>>ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นักกับการรวมตัวของ Special Guest ของเราในครั้งนี้ เพราะแต่ละคนมีภารกิจที่ต้องเดินทางและทำงานชนิดตารางแน่นเอี้ยด แต่เขาเป็นสามพี่น้องที่มีความสามารถและเป็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และเป็น 3 พี่น้องที่มีความชอบคล้ายคลึงกันในเรื่องของงานดีไซน์ ศิลปะและแฟชั่น
“วิน-วีร์กฤติ ว่องวัฒนะสิน” หนึ่งในผู้บริหารโมทีฟ (Motif), “วิค-ธีร์รัฐ ว่องวัฒนะสิน” เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าอันโด่งดัง VICKTEERUT และ “วุ้น-กุลกมล ว่องวัฒนะสิน” ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ Club 21 Multi Label Store ทั้ง 3 เป็นผลงานคุณภาพของคุณพ่อ “อภิชาต ว่องวัฒนะสิน” กับคุณแม่ “บุญพร้อม ชินพิลาศ” ที่หล่อหลอมทั้งสามพี่น้องให้เป็นคนมีระเบียบ รับผิดชอบในหน้าที่กระทั่งทุกคนมีหน้าที่การงานที่ดีพร้อม
ก่อนจะรวมตัวกันนั่งคุยเรื่องสนุกๆ ของสามพี่น้อง “ว่องวัฒนะสิน” เราอยากให้คุณค่อยๆ ทำความรู้จักกับทั้งสามคนนี้ก่อน เพราะเขาทั้งสามเป็นคนรุ่นใหม่ ผู้มีไอเดีย และความกล้าที่จะดำเนินชีวิตในแบบของตัวเอง นอกจากนั้นในเรื่องของการใช้ชีวิตพวกเขาก็ยังเต็มที่และรู้จักแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิตอยู่เสมอๆ
พี่ชายคนโตเจ้าระเบียบ
เริ่มกันที่พี่ชายคนโตของบ้าน “วิน-วีร์กฤติ ว่องวัฒนะสิน” ชายหนุ่มมาดนิ่ง พูดน้อย เขาหอบดีกรีปริญญาตรี สาขา Visual Communication มหาวิทยาลัย KVB Institution of Technology จากซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และปริญญาโทที่ Regents Business School สาขา Marketing management ประเทศอังกฤษ มาทำงานด้านดีไซน์จนเราคุ้นเคยเขาในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ ผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ในนาม โมทีฟ
ด้วยความที่เขาเป็นคนเรียบง่าย ไม่ชอบความยุ่งยาก จึงอาจจะรู้สึกเหมือนเป็นคนพูดน้อย แต่เมื่อเราได้พูดคุยกับเขาในครั้งนี้แล้วกลับรู้สึกว่าเขาเป็นคนหนุ่มช่างเจรจาไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องงานที่เขารับผิดชอบอยู่และเรื่องงานดีไซน์
“งานหลักๆ อยู่ในส่วนของโมทีฟ เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ร่วมบุกเบิกกันมากับคุณโอ๊ค (อัครรัฐ วรรณรัตน์) ตอนนั้นเราถือว่าเป็นน้องใหม่ในวงการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ เราจึงตั้งใจทำมาก ซึ่งจากความตั้งใจตรงนั้นเป็นผลดีที่ทำให้เรากล้าที่จะลองปรับเปลี่ยนและเรียนรู้ จนกระทั่งวันนี้คอนเซ็ปต์ของโมทีฟชัดเจนว่าเป็นลักชูรีไลฟ์สไตล์ เฟอร์นิเจอร์ มีกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและต่างประเทศที่เป็นลูกค้าประจำ ตอนนี้เราขยายสาขามาที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เพราะต้องการพื้นที่ที่จะนำเสนอเฟอร์นิเจอร์ที่มากขึ้น ประกอบกับแบรนด์ที่นำเข้ามาก็มากขึ้นด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นงานที่เขาทำ สไตล์เฟอร์นิเจอร์ที่เขาคลุกคลียังเป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวเขาได้อย่างดี กับคอนเซ็ปต์ที่ว่า แคชวล เอเลแกนต์ เรียบหรู ดูดี เน้นฟังก์ชันการใช้งาน
“เรื่องของงานดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ เราไม่ได้มองแค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่เรายังมองเรื่องของฟังก์ชัน ขนาด พื้นที่ สีสัน ความคงทน ซึ่งเราต้องดูเทรนด์ด้วยเพื่อจะได้เลือกให้เหมาะสมกับรสนิยม ไลฟ์สไตล์ ตลอดจนวัฒนธรรมของคนไทยทุกวันนี้
จะว่าไปแล้วเฟอร์นิเจอร์ในร้านก็คือสไตล์ของผม คือ เรียบๆ แต่สามารถปรับตัวได้ง่าย ฉะนั้นเวลาไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ส่วนหนึ่งนอกจากความต้องการของลูกค้าแล้ว ยังเป็นความชอบและสไตล์ส่วนตัวของผมด้วย”
และอีก 1 เรื่องที่สามารถชวนให้เขาพูดคุยได้อย่างเป็นกันเองก็คือเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว ช่วงเวลาพักเบรกที่เขาโปรดปราน
“ทุกปีจะต้องไปชมงานแสดงเฟอร์นิเจอร์ระดับโลกที่มิลาน ประเทศอิตาลี เพื่อเปิดโลกทัศน์และอัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ ถือเป็นการเบรกตัวเองด้วย สมัยก่อนเวลาไปดูงานแสดงสินค้า อาจจะมีแวะเที่ยวบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ไปแค่ทำงานแล้วก็กลับ เพราะเมื่อขยายสาขาต้องดูแลมากขึ้น ตารางงานแน่นขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นใช้เวลาช่วงเสาร์-อาทิตย์ ไปเดินดูตามร้านต่างๆ ว่าเขามีไอเดียอย่างไร แต่ก็ยังไม่ทิ้งเรื่องการท่องเที่ยวเพราะเราจะมีทริปครอบครัวเป็นประจำอยู่แล้ว”
ลูกชายคนกลางดีไซเนอร์สุดฮอต
ลูกชายคนที่สองของบ้านที่บรรดาแฟชั่นนิสต้าคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์แถวหน้าของเมืองไทย ที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝันจะใส่เสื้อผ้าของเขา และสาวๆ จำนวนไม่น้อยที่มีเสื้อผ้าของเขาอยู่ในตู้ “วิค-ธีร์รัฐ ว่องวัฒนะสิน” เจ้าของแบรนด์ ‘วิคธีร์รัฐ’ (VICKTEERUT) ซึ่งเขานำความรู้และแรงบันดาลใจที่ได้จากสมัยเรียนที่ “เซ็นทรัล เซนต์ มาร์ตินส์ คอลเลจ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์” ประเทศอังกฤษ สาขาเสื้อผ้าสุภาพสตรี (Women Wear) มาประกอบทุกอย่างจนเป็นรูปเป็นร่าง
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงามในช่วงเวลา 4-5 ปี กับแบรนด์ ‘วิคธีร์รัฐ’ (VICKTEERUT) แล้ว เขายังสั่งสมแรงบันดาลใจใหม่ เปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้าลำลองสำหรับบุรุษและสตรี ในชื่อ ‘วิคส์’ (VICK’S) ที่เข้ากับวิถีชีวิตคนยุคใหม่ที่ดูดีได้ในทุกวัน
“กับแบรนด์ ‘วิคธีร์รัฐ’ (VICKTEERUT) ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ตอนนี้จึงแตกเป็นแบรนด์อีกแบรนด์ที่คอนเซ็ปต์ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจน ชื่อแบรนด์ ‘วิคส์’ (VICK’S) ความแตกต่างคือ VICKTEERUT จะเป็นสไตล์ทางการหน่อย แต่ VICK’S จะเป็นเสื้อผ้าใส่สบายๆ สำหรับไปเที่ยว เน้นผ้ายืด ทรงหลวมๆ สบายๆ เพราะเราอยากทำเสื้อผ้าที่ตอบโจทย์คนที่ใส่”
เพราะเคยพบกับปัญหามาก่อน ในวันนี้เขาจึงมีความเข้าใจกับความต้องการของลูกค้าและกลไกของตลาดมากขึ้น โดยระยะหลังยอมรับว่าเขาทำงานหนักขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าทั้งสองแบรนด์ ซึ่งเป็นผลดีกับลูกค้าที่สามารถพบการเปลี่ยนแปลงและแบบใหม่ๆ ในทุกสัปดาห์
“ทุ่มเทกับสองแบรนด์นี้มาก แต่ละซีซันเราทำออกมา 80 ลุค เพื่อรองรับความต้องการลูกค้า เนื่องจากคนต้องการของใหม่ทุกอาทิตย์ เราต้องทำงานหนักเพื่อให้ลูกค้าได้เห็นของใหม่ตลอด เป็นการทำงานที่เหนื่อยอยู่เหมือนกัน โชคดีที่ตอนนี้ระบบและหลายๆ อย่างเข้าที่เข้าทาง และเรามีโรงงานครบวงจร ที่สามารถออกแบบ ตัด เย็บ ในที่เดียว”
เมื่อต้องคิดอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เกิดอาการไอเดียสะดุดอยู่บ้าง ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างไอเดียใหม่ๆ เขาจึงต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจ
“ทำงานเหนื่อย เครียด เราต้องหาทางออก ทางที่จะทำให้เรามีไอเดียก็คือการออกเดินทาง เป็นคนชอบเที่ยวแบบธรรมชาติ ไม่ชอบที่ที่คนพลุกพล่าน ชอบขึ้นเขาอยู่ตามชนบท เป็นสไตล์การท่องเที่ยวของเราทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การออกเดินทางหาแรงบันดาลใจช่วยได้นะ ทำให้ไม่เครียด และเราจะรู้สึกว่าได้สิ่งใหม่ๆ จากการเดินทางมากมาย ส่วนใหญ่มักจะเลือกไปประเทศที่ไม่เคยไป โดยแต่ละปีจะวางแผนเที่ยวอย่างน้อยประมาณ 2 ทริป แต่ละทริปไปนานชนิดที่เรียกได้ว่ากลับมาแบบ ‘ฟูลชาร์จ’ เลย นี่ก็เพิ่งกลับมาจากกาลาปากอส ชิลี เอลกวาดอร์ ไปตะลุยอเมริกาใต้มา 1 เดือน”
น้องสาวสุดท้องแสนเซี้ยว
มาถึงน้องสาวคนสุดท้าย “วุ้น-กุลกมล ว่องวัฒนะสิน” แบรนด์แมเนเจอร์แห่ง CLUB 21 เอราวัณ และ CLUB 21 Accessories ร้านสไตล์มัลติเลเบลสโตร์ (Multi Label Store) ที่รวมแบรนด์ดังกว่า 30 แบรนด์ทั้งจากอังกฤษ อเมริกาและยุโรป
เธอเริ่มเข้าสู่วงการรีเทลแฟชั่นด้วยการทำงานการตลาดอยู่ที่แบรนด์ Dolce & Gabbana และแบรนด์ Balenciaga ก่อนย้ายมาอยู่ที่ CLUB 21 มัลติเลเบลสโตร์
“หน้าที่แบรนด์แมเนเจอร์คือการดูแลภาพรวม ต้องดูทั้งร้าน ทั้งการตลาด รวมถึงไปเลือกของเข้าร้านด้วย ซึ่งการทำงานตรงนี้ก็ทำให้เราเข้าใจภาพรวมของวงการธุรกิจรีเทล ทำให้เราสามารถคุยกับพี่ๆ รู้เรื่อง มีขอคำปรึกษาจากพี่ๆ บ้าง เพราะงานที่เราทำก็คล้ายกัน”
ทำงานในแวดวงแฟชั่น แถมยังมีพี่ชายเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังอย่าง VICKTEERUT สาวคนนี้จึงเป็นสาวมีสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเองที่สวยเก๋อยู่ตลอดเวลา
“ทำงานในวงการแฟชั่นต้องดูแลเรื่องการแต่งตัว ต้องตามเทรนด์แฟชั่นอยู่เสมอ แต่ถ้าถามสไตล์การแต่งตัวเราก็ไม่ได้นำมาใช้กับตัวเราทุกเทรนด์ เพราะบางอย่างก็ไม่เหมาะกับเรา โดยปกติก็จะมีสไตล์ที่บอกเป็นตัวเราอยู่บ้างเช่นแบบเรียบง่ายแต่มีรายละเอียด บางทีก็เรียบร้อยใส่แจ็กเกต แต่บางวันก็แค่กางเกงทรงสวยๆ กับเสื้อยืดสบายๆ มีหวานบ้างแต่ไม่ถึงกับแบ๊ว รู้สึกว่าบุคลิกเราได้หลายแนวให้แต่งตัวสไตล์ ‘มินิมัลสตรีต’ ก็ได้”
เป็นอีกหนึ่งสาวที่ติดใจการเดินทาง เพราะในแต่ละปีจะต้องเดินทางไปปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อทำการคัดเลือกสินค้ามาเข้าสโตร์ถึง 4 ครั้ง แถมแต่ละครั้งก็ไปเป็นเวลาหลายวัน แต่อย่างไรก็ดีเธอยังมักมีแพลนในการเดินทางเพื่อพักผ่อนให้กับตัวเองอีกด้วย
“ทุกคนในบ้านชอบเรื่องการท่องเที่ยวมาก ตัวเองก็ชอบเพราะเวลาไปเที่ยวเหมือนได้รีเฟรชตัวเอง แม้จะได้ไปปารีสปีละ 4 ครั้งแต่ก็คือการไปทำงานอย่างเดียวจริงๆ แต่ตามประสาคนทำงานออฟฟิศก็จะแพลนยาวและเก็บวันหยุดไว้เที่ยวพักผ่อนส่วนตัว และที่แน่นอนคือทริปครอบครัวที่จะไปกันทั้งบ้าน”
เบ้าหลอมสามพี่น้อง
ได้รู้จักกับสามพี่น้องแล้ว ก็ได้เวลารวมตัวพูดคุยถึงเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว สถาบันหลักที่เป็นเบ้าหลอมความเป็นคนที่มีคุณภาพของพวกเขาทั้งสาม ซึ่งทั้งหมดนี้พวกเขาขอยกความดีให้คุณพ่อและคุณแม่
โดยคำถามแรกที่เราเริ่มคุยเรื่องการเลี้ยงดูของครอบครัว เราถามว่าคุณพ่อคุณแม่ดุมั้ย? ทั้งสามพี่น้องพร้อมใจกันตอบพร้อมกันว่า “คุณแม่ดุมาก ส่วนคุณพ่อใจดีมาก”
วิน :: “ตั้งแต่เด็กๆ ท่านเป็นคนที่สอนอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งการใช้ชีวิต วิธีการทำงาน วิธีการคิด ซึ่งผมก็ได้นำคำสอนเหล่านั้นมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ท่านทำอะไรผิดพลาดมา ก็จะนำมาเล่าให้ฟัง เพื่อให้รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี”
วิค :: “คุณพ่อใจดีมาก แต่คุณแม่มีความเจ้าระเบียบมาก ต้องมีกฎระเบียบเป๊ะๆ สมัยเด็กๆ เราก็อาจจะเบื่อ ต่อต้าน แหกกฎ เพราะเราไม่เข้าใจ แต่โตขึ้นมา รู้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นดีกับเรามาก”
วุ้น :: “ความเจ้าระเบียบของคุณแม่ทำให้เรามีระเบียบในเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว การดูแลตัวเอง ทำความสะอาด ดูแลห้อง ล้างรถ ทาสีบ้าน คุณแม่ฝึกเราทุกอย่าง ส่วนใหญ่คุณแม่จะเป็นแนว DIY ค่ะ”
เรื่องซนๆ สามพี่น้อง
เรียกได้ว่าทั้งสามอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน เพราะแต่ละคนห่างกันประมาณปีครึ่งเท่านั้น เรื่องของการใช้ชีวิตในวัยเด็กจึงเติบโต วิ่งเล่นมาด้วยกัน แม้จะห่างกันบ้างในช่วงที่ต่างคนต่างไปเรียนต่างประเทศ แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งก็ทำให้ทุกคนกลับมาสนิทสนมเหมือนวัยเดียวกัน
วุ้น :: “เด็กๆ เราชอบเล่นโรลเลอร์เบลดกัน (หัวเราะ) จะมีช่วงที่เราห่างกันเพราะต่างคนต่างไปเรียนต่างประเทศ หรือช่วงที่พี่ๆ เริ่มเป็นวัยรุ่นแต่วุ้นยังเป็นเด็กน้อยอยู่”
วิน :: “บางทีเราไปเรียนคนละประเทศกัน ก็ห่างหายกันไปช่วงหนึ่ง แล้วก็กลับมาสนิทกัน ด้วยอายุมาถึงจุดที่เที่ยวด้วยกันได้ มีสังคมเดียวกัน”
วิค :: “เราแชร์เพื่อนกัน (หัวเราะ) เช่นเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนพี่วินและน้องวุ้นก็ไปด้วย หรือเพื่อนวุ้นก็ไปเที่ยวกับวิคด้วย รู้จักกันไปหมด”
แต่หากจะพูดถึงเรื่องวีรกรรมตอนเด็กแล้วนั้นทั้งวิคและวุ้นต่างพากันชี้ไปที่พี่วิน พี่ชายคนโตของบ้าน ที่ดูเงียบๆ แต่ว่าซุกซนจนได้แผลอยู่ตลอด!
วิค :: “คุณวินจะแผลเยอะสุด เย็บบ่อยสุดในบ้าน เพราะเขาออกแนวผาดโผนปีนป่าย เอะอะๆ เอ้าไปโรงพยาบาลอีกแล้ว!”
ร่วมแรง ร่วมใจ ระดมคำปรึกษา
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันมาตั้งแต่เริ่มต้นก็คือ การสร้างแบรนด์ VICKTEERUT แม้ว่าจะมี วิค พี่น้องคนกลางเป็นแกนหลัก แต่ทั้งพี่ชายและน้องสาวก็คือผู้สนับสนุนและผู้ช่วยอยู่เบื้องหลังตัวจริงของแบรนด์นี้
วิน :: “ตั้งแต่วันแรกที่วิคบอกว่าอยากทำแบรนด์ ทุกคนก็สนับสนุนเพราะเขาเรียนมาทางนี้ ให้เขาทำเต็มที่ เราก็มานั่งคุยกันว่าจะทำยังไง สร้างระบบยังไง แบ่งงานกันไป ทุกคนก็เข้ามาช่วย ตรงไหนที่เราขาดอยู่ก็หาคนมาทำ”
วิค :: “พี่วินดูเรื่องการเงิน และวางระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่วิคไม่รู้เรื่องเลย ส่วนน้องวุ้นก็ช่วยแนะนำเรื่องการขายและการตลาดเพราะเขาทำงานด้านนี้อยู่แล้ว เวลาอยู่บ้านเราก็นั่งคุยกัน ไม่ใช่แค่เรื่องแบรนด์ VICKTEERUT เท่านั้น แต่เราผลัดกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องงานด้วย”
วุ้น :: “มีช่วยบ้าง มักจะให้คำแนะนำเป็นเหมือนผู้ใช้จริง มีคอมเมนต์บ้าง เช่น เรื่องหน้าร้าน การทำงานของพนักงาน ซึ่งเราก็เอาประสบการณ์จากการทำงานกับองค์กรใหญ่มาแนะนำพี่ๆ เขาบ้าง”
วิน :: “โดยรวมถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง แต่เราก็คาดหวังที่จะทำอย่างอื่นด้วย เพราะแบรนด์นี้ยังโตได้อีก แต่ทุกคนต่างมีงานประจำก็ค่อยๆ โฟกัสเป็นเรื่องๆ ไป”
ห่วงใย ใส่ใจคนในครอบครัว
ทุกวันนี้ทั้งสามยังคงใช้ชีวิตในบ้านเดียวกัน เพราะยังไม่มีใครแยกย้าย ฉะนั้นเรื่องความสนิทสนมตามประสาพี่น้องจึงยังแน่นแฟ้น ซึ่งหากจะถามเรื่องเมาท์ๆ ถึงอุปนิสัยของแต่ละคนนั้น ย่อมรู้กันดีเพราะคลุกคลีกันอยู่ตลอด ซึ่งงานนี้เราชวนทั้งสามเมาท์ถึงพี่น้องแต่ละคนแบบรายตัว
วิน :: “วิกเป็นคนไหวพริบดี พลิกแพลงเก่ง ไอเดียดี เอาตัวรอดได้ บางอารมณ์เขาก็มีระเบียบ บางอารมณ์ก็ไม่มีระเบียบนะ ส่วนน้องวุ้นเป็นคนชิลๆ แต่อึด! ทำงานหนักได้ไม่ค่อยบ่น”
วิค :: “คุณวินเป็นคนมีระเบียบเหมือนแม่ ส่วนวิกกับวุ้นจะไม่มีระเบียบ (หัวเราะ) เขาดูแลตัวแองได้ เอาตัวรอดได้ เขาเก่งนะ มีความอดทนสูง ตั้งใจอะไรก็ตั้งใจเต็มที่ แต่กระบวนการในการใช้ชีวิตเขาเยอะ
วุ้น :: “พี่วินเป็นคนเนี้ยบ ห้องเขาจะเรียบร้อยมาก ทุกอย่างจะอยู่ในที่ที่ควรอยู่ แต่ห้องของพี่วิคกับวุ้นจะขยุกเป็นกองๆ แต่เราก็สามารถหาของของเราเจอ (หัวเราะ) ส่วนพี่วิค เขาเป็นพี่ชายที่น่ารัก สมัยก่อนเวลาไปเรียนต่างประเทศ พอกลับมาทีก็จะซื้อของมาฝากน้องเต็มไปหมด”
หลังจบการสัมภาษณ์ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองในช่วงบ่ายวันนั้น ทุกคนก็ยังแบ่งไอศกรีมทานกันกะหนุงกะหนิง ปิดบรรยากาศของครอบครัว 3 พี่น้องที่อบอุ่นและใส่ใจกันเสมอ :: Text by FLASH
Credit
สถานที่ : Motif art of Living สาขา Central Embassy โทรศัพท์ 0-2250-7740
ช่างภาพ : กมลภัทร พงศ์สุวรรณ