อนิลทิตา ตอนที่ 4
มุมหนึ่งในงานศพสุรเดชที่วัดแห่งนั้น เมื่อจักราฟังหมวดสมชายเล่าจบ ก็ถามขึ้นทันที
“หมวดคิดว่าคุณโฉมสุรางค์ปิดบังอะไรหรือครับ”
“ในช่วงหลายปีมานี้ มีชายหนุ่มหลายคนหายตัวไปอย่างลึกลับ ในจุดที่ใกล้เคียงกับอาณาเขตของคุ้มเชียงแมน”
รชาถามขึ้น “หมวดคิดว่าสุรเดชเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นหรือไง”
หมวดสมชายบอกว่า “ผมไม่แน่ใจ แต่มันเป็นคดีที่ผมกำลังตามสืบอยู่”
จักราถามเรื่องคาใจ “ก่อนตาย น้องชายผมพูดถึงชื่อ อนิลทิตา คุณตำรวจเคยได้ยินชื่อนี้ไหมครับ”
หมวดสมชายส่ายหน้า “ไม่เลยครับ”
“อาจเป็นใครซักคน ที่อยู่ในคุ้มเชียงแมน” รชาว่า
จักราบอก “เรื่องนี้ คุณโฉมสุรางค์ เจ้าของคุ้มเชียงแมน น่าจะตอบเราได้”
ค่ำนั้นโฉมสุรางค์ตัดสินใจขับรถมาจอดซุ่มดูตรงปากทางเข้าวัดที่จัดงานศพ เธอลดกระจกลง มองไปที่ถนนอย่างรอคอย แสงไฟบนถนนเล็กๆ นั้นส่องพอเห็นหน้าว่าใครเป็นใคร
รชาขับรถจี๊ปออกมา จักรานั่งหน้าคู่กัน ส่วนระจิตนั่งข้างหลัง รชาขับรถช้าๆ แสงไฟเหนือถนนตกตรงหน้าจักราพอดี โฉมสุรางค์เห็นก็จำได้ หัวใจเต้นแรง เพ่งมองด้วยความรัก และความคิดถึงคะนึงหา ครวญออกมาเบาๆว่า
“สินธุ ยอดรักของข้า”
รถจี๊ปเคลื่อนผ่านไป จักราหันมาทางโฉมสุรางค์ เหมือนว่าสองคนจะมองหน้ากัน แต่สายตาของจักรามองเหม่อออกไป ไม่สนใจโฉมสุรางค์ที่มองตามเขาจนเหลียวหลัง
“สินธุ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้าตามสัญญา สามร้อยปีมันยาวนานเหลือเกิน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปอีกเป็นอันขาด”
ค่ำวันเดียวกัน เจ้าดาเรศใส่ผ้ากันเปื้อน ยกอาหารจานพิเศษ เทอร์กี้โรลส์ ที่ทำเอง ออกมาวางบนโต๊ะสวยนอกชานเรือนใหญ่ ของคุ้มเชียงแมน หญิงสาวอารมณ์ดีเป็นพิเศษ กระถินเดินมาหา
“โอ้โห หอมจังเลย นี่อะไรคะเจ้า”
“เทอร์กี้โรลส์จ้ะ” เจ้าดาเรศยิ้มกริ่มภูมิใจ
กระถินมองดูอาหาร “แล้วไอ้กี้ๆ โลๆ นี่มันคืออะไรคะ”
“มันทำมาจากเนื้อไก่งวงน่ะจ้ะ นี่เป็นจานเด็ดของฉันเลยนะ ฉันอยากทำให้คุณแม่ชิม”
“โห เสียดายจังค่ะ คุณโฉมไม่อยู่” กระถินนึกเห็นใจ
เจ้าดาเรศไม่รู้ “อ้าว”
“คุณโฉมออกไปงานศพค่ะ สั่งไว้ว่าให้เจ้าทานก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”
เจ้าดาเรศน้ำเสียงเสียดาย “ว้า แย่จัง”
“เจ้าทานก่อนไหมคะ เดี๋ยวไอ้กี้ๆ นี่จะเย็นซะหมด”
เจ้าดาเรศถอดผ้ากันเปื้อนออก ส่งให้กระถิน
“เย็นก็อุ่นได้จ้ะ กระถินเอาไปใส่ไว้ในตู้เย็นก่อน ฉันยังไม่หิวหรอก จะรอคุณแม่”
เจ้าดาเรศเดินออกไป กระถินมองตามด้วยความสงสาร
เจ้าดาเรศลงมานั่งเล่นรับลมที่โต๊ะสนามในสวนหลังคุ้ม มีแสงจากโคมไฟ ส่องลอดออกมา พอให้เห็นได้รางๆ
มีสายตาคู่หนึ่งแอบมองเจ้าดาเรศผ่านพุ่มไม้ ที่แท้เป็นบันดาสานั่นเอง ที่แอบอยู่หลังพุ่มไม้ มองลูก ด้วยความรัก และคิดถึง
“ลูกแม่”
เจ้าดาเรศที่นั่งอยู่ รู้สึกเหมือนมีใครแอบมอง หันมาทางพุ่มไม้ อารามตกใจ บันดาสาเหยียบกิ่งไม้แห้งหักดัง เจ้าดาเรศลุกขึ้นยืน
“ใครน่ะ”
บันดาสาตวัดผ้าคลุมหน้า ออกวิ่งหนีไปในทันที เจ้าดาเรศได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่ง ก็ยิ่งสงสัยขยับตัวตาม
“ใครน่ะ หยุดก่อน”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ เจ้าดาเรศตัดสินใจวิ่งตาม
บันดาสาวิ่งหนีมาตามรกเรื้อ ท่าทีละล้าละลัง เจ้าดาเรศวิ่งตาม เห็นเงาตะคุ่มๆ ข้างหน้าเป็นหญิงแก่ในผ้าคลุมมอซอ
“ใครน่ะ หยุดนะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณแม่”
บันดาสายิ่งกลัว วิ่งหนี เจ้าดาเรศสะดุดรากไม้ ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า
“โอ๊ย”
บันดาสาสะดุ้ง ตกใจ หยุดทันที เจ้าดาเรศกุมข้อเท้าด้วยความเจ็บ พยายามจะยันตัวขึ้น แต่ก็ฟุบลงไปอีก
“โอ๊ย เจ็บ”
บันดาสาแอบดูเป็นห่วงลูกเหลือเกิน อยากเข้าช่วย แต่ก็กลัวเรื่องจะถึงหูอนิลทิตา
“ลูก...”
สุดท้ายบันดาสาตัดสินใจ ค่อยๆ ย่องกลับมา เอาผ้าคลุมหน้ามิดชิด เจ้าดาเรศที่ฟุบอยู่ เห็นบันดาสาเดินตรงมา จึงแกล้งฟุบนิ่งอยู่อย่างนั้น รอจังหวะ
บันดาสาย่องมาใกล้ ถามเสียงแหบแห้ง
“เจ้าเจ็บตรงไหน”
เจ้าดาเรศเงยหน้าทันที คว้ามือบันดาสาไว้หมับ!
“จับตัวได้ละ”
บันดาสาตกใจ มือหนึ่งจับผ้า ดิ้นหนี “ปล่อยนะ ปล่อย”
“ยายเรียกฉันว่าเจ้า ยายรู้จักฉันใช่ไหม ยายเป็นใครคะแล้วมาแอบดูฉันทำไม”
บันดาสาบอก “ปล่อย”
บันดาสาสะบัดเต็มแรงจนหลุด แล้ววิ่งหนี เจ้าดาเรศลุก จะตาม
ทันใดนั้นเอง มีร่างใครคนหนึ่งพุ่งออกมาทางซ้าย ชนเจ้าดาเรศพอดี ทั้งคู่ล้มกลิ้งไปด้วยกัน เจ้าดาเรศตกใจมาก กลัวว่าจะเป็นสัตว์ร้าย แต่ร่างนั้นรีบเข้ามาพยุงเจ้าดาเรศขึ้น เจ้าดาเรศมองเห็นเป็นผู้ชาย ก็ตกใจกลัว
“ว้าย”
ชายคนนั้นคือ เจ้าพงษ์สุริยัน ที่เวลานี้ทุกคนในคุ้มรู้จักว่าคือ ไอ้พัน ชายแก่สติฟั่นเฟือน ไอ้พัน มองหน้าเจ้าดาเรศสักครู่หนึ่ง จิตใต้สำนึกก็จำได้ มันจับมือทั้งสองไว้แน่น ขณะที่เจ้าดาเรศพยายามสะบัดออก
ไอ้พันร้องเรียก “ลูกๆ” ไม่หยุดปาก
เจ้าดาเรศเห็นสภาพไอ้พันผมเผ้ากระเซิง สวมใส่เสื้อผ้ามอมแมมมอซอ ก็แตกตื่นตกใจสุดชีวิต พยายามดิ้นหนีสุดกำลัง สะบัดมือสุดแรง
“ปล่อยฉันๆ ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ไอ้พันจับมือไว้มั่นไม่ยอมปล่อย ปากก็เรียก “ลูกๆๆๆๆ” อยู่อย่างนั้น
กระถินออกจากเรือนใหญ่จะกลับเรือนคนใช้ ได้ยินเสียงเจ้าดาเรศดังมาจากในสวน ก็รีบวิ่งมาดู เห็นไอ้พันกำลังฉุดมือเจ้าดาเรศอยู่ทั้งสองข้างโดยไม่ยอมปล่อย ก็ตกใจ
กระถินตะโกนดังลั่น “หยุดนะ ไอ้พัน ปล่อยเจ้าเดี๋ยวนี้”
แต่ไอ้พันไม่ยอมปล่อย ไม่สนใจกระถินด้วย “ไม่ๆๆๆ ลูกๆๆๆๆ”
กระถินรีบเข้าไปช่วย พยายามแกะมือไอ้พันที่จับข้อมือเจ้าดาเรศอยู่ทั้งสองข้าง แต่ไอ้พันจับข้อมือแน่น กระถินแกะไม่ออก เจ้าดาเรศก็พยายามดิ้นให้หลุด สามคนสองฝ่ายยื้อยุดฉุดกระฉากกันอยู่อย่างนั้น กระทั่งกระถินคิดบางอย่างได้จึงตะโกนออกไป น้ำเสียงเข้มดุ
“ถ้าไม่ปล่อย ฉันจะฟ้องคุณโฉม”
ไอ้พันชะงักเมื่อได้ยินชื่อโฉมสุรางค์ เจ้าดาเรศสบโอกาสนี้สะบัดมือหลุดจากการเกาะกุมของไอ้พัน แล้วถอยออกมา พร้อมทั้งลากกระถินออกมาห่างๆ ด้วย
ไอ้พันแตกตื่น ลนลานเป็นการใหญ่ “คุณโฉมๆ กลัวๆๆๆๆ”
ไอ้พันเอามือกุมหัวตัวเองวิ่งเตลิดหนีหายไปในความมืดทางท้ายคุ้ม เจ้าดาเรศมองตามไปด้วยความสงสัย กระถินจับแขนเจ้าดาเรศ สำรวจดู ถามด้วยความห่วงใย
“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
เจ้าดาเรศยังตกใจไม่หาย “ฉันไม่เป็นไร แค่ตกใจเท่านั้นเอง นาย...พันนี่ใครกัน เขาเป็นคนในคุ้มนี้หรือ”
“คนบ้าน่ะค่ะ คุณโฉมสงสาร เลยเลี้ยงเอาไว้ ปกติก็ไม่เคยคลุ้มคลั่งทำร้ายใครนะคะ”
เจ้าดาเรศพยักหน้ารับรู้ “อ้อ...แต่นอกจากนายพันแล้วยังมียายแก่แปลกๆ อีกคนใช่ไหม ดูเหมือนเขาจะรู้จักฉันด้วย เขายังเรียกฉันว่าเจ้าเลย”
กระถินนิ่งคิด “ไม่มีนี่คะเจ้า ยายแก่ที่ไหนกัน แก่ที่สุดในคุ้มก็มีป้าอิ่มแม่ครัว อายุหกสิบกว่าๆค่ะ”
เจ้าดาเรศแย้ง “ไม่ใช่ป้าอิ่มแน่นอน ยายแก่ที่ฉันเจอดูแก่กว่านั้นมาก” ยิ่งคิดยิ่งสงสัย “เขาเป็นใครกันแน่นะ”
เจ้าดาเรศหายตกใจแล้ว แต่มีความรู้สึกสงสัยขึ้นมาแทนที่ว่าที่คุ้มเชียงแมนนี้มีความลับอีกหลายอย่างที่เป็นปริศนา และเธอไม่รู้
เสร็จจากงานสวดศพสุรเดช จักรา รชา และระจิต ก็กลับมาที่เมาน์เท่นรีสอร์ท สามคนคุยกันอยู่ในห้องรับแขกอาคารออฟฟิศ จักราบอกสองพี่น้องด้วยหน้าตาอันเคร่งเครียด แววตาจริงจัง
“ผมจะเข้าไปสืบเรื่องเดชในคุ้มเชียงแมน”
รชาไม่เห็นด้วย “มันจะเสี่ยงไปนะจักร ปล่อยเป็นหน้าที่ของตำรวจไม่ดีกว่ารึ”
“พี่ก็เห็นว่าถ้าไม่มีหลักฐาน ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้”
ระจิตพูดแทรกขึ้นมา “งั้นเราต้องสืบเองค่ะ ปลอมตัวเข้าไปเหมือนในหนังสืบสวน เท่จะตาย”
รชาท้วง “ชีวิตจริงไม่ใช่ในหนังนะยายจิต คิดอะไรเป็นเล่นไปหมดนะเรา”
“พี่ชาก็ ตื่นเต้นดีออกค่ะ เดี๋ยวจิตช่วยพี่จักรคิดเอง ไม่ต้องห่วง”
ระจิตมองจักรานัยน์ตาเป็นประกาย ตั้งใจจะทำให้จักราประทับใจมากที่สุด
จักรานั่งนิ่งอยู่บนเตียงในห้องพัก คลิกดูรูปตัวเองที่ถ่ายคู่กับสุรเดช ในโทรศัพท์
ที่หน้าจอ เป็นรูปจักรากับสุรเดชถ่ายคู่กัน หน้าตายิ้มแย้มทั้งคู่
สีหน้าจักราเศร้าหมองลง คิดถึงน้องชาย
“เดชแกต้องไม่ตายฟรี พี่จะสืบหาความจริงให้ได้”
จักราครุ่นคิดหนัก แล้วนึกบางอย่างได้
“จริงสิ ตอนที่พี่เจอแก แกไม่ได้มีโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย ถ้าพี่หาโทรศัพท์ของแกเจอ อาจจะรู้ก็ได้ว่าแกไปเจออะไรมา”
จักรากดเข้าไปในลิสต์รายชื่อ เลื่อนไปที่ชื่อของสุรเดช แล้วกดโทร.ออกทันที ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้ เสียงสัญญาณคล้ายกับว่าเครื่องของสุรเดชแบตหมด
จักราอ่อนใจที่โทร. ไม่ติด แต่ยังไม่หมดหวังในการตามสืบเรื่องการตายของน้องชาย
ที่แท้โทรศัพท์ของสุรเดชอยู่ในมือของไอ้พัน ซึ่งเก็บได้จากป่าใกล้ปากถ้ำ หลังคุ้มเชียงแมน ตรงบริเวณที่สุรเดชถูกไอ้โล้นใช้ไม้ตีหัวนั่นเอง
ไอ้พันสงสัยกับสิ่งที่อยู่ในมือของมัน พยายามลูบคลำพลิกดูไปมา แต่ไม่รู้จักว่าคืออะไร
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 4 (ต่อ)
รุ่งเช้า บริเวณบ้านพักคนงานของคุ้มเชียงแมน เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวเรียงกันเป็นแถวยาว มีทั้งคนงานในไร่ชาและคนงานในคุ้ม เดินกันขวักไขว่
โรจน์ หัวหน้าคนดูแลสวนเดินออกมาจากห้องพัก มองซ้ายมองขวา จนเห็นลูกน้อง 2 คน จึงเรียกมาสั่งงานก่อนไปกินข้าวเช้า
“แกสองคนน่ะ มานี่ซิ”
ลูกน้องเดินมาหา โรจน์สั่ง
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว ไปแต่งไทรอินโด ตรงท้ายสวนนั่นหน่อยนะ กิ่งมันดูระเกะระกะไปหมดแล้ว ทำอะไรต้องให้ฉันสั่งทุกที คิดกันเองไม่เป็นเลย ถึงเกิดมาเป็นคนสวนอย่างนี้”
“ครับพี่โรจน์” คนสวน 1 ก้มหน้ารับยิ้มๆ แต่ดูออกว่าเอือมระอา
“ส่วนแก ไปพรวนดินแปลงหงอนไก่ตรงแถวๆ หน้าคุ้มนั่น ใส่ปุ๋ยรดน้ำให้เรียบร้อยด้วย อย่าอู้ล่ะ ไม่ควบคุมไม่ได้เลย เจ้าพวกนี้”
“ครับพี่” คนสวน 2 หันไปมองตาเพื่อนอย่างรู้กัน
โรจน์สั่งงานเสร็จก็เดินปร๋ออกไปทางโรงครัว คนสวนทั้งสองนินทาลับหลังอย่างหมั่นไส้
“ไอ้เรื่องชอบสั่ง ชอบวางอำนาจนี่ยกให้เขาเลย” คนสวน 1 ว่า
คนสวน 2 เสริม “นั่นสิ ทำมาว่าคนอื่นว่าเป็นคนสวน ตัวเองก็ไม่ได้ดีกว่าพวกเราเท่าไหร่หรอกวะ”
โรจน์สั่งงานเสร็จ ก็เดินผิวปากชมนกชมไม้ไปที่โรงครัวเพื่อกินข้าวเช้าอย่างสบายอารมณ์ ไอ้พันเดินสวนมา ในมือถืออะไรบางอย่าง ไอ้พันมัวแต่ลูบคลำสนใจสิ่งนั้นอยู่ จึงไม่ได้ดูทาง จนเดินเฉี่ยวกับโรจน์ ของในมือไอ้พันตกไปที่พื้น
โรจน์โมโห “เฮ้ย อะไรวะ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ไอ้บ้าพัน”
โรจน์มองไปที่ของที่ตก เห็นเป็นโทรศัพท์มือถือทันสมัย ราคาแพง รีบหยิบขึ้นมาดู
“ไอ้พัน เอ็งไปเอาโทรศัพท์นี่มาจากไหน”
ไอ้พันชี้มือไปข้างหลัง “ถ้ำๆๆๆ” แล้วหันมาหาโรจน์ พยายามคว้าโทรศัพท์ในมือคืน “เอามาๆๆๆ”
โรจน์โยกโทรศัพท์หลบ “ไม่ให้ ข้าจะเก็บไว้เอง เอ็งไม่รู้เรื่องอะไร” แล้วตะโกนไล่ “ไปไหนก็ไปเลย ไอ้บ้าพัน”
ไอ้พันตกใจ วิ่งหนีไป โรจน์พลิกดูโทรศัพท์มือถือทันสมัย อยากได้เป็นของตัวเอง
ระหว่างเดินไปที่โรงครัว โรจน์ลองกดปุ่มโทรศัพท์มือถือทุกปุ่ม แต่มันก็ไม่ติด
“เสียรึเปล่าวะ รึแบตหมด แล้วจะไปเอาที่ชาร์ตที่ไหนละนี่” โรจน์คิดได้ “ไปถามกระถินดีกว่า ท่าทางจะรู้เรื่องมากกว่าคนอื่นๆ”
โรจน์เปลี่ยนใจไม่กินข้าว เดินตามหากระถิน จนเห็นกระถินเดินสวนทางมาพอดี
“อ้าว กระถิน เจอพอดีเลย” โรจน์ ยื่นโทรศัพท์ให้ดู “ไอ้นี่มันเสียรึเปล่าวะ”
กระถินรับโทรศัพท์มา พลิกดู ลองกดปุ่ม “ไม่น่าจะเสียนะพี่ คงแบตหมด แล้วพี่ไปเอามาจากไหนละเนี่ย รุ่นใหม่ล่าสุดเชียวนะ” กระถินเห็นรุ่นราคาแพงก็นึกสงสัย
“เอ่อ...เจอตกในสวนโน้น ไม่รู้ใครทำตกไว้ เลยอยากจะลองเปิดดู เผื่อจะรู้ว่าของใคร ได้เอาไปคืนเขาไง” โรจน์โกหก
“งั้นต้องหาที่ชาร์ตก่อน โทรศัพท์แพงๆ แบบนี้ ไม่ค่อยมีใครใช้หรอก”
“แล้วจะไปเอาที่ไหนล่ะ”
กระถินนึกได้ “นึกออกละ ฉันเห็นเจ้าดาเรศใช้เหมือนแบบนี้ เดี๋ยวจะลองไปถามเจ้า ขอยืมที่ชาร์ตให้”
เจ้าดาเรศนั่งแต่งตัวอยู่หน้ากระจก เตรียมจะออกไปกินข้าวเช้า ได้ยินเสียงเคาะประตู
“เข้ามาได้”
กระถินเปิดประตูเข้ามา
“อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะเจ้า”
“ขอบใจนะ”
โฉมสุรางค์เดินผ่านมาได้ยินพอดี จึงยืนแอบฟังอยู่หลังประตู
“เอ่อ เจ้าคะ เจ้ามีที่ชาร์ตแบตไอโฟนไหมคะ กระถินจะขอยืมหน่อยค่ะ”
“มีสิ กระถินจะเอาไปชาร์ตโทรศัพท์ที่ไหนเหรอ” เจ้าดาเรศนึกสงสัย
“คือ พี่โรจน์ หัวหน้าคนสวนเขาเก็บไอโฟนได้น่ะค่ะ แต่แบตมันหมด เลยไม่รู้ของใคร”
“ได้สิ” เจ้าดาเรศหันไปหยิบที่ชาร์ตตรงหน้ากระจกให้ “เอาไปชาร์ตดู ได้รู้ว่าเป็นของใคร”
โฉมสุรางค์อยู่ข้างนอกห้อง สงสัยว่าโรจน์เก็บโทรศัพท์ราคาแพงมาจากไหน แล้วก็คิดได้ว่าอาจเป็นโทรศัพท์ของสุรเดช
ภาพเหตุการณ์ในป่าใกล้ถ้ำ ผุดซ้อนขึ้นมา
ตอนนั้นมือสุรเดชเกือบจะจับถึงมืออนิลทิตาแล้ว แต่เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะขึ้นมาก่อน สุรเดชสะดุ้งสุดตัว หลุดจากมนต์สะกด รู้สึกตัว เสียงโทรศัพท์ขาดหายไป เพราะสัญญาณไม่ดี
อนิลทิตาชะงัก ตกใจ ถอยห่างออกมา สุรเดชมองอนิลทิตาด้วยความงุนงง แล้วมองเลยไปเบื้องหน้าเห็นปากถ้ำมืดมิด สุรเดชรู้สึกถึงความลี้ลับและอันตราย อนิลทิตาหันหลังเดินเข้าไปในถ้ำ
สุรเดชยกมือร้องถาม “เดี๋ยวคุณ ที่นี่ที่ไหน”
สุรเดชละล้าละลังจะเดินตามเข้าไป เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง สุรเดชหยุดรับโทรศัพท์
ฝ่ายกระถินเอาที่ชาร์ตมาให้ที่หน้าห้องพักของโรจน์
“นี่จ้ะ พี่โรจน์” กระถินส่งที่ชาร์ตให้ “ฉันยืมที่ชาร์ตของเจ้าดาเรศมาให้ละ ลองชาร์ตดู”
“ขอบใจนะกระถิน”
กระถินเดินออกไป โรจน์ไม่สนใจปิดประตู รีบเอาที่ชาร์ตเสียบปลั๊ก ต่อกับโทรศัพท์ด้วยความอยากรู้และอยากได้
โทรศัพท์ขึ้นรูปแบตกำลังชาร์ต โรจน์พยายามเปิด แต่ยังเปิดไม่ได้ สักพักหนึ่ง โรจน์จึงเปิดได้ หน้าจอขึ้นมาเป็นรูปชายหนุ่มสองคนกอดคอกัน นั่นคือ จักราและสุรเดช
ฝ่ายจักราวิ่งหน้าตาตื่นดีใจเข้ามาหารชากับระจิต ที่นั่งอยู่ในคอฟฟี่ช็อปรีสอร์ท
“พี่ชา ระจิต มาดูอะไรนี่เร็ว”
รชารีบลุกเข้ามาใกล้ ระจิตตามมาด้วย จักรายื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้สองคนดู
“มีคนเปิดเครื่องไอ้เดชแล้วครับ”
รชากับระจิต จ้องที่หน้าจอโทรศัพท์เป็นข้อความว่า “หมายเลข 0894421387 ติดต่อได้แล้วในขณะนี้”
ระจิตดีใจ “พี่จักรรีบโทรกลับไปเลยสิคะ”
รชาร้องห้ามทันควัน
“อย่าเพิ่ง ถ้าไอ้เดชถูกทำร้ายจริงๆ แล้วเราโทรไปตอนนี้ เดี๋ยวคนร้ายจะไหวตัวทัน”
จักราครุ่นคิด เชื่อรชา ระจิตนึกออก
“เอาอย่างงี้มั้ยคะ เราโทร.ไปที่เครือข่าย แล้วให้เขาเช็คสัญญาณให้ว่าเครื่องอยู่ที่ไหน เราจะได้ตามไปถูก”
“ดีเหมือนกันระจิต”
จักรารีบกดโทรศัพท์ออกไปทันที
ขณะเดียวกันโฉมสุรางค์เดินเข้ามาในห้องพักของโรจน์พอดี
“นายโรจน์”
โรจน์กำลังก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์อยู่ เงยหน้าขึ้นมา เห็นว่าเป็นโฉมสุรางค์ก็ตกใจ
“ครับ คุณโฉม”
โฉมสุรางค์มองไปที่โทรศัพท์ เห็นหน้าจอเป็นรูปจักราและสุรเดช ก็ตกใจแต่เก็บอาการ ถามเสียงดุกลบ
“นั่นโทรศัพท์ใคร ไปเอามาจากไหน”
“เอ่อ ไม่รู้ครับ” โรจน์แต่งเรื่องโกหก กลัวโฉมสุรางค์จะริบเอาโทรศัพท์ไป “ผม...เก็บได้ที่ท้ายสวน แถวๆ ดงนางพญาเสือโคร่ง ผมเลยเอามาลองชาร์ตดู เผื่อได้รู้ว่าของใครครับ”
โฉมสุรางค์รู้ว่าโรจน์โกหก “มีใครรู้บ้างว่าเธอเก็บมันได้”
“เอ่อ...มีแต่ผมกับกระถินครับ”
“งั้นบ่ายๆ เธอพาฉันไปดูตรงที่เก็บโทรศัพท์หน่อย เผื่อฉันจะช่วยคิดได้ว่าใครมาทำตกไว้ เอ่อ เอาโทรศัพท์ไปด้วยล่ะ แถวๆดงนางพญาเสือโคร่งใช่ไหม”
โรจน์รู้สึกแปลกใจนิดๆ “ครับ คุณโฉม”
“แต่ถ้าหาเจ้าของไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นของเธอแล้วกัน”
โรจน์ยิ้ม ด้วยความโลภ อยากได้ จึงไม่ได้เอะใจว่าทำไมโฉมสุรางค์ถึงมาวุ่นวายกับเรื่องโทรศัพท์เครื่องนี้
โรจน์เดินนำโฉมสุรางค์มาที่ดงนางพญาเสือโคร่งท้ายสวนตามที่คุยไว้ โรจน์ชี้มั่วๆ บอกว่า ตนเก็บโทรศัพท์ได้ที่ใต้ต้นนางพญาเสือโคร่งต้นหนึ่ง
“ผมเจอตรงนี้แหละครับ คุณโฉม” พลางควักโทรศัพท์ออกมาดู
โฉมสุรางค์รู้ว่าโรจน์โกหก เพราะไม่ใช่ที่ที่สุรเดชโดนตีหัว “แน่ใจหรือ ไกลขนาดนี้ ใครจะมาทำตกไว้”
“ไม่รู้สิครับ ผมว่าไม่น่าจะใช่ของคนงาน เพราะคนงานคงไม่มีปัญญาซื้อของแพงขนาดนี้ใช้” โรจน์ตาลุกวาว อยากได้เต็มทน
“ถ้าไม่ใช่ของคนงานในคุ้ม ก็ถือว่าเป็นของคนที่เจอมันแล้วกัน”
โรจน์ดีใจ “ขอบคุณครับคุณ...”
ไม่ทันขาดคำ ท่อนไม้ขนาดใหญ่ก็ฟาดลงไปที่ท้ายทอยของโรจน์เต็มแรง โรจน์ล้มลง หมดสติ โทรศัพท์กระเด็นไป
มือใครคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ที่แท้เป็นไอ้โล้น มือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือถือไม้ โล้นวางโทรศัพท์ตรงรากไม้ เอาเท้ากระทืบจนพัง
โฉมสุรางค์ยิ้มสะใจ
“จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้เหลือหลักฐานอะไรอีกล่ะ ไอ้โล้น”
ตอนกลางคืน ในราวป่าหลังคุ้มเชียงแมน กองไฟกำลังลุกไหม้อยู่ ไอ้โล้นยืนอยู่ข้างๆ โยนโทรศัพท์มือถือของสุรเดชเข้าไปในกองไฟ อมนุษย์สมุนคู่ใจของอนิลทิตา มองผลงานอย่างพอใจ โทรศัพท์ของสุรเดชถูกไฟลุกไหม้จนไม่เหลือซาก
จักรากับรชาดีใจเดินกลับเข้ามาที่เมาเทนรีสอร์ท
“อย่างน้อยเราก็รู้ว่าโทรศัพท์ของไอ้เดชตกอยู่ในพื้นที่ของคุ้มเชียงแมน”
จักราสงสัย “แต่แปลก ทำไมอยู่ดีๆสัญญาณก็หายไป”
“นั่นน่ะสิ แต่เอาเป็นว่าเบาะแสชิ้นสำคัญและชิ้นเดียวของเราอยู่ที่คุ้มเชียงแมน”
จักราครุ่นคิดหนัก
จักรานอนลืมตาโพลงบนเตียงคิดถึงเรื่องสุรเดช ได้ยินเสียงเคาะประตู จักราลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เห็นระจิตในชุดนอนกางเกงบางๆ ขาสั้น สวมเสื้อกล้ามเปลือยไหล่ ถืออะไรแอบอยู่ข้างหลัง จักรารู้สึกว่าไม่ควรให้เข้ามาในห้อง จึงยืนขวางประตูไว้ ระจิตเลยต้องยืนคุยกับจักราอยู่ตรงหน้าประตู
“พี่จักรคะ จิตเจอนี่ในอินเตอร์เน็ท เลยเอามาให้พี่ดู”
ระจิตส่งกระดาษที่ซ่อนไว้ให้จักรา
จักรารับกระดาษ อ่านดู “คุ้มเชียงแมนรับสมัครผู้จัดการไร่ชา 1 ตำแหน่ง”
“พี่ชาบอกว่าพี่จักรเรียนจบเกษตรมา จิตว่าไปสมัครเป็นผู้จัดการไร่ชา ท่าทางจะแนบเนียนดีนะคะ” ระจิตบอกอย่างภูมิใจ
จักรานิ่งคิดว่าเข้าท่าเหมือนกัน “ขอบใจมาก... ดึกแล้ว จิตไปนอนเถอะ”
ระจิตไม่ยอมแพ้ กระเง้ากระงอดใส่ “แต่จิตยังไม่ง่วงนี่คะ อยากคุยกับพี่จักรต่อ”
จักรารู้ทันจึงตัดบทว่า “พี่เหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ฝันดีนะ”
จักราปิดประตูห้องทันที ระจิตฮึดฮัดขัดใจ ค้อนควักกับประตูด้วยความเสียดาย
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 4 (ต่อ)
วันนี้จักราตื่นแต่เช้า เขาแต่งตัวเสร็จแล้ว และกำลังจะออกไปข้างนอก รชาเดินมาเข้ามาในห้องพอดี มองเพื่อนรุ่นน้องด้วยความสงสัย
“แต่งตัวไปไหนวะ จักร”
“ผมจะไปสมัครงานที่คุ้มเชียงแมนครับพี่ เขาเปิดรับพอดี”
“เดี๋ยวฉันไปด้วย ปล่อยแกไปคนเดียว เกิดหายไปอีกคนจะทำไงวะ” รชานึกเป็นห่วง
จักรายิ้ม “ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ วันนี้แค่ไปลองสมัครงานหยั่งเชิงก่อน พี่ไม่ต้องไปหรอก เสียงานพี่เปล่าๆ”
“ถึงงั้นก็เถอะ คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตายนะโว้ย”
“ขนกันไปหลายคน เดี๋ยวไก่ตื่นหมด ให้ผมไปดูลาดเลาก่อน ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวเรามาปรึกษากันอีกที”
“เออ เอางั้นก็ได้ แกเอารถจี๊ปฉันไปก็แล้วกัน ได้สะดวกหน่อย”
จักรายอมตกลง ซึ้งในน้ำใจเพื่อนรุ่นพี่
จักราขับรถเข้ามาในเขตไร่ชาเชียงแมน ถือโอกาสมองสำรวจไร่สองข้างทาง เขาเห็นต้นชาปลูกเป็นแถวยาวเรียงกันตามระดับความสูงต่ำของพื้นที่สุดลูกหูลูกตา คนงานพากันทำงานในไร่อย่างขันแข็ง
จักราขับรถเรื่อยๆ ไปตามทาง มองซ้ายมองขวา สังเกตไร่ชาด้วยความอยากรู้อยากเห็น และพยายามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด จักราขับรถมุ่งหน้าไปทางซ้าย
ขณะเดียวกันนั้นเจ้าดาเรศ เดินเข้ามาในบริเวณไร่จากทางด้านขวา หญิงสาวแต่งตัวทะมัดทะแมง เดินถ่ายรูปไร่ชาและคนงานด้วยความเพลิดเพลิน เจ้าดาเรศถ่ายรูปในมุมกล้องที่แปลกแต่สวยงาม มีชีวิตชีวา ดูออกว่าเธอมีฝีมือในการถ่ายรูป ด้วยเรียนจบด้านการถ่ายภาพมา
จักราจอดรถหน้าอาคารออฟฟิศไร่ชาเชียงแมน แล้วก้าวลงจากรถ มองดูออฟฟิศเบื้องหน้าอย่างสังเกต แล้วเปิดประตูกระจกเข้าไปเจอเค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ผมมาสมัครงานน่ะครับ”
“เชิญที่ห้องฝ่ายบุคคลทางโน้นค่ะ” พีอาร์สาวชี้ทางมือไปทางขวา
โฉมสุรางค์เดินเข้ามาในออฟฟิศนี้จากอีกทางหนึ่ง เดินตรงไปยังห้องทำงานของเธอ
จักราเดินเรื่อยๆ มาตามทางที่ประชาสัมพันธ์บอก มองดูออฟฟิศ ก็ไม่พบเห็นว่าจะต่างจากที่อื่นๆ
โฉมสุรางค์ เดินเข้ามาในออฟฟิศ มีพาร์ทิชั่นกั้นแบ่งแผนกทำงานเป็นสัดส่วน มีป้ายติดบอกว่าเป็นแผนกไหนให้เห็น พนักงานนั่งทำงานอยู่ เห็นโฉมสุรางค์ก็สวัสดีด้วยท่าทีนอบน้อม โฉมสุรางค์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วเดินเลี้ยวตรงไปที่ห้องทำงานของตน
จักราเปิดประตูเข้ามาในโซนนี้พอดี เขาเห็นป้าย “ฝ่ายทรัพยากรบุคคล” จึงเดินไปหาพนักงานที่ทำงานอยู่
“ผมมาสมัครงาน ตำแหน่งผู้จัดการไร่ชาครับ”
“สักครู่นะครับ” ฝ่ายบุคคลค้นเอกสารที่ลิ้นชักข้างๆ โต๊ะทำงาน ยื่นให้จักรา “คุณกรอกใบสมัครนี่นะครับ ติดรูป แล้วก็เตรียมเอกสารตามนี้”
พนักงานฝ่ายบุคคลชายวัยกลางคน
จักรากรอกไปสมัครไป ชวนพนักงานชายวัยกลางคนคุยไปเนียนๆ เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับไร่เชียงแมนไปด้วย
“มีคนมาสมัครตำแหน่งนี้เยอะไหมครับ”
“หลายคนอยู่ครับ”
“ที่นี่มีคนงานเยอะไหมครับ” ชายหนุ่มทำเป็นกระซิบ “แล้ว...มีสาวๆสวยๆบ้างไหมครับ”
ฝ่ายบุคคลยิ้ม “คนงานที่นี่มีห้าสิบหกสิบคน ส่วนที่สาวๆ สวยๆ ก็พอมีอยู่ครับ”
จักราลองหยั่งเชิง “มีใครชื่ออนิลทิตาไหมครับ”
ฝ่ายบุคคลแปลกใจ “ชื่ออะไรนะครับ”
“อ้อ ไม่มีอะไรครับ” จักรากรอกใบสมัครเสร็จพอดี “นี่ครับ” เขาส่งให้พร้อมหลักฐาน
“แล้วทางเราจะติดต่อกลับไปนะครับ”
“แล้วจะรู้ผลเมื่อไหร่ครับ คือตอนผมขับรถเข้ามาเห็นไร่ชาสุดลูกหูลูกตา รู้สึกประทับใจมาก อากาศก็บริสุทธิ์ ผมอยากทำงานที่นี่จริงๆ นะครับ” จักราทำท่ากระตือรือร้น
ฝ่ายบุคคลขำความช่างพูดและท่าทีจักรา “อีกสองสามวันหมดเขตรับสมัคร แล้วทางเราจะรีบติดต่อนัดวันสัมภาษณ์ ขอให้โชคดีนะครับ”
จักราเดินออกไป พนักงานฝ่ายบุคคลเอาใบสมัครของจักราขึ้นมาดู มองที่รูปของจักราอย่างสนใจ
รูปจักราที่ติดอยู่ในใบสมัคร และใบสมัครนั้นอยู่ในมือของโฉมสุรางค์ ในเวลานี้ นางจ้องรูปจักราเหมือนมีชีวิต ยิ้มชื่นด้วยความดีใจ เอาใบสมัครที่มีรูปจักรามากอดแนบไว้กับอก หลับตาพริ้ม
“ในที่สุดเธอก็กลับมาหาฉัน สินธุ ฉันจะไม่ยอมให้เธอจากฉันไปอีก”
โฉมสุรางค์ลืมตาขึ้นทันที
ทันใดนั้นเอง เสียงยางรถจักราระเบิดดังปัง! โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย จักราตกใจ รถเสียหลักส่ายไปมา เขาตัดสินใจจอดรถเข้าข้างทางทันที แล้วรีบลงไปดู พบว่าที่ล้อยางแบน
เจ้าดาเรศอยู่ในไร่ชาไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงยางรถระเบิดก็ตกใจ เธอมองหาที่มาของเสียง หันไปทางถนน เห็นรถจี๊ปจอดอยู่ โดยมีผู้ชายผมยาวดูยางรถ เจ้าดาเรศจึงเดินไปที่รถคันนั้น
จักราหาอุปกรณ์ซ่อมรถอยู่พักหนึ่งก็เจอ เขาปลดยางอะไหล่ลงจากหลังรถ สอดแม่แรง แล้วลงมือเปลี่ยนยางรถ
เจ้าดาเรศเดินเข้ามาใกล้ เห็นชายหนุ่มก้มเปลี่ยนยางรถอยู่ จึงถามขึ้นอย่างมีไมตรี
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
จักราหันหน้าไปทางเสียง เจอกับเจ้าดาเรศยืนมองมา ทั้งคู่ตะลึงแปลกใจกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงอุทานออกมาพร้อมๆ กัน
“คุณดา” / “คุณจักร”
จักราลุกขึ้นยืน มองเจ้าดาเรศ ดีใจอยู่ลึกๆ แต่แสดงออกไม่มากนัก
เจ้าดาเรศมองจักรา ตาเป็นประกาย ทักทายพร้อมส่งยิ้มร่าเริงให้
“บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะคะ คุณจักรมาอยู่นี่ได้ไงคะ”
“ผม เอ่อ มาสมัครงานที่ไร่ชาน่ะครับ แล้วคุณดาล่ะครับ”
เจ้าดาเรศยิ้มฉงน กระชับกล้องในมือ “ดามาถ่ายรูปค่ะ” หญิงสาวมองไปรอบๆ “แล้วนี่ก็ไร่ชาของคุณแม่ดาเอง”
จักราแปลกใจมากขึ้น “งั้น คุณแม่ของคุณดาก็คือ คุณโฉมสุรางค์”
“ใช่ค่ะ คุณจักรรู้จักคุณแม่ของดาด้วยหรือคะ” เจ้าดาเรศนึกสงสัย
“เคยได้ยินแต่ชื่อน่ะครับ แต่ยังไม่มีโอกาสได้พบตัวจริงเลย”
โฉมสุรางค์รีบขับรถตามจักราออกมา มองไปเห็นรถจักราจอดอยู่ข้างทาง ยิ้มสมใจที่หยุดจักราไว้ได้ทัน โฉมสุรางค์จอดรถข้างทางด้านหลัง ทิ้งระยะห่างจากรถจักราไม่ไกลนัก เพื่อไม่ให้จักราสังเกตเห็น
โฉมสุรางค์ลงจากรถ เดินตรงไปหา หยุดมองดูจักราที่กำลังเปลี่ยนยางรถอยู่อย่างทะมัดทะแมงด้วยแววตาดีใจและปลาบปลื้ม ที่ได้มาเจอจักราในที่สุด
“สินธุ” อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์ เอ่ยเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงโหยหา
จักราหันไป ตะลึงในความงามสง่าของโฉมสุรางค์ ถามขึ้นด้วยได้ยินไม่ถนัด
“คุณเรียกผมหรือครับ”
เจ้าดาเรศช่วยจักราส่งเครื่องมืออยู่ข้างๆ แต่โฉมสุรางค์ไม่ทันเห็นด้วยร่างจักราบังอยู่ เมื่อได้ยินเสียง เธอก็รู้สึกคุ้นเสียงนั้น จึงเบี่ยงตัวออกมามองฉงน
“อ้าว คุณแม่ เมื่อกี้คุณแม่เรียกชื่อใครคะ”
โฉมสุรางค์ชะงักไป แล้วรู้สึกขัดใจที่เจ้าดาเรศมาอยู่ที่นี่ด้วย
“ดาเรศ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“รถคุณจักรยางแตกค่ะ ดาผ่านมาพอดีเลยมาช่วย” เจ้าหันไปทางจักรายิ้มให้ด้วยท่าทางสนิทสนม “คุณจักรคะ นี่คุณแม่ของดาค่ะ”
จักราทำท่าจะพนมมือไหว้ แต่โฉมสุรางค์รีบเอามือจับห้ามไว้ จักราตกใจ จึงเอามือลง เจ้าดาเรศมองโฉมสุรางค์อย่างประหลาดใจ
“ไม่ต้องไหว้หรอกค่ะ ฉันไม่ใช่คนมีพิธีรีตองอะไรมาก”
จักราก้มหัวแทน “สวัสดีครับ คุณโฉม”
“นี่รู้จักกันมาก่อนรึ” โฉมสุรางค์มองเจ้าดาเรศด้วยความสงสัย
“เคยเจอกันสองสามครั้งค่ะคุณแม่” เจ้าดาเรศมองจักราน้ำเสียงร่าเริง
โฉมสุรางค์พูดกับจักราในน้ำเสียงอ่อนหวาน “ไปคุยกันที่สำนักงานดีกว่าค่ะ ตรงนี้เริ่มร้อนแล้ว เรื่องยางรถเดี๋ยวให้คนงานมาจัดการให้ นะคะคุณจักร”
โฉมสุรางค์พาจักราเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว ทำทีเหมือนสัมภาษณ์งานจักรา
“ฉันเห็นใบสมัครคุณแล้ว ตกลงรับคุณเข้าทำงาน ยินดีต้อนรับสู่ไร่ชาเชียงแมนค่ะ”
“เอ่อ...รับแล้วเหรอครับ” จักราแปลกใจปนงง “ ขอบคุณครับ”
โฉมสุรางค์ยิ้ม “แต่มีข้อตกลงข้อนึงนะคะ”
จักราฉงน “ข้อตกลงอะไรหรือครับ”
“คุณจะต้องย้ายมาพักที่คุ้มเชียงแมน เพื่อจะได้สะดวกในการทำงาน และทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่”
จักราตัดสินใจทันที “ได้ครับ แต่ผมขอเวลาสามวัน จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วผมจะย้ายเข้ามาครับ”
“ค่ะ ดิฉันจะรอ” โฉมสุรางค์ยิ้มหวานแววตาดูลึกซึ้ง
จักรามองอย่างไม่เข้าใจ ทั้งคำพูดและท่าทาง โฉมสุรางค์มองจักราด้วยแววตาวาดหวัง
เจ้าดาเรศนั่งอ่านนิตยสารรออยู่ที่มุมรับรองแขกหน้าห้องโฉมสุรางค์ สักครู่หนึ่งจักราเปิดประตูออกมา เห็นเจ้าดาเรศเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ จักราจึงเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ
“เป็นไงบ้างคะ”
จักรายิ้ม “คุณแม่คุณรับผมเข้าทำงานแล้วครับ”
เจ้าดาเรศยิ้มตอบ “ยินดีด้วยนะคะคุณจักร”
“ขอบคุณครับ สงสัยผมโชคดีเพราะเจอคุณดา คงต้องเลี้ยงข้าวขอบคุณซะแล้ว”
เจ้าดาเรศหัวเราะ
โฉมสุรางค์เปิดประตูออกมา เห็นเจ้าดาเรศและจักราพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ก็ชักสีหน้าไม่พอใจ บอกกับจักราว่า
“ขอโทษนะคะคุณจักรา” แล้วผินหน้ามาทางเจ้าดาเรศ “ดาเรศแม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
เจ้าดาเรศที่กำลังยิ้มอยู่ หุบยิ้มทันที
โฉมสุรางค์นั่งคุยกับเจ้าดาเรศ ตรงโซฟาในห้องทำงาน
“ไปรู้จักคุณจักราได้ยังไง ดูท่าทางสนิทกับเขานี้”
“ดาบังเอิญเจอคุณจักรที่สนามบินน่ะค่ะ เลยรู้จักกัน”
“เขากำลังจะมาเป็นผู้จัดการไร่ที่นี่ แม่ไม่อยากให้ไปสนิทสนมกับเขาให้มาก มันจะไม่งาม”
เจ้าดาเรศงงที่ถูกตำหนิ “ดาก็ไม่ได้ไปสนิทหรอกค่ะ คุยกันตามประสาคนรู้จักกันเท่านั้น”
โฉมสุรางค์ตัดบท “ดีแล้ว ทำตามที่แม่บอกก็แล้วกัน”
“ค่ะ เอ่อ คุณแม่คะ วันก่อนดาทำเทอร์กี้โรลล์ให้คุณแม่ แต่คุณแม่ไม่อยู่ เมื่อเช้านี้ดาทำใหม่ อยากให้คุณแม่ลองทานน่ะค่ะ”
“แม่ควบคุมอาหารอยู่ เธอกินเองไปก็แล้วกัน ออกไปได้แล้ว แม่จะทำงาน”
เจ้าดาเรศเดินคอตกออกไปจากห้อง น้อยใจที่พยายามเอาใจแม่ แต่แม่ไม่สนใจเลย
โฉมสุรางค์รีบร้อนกลับคุ้ม แล้วตรงดิ่งไปปรึกษาบันดาสาที่กระท่อมเรื่องที่เจอสินธุ แต่เขากลับไม่มีท่าทีว่าจะจดจำนางได้
“พี่บันดาสา ฉันเจอสินธุแล้ว รูปร่างหน้าตาเขาเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่...เขาจำฉันไม่ได้”
“การกลับมาเกิดในชาติใหม่ จะทำให้ลืมเรื่องราวในชาติก่อน หรืออาจจำได้บ้างแต่ก็เพียงรางๆเท่านั้น”
“แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ พี่บันดาสา” อนิลทิตาในรูปลักษณ์โฉมสุรางค์ร้อนรนใจ
“แม่หญิงต้องทำให้เขารักให้ได้เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าการที่เขาได้มาเจอแม่หญิงในวันนี้ เป็นสัญญาณที่ดีว่า สัญญาในชาติก่อนส่งผลให้มาเจอกันอีกครั้ง”
“ฉันจะทำให้เขารัก ขอฉันแต่งงาน ครองคู่กันให้ได้” โฉมสุรางค์ยิ้มเพ้อฝัน
“แต่ถ้าแต่งงานกันไป เขาแก่ลง แต่เห็นว่าแม่หญิงไม่แก่ล่ะ แม่หญิงจะทำยังไง แล้วยังความลับของเราอีก” บันดาสากังวลแทน
โฉมสุรางค์กลัดกลุ้มสุดจะประมาณ แต่สุดท้ายตัดความกลุ้มใจนั้นทิ้งไปบอกอย่างมุ่งมั่น “ไม่รู้ล่ะ ให้ถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ ฉันจะทำทุกทางให้สินธุกลับมาเป็นของฉันให้ได้”
จักรากลับมาที่รีสอร์ท นั่งปรึกษารชาและระจิต อยู่ในคอฟฟี่ช็อปสามคน
รชาทักท้วง “ทำไมต้องให้พักที่คุ้มเชียงแมนด้วย ฉันว่ามันแปลกๆ ว่ะ”
“คุณโฉมเค้าว่าเพื่อความสะดวกในการทำงาน แต่ก็ดีเหมือนกัน พักที่นั่น ผมได้สืบเรื่องเดชได้สะดวก หน่อย” จักราไม่รู้สึกกลัวสักนิด
ระจิตกระเง้ากระงอดใส่ตามเคย “แต่จิตกลัวพี่จักรหายไปอีกคนน่ะสิคะ”
จักราหันไปทางระจิต ยิ้มให้ “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ดูแลตัวเองได้”
“ต้องไปพักอยู่กับใครก็ไม่รู้ แถมยังต้องไปสืบโน่นสืบนี่อีก มันไม่น่าไว้ใจอยู่ดี”
ระจิตไม่อยากให้จักราไปอยู่ที่อื่น
“ก็ไม่เชิงนะ มีคนรู้จักอยู่ที่นั่นด้วย” จักราคิดถึงเจ้าดาเรศ แล้วเผลอยิ้มออกมา
รชาฉงน “คนรู้จักรึ ใครกัน”
“คุณดาเรศ คนที่เจอที่สนามบินไง จำได้รึเปล่าพี่”
“จำได้สิ สวยน่ารัก ซะขนาดนั้น”
“ใครกันคะพี่จักร” ระจิตถามหยั่งเชิง
“คุณดาเรศเป็นลูกสาวของคุณโฉม เจ้าของคุ้มเชียงแมน”
“บังเอิญขนาดนั้นเลย แล้วคุณโฉมหน้าตาท่าทางเป็นไง”
“ก็ดูไม่มีอะไรนะ เพิ่งเจอแป๊บเดียว คุณโฉมยังดูสาวและสวยอยู่มาก เดาไม่ถูกเลยว่าอายุเท่าไหร่แล้ว เทียบกับคุณดาเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่า”
จักราพูดโดยไม่รู้สึกติดใจสงสัยอะไรเลย
แต่รชากับระจิตกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูแปลกๆ แต่สองพี่น้องก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ในตอนเช้าวันถัดมา นายชด คนขับรถคุ้มเชียงแมนพากระถินออกมาซื้อของสดที่ตลาดตามปกติ วนรถหลายรอบ แต่ก็ยังหาที่จอดรถไม่ได้สักที กระถินเลยบอกว่า
“ไม่มีที่จอดเลย เดี๋ยวฉันลงตรงนี้ละ น้าชดลองวนหาที่จอดดู ถ้าฉันซื้อของเสร็จแล้วจะมารอแถวๆ นี้ล่ะ”
“ได้จ้ะ กระถิน”
เวลาผ่านไปอีกไม่นานนัก เห็นกระถินหอบหิ้วผลไม้มาพะรุงพะรัง ทั้งสตรอว์เบอร์รี่ ส้ม พลับ แอปเปิล กระถินเดินออกมาจากตลาด หยุดอยู่ข้างทางมองหารถของคุ้ม
กระถินมองเห็นรถจอดอยู่อีกฝั่งของถนน จึงรีบร้อนข้ามไป โดยไม่ได้ดูทางให้ดี จังหวะนี้เองรถมอเตอร์ไซค์ของรชาวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เขาเห็นกระถินวิ่งพรวดออกมา จึงเบรกสุดตัว พยายามควบคุมรถไม่ให้เสียการทรงตัว และไม่ให้ชนคน แต่สุดท้ายเฉี่ยวกระถินไปนิดหนึ่ง จนกระถินเสียหลักล้มลง ข้าวของกระจายเต็มถนน
กระถินตกใจร้อง “ว้าย”
รชาจอดรถ ลงมาดูด้วยอารมณ์โมโหสุดๆ แต่ก็รีบเข้าไปช่วยประคองกระถินให้ยืนขึ้นมา
“อยากตายรึไง อยู่ดีๆก็วิ่งพรวดพราดตัดหน้ารถอย่างนี้”
กระถินตกใจที่โดนรถเฉี่ยว แถมยังโดนด่า เลยโมโหมาก “แล้วคุณขี่รถภาษาอะไร ในที่ชุมชน ใครเขาขี่เร็วขนาดนี้ ชนคนอื่นแล้วยังมาโทษเขาอีก” กระถินรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อศอก ยกขึ้นมาเอามือคลำดู “โอ๊ย”
รชาเห็นเลือดไหลที่ข้อศอก สงสาร “เลือดออก รีบไปโรงพยาบาลกันเถอะคุณ”
กระถินเห็นเลือดออกเยอะ ตกใจ แต่ปากแข็ง “ไม่เป็นไร ไม่ต้องยุ่ง”
“อย่าทำเป็นเก่งน่า หน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้ว” รชาขำท่าทางเอาเรื่องของกระถิน
ไม่นานต่อมา คุณหมอถือชาร์ตคนไข้ คุยกับกระถิน มีรชายืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง กระถินนั่งอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน ที่ข้อศอกมีผ้าผันแผล ตามตัวมีรอยฟกช้ำสามสี่แห่ง
“ไม่เป็นอะไรมากครับ มีแค่แผลภายนอกกับรอยฟกช้ำ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” กระถินยกมือไหว้
คุณหมอเขียนใบสั่งยา “เดี๋ยวให้ญาติไปรับยาที่ห้องจ่ายยานะครับ”
คุณหมอเดินออกจากห้องไป
รชามองสำรวจร่างกาย “โชคดีนะผมเบรกทัน ไม่งั้นคุณเจ็บมากกว่านี้”
“โชคดีที่ได้มานอนโรงพยาบาลงั้นสิ ขอให้คุณโชคดีบ้าง” กระถินประชด
“จะมาแช่งอะไรผม” รชาพูดอย่างจริงใจ “เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกัน ที่ทำให้คุณเจ็บตัว”
“รู้จักขอโทษ ฉันก็ให้อภัย” กระถินประทับใจที่รชาเป็นคนตรงไปตรงมา
กระถินเดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมรชา สองคนเดินมาที่ลานจอดรถ
“เอ่อ แล้วคุณจะกลับยังไง ให้ผมไปส่งไหม”
“ไม่ต้อง ฉันกลับของฉันเองได้” กระถินเสียงแข็ง
“กลับดีๆ ล่ะคุณ อย่าซุ่มซ่ามตัดหน้ารถใครอีกล่ะ” รชายิ้มกวนๆ
กระถินค้อนใส่รชา รีบเดินไปที่จอดรถคุ้มเชียงแมน
ชดยืนรอกระถินอยู่ข้างรถ เตรียมเปิดประตูให้กระถิน
“กระถิน...เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรมากจ๊ะน้าชด”
รชากำลังเดินไปที่รถมอเตอร์ไชค์ ได้ยินชดเรียกชื่อ “กระถิน” จึงหันไปมอง เขาเห็นกระถินขึ้นรถออกไป ท้ายรถมีสติ๊กเกอร์ “คุ้มเชียงแมน”
รชาตกใจ “เฮ้ย! คุ้มเชียงแมน คนของคุ้มเชียงแมนเหรอเนี่ย”
ตอนบ่าย จักรากับระจิต มาดูแลความเรียบร้อยของงานศพสุรเดชที่วัด ก่อนถึงเวลาสวดศพ หลวงพ่อเจ้าอาวาสเดินเข้ามาพร้อมกับสัปเหร่อโกรง
จักราไหว้ “นมัสการครับ หลวงพ่อ”
ระจิตพนมมือไหว้หลวงพ่อด้วยความเคารพ นึกดีใจที่ได้ยืนคู่กับจักรา
“เจริญพรเถอะโยม ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ”
ระจิตรีบตอบแสดงตัวเป็นเจ้าของงานคู่จักรา “ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมากเลยค่ะ”
“แล้วตกลงโยมจะสวดกี่คืนล่ะ”
“ผมก็ไม่มีญาติพี่น้องที่นี่ คิดว่าจะสวดหกคืน ครบเจ็ดวันแล้วก็เผาเลยครับ” จักราว่า
“มีอะไรขาดเหลือก็บอกสัปเหร่อโกร่งนะ” หลวงพ่อหันไปพูดกับสัปเหร่อโกร่ง “เดี๋ยวปรึกษากับคุณๆเขาเรื่องวันเผา ได้เตรียมงานให้เรียบร้อย”
“ครับ”
จักรา กับระจิต ไหว้ หลวงพ่อเจ้าอาวาสเดินออกไป
ครู่ต่อมา จักรากับระจิตคุยอยู่กับสัปเหร่อโกร่งเรื่องการเตรียมงานวันเผาสุรเดช รชาเดินเข้ามาพอดี
“พี่ชาหายไปไหนมาคะ ทำไมถึงมาช้าจัง” ระจิตต่อว่า
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ พี่ขี่มอเตอร์ไซค์เฉี่ยวคน”
จักราเป็นห่วง “เฉี่ยวใครครับ มีใครเป็นอะไรรึเปล่า”
“คนของคุ้มเชียงแมนน่ะ แต่เขาไม่เป็นอะไรมาก พักนี้พวกเราท่าจะดวงสมพงศ์กับคนในคุ้มนั้นนะ นายจักรก็กำลังจะเข้าไปทำงานที่นั่น”
สัปเหร่อโกร่งออกอาการตกใจเมื่อได้ยินชื่อคุ้มเชียงแมน
“อะไรนะ ใครจะไปทำงานที่คุ้มเชียงแมนนั่น”
“ผมครับ ที่นั่นมีอะไรหรือครับ” จักราสงสัยครามครัน
สัปเหร่อโกร่งบอก “อย่าไปยุ่งกับคนที่นั่น มันอันตราย”
“อันตรายอะไรคะ บอกเรามาเถอะค่ะ” ระจิตซักไซ้
“อย่าให้พูดเลย อยากรู้อะไรไปถามเพื่อนผม มันเคยทำงานในคุ้มเชียงแมนตั้งแต่หนุ่มๆ แต่ลาออกมาเมื่อสามสี่ปีนี้เอง มันรู้เรื่องในคุ้มนั้นดีที่สุด”
“เพื่อนลุงชื่ออะไรครับ” รชาถาม
สัปเหร่อโกร่งบอก “มันชื่อ บุญโฮม”
บ้านของบุญโฮมเพื่อนของสัปเหร่อโกร่ง เป็นกระท่อมเก่า สภาพทรุดโทรม ตั้งอยู่ในป่าทึบอันรกครึ้ม รอบบริเวณเต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นสูงใหญ่
บุญโฮม ซึ่งบัดนี้กลายเป็นชายสูงวัย อยู่ในชุดม่อฮ่อมประจำตัว นั่งอยู่ในบ้าน มีเสียงงูเลื้อยผ่านใบไม้แห้งดังกรอบแกรบใกลเข้ามา บุญโฮมเงี่ยหูฟัง รับรู้ว่าศัตรูกำลังมาเยือน บุญโฮมนั่งขัดสมาธิ เปิดขวดแก้วข้างตัว หยิบว่านเป็นหัวกลมๆ ออกมาพนมมือ หลับตาท่องคาถางึมงำ
เสียงงูเลื้อยเริ่มดังขึ้น เร็วขึ้น และใกล้กระท่อมเข้ามาเรื่อยๆ
ท่องคาถาเสร็จ บุญโฮมก็ลืมตา กำว่านไว้ตรงปาก เป่ามนต์ไปที่ว่านนั้น เกิดแสงส่องวาบออกมาจากว่าน แสงค่อยๆ ขยายออกกลายเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบบ้าน
ที่แท้เป็น เจ้าตองเหลือง งูเหลือมยักษ์สมุนคู่ในของอนิลทิตานั่นเอง มันเลื้อยมาถึงบริเวณบ้าน แล้วพุ่งตัวเข้าชนกำแพงแก้ว แต่ไม่สามารถผ่านไปได้
อนิลทิตาในรูปลักษณ์โฉมสุรางค์ ซึ่งเวลานี้นั่งสมาธิหลับตานิ่งอยู่ในห้องลับ มองเห็นจากทางในว่า ตองเหลืองผ่านกำแพงเข้าไปไม่ได้ จึงท่องคาถาภาษาประหลาด แล้วเป่าออกมาเป็นควันสีดำ
เจ้าตองเหลืองมีแสงแวบขึ้นมาที่ลำตัว มีแรงเพิ่มขึ้น มันชนกำแพงแก้วอีกครั้งจนกำแพงแตกเป็นช่อง ตองเหลืองเลื้อยเข้าไปต่อ อยู่ที่บริเวณนอกชาน และกำลังจะคืบคลานเข้าบ้าน
บุญโฮมได้ยินเสียงเลื้อยอีกครั้งก็ตกใจ รู้ว่างูยักษ์ทะลุกำแพงเข้ามาได้แล้ว จึงรีบลุกเดินไปที่หน้าต่าง กระโดดหนีทันที
บุญโฮมลงมาถึงพื้น หันหลังมองกลับไปดู เห็นเจ้าตองเหลืองเลื้อยชูคอมาตรงหน้าต่างพอดี
ชายสูงวัยรวบรวมเรี่ยวแรงวิ่งหนีสุดชีวิต แต่อารามรีบร้อนและตกใจ จึงสะดุดข้าตัวเองหกล้มกลิ้งไปกับพื้น บุญโฮมเห็นเท้าคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา และได้ยินเสียงเรียกดังก้อง
“บุญโฮม”
บุญโฮมตกใจสุดขีด ทำท่าจะวิ่งหนีไปอีกทางตามสัญชาตญาณ แต่พอเขม้นมองร่างนั้นชัดๆ ก็ยิ้มดีใจออกมา
“พี่นายิกี”
เป็น นายิกี พี่สาวผู้มีอาคมของบุญโฮมนั่นเองที่แวะมาช่วย ด้วยรับรู้จากญาณว่าน้องชายกำลังถูกปองร้าย นายิกีมองข้ามหัวบุญโฮมไปทางด้านหลัง เห็นเจ้าตองเหลืองเลื้อยคลานเข้ามา
“หลบไป เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
บุญโฮมรีบไปหลบข้างหลังพี่สาวตามสั่ง นายิกีจ้องตาเป๋งไปที่เจ้าตองเหลือง
ขณะเดียวกันนี้ รชาขับรถมาตามทางในป่า พร้อมกับจักรา สองหนุ่มมองไปเบื้องหน้าเห็นต้นไทรใหญ่ มีรากห้อยระย้า หนาตา ตรงตามที่สัปเหร่อโกร่งบอก รชาจอดรถ ทั้งคู่ลงจากรถ
“น่าจะเป็นต้นไทรต้นนี้นะ” จักราแหงนมองดูต้นไทร
“น่าจะใช่ สัปเหร่อโกร่งให้เดินตรงไปจากต้นไทรต้นนี้ ประมาณกิโลนึง”
สองหนุ่มมองไปรอบๆ แล้วพากันเดินเข้าไปในป่าข้างทาง และเดินตรงไปเรื่อยๆ กลางสภาพป่าที่รกเรื้อ บรรยากาศแสนวังเวง
ฝ่ายเจ้าตองเหลืองชูคอ เลื้อยตรงเข้าหานายิกีและบุญโฮมอย่างประสงค์ร้าย นายิกีล้วงมือเข้าไปในย่าม ควักสายสิญจน์ออกมา ปากท่องคาถาขมุบขมิบ เป่าพรวดลงไปที่เชือก แล้วขว้างออกไปในอากาศเบื้องหน้า
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก สายสิญจน์ได้กลายเป็นบ่วงไฟ ลอยไปรัดคอ เจ้าตองเหลือง งูยักษ์ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ฟาดหางไปมา มันต่อสู้สุดชีวิต ใช้พลังเฮือกสุดท้าย เปล่งแสงวาบออกมาจากลำตัว จนทำให้บ่วงไฟขาดสะบั้นแล้วรีบเลื้อยหนีไปในราวป่า
นายิกีเห็นบ่วงไฟกลายเป็นสายสิญจน์ ขาดออกจากกันก็โมโห
“ฤทธิ์เยอะนัก ไอ้สมิงดงตัวนี้”
จักรากับรชาเดินเข้ามาจากคนละทางกับที่ตองเหลืองหนีไป เห็นนายิกีกับบุญโฮม มีท่าทาง ตื่นเต้นเหมือนเจออะไรหนักหนามา
นายิกีกับบุญโฮม มองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองคนที่เข้ามาด้วยความแปลกใจ
จักรารีบบอก “ผมมาหาพ่อเฒ่าบุญโฮมครับ”
บุญโฮมถามกลับ “มีธุระอะไรกับข้ารึ เจ้าหนุ่ม”
ในขณะที่ จักรา รชา นายิกี และ บุญโฮม คุยกันที่นอกชานกระท่อม เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว รอบบริเวณกระท่อมจึงดูวังเวง บรรยากาศลึกลับ
จักราแนะนำตัวเป็นทางการ “ผมชื่อจักราครับ แล้วนี่เพื่อนผม...รชา” เขาหันไปทางรชาให้เป็นคนแนะนำเอง
รชาก้มหัวเป็นเชิงทักทายอย่างสุภาพ “สัปเหร่อโกร่งบอกว่า พ่อเฒ่าเคยอยู่และรู้เรื่องที่คุ้มเชียงแมนดี ผมจะมาถามเรื่องคุ้มนั้นครับ”
“อยากจะรู้เรื่องที่นั่นไปทำไม” บุญโฮมถาม
“เพื่อนผมมันต้องเข้าไปทำงานที่นั่นครับ” รชาว่า
นายิกีสวนทันที “อย่าได้เข้าไปที่นั่น มันมีมนต์ดำอำนาจมืดครอบคลุมอยู่”
จักราตกใจ แต่ยังรั้น “มนต์ดำอำนาจมืดอะไรผมไม่รู้ แต่น้องผมหนีออกมาจากที่นั่น แล้วตายอย่างมีเงื่อนงำ ผมต้องรู้ให้ได้ว่าที่นั่นมันมีอะไร”
บุญโฮมบอก “ข้าหนีออกมาจากที่นั่นหลายปีแล้ว ไม่อยากรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก”
รชาฉงน “ที่นั่นมันมีอะไรกันแน่ครับ ถ้ามันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล เราก็น่าจะช่วยกันเปิดเผยมันนะครับ”
“พวกเจ้าคนธรรมดาไม่มีทางจัดการกับมันได้” นายิกีบอก
“ผมจะไม่ยอมให้น้องชายตายฟรี ผมแค่อยากรู้ว่าที่นั่นมีอะไร แค่บอกผมมา ได้หาทางรับมือถูก” จักราว่า
บุญโฮมส่ายหัว “ไม่มีทางสู้กับมันได้หรอก ขนาดพี่สาวข้ามีวิชายังเอาชนะมันไม่ได้เลย ถึงเล่าไปก็คงไม่เชื่อ”
รชาอยากรู้มากพอๆ กับจักรา “มีอะไรก็บอกมาเถิดครับ พวกผมอยากรู้”
นายิกีตัดบทเสียงเข้ม “กลับไปเสียเถอะ จำไว้อย่างเดียว อย่าไปเกี่ยวข้องกับคุ้มเชียงแมนเป็นอันขาด”
จักรากับรชาเห็นบุญโฮมและนายิกีไม่ยอมบอกท่าเดียว จึงลาจากมาด้วยความสงสัย แต่ดูออกว่าจักรา เขาไม่ยอมแพ้
ค่ำคืนนั้น โฉมสุรางค์เดินชมสวนอยู่เพียงลำพัง รอบกายมีกลิ่นดอกไม้หอมอบอวลลอยมา สักครู่ จักราปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง เรียกเสียงหวาน
“อนิลทิตา ยอดรักของข้า”
โฉมสุรางค์หันมาเห็นเป็นสินธุ ก็ยิ้มดีใจเดินเข้าไปหา
“สินธุ ข้ารอคอยเจ้ามานานเหลือเกิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า”
“ข้าสัญญาไว้กับเจ้าแล้ว ข้าต้องกลับมา” จักรายกมือจับใบหน้าโฉมสุรางค์อย่างอ่อนโยน
“เจ้าจำข้าได้แล้ว ข้าดีใจจริงๆ”
จักรากอดโฉมสุรางค์แนบแน่น โฉมสุรางค์กอดตอบแววตาวามวามสุขล้น
อ่านต่อตอนที่ 5