อนิลทิตา ตอนที่ 15
ตอนบ่ายคล้อยวันเดียวกันนั้น เจ้าดาเรศประคองไอ้พันที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด จากบาดแผลที่หลังถูกไฟไหม้จนเหวอะหวะ พากันมายังหน้ากระท่อมบันดาสา
“ยายจ๋า ยายอยู่หรือเปล่า...ช่วยลุงพันด้วยจ้ะ”
บันดาสาเปิดประตูออกมาอย่างตกใจ ที่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้าดาเรศ พอเห็นสภาพไอ้พันก็ปราดเข้าไปหา
“ไอ้พัน แกไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้เป็นแผลเหวอะหวะได้ขนาดนี้”
ไอ้พันไม่ตอบ ได้แต่ร้องโอดโอยไม่หยุด บันดาสาหันมาถามเจ้าดาเรศ
“เจ้า...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับไอ้พันคะ”
เจ้าดาเรศหน้าซีด พูดไม่ออก
สามคนพ่อแม่ลูก อยู่ในกระท่อมแล้ว บันดาสากำลังทาสมุนไพรที่หลังไอ้พันซึ่งนอนคว่ำอยู่บนแคร่
เจ้าดาเรศนั่งใจลอยมองไอ้พัน ก่อนจะพูดกับบันดาสาอย่างเสียใจ
“ถึงคุณแม่จะเป็นแม่มดฆ่าคน...แต่ดานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณแม่จะทำร้ายดาได้ลงคอ”
เจ้าดาเรศน้ำตาหยดรินรดแก้ม บันดาสากลุ้มใจ เป็นห่วงลูกจนพูดไม่ออก
“นี่ถ้าลุงพันกับแม่เฒ่านายิกีไม่ช่วยดาเอาไว้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้ดาจะเป็นยังไงบ้าง”
บันดาสาฝืนยิ้ม แล้วพูดปลอบ “เจ้าอย่าเสียใจไปเลยนะคะ ไม่ใช่ว่าคุณโฉมเธอจะไม่รักเจ้า แต่เป็นธรรมดาของคนที่เล่นมนต์ดำ พอนานๆ ไปจิตใจก็มักจะเหี้ยมเกรียมอำมหิตขึ้นโดยไม่รู้ตัว”
เจ้าดาเรศฟังไป สายตาก็มองดูมือบันดาสาที่กำลังทายาให้ไอ้พันไปด้วย และเห็นหลังของไอ้พันหายเหวอะหวะ เหลือแต่รอยแดง เจ้าดาเรศถึงกับตะลึง มองหน้าบันดาสาอย่างระแวง ก่อนจะถอยหลังกรูดอย่างตกใจ
“ยาย!...นี่ยายก็เป็นแม่มดใช่มั้ยจ๊ะ ยายถึงได้รักษาบาดแผลที่เกิดจากอาคมของคุณแม่ได้”
บันดาสาชะงัก มองท่าทางตกใจกลัวของดาเรศอย่างเสียใจ แต่ก็เข้าใจ บันดาสาค่อยๆ เดินไปหาเจ้าดาเรศ เอื้อมมือไปจับไว้อย่างปลอบประโลม อธิบายด้วยเสียงอ่อนโยน
“เจ้าอย่ากลัวยายเลยนะ ไม่ว่ายายจะเป็นอะไร ยายก็ไม่มีวันจะทำร้ายเจ้า”
เจ้าดาเรศมองบันดาสาอย่างพินิจพิเคราะห์ เห็นแต่แววตาแห่งความรักลึกซึ้ง ความเสียใจ และความรู้สึกผิด ในดวงตาของหญิงชรา
“อีกอย่าง มนต์ดำของยายก็เสื่อมไปนานแล้ว...นานเท่าๆ กับ อายุของเจ้าก็ว่าได้”
เมื่อเจ้าดาเรศเห็นความจริงใจในดวงตาของบันดาสา ทีท่าระมัดระวังหวาดกลัวก็ผ่อนคลายลง สุดท้ายตัดสินใจถามออกไป
“แล้วทำไมยายกับแม่ต้องเล่นมนต์ดำด้วยล่ะจ๊ะ”
บันดาสาอึ้งไป คิดไม่ตกว่าจะเล่าให้เจ้าดาเรศฟังได้มากแค่ไหน
บันดาสารดน้ำสมุนไพรอยู่ในสวนข้างๆ กระท่อม พร้อมกับเล่าเรื่องโฉมสุรางค์ให้เจ้าดาเรศฟังไปด้วย เจ้าดาเรศฟังอย่างตั้งใจ
ไอ้พันใส่เสื้อใหม่แล้วแต่ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ นั่งทำม้าก้านกล้วยอยู่ใกล้ๆ ในระหว่างที่บันดาสาเล่าเรื่องราวของโฉมสุรางค์ให้เจ้าดาเรศฟัง
“นานมาแล้ว...ชายคนรักของคุณโฉมถูกผู้มีอำนาจฆ่าตาย คุณโฉมก็เลยตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะรอจนกว่าชายผู้นั้นจะกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง...และการเล่นมนต์ดำก็เป็นวิธีเดียวที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อการรอคอยที่นานขนาดนั้นได้”
เจ้าดาเรศครุ่นคิด “และผู้ชายคนนั้นก็คือคุณจักรา”
บันดาสานิ่งไปอย่างยอมรับ เจ้าดาเรศคาใจอยู่
“ในเมื่อคุณแม่มีชีวิตอยู่เพื่อรักและรอคุณจักร แล้วทำไมคุณแม่ถึงมาแต่งงานกับเจ้าพ่อล่ะคะ”
บันดาสาออกอาการอึดอัด ไม่รู้จะเล่ายังไง “บางครั้ง...คนเราก็ไม่สามารถจะทำทุกอย่างตามที่หัวใจปรารถนาได้”
เจ้าดาเรศฟังแล้วเสียใจ “หมายความว่าคุณแม่แต่งงานกับเจ้าพ่อทั้งๆ ที่ไม่ได้รักใช่มั้ยคะ” น้ำตาร่วงริน “มิน่าล่ะคุณแม่ถึงได้เกลียดดานัก”
บันดาสาสงสารลูกสาวจับใจ แต่ก็บอกอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
ฝ่ายจักราหลบมุมอยู่บริเวณหน้าเรือนใหญ่ รอเวลาที่โฉมสุรางค์จะกลับมา จนกระทั่งเห็นโฉมสุรางค์เดินโซซัดโซเซมาตามทางเดิน ต้นแขนมีรอยบาดแผลยาวเลือดไหลซิบๆ
จักราถอนใจอย่างหนักอก ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป โดยแกล้งทำเป็นไม่เห็นในเบื้องแรก แล้วทำเป็นชะงักเหมือนมาเจอโฉมสุรางค์โดยบังเอิญ มองมาอย่างตกใจและเป็นห่วง
“คุณโฉม นั่นคุณโฉมไปโดนอะไรมาครับ”
โฉมสุรางค์มีสีหน้าเจ็บปวดเมื่อนึกถึงที่มาของแผล
“ดิฉันโดนหนามของต้นคัดเค้าข่วนน่ะค่ะ”
“เข้าบ้านก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมทำแผลให้”
จักราประคองโฉมสุรางค์เข้าเรือนไป
ภายในห้องรับแขกของเรือนใหญ่ตอนนี้ จักราเดินถือกล่องปฐมพยาบาลเข้ามาหาโฉมสุรางค์ที่นั่งรออยู่
“แผลไม่ลึกมาก เดี๋ยวผมใส่ยาให้นะครับ”
จักราล้างแผล แล้วทำแผลให้โฉมสุรางค์อย่างนุ่มนวล สีหน้าโฉมสุรางค์มองจักราอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณมากนะคะคุณจักร คุณดีกับดิฉันเหลือเกิน”
จักราใช้ผ้าซับเลือดตามแขนโฉมสุรางค์อย่างทะนุถนอม สงสารจับจิตจนไม่กล้าสบตา
“เสร็จแล้วครับ อีกไม่กี่วันแผลก็คงจะหาย”
จักราหยิบยาแก้ปวดกับแก้วน้ำส่งให้คุณโฉม
“คุณโฉมทานยาแก้ปวดหน่อยนะครับแล้วจะได้ขึ้นไปนอน” เขาบอกอย่างจริงใจต่อว่า “คุณเหนื่อยมามากแล้ว ผมอยากให้คุณพักผ่อนมากๆ”
โฉมสุรางค์รับยาไปทานอย่างว่าง่าย น้ำตารื้น ซาบซึ้ง และตื้นตันใจเหลือเกิน พลางเอื้อมมือไปจับมือเขา ในท่าทีลังเลนิดนึง ก่อนจะตัดสินใจถามจักราด้วยความกังวล
“คุณจักรคะ ถ้าวันนึงดิฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็น คุณจะยังรักดิฉันอยู่มั้ยคะ”
จักราชะงัก ตัดบท
“คุณโฉมขึ้นไปนอนพักเถอะครับ ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อน...แล้วเย็นๆ พบกันนะครับ”
จักรายิ้มให้อย่างปลอบประโลม แล้วหยิบกล่องปฐมพยาบาลพร้อมกับผ้าซับเลือดโฉมสุรางค์เดินออกไป ทิ้งให้โฉมสุรางค์มองตามไปอย่างผิดหวัง
“ทำไมสินธุถึงไม่พูดว่ารักข้า สินธุหมดรักข้าแล้วหรือไร หรือว่ามนต์ที่เหรียญท้าวเวชสุวัณจะเสื่อมคลาย”
แววตาโฉมสุรางค์ตอนนี้ ทั้งหวาดระแวง กังวล และเศร้าหนัก
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 15 (ต่อ)
เย็นมากแล้วเจ้าดาเรศนั่งใจลอย คิดถึงสิ่งที่โฉมสุรางค์ทำกับตนเมื่อบ่ายแล้วเสียใจจนน้ำตาซึม บันดาสามองลูกสาวด้วยความสงสารจับใจ
“เจ้าจะทำยังไงต่อไป จะอยู่ที่นี่ต่อหรือว่าจะหนี” บันดาสาเป็นกังวล “คุณโฉมคงไม่รามือจากเจ้าง่ายๆ แน่”
“ดาไม่อยากทิ้งคุณแม่ไป ถึงยังไงดาก็เป็นลูก” เจ้าดาเรศบอกอย่างมุ่งมั่น แต่ก็สะเทือนใจขึ้นมาอีกจนน้ำตาร่วง “ถึงคุณแม่จะไม่รัก แต่ดาก็ต้องอยู่ดูแลท่าน”
บันดาสามองเจ้าดาเรศอย่างซาบซึ้งใจในความรักของดาเรศที่มีต่อโฉมสุรางค์
ไอ้พันเห็นเจ้าดาเรศร้องไห้ ก็หยุดเล่น มองจ้องเจ้าดาเรศด้วยความสงสาร ไอ้พันเอาม้าก้านกล้วยที่เพิ่งทำเสร็จมายื่นให้
“หยุดร้องนะ โอ๋ๆ...ม้า...เล่น...ขี่ม้า”
ไอ้พันคะยั้นคะยอส่งม้าก้านกล้วยให้ เจ้าดาเรศมองด้วยความตื้นตัน ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่แล้วก็อึ้ง นิ่งงันไป
จนบันดาสาแปลกใจ ถามด้วยความฉงน “เจ้าเป็นอะไร”
เจ้าดาเรศหวนคิดถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ ที่เกิดขึ้นในสวนคุ้มเชียงแมนตอนกลางวัน เมื่อครั้งอดีต
ในตอนนั้นเด็กหญิงเจ้าดาเรศนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้น มีรถจักรยานล้มอยู่ข้างๆ เจ้าพงษ์สุริยันกำลังนั่งปลอบดาเรศอยู่
“โอ๋ๆ หยุดร้องนะดาเรศลูกพ่อ”
เจ้าพงษ์สุริยันกอดปลอบลูกสาว
“ขี่จักรยานแล้วล้มก็ไม่เป็นไร”
จากนั้นเจ้าพงษ์สุริยันหันไปหยิบม้าก้านกล้วยที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา
“พ่อทำม้าก้านกล้วยมาให้ขี่แทน ไปขี่ม้ากับพ่อนะ”
เจ้าพงษ์สุริยันอุ้มดาเรศขึ้นมา
ไอ้พันกำลังเล่นขี่ม้าก้านกล้วยอยู่ เจ้าดาเรศมองภาพนั้นนิ่ง
“ลุงพันทำเหมือนกับที่เจ้าพ่อเคยปลอบดาตอนเด็กๆ เลยค่ะ”
บันดาสาอึ้ง ตกใจ รีบพูดกลบเกลื่อน
“ไม่แปลกหรอกเจ้า ชาวบ้านแถวๆ นี้ก็ทำม้าก้านกล้วยให้ลูกๆ หลานๆ เล่นกันทั้งนั้น”
เจ้าดาเรศไม่สนใจที่บันดาสาพูด เดินตรงเข้าไปหาไอ้พัน ไอ้พันดีใจ คิดว่าเจ้าดาเรศจะเล่นม้าก้านกล้วยที่ตนทำให้ด้วยกัน
“ขี่ม้ากัน”
เจ้าดาเรศบรรจงจับหน้าไอ้พันให้หันมาหา จ้องลึกเข้าไปในดวงตา
“ถึงดาจะไม่เห็นเจ้าพ่อนานแล้ว แต่ที่ดาจำได้คือดวงตา ลุงพันตาเหมือนเจ้าพ่อมาก ลุงพันเป็นอะไรกับเจ้าพ่อของดาหรือเปล่าคะ”
บันดาสาสะอึก อึ้ง น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก
ฝ่ายสองคนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟ บรรยากาศน่ารักในตัวเมืองเชียงราย ทันทีที่ฟังจบเจ้าพงษ์นครถามขึ้นด้วยความตกใจ
“อะไรนะ หมวดเสกหายตัวไปเหรอครับ”
หมวดจิ๊บรับหน้าเครียด “ค่ะ ร้อยเวรที่สถานีตำรวจบอกว่าหมวดเสกจะเข้าไปหาหลักฐานที่คุ้มเชียงแมน”
เจ้าพงษ์นครมองหมวดจิ๊บอย่างเป็นห่วงและไม่ไว้ใจ รีบพูดดักคอไว้ก่อน
“หวังว่าคุณคงจะไม่คิดจะบุกเดี่ยวเข้าไปที่นั่นหรอกนะ”
“หรือว่าคุณจะให้ฉันยกไปทั้งโรงพักล่ะ”
เจ้าพงษ์นครพูดเสียงแข็งยื่นคำขาดเพราะไม่ต้องการให้หมวดจิ๊บต้องเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยง
“จะกี่คนก็ไม่ได้ทั้งนั้น...คุณต้องรอจนกว่าแม่เฒ่าจะทำลายอาคมของคุณป้าได้” เจ้ามองอย่างเป็นห่วง เสียงอ่อนลง “ผมไม่อยากให้คุณเอาตัวเข้าไปเสี่ยง”
หมวดจิ๊บหันมาเห็นสายตาที่แสดงความห่วงใยของเจ้าพงษ์นครก็ถึงกับอึ้งไป
“ก็ได้...แต่ฉันให้เวลาคุณได้อีกแค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าพวกคุณยังปราบคุณโฉมไม่ได้ ฉันก็คงต้องลงมือเอง...ไม่ว่าจะเสี่ยงแค่ไหน ฉันก็ต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้”
หมวดจิ๊บบอกด้วยท่าทางมุ่งมั่นจริงจัง
ที่เมาน์เทนรีสอร์ท ตอนค่ำ แม่เฒ่านายิกีฟังที่เจ้าพงษ์นครเล่าจบลง บอกอย่างมั่นใจ
“ตำรวจที่หายไปต้องถูกจับไปเป็นเหยื่อของนังโฉมแน่ๆ มันถึงกลับมาเป็นสาวได้อีก”
“ผมว่าเราต้องรีบจัดการคุณป้าก่อนที่จะมีคนตายมากไปกว่านี้นะครับ”
จักราฟังอย่างหนักใจก่อนจะหยิบซองพลาสติกใสใส่ผ้าซับเลือดของคุณโฉมออกมา
“นี่ครับ ผ้าซับเลือดของคุณโฉม”
นายิกีรับซองพลาสติกไว้
“ทีนี้เราก็ได้ของทุกอย่างครบแล้ว” รชาว่า
นายิกีบอกอย่างหมายมั่น “คราวนี้นังโฉมมันไม่รอดแน่”
จักราฟังน้ำเสียงแม่เฒ่านายิกีแล้วรู้สึกไม่สบายใจ พูดสวนขึ้นทันที
“แต่แม่เฒ่ารับปากเจ้าดาเรศไว้แล้วนะครับว่าคุณโฉมจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต”
“ข้าก็ยังรับปาก...เราทำพิธีตัดคอก็เพื่อให้นังโฉมมันคืนกลับสู่ร่างเดิมของมันเท่านั้น...”
จักรามีท่าทีสบายใจขึ้น
แม่เฒ่านายิกีบอกอีกว่า “...แต่ร่างเดิมของมันจะแก่หง่อมขนาดไหน และจะมีชีวิตไปได้อีกกี่ปี ก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถจะคาดเดาได้”
นายิกียิ้มในสีหน้าอย่างมุ่งมั่นมาดหมาย
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 15 (ต่อ)
คืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ทว่าบนท้องฟ้ายามนี้มีหมู่เมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้าแลดูน่ากลัว เทียนที่ถูกปักบนพื้นลานกลางแจ้งเป็นรูปสี่เหลี่ยม ส่องแสงวับแวม วูบไหวไปตามแรงลม
แม่เฒ่านายิกี รชา และเจ้าพงษ์นครนั่งอยู่ตรงกลางในรูปสี่เหลี่ยมนั้น ตรงหน้าแม่เฒ่าเป็นแท่นบูชามีเครื่องบูชา สายสิญจน์ ขันใส่น้ำมนต์ ถาดดินเหนียว พานใส่เส้นผม เล็บ และผ้าซับเลือดของโฉมสุรางค์
นายิกีหยิบดินเหนียว เส้นผม เล็บ และผ้าซับเลือด ปั้นรวมกันเป็นรูปร่างคน แล้วจรดที่ปาก เริ่มบริกรรมคาถาทำพิธีตัดคออนิลทิตา
รชากับเจ้าพงษ์นครนั่งมองดูอยู่ข้างหลังด้วยความตื่นเต้น
สักครู่นายิกีลืมตาขึ้น ลดหุ่นดินเหนียวลง แล้วเอาสายสิญจน์มัดที่คอหุ่น
รชากับเจ้าพงษ์นคร จ้องมองดูนายิกีทำพิธีต่อไปตาแทบไม่กระพริบ นายิกีวางหุ่นลงจากนั้นเอาน้ำมนต์พรมไปที่หุ่น พลางท่องคาถาไปด้วย
ทางด้านเจ้าดาเรศอยู่ในห้องนอนกับกระถิน สีหน้าท่าทางกระวนกระวายใจอยู่ไม่เป็นสุข เป็นห่วงโฉมสุรางค์
“คืนนี้แม่เฒ่าทำพิธีตัดคอคุณแม่ ขออย่าให้คุณแม่เป็นอะไรเลย”
“แม่เฒ่ารับปากแล้ว คุณโฉมคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะเจ้า” กระถินได้แต่ปลอบ
เจ้าดาเรศกลุ้มใจ
โฉมสุรางค์นอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าเริ่มมีเหงื่อออก ขมวดคิ้วยุ่งเหมือนกำลังฝันร้าย
ในฝัน โฉมสุรางค์วิ่งหนีกระหืดกระหอบมาหยุดอยู่ที่ทางสามแพร่ง ท่าทางลังเลไม่รู้จะไปทางไหนดี
“นังโฉม! แกไม่มีทางหนีรอดจากบาปที่แกสร้างไว้ได้หรอก”
โฉมสุรางค์มองหาที่มาของเสียงด้วยสีหน้าเครียดจัด แต่พยายามไม่แสดงออก
“นังเฒ่า แกอยู่ไหน แน่จริงออกมาสิ”
โฉมสุรางค์มองหานายิกีไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงหัวเราะของนายิกีก้องกังวานไปทั่วบริเวณ โฉมสุรางค์ยิ่งกลัวและเครียดมากขึ้น
ภายในลานทำพิธี นายิกียังบริกรรมคาถาไม่หยุด มือก็เอาน้ำมนต์พรมใส่หุ่นจนเปียกชุ่ม
ส่วนที่ห้องนอนใบหน้าโฉมสุรางค์เหงื่อออกมากขึ้น เริ่มสะบัดหน้าไปมา
เสียงหัวเราะของนายิกียังดังก้องไปทั่วทางสามแพร่ง โฉมสุรางค์เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง ร่างนายิกีปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว โฉมสุรางค์ที่ยังไม่ทันตั้งตัวผงะถอยหลัง แล้วก็ต้องตกใจหนักกว่าเดิมเมื่อถอยไปชนกับร่างของนายิกี ที่ตอนนี้มายืนอยู่ด้านหลัง
โฉมสุรางค์หันไปดูด้วยความตกใจสุดขีด นายิกียืนมองมาด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
โฉมสุรางค์ท่องคาถาใส่มือตัวเอง แล้วปล่อยพลังใส่นายิกี แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โฉมสุรางค์ปล่อยพลังซ้ำอีกครั้งแต่ก็ได้ผลเหมือนเดิม โฉมสุรางค์มองมือตัวเองอย่างตกใจที่ตัวเองไม่มีฤทธิ์เดชอะไรเหลืออยู่เลย
นายิกีหัวเราะลั่น แบมือออก ปรากฏขวานเล่มใหญ่ปรากฏขึ้นบนมือ นายิกีย่างสามขุมเข้าไปหาโฉมสุรางค์ด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย
โฉมสุรางค์กรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด
โฉมสุรางค์นอนอยู่บนเตียง เหงื่อแตกเต็มหน้า ท่าทางกระสับกระส่ายหายใจหอบแรง
“อย่า! ไม่”
ปากแม่เฒ่านายิกีเริ่มบริกรรมคาถาเร็วขึ้นๆ หุ่นโฉมสุรางค์เริ่มสั่นแรงขึ้นทุกทีๆ รชามองหน้ากันกับเจ้าพงษ์นครแววตาตื่นตะลึง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
โฉมสุรางค์วิ่งหนีมาตามถนนอันมืดมิดอย่างไม่คิดชีวิต แต่พลาดท่าล้มลง พอจะลุกก็เห็นนายิกียืนอยู่ตรงหน้า นายิกีเงื้อขวานในมือขึ้นจนสุดแขน
“แกต้องชดใช้สิ่งที่แกทำไว้กับคนอื่น”
โดยที่ลานกลางแจ้ง แม่เฒ่านายิกีกระตุกสายสิญจน์ที่มัดคอหุ่นเพียงเบาๆ คอหุ่นก็กระเด็นขาดออกจากร่างทันที
รชากับเจ้าพงษ์นครมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้น
ส่วนภาพในฝัน ทั้งคู่อยู่บนถนนบรรยากาศดูน่ากลัว และแล้วนายิกีสับขวานลงมาใส่คอโฉมสุรางค์ จนคอขาดกระเด็นไปเช่นเดียวกับคอหุ่น
โฉมสุรางค์ฝันร้าย เหงื่อแตกเต็มหน้า สะดุ้งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่!”
โฉมสุรางค์นั่งหอบอย่างแรงเหมือนคนหายใจไม่ออก แทบขาดใจ เหงื่อแตกเต็มตัว เอามือลูบลำคอตัวเองหน้าซีด
โฉมสุรางค์รีบลุกขึ้นจากที่นอนไปยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สำรวจดูตัวเอง เห็นผมขาวโพลนทั้งศีรษะ และมีรอยแดงคล้ำที่คอ
โฉมสุรางค์ตกใจ เอามือปัดผมเพื่อจะดูให้ชัด เส้นผมร่วงลงมาเป็นกระจุก ก็ยิ่งตกใจมากขึ้น พอเอามือจับผม ผมก็ร่วงติดมือมาเพิ่มอีก โฉมสุรางค์เอาเส้นผมมาดูใกล้ๆ ครั้นพอคว่ำมือ ก็พบว่าเล็บตัวเองมีสีเขียวคล้ำ
โฉมสุรางค์กรีดร้องด้วยความตกใจถึงขีดสุด
จักรา เจ้าดาเรศ ต่างก็วิ่งออกมาจากห้องนอนของตน ตรงมาที่หน้าห้องนอนโฉมสุรางค์ กระถินวิ่งขึ้นบันไดมาสมทบ
จักราเคาะประตูห้องเสียงดังด้วยความเป็นห่วง
“คุณโฉม คุณโฉมครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
โฉมสุรางค์หอบ หายใจถี่ อย่างเหนื่อยอ่อน นอนกองอยู่กับพื้นห้องนอน
“ดิฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะคุณจักร”
เสียงจักราดังเข้ามาอีก “เปิดประตูให้ผมหน่อยครับ”
โฉมสุรางค์พยายามรวบรวมสติกำลัง ก่อนจะตอบจักราด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ดิฉันแค่ฝันร้าย คุณจักรไปนอนเถอะค่ะ”
จักรา เจ้าดาเรศ และกระถินมองหน้ากันอย่างกังวล
“จะเอายังไงดีคะคุณจักร”
จักราครุ่นคิด
โฉมสุรางค์ค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น เดินไปที่ประตูห้อง เอาหูแนบกับประตูฟังเสียงจากด้านนอก ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินห่างออกไป พร้อมกับเสียงปิดประตูห้องตามมา
โฉมสุรางค์หันไปหยิบผ้ามาคลุมหน้าคลุมศีรษะตัวเอง แง้มประตูออกมาดู เห็นแต่ความว่างเปล่า ยังมืดสลัวอยู่
โฉมสุรางค์ก้าวออกจากห้องไป
พอเปิดประตูห้องนอนออกมา โฉมสุรางค์มองซ้ายแลขวา พอเห็นว่าไม่มีใครก็ค่อยๆ ย่องออกไปอย่างรวดเร็ว เท่าที่พลังหญิงชราจะนำพาไป
โดยไม่รู้ว่าที่มุมหนึ่งในความมืด ทั้งจักรา เจ้าดาเรศและกระถินที่หลบอยู่ ค่อยๆโผล่ออกมามองหน้ากันอย่างรู้ทัน
ประตูกระท่อมถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมๆ กับที่โฉมสุรางค์วิ่งถลันเข้ามา
“พี่บันดาสา ช่วยข้าด้วย”
บันดาสาลุกพรวดขึ้นมาอย่างตกใจ เห็นโฉมสุรางค์หน้าตาตื่นตระหนก ผมเผ้ากระเซิง
“เกิดอะไรขึ้นแม่หญิง”
โฉมสุรางค์เงยคอให้บันดาสาดู
บันดาสาเขม้นมอง เห็นเป็นเส้นสีแดงรอบคอก็อึ้งไปถนัดตา
โฉมสุรางค์ร้อนรนใจมากๆ “เกิดอะไรขึ้นกับข้า ทำไมข้าถึงเป็นแบบนี้”
บันดาสาพินิจพิเคราะห์ แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“มีคนทำพิธีตัดคอแม่หญิง”
โฉมสุรางค์ตกใจมาก “พิธีตัดคอ”
“ใช่” บันดาสาใช้ความคิดหนัก “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนๆ นั้นจะต้องเอาเส้นผม เล็บและเลือดของแม่หญิงไปประกอบพิธีด้วย แล้วใครล่ะที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้”
โฉมสุรางค์ชะงัก ยกมือตัวเองขึ้นมาดู พบว่าปลายเล็บถูกเล็มไปจริงๆ
“เอ๊ะ!”
ภาพที่จักราซับเลือดให้ คอยดูแลทำแผลให้ ผุดซ้อนเข้ามาในห้วงคิด โฉมระแวงขึ้นมาทันที พูดออกมาด้วยความสะเทือนใจ
“หมายความสินธุทรยศข้าอย่างนั้นรึ”
บันดาสาตกใจ “สินธุทำอะไรแม่หญิง”
โฉมสุรางค์กล้ำกลืนความผิดหวังเอาไว้
“ข้าสงสัยว่าสินธุจะเป็นคนเอาเล็บกับเลือดของข้าไป”
บันดาสาพูดไม่ออก ทั้งสงสารและเห็นใจโฉมสุรางค์
“มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่แม่หญิงคิดก็ได้...” บันดาสาหนักใจมาก “ตอนนี้อาการของแม่หญิงสาหัสมากเหลือเกิน เราต้องแก้อาคมให้ได้ก่อนที่ร่างกายของแม่หญิงจะเปื่อยยุ่ยลงไปเรื่อยๆ ตามอายุ...”
บันดาสามองโฉมสุรางค์ด้วยความวิตกกังวล ก่อนบอกต่อว่า
“และเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่มีอะไรที่จะช่วยให้แม่หญิงกลับมาเป็นสาวได้อีก”
ฟังแล้วสีหน้าโฉมสุรางค์เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 15 (ต่อ)
จักรา เจ้าดาเรศ และกระถิน พากันแอบฟังอยู่ด้านนอกกระท่อม เจ้าดาเรศแม้จะไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องจำนน เพราะเห็นมากับตาตัวเอง
“พิธีตัดคอของแม่เฒ่าสามารถ ทำลายอาคมของคุณแม่ได้สำเร็จ อย่างที่แม่เฒ่าพูดไว้จริงๆ”
“ถ้าเป็นไปตามคำพูดของแม่เฒ่า ก็แสดงว่าคุณโฉมจะไม่ได้รับอันตรายอะไรมากไปกว่านี้แล้ว” จักราว่า
สีหน้าเจ้าดาเรศค่อยโล่งใจขึ้น
แต่กระถินยังไม่สบายใจอยู่ดี “แต่คุณโฉมก็เริ่มจะสงสัยคุณจักรแล้วนะคะกระถินว่าคุณจักรน่าจะรีบหนีไป” กระถินหันมาพูดกับดาเรศ “เจ้าก็เหมือนกัน”
“กระถินจะให้ฉันทิ้งคุณแม่ไปได้ยังไง ยิ่งคุณแม่เป็นแบบนี้ ฉันก็ยิ่งต้องดูแลท่าน”
จักรานึกเป็นห่วง “ถ้าคุณดายืนยันว่าจะอยู่ที่นี่ ผมก็จะอยู่กับคุณดาด้วย”
กระถินทักท้วง “แล้วถ้าอาคมของคุณโฉมสามารถฟื้นคืนกลับมาได้ล่ะคะ...”
จักรากับเจ้าดาเรศมองหน้ากันอย่างคิดไม่ตก
ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ภายในค็อฟฟี่ช็อป เมาน์เทนรีสอร์ท แม่เฒ่านายิกีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันว่า
“ไม่มีทาง...หลังจากทำพิธีเสร็จ ข้าเอาหุ่นของนังโฉมไปฝังไว้ในป่าช้าแล้ว ตอนนี้นังโฉมก็เหลือแต่ร่างกับลมหายใจมันไม่มีทางลุกขึ้นมาทำอะไรใครได้อีก”
“ถ้าเป็นอย่างที่แม่เฒ่าพูด ตอนนี้คุณแม่ก็คือคนแก่ธรรมดาที่ไม่มีพิษมีภัยกับใครแล้ว...ดาขอร้อง อภัยให้คุณแม่ดาได้มั้ยคะ”
เจ้าดาเรศมองหน้าทุกคนเป็นเชิงขอร้อง รชาพูดสวนขึ้นอย่างคนไม่ยอม
“แต่เจ้าก็รู้ว่าคุณโฉมทำอะไรไว้กับน้องสาวของผมบ้าง”
“ดารู้ค่ะว่าคุณแม่ทำร้ายทุกคน แต่ตอนนี้ท่านก็ได้รับกรรมแล้ว” เจ้าดาเรศพูดแล้วยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ “ท่านมีชีวิตอยู่ในร่างผุกร่อนที่รอวันตาย... “
รชานิ่งขึง ไม่ตอบ
กระถินมองสองคนสลับกัน แม้จะเห็นใจรชาแต่ก็สงสารเจ้าดาเรศมากกว่า
“คุณรชา ให้อภัยคุณโฉมเถอะนะคะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วไม่ว่าจะทำยังไง คุณระจิตก็ฟื้นขึ้นมาไม่ได้”
จักราเข้าใจทั้งเจ้าดาเรศและรชา เขาหันไปพูดกับจักราด้วยความลำบากใจ
“ผมเข้าใจพี่รชานะครับ ผมเองก็ต้องสูญเสียน้องชายคนเดียวไปเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากจะสร้างเวรสร้างกรรมต่อกันไปอีก...ให้ทุกอย่างมันจบลงตรงนี้เถอะนะครับ”
รชาไม่ตอบรับ แต่แววตาอ่อนลง
เจ้าพงษ์นครเห็นใจ จับมือเจ้าดาเรศไว้ปลอบ และให้กำลังใจ
“แล้วน้องดาคิดจะทำยังไงกับคุณป้าต่อไป”
“ดาจะกลับไปดูแลคุณแม่ค่ะ ตอนนี้ท่านไม่อยู่ในสภาพที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ท่านคงจะลำบากมาก”
เจ้าดาเรศหน้าเศร้า สงสารโฉมสุรางค์จับใจ
ไม่นานต่อมาบันดาสาประคองแก้วยาสมุนไพรให้โฉมสุรางค์ดื่ม
“ข้าจะทำพิธีแก้อาคมให้แม่หญิง แต่แม่หญิงต้องทำตามที่ข้าบอก”
สภาพโฉมสุรางค์ มีท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดูไม่มีพิษมีภัยใดๆ
“จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงพี่รักษาข้าให้หายก็พอ”
บันดาสาเดินไปหาไอ้โล้นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สั่งอะไรบางอย่าง ไอ้โล้นก้มศีรษะรับรู้แล้วเดินออกไป บันดาสาหันกลับมามองโฉมสุรางค์ด้วยความเป็นห่วง
เจ้าดาเรศเดินลิ่วๆ มาตามทาง ตรงไปที่กระท่อมบันดาสาอย่างร้อนใจ จักรากับกระถินเดินเร็วรี่ ตามมาด้วย ก่อนที่เจ้าดาเรศจะเดินเข้าไปใกล้กระท่อมมากกว่านี้ กระถินดึงแขนไว้
“เจ้า...เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เจ้าดาเรศหันมาหา “มีอะไรกระถิน ฉันยิ่งเป็นห่วงคุณแม่อยู่ เย็นป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับมาอีกก็ไม่รู้...ถ้าคุณแม่อยู่กับยาย ฉันจะได้หมดห่วง”
“แต่กระถินว่าเราอย่าเพิ่งเข้าไปเลยค่ะ” กระถินสารภาพเสียงอ่อย “บอกตรงๆ ว่ากระถินยังไม่ไว้คุณโฉมอยู่ดี”
เจ้าดาเรศทำท่าจะไม่ยอม แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็เห็นไอ้พันเดินเด็ดใบไม้กินอยู่หน้ากระท่อม ปากก็บ่นไปด้วยว่า
“หิวข้าว หิว...”
จักรามองไปที่ไอ้พันเหมือนนึกอะไรออก
“ผมนึกออกแล้วว่าจะทำยังไง”
สามคนเดินเข้ามาใกล้ๆ กระท่อมบันดาสา ไอ้พันอยู่ด้วย
“ลุงพัน...คุณแม่กับยายอยู่ข้างในใช่มั้ยจ๊ะ”
ไอ้พันคิดไปคิดมา แล้วส่ายหน้าโบกไม้โบกมือ
“ไม่อยู่ ไม่อยู่”
เจ้าดาเรศตกใจ “แล้วคุณแม่ไปไหน ลุงพันรู้หรือเปล่าจะ”
“ออกไป ยังไม่กลับ”
กระถินนึกระแวงขึ้นมา “หรือว่าคุณโฉมจะกลับมาเป็นปกติแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เมื่อเช้าอาการคุณโฉมยังดูทรุดหนักอยู่เลย...อีกอย่าง ถ้าคุณโฉมกลับมาเป็นปกติจริงๆ เธอต้องมาเล่นงานผมเป็นคนแรกแน่ๆ” จักราบอกเสียงเศร้า
“ถ้างั้น คุณโฉมจะหายไปไหนล่ะคะ”
“หรือว่ายายอาจจะพาคุณแม่ไปรักษาตัวอยู่ที่ไหนซักแห่งก็ได้”
เจ้าดาเรศครุ่นคิดด้วยความเป็นห่วงโฉมสุรางค์
บันดาสาประคองโฉมสุรางค์ให้นอนบนแท่นหินในมุมลึกสุดของถ้ำอาบโลหิต
“แม่หญิงต้องนอนทำสมาธิบริกรรมคาถาตลอดเวลาที่ข้าทำพิธี ห้ามขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว เพื่อรักษาร่างกายไม่ให้เหี่ยวแห้งมากไปกว่านี้”
โฉมสุรางค์พยักหน้ารับรู้อย่างอ่อนแรง
ไอ้โล้นเดินเข้ามาหา
บันดาสาหันไปถาม “ได้ของที่ข้าสั่งหรือไม่”
ไอ้โล้นชูกรงไม้ไผ่ ใส่หมาดำให้บันดาสาดู
“อยู่นี่”
บันดาสามองอย่างพอใจ
บันดาสาเอาว่านยาให้หมาดำกิน ไกลออกไป โฉมสุรางค์ยังคงนอนอยู่บนแท่นหิน มองตรงมาที่บันดาสากับไอ้โล้นซึ่งกำลังทำพิธีอยู่อีกด้านหนึ่ง แลเห็นภาพที่ผนังถ้ำ เป็นเงาของไอ้โล้นกับหมาดำ
บันดาสาอธิบายให้โฉมสุรางค์รับรู้พีธี
“ข้าจะทำพิธี “จะแกคะโมด” คือการทำให้หมากลายเป็นผีดิบ เป็นวิธีเดียวกับที่ข้าทำกับไอ้โล้น”
ไอ้โล้นใช้มีดสั้นแทงไปที่หัวใจหมาดำ เลือดพุ่งกระฉูด หมาดำล้มลง แล้วพริบตาเดียวก็ลุกขึ้นมากลายเป็นหมาผีดิบ
ไอ้โล้นเดินนำหมาดำออกมา ดวงตาของหมาดำกลายเป็นสีเขียวเข้ม
บันดาสาเอาผ้าคลุมศีรษะของโฉมสุรางค์ให้หมาผีดิบดม สั่งเสียงเหี้ยม
“ไปตามหาหุ่นของแม่หญิงให้พบ”
หมาผีดิบกระโจนออกไป ไอ้โล้นวิ่งตาม
โฉมสุรางค์พนมมือหลับตาบริกรรมคาถา ร่างค่อยๆ เกิดเป็นผลึกเกลือเพชรห่อหุ้มร่างกายไว้
ขณะเดียวกันภายในกระท่อมนายิกี แม่เฒ่านั่งอยู่หน้าแท่นบูชา ที่จุดธูปเทียน วางดอกไม้ เครื่องบูชาไว้เต็ม เบื้องหน้านายิกีมีขันน้ำวางอยู่
“ป่านนี้นังโฉมมันจะเป็นยังไงนะ”
นายิกียิ้มบางๆ ในสีหน้าอย่างมั่นใจว่าจะได้เห็นในสิ่งที่ตนคาดหวังไว้ ก่อนจะท่องคาถาแล้วก้มมองลงไปในขันน้ำ
น้ำในขันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพโฉมสุรางค์ที่กำลังนอนสมาธิอยู่ในถ้ำ โดยมีผลึกเกลือเพชรหุ้มอยู่รอบกาย นายิกียิ้มกว้างขึ้นอย่างสะใจ
“หมดฤทธิ์แล้วล่ะสิ...ผลึกเกลือเพชรนั่นก็ช่วยได้แค่ทำให้ร่างกายของเจ้าเหี่ยวแห้งได้ช้าลงเท่านั้น แต่เจ้าก็ไม่เหลือคาถาอาคมใดๆที่จะมาสู้กับข้าแล้ว”
นายิกีเอาเทียนจุ่มลงในขันน้ำ ภาพในน้ำหายไป
“คงจะถึงเวลาแล้วสินะ ที่ข้าจะกำจัดแกให้สิ้นซากไปซะที...นังแม่มด”
สีหน้าแม่เฒ่าจอมอาคม มั่นใจยิ่งนัก
อ่านต่อตอนที่ 16