อนิลทิตา ตอนที่ 5
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงนั้นปลุกโฉมสุรางค์ที่นอนอยู่บนเตียงให้ลืมตาตื่นจากฝันหวาน โฉมสุรางค์นิ่งคิดสักพัก จึงรู้ตัวและให้รู้สึกเสียดายนักว่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงความฝันเท่านั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ตามด้วยเสียงเจ้าดาเรศ
“ดาเองค่ะคุณแม่”
โฉมสุรางค์หงุดหงิดทันที ลุกขึ้นด้วยความรู้สึกขัดใจเป็นอย่างยิ่ง
“เข้ามาได้”
เจ้าดาเรศเปิดประตูเข้ามา โฉมสุรางค์ถามเสียงขุ่น
“มีอะไรรึดาเรศ”
“ดาจะมาชวนคุณแม่ไปทำบุญให้เจ้าพ่อที่วัดพรุ่งนี้น่ะค่ะ”
“ที่วัดรึ” โฉมสุรางค์ไม่อยากเข้าวัด อึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกปฏิเสธ “เอ่อ...แม่ไม่ว่าง ลูกไปเถอะ”
เจ้าดาเรศเสียงอ่อยๆ “ค่ะ คุณแม่”
“วันนี้แม่เหนื่อย อยากพักผ่อน”
“งั้นดาไม่กวนแล้วค่ะ ฝันดีนะคะ”
เจ้าดาเรศจ๋อยสนิทเดินออกมาจากห้องไป รู้สึกน้อยใจว่าทำอะไรก็ไม่ถูกใจแม่
เจ้าดาเรศเดินกลับไปที่หน้าห้องนอนตัวเอง ทำท่าจะเปิดประตูเข้าห้องตัวเอง แต่เกิดเปลี่ยนใจ ปิดประตูลง เดินออกมานั่งคนเดียวที่ระเบียงบันได ในมุมมืดพอดี เจ้าดาเรศนั่งมองดวงดาวอยู่ที่ระเบียงนั้น ใจลอยไปไกล
สักครู่ใหญ่ๆ เจ้าดาเรศได้ยินเสียงเปิดประตู จึงดึงสติกลับมา มองหาที่มาของเสียง จนเห็นโฉมสุรางค์เดินออกมาจากห้อง งับประตูปิดลงอย่างเบามือที่สุด พร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น จากนั้นก็รีบลงจากเรือน เดินหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
เจ้าดาเรศมองออกมาจากในมุมมืด เห็นทุกอย่าง เธอมองตามท่าทีลุกลี้ลุกลนของโฉมสุรางค์ ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
เจ้าดาเรศตัดสินใจแอบเดินตามไปอย่างเงียบๆ โดยที่โฉมสุรางค์ไม่รู้ตัว
เจ้าดาเรศเดินตามมาโดยไม่รู้ทิศทาง อยู่ดีๆ โฉมสุรางค์ก็หายตัวไป ครั้นพอเหลียวมองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ความมืด เจ้าดาเรศรู้สึกหวาดกลัวโดยประหลาด
เจ้าดาเรศพยายามตั้งสติ มองไปรอบๆ อีกครั้ง จนมองเห็นแสงไฟริบหรี่ๆ ลอดมาจากข้างหน้า จึงตัดสินใจเดินไปทางนั้น เดินไปสักพักก็เห็นกระท่อมหลังหนึ่ง ดำตะคุ่มๆ อยู่ในความมืด มีแสงไฟส่องออกมา เจ้าดาเรศจดเท้าวเดินตรงไปที่กระท่อมทันที
อนิลทิตา ในคราบโฉมสุรางค์ร้อนใจ มาปรึกษาบันดาสาให้ช่วยเรื่องสินธุอีกครั้ง
“พี่บันดาสา ข้าจะทำยังไงให้สินธุกลับมารักข้าเหมือนเดิม”
“แม่หญิงต้องใช้เวลา ค่อยๆทำให้เขารัก ข้าเชื่อว่าเขามีจิตผูกพันกับท่านมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ในชาตินี้เขาคงรักท่านได้ไม่ยาก”
โฉมสุรางค์บอก “ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว ข้ารู้พี่ต้องมีวิธีช่วยข้า”
บันดาสานิ่งคิด “ข้ามีมนตรา มหาพิศวาส ทำให้จดจำความผูกพันจากชาติปางก่อนได้ แต่แม่หญิงต้องบำเพ็ญตบะสองชั่วยาม ห้ามออกจากตบะเด็ดขาด แม่หญิงจงท่องคาถานี้”
โฉมสุรางค์นั่งเข้าสู่สมาธิ ท่องมนตรา บำเพ็ญตะบะตามที่บันดาสาสอน
ส่วนนอกกระท่อมตอนนี้ เจ้าดาเรศค่อยๆ ย่องขึ้นมาบนเรือนบันดาสา เธอค่อยๆ เดิน ไม่ให้เกิดเสียงดัง สายตาเจ้าดาเรศมัวแต่มองไปที่ประตูกระท่อม ไม่ได้ดูทาง จึงสะดุดกระบอกไม้ไผ่ล้ม
บันดาสาได้ยินเสียง รู้ว่ามีคนมาแอบดูแน่ เหลียวมองดูโฉมสุรางค์ที่บำเพ็ญตบะอย่างเป็นกังวล กลัวใครมาทำลายตบะผู้เป็นนาย จึงหยิบกริชที่แท่นบูชา แล้วเดินย่องออกไปที่ประตู
ที่นอกกระท่อมเจ้าดาเรศเดินตรงไปยังหน้าประตู ยกมือจะเคาะ แต่เกิดลังเล ชักมือกลับ
บันดาสาประตูเปิดผลัวะออกมาพอดี เจ้าดาเรศตะลึง เห็นยายแก่หน้าตาน่ากลัว แถมถือกริชในมืออยู่ตรงหน้า
ก่อนที่เจ้าดาเรศจะร้องกรี๊ด บันดาสารีบเอามือปิดปากทันควัน เพราะกลัวโฉมสุรางค์จะตบะแตก แต่เจ้ากลับยิ่งตกใจกลัว ด้วยคิดว่าบันดาสาจะฆ่าตัวเอง
บันดาสามองเจ้าดาเรศชัดๆ แล้วจำลูกได้ รีบทิ้งกริชลง เอามือนั้นจับข้อมือเจ้าดาเรศไว้ เจ้าดาเรศตกใจที่โดนจับและโดนปิดปาก ดิ้นหนีสุดชีวิต บันดาสาเห็นเจ้าดาเรศตื่นกลัวมาก จึงคลายมือ เจ้าดาเรศฉวยโอกาสวิ่งหนีไป
บันดาสาเสียใจร่ำไห้ น้ำตาไหลรินที่ลูกกลัวตนขนาดนี้ ยกมือมากุมหน้าครวญคร่ำเบาๆ
“ลูกแม่”
บันดาสารทรุดตัวลง ปิดปากร้องไห้เงียบๆ อยู่หน้าประตูกระท่อมนั่นเอง
ฝ่ายเจ้าดาเรศขวัญกระเจิงวิ่งหนีมาด้วยความตกใจกลัวสุดขีด เหลียวหน้าเหลียวหลัง หันกลับไปมองหลังว่าหญิงแก่คนนั้นจะตามมาหรือเปล่า ระหว่างที่หันไปมองนี้เอง เจ้าดาเรศชนกับใครคนหนึ่งล้มกลิ้งไป เจ้าดาเรศรีบลุกขึ้นมาจะวิ่งหนีต่อ
“เจ้าคะ นี่กระถินเอง” ที่แท้เป็นกระถิน เธอจับตัวเจ้าดาเรศ เรียกสติ
เจ้าดาเรศตั้งสติได้ เพ่งมอง “กระถินเหรอ”
“เจ้าหนีอะไรมาคะ” กระถินตกใจในท่าทีของผู้เป็นนาย
กระถินพาเจ้าดาเรศกลับขึ้นมาบนเรือนใหญ่ ทั้งสองนั่งอยู่ตรงระเบียงห้องนอน ท่าทางเจ้าดาเรศยังตกใจไม่หาย กระถินสำรวจดูตามร่างกายว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนไหม
“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
“ฉันไม่เป็นไร” เจ้าดาเรศยังตกใจและงงกับเหตุการณ์เมื่อกี้อยู่
“เจ้าไปเจออะไรมา ถึงตกใจขนาดนี้”
“ฉันเดินตามคุณแม่ไปในป่าท้ายสวน แต่คุณแม่เดินหายไป ฉันเลยหลงทาง เดินไปเจอกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่ง ฉันแอบขึ้นไปดู เจอยายแก่คนหนึ่งถือมีดรึอะไรสักอย่าง ยายแก่คนนั้นจับมือฉันไว้ ฉันสะบัดหลุดหนีออกมาได้นี่แหละ”
“โชคดีนะคะที่เจ้าไม่เป็นอะไร แต่เอ...ยายแก่นั่นเป็นใครกัน กระถินไม่เคยรู้ว่ามีกระท่อมยายแก่อยู่แถวๆคุ้มด้วย”
“มีจริงๆ นะกระถิน ตรงชายป่าโน่น ยายแก่คนนั้นเป็นคนที่เคยแอบดูฉันเมื่อครั้งก่อน เขาเหมือนจะรู้จักฉันด้วย”
กระถินนิ่งคิดแต่ก็คิดไม่ออกด้วยคนรุ่นใหม่ๆ ในคุ้มไม่มีใครรู้เรื่องบันดาสา
“ยายแก่ที่รู้จักเจ้าหรือคะ ใครกัน นึกไม่ออก”
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเขาเป็นใคร”
นัยน์ตาเจ้าดาเรศเป็นประกาย มุ่งมั่นมาดหมายยิ่งนัก ที่จะสืบค้น หาความจริงเรื่องลับเร้นนี้
เช้าวันนี้ โฉมสุรางค์นั่งรับประทานอาหารอยู่กับเจ้าดาเรศ มีกระถินคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ เจ้าดาเรศมองหน้าแม่จะถามแต่ก็ลังเล เหลียวมองหน้ากระถินเป็นเชิงหารือ กระถินสบตาเจ้าดาเรศ ส่งสายตาให้กำลังใจ เจ้าดาเรศตัดสินใจถาม
“เมื่อคืน...คุณแม่ ไปไหนมาหรือคะ” น้ำเสียงเจ้าดาราศเกรงใจ แต่ก็อยากรู้
โฉมสุรางค์สะดุ้ง ตกใจ “นี่ตามแม่ไปเหรอ ดาเรศ” พลางถามอย่างร้อนรน “เธอตามแม่ไปถึงไหน”
“คือ...ดาเห็นคุณแม่เดินไปคนเดียว ดาเป็นห่วง เลยตามไปจนถึงเจอกระท่อมหลังนึง”
โฉมสุรางค์ยิ่งตกใจมากขึ้น “แล้วเห็นอะไร แค่ไหน”
“ดาเจอคุณยายหน้าตาน่ากลัวคนนึงคะ ดาตกใจเลยวิ่งหนีออกมา เอ่อ คุณยายคนนั้นเขาเป็นใครหรือคะคุณแม่”
โฉมสุรางค์โล่งอกที่เจ้าดาเรศไม่เห็นอะไรมาก
“คนเก่าคนแก่น่ะ ทำอะไรไม่ไหวแล้ว ก็เลยเอาเลี้ยงไว้”
“แล้วทำไมให้คุณยายไปอยู่ที่กระท่อมคนเดียวละคะ”
โฉมสุรางค์ตัดบท “แกชอบของแกอย่างนั้น” ทำเป็นดุกลบเกลื่อน “เราก็อย่าเที่ยวเดินไปไหนค่ำๆ มืดๆ อีก เดี๋ยวงูเงี้ยวกัดเอาจะยุ่ง เข้าใจไหม”
“ค่ะ คุณแม่” เจ้าดาเรศจ๋อย
โฉมสุรางค์รวบช้อน ลุกขึ้น เดินออกไปเลย เจ้าดาเรศมองตาม ทั้งสงสัยและไม่เข้าใจ
กระถินมองเจ้าดาเรศอย่างเห็นใจและยิ้มให้กำลังใจ
เจ้าดาเรศบ่นกับกระถินที่ศาลาพักร้อนในสวนสวย
“คุณแม่ห้ามไม่ให้ฉันไปยุ่งกับคุณยาย แต่ตัวเองกลับไปทำไมล่ะ กระถิน” เจ้าดาเรศปรารภขึ้นด้วยความสงสัย
กระถินคิดปราดเดียว “นั่นสิคะ คุณโฉมบอกว่าคนเก่าคนแก่ กระถินอยู่ที่นี่มาหลายปี ไม่ยักรู้จัก”
“คุณยายคนนั้นเคยมาแอบดูฉัน ท่าทางเขาเหมือนรู้จักฉันด้วย ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่”
“เราก็ไปดูให้รู้เลยสิคะเจ้า” กระถินนึกสนุก “เอาไว้ตอนที่คุณโฉมไม่อยู่ เราแอบไปกันค่ะ”
สองสาวยิ้มให้กันอย่างหมายมั่น
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 5 (ต่อ)
เช้าวันเดียวกันนี้ จักรา รชา และระจิต นั่งปรึกษากันเรื่องอนิลทิตา และ คุ้มเชียงแมนอยู่ตรงระเบียงบ้านพักในรีสอร์ท
“ผมลองเลียบเคียงถามฝ่ายบุคคลที่ไร่ชาดูแล้ว ดูท่าจะไม่รู้จักคนชื่อ อนิลทิตา เลย” จักราเอ่ยขึ้น
“แหม ชื่ออลังการขนาดนี้ มันไม่ใช่คนงานในไร่อยู่แล้ว ฉันว่า ถ้าจะมี ก็ต้องเป็นญาติยัยคุณโฉมสุรางค์” รชาว่า
“อนิลทิตา... ชื่อประหลาด ฟังดูเก่าๆ โบราณๆ ยังไงก็ไม่รู้” ระจิตนึกได้ “อาจจะเป็นพวกเจ้าสาย ณ เชียงแมนก็ได้นี่คะ”
“จริงสิ” จักรามีหวัง “ผมจะลองไปสืบทางคุณดาดู ว่าเขามีญาติชื่ออนิลทิตาบ้างหรือเปล่า”
“งั้นพี่ไปจะสืบจากคนในคุ้มช่วยอีกแรง ช่วยกัน” รชาบอก
“จิตช่วยด้วยคนค่ะ ถ้ายัยอนิลทิตานี่มีตัวตนจริง เราต้องหาเจอจนได้แน่ๆ”
ทุกคนยิ้มให้กัน สีหน้าดูมีความหวังขึ้นมา
เจ้าดาเรศรับโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน
“สวัสดีค่ะ”
เป็นจักราที่โทรศัพท์มาหาเธอ จากห้องพักที่รีสอร์ท
“คุณดาเหรอครับ เที่ยงนี้ว่างไหมครับ”
เจ้าดาเรศตอบเสียงใส “ว่างค่ะ คุณจักรมีอะไรให้ดาช่วยหรือคะ”
“ผมจะเลี้ยงข้าวฉลองที่ผมได้งาน อย่างที่บอกคุณดาไว้ไงครับ”
“เอ่อ...” เจ้าดาเรศลังเล คิดถึงเรื่องที่แม่ห้าม ไม่รู้จะเอาไงดี เลยเงียบไป
“นะครับคุณดา ถ้าคุณดาไม่รังเกียจ แค่ท่านข้าวเอง”
เจ้าดาเรศตัดสินใจรับปาก กลัวเสียมารยาท “ก็ได้ค่ะ คุณจักร”
จักรายิ้มดีใจ “ผมไปรับที่คุ้มตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งนะครับ”
“ค่ะ” เจ้าดาเรศนึกได้ กลัวโฉมสุรางค์เห็นเข้าเลยรีบบอกว่า “อุ๊ย คุณจักรไม่ต้องเข้ามาที่คุ้มดีกว่าค่ะเดี๋ยวดาไปพบที่ร้านอาหารเอง...ค่ะ เจอกันค่ะ”
เจ้าดาเรศวางสาย ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
เหนือประตูทางเข้าคุ้มเชียงแมน มีป้ายบอกชื่อ “คุ้มเชียงแมน” เด่นหรา แขวนอยู่ มันทำด้วยแผ่นไม้สลักสวยงาม เข้มขลัง ประตูคุ้มเปิดออก เจ้าดาเรศออกมากับกระถิน
“ไม่ให้รถที่คุ้มไปส่งล่ะคะ เจ้า”
“อย่าเลย เดี๋ยวคุณแม่รู้ ฉันจะโดนว่า”
กระถินยิ้ม ล้อขำๆ “รักแท้นี่อุปสรรคเยอะจริงๆ”
เจ้าดาเรศเขิน ตีแขนกระถิน “พูดดีๆ ความรักอะไร เขาจะเลี้ยงขอบคุณฉันเฉยๆ ไปล่ะ”
รถสองแถวประจำทางจอดหน้าคุ้ม เจ้าดาเรศวิ่งขึ้นไปทันที รถเคลื่อนตัวออกไป กระถินยิ้มขำ จะเดินกลับ ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากด้านหลัง จึงเหลียวมองไป เธอเห็นรชาใส่แว่นดำขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่มาจอดตรงหน้ากระถินพอดี รชาถอดแว่น ยิ้มหล่อทัก กระถินค้อน
“แผลฉันเพิ่งหาย จะมาชนฉันใหม่อีกรอบหรือไง คุณ”
“ผมมาเยี่ยมดีๆ แท้ๆ มาหาความกันได้”
รชารูดซิบแจ๊คเก็ต หยิบช่อดอกไม้ที่ซ่อนไว้มามอบให้
“สำหรับคุณครับ คุณกระถิน”
กระถินหมั่นไส้ แต่ก็รับมา แอบอมยิ้ม “รู้ชื่อฉันได้ยังไง คุณ...”
“ผมชื่อรชาครับ ขี่รถมาตั้งไกล” รชากระแอม “หิวน้ำจัง”
กระถินค้อนขวับ
มุมหนึ่งในสวนคุ้มเชียงแมน รชานั่งรออยู่บริเวณนั้น เขามองสำรวจคุ้มเชียงแมนเป็นการเก็บข้อมูล สักครู่กระถินนำน้ำเย็นมาวางตรงหน้า
“อ้ะ รีบกินแล้วก็รีบไป”
“โห คนในคุ้มนี่โหดเหมือนคุณทุกคนหรือเปล่านี่” รชาตัดพ้อ
“อย่ามาหลอกด่าฉันหน่อยเลย” กระถินเท้าสะเอว “คุณรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
“ก็สติ๊กเกอร์ที่แปะท้ายรถวันนั้นไง ไม่เห็นจะยาก เอ่อ แผลคุณดีขึ้นแล้วยัง” รชาถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ
กระถินปลื้มนิดๆ “ดีขึ้นแล้ว” เธอมองซ้ายมองขวา กลัวโฉมสุรางค์มาเห็น “คุณกินน้ำเสร็จก็กลับไปได้แล้ว ฉันยังมีงานต้องทำอีกเยอะ”
รชาได้โอกาสหลอกถาม
“เจ้านายคุณดุมากนักเหรอ...คุณอนิลทิตาน่ะ”
“อนิลทิตาไหน” กระถินงงมาก
“ก็...อนิลทิตา เจ้านายคุณไง เขาอยู่ในคุ้มนี้น่”
“เจ้านายฉัน เจ้าของคุ้มนี้ เขาชื่อคุณโฉมสุรางค์ต่างหาก”
รชาทำเนียน “อ้าว แล้วคนชื่ออนิลทิตาเขาเป็นใครล่ะครับผมเคยได้ยินว่าเขาอยู่ในคุ้มนี้”
“ไม่มี คุณไปเอามาจากไหน ฉันเกิดมาไม่เคยได้ยิน”
กระถินจ้องหน้ารชา ชักสงสัยว่ามาเขาสืบอะไรหรือเปล่า รชารีบตัดบทกลบเกลื่อน
“โอเคๆ ไม่มีก็ไม่มี คุณไม่ต้องทำตาดุอย่างนั้นหรอกน่ะแค่นี้ผมก็กลัวจะตายแล้ว”
กระถินค้อนควักรชา แต่แววตายิ้มชอบใจ
ฝ่ายโฉมสุรางค์กังวลหนัก จึงรีบแวะมาหาบันดาสาที่กระท่อมท้ายคุ้ม เพื่อสอบถามเรื่องที่เจ้าดาเรศแอบตามมาจนเจอบันดาสาเมื่อคืนนี้
“ดาเรศเห็นพี่บันดาสาแล้ว ต่อไปก็ระวังตัวหน่อยนะพี่”
“เอ่อ...แม่หญิง ไหนๆลูกก็เห็นข้าแล้ว ข้าขอเจอลูกอีกสักครั้งได้ไหมแม่หญิง”
คุณโฉมมองบันดาสา สงสาร แต่ต้องทำใจแข็ง
คุณโฉมอย่าเลยพี่ ดาเรศยิ่งช่างซักช่างถามอยู่ ฉันไม่อยากให้เขารู้อะไรไปมากกว่านี้ เดี๋ยวจะมาวุ่นวายเรื่องความลับของเรา
“เจ้าค่ะ แม่หญิง”
บันดาสาหน้าเศร้าสลดเห็นถนัดตา แต่ก็ยอมรับ โฉมสุรางค์มองบันดาสาอย่างเห็นใจ
“รอหน่อยนะ พี่บันดาสา ถ้าฉันกับสินธุได้ครองคู่กันฉันอาจจะหาทางให้พี่ได้อยู่กับดาเรศ”
บันดาสายิ้ม มีความหวัง
โฉมสุรางกลับขึ้นเรือน และตรงเข้าห้องลับนั่งสมาธิอยู่ตรงหน้าเจ้าแม่กาลี ข้างหน้ามีขันเงินใบเขื่อง ใส่น้ำค่อนขัน โฉมสุรางค์หลับตาท่องมนต์ มีควันขาวลอยพวยพุ่งขึ้นมาจากขันนั้น โฉมสุรางค์ลืมตา จดสายตาจ้องไปที่ขัน ควันจางหายไป
“ตอนนี้สินธุ ทำอะไรอยู่นะ” โฉมสุรางค์เยื้อนยิ้ม ด้วยความคิดถึง
โฉมสุรางค์เห็นภาพเหตุการณ์ในขัน เป็นภาพจักราเปิดประตูรถจี๊ปก้าวลงมา โฉมสุรางค์ยิ้มชื่น แต่แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง แววตาไม่พอใจทันที
จักราเดินไปที่หน้าร้านอาหาร เจ้าดาเรศเดินมาเจอ ทั้งสองเดินเข้าร้านไปด้วยกัน
โฉมสุรางค์เปิดประตูออกมาทันที หน้าตาโกรธจัด กระถินเดินมาเจอ
“คุณโฉมจะไปไหนคะ”
“กระถิน ไปบอกนายชดให้เตรียมรถ ฉันจะไปธุระข้างนอก เดี๋ยวนี้”
จักรากับเจ้าดาเรศนั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะตรงมุมสวยของร้าน จักราพยายามชวนคุยเลียบเคียงถาม
“คุณดาอยู่อังกฤษมาตลอดเลยหรือครับ”
“ดาไปอยู่ตั้งแต่หกขวบน่ะค่ะ พอคุณพ่อเสีย คุณย่าก็เลยพาดาไปอยู่อังกฤษด้วย”
“ผมเสียใจด้วยนะครับ”
“เรื่องมันนานแล้วค่ะ พอเรียนจบ ดาก็กลับมาอยู่กับคุณแม่”
จักราเข้าเรื่อง “คุณดารู้จักใครในคุ้มที่ชื่ออนิลทิตาไหมครับ”
“อนิลทิตาหรือคะ” เจ้าดาเรศนิ่งคิด “เอ ไม่มีนะคะ แต่ดาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานแล้วนะคะ อาจจะรู้จักคนไม่ทั่ว คุณจักรไม่ลองถามคุณแม่ดูละคะ”
โฉมสุรางค์เดินเข้ามาในร้านอาหาร หยุดยืนตรงประตู มองหาจักรากับเจ้าดาเรศ เมื่อเห็นจึงเดินตรงไปหาทันที
โฉมสุรางค์เรียกเสียงเข้ม “คุณจักร ยายดา”
“คุณแม่” เจ้าดาเรศตกใจ
จักราไม่รู้เรื่องที่โฉมสุรางค์สั่งห้ามเจอกัน เลยยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับคุณโฉม”
โฉมสุรางค์ยิ้มให้จักรา
“สวัสดีค่ะ ฉันนึกไม่ถึงว่าจะเจอคุณที่นี่” โฉมสุรางค์หันไปพูดกับดาเรศ แสร้งทำเสียงหวาน “ดาเรศ ออกมาจากคุ้มก็ไม่บอก แม่ตามหาตั้งนาน”
เจ้าดาเรศหวั่นเกรง “คุณแม่ตามหาดาทำไมหรือคะ”
“มีธุระสำคัญจ๊ะ” โฉมสุรางค์จับข้อมือดาเรศดึงไป “ไปกับแม่หน่อย” แล้วหันมายิ้มให้จักรา “ฉันต้องขอตัวยายดาไปก่อนนะคะ”
โฉมสุรางค์จูงเจ้าดาเรศออกไป ทิ้งให้จักรามองอย่างประหลาดใจ
ที่ลานจอดรถตอนนี้ โฉมสุรางค์ยืนต่อว่าเจ้าดาเรศน้ำเสียงขุ่น
“แม่บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปยุ่งกับเขา”
“คือคุณจักรเขาเลี้ยงฉลองที่ได้เขาได้งานที่คุ้มน่ะค่ะ ดาไม่กล้าปฏิเสธ กลัวเขาเสียน้ำใจ”
“ทั้งที่มันขัดคำสั่งแม่นี่นะ” โฉมสุรางค์ดุ
เจ้าดาเรศเถียงเสียงอ่อน “ดาก็ไม่เห็นว่ามันเสียหายอะไรนี่คะ”
“อย่าเถียง แม่สั่งอะไร ให้ทำตาม เข้าใจไหม”
“ค่ะ คุณแม่”
โฉมสุรางค์พาเจ้าดาเรศขึ้นรถ แล้วขับกลับไปเลย
ที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยในเชียงรายเวลานี้ ระจิตนั่งค้นสารบัญข้อมูลหนังสือที่จอคอมพิวเตอร์ เสิร์ชชื่อ คุ้มเชียงแมน คอมพิวเตอร์ขึ้นชื่อหนังสือมาเล่มเดียว คือ หนังสืออนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ เจ้าพงษ์สุริยัน ณ เชียงแมน
“เจ้าพงษ์สุริยัน ณ เชียงแมน”
ระจิตเดินไปหยิบหนังสือในชั้นที่ระบุมานั่งเปิดอ่าน
“เจ้าก่อวงศ์ ณ เชียงแมน เป็นผู้สร้างคุ้มเชียงแมน”
ระจิตพลิกต่อไป เป็นหน้าที่ระบุชื่อคนในตระกูลเชียงแมน
“รายชื่อคนในตระกูล ณ เชียงแมน” ระจิตไล่นิ้วชี้ไปตามรายชื่อในหนังสือ “อนิลทิตา อนิลทิตา...ไม่เห็นมีในตระกูล ณ เชียงแมนเลย เธอเป็นใครกันนะ ลึกลับจริงๆ” หญิงสาวออกอาการหงุดหงิดนิดๆ
เมื่อหาชื่อ อนิลทิตา ไม่เจอ ระจิตเลยเปิดดูหนังสือไปจนจบ สะดุดตากับรูปหนึ่งในหนังสือ เป็นรูปคู่บ่าวสาวในชุดแต่งงานในพิธีล้านนาสุดอลังการ ระจิตจ้องรูปเจ้าสาวที่ทั้งสวยทั้งสง่า
ระจิตเลื่อนสายตาดูที่ใต้ภาพ เขียนบรรยายว่า พิธีมงคลสมรส เจ้าพงษ์สุริยัน และ โฉมสุรางค์ ณ เชียงแมน
“นี่เอง คุณโฉมสุรางค์ นายจ้างพี่จักร...สวยจริงๆ” ระจิตดูวันที่ “ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนี้คงแก่หงำเหงือกแล้วมั้ง เอาไปให้พี่จักรดูเล่นดีกว่า”
ระจิตรู้สึกสนใจ เลยใช้ไอแพดถ่ายรูปแต่งงานนั้นไว้ ตั้งใจจะเอาไปให้จักราดู
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 5 (ต่อ)
ร่างอนิลทิตาวูบกลับเข้าสู่กายโฉมสุรางค์ในห้องพิธีกรรม แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น บอกตัวเองด้วยแววตามุ่งมั่น
“ข้าต้องทำให้สินธุกลับมารักข้าให้เร็วที่สุด ก่อนที่คนอื่นจะมาทำให้เขาสงสัยในตัวข้า”
อีกมุมหนึ่งในคุ้มเชียงแมนคืนนี้ แลเห็นร่างตะคุ่มๆ อยู่ในเงามืดคล้ายคนสองคน ครั้นพอแสงไฟจากกระบอกไฟฉายสว่างขึ้น จึงพบว่าเป็นกระถินกับเจ้าดาเรศ สองสาวนัดแนะจะไปสืบเรื่องหญิงชราท้ายคุ้ม
“ไปทางไหนคะ เจ้า” กระถินถาม
“ทางนี้ ฉันจำได้”
สองสาวย่องตามกันออกไปในความมืด
ครั้นมาถึงตรงดงไม้ระหว่างทางไปกระท่อมทั้งสองคนหยุดยืนกระซิบกระซาบคุยกัน
“กระถินเคยมาแถวนี้นะคะ ไม่เห็นเคยเจอกระท่อม”
“ไม่ใช่ตรงนี้” เจ้าดาเรศชี้มือไปทางหนึ่ง “เลยอีก หลังดงไม้โน่น”
“อุ๊ย แถวนั้นเห็นคุณแม่บอกว่างูชุมค่ะ ไม่ให้ใครไปยุ่มย่าม” กระถินทักท้วง
“แต่คุณแม่ก็ไปนะ ไปตอนมืดๆ ด้วย มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ” เจ้าดาเรศบอกอย่างมั่นใจ
ทันใดนั้นเอง ร่างทะมึนของไอ้โล้นก็โผล่ออกมาในระยะประชิดใกล้ ส่งเสียงคำรามน่ากลัว
สองสาวร้อง “ว้าย” พร้อมๆ กัน
เจ้าดารเศกลัวมาก แต่กระถินพอเห็นหน้าไอ้โล้นถนัดตา ก็ตวาดแหว
“ไอ้โล้นบ้า โผล่มาทำไม”
ไอ้โล้นชี้มือไปทางคุ้ม “กลับไป”
“นี่ฉันเอง โล้น ฉันเจ้าดาเรศไง” เจ้าบอก
ไอ้โล้นหาสนใจไม่ “กลับไป”
กระถินฉุนกึก เท้าสะเอวหมับ “นี่แกกล้าสั่งเจ้าเหรอ ไอ้โล้น”
ไอ้โล้นไม่สน แววตาแข็งกร้าว “กลับไป ห้ามเข้า นายสั่ง”
กระถินกับเจ้าดาเรศมองหน้ากัน หมดหนทาง
กระถินกับเจ้าดาเรศกลับเข้าห้องนอนของเจ้า กระถินขัดใจนักบ่นกระปอดกระแปด
“เพราะไอ้โล้นคนเดียว แสลนนัก”
เจ้าดาเรศครุ่นคิด “ที่กระท่อมนั่นต้องสำคัญมากๆ คุณแม่ถึงกับให้โล้นมาคอยเฝ้าไม่ให้ใครเข้าไป”
“แล้วเจ้าจะเอายังไงต่อคะ”
เจ้าดาเรศยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาซุกซน “ยิ่งห้าม ฉันยิ่งต้องเข้าไปให้ได้”
สองสาวยิ้มให้กัน พวกเธอดูจะไม่ยอมรามือง่ายๆ
เช้าวันนี้โฉมสุรางค์แต่งตัวด้วยชุด สวยงาม ทรงสง่า ออกมายืนรออยู่ที่หน้าออฟฟิศไร่ชาเชียงแมนท่าทีตื่นเต้นแม้จะเก็บอาการแล้ว คุณโฉม ของลูกน้องชะเง้อชะแง้ดูที่ถนนทางเข้าออฟฟิศอย่างมุ่งหวัง
สักครู่หนึ่ง จักราขับรถจี๊ปเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ พอเขาลงจากรถก็เห็นโฉมสุรางค์ เดินตรงมาหา จักราแปลกใจนิดๆ ที่เธอมารอ แต่ก็ยอมรับว่าวันนี้โฉมสุรางค์สวยสดใสมากเป็นพิเศษ
โฉมสุรางค์มองจักราด้วยแววตาเปี่ยมสุข ยิ้มปลื้มทัก จักรายิ้มตอบ
“ยินดีต้อนรับอย่างเป็นทางการค่ะ คุณจักร”
จักราแปลกใจไม่หาย “คุณโฉมออกมารับด้วยตัวเอง ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ”
โฉมสุรางค์มองมายังจักราด้วยแววตาหลงใหล “ฉันรอคุณมานานเหลือเกิน”
จักราไม่เข้าใจ “รอ...คุณโฉมออกมารอนานแล้วเหรอครับ”
โฉมสุรางค์รู้สึกตัว รีบเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ...ฉันจะพาคุณไปเดินชมไร่ชา ไปกันเถอะค่ะ”
จากนั้นโฉมสุรางค์เอามือแตะข้อศอกจักราเดินเคียงไปกับเขาอย่างมีความสุข เหมือนในโลกนี้มีกันอยู่สองคน
ฝ่ายระจิตนอนแบบอยู่บนเตียงคนไข้ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เห็นภาพเพดานห้อง จากแสงสลัวๆ แล้วค่อยๆ ชัดขึ้นๆ ระจิตหันมองซ้ายขวาก็รู้ว่าเป็นห้องพยาบาล
ระจิตรู้สึกเจ็บแปลบที่หัว เอามือจับจึงรู้ว่ามีผ้าพันแผล เธอค่อยๆนึกทบทวนเหตุการณ์ จนจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผี...คุณโฉม” ระจิตร้องตะโกนลั่น เบ้ปากจะร้องไห้ “พี่ชา...พี่จักร ช่วยจิตด้วย จิตกลัว”
โฉมสุรางค์เดินพาจักราชมไร่ชาอย่างอารมณ์ดี กลางหว่างบรรยากาศสดใส วิวทิวทัศน์ อันสวยงาม
“เรามีไร่ชาทั้งหมดหกร้อยไร่ กินอาณาเขตภูเขาสามลูก” โฉมสุรางค์ชี้มือให้จักราดู
“คุณโฉมทำไร่ชามานานแล้วหรือครับ”
“ก็ประมาณยี่สิบกว่าปีน่ะค่ะ เจ้าพงษ์สุริยัน สามีฉันเป็นคนบุกเบิกที่นี่ พอเขาเสีย ฉันก็เป็นคนดูแลแทน”
โฉมสุรางค์เจื้อยแจ้วพูดคุยตามสบาย ไม่ได้ระวังตัว แต่จักราฉุกคิด
“โห ยี่สิบกว่าปี” เขามองหน้าโฉมสุรางค์ “ขอโทษนะครับ คุณโฉมแต่งงานตั้งแต่อายุเท่าไหร่เหรอครับ นี่ยังสาวอยู่เลย”
โฉมสุรางค์ชะงัก ฝืนยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที ”อย่ามาคุยเรื่องฉันเลยค่ะ คุยเรื่องคุณจักรดีกว่า...บ้านอยู่กรุงเทพ เรียนที่กรุงเทพฯ ทำไมมาทำงานถึงนี่คะ”
แววตาโฉมสุรางค์ที่มองมายังจักรา เต็มตื้นด้วยความหวัง อยากให้เขาจดจำอดีตได้
“ฉันว่า... คงต้องมีอะไรดลใจแน่ๆ อาจจะเป็น…”
เสียงโทรศัพท์จักราดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“ขอโทษนะครับ” เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ดูเบอร์เห็นเป็นรชา “เพื่อนผมโทร.มาน่าจะมีเรื่องสำคัญ”
“เชิญค่ะ”
จักราเลี่ยงไปอีกทางรับโทรศัพท์กับรชา
“มีอะไรครับพี่ชา”
โฉมสุรางค์ยืนมองอยู่ไม่ห่าง จ้องตาเขม็ง ไม่อยากให้เขาคลาดสายตา
รชากำลังเดินไปที่จอดรถรีสอร์ท พูดสายในท่าทีอันเร่งร้อน
“ยายจิตฟื้นแล้ว แกเรียกหาเราสองคน มาที่โรงพยาบาลด่วนเลยนะจักร”
“ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมออกไปเลย”
จักรายืนคุยสายอยู่บนถนนในไร่ชา เขากดวางสายโทรศัพท์ หันไปหาโฉมสุรางค์ พบว่าเธอมองมาด้วยดวงตาวาววับ จักรารู้สึกแปลกๆ เดินกลับไปหาพยายามสลัดความรู้สึกนั้นทิ้ง
“เอ่อ คือ คุณโฉมครับ ผมมีธุระด่วน อยากจะขอลาวันนี้อีกวันนะครับ”
โฉมสุรางค์สงสัย “มีอะไรหรือคะ ฉันช่วยได้ไหม”
“น้องสาวเพื่อนสนิทผมตกบันไดเมื่อคืน เพิ่งฟื้น แล้วพี่ชาบอกว่าแกเรียกหาผม”
โฉมสุราง์ตกใจจริงๆ “เหรอคะ” แล้วคิดได้ว่าเป็นระจิตจึงเปิดปากอนุญาต “ค่ะ งั้นเชิญค่ะ ฉันเองก็มีธุระต้องรีบจัดการเหมือนกัน”
รชาขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลอย่างรีบร้อน ทันใดนั้น ก็มีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา กิ่งไม้ข้างทางหักโค่นลงมาขวางหน้าโดยไม่มีวี่แววมาก่อน
“เฮ้ย”
รชาตกใจ หักหลบทันที รถเสียหลักลงข้างทาง
เป็นฝีมือของโฉมสุรางค์ ที่เวลานี้เธออยู่ในห้องพิธีกรรม และกำลังหักกิ่งไม้เป็นสองท่อน มีเจ้าตองเหลืองเลื้อยอยู่ข้างๆ โฉมสุรางค์ลืมตาโพลงขึ้น แววตาสมใจ ที่ขวางทางจักราได้สำเร็จ
“ตองเหลือง ไปจัดการนังเด็กคนนั้นที่โรงพยาบาลให้เรียบร้อย”
เจ้าตองเหลืองแวบหายไปทันที โฉมสุรางค์เข้าสู่สมาธิหลับตาปากท่องมนตราประหลาด ถอดกายอนิลทิตาตามไปดูเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล
ในห้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลตอนนี้ ระจิตกระสับกระส่ายจะลุกขึ้น แต่ถูกพยาบาลจับตัวห้ามไว้
“ฉันจะไปหาพี่ชายฉัน ปล่อยฉันนะ”
“ไม่ได้นะคะ คุณเพิ่งฟื้น เดี๋ยวแผลจะกระเทือน ฉันโทรบอกพี่ชายคุณแล้วค่ะ เขากำลังรีบมา”
“ฉันมีเรื่องสำคัญ ฉันต้องบอกเขาให้เร็วที่สุด คุณพยาบาลช่วยโทรอีกครั้งได้ไหมคะ”
พยาบาลอ่อนใจ “ได้ค่ะ แต่คุณต้องนอนรอนิ่งๆ นะคะ ห้ามลุก ฉันจะออกไปโทร.เดี๋ยวนี้ละค่ะ”
เห็นระจิตสงบลง พยาบาลจึงออกไป ระจิตนอนมองที่ประตูอย่างร้อนใจ อยากให้พี่ชายและจักรามาถึงไวๆ
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 5 (ต่อ)
ผ่านไปอีกสักระยะ ระจิตยังคงเฝ้ามองไปที่ประตูรอคอยรชากับจักรา ด้วยท่าทีกระสับกระส่าย โดยไม่ทันเห็นว่าที่กำแพงด้านตรงข้ามประตูเข้า เจ้าตองเหลืองปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของมันจ้องมายังระจิตเขม็ง
ระจิตสังหรณ์ใจทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่ในห้องด้วย จึงหันไปมอง เห็นเป็นงูตัวใหญ่ ก็ตกใจสุดขีด แหกปากร้องตะโกน
“ช่วยด้วยๆ งูๆๆๆๆ”
เจ้าตองเหลืองค่อยๆ เลื้อยเข้ามา ระจิตอยู่บนเตียง ไม่กล้าลง ตองเหลืองเลื้อยเข้ามาใกล้เตียง
ระจิตคว้าเหยือกน้ำตรงโต๊ะหัวเตียงขว้างใส่ แต่พลาดไป เหยือกน้ำแตกเสียงดัง ระจิตกรี๊ดสุดเสียง
“ช่วยด้วยย.....”
จักราประตูเปิดพรวดเข้ามา เห็นระจิตอยู่บนเตียง และมีงูตัวใหญ่ผิดปกติ อยู่ที่พื้น
“เฮ้ย งู...”
“พี่จักร ช่วยจิตด้วย”
ตองเหลืองชะงัก ตาวาว เปลี่ยนทิศหมายทางจะเล่นงานจักราแทน จักราพุ่งเข้าไปหาระจิตที่เตียง คว้าเสาน้ำเกลือมา หลอกล่อตองเหลือง
“จิตวิ่งไหวไหม พี่จะล่อมันไว้ แล้วจิตวิ่งออกไปจากห้อง”
“จิตกลัว มันจะฆ่าจิต” จิตรากอดจักรา ตัวสั่นสะท้าน
“ไม่ต้องกลัว...พี่นับ 123 แล้วออกไปเลยนะ 1...2”
เจ้าตองเหลืองโยกตัวสูงขึ้นมาชูคอ จักราโยนเสาน้ำเกลือใส่มัน ระจิตวิ่งออกไปแต่ดันพลาดหกล้ม จักราต้องกระโดดไปประคองปกป้อง
“จิต”
ตองเหลืองปราดเข้ามาหาจักราที่โอบกอดระจิตอยู่ หากมันฉกลงมาเห็นท่าว่าจักราคงไม่รอดแน่
จังหวะนี้โฉมสุรางค์ออกจากสมาธิลืมตาโพลง สีหน้าตื่นตกใจ ส่งกระแสจิตไปทันที
“อย่า ตองเหลือง”
เจ้าตองเหลืองชะงักค้าง ตาหรี่แสงลง รชาเปิดประตูเข้ามาพอดี ตกใจมาก
“เฮ้ย...”
รชาเห็นคาใจว่าเป็นงูเหลือมยักษ์เลื้อยทะลุกำแพงหายไปต่อหน้าต่อตา เช่นเดียวกับจักราเองก็งงเป็นไก่ตาแตก
รชาถลาเข้าไปกอดระจิต “จิต เป็นไงบ้าง” เขาหันมาถามจักรางงๆ “นั่นมันอะไรวะ จักร”
“งู งูผี ฮือๆๆๆๆ มันจะมาฆ่าจิต” ระจิตสติแตก ลนลานขนาดหนัก
“จิตๆๆ พี่อยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว” รชากอดปลอบเรียกสติน้อง
จักราตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น แทบไม่เชื่อตาตัวเอง
ไม่นานต่อมาหมอเจ้าของไข้กับพยาบาลยืนอยู่ข้างเตียงด้านหนึ่ง อีกข้างเป็นจักรากับรชา
“หมอให้ยานอนหลับไปแล้วครับ คนไข้ได้พักผ่อน อาการเห็นภาพหลอน นี่อาจจะเป็นอาการข้างเคียงจากที่สมองกระทบกระเทือน ยังไงหมอจะขอตรวจคลื่นสมองอีกทีนะครับ”
รชากับจักรามองตากัน ไม่กล้าเล่าเรื่องงูให้หมอฟัง เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง
“ขอบคุณครับ อีกนานไหมครับกว่าน้องสาวผมจะฟื้น”
“สามสี่ชั่วโมงครับ หมอขอตัวนะครับ”
หมอกับพยาบาลเดินออกไป รชาหันไปหาจักรา
“แกก็เห็นเหมือนที่ฉันเห็นใช่ไหม จักร”
“ใช่พี่ งูยักษ์เลื้อยเข้าไปในกำแพง”
รชากุมมือระจิตด้วยความรักและเป็นห่วง
“มันมาจากไหนวะ แล้วมันทำไมต้องมาทำร้ายน้องฉัน”
“ถ้าให้ผมเดา มันอาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่จิตจะบอกกับพวกเรา” จักราบอก
ร่างอนิลทิตายืนอยู่หน้าห้อง รับรู้เหตุการณ์ด้วยความกังวล
บ่ายแก่ๆ วันเดียวกันนี้ นายิกีนั่งสมาธิอยู่ที่บริเวณถ้ำธารลอดในป่าลึก ปากท่องมนตรา บูชาพญานาค สักครู่ น้ำในลำธารก็เดือดปุดๆ มีสิ่งที่ลักษณะเป็นเปลวไฟสีแดงเจิดจ้าขดเป็นวงกลมลอยขึ้นจากใต้น้ำ มาถึงผิวน้ำด้านบน
นายิกีลืมตาขึ้น แบมือสองข้างออก ขดเปลวไฟนั้นลอยมาอยู่บนมือของแม่หมอ แล้วกลายกลับเป็นเชือกสีดำธรรมดาหนึ่งเส้นที่ขดฟั่นเป็นวงเหมือนสายสิญจน์
“ในที่สุดข้าก็ทำพิธีชุบเชือกนาคบาศสำเร็จ เสร็จข้าแน่ ไอ้สมิงดง”
นายิกีดีใจยิ่งนัก กับเครื่องรางแห่งล้านนาที่จัดว่าเป็นสุดยอด มีพุทธคุณเด่นในการป้องกันภัยร้าย
กระท่อมบุญโฮมตกอยู่ในแสงยามเย็น บุญโฮมมองเชือกอย่างเลื่อมใส
“นี่นะเหรอ นาคบาศ...ได้มาจากพญานาคจริงๆ งั้นเหรอ”
“งั้นสิ ข้าบำเพ็ญภาวนาถอดจิตไปถึงบาดาล ถึงได้มันมา”
“อันเล็กนิดเดียว หน้าตาก็เชือกธรรมดาเส้นนึง จะมีจริงรื้อ”
“นาคบาศอาบด้วยพิษแห่งพระยานาคราช มีอำนาจเหนืองูทุกชนิด เอ็งคอยดูเถอะ ไอ้บุญโฮม เวลาแห่งการแก้แค้นของเรามาถึงแล้ว”
โฉมสุรางค์ร้อนรุ่มในใจ ที่ปรึกษามีเพียงคนเดียวนั่นคือบันดาสา
“ข้าจะทำยังไงดี พี่บันดาสา ถ้านังเด็กนั่นมันฟื้นขึ้นมาพูดว่าข้าทำร้ายมัน สินธุต้องโกรธข้าแน่”
บันดาสาถอนใจ ไม่อยากทำบาป โฉมสุรางค์เซ้าซี้
“พี่บันดาสา ช่วยข้าหน่อยซี อย่าให้เวลานับร้อยปีของข้าต้องเสียเปล่า”
บันดาสาทนการอ้อนวอนไม่ไหว พูดออกมา
“วิธีปิดปากคนไม่ให้พูดมันก็มีอยู่ แต่ว่า...”
โฉมสุรางค์ยิ้ม ดีใจ “บอกข้ามา...”
รชานอนฟุบหน้าอยู่ข้างเตียง มือหนึ่งกุมมือระจิตอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียง ระจิตรู้สึกตัว ลืมตาขึ้น รชารู้สึกว่ามือระจิตขยับ จึงลืมตาตื่นขึ้นเมื่อเห็นว่าน้องฟื้นก็ดีใจ
“จิตฟื้นแล้ว...เป็นไงบ้าง”
ระจิตขยับจะพูด แล้วชะงัก ตกใจ
“จิต เป็นยังไงบ้าง” รชาเห็นระจิตหน้าตื่นก็ฉงนฉงาย “เจ็บตรงไหนบอกพี่สิ”
ระจิตจะอ้าปากพูด แต่กลับอ้าปากไม่ได้แม้ว่าจะพยายามถึงขีดสุด เธอจึงตกใจสุดขีด
“อื่อๆๆๆๆ”
“จิต น้อง...น้องเป็นอะไร” รชาตกใจ วิ่งออกไปตามหมอ “หมอครับ หมอ น้องผมเป็นอะไรไม่รู้”
รชาวิ่งออกไป ระจิตอยู่บนเตียง อ้าปากไม่ได้ มีแต่เสียงอื้ออ้าอยู่อย่างนั้น
ที่แท้เป็นฝีมือโฉมสุรางค์ ที่ตอนนี้อยู่ในห้องลับมีตุ๊กตาผ้าดิบตัวเล็กๆ ในมือ ส่วนอีกมือจับเข็มที่ร้อยด้ายสีดำแทงเข็มเย็บตรงปากตุ๊กตา พร้อมกับท่องมนตราไปด้วย
ระจิตตกใจสุดขีด ร้องไห้ น้ำตาไหลพราก รชากับจักราพาหมอเข้ามา
“คุณหมอครับ ช่วยน้องผมด้วย แกเป็นอะไรก็ไม่รู้”
ระจิตจับมือหมอ ร้องไห้ ชี้ที่ปาก พยายามพูด “อื่อๆๆๆๆๆ”
“เหมือนแกอยากพูด แล้วพูดไม่ได้น่ะครับ” จักราบอกหมอ
ระจิตร้องไห้ฟูมฟายคลุ้มคลั่ง จักรากับรชาช่วยกันจับ
กายทิพย์ของอนิลทิตายืนมองจากด้านนอกเข้ามา ด้วยแววตาพึงใจ
รชาแตะถังขยะตรงทางเดินจนกระเด็นด้วยความโกรธ
จักราปลอบ “ใจเย็น พี่ ใจเย็น...โมโหไปก็ช่วยระจิตไม่ได้นะพี่”
“มันเกิดบ้าบออะไรกับน้องฉันวะ จักร ระจิตไม่เคยทำอะไรใครทำไมเรื่องบ้าๆ นี่ต้องมาเกิดกับน้องฉัน”
จักราชะงัก “หรือว่า...” เขานึกบางอย่างได้ “จริงสิ ทั้งน้องผม น้องพี่ ทั้งลุงบุญโฮม ทุกคนตกอยู่อันตราย ตั้งแต่ไปเกี่ยวข้องกับคุ้มเชียงแมน”
“ไอ้คุ้มนั่นต้องมีอาถรรพ์ชั่วร้ายอะไรแน่ๆ” รชาแค้น
“ไปกันเถอะพี่ ชา เราไปหาลุงบุญโฮมกัน คราวนี้ แกอาจจะยอมช่วยเราก็ได้”
ทั้งสองหนุ่มเดินออกประตูไป ตรงไปยังลานจอดรถ
โฉมสุรางค์อยู่ในห้องทำพิธี ลืมตาโพลงขึ้นมา พร้อมกับคำรามในลำคออย่างโกรธแค้น
“ไอ้บุญโฮม ไอ้คนปากมาก”
ขณะที่บุญโฮมนั่งสูบบุหรี่ใบจากอยู่หน้ากระท่อม นายิกีเปิดประตูพรวดออกมา สะพายย่ามจะออกไปข้างนอก
บุญโฮมมองอย่างแปลกใจ “จะออกไปไหนละพี่”
แม่หมอนายิกีสีหน้ามุ่งมั่น มั่นใจ
“ถึงเวลาแก้แค้นของเราแล้ว เอ็งอยู่ทางนี้ระวังตัวด้วย”
“ข้าจะระวังตัว พี่เองก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
บุญโฮมมองตามนายิกีที่เดินออกไปด้วยความมั่นใจ แต่ตัวเองกลับกังวลใจอยู่ลึกๆ
ฟากโฉมสุรางค์นั่งสมาธิถอดจิต สักครู่หนึ่งอนิลทิตาในอาภรณ์สตรีเขมรโบราณ ก็ลุกออกจากร่างแล้วหายวับไป
นายิกีนั่งสมาธิอยู่ที่กลางป่าริมลำธาร หยิบคัมภีร์ใบลานออกมาจากย่าม แล้วเปิดไปที่หน้าหนึ่ง
นายิกีอ่านพึมพำ “มนต์เรียกสมิงดง”
นายิกีพนมมือมีคัมภีร์ใบลานอยู่ระหว่างนิ้วโป้งสองข้าง ท่องมนตราเรียกสมิงดงหรือเจ้าตองเหลือง
ตองเหลืองนอนขดอยู่ในห้องทำพิธีของโฉมสุรางค์ อยู่ดีๆ ก็ดิ้นไปดิ้นมาอย่างร้อนรนทนไม่ได้ มีแสงเรืองรองขึ้นที่ตัวของมัน พริบตานั้นเองเจ้าตองเหลืองหายวับไป
ตองเหลืองปรากฏตัวต่อหน้านายิกีบริเวณริมลำธาร มันผงกหัวขึ้นตั้งท่าสู้เต็มอัตรา นายิกีวางคัมภีร์ ยิ้มอย่างพอใจ หยิบนาคบาศขึ้นมา
“คราวนี้แกไม่รอดแน่ ไอ้สมิงดง”
เจ้าตองเหลืองมองนายิกีอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาของมันเป็นสีแดงเจิดจ้า
อีกฟาก จู่ๆ ที่บริเวณรอบกระท่อมบุญโฮม ก็เกิดลมกรรโชกแรง ต้นไม้ไหวเอนลู่ไปตามแรงลม บุญโฮมที่นั่งสูบยาอยู่สงสัย แหงนหน้ามองท้องฟ้า เห็นเมฆดำลอยมาบดบังดวงอาทิตย์ จากแสงสว่างจ้า กลับมืดครึ้มลงทันที
“อากาศวิปริตอะไรกันนี่ อยู่ดีๆก็มืดไปหมด”
ลมพัดแรงจนใบจากและยาสูบปลิวว่อน บุญโฮมลุกเดินตามเก็บ จังหวะที่บุญโฮมก้มเก็บใบยาสูบ สายตาก็เห็นเท้าใครคนหนึ่งใส่กำไลเท้ายืนอยู่ตรงหน้า ชายสูงวัยเงยหน้าขึ้นมองแล้วตกใจ ตาค้าง
“เฮ้ย นั่นมัน...”
เป็นอนิลทิตาที่มองมายังบุญโฮมด้วยสายตาอันโกรธแค้น
“ปากมากนักใช่มั้ยไอ้บุญโฮม”
บุญโฮมได้ยินเสียงแล้วจำได้ นึกไม่ถึง “คุณโฉม...”
บุญโฮมได้สติรีบหนี อนิลทิตาเคลื่อนตัวดักหน้าบุญโฮมอย่างรวดเร็ว
“อยู่ดีไม่ว่าดีมาแส่ยุ่งเรื่องของข้า”
บุญโฮมปฏิเสธเสียงแข็ง
“ข้าไม่รู้...ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
บุญโฮมรีบหันหลังเตรียมวิ่งหนี อนิลทิตาเพ่งมองไปยังร่างบุญโฮม พลังดันร่างบุญโฮมพุ่งไปชนเสาแล้วหล่นลงกองกับพื้น บุญโฮมเจ็บปวดสุดจะประมาณ
อนิลทิตาเพ่งมองร่างบุญโฮมแล้วใช้มนต์ยกร่างบุญโฮมลอยขึ้นเหนือพื้น บุญโฮมดิ้นทุรนทุราย
“นางปีศาจ”
ฉันพลันนั้นเอง ร่างบุญโฮมถูกฟาดลงกับพื้นอย่างแรง
“คนที่รู้ความลับของข้ามันต้องตาย”
อนิลทิตายื่นมือไปทำท่าบีบคอบุญโฮม ร่างบุญโฮมลอยขึ้นเหนือพื้นอีกครั้ง บุญโฮมพยายามดิ้นเอาตัวรอด อนิลทิตาบีบคอบุญโฮมแรงขึ้น
“ช่วยด้วย...ช่วยข้าด้วย”
บุญโฮมมีเลือดไหลออกจากปาก ดิ้นทุรนทุรายอย่างน่าสงสาร
ฝ่ายเจ้าตองเหลืองพุ่งตรงเข้าหานายิกีหมายจะรัด นายิกีม้วนตัวหลบได้ทัน แล้วโยนนาคบาศใส่ตองเหลือง
นาคบาศสีดำเปลี่ยนเป็นรัศมีสีแดงก่อนจะกลายเป็นเชือกไฟที่รัดเจ้าตองเหลืองไว้ทั้งตัว มันดิ้นทุรนทุรายไปมา
“ไอ้สมิงดง แกทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เจ้าตองเหลืองเลื้อยหายไป
นายิกีเหลียวมองไปรอบๆ แต่ไม่พบ สักครู่หนึ่งเจ้าตองเหลืองพุ่งออกมาจากด้านหลัง รัดร่างนายิกีล้มลงไปกับพื้น
นายิกีดิ้นหนี พร้อมกับล้วงมีดหมอออกมาจากย่าม แล้วปักเข้าที่ลำตัวของมัน เจ้าตองเหลือง
หยุดชะงักคลายตัวออกจากนายิกีแล้วรีบเลื้อยหนีไป
นายิกียืนขึ้น หยิบนาคบาศในย่ามออกมาอีกครั้ง พนมมือหลับตาท่องมนต์ นาคบาศในมือเรืองแสงเป็นสีแดงเจิดจ้า นายิกีขว้างออกไป
นาคบาศลอยไปในอากาศ แล้วกลายเป็นเชือกไฟ ตรงเข้ารัดเจ้าตองเหลืองไม่ให้หนี งูเหลือมยักษ์ดิ้นรนด้วยความทรมาน นายิกีมองอย่างสมใจ
“ทีนี้ล่ะ ข้าจะได้รู้ซะทีว่าใครเป็นคนส่งเจ้ามา”
ตองเหลืองดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด มันรวบรวมพลังส่งกระแสจิตไปถึงอนิลทิตาให้มาช่วย
อนิลทิตายังคงบีบคอบุญโฮมอยู่ โดยที่บุญโฮมดิ้นด้วยรนความทรมาน และใกล้จะหมดแรงแล้ว เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด
จิตของอนิลทิตารับรู้กระแสจิตที่สมุนส่งมา นางเห็นภาพตองเหลืองถูกรัดด้วยนาคบาศก็ตกใจและเป็นห่วง
“ตองเหลือง”
อนิลทิตายอมปล่อยร่างบุญโฮมตกลงกองกับพื้น แล้วร่างอนิลทิตาก็เลือนหายไปทันควัน
อนิลทิตาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้านายิกีทันที และเห็นเจ้าตองเหลืองถูกรัดด้วยเชือกไฟและกำลังดิ้นอย่างทรมาน
“ตองเหลือง”
นายิกีสมใจที่ล่ออนิลทิตาออกมาได้
“เจ้านี่เอง นังปีศาจที่เป็นเจ้าของไอ้งูชั่วตัวนี้”
อนิลทิตาเหลียวขวับไปมองนายิกีอย่างโกรธแค้น ก่อนจะพนมมือท่องคาถา กลายเป็นลมพัดเชือกไฟดับวูบลง เจ้าตองเหลืองรอดตาย แต่มีรอยไหม้ดำตามลำตัวของมัน
นายิกาตะลึงไป นึกไม่ถึงว่าอนิลทิตาจะกำจัดนาคบาศได้อย่างง่ายดาย
อนิลทิตาแค้นคั่ง มองนายิกีด้วยดวงตาวาวโรจน์
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาทำร้ายงูของข้า”
แม่หมอนายิกีสู้สายตาอนิลทิตาอย่างไม่หวั่นเกรง มั่นใจในวิชาของตน
“ข้าก็คือนายิกี...ผู้ที่ทำให้นังปีศาจอย่างเจ้าปรากฏตัวออกมาได้ยังไงล่ะ...เจ้าจะต้องได้รับโทษที่ส่งงูชั่วตัวนั้นมาฆ่าคนบริสุทธิ์”
“ข้าไม่เคยคิดจะฆ่าใครก่อน นอกจากคนที่คิดร้ายกับข้า...และทีนี้...ก็ถึงคราวของเจ้าแล้ว นางเฒ่า”
“เจ้านั่นแหละนางปีศาจ ที่จะต้องถึงจุดจบ”
อนิลทิตาตวาดดังลั่น
“ก็เอาสิ ข้า อนิลทิตา ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น”
อนิลทิตากำทรายที่พื้นขึ้นมา ท่องคาถาแล้วปาทรายออกไป เกิดเป็นไฟลุกขึ้นล้อมรอบตัวนายิกีอย่างรุนแรง นายิกีตั้งสมาธิ หยิบเกล็ดพญานาคออกมาจากย่ามที่สะพายอยู่ โยนขึ้นไปบนฟ้า เกิดฟ้าคะนอง พริบตานั้นเองฝนก็ตกลงมา ไฟดับมอดไป
ทันทีที่ไฟดับ นายิกีก็ฉวยโอกาสหยิบลูกยางในย่ามขว้างออกไปเป็นกงจักรลอยเข้าหาอนิลทิตาอย่างรวดเร็ว อนิลทิตาฉากหลบ เอามือกันหน้า กงจักรบาดหลังมือเป็นแผลยาว
“โอ๊ย...”
“เจ้าหนีข้าไม่รอดแน่ๆ นางปีศาจ”
ฉับพลันทันใดนั้น อนิลทิตาก็ดึงปิ่นที่มวยผม ปาออกไปทันที นายิกีชะล่าใจจึงหลบไม่ทัน ปิ่นปักเข้าที่ไหล่ของนายิกี เลือดไหลอาบลงมา
อนิลทิตาฉวยโอกาสนี้เร้นตัวหายวับไปพร้อมกับสมุน นายิกีดูที่แผลพบว่าปิ่นหายไปแล้ว แต่เป็นแผลลึกเลือดไหลไม่หยุด
“ร้ายกาจนัก นางปีศาจ”
นายิกีแค้นกุมแผลด้วยความเจ็บใจ
รถของจักราแล่นเข้ามาจอดที่ชายป่าสุดถนน ก่อนที่สองหนุ่มจะลงจากรถเดินตรงไปที่กระท่อมบุญโฮม
“พี่แน่ใจเหรอว่าพ่อเฒ่าจะรู้เรื่องคุณโฉม”
“แน่ใจสิ จำได้มั้ยที่สัปเหร่อโกร่งเคยบอกเราว่าพ่อเฒ่าบุญโฮมเคยทำงานอยู่ในคุ้มเชียงแมน...อย่างน้อยพ่อเฒ่าก็น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้านายของตัวเองบ้าง”
จักรากับรชาเดินเข้ามาในอาณาบริเวณหน้ากระท่อม บุญโฮมนอนจมกองเลือด หายใจรวยรินอยู่ลานหน้าบ้าน จักรากับรชาเห็นสภาพของบุญโฮมก็ตกใจ ปราดเข้าไปหา
รชาตกใจ “พ่อเฒ่า นี่เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรพ่อเฒ่า”
จักรามีสติ “รีบพาพ่อเฒ่าไปหาหมอเถอะ”
บุญโฮมอ่อนแรงเต็มที “ไม่ต้อง...ข้ารู้ตัวว่าข้าคงไม่รอดแน่ๆ”
นายิกีเดินกลับมาถึงด้วยท่าทางอ่อนแรง ยังมีรอยบาดเจ็บที่ไหล่อยู่ เมื่อเห็นสภาพบุญโฮมก็ตกใจสุดขีด ลืมความเจ็บปวดของตัวเอง ผวาเข้าไปหาน้องชาย
“บุญโฮม เอ็งเป็นอะไร ใครเป็นคนทำร้ายเอ็ง”
บุญโฮมบอกเสียงกระท่อนกระแท่น “คุณ...โฉม...”
สองหนุ่มตะลึง จักราตกใจ แต่ไม่อยากเชื่อ “อะไรนะ”
นายิกีเข้าไปประคองศีรษะน้อง ใช้มือแตะที่คอบุญโฮม และเห็นภาพอนิลทิตาบีบคอบุญโฮมก็ผงะด้วยความตกใจ
“คนที่ทำร้ายบุญโฮมก็คือนังปีศาจอนิลทิตา เจ้าของงูตัวนั้น”
บุญโฮมบอกย้ำ “คุณโฉม คือ อนิลทิตา...มันเป็นปีศาจ”
จักราอึ้ง ไม่เชื่อ
“ไม่น่าเชื่อ พ่อเฒ่าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
“เชื่อข้าเถอะพ่อหนุ่ม รีบไปซะ..ไปให้ไกลจากผู้หญิงคนนี้ มันน่ากลัว น่ากลัวเหลือเกิน”
“น่ากลัวยังไงพ่อเฒ่า บอกผมมาเถอะ” จักราจ้องหน้ารอฟัง อยากรู้เต็มที่
อ่านต่อตอนที่ 6 / 17.00 น.