อนิลทิตา ตอนที่ 13
ท่ามกลางแสงสลัวยามค่ำคืน เจ้าดาเรศกับเจ้าพงษ์นคร จูงมือกันวิ่งหนีไอ้โล้นเข้ามาในป่าทึบ
“ทางนี้ค่ะเจ้าพี่”
เจ้าพงษ์นครข่มความเจ็บปวดฝืนวิ่งตามไป แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
“น้องดามาที่นี่ได้ยังไง”
เจ้าดาเรศเองก็สงสัยมากที่เห็นเจ้าพงษ์นครที่นี่ แต่ไม่ยอมเสียเวลาหยุด
“เจ้าพี่อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยค่ะ เรารีบหนีออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
ฝ่ายบันดาสาได้ยืนเสียงปืน เดินแกมวิ่งมาที่หน้าถ้ำทำพิธีอาบโลหิตอย่างร้อนใจ เห็นไอ้โล้นพยายามลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโกรธแค้น
“ข้าได้ยินเสียงปืน เกิดอะไรขึ้นไอ้โล้น”
“ข้าโดนยิง”
บันดาสาตกใจ “ใครยิง”
“เจ้าพงษ์” ไอ้โล้นบอกเสียงเข้ม
บันดาสาไม่อยากเชื่อ “เจ้าพงษ์นคร! เป็นไปได้ยังไง”
ไอ้โล้นไม่สนใจบันดาสา คว้าไม้ตะบองจะเดินออกไป
“แกจะไปไหน”
ไอ้โล้นบอกเสียงเหี้ยม “ฆ่ามัน”
บันดาสาร้องห้ามทันที “ไม่ได้นะ”
บันดาสาใจหาย พยายามคิดหาทางสกัดไอ้โล้นไว้
“แกถูกยิง แกต้องรักษาตัว ปล่อยไว้จะเป็นอันตราย”
ไอ้โล้นไม่ฟัง จะไปให้ได้ “ฆ่ามัน”
บันดาสากล่อม “เชื่อข้าเถอะไอ้โล้น สิ่งที่อยู่ในตัวแกมันเป็นอันตรายมากแกต้องไปรักษาตัวก่อน ข้าจะรักษาให้แกเอง”
ไอ้โล้นฮึดฮัดไม่ได้อย่างใจ
เจ้าดาเรศพาเจ้าพงษ์นครมาหยุดอยู่ในที่ๆ คิดว่าปลอดภัยแล้ว ตรงชายป่าท้ายคุ้ม ทั้งสองหอบเหนื่อย เจ้าดาเรศหันไปมองเจ้าพงษ์นครอย่างเป็นห่วงแล้วนึกขึ้นมาได้
“เจ้าพี่หายแล้วใช่มั้ยคะ เจ้าพี่จำทุกอย่างได้แล้วใช่มั้ย”
เจ้าพงษ์นครมองดาเรศอย่างเชื่อมั่น ตัดสินใจเล่าความจริง
“พี่ไม่ได้ความจำเสื่อม แต่พี่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ทุกคนตายใจ...โดยเฉพาะคุณป้า”
เจ้าดาเรศแปลกใจ “เกี่ยวอะไรกับคุณแม่ด้วยคะ”
“เกี่ยวสิ...เพราะคุณป้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่พี่ถูกจับตัวไป”
เจ้าดาเรศตกใจแทบช็อก หน้าเสีย ไม่อยากเชื่อคำพูดของพงษ์นคร
“คุณแม่น่ะเหรอคะ เป็นไปไม่ได้...คุณแม่จะทำอย่างนั้นทำไม”
เจ้าพงษ์นครมั่นใจ “ก็เพราะพี่ไปเห็นถ้ำที่คุณป้าเก็บความลับบางอย่างไว้น่ะสิ พี่ถึงได้ตัดสินใจกลับเข้าไปที่นั่น” ชายหนุ่มบอกอย่างหมายมั่น “พี่ต้องรู้ให้ได้ว่าคุณป้ามีความลับอะไรอยู่ในถ้ำนั้น”
เจ้าดาเรศทั้งทุกข์ใจ ทั้งสับสน ในที่สุดก็ตัดสินพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“งั้นดาจะหาทางเข้าไปในถ้ำกับเจ้าพี่ด้วย ดาก็อยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไรอยู่ในถ้ำ”
เจ้าพงษ์นครพูดห้ามทันที “ไม่ได้นะ ที่นั่นมันอันตรายมาก” ชายหนุ่มนึกขึ้นมาได้ “เพื่อความปลอดภัย พี่ว่าน้องดาเองก็ควรออกมาจากคุ้มเชียงแมนเหมือนกัน”
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าดาหายไป คนก็จะยิ่งสงสัยไปกันใหญ่ เจ้าพี่น่ะแหละที่ต้องรีบหนีไป เพราะโล้นก็ต้องรู้แล้วว่าเจ้าพี่พยายามจะกลับเข้าไปในถ้ำอีก”
เจ้าพงษ์นครกลุ้มใจ
“แต่พี่ไม่อยากปล่อยให้น้องดาอยู่ที่นี่คนเดียว”
“เจ้าพี่ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ที่นี่ดายังมีคุณจักรคอยช่วยอยู่อีกคน...คุณจักรกำลังพยายามสืบเรื่องถ้ำนี้อยู่เหมือนกัน”
เจ้าพงษ์นครแปลกใจ
ฝ่ายบันดาสาใช้คีบในมือ คีบลูกกระสุนออกจากเนื้อตัวไอ้โล้นที่นอนนิ่ง ไม่มีท่าทีเจ็บปวดใดๆ
“ฤทธิ์ของสิ่งนี้มันร้ายนัก ถ้าแกมีเลือดมีเนื้อเหมือนคนอื่น แกก็คงตายไปแล้ว
บันดาสาคีบลูกกระสุนลูกสุดท้ายเสร็จ ไอ้โล้นลุกขึ้น ด้วยความเจ็บแค้นใจ
“ต้องบอกนาย มีคนบุกรุก”
“ไม่ได้นะ”
ไอ้โล้นเสียงแข็ง
“ข้าต้องบอก”
ไอ้โล้นรีบลุกขึ้น เดินหุนหันออกไปทันที บันดาสากลัดกลุ้มใจห่วงเรื่องเจ้าพงษ์นคร
ฟากจักรากลับห้องพักแล้ว ว้าวุ่นใจที่ไม่ได้ไปตามนัดกับเจ้าดาเรศ กดโทรศัพท์หาดาเรศก็ไม่มีคนรับ
“ทำไมคุณดาไม่รับโทรศัพท์”
เสียงไอ้โล้นตะโกนเรียกโฉมสุรางค์ดังขึ้นมา
“นาย...นาย”
จักรารีบเดินไปที่ประตู
จักราแง้มประตูห้องออกมาดู เห็นโฉมสุรางค์รีบร้อนเดินลงบันไดไป จักราเปิดประตูเดินตามไปเงียบๆ
จักราเดินตามออกมาหน้าเรือน เห็นโฉมสุรางค์เดินตรงไปหาไอ้โล้นที่ยืนรอนิ่งอยู่หน้าเรือน จักรารีบตามไปแอบดูใกล้ๆ
“มีอะไร”
“เจ้าพงษ์ไปถ้ำ” ไอ้โล้นเปิดแผลให้ดู “เจ้าพงษ์ยิง”
โฉมสุรางค์ตกใจมาก
“เจ้าพงษ์กลับไปที่ถ้ำเหรอ แล้วมันกลับไปได้ยังไง” พอนึกขึ้นได้สีหน้าเปลี่ยนเป็นแค้น “นี่หมายความว่ามันไม่ได้ความจำเสื่อมน่ะสิ”
พูดจบโฉมสุรางค์ก็เดินออกไปกับไอ้โล้นด้วยความโมโหสุดขีด
จักราแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน กำลังจะเดินตามโฉมสุรางค์ออกไป แต่เหลือบไปเห็นเจ้าดาเรศวิ่งแว้บหายไปอีกทางหนึ่ง ก็ชะงัก
เจ้าดาเรศยืนแอบอยู่ในมุมมืด เหลียวมองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้ ขณะกำลังจะวิ่งกลับขึ้นห้องนอนของตน มือจักราเอื้อมมาดึงแขนเธอไว้ เจ้าดาเรศเกือบจะร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ พอหันไปเห็นเป็นจักราก็โล่งอก
“คุณดาหายไปไหนมาครับ ผมรอคุณอยู่ตั้งนาน”
“ดาตามเจ้าพี่ไปที่ถ้ำค่ะ เจ้าพี่ไม่ได้ความจำเสื่อม”
เจ้าดาเรศอึ้งไปชั่วขณะ นึกสะเทือนใจ ก่อนจะตัดสินใจบอก
“เจ้าพี่บอกว่าคุณแม่เอายาสลายความจำให้เจ้าพี่ทาน เพราะเจ้าพี่ไปเห็นถ้ำที่มีความลับของคุณแม่อยู่ในนั้น...”
จักราตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะร้ายแรงขนาดนี้
เจ้าดาเรศหน้าเศร้าสลดลง ทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง อีกทั้งประหวั่นพรั่นพรึงในการกระทำเรื่องร้ายๆ ต่างๆ ของโฉมสุรางค์
“ดาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จะเป็นฝีมือของคุณแม่ดาจริงๆ”
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 13 (ต่อ)
พอกลับมาที่คุ้ม สองสาวอยู่ในห้องนอนเจ้าดาเรศด้วยกัน
เจ้าดาเรศมองขวดน้ำมนต์ที่ถืออยู่ในมืออย่างลังเล กลุ้มใจ สับสนไปหมด
“ฉันไม่อยากทำอย่างนี้จริงๆ นะกระถิน...ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณแม่จะเป็นแม่มด”
กระถินเผลอพูดออกมาตามความรู้สึก ไม่ทันคิดว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจเจ้า
“แต่มันก็น่าแปลกนะคะเจ้า ทำไมรูปร่างหน้าตาคุณโฉมถึงไม่เปลี่ยนไปซักนิด ยังไงยังงั้น ตั้งแต่กระถินยังเด็กมาจนโตเอาป่านนี้”
เจ้าดาเรศยังพยายามปกป้องโฉมสุรางค์ “ไม่เห็นจะแปลกเลย ผู้หญิงที่ดูแลตัวเองดีๆ ก็ดูสาวกว่าอายุกันทั้งนั้นล่ะ”
กระถินมองเจ้าดาเรศอย่างเข้าใจ และเห็นใจ
“งั้นนี่ ก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าพิสูจน์ความจริงให้คนอื่นเห็นไงคะ”
เจ้าดาเรศอึ้ง นิ่งงันไป เถียงไม่ออก
กระถินเสริมอีกว่า “ถ้าคุณโฉมไม่ได้เป็นแม่มด ถึงจะดื่มน้ำมนต์เข้าไป มันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ทีนี้ก็จะได้ไม่มีใครเข้าใจคุณโฉมผิดๆ อีกไงคะ”
เจ้าดาเรศนิ่งไป ตัดสินใจอย่างหนักหน่วง
ภายในครัวของคุ้มเชียงแมนเวลานั้น จักรากำลังคนซุปในหม้อที่ตั้งอยู่บนเตา มีอ๋อยกับแอ๋วคอยยืนช่วยหยิบโน่นหยิบนี่อยู่ข้างๆ อย่างกระตือรือร้น
“คุณโฉมไม่ค่อยสบาย ผมก็เลยทำซุปไว้ให้ทาน
เจ้าดาเรศถือขวดน้ำมนต์เดินเข้ามาพร้อมกับกระถิน พยายามยิ้มอย่างปกติ ทั้งๆที่จิตใจกระวนกระวายรู้สึกแย่มากๆ ในสิ่งที่ต้องทำ
“คุณแม่คงจะดีใจ แล้วก็ทานได้เยอะแน่ๆเลยค่ะ
จักราหันมายิ้มให้ ตักซุปใส่ถ้วยแล้วมองดาเรศเหมือนรู้กันว่าจะทำอะไรต่อ
กระถินหันไปทางสองสาว “อ๋อยกับแอ๋วรีบไปจัดโต๊ะสิ แล้วก็ขึ้นไปเรียนคุณโฉมให้ลงมาทานเลย เดี๋ยวซุปจะเย็นซะหมด”
“จ้ะ พี่กระถิน” อ๋อยรับคำ
เจ้าดาเรศมองตามอ๋อยกับแอ๋วเดินออกจากห้องครัวไปจนลับสายตา แล้วจึงเทน้ำมนต์ลงไปในถ้วยซุป
โฉมสุรางค์เดินเข้ามาตรงโต๊ะที่อ๋อยกะอ๋วจัดไว้บริเวณระเบียงสวยหลังเรือนติดกับสวน เห็นจักราวางถ้วยซุปลงที่โต๊ะ ก็มองจ้องอย่างซาบซึ้งในความห่วงใยที่จักรามีต่อตน
“คุณจักรคะ”
จักราหันไปมองตามเสียงเรียก ยิ้มทักก่อนจะรีบเดินไปประคองโฉมสุรางค์มานั่ง
“เห็นอ๋อยบอกว่าคุณจักรทำซุปไว้ให้ดิฉัน...”
“ก็ผมอยากให้คุณโฉมทานเยอะๆ นี่ครับ จะได้หายเร็วๆ”
โฉมสุรางค์ยิ้มชื่นใจ “ซุปอะไรคะ หอมจังเลย”
“ซุปทูน่าครับ...ทานเลยนะครับ กำลังร้อนๆจะได้อร่อย”
โฉมสุรางค์หยิบช้อนมาคนซุป จักรามองลุ้นสุดตัว
เจ้าดาเรศกับกระถินแอบดูอยู่ตรงมุมลับตาระเบียงหลังบ้านอย่างตื่นเต้น
เจ้าดาเรศใจคอไม่ดี “กระถินคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณแม่มั้ย”
“ก็...ถ้าคุณโฉมเป็นแม่มดจริงๆ ก็คงจะมีล่ะค่ะ”
“ฉันกลัวจังเลยกระถิน”
กระถินจับมือเจ้าดาเรศไว้เป็นเชิงปลอบใจ
“อย่ากลัวเลยค่ะเจ้า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”
สองสาวมองโฉมสุรางค์ต่างคนต่างลุ้น ใจเต้นแรง
โฉมสุรางค์ตักซุปเข้าปาก จักรามองอย่างใจจดใจจ่อ
โฉมสุรางค์ยิ้มพอใจ “อร่อยจังค่ะ”
“งั้นก็ทานให้หมดเลยสิครับ”
โฉมสุรางค์ตักซุปเข้าปากอีกคำ จักราลืมตัวมองลุ้นระทึกไม่วางตา ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโฉมสุรางค์หรือไม่จน โฉมสุรางค์เอะใจ
“คุณจักรมองดิฉันทำไมคะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
จักราอึกอักยังไม่ทันจะตอบ
โฉมสุรางค์ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ เอามือทาบที่หน้าอก หายใจแรงขึ้น
“โอ๊ย”
จักรามองจ้องโฉมสุรางค์อย่างจับสังเกต
“คุณโฉมเป็นอะไรครับ”
โฉมสุรางค์เหงื่อแตกเต็มหน้า และรู้สึกหนาวจนสั่น ปวดร้าวไปทั้งตัว
“ดิฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ ดิฉันรู้สึกเหมือน...”
โฉมสุรางค์คิดได้ในทันทีว่าต้องกินของที่ลงอาคมเข้าไป เงยหน้าขึ้นมองจักราอย่างโกรธจัด
“คุณจักร คุณเอาอะไรให้ดิฉันกิน”
จักรานิ่งไป
โฉมสุรางค์ผลักจักราอย่างแรงจนเสียหลัก แล้วรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีวิ่งกระเสือกกระสนออกไป
“คุณโฉม คุณโฉมครับ”
จักรากำลังจะวิ่งตามคุณโฉมออกไป
เจ้าดาเรศกับกระถินวิ่งเข้ามา
“คุณจักร...คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมก็ไม่รู้...แต่ที่แน่ๆ คุณโฉมคงจะรู้แล้วล่ะว่ามีอะไรผิดปกติในอาหาร”
กระถินบอก “งั้นเรารีบตามไปดูกันเถอะค่ะ”
สามคนวิ่งตามโฉมสุรางค์ออกไป
โฉมสุรางค์วิ่งกระเซอะกระเซิงเข้ามาในห้องนอน ล็อคประตูด้วยหน้าตาเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และเริ่มปวดร้าวไปทั้งตัว จะเดินไปประตูห้องลับ แต่ยังเดินไม่ทันถึงก็ทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย”
เสียงจักราดังเข้ามา “คุณโฉมเป็นอะไรหรือเปล่าครับ...เปิดประตูให้ผมหน่อย...คุณโฉม”
โฉมสุรางค์มีหน้าตาเจ็บปวดสุดจะประมาณ แต่ไม่ยอมตอบจักรา
สามคนยืนร้อนใจอยู่หน้าห้องนอนโฉมสุรางค์
“คุณแม่จะเป็นอะไรมั้ยคะคุณจักร” เจ้าดาเรศร้อนรนกว่าใคร
จักราลองบิดประตูดูแต่ก็เปิดไม่ได้
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณโฉม”
จักราพยายามหาทางแอบดูอาการโฉมสุรางค์ แต่ไม่มีตรงไหนมองเข้าไปในห้องได้เลย จักราครุ่นคิด แล้ววิ่งออกไป เจ้าดาเรศ และกระถินวิ่งตาม
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 13 (ต่อ)
จักราวิ่งเข้ามาด้านหลังห้องนอนโฉมสุรางค์ เขามองขึ้นไปอย่างพิจารณา พบว่าระเบียงด้านบนของห้อง เป็นกระจกพอที่จะมองเข้าไปในห้องได้ จักรามองหาลู่ทาง แล้วปีนขึ้นไปทันที
เจ้าดาเรศตัดสินใจปีนตามจักราไปอย่างร้อนใจ กระถินมองตามเธออย่างเป็นห่วง
“เจ้า...ระวังตัวด้วยนะคะ”
มองจากนอกห้องเจ้าไปยังด้านใน จักราและดาเรศ เห็นเพียงด้านหลังของโฉมสุรางค์ น้ำมนต์ของแม่เฒ่าออกฤทธิ์ มือของโฉมสุรางค์ค่อยๆ เหี่ยวย่น เธอยกมือขึ้นมองแล้วตกใจ รีบจับที่ใบหน้าตัวเองอย่างหวั่นใจ รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง พอจับไปที่ผม มีเส้นผมสีขาวปอยหนึ่งร่วงติดมือมา โฉมสุรางค์มองอย่างตื่นตะลึง
“ไม่นะ...ไม่”
โฉมสุรางค์พยามฝืนความเจ็บ คลานไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือไขว่คว้าสะเปะสะปะอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนั้น จนข้าวของหล่นกระจาย
โฉมสุรางค์ใช้มือเกาะที่โต๊ะเครื่องแป้งทีละข้าง แล้วค่อยๆ เหนี่ยวโต๊ะ พยุงร่างลุกขึ้นยืนอย่างยากเย็น
เงาสะท้อนปรากฏขึ้นในกระจก โฉมสุรางค์ยังก้มหน้าอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นใบหน้าตัวเองแก่หง่อม ก็กรีดร้องอย่างตกใจ เสียงดังโหยหวน
“ไม่....ไม่จริ๊ง...”
โฉมสุรางค์กรีดร้องอยู่อย่างนั้น มองหน้าตัวเองในกระจกอย่างตื่นตกใจ
ฝ่ายจักรากับเจ้าดาเรศยืนตะลึงมองผ่านกระจกเข้าไปในห้อง
เจ้าดาเรศช็อก พูดกับตัวเองเสียงสั่นด้วยความตกใจ “เป็นไปได้ยังไง
จักราอึ้ง พูดไม่ออก ตกใจไม่แพ้เจ้าดาเรศ
สามคนอยู่ตรงมุมลับตาในสวนคุ้มเชียงแมน เจ้าดาเรศยังช็อกอยู่พูดอะไรไม่ออก
“ดาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณแม่จะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
กระถินฟังแล้วนึกกลัว “งั้นก็แสดงว่าที่แม่เฒ่านายิกีบอกว่าคุณโฉมเป็นแม่มด...ก็เป็นเรื่องจริง”
เจ้าดาเรศทั้งหวาดกลัว ประหวั่นพรั่นพรึงไปสารพัด เมื่อคิดว่าแม่ของตนอาจจะเป็นคนทำสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น
“แล้วเรื่องพิธีอาบเลือดมนุษย์เพื่อให้คงความสาวอยู่ได้ล่ะ...เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
จักรามองเจ้าดาเรศอย่างเห็นใจและเข้าใจ พยายามจะปลอบ
“คุณดาอย่าเพิ่งคิดมากไปเลยนะครับ ถึงยังไงตอนนี้มันก็ยังเป็นแค่ข้อสันนิษฐาน...เราจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริงๆ ก็ต่อเมื่อเราได้เข้าไปดูในถ้ำที่เจ้าพงษ์ถูกจับตัวไปขังไว้ซะก่อน”
ฟากบันดาสากำลังก้มหน้าก้มตาปรุงยาสมุนไพรอยู่หน้ากระท่อม ห่างออกไป โฉมสุรางค์เดินตรงมาหาอย่างเชื่องช้า ใกล้หมดแรงเต็มทน มีผ้าคลุมตัวและศีรษะไว้ โฉมสุรางค์รวบรวมกำลังแล้วร้องออกไปด้วยเสียงแหบโหย
“พี่บันดาสา ช่วยข้าด้วย”
บันดาสาได้ยิน หันไปมองตามเสียง บันดาสาตกใจเมื่อเห็นสภาพของคุณโฉมก่อนจะรีบวิ่งรีบเข้าไปประคอง
“แม่หญิง แม่หญิงเป็นอะไร เหตุใดท่านถึงได้อยู่ในสภาพเยี่ยงนี้”
“มีคนแอบเอาน้ำมนต์มาให้ข้ากิน มันต้องการจะกำจัดข้า” โฉมสุรางค์ร้อนรนใจมาก “พี่ต้องช่วยข้านะ พี่ต้องช่วยข้า”
“แม่หญิงใจเย็นๆ ก่อน ข้าจะพยายามหาทางช่วย แต่ครั้งนี้อาการท่านหนักหนายิ่งนัก แค่นั่งสมาธิอย่างเดียวคงจะไม่สามารถคืนความสาวให้ร่างของแม่หญิงได้”
“พี่ต้องทำพิธีอาบน้ำเลือดสมุนไพรข้า...ข้าไม่มีวันยอมให้สินธุเห็นข้าในสภาพนี้”
บันดาสายืนยันหนักแน่น
“แต่เรายังทำพิธีอาบน้ำเลือดสมุนไพรไม่ได้ การที่มีคนแอบเอาน้ำมนต์มาให้แม่หญิงกิน นั่นแสดงว่าต้องมีใครระแคะระคายเรื่องของเราแล้ว ยิ่งถ้ามีชายฉกรรจ์หายไปอีก เรื่องมันอาจจะสาวมาถึงเราได้”
โฉมสุรางค์ทั้งกลัว และระแวงไปสารพัด
“เพราะเหตุนั้นไงล่ะ ข้าถึงจะต้องกำจัดเจ้าพงษ์นคร” ยิ่งคิดยิ่งกังวล “ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะรู้ความลับอะไรของเราไปบ้าง”
“แต่ถึงอย่างไรแม่หญิงก็จะลงมืออะไรในตอนนี้ไม่ได้ แม่หญิงจะต้องรอให้พลังฟื้นคืนมาให้ได้ซะก่อน...”
โฉมสุรางค์ใจร้อนเป็นไฟ “แล้วข้าจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนล่ะ”
“ก็จนกว่าเราจะหาเหยื่อรายใหม่ที่ไม่มีใครสงสัยได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่แม่หญิงต้องทำก็คือซ่อนตัวอยู่ในเรือนของข้าก่อน...เพื่อความปลอดภัยของแม่หญิงเอง”
โฉมสุรางค์จำต้องยอมจำนน ในสิ่งที่บันดาสาพูด
เมื่อเห็นโฉมสุรางค์ออกไปแล้ว จักรา พร้อมด้วย เจ้าดาเรศ และกระถิน จึงพากันเข้ามาในห้องนอนโฉมสุรางค์ เพื่อหาหลักฐาน
เจ้าดาเรศสงสัยไม่คลาย
“คุณจักรเข้ามาในห้องคุณแม่ทำไมคะ”
“ผมเข้ามาดู เผื่อเราจะพบหลักฐานอะไรอย่างอื่น”
กระถินคิดขึ้นมาได้
“ในห้องนอนคุณโฉมไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่อีกห้องนึงก็ไม่แน่”
“ห้องไหนกระถิน”
กระถิน พาจักรากับเจ้าดาเรศมายืนที่หน้าห้องลับ
“ห้องนี้ไงคะ คุณโฉมเคยบอกว่าเป็นห้องทำสมาธิ”
เจ้าดาเรศยิ่งสงสัย
“ห้องไหนกระถิน ฉันเห็นมีแต่กระจก”
“หลังกระจกนี่แหละค่ะ มีห้องทำสมาธิของคุณโฉมซ่อนอยู่”
จักรากับเจ้าดาเรศสบตากันอย่างแปลกใจ
“ห้องทำสมาธิ ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อน” เจ้าดาเรศยิ่งงง
“แล้วในห้องมีอะไรเหรอกระถิน”
“คุณจักรกับเจ้าเข้าไปดูเองเถอะค่ะ”
กระถินกดกลไกตามที่เคยเห็นโฉมสุรางค์ทำ ประตูกระจกห้องลับเปิดออก จักรากับเจ้าดาเรศนึกไม่ถึงว่าจะมีห้องนี้อยู่จริงๆ
จักรา เจ้าดาเรศ และกระถิน ก้าวเข้ามาในห้องลับในห้องนอนโฉมสุรางค์ บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือก วังเวง และน่ากลัว จักรามองไปรอบๆ ห้องที่มืดสลัวอย่างระแวดระวัง
เจ้าดาเรศมองอย่างสำรวจ และตกใจเมื่อพบว่าบนโต๊ะบูชาของมีเทวรูปและเครื่องบูชาแปลกๆ
“คุณแม่นับถือเทวรูปพวกนี้ด้วยเหรอ”
จักราสำรวจห้อง เห็นรูปวาดอนิลทิตาตั้งอยู่ จักรามองภาพนั้นอย่างตกใจ
“คุณโฉม”
เจ้าดาเรศกับกระถินเดินเข้าไปใกล้จักรา
“คุณแม่ แต่ทำไมใส่ชุดโบราณแบบนี้”
“ใช่ค่ะ แต่สวยดีนะคะ กระถินเห็นแล้วยังอดชมไม่ได้ทุกครั้งเลยค่ะ”
เจ้าดาเรศครุ่นคิด
“คุณแม่คงไม่ได้ใช้ห้องนี้ทำสมาธิอย่างเดียวแน่ๆ”
“แม่เฒ่าคงอธิบายเรื่องนี้ให้เราเข้าใจได้”
จักราหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า ถ่ายรูปโต๊ะหมู่ เทวรูปประหลาด และกดถ่ายภาพวาดอนิลทิตาไว้ด้วย
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 13 (ต่อ)
ตอนบ่ายวันนี้ จักรา และ เจ้าดาเรศ เดินท่าทางร้อนรนเข้ามาที่ล็อบบี้เมาน์เท่นรีสอร์ท รชาเห็นก่อนใคร รีบถามขึ้นทันที
“เป็นยังไงบ้างไอ้จักร” จักราเหลือบตามองเจ้าดาเรศนิดหนึ่งอย่างเป็นห่วงและหนักใจก่อนจะตอบรชา
“คุณโฉมกินน้ำมนต์ของแม่เฒ่าไปแล้วครับ”
ทุกคน นายิกี จักรา เจ้าดาเรศ เจ้าพงษ์นคร และรชา ย้ายมาที่ห้องทำงานรชา
รชาตื่นเต้น ไม่อยากเชื่อ “นี่คุณโฉมกลายเป็นคนแก่ไปแล้วจริงๆ เหรอ”
จักรา และเจ้าดาเรศมองหน้ากัน จักราพยักหน้ารับ
เจ้าพงษ์นครครุ่นคิด “แม่เฒ่าเคยบอกว่าคนที่เป็นแม่มด หลังจากดื่มน้ำมนต์ ร่างก็จะกลับไปสู่สภาพเดิมที่แท้จริง งั้น...ก็หมายความว่าคุณป้า...”
เจ้าพงษ์นครหันไปมองหน้าเจ้าดาเรศอย่างเห็นใจ เจ้าดาเรศถอนใจใหญ่เป็นทุกข์ใหญ่หลวง
นายิกีมั่นใจ “นังโฉมมันต้องเป็นแม่มดแน่ๆ แต่ที่เราเห็นว่ามันยังสาวยังสวย...ก็เพราะมันใช้วิธีอาบเลือดตามที่ข้าเคยบอก”
จักราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งให้นายิกี เจ้าพงษ์นคร กับ รชาดู
“ผมแอบเข้าไปในห้องคุณโฉมแล้วถ่ายรูปมาด้วยครับ”
ที่หน้าจอโทรศัพท์ เป็นรูปเทวรูป และเครื่องไหว้เครื่องบูชาแปลกๆ
นายิกีดูแล้วยิ่งมั่นใจ “ของพวกนี้เป็นเครื่องบูชาของพวกที่ศึกษามนต์ดำ...”
รูปที่หน้าจอโทรศัพท์เปลี่ยนเป็นภาพวาดอนิลทิตา
นายิกีมองแล้วชะงัก “นังอนิลทิตา...ใช่มันจริงๆ ด้วย”
เจ้าดาเรศท้วง “แต่นี่มันรูปคุณแม่นะคะ”
“ก็แม่เจ้านี่ล่ะคือนังแม่มดอนิลทิตา...มันเคยปรากฏตัวในชุดแบบนี้ตอนที่ต่อสู้กับข้า”
นายิกีดูภาพโฉมสุรางค์ในโทรศัพท์อีกครั้ง
“นังโฉมมันคงใช้วิธีถอดจิตไปไว้ในภาพ และใช้ร่างในภาพออกไปฆ่าทุกคนรวมทั้งนังหนูระจิตกับเจ้าสุรเดช...น้องชายของแกด้วย”
จักราอึ้งไป สีหน้าดูออกว่าลำบากใจหนัก
รถของจักราเคลื่อนมาจอดที่หน้าเรือนใหญ่ คุ้มเชียงแมนในตอนเย็น จักราลงจากรถด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เจ้าดาเรศลงรถตามมา มองจักราอย่างเคร่งเครียด ท่าทางกระอักกระอ่วน ก่อนจะตัดสินใจถามจักราตรงๆ
“ในเมื่อคุณจักรก็แน่ใจแล้ว...” เธอไม่อยากจะพูด “ว่าแม่ดาฆ่าน้องคุณ...แล้วคุณจะทำยังไงต่อไปคะ”
จักราทำอะไรไม่ถูก ทั้งเจ็บปวดเรื่องที่น้องชายถูกโฉมสุรางค์ฆ่า อีกทั้งเป็นห่วงความรู้สึกเจ้าดาเรศ
“อย่าเพิ่งให้ผมตอบตอนนี้เลยนะครับ ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
เจ้าดาเรศมองจักราอย่างเข้าใจ แต่ก่อนจะพูดอะไรออกมา ก็เห็นกระถินเดินแกมวิ่งออกมาหาอย่างเป็นกังวล
“เจ้าคะ”
“มีอะไรเหรอกระถิน”
“คุณโฉมหายไปตั้งแต่เช้า ป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
คืนนั้นโฉมสุรางค์กับบันดาสานั่งสมาธิประสานมือกันอยู่ในกระท่อมท้ายคุ้ม บันดาสารวบรวมพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ พยายามจะถ่ายทอดพลังให้ผู้เป็นนาย จนกระทั่งบันดาสาหมดแรงฟุบลงไป
ในขณะที่ผมเผ้าของโฉมสุรางค์ก็ยังขาวโพลนและร่างกายเหี่ยวย่นเหมือนเดิม
โฉมสุรางค์ตกใจ “พี่บันดาสา พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”
บันดาสาหอบ เหนื่อยล้าเต็มกำลัง “พี่ไม่ไหวแล้ว พลังจิตของพี่ไม่เข้มแข็งพอที่จะเยียวยาให้แม่หญิง อีกอย่าง ร่างกายของแม่หญิงบอบช้ำเกินไป”
โฉมสุรางค์พูดขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว “ที่ข้าต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะลูกพี่”
บันดาสาโต้ “แต่พี่ไม่เชื่อว่าเจ้าดาเรศจะคิดร้ายต่อแม่หญิงได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ข้าบอกพี่แล้วไงว่าลูกพี่รักผัวข้า...และมันก็ต้องการจะแย่งสินธุไปจากข้า”
ดวงตาโฉมสุรางค์วาวโรจน์อย่างเจ็บแค้น
“คราวที่แล้วก็ต้องเป็นมันนี่ล่ะ ที่เอาน้ำมนต์ให้สินธุกิน”
บันดาสาเห็นสีหน้าและแววตาของโฉมสุรางค์ก็นึกห่วงลูกขึ้นมาจับใจ พยายามพูดปกป้อง
“ครั้งนี้คงไม่ใช่เจ้าหรอกแม่หญิง...แม่หญิงก็บอกพี่เองว่าสินธุเป็นคนทำอาหารมื้อนั้นให้แม่หญิงกิน”
โฉมสุรางค์เถียงอย่างมั่นใจ “แต่ข้าแน่ใจว่าสินธุไม่มีวันทำร้ายข้า” ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “เจ้าดาเรศน่ะแหละที่เป็นคนแอบเอาน้ำมนต์ใส่มาในอาหารที่สินธุทำให้ข้า”
บันดาสาโต้ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าดาเรศรับรู้มาตลอดว่าแม่หญิงคือแม่บังเกิดเกล้าของเธอ เจ้าไม่มีวันจะทำร้ายแม่ของตัวเองได้”
“พี่ไม่ต้องมาแก้ตัวแทน ครั้งแรกที่ข้ายอมละเว้นให้มันก็เพราะเห็นแก่พี่” โฉมสุรางค์ขู่อาฆาต “แต่ครั้งนี้ข้าคงปล่อยมันไว้ไม่ได้แล้ว...ถ้าข้าหายดีเมื่อไหร่ล่ะก็ ข้าจะจัดการกับมันทันที”
บันดาสา เครียดหนัก เป็นกังวลและห่วงลูกสาวเหลือเกิน
อ่านต่อตอนที่ 14