xs
xsm
sm
md
lg

อนิลทิตา ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อนิลทิตา ตอนที่ 3

ทุกสรรพสิ่งแปรเปลี่ยนไปตามวันเวลาที่ล่วงเลยผันผ่านไปอีกถึง 16 ปี แล้ว จะมีก็เพียง อนิลทิตา เท่านั้น ที่กาลเวลาทำอะไรเธอไม่ได้ และนางผู้เป็นอมตะยังคงเฝ้ารอคอย การมาถึงของชายคนรักด้วยใจอันมั่นคง

ที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ เป็นบ้านรูปทรงทันสมัยหลังขนาดกลาง แม้จะมีบริเวณไม่กว้างขวางนัก แต่รายรอบบ้านก็เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ งอกงาม บรรยากาศร่มรื่น แสดงให้เห็นว่าผู้เป็นเจ้าของบ้าน เป็นคนรักและดูแลต้นไม้อย่างดี
ภายในห้องครัว เจ้าของบ้าน ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสัน ผมยาวระต้นคอ นามว่า จักรา กำลังผิวปากทำอาหารอย่างมีความสุข
เขาจัดการรวนหมูสับ หั่นกระเทียม และซอยหอมอย่างทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว จากนั้นก็หั่นกุนเชียง หมูยอ แฮม เป็นชิ้นเล็กๆ
จักราตั้งกระทะใบเล็กบนเตา เทน้ำมันมะกอกลงไปรอจนร้อนพอดี จึงตอกไข่ลงในกระทะด้วยมือเดียวอย่างคล่องแคล่ว ปิดฝาอบให้ไข่นุ่ม เมื่อไข่เริ่มสุกก็ใส่เครื่องทั้งหมดลงไป โรยหน้าด้วยต้นหอมสวยงามน่าทาน
สุรเดช ผู้เป็นน้องชายวัยรุ่นโผล่หน้าเข้ามาที่ประตูครัว ทำท่าสูดกลิ่นหอมของอาหารเข้าเต็มปอด
“อารมณ์ดีแต่เช้าเลยนะพี่จักร กลิ่นอาหารเช้าพี่มันลอยไปเตะจมูกผมถึงในห้องนอนโน่น”
จักราหันมาหาน้องวัยทีน หัวเราะขัน “นี่แหละวิธีปลุกเด็กวัยกำลังกินกำลังนอนอย่างแก เจ้าเดช”
สุรเดชแกล้งโวยวาย “ว่าใครเด็กครับพี่ ผมจบปีสามมาหมาดๆ สอบเสร็จเมื่อวานนี้เอง พี่ชายผมแก่จนจำไม่ได้ว่าน้องชายโตเป็นหนุ่มแล้ว แถมยังหล่อซะด้วย อันนี้บอกเลย” เด็กหนุ่มทำท่าเก๊กหล่อ
จักราแกล้งงอน “ว่าชั้นแก่ ก็ไม่ต้องกิน”
“โห หัวก็ไม่ได้ล้านซะหน่อย ขี้ใจน้อยไปได้ พี่ชายสุดหล่อ...แต่น้อยกว่าผม นีสนึง”

จักราและสุรเดชนั่งที่โต๊ะอาหารแล้ว บนโต๊ะมีจานไข่กระทะวางอยู่ พร้อมทั้งเครื่องปรุงครบครัน
สุรเดชเปิดฝากระทะออกมา เผยให้เห็นไข่กระทะหน้าตาน่ากิน ไข่สุกกำลังดี สุรเดชเหยาะพริกไทย ใส่ซอส ตักกิน หน้าตามีความสุข
“ไข่กระทะทรงเครื่องฝีมือพี่เดชนี่อร่อยสุดๆ ในโลกเลย”
“อร่อยก็กินเข้าไป กินเสร็จแล้ว ไปฟาร์มกล้วยไม้กัน ปิดเทอมแล้วไปช่วยพี่ดูแลกล้วยไม้เลย งานยิ่งเยอะๆ อยู่”
“ผมเพิ่งสอบเสร็จเองนะครับ ขอพักผ่อนสมองบ้างอะไรบ้าง” สุรเดชพูดด้วยน้ำเสียงประจบสุดชีวิต “พรุ่งนี้ผมขออนุญาตไปเที่ยวเชียงรายนะ นัดพวกไอ้พลไว้ว่าจะไปเดินป่ากัน”
จักราทำน้ำเสียงกวนๆ ว่า “จะให้ไปดีมั้ยนะ”

หลังมือเช้า สองหนุ่มพี่น้องนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น จักราเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินส่งให้ส่งสุรเดชห้าพัน ในกระเป๋าสตางค์ใบนั้นยังเห็นรูปสองพี่น้องกอดคอกันอย่างสนิทสนมรักใคร่
“เอ้า พอมั้ย เผื่อๆไว้”
สุรเดชไหว้ “พอครับ พี่ชายผมใจดีจัง ขอบคุณครับ”
สุรเดชรับเงินมา เปิดกระเป๋าสตางค์เอาเงินใส่ เห็นในกระเป๋าสตางค์มีรูปเหมือนกับจักราอยู่ในนั้น
“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
“คร้าบ... พ่อ เอ้ย พี่ ไม่ต้องห่วงน่า เดินป่ากันสี่หนุ่ม สบายมาก ไม่หลงทางแน่นอน”
จักราขำความทะเล้นของน้องชาย มองสุรเดชด้วยสายตาเอ็นดู

บ่ายวันนี้ 4 หนุ่ม สุรเดช พล แจ็ค และ วิน เพลิดเพลินอยู่กับธรรมชาติในป่าเขาเขียวขจี ไกลสุดลูกหูลูกตา
สุรเดชสะพายเป้เดินป่ามากับเพื่อนอีก 3 คน ท่าทางเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพราะเดินทางมาหลายชั่วโมงแล้ว อากาศก็ร้อนชื้นอบอ้าว ทั้ง 4 เดินมาถึงทางแยก มีป้ายบอกทาง ทางหนึ่งเขียนว่าเส้นทางไปแค้มป์ อีกทางหนึ่งเขียนว่าทางไปน้ำตก
ทุกคนหยุดพักตรงทางแยกใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ร่มครึ้ม ตกลงกันว่าจะไปทางไหนดี
“กูว่าเราไปน้ำตกกันดีกว่ามั้ย ร้อนอบอ้าวอย่างนี้ ได้อาบน้ำให้สดชื่น ท่าจะดี” สุรเดชว่า
พลท้วง “มันบ่ายแล้วนะโว้ย ไม่รู้ทางไปน้ำตกไกลแค่ไหน เดี๋ยวมันจะมืดก่อนน่ะสิ กูว่าเราไปที่ตั้งแค้มป์เลยดีกว่า”
“ไอ้แจ็ค ไอ้วิน เอาไงดีวะ” สุรเดชหันมาถามความเห็นเพื่อนอีกสองคน
“กูก็อยากอาบน้ำเหมือนกัน เหนียวตัวเต็มที” แจ็คเอาด้วย
“ส่วนกูอยากเห็นน้ำตกว่าสวยขนาดไหน” วินว่า
“โอเค สามเสียงชนะ ไปก็ไป” พลสรุป

ในแนวป่าอันหนาทึบ สุรเดชและเพื่อนทั้งสามเดินอยู่บริเวณนั้น นั่นแสดงว่าสุรเดชและเพื่อนๆ อยู่ไม่ห่างจากอาณาเขตถ้ำของอนิลทิตานัก
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง ด้วยเป็นเวลาเย็นแล้ว
“ไกลเหมือนกันนะนี่” พลว่า
แจ็คบอก “เราหลงทางเปล่าวะ เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที”
วินด่า “เฮ้ย เข้าป่าเขาห้ามพูดว่าหลงทาง มันเป็นลางไม่ดี”
“ไหนๆ มาแล้วก็ต้องไปให้ถึง” สุรเดชเงี่ยหู เขาได้ยินเสียงน้ำตก “กูว่ากูได้ยินเสียงน้ำตกว่ะ คงไม่ไกลแล้ว รีบไปกันเถอะ” สุรเดชหันไปกระตุ้นเพื่อนๆ
ทั้ง 4 คนเดินตามกันไป มีสุรเดชเดินรั้งท้าย จังหวะหนึ่งสุรเดชเดินสะดุดรากไม้ เขาก้มลงดูพบว่าเชือกผูกรองเท้าผ้าใบหลุด สุรเดชหยุดเดินก้มลงผูกเชือกรองเท้า แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับไม่เห็นเพื่อนทั้ง 3 คน แต่เห็นด้านหน้าเป็นดงไม้หนาทึบ
“เฮ้ย”
สุรเดชหันมองไปทางซ้าย ทางขวา ยิ่งตกใจ เมื่อเห็นว่าป่าทุกด้านเป็นดงไม้ทึบหนาตาเหมือนกันหมด สุรเดชลุกพรวด
“ทำไมต้นไม้มันเหมือนๆ กันหมดอย่างนี้” เขาหันไปด้านหลังทางที่เดินมาเมื่อครู่ แต่มันหายไป กลายเป็นดงไม้หนาทึบแทน “ฉิบหายแล้ว” สุรเดชตะโกนลั่น “ไอ้พล ไอ้วิน ไอ้แจ๊ค วู้...พวกมึงอยู่ไหน รอกูด้วย”
สุรเดชตัดสินใจวิ่งตะบึงลุยเข้าไปในดงไม้เบื้องหน้า

สุรเดชเดินแหวกดงไม้หนาทึบไปอย่างหวั่นใจ กลอกตามองซ้ายแลขวา ไม่เห็นรอยทาง เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่ ปากก็ตะโกนเรียกเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
สุรเดชแหงนมองดวงอาทิตย์พบว่าเริ่มเย็นมากแล้ว ในใจก็เริ่มหวาดกลัวมากขึ้น เด็กหนุ่มมองกลับลงมาในระดับสายตา เห็นอนิลทิตา ยืนอยู่ตรงหน้า
อนิลทิตายืนทอดยิ้มลึกล้ำมาให้ในชุดสตรีเขมรโบราณ ดูสวยงาม ลี้ลับ และแฝงเร้นความน่ากลัวโดยประหลาด
สุรเดชตกใจ ผงะถอย เขาสะดุดรากไม้ล้มลงไปกับพื้น ร้องลั่น
“ผี”
อนิลทิตาทอดยิ้มมาให้ เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงหวานแต่ทรงอำนาจ “มองข้าให้เต็มตาก่อนเถิดภูติผีปีศาจหรือจะงามเช่นนี้”
วินาทีนี้อนิลทิตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของสุรเดช ชายหนุ่มนิ่งจังงัง ทันใดนั้นเองอนิลทิตาก็เป่าควันสีม่วงออกมาเบาๆ ใส่หน้าสุรเดช
ครั้นพอควันจางหายไป ดวงตาสุรเดชที่แตกตื่นเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นหลงใหลใฝ่ฝัน ย่อมแน่ว่าเขาตกอยู่ใต้มนต์สะกดของอนิลทิตาแล้ว
สุรเดชพูดเสียงของคนละเมอ “คุณเป็นใครกัน”
“ข้าชื่อ อนิลทิตา”
สุรเดชทวนชื่อในอาการเพ้อๆ “อนิลทิตา”
“ตามข้ามาเถิด”
อนิลทิตายื่นมือไปให้ สุรเดชยื่นมือไปจับตอบ อนิลทิตาออกเดิน สุรเดชเดินตามต้อยๆ

เทือกเขาอันเป็นอาณาเขตของเขตคุ้มเชียงแมนตกอยู่ท่ามกลางแดดสวยยามเย็น อนิลทิตาจูงมือพาสุรเดชมาจนถึงบริเวณหน้าถ้ำ
“ที่นี่ที่ไหนกัน”
“คุ้มเชียงแมน”
อนิลทิตาปล่อยมือสุรเดช ชายหนุ่มผวาตาม “คุณจะไปไหน”
“รอตรงนี้ ข้าไม่ไปไหนหรอก”
สุรเดชทำตามโดยดี อนิลทิตาเดินไปกดปุ่มกลไกเปิดปากถ้ำ ไม่ไกลนัก
ประตูถ้ำเปิดออก ข้างในมืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย อนิลทิตาเดินกลับไปหาสุรเดช ยื่นมือออกมาให้สุรเดชจับ พร้อมพูดว่า
“มากับข้า”
มือสุรเดชเกือบจะจับถึงมืออนิลทิตาแล้ว แต่มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะขึ้นมาพอดี สุรเดชสะดุ้งสุดตัว อนิลทิตาเองก็ตกใจ สุรเดชหลุดจากมนต์สะกด เสียงโทรศัพท์ขาดหายไป เพราะสัญญาณไม่ดี
สุรเดชมองอนิลทิตาด้วยความงุนงง
“นี่มันอะไรกัน ผมมาที่นี่ได้ยังไง”
อนิลทิตาชะงัก ตกใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง สุรเดชหยุดกดรับสาย
“ฮัลโหล”

พลกับเพื่อนๆ อยู่บริเวณที่ตั้งแค้มป์อีกมุมหนึ่งของป่า เขาดีใจที่สุรเดชรับสาย เพื่อนทั้งหมดเข้ามารุมฟัง
พลร้อนใจปนดีใจ “เฮ้ยเดช มึงอยู่ไหนเนี่ย ทำไมเดินอยู่ เสือกหายไป”
สุรเดชยังอยู่ในถ้ำหันมองรอบๆ ตัว “กูอยู่ที่” เขาตั้งใจจะหันไปถาม “คุณ... อ้าว”
ชายหนุ่มงงมาก เมื่อพบว่าอนิลทิตาหายไปแล้ว
เสียงพลดังออกมา “ฮัลโหล เดช ได้ยินรึเปล่า”
“เออๆ ยังอยู่...ตอนนี้กูอยู่ตรงไหนไม่รู้ว่ะ กูตามคนมา” สุรเดชชะเง้อมองไปในถ้ำ แต่ไม่เห็นใคร
“ตามใคร ตามไปทำไม”
“นั่นน่ะสิ” สุรเดชนึกบางอย่างได้ “เออ จำได้คลับคล้ายคลับคลา เขาว่าจะพาไปคุ้มเชียงแมน”
“คุ้มเชียงแมน อยู่ตรงไหนวะ”
“ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่ามันมีถ้ำ”
ขาดคำท่อนไม้ตีเข้าที่หัวสุรเดชเต็มแรง
“โอ๊ย”
สุรเดชล้มทั้งยืนสลบคาที่ โทรศัพท์กระเด็นไปที่พื้นมุมหนึ่ง
ไอ้โล้นยืนทะมึน ถือไม้อยู่ในมือ หน้าตาเย็นชา เสียงพลดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ เขาได้ยินเสียงโอ๊ย ยิ่งตกใจ น้ำเสียงร้อนรน
“เฮ้ย เดช เป็นไรว่ะ ตอบด้วย เดช เดช”
ไอ้โล้นอุ้มร่างสุรเดชพาดไหล่เดินหายเข้าไปในความมืดมิดของถ้ำ
ส่วนโทรศัพท์มือถือของสุรเดช มีเสียงสัญญาณโทร.เขาดังขึ้น ไม่หยุด ที่หน้าจอเป็นชื่อพลโทร.เข้ามาเป็นสิบๆ สาย

ฝ่ายไอ้โล้นแบกร่างสุรเดชเข้ามาในถ้ำ เดินผ่านทางเดินที่มีคบไฟจุดบอกทางเป็นระยะๆ ในแสงสลัวนั้น ไอ้โล้นเดินไปที่ห้องขังเหยื่อ เป็นกรงที่ทำจากไม้ท่อนใหญ่อันแข็งแรง ด้านหลังของกรงเป็นผนังหินของถ้ำ ในกรงมีเหยื่อหนุ่มฉกรรจ์อีกสองคนนอนนิ่งดูออกว่าไม่มีแรง พวกเขาส่งเสียงดังออกมาไม่ดังนัก
เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหลงใหล “อนิลทิตา อนิลทิตา”

ไอ้โล้นมองเข้าไปในกรงด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก มันเปิดประตูกรง เดินแบกร่างของสุรเดชเข้าไปวางลงที่พื้นถ้ำ แล้วออกมา ล็อกประตูด้วยกุญแจอย่างแน่นหนา

อ่านต่อหน้า 2

อนิลทิตา ตอนที่ 3 (ต่อ)

ค่ำคืนนั้น จักราคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน สีหน้าของเขาทั้งตกใจและกังวลมาก

“เดชหายไป? หายไปได้ยังไง”
พลโทร.มาจากบ้านพักเจ้าหน้าที่วนอุทยานในเชียงราย เด็กหนุ่มรู้สึกผิด ร้อนใจมาก
“เราพลัดหลงกันในป่าครับพี่จักร ติดต่อได้ครั้งสุดท้าย บอกว่าจะไปคุ้มเชียงแมน แล้ว...”
จักราพูดแทรกขึ้นมาอย่างร้อนใจ “คุ้มเชียงแมนอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้ครับ มันพูดๆ อยู่ก็หายไป แล้วก็...”
“แล้วอะไร”
“ก่อนที่สายจะตัดไป ผมได้ยินเสียงมันร้อง เหมือนโดนใครทำอะไรน่ะครับ พี่ แล้วจากนั้น ก็ติดต่อมันไม่ได้อีกเลย”
จักราวางสายจากพล อึ้ง
“เดช เกิดอะไรขึ้นกับแก”
จักรากดโทร.เข้าเบอร์สุรเดช
เสียงในมือถือดังออกมาว่า “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก”
จักราเป็นห่วงน้องชายมากเหลือเกิน หน้าตาเขาเป็นกังวลชัดแจ้ง ชายหนุ่มพยายามโทร.ใหม่อีกหลายครั้ง แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม

ตอนเช้าของวันนี้ ที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า ภายในสนามบินสนามบินสุวรรณภูมิ แลเห็นผู้โดยสายกำลังลากกระเป๋าเดินทางเดินกันไปมา บ้างก็มีญาติมารอรับ
ท่ามกลางผู้โดยสารเหล่านั้น มีหญิงสาวแต่งตัวสวยเก๋ทันสมัย ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาตามทาง หญิงสาวเดินมาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดเดินและถอดแว่นดำออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามชัดเจน เธอคือ เจ้าดาเรศ ณ เชียงแมน ในวัยเต็มสาว และเพิ่งเดินทางกลับจากเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ
ดาเรศมองซ้ายมองขวาแล้วลากกระเป๋าเดินทางตรงไปทางประตู

ครู่หนึ่งดาเรศเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์สายการบินในประเทศเพื่อเช็คอิน เธอยื่นบอร์ดดิ้งพาสของสายการบินให้ พนักงานรับไปแล้วตรวจดู
“คุณ ดาเรศ ณ เชียงแมน”
ดาเรศยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“ค่ะ”
“เดินทางไปเชียงราย เครื่องออกเวลาเที่ยงครึ่งนะคะ” พนักงานว่า
ดาเรศยิ้มรับ
“ส่วนกระเป๋าจะมีพนักงานมาจัดการให้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ”
พนักงานยื่นบอร์ดดิ้งพาสคืนให้ ดาเรศรับแล้วเดินออกไป

ดาเรศเดินคุยโทรศัพท์มาตามทางเดิน มือหนึ่งถือบอร์ดดิ้งพาส สอดส่ายสายตาดูโน่นดูนี่อย่างอารมณ์ดี เพราะได้กลับมาอยู่ในแผ่นดินเกิดแล้ว
“ค่ะ พี่พงษ์ ดากำลังรอต่อเครื่องอยู่ ไม่ได้กลับมาเมืองไทยตั้งหลายปี อะไรๆ ก็ดูแปลกตาไปหมด”

ส่วนอีกมุม จักราเดินสะพายเป้ใบใหญ่เดินมา ในมือถือบอร์ดดิ้งพาส ท่าทางเงียบขรึม แววตากังวลชัดแจ้ง เขามองไปข้างหน้าไม่ได้สนใจใคร ในมือถือแก้วกาแฟเพื่อดื่มแก้ง่วง
ดาเรศคุยโทรศัพท์ เดินเลี้ยวมาตามทางแยก
“อ้าว ที่คุ้มเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่เหรอคะ ไม่เห็นมีใครบอกดาเลย ค่ะๆ พี่พงษ์ส่งมาเลยค่ะ”
ดาเรศก้มหน้าก้มตาเปิดดูเบอร์โทร.ที่ส่งเข้ามาที่โทรศัพท์ โดยไม่ทันมองทาง เลยเดินชนจักราอย่างจัง
สองคนตกใจ “โอ๊ย” / “อุ๊ย”
แก้วกาแฟในมือจักรากระฉอกเปื้อนเสื้อตัวเอง แถมบอร์ดดิ้งพาสในมือของทั้งสองคน ตกลงไปที่พื้น
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ ฉันไม่ทันมอง”
จักราชักสีหน้าเอือมนิดๆ แต่ไม่ถือโทษ “ไม่เป็นไรครับ”
สองคนต่างรีบก้มลงเก็บบอร์ดดิ้งพาส จักราเก็บอีกใบขึ้นมา ทั้งคู่ดูบอร์ดดิ้งพาสในมือตัวเองเห็นเป็นเที่ยวบินเดียวกัน แต่พออ่านชื่อแล้วสลับกัน
“อันนี้ของคุณค่ะ ไม่ใช่ของฉัน”
จักราส่งบอร์ดดิ้งพาสในมือคืนให้ เจ้าดาเรศรับมายิ้มแหยๆ เรื่องทำกาแฟหกรดเขา
“ต้องขอโทษอีกทีนะคะ ฉันมัวแต่คุย ไม่ทันระวัง” หญิงสาวทำตาปริบๆ ท่าทีรู้สึกผิดอย่างจริงใจ “เสื้อคุณเปื้อนหมดเลย”
จักราเห็นดาเรศหน้าจ๋อยสนิท อดขำไม่ได้ ต้องยิ้มให้
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าคุณไม่ตั้งใจ”
ดาเรศยังรู้สึกไม่ดี “แต่เสื้อคุณสิคะ จะซักออกหรือเปล่าก็ไม่รู้ คุณจะกรุณาให้ฉันผิดชอบค่าเสียหายได้ไหมคะ ฉันรู้สึกไม่ดีเลย”
จักรามองเจ้าดาเรศนึกสงสาร ด้วยรับรู้ได้ว่าเธอรู้สึกผิดจริงๆ
“ถ้าคุณอยากรับผิดชอบ เอางี้ก็แล้วกัน”

ไม่นานนัก ดาเรศเดินถือกาแฟมาสองแก้ว กลับมาตรงมุมกาแฟ ในสนามบิน ตรงโต๊ะที่จักรานั่งรออยู่
“นี่ค่ะ คาปูชิโน่ไม่ใส่น้ำตาล ตามที่คุณสั่ง”
“ขอบคุณ...ถือว่าเราหายกันแล้วนะครับ”
ดาเรศลงนั่ง ชวนคุยอย่างมีไมตรี “คุณจักราไปเที่ยวเชียงรายเหรอคะ”
จักราขรึมลงนึกถึงน้องชายที่หายตัวไป “ไปธุระน่ะครับ” ชายหนุ่มตัดบท “แล้วคุณล่ะ”
“ดากลับบ้านค่ะ บ้านดาอยู่เชียงราย”
เจ้าดาเรศพูดอย่างสดใส ภูมิใจ จักรามองอย่างเอ็นดู

รชา ชายหนุ่มลูกครึ่งรูปร่างสูงใหญ่ เขาใส่กางเกงวอร์มตัวเดียวเปลือยท่อนบน กำลังซ้อมมวยอยู่กับฝรั่งตัวโต ยิมขนาดเล็กของเมาเท่นรีสอร์ท แต่ทันสมัย มีเครื่องออกกำลังกายครบครัน แม้จะเสียเปรียบด้านรูปร่าง แต่รชาหลบหมัดของคู่ชกชายฝรั่งอย่างคล่องแคล่ว คอยหาจังหวะชกกลับไปจังๆได้หลายที รชาหลอกล่อ ฝรั่งเดินเข้าใส่ รชาอาศัยจังหวะสวนกลับ ฝรั่งเสียหลักล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
รชายื่นมือที่สวมนวมดึงคู่ชกขึ้นมา ฝรั่งคู่ชกยิ้ม
“That’s it for today, Jack. I have to run”
รชาเดินมาดื่มน้ำที่มุมหนึ่งในยิม โทรศัพท์ดัง รชากดรับ
“ฮัลโหล ว่าไงไอ้จักร”
จักรายืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่บริเวณสายพานรับกระเป๋า
“ผมมาถึงแล้ว พี่ชาอยู่ไหน”
รชาเดินเข้าห้องอาบน้ำในยิม ตอบอย่างใจเย็น
“กำลังจะออกไปรับ ใจเย็น เดี๋ยวถึง”

พริบตานั้นเอง รชาขับรถจี๊ปห้อตะบึงมาด้วยความเร็วสูงราวกับจะบิน แล่นเลี้ยวลัดเลาะลงมาตามทางอันคดเคี้ยวอย่างบ้าระห่ำ ใบหน้ายิ้มร่าเริง ประสาคนไม่กลัวความตาย

จักราสะพายเป้ยืนรอรชามารับที่หน้าสนามบินเชียงราย ชายหนุ่มมองไปเห็นเจ้าดาเรศลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เดินมาอย่างทุลักทุเล จักรามองอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจเดินเข้าไปช่วย
“มันหนัก ผมช่วยดีกว่า”
“ขอบคุณมากค่ะ”
จักราลากกระเป๋ามาวางตรงทางออก
“คุณจักรรอคนมารับหรือคะ”
“ครับ แล้วคุณล่ะ กระเป๋าใบเบ้อเริ่ม จะไปยังไงจะติดรถไปกับผมไหม”
ดาเรศยิ้ม ซาบซึ้งในน้ำใจ “อุ๊ย อย่าเลยค่ะ เกรงใจ บ้านดาอยู่ไกล เดี๋ยวดานั่งรถรับจ้างไปได้ค่ะ ไม่ได้กลับบ้านมานานอยากชมเมืองเสียหน่อย ขอบคุณนะคะ”
รถจี๊ปเข้ามาจอดเอี๊ยดตรงที่จักรายืนอยู่ชนิดฝุ่นตลบ รชากดแตรเรียก คนมองกันทั้งสนามบิน
ดาเรศขำ “อย่าบอกนะคะ ว่านั่นเพื่อนคุณ”
จักราขำรชา “ห่ามอย่างนี้ไม่มีใครล่ะครับ เพื่อนผมแน่ๆ ไปก่อนนะครับ แล้วหวังว่าจะได้พบกันอีก”
จักราเดินไปขึ้นรถจี๊ป เจ้าดาเรศโบกมือให้อย่างน่ารัก

รชาขับรถแล่นมาตามถนน จักรานั่งอยู่ข้างๆ รชายิ้มกริ่มทำน้ำเสียงล้อๆ
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ใครวะ”
“คุณดาเรศ เจอกันโดยบังเอิญที่สุวรรณภูมิ เธอบอกว่าบ้านอยู่เชียงราย”
“สวยดีนี่หว่า”
“ผมมาตามหาน้องนะพี่ ไม่มีใจไปคิดเรื่องอื่นหรอก”

พูดเรื่องนี้แล้วจักราถอนหายใจ ด้วยความกังวล

อ่านต่อหน้า 3

อนิลทิตา ตอนที่ 3 (ต่อ)

รถจี๊ปขับแล่นมาหยุดจอดที่ลานจอดรถ ใกล้ป้าย Mountain Resort ของรชา ที่นี่เป็นรีสอร์ทขนาดกลาง ตกแต่งสไตล์แอดเวนเจอร์ สองหนุ่มก้าวลงจากรถ จักรากวาดสายตามองรีสอร์ทอย่างสนใจ

“เมาน์เทนรีสอร์ทยินดีต้อนรับ” รชายิ้มต้อนรับ
“ไม่ได้มาตั้งหลายปี ยังเหมือนเดิมเลยนะพี่”
“ลูกค้าฉันส่วนใหญ่มีแต่ฝรั่ง ที่ชอบมาเที่ยวแบบผจญภัย ปีนหน้าผา ขี่มอเตอร์ไซค์วิบาก ไม่ได้เน้นความหรูหราอะไรมาก”
รชากวักมือเรียกพนักงานรีสอร์ทที่เดินผ่านมา พลางหันมาพูดกับจักรา
“เอาเป้แกให้พนักงานไปเก็บไป” จักราปลดเป้ส่งให้พนักงาน รชาหันไปพูดบอก “เอาไปเก็บในห้องพักแขกพิเศษด้วย”

รชาพาจักรามานั่งที่ค็อฟฟี่ช็อปของรีสอร์ท เป็นมุมเด่นน่านั่งใต้ต้นไม้ร่มรื่น
“ไหนเล่าให้ฟังชัดๆ หน่อยซิ เดชมันหายตัวไปได้ยังไง”
“มันมาเดินป่ากับเพื่อนที่คณะ เพื่อนมันบอกว่า เดินๆ อยู่ไอ้เดชก็หายไป ครั้งสุดท้ายที่ติดต่อได้ มันบอกเพื่อนว่ามันจะไปที่คุ้มเชียงแมน”
รชาสะดุดหู รำพึงออกมา “คุ้มเชียงแมน เอ...ชื่นคุ้นๆ คุ้มเชียงแมน”
รชานิ่งคิด ทันใดนั้น เสียงหวานเจื้อยแจ้วก็ดังเข้ามา
“กาแฟสดมาแล้วค่า...”
เจ้าของเสียงเป็น ระจิต น้องสาวรชา สาววัยรุ่นอินเทรนด์ ใส่กางเกงขาสั้น แต่งตัวเปรี้ยวเหมือนวัยรุ่นเมืองกรุง ระจิตถือถาดกาแฟสดมาวางให้จักราบนโต๊ะ ยิ้มหวานทักจักราอย่างสนิทสนม
“ของพี่จักร คาปูชิโน่ไม่ใส่น้ำตาล ใช่ไหมคะ”
จักรามองระจิต ด้วยท่าทีแปลกใจ “รู้ได้ยังไงครับ”
ระจิตงอนใส่ “โห...พี่จักรจำหนูไม่ได้เหรอคะ”
“ไอ้จักร นี่ระจิต น้องสาวฉันไง” รชาแนะนำ
จักราทำท่านึก แล้วจำได้ “อ๋อ จำได้ล่ะ เมื่อก่อนตัวเล็กๆ ไม่ได้เจอซะหลายปี”
รชากัดต่อคำให้ “ก็ยังเตี้ยสั้นเหมือนเดิม”
ระจิตค้อนควัก “โห...พี่ชาอ่ะ มาว่าเขา…ตัวเล็กๆ น่ารักจะตาย จริงไหมคะพี่จักร”
“แกมาก็ดีแล้ว ถามหน่อยสิ เคยได้ยินชื่อคุ้มเชียงแมนไหม”
ระจิตนิ่งคิดครู่หนึ่ง “เอ...อ๋อ เหมือนเคยมีเพื่อนเม้าท์ให้ฟังน่ะค่ะ เขาว่ายัยเจ้าของคุ้มน่ะสวยมาก แล้วก็รวยมากด้วย แต่ทำตัวลึกลับยังกับแวมไพร์ ไม่ค่อยออกเจอะเจอใคร”
“แล้วมันอยู่ตรงไหน ระจิต ทำยังไง เราถึงจะเข้าไปที่นั่นได้”
ระจิตยิ้ม ทำท่าราวกับเป็นคนกำความลับสำคัญ จักรารอฟังดูมีความหวัง และหมายมั่นในการตามหาสุรเดชมาก

อีกฟาก รถรับจ้างแล่นมาจอดหน้าคุ้มเชียงแมน เจ้าดาเรศลงมาจากรถคันนี้ คนขับรถลงมาช่วยยกกระเป๋าส่งให้ แล้วขับรถออกไป
เจ้าดาเรศมองไปรอบๆ คุ้ม มองไปยังเรือนหลังใหญ่ ที่จากไปแสนนานด้วยความคิดถึง เจ้าดาเรศ พบเห็นว่าหลายอย่างเปลี่ยนไป ท่ามกลางความใหญ่โตของคุ้ม ดูลึกลับ ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไปทั่ว ขณะกำลังมองสำรวจอยู่นั้น ไอ้โล้นก็มายืนอยู่ข้างหลัง เจ้าดาเรศรู้สึกมีคนยืนอยู่ข้างหลัง
เสียงไอ้โล้นคำรามว่า “มาหาใคร”
เจ้าดาเรศหันไปเห็นก็ตกใจ ร้องอุทานเบาๆ
“อุ๊ย” แล้วก็จำได้ “โล้นใช่ไหมจ๊ะ ฉันดาเรศไง จำฉันได้ไหม”
“ครับ” ไอ้โล้นยืนนิ่ง ทำหน้าดุ
เจ้าดาเรศยิ้มแย้มร่าเริง “อ้าว จำได้แล้วก็ช่วยยกกระเป๋าหน่อยสิจ๊ะ มันหนัก มาคราวนี้ ฉันขนของกลับมาเพียบเลย จะไม่กลับ ไปเมืองนอกอีกแล้ว”
เสียงกระถิน สาวใช้ และเพื่อนเล่นสมัยเป็นเด็ก “มีอะไรหรือโล้น ใครมาน่ะ”
เจ้าดาเรศมองไปทางเสียง เห็นกระถิน หัวหน้าคนดูแลคุ้มเดินออกมา กระถินแต่งตัวด้วยชุดสาวพื้นเมืองแต่ดูสวยเด่นกว่าคนอื่นๆ เจ้าดาเรศทักยิ้มแย้ม
“ฉันเองจ้ะ กระถิน”
“เจ้าดาเรศ” กระถินดีใจ “สวัสดีค่ะเจ้า โอ้โห มายังไงคะเนี่ยไม่บอกไม่กล่าว นี่คุณโฉมรู้หรือเปล่าคะ”
“ไม่จ้ะ แต่กระถินอย่าเอะอะไปนะ ฉันจะเซอร์ไพรส์คุณแม่”
เจ้าดาเรศหัวเราะคิกคัก นึกสนุก ส่วนกระถินมีสีหน้าลำบากใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

ที่ห้องลับ ลึกเข้าไปภายในห้องนอนโฉมสุรางค์ ยามนี้
อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับนี้ เบื้องหน้ามีแท่นชุดบูชาเจ้าแม่กาลีตั้งตระหง่านอยู่ ใกล้ๆ ที่บูชามี เจ้าตองเหลือง งูเหลือมยักษ์เลื้อยออกมา โฉมสุรางค์ยกมือที่มีรอยเหี่ยวย่นนิดๆ ขึ้นมาดู
“คืนนี้เป็นคืนเพ็ญ ได้เวลาที่ข้าจะต้องอาบน้ำเลือดอีกครั้งแล้ว”
น้ำเสียงเริงร่าของเจ้าดาเรศดังลอดเข้ามาในนี้ “คุณแม่ขา คุณแม่ ยู้ฮู”
โฉมสุรางค์นิ่วหน้า ลุกขึ้น แล้วเดินออกมา

โฉมสุรางค์แหวกม่านที่กั้นระหว่างห้องบูชาออก เดินเข้ามาที่ห้องนอน พร้อมๆ กับที่เจ้าดาเรศเปิดประตูเจ้ามาร้องทักเสียงดีใจ
“คุณแม่”
โฉมสุรางค์ตกใจมากกว่าดีใจ เสียงแข็งนิดๆ “ดาเรศ ! มาได้ยังไง ทำไมไม่บอกก่อน”
เจ้าดาเรศชะงักนิดหนึ่ง กับน้ำเสียงเหมือนตำหนิกลายๆ โฉมสุรางค์รู้ตัวจึงพูดกลบเกลื่อน น้ำเสียงอ่อนลง
“แม่จะได้ส่งคนไปรับ”
เจ้าดาเรศโผเข้าไปกอดโฉมสุรางค์ไว้อย่างประจบ
“ดากะจะทำให้คุณแม่แปลกใจน่ะค่ะ”
โฉมสุรางค์ยอมให้เจ้าดาเรศกอด แต่ไม่ได้กอดตอบใบหน้าฝืนยิ้ม กระถินสังเกตเห็น รู้สึกแปลกที่โฉมสุรางค์ไม่ดีใจเท่าที่ควร
“แปลกใจ...แปลกใจมาก” โฉมสุรางค์ตัดบท “มาเหนื่อยๆ ไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน” พลางหันไปพูดกับกระถิน “กระถิน ให้แม่บ้านมาเปิดห้องให้คุณดาด้วย ทำความสะอาดให้เรียบร้อยละ”
“ค่ะ”
ดาเรศยืนงง กระถินเรียก
“ไปค่ะ เจ้า”
“จ้ะ” ดาเรศเดินออกไป
กระถินลอบมองดูท่าทางโฉมสุรางค์ด้วยความสงสัย เพราะนอกจากจะไม่ค่อยดีใจที่ลูกสาวกลับมา หน้ำซ้ำประมุขคุ้มเชียงแมน ยังมีท่าทางกังวลอย่างเห็นได้ชัด

กระถิน พร้อมด้วย แอ๋ว และอ๋อย ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินกลับมาที่เรือนคนใช้ กระถินเปิดฉากเมาท์
“น่าสงสารเจ้านะ อุตส่าห์อยากมาเจอคุณแม่ แต่คุณโฉมทำเช้ยเฉย ไม่ยักดีใจเท่าไหร่ที่ลูกสาวกลับจากเมืองนอก”
“ก็คงจะจริง ที่เขานินทากันว่าคุณโฉมไม่ค่อยรักลูกเท่าไร” แอ๋วบอก
“นั่นสิ พอเจ้าพงษ์สุริยันเสีย เจ้าศรีลัคนา เจ้าแม่ของเจ้าพงษ์สุริยัน ถึงต้องพาเจ้าดาเรศไปอยู่เมืองนอกด้วย” อ๋อยว่า
“ฮื่อ จริง ฉันก็พอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่าตอนเจ้าดาเรศยังเด็ก คุณโฉมก็ไม่สนใจใยดีเท่าไหร่ ยังกับไม่ใช่แม่ลูกกันงั้นแหละ”
กระถินมีสีหน้าครุ่นคิดและแปลกใจไม่หาย
ส่วนโฉมสุรางค์ลงนั่งที่หน้ากระจกในห้องนอนอย่างหงุดหงิด
“มาวันไหนไม่มา ดันมาเอาวันนี้ น่ารำคาญจริง”

ที่กระท่อมที่พักของบันดาสา ซึ่งเป็นกระท่อมเก่าๆ ทรุดโทรมทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงจาก กระท่อมนี้ตั้งอยู่ในดงไม้รกเรื้อหลังคุ้มเชียงแมนห่างไกลจากบ้านผู้คน
ไอ้โล้นแวะมาหา และส่งปิ่นโตกับข้าวมื้อเย็นให้บันดาสา
“ข้าว กินซะ”
บันดาสารับมา “ขอบใจ โล้น”
ไอ้โล้นหันหลังจะกลับ แต่ถูกบันดาสาคว้าตัวไว้
“เดี๋ยวก่อน โล้น ฉันได้ยินว่า เจ้าดาเรศกลับมาแล้วใช่มั้ย”
“ใช่”
บันดาสายังยิ้มดีใจค้างอยู่ “เธอคงโตขึ้นมาก หน้าตาจะสะสวยแค่ไหน ข้าอยากไปเจอเธอเหลือเกิน”
ไอ้โล้นเสียงเข้ม “ไม่ได้ นายไม่ให้เข้าไปในเขตคุ้ม จำไม่ได้รึไง”
บันดาสานึกได้ หน้าสลดลง แต่ในใจยังอยากเจอลูกสุดหัวใจ

พระจันทร์เต็มดวงแลเห็นเด่นชัดจากจากปล่องในถ้ำ บอกให้รู้ว่า ราตรีนี้เป็นคืนครบกำหนดที่อนิลทิตาจะต้องอาบน้ำเลือดอมฤตอีกครั้ง
สุรเดชฟื้นขึ้นมาอย่างงงๆ นึกทบทวนเหตุการณ์ เขารู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย พอยกมือคลำดูจึงรู้ว่าเนื้อบริเวณนั้นปูดขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่ สุรเดชพยายามปรับสายตาให้เข้ากับแสงสลัวๆ กวาดตามองไปรอบๆ จนเห็นร่างชายหนุ่มสองคนนอนนิ่งอยู่ในห้องขังนี้ด้วย สุรเดชตกใจรีบตั้งสติ สังเกตเห็นอีกว่าชายทั้งสองคนยังมีลมหายใจ แต่อ่อนแรงเต็มทน สุรเดชไม่กล้าปลุก ลุกขึ้นเงียบๆ เดินสำรวจไปทั่วห้องขังเพื่อหาทางหนี
สุดท้ายเดินไปดูที่ประตู เห็นโซ่และแม่กุญแจคล้องอยู่อย่างแน่นหนา เขาลองเขย่าดูก็รู้ว่ามันแข็งแรงมาก ไม่มีทางพังออกไปได้ง่ายๆ สุรเดชกำลังจะเดินไปดูผนังถ้ำด้านหลัง แต่มีเสียงฝีเท้าคนเดินมา สุรเดชตกใจ รีบแกล้งนอนสลบตรงที่เดิม
สักครู่หนึ่ง ไอ้โล้นไขกุญแจเปิดประตูห้องขัง สุรเดชแอบหรี่ตาดู พยายามคิดหาหนทางหนี
ไอ้โล้นเดินมาหยุดตรงร่างสุรเดช มันมองดูว่าฟื้นหรือยัง สุรเดชเกร็งไปทั้งร่าง หายใจไม่ทั่วท้อง แล้วโล้นก็เดินผ่านสุรเดชไปที่เหยื่อคนถัดไป
สุรเดชตัดสินใจในชั่วพริบตา ฉวยจังหวะที่ไอ้โล้นไม่ทันระวังตัว ลุกพรวดพราดขึ้นวิ่งกระแทกไอ้โล้นจนมันล้มลง แล้ววิ่งหนีออกไปโดยไม่เหลียวหลัง ปากก็ร้องตะโกนก้องไปทั้งถ้ำ
“ช่วยด้วย ใครได้ยินผมไหมครับ ช่วยด้วย”
ไอ้โล้นลุกขึ้นได้ จะวิ่งตามสุรเดชไป แต่เหยื่ออีกคนขยับตัว เกาะแข้งขา มันเลยต้องเสียเวลาจัดการ แล้วล็อคประตูห้องขังก่อนจะวิ่งตามไป

สุรเดชวิ่งกระเซอะกระเซิงมาตามทางเดินในถ้ำ เหลียวหาทางออก เสียงไอ้โล้นคำรามดังตามหลังมา สุรเดชหันไป เห็นโล้นวิ่งไล่กวดตามใกล้เข้ามา สุรเดชตัดสินใจผลักที่ตั้งคบไฟให้ล้มขวางทาง ไอ้โล้นจึงต้องเสียเวลาจัดการกับคบไฟ เพื่อไม่ให้ไหม้ลุกลาม

ฟากอนิลทิตาในรูปลักษณ์ของโฉมสุรางค์นั่งนิ่งอยู่ที่หน้ากระจกในห้องนอน รอคอยเวลา นางยกมือแตะใบหน้าที่เริ่มเหี่ยวย่น แล้วจับผมที่เริ่มหงอกขาว นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย
ที่มุมลับตาคน โฉมสุรางค์สั่งการให้ไอ้โล้นเตรียมพิธีอาบน้ำเลือดอมฤตคืนนี้
“ไอ้โล้น คืนนี้เป็นคืนเพ็ญ แกรีบไปจัดการเหยื่อให้เรียบร้อย”
“ครับนาย”
โฉมสุรางค์ลุกเดินออกไปจากห้อง เจอเจ้าดาเรศที่หน้าห้อง
“คุณแม่จะไปไหนคะ”
“ไปธุระ” โฉมสุรางค์ตอบเสียงห้วน

“ให้ดาไปด้วยนะคะ”
โฉมสุรางค์ ดุด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะไปทำไม” แต่พอเห็นเจ้าดาเรศหน้าเสีย น้ำเสียงก็เลยอ่อนลง “อยู่บ้านเถอะ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”
เจ้าดาเรศอึ้งไป “ค่ะ คุณแม่”
โฉมสุรางค์เดินลงจากระเบียงไปเลย เจ้าดาเรศมองตาม รู้สึกเสียใจนิดๆ ที่แม่เย็นชาและไม่ให้ตามไป

ทางด้านสุรเดชวิ่งกระหืดกระหอบมาในป่าที่มืดสลัวโดยไม่รู้ทิศทาง ไอ้โล้นวิ่งตามมาจวนจะถึงตัวอยู่แล้ว สุรเดชรวบรวมกำลังเท่าที่มีวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต
สุรเดชเหนื่อยหอบ ไอ้โล้นวิ่งตามมาทัน มันกระโดดตะครุบตัวของสุรเดชเอาไว้ได้ ร่างของสุรเดชล้มกลิ้ง สุรเดชดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด เพราะไอ้โล้นมีแรงมากกว่า สุรเดชจึงฟันศอกใส่ไอ้โล้นอย่างแรง หลุดออกมาได้ รีบลุกขึ้นวิ่งต่อไป
ไอ้โล้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มันกระโดดคว้าตัวสุรเดชไว้ได้อีกครั้ง สุรเดชรวบรวมกำลังสุดท้ายเหวี่ยงไอ้โล้นสุดแรงจนหัวมันชนต้นไม้ ไอ้โล้นมึน สุรเดชฉวยจังหวะวิ่งหนีพ้นอาณาเขตป่า ขึ้นสู่ถนนใหญ่

ที่มุมหนึ่งของถนนใหญ่ซึ่งสองข้างทาง เป็นราวป่ารกครึ้มบริเวณคุ้มเชียงแมน รชาขับรถพาจักรามาในบริเวณนี้ ตามคำขอของจักรา แต่ไม่วายบ่น
“ที่บริเวณนี้ทั้งหมด เป็นของคุ้มเชียงแมน แต่แกจะมาดูอะไรตอนนี้วะ มืดๆ ค่ำๆ จะมองเห็นอะไร
“ก็มาดูลาดเลาไว้ก่อน ผมไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ”
“แกคิดว่าน้องชายแกอยู่ในคุ้มเชียงแมนงั้นหรือ”
“ผมไม่รู้ แต่ผมสังหรณ์ใจว่าเดชมันจะได้รับอันตราย แล้วนี่ก็เป็นเบาะแสเดียวที่ผมมี”

ขณะที่รถจี๊ปรชาแล่นมาตามถนนท่ามกลางแสงของคืนพระจันทร์เต็มดวง สองข้างทางยังเป็นแนวป่ารกครึ้ม
จู่ๆ ก็มีร่างตะคุ่มๆ ร่างหนึ่งพรวดพราดออกมาตัดหน้ารถจี๊ปอย่างกะทันหัน รชาตกใจ เหยียบเบรคดังเอี๊ยด ลั่นถนน
ใบหน้าของสุรเดชที่ถูกรถชนต้องแสงจันทร์และแสงไฟหน้ารถ ขณะหันหน้ามายังกระจกหน้ารถ สองหนุ่มมองเห็นหน้าสุรเดชชัดเจน
จักราที่นั่งอยู่ข้างๆ รชา ตกตะลึงถึงขีดสุดเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
ร่างของสุรเดชกลิ้งหล่นลงจากหน้าหม้อรถ
จักราเปิดประตูวิ่งพรวดลงไปดู พลิกร่างสุรเดชหงายขึ้นมา ทั้งตกใจ แปลกใจ
“เฮ้ย เดช”
จักรายิ่งตกใจเมื่อเห็นสภาพมอมแมมของน้องชาย แถมที่มุมปากยังมีเลือดสดไหลรินออกมาอีกด้วย รชาวิ่งตามมาดูอีกคน
“นี่มันน้องแกนี่หว่า”
จักราเขย่าร่างสุรเดชเรียกสติให้รู้ตัว “เดช! เดช!”
สุรเดชแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น รชามีสติมากกว่า จึงบอกจักราว่า
“รีบพาเดชไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
รชาช่วยจักราอุ้มร่างสุรเดชขึ้นรถ แล้วขับรถทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

โฉมสุรางค์มาถึงถ้ำรู้เรื่อเข้าก็ตบหน้าไอ้โล้นฉาดใหญ่ด้วยความโมโหสุดขีด
“ปล่อยให้มันหนีไปได้ยังไง ไอ้โล้น”
ไอ้โล้นก้มหน้านิ่ง ไม่พูดอะไร
“ถ้ามันรอดไปได้ แล้วความลับเรารั่วไหล ฉันจะทำยังไง”

อมนุษย์ ทาสผู้ซื่อสัตย์ก้มหน้านิ่ง ไหล่ลู่ลงข้างตัวท่าทางหวาดกลัวสุดขีด ขณะที่โฉมสุรางค์กลุ้มใจและกังวลเป็นอย่างหนัก

อ่านต่อหน้า 4

อนิลทิตา ตอนที่ 3 (ต่อ)

บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลค่ำคืนนี้ จักรายืนมองร่างน้องชายผ่านกระจกหน้าห้องด้วยความเป็นห่วง เห็นทั้งหมอ และพยาบาลกำลังช่วยกันรักษาอาการของสุรเดชอย่างเร่งด่วน พยาบาลคนหนึ่งเปิดประตูห้องออกมาอย่างเร็ว จนเกือบกระแทกกับจักรา

“ขอทางหน่อยนะคะ”
จักราถอยห่างออกมาจากหน้าห้องฉุกเฉิน แต่ก็ไม่ไปไหนไกล เดินงุ่นง่านอยู่แถวนั้น
“นั่งลงก่อนเถอะวะจักร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอเขา”
จักราเป็นห่วงน้องไม่คลาย “เดชมันไปทำอะไรแถวนั้น”
“ดูจากท่าทาง เหมือนมันวิ่งหนีอะไรมา” รชาตั้งข้อสังเกต
“นั่นสิพี่ เดชมันวิ่งหนีอะไร” จักราค้างคาใจมาก

โฉมสุรางค์กลับเข้าห้องลับ เข้าสู่สมาธิต่อหน้าเทวรูปเจ้าแม่กาลี ได้ยินเสียงท่องมนตราภาษาประหลาดดังขึ้นๆ และแล้วอนิลทิตา ในเสื้อผ้าอาภรณ์สตรีโบราณเหมือนเมื่อ 300 ปีก่อน ก็ค่อยๆ ลุกออกจากร่างของโฉมสุรางค์

ส่วนสุรเดชยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง มีจักราและรชายืนดูอาการอยู่ด้วยความเป็นห่วง หมอเจ้าของไข้ ตรวจอาการอยู่สักครู่ จึงหันมาทางสองหนุ่ม
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ มีอาการฟกช้ำที่หัวและตามตัวแล้วก็ขาดน้ำ หมอทำแผลและฉีดยาบำรุงให้ พรุ่งนี้คงจะดีขึ้น ไม่มีอะไรแล้ว หมอขอตัวก่อนนะครับ
“ครับ ขอบคุณครับคุณหมอ”
หมอเดินออกไป จักรานั่งลงที่ข้างเตียงมองดูน้องชายอย่างเป็นห่วง รชาเดินเข้ามาจับหัวไหล่ บีบเบาๆ ปลอบ และให้กำลังใจ
จักราหันไปพูดกับรชา “เดี๋ยวผมจะอยู่เฝ้าเดชที่นี่ ไม่อยากทิ้งไว้คนเดียว”
“โอเค งั้นฉันกลับบ้านก่อน พรุ่งนี้จะมาหาแต่เช้า”
จักราพยักหน้ารับ หันกลับไปมองสุรเดช ขณะที่รชาเดินออกไป
จักรามองร่างไร้สติลูบแขนน้องชาย ด้วยความสงสารและห่วงใย อยากให้น้องรู้สึกตัวไวๆ เมื่อไม่เห็นว่าสุรเดชจะมีท่าทีฟื้นตื่นขึ้นมา จักราถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม แล้วลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ สุรเดช ยังคงนิ่งอยู่บนเตียง

จักราวักน้ำลูบหน้าด้วยความกลัดกลุ้ม
“เดช ใครทำอะไรแก”

อนิลทิตาปรากฏร่างขึ้นข้างเตียง มองสุรเดชที่นอนนิ่งอยู่ แล้วเป่าควันสีม่วงใส่ที่หน้า สุรเดชค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองเห็นอนิลทิตารางๆ แล้วค่อยๆ ชัดขึ้นๆ สุรเดชเผยอยิ้มอย่างหลงใหล
“อนิลทิตา”
สุรเดชเอื้อมมือไปหมายจับตัวอนิลทิตา แต่อนิลทิตาเคลื่อนตัวถอยห่างออก ยิ้มยั่วยวน
“มากับข้าเถิด”
อนิลทิตาหันหลังให้สุรเดช แล้วเดินหายไปตรงประตู สุรเดชลุกจากเตียงเปิดประตูเดินโผเผตามไป
จักราเดินออกจากห้องน้ำ ตกใจมากเมื่อพบว่าสุรเดชไม่ได้นอนอยู่บนเตียงเหมือนเก่า เขาถลาไปที่ประตูห้องเปิดออกไป และเห็นสุรเดชกำลังวิ่งตามหลังอนิลทิตาไปไวๆ แต่จักราไม่เห็นอนิลทิตา จักราวิ่งตามน้องชายไปทันที

จักราพยายามวิ่งตามสุรเดชขึ้นไปตามบันไดหนีไฟขึ้นไปยังดาดฟ้า ปากก็ตะโกนเรียกไม่หยุด
“เดช…เดช” แต่สุรเดชไม่ยอมหัน “เดช แกได้ยินพี่ไหม เดช หยุดนะ”
แต่สุรเดชไม่สนใจเสียงเรียกของจักรา จดจ่อกับการไล่ตามอนิลทิตาไปอย่างไม่ลดละ
“อนิลทิตา”
จักราตามหลังสุรเดชไป แต่ทิ้งระยะห่างพอสมควร

สุรเดชยืนอยู่ริมขอบตึก โดยหันหน้าออกไป สุรเดช เห็นอนิลทิตายืนยิ้มอยู่กลางอากาศ สุรเดชเคลิ้มคล้อยอยู่ในมนต์สะกด
“อนิลทิตา”
อนิลทิตายิ้มหวานมาให้สุรเดช นางยื่นมือออกมาเหมือนจะหลอกล่อให้สุรเดชจับ
“มาหาข้าเถิด ยอดรัก”
สุรเดชถลาไปตามเสียงเรียก ปากร้องดังก้อง
“อนิลทิตา”
จักราวิ่งตามสุรเดชขึ้นมาบนดาดฟ้า ทันเห็นร่างน้องชายลอยละลิ่วลงจากขอบตึก โดยไม่เห็นอนิลทิตา
“เดช…อย่า”
สุรเดชโอบกอดอนิลทิตาอยู่ เขายิ้มแย้มเคลิ้มฝัน
จักรามีสีหน้าตกใจสุดขีด วิ่งเข้าไปหาน้องชายเพื่อจะจับตัวไว้แต่ไม่ทัน ร่างสุรเดชลอยละลิ่วตกตึกไปต่อหน้าต่อตาเขา
จักราช็อก ตกใจสุดขีด ร้องตะโกนก้อง “ไม่...”
จังหวะนี้เอง อนิลทิตาซึ่งโอบประคองร่างสุรเดชลอยลงจากตึก มองไปเห็นจักราเต็มๆ ตา อนิลทิตามีสีหน้าตื่นตะลึงสุดขีด

โฉมสุรางค์กำลังนั่งสมาธิถอดวิญญาณอยู่ในห้องลืมตาขึ้นทันควัน สีหน้าตกตะลึง
“สินธุ”

โฉมสุรางค์เอาเรื่องมาบอกบันดาสาในตอนเช้าตรู่ เธอถลาเข้ามาเขย่าตัวบันดาสา ด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจอย่างระงับอาการไม่อยู่
“ใช่เขาแน่ ๆ พี่บันดาสา! สินธุเขากลับชาติมาเกิดแล้ว..ในที่สุดข้าก็ได้พบเขา ได้พบเขาจริงๆ”
“แม่หญิงแน่ใจรึว่าเป็นเขา”
“แน่ใจที่สุด...” โฉมสุรางค์ยิ้มพรายก้มลงกำเหรียญท้าวเวสสุวัณของสินธุเอาไว้แน่น สีหน้าเพ้อฝัน “ข้าจำเขาได้ไม่มีผิด...ข้ารอเขามานานเหลือเกิน สามร้อยปี และคราวนี้จะไม่ยอมให้เขาไปไหนอีก ความรักของเรากำลังจะสมหวัง เราจะต้องได้อยู่ด้วยกัน วันที่ข้ารอคอยมาถึงแล้ว”
“แต่แม่หญิงเพิ่งฆ่าเหยื่อ น้องชายเขา ตายไปต่อหน้าต่อตาเขา”
โฉมสุรางค์ชะงักงันไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พูดออกมาอย่างมั่นใจ “แต่เขาไม่เห็นข้าหรอก” น้ำเสียงนางเหมือนมั่นใจมากขึ้น “และเขาก็จะไม่มีวันรู้ด้วยว่าข้าเป็นคนทำ พี่บันดาสาอย่าห่วงเลย”
“ถ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้าก็ดีใจด้วย ที่แม่หญิงกำลังจะสมหวัง” บันดาสาจับแขนโฉมสุรางค์ พร้อมกับยิ้มให้ แต่ลึกๆ ยังกังวลอยู่
“คราวนี้ข้าจะต้องสมหวังแน่ ข้าจะทำทุกวิถีทางให้สินธุมาอยู่กับข้าโดยเร็วที่สุด ไม่มีอะไรที่จะมาขวางได้”
สีหน้าและแววตาโฉมสุรางค์มุ่งมั่นจริงจังยิ่งนัก

ศพสุรเดชถูกนำมาประกอบพิธีที่วัดแห่งหนึ่งในเชียงราย จักรากำลังนั่งมองดูโลงศพ และรูปหน้าศพของสุรเดชนิ่ง รูปนั้นเป็นรูปถ่ายคู่กันที่มีอยู่ในกระเป๋าทั้งสองพี่น้อง แต่ตัดเฉพาะรูปสุรเดชมาทำรูปงานศพ จักราดูรูปและโลงศพด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ไม่อยากเชื่อว่าน้องชายจากไปแล้ว ดวงตาของเขาบวมช้ำ แต่ไม่มีน้ำตา รชานั่งอยู่ข้างๆ มองเพื่อนรุ่นน้องอย่างเป็นห่วง
“ทำใจดีๆ ไว้จักร” รชาคิดคำปลอบใจอื่นไม่ออก ได้แต่ตบบ่าเพื่อนให้กำลังใจ
“ผมไม่เข้าใจ...มันเกิดอะไรขึ้นกับเดช”
“ฉันก็ไม่เข้าใจแหมือนกัน น้องแกเดินไปที่ดาดฟ้าได้ยังไง”
“มันเหมือนเดินตามใครไป” จักรานึกออก “ใช่แล้ว ผมได้ยินมันเรียกชื่อ อนิลทิตา”
“อนิลทิตา... ชื่อผู้หญิง” รชาว่า
“เธอเป็นใครกันแน่” จักรารำพึง “อนิลทิตา เธอคือใคร”
ระหว่างนี้ ระจิตเดินนำหมวดเสก ตำรวจเจ้าของคดี และหมวดสมชายเข้ามาหาสองหนุ่ม
“พี่จักร พี่ชา นี่หมวดเสกกับหมวดสมชายค่ะ เค้าอยากคุยกับพี่เรื่องคดีน่ะค่ะ”
จักราและรชา ไหว้นายตำรวจทั้งสอง หมวดเสกพูดขึ้น
“ผมเป็นตำรวจเจ้าของคดี ผมอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ตายเพิ่มเติมน่ะครับ จะได้ใช้เป็นข้อมูลในการสรุปคดี”

ไม่นานต่อมา บริเวณอีกมุมในวัดที่จัดงานศพของสุรเดช จักรากำลังทะเลาะกับ หมวดเสก ตำรวจเจ้าของคดี โดยมีหมวดสมชาย และ รชาอยู่ด้วย
“น้องผมไม่ได้ฆ่าตัวตายครับ” จักรายืนกรานหนักแน่น
“เอ่อ...”หมวดเสกอยากสรุปคดีให้เสร็จไปเร็วๆ “แต่นายสุรเดชกระโดดลงมาจากดาดฟ้าตึก คุณจะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุงั้นเหรอครับ”
“ไม่ใช่” จักราย้ำ “แต่ยังไงน้องผมก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
“งั้นน้องคุณมีประวัติเสพยาประเภทหลอนประสาทหรือมีอาการผิดปกติทางประสาทหรือเปล่าครับ”
รชางง “คุณจะว่าไอ้เดชมันบ้างั้นเหรอ”
จักราไม่เชื่อ โพล่งขึ้น “น้องผมไม่ได้บ้า แล้วก็ไม่เคยติดยา เขากำลังจะเรียนจบมีชีวิตที่ดี มีอนาคตที่ดี ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะอยากฆ่าตัวตาย”
รชาปราม “เฮ้ย จักร ใจเย็น”
หมวดเสกยักไหล่ “ถ้าไม่มีข้อสันนิษฐานอื่น ผมก็คงต้องสรุปคดีว่า น้องคุณฆ่าตัวตาย”
ว่าพลางหมวดเสกขอตัวเดินออกไปทันที จักราแค้นมาก เหลือแต่หมวดสมชายยืนมองไปที่จักราอย่างเห็นใจ

เย็นนั้น หมวดสมชายคุยอยู่กับรชา และระจิต ส่วนจักรานั่งระงับสติอารมณ์อยู่มุมหนึ่ง
“ผมเชื่อว่าการตายของนายสุรเดชมีเงื่อนงำ” ผู้หมวดบอก
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้น แล้วก็น่าจะเกี่ยวข้องกับคุ้มเชียงแมน เพราะก่อนตาย เขาหนีออกมาจากที่นั่น”
“ถ้าอย่างนั้น คุณตำรวจก็น่าจะไปสอบสวนคนที่คุ้มนะคะ” ระจิตว่า
“เมื่อตอนกลางวัน หมวดเสกไปสอบปากคำคุณโฉมสุรางค์ เจ้าของคุ้มเชียงแมนมาแล้วครับ ผมก็ตามไปด้วย”
“แล้วเธอว่ายังไงคะ”
หมวดสมชายเล่าให้สองพี่น้องฟังว่า เมื่อตอนกลางวันนี้เอง เขากับหมวดเสกไปสอบปากคำโฉมสุรางค์ที่คุ้มเชียงแมน

โดยโฉมสุรางออกมาต้อนรับ พร้อมกับส่งยิ้มหวานอ่อนโยนมาให้ เมื่อถูกถาม
“ฉันไม่ทราบค่ะ นายคนนั้นอาจจะแอบปีนเข้ามาขโมยอะไรที่ในคุ้มละมั้งคะ”
หมวดสมชายกับหมวดเสกนั่งอยู่ตรงข้ามโฉมสุรางค์กลางโถงรับแขก
“แล้วที่นี่มีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่าครับ” หมวดเสกท่าทางประจบ ด้วยหลงเสน่ห์โฉมสุรางค์จังๆ
โฉมสุรางค์ยิ้มหวานที่ปาก แต่แววตาไม่ยิ้มสักนิด “ไม่มีอะไรหายหรอกค่ะ เพราะนายคนนั้นคงจะไปเจอเข้ากับสัตว์เลี้ยงของดิฉัน งูเหลือมยักษ์น่ะค่ะ ถึงได้ตกใจ วิ่งเตลิดไปอย่างนั้น”
หมวดสมชายมีสีหน้ายังเคลือบแคลง “แค่งูเหลือมตัวเดียวคงไม่ขวัญเสียขนาดนั้นมั้งครับ แต่เขาตกใจเหมือนเจออะไรที่น่ากลัวกว่านั้น”
โฉมสุรางค์ยิ้มหวานหว่านเสน่ห์ “คุ้มนี้จะมีอะไรน่ากลัวคะ คุณตำรวจ เราก็อยู่กันตามประสา มีแต่ผู้หญิงกับคนงาน จะไปทำอะไรใครได้คะ”
หมวดเสกหลงรูปโฉมสุรางต์เอามากเลยพยายามเออออตามไป “ก็นั่นน่ะสิครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไม่รบกวนคุณโฉมล่ะ ลาเลยนะครับ”
ทั้งสองลุกขึ้นจะเดินออกไป โฉมสุรางค์นึกอะไรได้ เรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะ ผู้หมวด ฉันอยากถามอะไรอย่างหนึ่ง เอ่อ...ผู้ตายเขามีเพื่อนหรือมีญาติมาด้วยใช่ไหมคะ”
“อ๋อ เป็นพี่ชายครับ ชื่อ จักรา”

โฉมสุรางค์พึมพำชื่อ “จักรา” ออกมาด้วยแววตามุ่งมั่นหมายมาด

อ่านต่อตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น