ทำให้คุณเสียความรู้สึก”
“พี่ชายคุณไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกของฉันหรอก เพราะเขาไม่มีความสำคัญกับความรู้สึกฉัน ต่อให้เขามีเมียมาทวงอีกเป็นโหล ฉันก็ไม่แคร์ แต่ฉันกลับดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องทนแต่งงานกับผู้ชายที่ฉันไม่ได้รัก ต่างจากผู้ชายอีกคนนึง ผู้ชายซื่อบื้อ ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย เจอหน้ากันก็พูดเหน็บแนมว่าฉันเป็นคุณหนู ฉันไปดูงานต่างจังหวัด ก็ยังแขวนขวดครีมกันแดดไว้ที่ประตูรถ เขียนเหน็บกลัวว่าผิวที่อยู่แต่ใน ห้องแอร์ของฉันจะโดนแดดเป็นมะเร็งผิวหนัง เดือดร้อนกระทรวงต้อง หาพนักงานใหม่ รู้ว่าฉันชอบกิน ชอบซื้ออาหารอร่อยๆ มาฝากคนในแผนก แต่ไม่ให้ฉัน ยั่วให้ฉันอยาก จนไม่เป็นอันทำงาน แค่ผู้ชายตัวดำๆ ปากก็เสีย ทำไมแค่เขาเดินผ่านไม่ยอมทัก มันทำร้ายความรู้สึกฉัน ยิ่งกว่าโดนหัวหน้าทั้งกระทรวงรุมด่าซะอีก”
ได้ฟังคำระบายอันยาวเหยียด ปรกถึงกับอึ้งตะลึงตะไล “นิชา”
“อย่าบอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์ห้ามฉัน คุณเป็นคนแรกที่ฉันอยากให้ห้าม แต่คุณเองต่างหาก ที่ไม่เคยแคร์”
นิชาสะบัดมือออก แล้วจะเดินหนีไป ปรกขยับเดินตาม นิชาหันหน้ามาสั่ง
“ไม่ต้องตาม ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
นิชาเดินออกไป คอยมองจากหางตา พบว่าปรกไม่ตามมาจริงๆ ก็หงุดหงิด
“ไม่ตามมาจริงๆ เหรอเนี่ย”
วิศวกรสาวสวยเดินหุนหันออกจากโรงแรมไปเลย
ส่วนปรกมองตามนิชาอย่างอึ้งๆ งุนงงกับคำสารภาพรักของนิชาที่เขาไม่เคยรู้ ปกรณ์เดินเข้ามาหาพี่ชาย
“พี่ปรก ทำไมไม่ตามไปคุยกับพี่นิชาล่ะ”
ปรกยังอึ้งๆ มึนๆ งงๆ อยู่ “ก็เขาบอกไม่ให้ตาม”
“ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ พูดว่าไม่ แต่จริงๆ อยากให้ตาม”
“อ้าว เหรอ”
ปรกจะเดินไป แต่แล้วกลับชะงักหยุดเดินด้วยความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ อยากตาม แต่กลัวนิชาไม่อยากเจอหน้าจริงๆ ปรกจึงเดินกลับมาหาน้องชาย เพื่อถามให้แน่ใจ
“แล้วกรณ์รู้ได้ยังไง เคยมีแฟนเหรอ”
“ไม่เคยมีแฟน แต่มีเพื่อนผู้หญิง เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ” ปกรณ์บอกยิ้มๆ
ปรกจะเดินไปแล้วชะงัก หันมาถามน้องอีกที “แน่ใจนะว่าพี่ควรตามไป”
ปกรณ์กลับบอกว่า “ไม่”
“ไม่แน่ใจใช่ไหม”
“ไม่ต้องไปแล้ว ป่านนี้พี่นิชาขึ้นรถไปแล้ว” ปกรณ์เข้าไปกอดไหล่พี่ชาย “ตกลงพี่ปรกกับพี่นิชายังไงๆๆๆๆๆ แล้วนายแม่รู้รึเปล่า”
ปรกชะงักไปนิด “ปกรณ์ห้ามบอกนายแม่นะว่าพี่มา เรื่องยังวุ่นวายไว้พี่พร้อม พี่จะบอกนายแม่เอง”
ด้านหลังสองพี่น้องยามนี้ ปานรุ้งยืนอยู่กับนิรมลและวาสุเทพ มองดูเหตุการณ์ระหว่าง ปรกกับนิชาอยู่นานแล้ว
ปานรุ้งพูดกับนิรมลขึ้นว่า “ตอนปานเทพ ดิฉันผิดเองที่ใจร้อนไม่ได้ปรึกษาคนในครอบครัวจนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ปรก ลูกชายคนรองของดิฉันคบอยู่กับหนูนิชา คุณนิรมลจะว่าอะไรไหมคะ ถ้าดิฉันจะขอโอกาสอีกสักครั้ง”
“อย่างที่ดิฉันบอกคุณหญิงล่ะค่ะ ครั้งนี้ฉันจะไม่บังคับลูก ถ้านิชาว่ายังไง ดิฉันก็ว่าตามนั้น”
ปานรุ้งมองไปทางปรก “ดิฉันเชื่อว่าครั้งนี้เราคงจับคู่ถูกใจทั้งเรา ถูกใจทั้งลูก”
นิรมลมองตามปรก แล้วหันมายิ้มให้ปานรุ้ง
ถัดจากนั้น ปานรุ้งเดินออกจากโรงแรมมาพร้อมวาสุเทพ
“ดูท่าทางคุณนิรมลไม่มีท่าทีคัดค้าน บริษัทพีแอนด์เอสที ต้องได้ร่วมกับบริษัทนิรมลพร็อพเพอร์ตี้ เห็นไหมคะพี่เทพ ไม่มีอะไรที่รุ้งจัดการไม่ได้”
ปกรณ์เดินตามปานรุ้งกับวาสุเทพออกมา
“ปกรณ์ แล้วพี่ปรกล่ะลูก”
ปกรณ์ชะงัก “เอ่อ คุณพ่อกับนายแม่เห็นพี่ปรกด้วยเหรอครับ”
“เห็นสิ ไม่งั้นแม่จะถามหาเหรอลูก แล้วตกลงปรกอยู่ไหน”
“พี่ปรกขับรถไปเชียงใหม่แล้วครับ”
ปานรุ้งแปลกใจ “อะไรนะ แล้วทำไมปรกไม่มาหาแม่ก่อน”
วาสุเทพตัดบท “เอาเถอะรุ้ง ปรกคงรีบไปทำงาน ไว้ปรกกลับมาค่อยคุยก็ได้”
ปานรุ้งนึกได้ “แล้วปานวาดล่ะ แม่ไม่เห็นปานวาดตั้งแต่ออกจากห้องบอลรูมแล้ว ปานวาดไปไหนปกรณ์”
ปกรณ์มองหน้าปานรุ้งอย่างกระอึกกระอัก
อ่านต่อหน้า 2
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 14 (ต่อ)
โดมกับดรุณีช่วยกันพาตัวกติยาไปนั่งเอนที่เตียงนอน
“แม่นอนพักก่อนนะครับ”
“ไม่ แม่ไม่นอน” กติยามองโดมด้วยสายตาแข็งกร้าว “รอยลิปสติกบนเสื้อโดม เป็นของนังเด็กใจแตกนั่นใช่ไหม”
ดรุณีหยิบถ้วยยาที่โต๊ะข้างเตียง มายื่นให้ลูก
“กินยาก่อนนะลูก แล้วค่อยคุยกับลูกดีๆ”
กติยาอาละวาดจับมือโดมกระชากอย่างแรง “บอกแม่มา โดมมีแฟนแล้วเหรอ โดมจะทิ้งแม่ไปอีกคนใช่ไหม” แล้วผลักโดมอย่างแรง “งั้นก็ไปเล้ย ชีวิตแม่มันไม่มีค่า ไม่มีใครต้องการ แม่ตายซะดีกว่า
กติยาลุกขึ้นจะวิ่งไปที่หน้าต่าง โดมกับดรุณีช่วยกันดึงตัวให้นอนบนเตียง
“ผมไม่มีแฟน ผมไม่มีใครทั้งนั้น ผมมีแม่คนเดียว แม่ใจเย็นๆ นะครับ”
กติยาฟังโดมแล้วชะงัก เปลี่ยนสีหน้าจากแข็งกร้าว เป็นสลดลง
“จริงนะลูก อย่าทิ้งแม่ไปอีกคนนะ ชีวิตแม่ มีแค่โดมเท่านั้น ถ้าไม่มีโดมอีกคน แม่ก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว”
โดมเข้าไปกอดปลอบแม่
“ครับแม่” ชายหนุ่มหยิบถ้วยยาจากยายมาส่งให้แม่ “แม่กินยาก่อนนะครับ”
กติยายอมกินยา แล้วลงนอนบนเตียงโดยดี
ดรุณีมองกติยาที่สงบลงอย่างโล่งใจกระซิบบอกหลาน
“เดี๋ยวยายดูแลแม่เอง โดมลงไปคุยกับเพื่อนเถอะ”
“เขาไม่ใช่เพื่อนหรอกครับ เขาแค่ลูกค้า เดี๋ยวผมลงไปจัดการเขาก่อน”
โดมค่อยๆ เดินออกจากห้องไปเงียบที่สุด โดยไม่ให้กติยารู้สึก
ดรุณีมองตามด้วยสายตาเห็นใจ รู้ว่าหลานชายสร้างกำแพงกันตัวเองไม่ให้มีเพื่อนอยู่
กติยาเรียกแม่ด้วยสีหน้าปกติ “แม่คะ”
ดรุณีรีบมาดูแลลูก “ว่ายังไงลูก”
“ยาขอน้ำอุ่นได้ไหมคะ”
“ได้ลูก เดี๋ยวแม่ไปเอาให้นะ”
ดรุณีจะเดินออกจากห้อง แล้วหันมามองกติยาอีกทีเพื่อความแน่ใจว่ากติยาจะไม่อาละวาด เห็นกติยานอนหลับตานิ่ง ดรุณีจึงออกจากห้องไป
กติยาลืมตา มองไปทางประตูด้วยสายตาอันแข็งกร้าว!
ปานวาดนั่งรอที่โซฟาอยู่คนเดียว มองรอบๆ บ้านอย่างสนใจ จนเห็นโดมเดินเข้ามาในห้อง
ปานวาดมองหากติยา “แม่นายล่ะ”
โดมไม่ตอบ เดินเข้าดึงมือปานวาดให้ลุกขึ้น จะพาออกจากบ้าน
ปานวาดโวยวาย ไม่ยอมเดินตามโดม “เฮ้ นาย ปล่อยฉันนะ”
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
ปานวาดตอบด้วยท่าทียียวน “ทีนายสืบที่อยู่บ้านฉันได้เลย แล้วทำไม ฉันจะสืบที่อยู่บ้านนายไม่ได้”
โดมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ออกไปซะ”
ปานวาดโมโห “นี่คือวิธีต้อนรับแขกของบ้านนายเหรอ”
“ออกไปซะ และอย่ามาที่นี่อีก ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ”
ปานวาดอึ้ง เพราะไม่คิดว่าจะโดนไล่ซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อนอาการเสียหน้า
“ฉันก็ไม่ได้อยากมานักหรอก แต่ที่มาเพราะติดต่อนายไม่ได้ ฉันจะจ่ายค่ามิกซ์เพลงให้คุณ”
ปานวาดหยิบเงินประมาณ 5,000 วางตรงหน้าโดม แล้วจะเดินไป
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เอาเงิน”
“แต่ฉันไม่อยากใช้ใครฟรีๆ เอาเงินไปนั่นแหละ นายกับฉันจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
โดมมองตามปานวาดด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ อยากจะรั้งเธอไว้ แต่ไม่อยากให้ปานวาดต้องมามีปัญหากับแม่ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยของเขา จึงห้ามใจไม่รั้ง โดมนั่งลงบนโซฟาอย่างเจ็บปวด
สองคนไม่รู้ว่ากติยาแอบมองดูอยู่ที่บันได
ปานวาดเดินออกมาหน้ารั้วบ้านด้วยความรู้สึกทั้งเจ็บและอายที่ถูกโดมไล่ เตะก้อนหินที่พื้นใส่กำแพงบ้านโดมระบายอารมณ์ แต่ก้อนหินดันกระเด้งกลับมาโดนขาตัวเอง
“โอ๊ย” ปานวาดก้มลงนั่งจับขาตัวเองอย่างเจ็บปวด
คุณหนูไฮโซน้ำตาไหล รีบเช็ดน้ำตา หยิบหินก้อนเดิมขึ้นมาบ่นบ้าใส่
“ไอ้ก้อนหินบ้า แกมีสิทธิ์อะไรมาทำขาฉันเจ็บ” ปานวาดปาหินทิ้งไป “ไอ้หินทุเรศ”
หินกลิ้งไปอยู่ที่เท้าของกติยาที่เปิดประตูรั้วออกมามอง ปานวาดรีบลุกขึ้นมา
“เธอเป็นใคร ชื่ออะไร รู้จักโดมได้ยังไง”
ปานวาดยกมือไหว้กติยา “สวัสดีค่ะ หนูชื่อปานวาด เคยไปที่ร้านโดม เลยรู้จักโดมที่นั่น”
กติยามองหมิ่น “แล้วก็เลยตามมาทอดสะพานผู้ชายถึงบ้าน ไม่รู้เพราะเดี๋ยวนี้ผู้ชาย หายาก หรือผู้หญิงหน้าด้านขึ้น ถึงกล้าเอาตัวมาให้ผู้ชายถึงที่”
ปานวาดชะงักนิดๆ แล้วพยายามพูดดีๆ กับกติยา “เปล่าค่ะ ที่หนูมา เพราะหนูจ้างโดม มิกซ์เพลงให้ เลยเอาเงินค่าจ้างมาให้ ตอนนี้หมดธุระแล้ว หนูคงไม่มาที่นี่อีก”
มีรถแท็กซี่ขับผ่านมาพอดี ปานวาดโบกมือเรียก แท็กซี่จอดปานวาดเปิดประตูบอกเส้นกับคนขับรถ
“ไปแถวราชินีบน เข้าซอยสมุทรเทวา”
กติยาได้ยินคำว่า “สมุทรเทวา” ถึงกับหูผึ่ง พุ่งเข้าไปดึงแขนปานวาดไว้
“เมื่อกี้เธอบอกว่าจะไปไหนนะ”
ปานวาดทำสีหน้าเจ็บปวดเพราะถูกกติยาจับแขนอย่างแรง “ซอยสมุทรเทวาค่ะ”
“ทำไมถึงชื่อซอยสมุทรเทวา”
“ก็เป็นซอยส่วนบุคคลของบ้านหนู คุณแม่หนูเป็นคนแบ่งที่ดินสร้าง ถนนให้ชาวบ้านเข้า ออก”
กติยาฟังปานวาดพูดแล้วมีสีหน้าเครียดมากขึ้น
“แม่เธอเหรอ แม่เธอชื่ออะไร”
ปานวาดจะตอบ แต่ได้ยินเสียงแตรรถแท็กซี่ บีบเร่งปานวาด
คนขับแท็กซี่ตะโกนถามปานวาดเสียงขุ่น “ตกลงไปไหมน้อง”
“ไปค่ะ หนูไปล่ะค่ะ”
ปานวาดไหว้ลากติยาแล้วเปิดประตูรถแท็กซี่ กติยาปิดประตูรถแท็กซี่อย่างแรง แล้วดึงแขนปานวาดไว้ ถามเสียงดังขึ้น
“ฉันถามว่าแม่เธอชื่ออะไร”
“แม่หนูชื่อปานรุ้งค่ะ ปานรุ้ง นทีพิทักษ์”
กติยาชะงักกึก มองหน้าปานวาดอย่างตะลึงพรึงเพริด
โดมยังนั่งหน้าเศร้าที่โซฟาห้องรับแขก ดรุณีวิ่งหน้าตาตื่นลงบันไดมา
“โดม แย่แล้ว แม่เขาหายไปจากห้องอีกแล้ว”
โดมลุกพรวดทันที “อะไรนะครับ คุณยายดูข้างบนทั่วแล้วเหรอครับ”
“ทั่วแล้ว ยายลงมาเอาน้ำอุ่น ขึ้นไปก็ไม่เจอแม่แล้ว คราวนี้จะหายไปไหนอีก”
“เดี๋ยวผมออกไปตามหาแม่เองครับ”
พอโดมจะเดินออกจากบ้านไปตามหา กลับเห็นกติยาเดินอารมณ์ดีเข้ามา
“แม่ แม่ออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วย แม่ก็แค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้นเอง วันๆ อยู่แต่ในห้อง แม่เบื่อ” กติยาหันไปทางดรุณี “แม่คะ เย็นนี้มีอะไรกินบ้าง ยาอยากกินน้ำพริกปลาทูจัง”
“ได้สิ เดี๋ยวแม่ทำให้”
“เอายอดผักบุ้งลวก ราดกะทิ ของโปรดโดมด้วยนะคะแม่”
“ได้สิ แต่ยาต้องขึ้นไปนอนพักก่อนนะ ตื่นแล้วค่อยกินข้าวเย็นกัน”
“ไม่ค่ะ แม่ไปเตรียมกับข้าวเถอะค่ะ ยาจะนั่งคุยกับลูก”
กติยาจูงมือลูกพากลับไปนั่งที่โซฟา
ทั้งโดมกับดรุณีต่างมองกติยาด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“พักนี้แม่เครียดๆ ไม่ได้ดูแลลูกเลย งานของลูกเป็นยังไงบ้าง”
“ดีครับ ผับคนเข้าเยอะตลอด”
“แล้วเพื่อนล่ะ ทำไมแม่ไม่ค่อยเห็นลูกพาเพื่อนๆ มาเที่ยวที่บ้านเลย หรือว่ากลัวเพื่อนมาเห็นว่าโดมมีแม่เป็นคนบ้า” กติยาพูดดักคอลูกชาย
โดมรีบตอบ “ไม่ใช่ครับ ผมแค่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว ผมชอบอยู่กับแม่กับยายตามลำพังมากกว่า”
“แต่แม่ว่าเป็นเพราะแม่มากกว่า โดมถึงไม่มีเพื่อน”
“ไม่ใช่ครับแม่ ผมมีความสุขที่อยู่กับแม่กับยายจริงๆ”
กติยามองออกไปทางหน้าต่าง “เมื่อกี้ ตอนแม่เดินเล่น แม่เห็นลูกชายข้างบ้าน เขาพาเพื่อนมา แม่เห็นเขายิ้ม แม่ได้ยินเขาหัวเราะ มันเป็นสิ่งที่แม่ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินจากโดมเลย อย่างนี้เรียกว่าโดมมีความสุขเหรอ”
“แม่”
“วันหลังชวนเพื่อนมาบ้านสิ แม่อนุญาต”
โดมเหลียวไปมองหน้ายายด้วยสีหน้าแปลกใจ ขณะถามแม่ออกไป
“อะไรนะครับ”
“แม่อยากเจอหนูปานวาดอีก แม่อยากขอโทษที่วันนี้แม่ต้อนรับเขาไม่ดี โดมพาเขามาหาแม่อีกได้ไหม”
โดมกับดรุณีมองกติยาด้วยสีหน้าประหลาดใจมากๆ
กติยาออกมาเดินเล่นรับลมตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน ด้วยสีหน้าสบายใจ ดรุณีเดินมาหาแล้วถามขึ้น
“เรื่องที่ยาบอกกับลูกเมื่อตอนบ่าย ยาแน่ใจเหรอ”
“เรื่องเด็กผู้หญิงที่ชื่อปานวาดน่ะเหรอคะ ยาพูดจริงสิคะ เพราะยามาคิดๆ ดูแล้ว ยาจะหวงลูกไปทำไม ในเมื่อลูกของยาเป็นผู้ชาย ผู้ชายทำอะไรก็ไม่เสียหาย แต่เป็นผู้หญิงต่างหากที่เสียหาย แล้วยาจะหวงลูกทำไม”
ดรุณีถามย้ำ “แน่ใจนะว่ายาทำได้”
“ได้สิคะ ลูกเลี้ยงได้แต่ตัว ตอนนี้เขาอาจจะเชื่อยา แต่ต่อไป” สีหน้าแววตาวาววับ คล้ายนึกโกรธวูบขึ้นมา “เชื้อพ่ออาจจะโผล่ เห็นผู้หญิงอื่นดีกว่ายา แล้วก็ทิ้งยาไป”
ดรุณีเรียกสติลูก “ยา”
กติยาพยายามสูดหายใจ “ขอโทษค่ะ ยาแค่อยากรู้จักเด็กผู้หญิงคนนั้นให้มากขึ้น อยากรู้ว่าพ่อแม่เป็นยังไง บางที เด็กคนนี้อาจทำให้ความเจ็บในอดีตของยา หายไปก็ได้”
กติยาเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ มีแมลงอยู่ในดอกไม้นั้น กติยากำมือบดขยี้แมลงในดอกไม้แหลกคามือ โดยที่ดรุณีไม่เห็น
อนิจจา อดีตคุณครูผู้แสนดี ถูกความรักทำร้ายจนสติและความนึกคิดบิดเบี้ยว เธอกำลังพบหนทางแก้แค้นเอาคืน ปานรุ้ง และ วาสุเทพ นทีพิทักษ์ อย่างสาสม
โดยจะใช้ความรักฉันชู้สาวระหว่าง พี่ชาย กับ น้องสาว ร่วมบิดาเดียวกัน เป็นเครื่องมือ!!
ระหว่างที่ ปานรุ้ง วาสุเทพ และปกรณ์เดินเข้าห้องโถงบ้านมานั้น เห็นจำปีกำลังสั่งงานสาวใช้ วุ่นอยู่
“นังแก้ว เดี๋ยวแกขึ้นไปถอดผ้าม่านเก่าที่ห้องคุณปานเทพมาซัก แล้วเอาผืนใหม่ไปใส่แทน เอาผืนที่มีสีส้มนะ คุณวิภาวีเธอสั่งว่า ชอบสีส้ม” แล้วหันไปสั่งสาวใช้อีกคน “แกเอาผ้าขนหนูไปไว้ให้คุณวิภาวีสิ อ้อ! เอาผ้าปูเตียง ปลอกหมอนไปเปลี่ยนใหม่ด้วย”
สาวใช้ทั้ง 2 หอบผ้ากันออกไปทางหลังตึกอย่างวุ่นวาย
ปกรณ์ปรารภกับวาสุเทพว่า “ทำไมบ้านดูวุ่นวายอย่างนี้ล่ะครับคุณพ่อ”
ปานรุ้งมองดูความวุ่นวายตรงหน้าอย่างไม่พอใจ
“น้อย”
จำปีสะดุ้งหันมาเห็นปานรุ้งก็ชะงักรีบลงนั่ง น้อยถลาเข้ามาหาคุณหญิง
“ขาคุณหญิง”
“ทำไมบ้านมันถึงดูวุ่นวายอย่างนี้”
“เอ่อคือ เมื่อกี้ตอนคุณปานเทพพาคุณวิภาวี คุณวิภาวีบอกว่าแพ้ฝุ่น เลยสั่งเด็กให้ทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าม่าน เครื่องนอนในห้องของคุณปานเทพใหม่หมดค่ะ”
ได้ยินเสียงวิภาวีตะโกนลงมาจากห้องนอนปานเทพ
“จำปี ฉันให้มาเปลี่ยนผ้าปูเตียง มารึยัง ฉันจามจะแย่อยู่แล้ว รู้ไหมว่าจามมากๆ มันกระเทือนกับลูกในท้องฉันนะ”
“เด็กในท้องงั้นเหรอ”
ปานรุ้งมองขึ้นไปทางห้องนอนของปานเทพ เหมือนมีแผนบางอย่างจะจัดการวิภาวี
วิภาวีแอบคุยมือถือกับชูนามอยู่ในห้องนอน
“นายแม่ไม่มายุ่งกับวิเลยค่ะคุณพ่อ วิโวยวายคนใช้ยังไง นายแม่ก็ให้คนใช้ทำตามหมด”
ชูนามอยู่ที่บ้าน คุยมือถืออยู่ ร้อยกรองนั่งเอียงหูฟังข้างๆ
“งั้นหนูวิก็วางตัวเป็นลูกสะใภ้คนโตให้เต็มที่เลยลูก เมื่อไหร่ที่ปานรุ้งมีปฏิกิริยา รีบบอกพ่อ ..โอเคนะ” ชูนามกดวางสายไป
ร้อยกรองกังวล “ชูนามเชื่อว่านังปานรุ้งจะยอมรับวิภาวีจริงๆเหรอ”
“ไม่เชื่อ”
“แล้วชูนามปล่อยให้หนูวิไปอยู่บ้านนังปานรุ้งทำไม เดี๋ยวนังปานรุ้งก็รู้จนได้ว่าหนูวิไม่ได้ท้องจริง”
“แม่ หนูไม่ได้เพิ่งวางแผนทำลายปานรุ้งเมื่อวันสองวันนี้นะ แต่หนูคิดตั้งแต่วินาทีแรกที่มันทิ้งหนูไว้ในคุกจนถึงวินาทีนี้ ปานรุ้งอาจจะฉลาด แต่เชื่อเถอะ ความชั่วของหนู เกินกว่าที่ปานรุ้งจะคิดถึง”
ชูนามยิ้มชั่วออกมาเต็มใบหน้ากร้านชีวิตนั้น
อ่านต่อหน้า 3
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 14 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น ปานวาดกับปกรณ์แต่งตัวในชุดนักศึกษาออกจากห้องพร้อมกัน สองคนต่างหันหน้ามามองกันอย่างแปลกใจ
“แต่งตัวไปไหน ปกติวันนี้นายไม่มีเรียนเช้า ไม่ใช่เหรอ”
ปกรณ์อึกอักนิดๆ “ผมมีเรียนเช้า” แล้วมองพี่สาว “แล้วพี่ล่ะ แต่งตัวไปไหน ปกติวันนี้พี่ไม่มีเรียนเหมือนกันนะ”
ปานวาดชะงัก “อาจารย์นัดสอนเสริมเพื่อเตรียมสอบย่ะ”
ปกรณ์ล้อ “ถ้าเดาไม่ผิด คงเป็นวิชาเดียวกับหนังสือเมื่อวาน ที่พี่ต้องรีบไปเอาที่เพื่อนงั้นสิ และถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นวิชาดนตรี เกี่ยวกับดีเจ”
ปานวาดแถส่งๆ ไป “อย่ามาพูดมั่วๆ นะ เดี๋ยวพี่ก็บอกนายแม่ซะหรอกว่านายตามจีบแม่ค้าไอจี”
“ไม่ได้จีบสักหน่อย”
“ถ้าไม่ได้จีบ แล้วเช้านี้เธอจะหลอกนายแม่เพื่อไปไหน”
ปกรณ์ย้อนกลับ “ก็ไปแบบเดียวกับพี่วาดนั่นแหละ”
“ถ้าอาการหอบกำเริบ พี่ไม่รับผิดชอบนะ”
“ถ้ากลับมาช้ากว่า 4 โมงเย็น ผมไม่รู้เรื่องด้วยนะ”
ปานวาดเอ่ยขึ้นเป็นเชิงตกลง “ดิว”
ระหว่างนี้ปรกเดินลงบันไดแหวกตรงกลางระหว่างน้องสองคน ปกรณ์มองฉงน ประหลาดใจที่เห็นพี่ชายคนรอง
“พี่ปรก กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนว่าดูงานที่เชียงใหม่ไง”
“พี่นั่งเครื่องกลับมาเมื่อเช้า พอดีมีธุระด่วนที่กรม”
ปานวาดแซว “ธุระด่วนเกี่ยวกับพี่นิชารึเปล่า”
ปรกมองปานวาด แล้วมองปกรณ์ น้องเล็กยิ้มแหยๆ
“ครอบครัวเดียวกัน ไม่มีความลับกันหรอกเนอะ”
“ดี งั้นเดี๋ยวพี่จะบอกนายแม่ว่าเราสองคนดิวอะไรกัน”
ปกรณ์ กะ ปานวาดพูดพร้อมกันว่า “ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ก็ครอบครัวเดียวกัน ไม่มีความลับกันหรอก เนอะ บอกมาจะแอบไปไหนกัน”
ปกรณ์รีบประจบบอก “ผมจะไปซื้อเกมกับเพื่อน พี่ปรกอย่าบอกนายแม่นะ”
ปานวาดอ้อน “วาดจะไปซื้อของกับเพื่อน พี่ปรกอย่าบอกนายแม่นะ”
น้อยเดินเข้ามาหาพอดี
“คุณปรก คุณวาด คุณปกรณ์ คุณหญิงเรียกให้ไปรับประทานอาหารเช้าได้แล้วค่ะ”
ปกรณ์และปานวาดมองปรกด้วยสายตาอ้อนวอน
ปานวาดกระซิบ “อย่าบอกนายแม่น้า”
ปกรณ์กระซิบตาม “นะพี่ปรกสุดหล่อของน้อง”
ปรกเก๊กพูดยิ้มๆ อย่างเหนือกว่า
“ขึ้นอยู่กับว่าทำตัวดีรึเปล่า”
วิภาวีนั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าเป็นครั้งแรก น้อยกับจำปีช่วยกันเสิร์ฟข้าวต้ม แล้วตามด้วยเครื่องดื่ม ปานวาดกับกรณ์แย่งกันตักกับข้าวให้ปรก
“นี่ยำไข่ดาว ของโปรดพี่ปรก” ปานวาดตักให้ก่อน
ปกรณ์ตักกับข้าวให้ปรก “นี่หมูหยอง พักนี้พี่ปรกทำงานหนัก ต้องกิน โปรตีนมากๆบำรุงสมอง น้องเป็นห่วง
ปานรุ้ง วาสุเทพ ปานเทพ และวิภาวี มองปานวาดกะปกรณ์ที่ตักอาหารเอาใจปรก
“น้องวาดกับน้องปกรณ์เอาแต่ตักกับข้าวให้คุณปรก ไม่เห็นตักให้นายแม่กับคุณพ่อบ้างเลย” วิภาวีตักกับข้าวให้ปานรุ้งและวาสุเทพ “วิตักให้นะคะ”
วาสุเทพยิ้มให้ “ขอบใจนะ”
แต่ปานรุ้งกลับเขี่ยกับข้าวที่วิภาวีตักให้ ไว้ข้างจาน
“ตอนนี้ฉันกินอาหารคลีน อาหารปรุงแต่ง ฉันไม่กิน” ปานรุ้งหันไปทางน้อย “สลัดของฉันอยู่ไหนน้อย”
น้อยรีบเอาสลัดมาเสิร์ฟปานรุ้ง วิภาวีข่มอารมณ์คุมแค้น
ปานเทพมองแม่ อย่างรู้ทันว่าไม่พอใจเรื่องเมื่อวาน
ปานรุ้งพูดกับปานวาดและปกรณ์โดยไม่สนใจวิภาวี “ปานวาดกับปกรณ์แต่งชุดนิสิตทำไมแต่เช้า แม่จำได้ว่าปกติวันนี้สองคนไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ”
ปานวาด ปกรณ์มองหน้ากัน แล้วเหลือบมองปรก
“เห็นน้องบอกว่ามีอ่านหนังสือเตรียมสอบน่ะครับ”
ปกรณ์รีบพูดเสริม “ใช่ครับนายแม่ รุ่นพี่ที่คณะนัดช่วยติวน่ะครับ”
“ของวาด อาจารย์นัดค่ะ”
“โอเค” ปานรุ้งหันมาทางสามี “งั้นเดี๋ยวพี่เทพไปส่งปานวาดกับปกรณ์แทนรุ้งก่อนนะคะ เดี๋ยวรุ้งจะไปกับปรก”
ปรกงง “ไปไหนครับนายแม่”
“ก็ไปหาคุณนิรมลเพื่อหาฤกษ์หมั้นปรกกับหนูนิชาไง”
ปรก และ ปานเทพตกใจมากกว่าใคร “อะไรนะครับ”
“เมื่อคืนแม่เห็นปรกกับหนูนิชาหมดแล้ว แม่กับคุณนิรมลตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บังคับปรกกับหนูนิชาอีก ถ้าสองคนชอบพอกัน แม่กับคุณนิรมล จะจัดการทุกอย่างให้ถูกต้อง”
ปรกท้วง รู้สึกว่ามันเร็วไป “แต่นายแม่ครับ”
ปานรุ้งหันมาทางปานเทพเป็นเชิงตำหนิ “ปานเทพควรขอบใจปรกนะ เป็นเพราะปรก ทำให้ สถานการณ์สิ้นคิดเมื่อวาน คลี่คลายเป็นดี” ตอนท้ายคุณหญิงปรายตามองไปทางสะใภ้
ปรกหาทางถ่วงเวลา ไม่อยากคุยเรื่องหมั้นตอนนี้ “แต่เช้านี้ผมมีธุระครับ”
“ไม่เป็นไร แม่รอปรกได้จ้ะ”
ปานเทพมองปานรุ้งที่พูดดี และยอมตามใจปรก ในขณะที่ตัวเองถูกตำหนิในท่าทีอันหมางเมิน อย่างไม่พอใจ
ปรกเดินจากห้องทานอาหาร ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เรื่องที่ปานรุ้งจะให้หมั้นกับนิชารวดเร็วขนาดนี้ ปานเทพเดินตามหลังปรกมา พูดเสียงเยาะๆ
“มิน่า ก่อนวันหมั้น นายถึงออกตัวพูดปกป้องนิชาขนาดนั้น ความจริง ถ้านายชอบนิชา นายก็ก็น่าจะบอกเราตรงๆ เราก็ยอมยกให้ ไม่ต้องเอาเรื่องความถูกต้องมาอ้าง”
ปรกฟังแล้วรู้สึกฉุน และไม่พอใจนิดๆ แต่เก็บอาการไว้
“ผมไม่ได้อ้าง ที่ผมพูดตอนนั้น เพราะผมเห็นว่าพี่ทำไม่ถูกต้องจริงๆ พี่มีเมียอยู่แล้ว แต่กลับไปหมั้นกับคนอื่น ต่อให้ผู้หญิงที่พี่จะหมั้นไม่ใช่นิชา ผมก็ต้องเตือนพี่อยู่ดี เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมันมีเสียกับเสีย แล้วสุดท้าย มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”
พูดจบปรกจะเดินไป ปานเทพยืนขวางหน้าไว้
“แต่ตอนนี้นายก็ช่วยกู้หน้าให้นายแม่แล้วนี่กำลังได้เป็นว่าที่ลูกเขยเจ้าของโรงแรม และอีกไม่นานก็คงขึ้นมาเป็นลูกรักของนายแม่แทนฉัน”
ปรกเตือนสติ “พี่อย่าพูดอย่างนี้ให้นายแม่ได้ยินนะ นายแม่รักพี่มาก ถ้าท่านได้ยินว่า
พี่ตีค่าความรักของท่านเท่านี้ ท่านจะเสียใจขนาดไหน และพี่ไม่ต้องห่วง ผมไม่เคยคิดเป็นลูกรัก สำหรับผม ต่อให้เป็นลูกชัง แต่ขอแค่ได้ เป็นลูกของแม่ ผมก็สุขพอแล้ว”
ปรกเดินออกไปเลย ปานเทพมองตามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไรนักที่ถูกปรกสอน
หลังมื้อเช้าปานรุ้งนั่งตรวจดูงานจากโน้ตบุ๊กที่โต๊ะทำงานในบ้านสมุทรเทวา จนมีเสียงเคาะประตูดัง ก่อนจะเห็นปานเทพเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“ผมจะมากราบขอประทานโทษนายแม่กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานครับ”
ปานเทพคุกเข่า ทำท่าจะก้มกราบเท้าผู้เป็นมารดา ปานรุ้งรีบจับมือลูกไว้ก่อน
“ลุกขึ้นมาเถอะลูก”
ปานเทพยังไม่ยอมลุกขึ้น “ผมไม่รู้จริงๆ ว่าวิภาวีท้อง ถ้าผมรู้ ผมคงจัดการก่อนไม่ให้วิภาวีทำนายแม่ขายหน้าแบบนี้ นายแม่อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
ปานรุ้งจับปานเทพให้ลุกขึ้น “แม่บอกให้ลุกขึ้น”
ปานเทพยอมลุกขึ้นยืน แล้วมองมารดาด้วยสายตาออดอ้อน สำนึกผิด
“บอกแม่สิว่ารู้เรื่องพ่อได้ยังไง”
“ตอนที่เราย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สักพัก ผมเล่นบอลอยู่ที่สนาม ย่าก็มาเรียกผมที่ข้างรั้ว บอกเรื่องพ่อ ตอนแรกผมไม่เชื่อ ย่าแอบไปหาผมที่โรงเรียน แล้วพาผมไปหาพ่อ”
“ทำไมปานเทพถึงไม่บอกแม่”
“ผมกลัวนายแม่จะไม่ยอมให้ผมไปเจอพ่ออีก พ่อบอกว่านายแม่เกลียดพ่อ”
ปานรุ้งกอดปานเทพอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไร อะไรที่ผ่านไปแล้ว แม่จะไม่รื้อฟื้นเพราะมันแก้ไขไม่ได้ แต่ตอนนี้ต่างหากที่สำคัญ ปานเทพเชื่อว่าแม่รักลูกไหม”
“เชื่อสิครับ”
“ถ้าปานเทพเชื่อว่าแม่รักลูกที่สุด งั้นต่อไป ถ้าพ่อเขาพูดอะไรให้ทำอะไร ปานเทพต้องบอกแม่ สัญญาได้ไหม”
ปานเทพชะงัก แต่นึกถึงผลประโยชน์ของบริษัท “ได้ครับนายแม่”
“ดีมาก ส่วนความผิดพลาดอื่นในชีวิตของปานเทพ แม่ก็มีวิธีแก้ไขแล้วเหมือนกัน” ปานรุ้งยิ้มให้ ลูบผมปานเทพด้วยความรัก “ไม่ต้องห่วงนะลูก ลูกของแม่ทุกคน ไม่มีใครมาทำลายชีวิตได้”
ปานเทพออกมานอกบ้าน คุยมือถืออยู่ในสวนสวยด้วยสีหน้าเครียดจัด ปลายสายเป็นชูนาม
“พ่อครับ ผมอยากให้วิไปอยู่บ้านย่าก่อนได้ไหม ตอนนี้นายแม่ดูไม่พอใจผม นายแม่เอาใจลูกคนอื่นยกเว้นผม ปรกที่นายแม่ไม่เคยสนใจ ตอนนี้นายแม่ก็เอาใจ เพราะปรกชอบกับนิชา แล้วอีกไม่นานนายแม่ก็คงยกหุ้นบริษัทให้ปานวาดกับปกรณ์ เพราะลุงเทพก็ปูทางเปิดบริษัทเช่าเครื่องบินส่วนตัวรอลูกเขาแล้ว”
ชูนามนั่งอยู่ภายในห้องทำงานของนวรัตน์ บริษัทแอร์ไทย คุยมือถือกับลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวี่แววเครียดเคร่งใดๆ
“ฟังพ่อจะปานเทพ ถึงแม่จะไม่สนใจปานเทพ แต่ตอนนี้ปานเทพมีพ่อ พ่อจะไม่ยอมให้ใครแย่งสิ่งที่ควรเป็นของปานเทพไปได้ ถ้าปานเทพอยากเปิดบริษัทเช่าเครื่องบินส่วนตัว ปานเทพเปิดเลยลูก”
ปานเทพเครียดไม่หาย “ผมจะเปิดได้ยังไงครับพ่อ ในเมื่อนายแม่ไม่สนับสนุน”
“แม่ไม่สนับสนุน แต่ก็ยังมีคนอื่นสนับสนุนนี่ลูก ใครน่ะเหรอ เอาไว้เดี๋ยวพ่อบอก ปานเทพไม่ต้องคิดมาก ทำใจให้สบาย แค่นี้นะลูก” ชูนามกดวางสาย
ได้ยินเสียงนวรัตน์ดังมาจากข้างหลังชูนาม
“ไม่บอกคุณปานเทพไปล่ะคะ ว่าฉันเองที่พร้อมสนับสนุนเขา”
ชูนามหมุนตัวไปมองตามเสียง เห็นนวรัตน์เดินเข้ามาในห้องทำงานถอดแว่นกันแดดออก มาดสง่างาม
“สวัสดีครับคุณนวรัตน์ ประธานสายการบินแอร์ไทย แอร์ไลน์”
ชูนามกับนวรัตน์ยิ้มให้กันอย่างลึกล้ำ ไม่น่าจะใช่เรื่องดีสำหรับ คุณหญิงปานรุ้ง นทีพิทักษ์ เป็นแน่
ในขณะที่วิรินทร์เดินหิ้วตะกร้าผ้าลงจากแฟลต ตรงมาที่จอดมอเตอร์ไซค์ เธอพบว่ามีถุงคล้ายถุงรองเท้าแขวนอยู่ที่รถ
วิรินทร์เปิดถุงออกดูเห็นว่าเป็นรองเท้าผ้าใบ เหมือนซื้อตามตลาดนัดทั่วไป สักครู่เข้มเดินเข้ามาที่ด้านหลัง
“ชอบไหมรินทร์”
วิรินทร์ชะงัก หันมามองเห็นเข้มในชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อยืนยิ้มอยู่
“ของพี่เข้มเหรอ”
“พี่ซื้อให้รินนั่นแหละ เบอร์ 38 เป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน”
“ขอบคุณนะพี่เข้ม แต่วันหลังอย่าซื้ออีกนะ พี่เข้มหาเงินเหนื่อย รองเท้ารินทร์ รินทร์ซื้อเองดีกว่า”
“ไม่เป็นไร พี่รู้ว่ากว่ารินทร์จะซื้อใหม่ ก็ต้องรอให้คู่เน่านี่พื้นหายตายจากกันไปข้างนึง ลองใส่เลยไหม เดี๋ยวพี่ร้อยเชือกให้”
เข้มทำท่าแกะรองเท้าจะให้ วิรินทร์ห้ามไว้
“ไม่เป็นไรพี่เข้ม รินทร์ต้องรีบเอาผ้าไปส่ง” เธอยื่นกล่องรองเท้าฝากเข้มไว้ “ฝากพี่เข้มเอาไปเก็บที่บ้านทีนะ รินทร์ไปละ”
วิรินทร์แขวนถุงรองเท้าไว้ แล้วเอาเอาตะกร้าผ้าล็อคกับหลังรถ ก่อนสตาร์ตรถขี่ออกไป
เข้มมองตามวิรินทร์ที่ไม่ค่อยตื่นเต้นหรือดีใจกับรองเท้าที่ตัวเองซื้อให้ อย่างน้อยใจนิดๆ
วิรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาส่งผ้า อยู่ตรงละแวกถนนหน้าแฟลต ที่ตะกร้ารถมีถุงใส่รองเท้าเข้มวางอยู่
จนเห็นใครคนหนึ่งยืนโบกรถ โดยที่ถือถุงของบางอย่างอยู่ในมือด้วย วิรินทร์เพ่งมอง พอเห็นว่าเป็นปกรณ์ก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดตรงเทียบ
“นาย มาได้ไงเนี่ย”
“ก็นั่งรถมาสิ”
วิรินทร์มองปกรณ์เซ็งๆ
“คนรวยเขาว่างกันอย่างนี้นี่เองเนอะ ถอยไป...ฉันมันคนไม่ว่าง ต้องรีบทำมาหากิน”
เด็กสาวแม่ค้าไอจีจะขี่รถไป ปกรณ์รีบดึงท้ายรถไว้
“เดี๋ยวสิ เราเอาของมาให้เธออ่ะ”
ปกรณ์ยื่นถุงในมือให้ วิรินทร์เปิดออกดู พบว่าเป็นรองเท้าผ้าใบมียี่ห้อ ดูดีกว่าอันที่เข้มให้และเป็นรุ่นใหม่ที่วัยรุ่นกำลังฮิต
“รองเท้าเธอพังเพราะเราเป็นสาเหตุ เราก็เลยซื้อมาใช้คืน”
“เราไม่เอา นายเอาคืนไป” วิรินทร์ส่งถุงคืนให้ปกรณ์ “แล้วอย่ามายุ่งกับเราอีก นายอยู่ใกล้เราทีไร เราซวยทุกที พูดแล้วก็แค้น”
“ยิ่งเธอแค้น เธอต้องยิ่งใส่รองเท้าคู่นี้ เพราะรองเท้าคู่นี้ มันมีคุณสมบัติช่วยบำบัดความแค้นให้เธอได้”
“ไม่มีใครบำบัดความแค้นให้เราได้ นอกจากเราได้ชกหน้านาย”
“แค่ชกไม่ช่วยให้หายแค้น แต่ต้องกระทืบ”
ปกรณ์เปิดกล่องแล้วหยิบรองเท้าออกมาโชว์ให้วิรินทร์ดู เห็นว่าที่พื้นรองเท้าเขียนชื่อปกรณ์ อยู่
“นี่ เราเขียนชื่อเราไว้ที่พื้นรองเท้า เวลาเธอใส่เธอก็เหมือนกระทืบเรา ยิ่งโมโหก็ยิ่งกระทืบๆๆๆ เป็นไง หายแค้นไหม”
“คนรวยเขาเพี้ยนกันอย่างนี้เองเนอะ” วิรินทร์แซว
“งั้นใส่เลยนะ”
วิรินทร์จอดรถไว้ริมถนน และกำลังจะลงนั่งกับพื้นเพื่อใส่รองเท้า ปกรณ์เห็นว่าพื้นสกปรก จึงร้องห้าม
“อย่านั่งเลย มันเลอะ เดี๋ยวเราใส่ให้”
วิรินทร์ร้องลั่น “เฮ้ย ไม่ต้อง”
ปกรณ์ไม่ฟัง จัดแจงหยิบรองเท้าจากกล่อง ลงนั่งคุกเข่าทำท่าจะใส่รองเท้าให้
วิรินทร์ยิ่งตกใจ คาดไม่ถึง “เฮ้ย นาย”
ปกรณ์ไม่สนใจคำคัดค้านของวิรินทร์ เขาถอดรองเท้าคู่เก่าของเธอออกอย่างไม่รู้สึกรังเกียจ แล้วสวมรองเท้าคู่ใหม่ให้
วิรินทร์มองปกรณ์อึ้งๆ ไม่คิดว่าคุณหนูไฮโซอย่างปกรณ์จะทำแบบนี้ให้
อ่านต่อหน้า 4
บัลลังก์เมฆ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ปกรณ์ยิ้มกว้าง มองรองเท้าที่ใส่พอดีกับเท้าของวิรินทร์อย่างพึงพอใจ และภาคภูมิ
“พอดีเท้าเธอเป๊ะเลย”
“พอดีที่ไหน คับจะตาย”
ปกรณ์หน้าตาซีเรียสมาก “จริงเหรอ”
วิรินทร์ยิ้มขำ “ล้อเล่น หมดธุระแล้วก็ถอยไป เราจะไปส่งผ้า”
สตาร์ตเครื่องเสร็จ วิรินทร์จะขี่มอเตอร์ไซค์ไป แต่ปกรณ์ยังดึงท้ายรถไว้อีก
วิรินทร์โวย “อะไรอีก”
“ให้เราช่วยถือตะกร้าผ้าให้ไหม”
“ไม่ต้อง เราไปเองได้”
“แต่เราไม่มีไรทำต่ออ่ะ ขอเราไปด้วยนะ” ปกรณ์รีบกระโดดซ้อนท้ายรถทันที
“อยากไปนักใช่ไหม ได้ ถ้าตกมอเตอร์ไซค์ อย่ามาว่ากันทีหลังแล้วกัน”
วิรินทร์หมั่นไส้ บิดคันเร่งถี่ๆ ขู่เอา ปกรณ์รีบกอดเอววิรินทร์หมับ
วิรินทร์ปัดมือออก “เฮ้ย เอามือออกไป”
“ก็เธอจะขี่เร็ว เราก็ต้องหาที่เกาะสิ”
“ไม่ต้องเกาะ เราขี่ไม่เร็วหรอก”
วิรินทร์จำใจค่อยๆ ขี่ไปช้าๆ ปกรณ์นั่งซ้อนท้าย มองหลังวิรินทร์ยิ้มสุขใจ
บนรถที่วิรินทร์ขี่แล่นมา มีปกรณ์ซ้อนท้าย
“เธอหัดขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งแต่อายุเท่าไร”
“15 ก็ขี่เป็นแล้ว”
“จริงเหรอ ยากไหมอ่ะ”
“ไม่ยากสำหรับฉัน แต่คุณหนูอย่างนายคงยาก”
ปกรณ์คุยโต “อ้าว อย่าดูถูกกันนะครับ ขนาดภาษาฝรั่งเศสที่ว่ายาก เราสามารถพูดได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ”
“ไหนพูดสิ”
ปกรณ์เล่นมุก “ฝรั่งเศส จะเอาโปรตุเกส เคนย่า กาลาปากอส ด้วยไหม”
“เห็นมั้ย แค่นี้ก็ขี้โม้แล้ว”
“เอาจริงก็ได้ เราดูเธอขี่ เราไม่เห็นว่ามันจะยากตรงไหนเลย เดี๋ยวเราลองขี่ทีเดียว รับรอง วิ่งฉิว”
ไม่นานต่อมา ปกรณ์เป็นคนขี่รถ มีวิรินทร์ซ้อนท้าย และคอยประคองหัดปกรณ์ขี่รถมาตามทางในแฟลต ปกรณ์เข้าเกียร์แล้วเครื่องดันดับ วิรินทร์ขำพูดล้อเลียนคำพูด
“เราดูเธอขี่ ไม่เห็นยากเลย เดี๋ยวเราลองขี่ทีเดียว รับรอง วิ่งฉิว นายขี่ดับมาจะครบสิบรอบแล้วนะ บอกแล้วว่านายน่ะขี้โม้”
ปกรณ์อ้าง “ก็คนมันตื่นเต้น เดี๋ยวตั้งสติ ก็ขี่ได้”
“งั้นโชว์เลย เร็ว เราอยากตบมือให้คนเก่งจะแย่แล้ว”
ปกรณ์สตาร์ตรถ เข้าเกียร์ โดยเครื่องยนต์ไม่ดับก็ดีใจ
“เป็นไงเล่า เห็นไหมว่าถ้ามีสติ เราก็ทำได้”
“จ้า คนเก่ง ไปสักทีเถอะ อยากกลับบ้านชาตินี้ ไม่ใช่ชาติหน้า”
ปกรณ์บิดคันเร่ง รถเคลื่อนไปเรื่อยๆ ช้าๆ คุณหนูไฮโซตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่
“เห็นไหม เราขี่ได้แล้ว ไม่เห็นจะยาก”
“นี่เรียกว่าขี่รถเหรอ เรารถว่าคลาน”
“อยากซิ่งก็บอก พี่จัดให้”
เห็นปกรณ์บิดคันเร่งเร็วขึ้นอย่างคึกคะนอง วิรินทร์ชักเสียวกลัวเป็นอันตราย
“เบาๆ ไม่ต้องเร็วขนาดนี้ก็ได้”
“เคยได้ยินไหม ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ”
ปกรณ์บิดคันเร่งเร็วขึ้น วิรินทร์แหกปากร้องโวยวาย
“ฉันบอกว่าให้ขี่ช้าๆ ลงไง ระวังๆๆๆ ระวังรถสวนมา เห็นไหม”
รถมอเตอร์ไซค์คันที่ 1 ขี่สวนมา ปกรณ์หักหลบได้อย่างสนุกสนาน
“เป็นไงเล่า”
วิรินทร์มองมอเตอร์ไซค์คันที่ 2 ที่กำลังจะสวนมา “มาอีกคันนึงแล้ว”
ปกรณ์หักหลบมอเตอร์ไซค์คันที่ 2 ได้ อีก
วิรินทร์เห็นบางอย่างข้างหน้า “เฮ้ย ระวัง”
“ระวังอะไร ไม่เห็นมีมอเตอร์ไซค์สวนมาเลย”
วิรินทร์ร้องลั่น “ระวังหลุม”
ปกรณ์มองหลุมบนถนนที่อยู่ข้างหน้า ตัดสินใจเบรกกะทันหัน เสียงดังเอี๊ยด
นั่นทำให้หน้าอกวิรินทร์ที่นั่งซ้อนท้ายมากระแทกหลังปกรณ์อย่างจัง ใบหน้าวิรินทร์ยังซบใกล้ซอกคอเขาอีกด้วย
ปกรณ์ชะงัก สัมผัสได้ถึงหน้าอกวิรินทร์ที่โดนหลังอยู่ วิรินทร์นั่งนิ่ง เพราะอึ้ง ช็อคที่หน้าอกตัวเองแนบกับหลังปกรณ์ พอได้สติก็รีบกระเด้งตัวลงจากรถ
“เราจะกลับบ้านแล้ว นายก็กลับไปบ้านนายซะ”
“นั่นสิ เราลืมไปเลยว่าเรานัดพี่สาวไว้ งั้นเราไปนะ”
ปกรณ์เบลอ จะขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ส่วนวิรินทร์จะเดินกลับทางห้อง จนสองคนต่างนึกได้
“เฮ้ย”
“รินทร์ต้องขี่รถไปสิ ส่วนเราต้องเดิน” ปกรณ์รีบลงจากรถ
“เออใช่”
วิรินทร์รีบขึ้นรถอย่างเขินๆ เก้ๆ กังๆ บอกลาปกรณ์โดยไม่มองหน้า
“เจอกันที่บ้าน เอ๊ย เจอที่โรงพยาบาล เอ๊ย เจอที่มหา’ลัย เอ๊ย”
ตรงเอ๊ยสุดท้ายปกรณ์รีบแก้ให้ “พูดถูกแล้ว”
“อ่า”
วิรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งฉิวออกไป
คุณหนูไฮโซหน้าใสมองส่งสาวนักสู้ชีวิต ยิ้มเขินๆ กับตัวเองอย่างมีความสุขเหลือเกิน
อีกฟากหนึ่ง กติยากำลังสอนปานวาดคว้านเม็ดมะยงชิดอยู่ในห้องรับแขก โดมนั่งมองอย่างแปลกใจที่กติยาดูจะชอบปานวาดเป็นพิเศษ
“ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ กดมีดแล้วหมุนๆๆๆ เห็นไหมไม่ยากเลย”
“ไม่ยากจริงๆ ด้วยค่ะคุณน้า”
โดมกระซิบปานวาด “ผมว่าคุณมานานแล้ว กลับได้แล้วละ”
“กลับได้ยังไง คุณน้าจะสอนฉันทำมะยงชิดลอยแก้วต่อ”
โดมกลัวกติยาจะอาละวาดขึ้นมา “แต่ว่า”
“จะให้หนูวาดรีบกลับไปไหนล่ะโดม แม่กำลังมีเพื่อนคุยสนุกเลย” กติยาหันมาพูดกับปานวาดต่อ “เดี๋ยวเอาฝากคุณพ่อด้วยนะ พ่อหนูชอบ”
“ใช่ค่ะ คุณพ่อชอบ คุณน้าทราบได้ยังไงคะ”
กติยาชะงัก แล้วพูดต่อ “หนูบอกน้าเมื่อกี้นี้ไงจ๊ะ”
ปานวาดงงๆ “เหรอคะ...แต่ตอนนี้คุณพ่อทานไม่ได้แล้วล่ะค่ะ คุณแม่สั่งห้าม เพราะตอนนี้น้ำตาลในเลือดของคุณพ่อขึ้น”
ยินคำว่าคุณแม่ เท่านั้น มือกติยากำมีดแน่น
“ถ้าคุณพ่อทานไม่ได้ งั้นก็เอาไปให้คุณแม่ทานแทนก็ได้” โดมเอ่ยขึ้น
กติยาวางมีดปัง พูดเสียงดัง “ไม่ได้”
สองคนชะงัก โดมรีบเข้าไปดูแลกติยา
“คุณแม่ครับ”
กติยาข่มอารมณ์ หายใจลึกๆ พยายามเก็บอาการตัวเอง “แม่ไม่เป็นไรจ้ะ แม่แค่จะบอกว่าอย่าเอาไปให้คุณแม่ทานเลย เดี๋ยวคุณพ่อเห็นก็จะอยากกิน ทรมานท่านเปล่าๆ”
มือถือของปานวาดดัง เด็กสาวมองหน้าจอ เห็นเป็นชื่อปานรุ้งโทร.มา ปานวาดขยับออกไป คุยสายห่างจากกติยาและโดมออกมาหน่อย
“สวัสดีค่ะนายแม่”
กติยาชะงัก เหลือบมองไปทางปานวาด
“อีก 1 ชั่วโมงวาดก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ นายแม่จะให้คุณพ่อไปรอรับตอนนี้เหรอคะ” ปานวาดฟังแล้วหน้าเครียด “ได้ค่ะ งั้นวาดรอที่หน้าคณะเหมือนเดิมนะคะ”
ปานวาดกดวางสาย แล้วหันมาทางโดม
กติยาชิงถามหยั่งเชิง “ทำไมไม่ให้คุณพ่อมารับหนูที่นี่ล่ะ เผื่อจะได้เจอกัน”
“เอ่อ วาดไม่อยากรบกวนคุณน้าน่ะค่ะ ยังไงวาดขอตัวกลับ ก่อนนะคะ แล้ววันหลังวาดจะมาใหม่”
ปานวาดไหว้ลากติยา แล้วรีบร้อนเดินออกไป
ปานวาดเดินออกมา โดมรีบเดินตามมา
“ให้ผมไปส่งไหม”
ปานวาดรีบตอบ “ไม่ต้องหรอก ฉันเสียวคุณพ่อเห็นนาย”
โดมแกล้งล้อ “ลืมไปว่าพ่อแม่หวง”
ปานวาดพูดยิ้มๆ “ก็คนมันสวย”
“มีแฟนสวยนี่ลำบากใจจริงๆ”
ปานวาดมองค้อน กิริยาน่ารัก “ใครเป็นแฟนนาย”
“อ้าว ก็เห็นมาฝากตัวกับแม่ นึกว่าอาทิตย์หน้าจะมาสู่ขอผมซะอีก”
“บ้า ในบ้านกระจกมีตั้งเยอะแยะ หัดส่องบ้างนะ จะได้ไม่หลงตัวเองผิดๆ”
ปานวาดจะเดินไปโดมเรียกไว้ “วาด” เธอชะงัก หันมามองโดมรอฟัง “ขอบคุณนะ ที่มาคุยเป็นเพื่อนแม่ผม”
ปานวาดยิ้ม แล้วเดินไป
โดมพูดตามหลังไป “ถึงบ้านแล้วไลน์บอกผมด้วยนะ”
กติยาเดินออกมายืนข้างหลังโดม
“โดมเคยเจอพ่อแม่ของหนูปานวาดรึยัง”
โดมหันมาหาแม่ “ยังครับ”
“ทำไมล่ะ”
“เอ่อ แม่เขาหวงน่ะครับ ผมเลยรออีกหน่อยค่อยเจอ”
กติยาพูดคล้ายพึมพำกับตัวเอง “อ๋อ เขาว่าพ่อแม่ที่หวงลูก แปลว่าสมัยก่อนเคยทำอะไรไว้ เลยกลัวจะเกิดขึ้นกับลูก ไม่รู้แม่ของหนูปานวาดทำอะไรไว้เนอะ”
กติยามองตามปานวาดไป แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์เพทุบาย
วิภาวีนั่งไขว้ห้างอยู่ในห้องโถง หยิบลูกเชอรี่มากินอย่างสบายใจ จนเห็นธันวาวิ่งด้วยท่าทางร้อนใจเข้ามาหา
“คุณวิครับ แย่แล้วครับ”
“มีเรื่องอะไร”
“คุณวิตั้งสติไว้ดีๆ นะครับ คือตอนนี้คุณปานเทพอยู่โรงพยาบาลครับ
วิภาวีชะงัก “อะไรนะ”
บ่ายนั้น วิภาวีเดินมาที่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยท่าทางตระหนกตกใจ ธันวาวิ่งตามมา วิภาวีหันมาถาม “ปานเทพอยู่ไหน พาฉันไปหาเขาสิ”
ปานรุ้งเดินเข้ามายืนด้านหลังวิภาวี
“ปานเทพมาส่งฉัน ตอนนี้เขากลับไปทำงานแล้วล่ะ”
วิภาวีหันหน้ามามองปานรุ้งอย่างคาดไม่ถึง เหลียวขวับไปมองธันวาตาขวาง
“นี่นายหลอกฉันเหรอ”
ธันวาตีฝีปาก “ผมไม่ได้หลอกครับ เมื่อกี้คุณปานเทพมาโรงพยาบาลกับคุณหญิงจริงๆ แต่ตอนนี้กลับไปแล้วเท่านั้น”
วิภาวีเสียววูบ มั่นใจว่าต้องโดนปานรุ้งจับตรวจท้องแน่ๆ “ถ้าปานเทพไม่เป็นอะไร งั้นวิขอตัวกลับบ้านนะคะ”
วิภาวีจะเดินไป แต่ปานรุ้งจับมือไว้
“เดี๋ยวสิ ไหนๆ ก็มาโรงพยาบาลแล้ว ก็ตรวจท้องซะหน่อยสิ เธอยังไม่ได้ฝากครรภ์เลยนะ”
วิภาวีอึกอัก พยายามหาข้ออ้าง “คือวิ...”
“ไปเถอะ ฉันติดต่อหมอที่เก่งที่สุดไว้รอเธอแล้ว วิภาวี”
วิภาวีมองปานรุ้งด้วยสีหน้าเครียดจัด
คิดหนักว่าพาตัวเองรอดไปจากกรงเล็บนางพญาได้อย่างไร
ปานรุ้งดึงมือวิภาวีเข้ามาในห้องตรวจครรภ์ มีธันวาเดินคุมหลัง กันวิภาวีไม่ให้หนี หมอกับพยาบาลรอปานรุ้งอยู่แล้ว ปานรุ้งบอกกับหมอว่า
“ขอโทษนะคะที่ดิฉันให้คุณหมอรอนาน” แล้วจึงหันมาหาวิภาวี “ เดี๋ยวให้คุณหมอตรวจหน่อยนะ โถ ดูสิ หน้าซีดเชียว ตกใจเหรอจ๊ะ แต่ก็ไม่น่านะ เพราะเห็นคุณร้อยกรอง ประกาศกลางห้องว่าพาเธอตรวจท้องแล้ว เธอก็น่าจะผ่านจุดนี้แล้ว เอ๊ะ หรือที่เธอหน้าซีดเพราะกลัว”
“คุณวิภาวีไม่ต้องกลัวนะครับ เดี๋ยวให้พยาบาลพาไปเก็บปัสสาวะ แล้วรอผลตรวจ แค่นั้นเองครับ” หมอบอก
วิภาวีบอกกับหมอเสียงแข็งว่า “ฉันไม่ไป” แล้วหันมาพูดกับปานรุ้ง “นายแม่ก็รู้ว่าวิตรวจท้องแล้ว วิไม่จำเป็นต้องตรวจอีก”
วิภาวีจะเดินหนี ปานรุ้งจับมือไว้ “ไหนล่ะใบตรวจ ไหนล่ะใบฝากครรภ์ ถ้าไม่มีเธอต้องตรวจเดี๋ยวนี้”
“วิไม่ตรวจ”
วิภาวีพยายามจะเดินหนีออกจากห้องให้ได้ ปานเทพเปิดประตูเข้ามาพอดี
“ตรวจเถอะวิ”
วิภาวีชะงักมองปานเทพอย่างคาดไม่ถึง
ปานรุ้งมองปานเทพยิ้มๆ “ขอบใจนะปานเทพ ที่มาเพื่อแม่”
วิภาวีมองปานเทพด้วยสายตาสงสัย
ปานเทพพาวิภาวีมาที่หน้าห้องน้ำหญิงของโรงพยาบาล วิภาวีฮึดฮัด ไม่พอใจมาก
“วิบอกแล้วไงว่าวิตรวจแล้ว ทำไมวิต้องตรวจอีก หรือคุณไม่เชื่อว่าวิท้อง”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าผมเชื่อหรือไม่เชื่อ มันสำคัญที่คุณต้องทำให้นายแม่เชื่อ”
“แต่...”
“ผมเสียคะแนนให้ปรกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ลูกคนอื่นมาเหยียบหน้าผม เพื่อขึ้นไปอยู่บนหัวผมอีก ต่อให้พ่อของพวกมันพยายามปูทางให้ลูก ผมก็จะทำทุกอย่างเพื่อทวงตำแหน่งลูกรักคืน” ปานเทพยื่นถ้วยเก็บปัสสาวะให้วิภาวี “เข้าไปเก็บปัสสาวะซะวิ ถ้าคุณกับลูกอยากสบาย คุณต้อง ทำตามที่นายแม่สั่ง”
สภาพห้องน้ำหญิงที่วิภาวีเข้ามา แบ่งเป็นห้องน้ำซอยแบ่งเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งจะมีผนังกั้นแบบยกพื้นสามารถยื่นมือลอดผ่านด้านล่างได้
วิภาวีเข้ามาในห้องน้ำแล้ว เตะถังขยะในห้องน้ำอย่างแรง ด้วยความโกรธและเครียด
“ถ้าเอาฉี่ให้มันตรวจ ก็รู้สิว่าฉันไม่ได้ท้อง”
วิภาวีลงนั่งบนโถส้วม มองถ้วยใส่ปัสสาวะหน้าเครียด พึมพำอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน
“ทำยังไงดีเนี่ย”
ได้ยินเสียงคนเคาะผนังกั้นห้องน้ำ จากห้องข้างๆ วิภาวีหันไปมองกำแพง เห็นมือใครคนหนึ่ง ยื่นถ้วยเก็บที่มีน้ำปัสสาวะอยู่แล้ว ลอดเข้ามาด้านล่างของผนังกั้นห้อง วิภาวีรับมางงๆ
มือถือดัง วิภาวีหยิบมือถือมาดู เห็นเป็นร้อยกรองโทร.มา เธอรีบกดรับสาย
ร้อยกรองยืนแอบมองแถวหน้าห้องน้ำ คุยสายอยู่
“หนูวิฟังย่า ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น นังปานรุ้งกำลังเข้าไปในห้องน้ำแล้ว”
ร้อยกรอง หันไปเห็นปานรุ้งเดินมาหาปานเทพ ที่ยืนรอวิภาวีอยู่หน้าห้องน้ำ แล้วปานรุ้งเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิง
“พ่อชูนามคิดอยู่แล้วว่าปานรุ้งมันต้องไม่หยุด เลยส่งย่าคอยตามช่วยหนู ย่าซื้อฉี่คนท้องจริงใส่ถ้วยให้หนู หนูเอาถ้วยฉี่นั่นส่งให้หมอตรวจนะ ทีนี้ นังปานรุ้งจะได้เชื่อว่าหนูท้องจริง”
วิภาวีฟังร้อยกรองพูดผ่านมือถือ
จนเสียงปานรุ้ง ดังขึ้น “เสร็จรึยังวิภาวี”
วิภาวีรับถ้วยเก็บปัสสาวะจากคนที่ยื่นให้ แล้วกดวางสายด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ นายแม่”
วิภาวีเปิดประตูห้องน้ำออกมา เห็นปานรุ้งยืนรออยู่หน้าห้องน้ำมองมาสายตาคอมปลาบ
“หวังว่าผลตรวจคราวนี้ จะทำให้นายแม่เชื่อสักทีว่าวิกำลังมีหลานให้นายแม่จริงๆ นะคะ”
“เดี๋ยวก็รู้”
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ ปานรุ้งนั่งรอฟังผลอยู่หน้าห้องตรวจ ธันวายืนอยู่ข้างหลัง ปานเทพนั่งข้างๆ วิภาวี ที่แอบมองปานรุ้งด้วยสายตายิ้มเยาะ หมอกับพยาบาลเดินเข้าห้องมาพร้อมกับแฟ้มรายงานผล
“ผลตรวจออกแล้วครับคุณหญิง”
“ผลเป็นยังไงคะ”
ปานเทพ และวิภาวีมองหมอด้วยสีหน้าตื่นเต้น รอฟังคำตอบ
“จากผลตรวจ...” หมอเว้นวรรค มองมายังวิภาวี
ทุกคนมองหมอเป็นตาเดียวกัน หมอยิ้มให้วิภาวีและปานรุ้ง
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณวิภาวีตั้งครรภ์ได้ 12 สัปดาห์แล้วครับ”
ปานรุ้งชะงัก จำได้ว่าวิภาวีบุกงานหมั้น และประกาศว่าท้อง 2 เดือน แต่ผลตรวจออกมา 3 เดือน ปานรุ้งเก็บความสงสัยไว้ในใจ
และไม่มีวันเชื่อว่าวิภาวีจะท้องจริงๆ
อ่านต่อตอนที่ 15