อนิลทิตา ตอนที่ 9
เช้าวันต่อมา เจ้าดาเรศมองออกไปจากโถงเรือนใหญ่ เห็นจักราขึ้นรถขับออกไป เธอมองตามอย่างใช้ความคิด
ป่าแห่งนั้นตกอยู่ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ธรรมชาติร่มรื่นสวยงาม นายิกีนั่งสมาธิอยู่ในนั้น มีจักรา รชานั่งอยู่ข้างหลัง
“แม่เฒ่าจะทำยังไงเหรอครับ”
“ข้าจะเรียกไอ้สมิงดงออกมา ถ้านังโฉมมันรู้ว่าไอ้สมิงดงตกอยู่ในอันตราย มันจะต้องรีบออกมาแน่ๆ”
จักราพูดขัดและค้านขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
“ไหนแม่เฒ่าบอกคุณดาเรศว่าจะช่วยคุณโฉมไงล่ะครับ”
นายิกีตวัดสายตาเข้มดุมองมายังจักราอย่างไม่พอใจ
“แล้วแกจะให้ข้าบอกนังหนูนั่นว่าแม่มันเป็นปีศาจ และข้ากำลังจะฆ่าแม่ของมันอย่างนั้นรึ”
จักราเครียด
“แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าคุณโฉมกับเจ้าของสมิงดงคือคนๆ เดียวกัน”
“แกไม่แน่ใจ แต่ข้าแน่ใจ...ถ้าแกไม่เชื่อ ก็คอยดู”
นายิกีหงุดหงิด งัดคัมภีร์ขึ้นมา แล้วท่องมนต์เรียกสมิงดง
เจ้าตองเหลืองนอนขดอยู่ในห้องทำพิธีของโฉมสุรางค์ มันเริ่มร้อนรนกระสับกระส่าย แล้วสุดท้ายก็เลื้อยหายออกไปจากประตูห้องลับ
เจ้าดาเรศและกระถินพากันตามมา สองสาวแอบดูอยู่หลังพุ่มไม้ไกลๆ เห็นนายิกีเปิดคัมภีร์ท่องมนต์ มีจักรา รชา นั่งอยู่ด้านหลัง
เจ้าดาเรศเพ่งมองด้วยความสงสัยมาก บ่นออกมาว่า “แม่เฒ่าจะช่วยคุณแม่ได้ยังไงน่ะกระถิน”
กระถินรีบหันมาจุ๊ปากห้าม
“เบาๆ สิคะเจ้า เดี๋ยวเค้าก็ได้ยินหรอก กระถินว่าเราค่อยๆ ดูไปก่อนดีกว่า”
เจ้าดาเรศและกระถินแอบดูกันต่อด้วยความสงสัยเต็มอก
พริบตานั้นเอง เจ้าตองเหลืองปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านายิกี มันชูคอใส่ด้วยความโมโหโกรธา จักรากับรชาตกตะลึงตาค้าง ที่เห็นท่าทางเจ้าตองเหลืองดุร้ายขนาดนั้น
นายิกีเหยียดยิ้มสมใจ “มาแล้วสิ ไอ้สมิงดง”
“แม่เฒ่ามั่นใจเหรอครับว่าคุณโฉมจะออกมา” จักราอดถามไม่ได้
“เจ้าก็รอดูเอาเองแล้วกัน”
นายิกีล้วงนาคบาศออกมาจากย่าม ท่องมนตราแล้วขว้างไปคล้องคอเจ้าตองเหลืองทันที ฉับพลันทันใดนั้นเอง นาคบาศเรืองแสง รัดคอตองเหลืองแน่นเข้าๆ
สองหนุ่มตื่นตะลึง
เจ้าตองเหลืองดิ้นทุรนทุราย มันพยายามส่งกระแสจิตเรียกผู้เป็นนาย
แต่โฉมสุรางค์ก็ไม่ออกมาสักที
เจ้าดาเรศและกระถินมาแอบดูอยู่ และเห็นว่าแม่เฒ่านายิกี เหมือนกำลังนั่งทำพิธีอะไรบางอย่าง มีสองหนุ่มมองดูอย่างตื่นตกใจ และเห็นว่างูเหลือมถูกรัดอยู่ตรงหน้าแม่เฒ่า กระถินเห็นชัดๆ แล้วต้องออกอาการตกใจ
“นั่นมัน...มัน...”
เจ้าดาเรศสงสัย “อะไรกระถิน”
“งูตัวนั้น เหมือนงูของคุณโฉมเลยค่ะเจ้า แต่มันมาที่นี่ได้ยังไง ปกติมันจะอยู่แต่ในห้องของคุณโฉม”
“คงไม่ใช่มั้งกระถิน”
กระถินบอกอย่างมั่นใจ “แต่กระถินมั่นใจว่าใช่ค่ะ”
เจ้าดาเรศไม่อยากเชื่อ
เจ้าตองเหลืองดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานแสนสาหัส นายิกีมองดูด้วยความสะใจ
“ออกมาสินังโฉม ออกมา”
นายิกีรอคอยอย่างคาดหวัง ว่าไม่นานโฉมสุรางค์จะต้องออกมาแน่ ทว่าเจ้าตองเหลืองดิ้นพล่านจนสุดท้ายแน่นิ่งไป รชาลุ้นใจจดใจจ่อว่าโฉมสุรางค์จะมาหรือเปล่า
“สมิงดงก็ตายไปแล้ว ทำไมคุณโฉมยังไม่มาซะทีนะ”
จักราตอบทันทีอย่างผู้ชนะ
“ก็เพราะว่าคุณโฉมไม่ใช่อนิลทิตาน่ะสิครับ”
นายิกีพูดสวนขึ้นอย่างมั่นใจ
“แต่ข้าแน่ใจว่ามันเป็นคนๆ เดียวกัน แต่ที่มันไม่ออกมาก็เพราะมันต้องทำอะไรบางอย่างที่สำคัญอยู่แน่ๆ”
เจ้าดาเรศและกระถิน เห็นเจ้าตองเหลืองนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ก่อนจะสลายหายไปต่อหน้าต่อตา สองสาวตกใจมากพอกัน
“เจ้าคะงูมันหายไปได้ยังไงคะ”
เจ้าดาเรศตกใจ แต่ตั้งสติได้
“ก็คงจะด้วยอาคมของแม่เฒ่าน่ะแหละ กระถินก็รู้ว่าแม่เฒ่าเป็นคนมีวิชา”
เจ้าดาเรศมองไปที่นายิกีทำพิธีอย่างคลางแคลงใจ
“แต่ฉันไม่เข้าใจ แม่เฒ่ามาทำอะไรแบบนี้ทำไม...”
กระถินคิดไปคิดมา “หรือว่างูตัวนี้จะเกี่ยวอะไรกับคุณโฉม”
เจ้าดาเรศพยายามคิดแต่คิดไม่ออก ในที่สุดเธอก็หมดความอดทน
“ฉันทนไม่ไหวแล้วล่ะกระถิน นี่เค้ามัวแต่ทำอะไรกันอยู่...ไม่เห็นมีใครคิดจะช่วยคุณแม่เลย”
เจ้าดาเรศพูดจบก็เดินตรงไปยังจุดที่นายิกีทำพิธีทันที
“เจ้า...เดี๋ยวค่ะ รอกระถินด้วย”
กระถินตกใจรีบวิ่งตามไป
เจ้าดาเรศเดินเร็วรี่เข้ามา กระถินวิ่งตามมาติดๆ จักรากับรชาตกใจเมื่อเห็นสองสาวตามมา
“คุณดา”
เจ้าดาเรศไม่สนใจใคร เดินตรงลิ่วเข้าไปหานายิกีอย่างเอาเรื่องทันที
“ไหนแม่เฒ่าบอกว่าจะช่วยคุณแม่ดาออกมาจากป่าไงคะ แล้วนี่มันอะไรกัน แม่เฒ่าฆ่างูตัวนั้นทำไม แล้วเมื่อไหร่จะลงมือช่วยคุณแม่ซะที”
จักราปราดเข้าไปหาดาเรศ
“คุณดา...คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
นายิกีเสียงแข็งไม่พอใจ “ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้เจ้าตามมาที่นี่”
“ก็ดาเป็นห่วงคุณแม่นี่คะ ดาอยากรู้ว่าแม่เฒ่าจะช่วยคุณแม่ได้ยังไง”
รชาอึดอัดใจ เข้าใจดาเรศว่าเป็นห่วงแม่ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้
“ก็สิ่งที่แม่เฒ่ากำลังทำอยู่นี่ล่ะครับ ที่จะทำให้คุณโฉมออกมาจากป่าได้”
“แต่คุณแม่ก็ไม่เห็นจะกลับมานี่คะ” เจ้าดาเรศท้วง
จักรา รชา นายิกีอึ้งไป พูดอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เจ้าดาเรศมองทุกคนอย่างตัดพ้อต่อว่า
“ดาคงรอต่อไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณแม่เฒ่านะคะที่พยายามจะช่วยคุณแม่...แต่ดาตัดสินใจแล้วว่าดาจะไปแจ้งความ ดาขอตัวก่อนค่ะ” เจ้าหันมาทางกระถิน “ไป กระถิน”
เจ้าดาเรศพูดจบก็จะเดินกลับออกไป จักราเดินไปหาบอกว่า
“ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณดาครับ”
สามคนเดินออกไป
ไม่นานต่อมา หลังแจ้งความเสร็จ จักรา เจ้าดาเรศ กระถิน เดินออกมาจากสถานีตำรวจ เจ้าดาเรศยังมีท่าทางเป็นกังวลอยู่มาก
จักราปลอบ “ตำรวจรับปากว่าจะส่งคนไปค้นในป่าแถวๆนั้น ยังไงก็คงจะมีความคืบหน้าอะไรบ้าง”
“ดาก็หวังว่าอย่างนั้น...ขอบคุณนะคะที่คุณจักรมาเป็นเพื่อน”
จักรายิ้มให้เป็นกำลังใจให้ กระถินมีท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เจ้าคะ เรากลับคุ้มกันเถอะค่ะ กระถินอยากจะกลับไปดูอะไรหน่อย”
พอกลับถึงคุ้มเชียงแมน กระถินรีบขึ้นมายังห้องนอนโฉมสุรางค์ เธอผลักประตูกระจกบานใหญ่เข้าไปในห้องลับอย่างใจร้อน ก่อนจะก้มลงหน้าแท่นพิธีกวาดสายตามองหาเจ้าตองเหลืองทุกซอกทุกมุมในห้อง แต่ก็ไม่มีวี่แววงูยักษ์ กระถินยืนอึ้ง
“หายไปจริงๆ ด้วย ตกลงงูที่เห็นเมื่อกี้มันเป็นตัวเดียวกับของคุณโฉมหรือเปล่านะ” ยิ่งคิดกระถินยิ่งสับสน “แต่ป่านั่นมันอยู่ห่างออกไปตั้งไกล...แล้วงูมันออกจากห้องไปได้ยังไง”
กระถินบ่นบ้า คิดวุ่นวายใจอยู่คนเดียว
ตกตอนกลางคืน บนท้องฟ้าเหนือคุ้มเชียงแมนดวงดาวระยิบระยับบนนั้น เจ้าดาเรศนั่งกลุ้มใจอยู่คนเดียวไม่ได้สนใจความงามของดาวเอาเลย จักรายืนมองอยู่ห่างๆ ก่อนจะเดินตามมานั่งข้างๆด้วยความเป็นห่วง
“นอนไม่หลับเหรอครับ”
เจ้าดาเรศพยักหน้ารับ
“ดากลัวค่ะคุณจักร คุณแม่หายเข้าไปในป่าแบบนั้น ดากลัวคุณแม่จะเป็นอะไรไป”
“แต่ผมเชื่อว่าคุณโฉมจะต้องปลอดภัย”
“แต่ตอนที่แม่เฒ่าตามไปช่วยคุณแม่ แม่เฒ่าก็ถูกคนลอบทำร้าย...เป็นไปได้มั้ยคะว่าคนๆ นั้นอาจจะทำร้ายคุณแม่ด้วย”
เจ้าดาเรศยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดหวั่น ห่วงใยโฉมสุรางค์มากจนน้ำตาไหลอาบแก้ม
“คุณดาอย่าร้องไห้สิครับ ผมเห็นแล้วใจไม่ดีเลย”
“ดาเหลือคุณแม่คนเดียวเท่านั้นในชีวิต คุณแม่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของดา ถ้าคุณแม่เป็นอะไรไป ดาจะอยู่ต่อไปได้ยังไง”
จักรามองเจ้าดาเรศด้วยความเห็นใจ
“คุณดาก็ยังมีผมไงครับ”
จักราเอื้อมมือไปกุมมือเจ้าดาเรศไว้และเช็ดน้ำตาให้เธออย่างนุ่มนวล มองจ้องพร้อมให้คำมั่น
“ผมจะคอยดูแลคุณดาเอง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณดาไปไหน...ผมสัญญา”
เจ้าดาเรศมองจักราอย่างเชื่อมั่น ยิ้มให้เขาด้วยความซาบซึ้งและขอบคุณ
จักราดึงร่างเจ้าดาเรศมากอดไว้ด้วยความรู้สึกต้องการปกป้อง ดาเรศซบหน้าที่อกจักราด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ
กระถินเดินซึ่งเดินตามหาเจ้าดาเรศมาจากอีกมุม
“เจ้า เจ้าคะ”
แต่แล้วกระถินต้องชะงักกึก เมื่อมองไปเบื้องหน้าเห็นจักรากับดาเรศกำลังกอดกันอยู่
หัวหน้าสาวใช้คุ้มเชียงแมนเบิกตาโตอย่างตื่นเต้น ตกใจ
“เจ้า คุณจักร”
แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลงในป่าหิมพานต์ ทั่วอาณาบริเวณ สวยงามราวภาพฝัน
อนิลทิตานั่งสมาธิใบหน้าแจ่มใสอยู่ใต้ต้นปาริชาติล่วงเข้าวันที่ 3 แล้ว ดอกปาริชาติเรืองแสงดีแดง เบ่งบานอยู่บนต้นพร้อมจะล่วงหล่นลงมา
สายลมอ่อน พัดต้องกระทบดอกปาริชาติ พลันดอกปาริชาติก็ร่วงหล่นลงมาจากต้น ตกมาที่มืออนิลทิตาเบาๆ
อนิลทิตารับรู้ได้ถึงสัมผัสนั้น นางลืมตาขึ้นสีหน้าปลื้มปีติล้น หยิบดอกปาริชาติสีแดงเรืองแสงสวยงาม ขึ้นมาชื่นชม แววตาสมใจ
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 9 (ต่อ)
กายของโฉมสุรางค์ยังนั่งนิ่งอยู่ในถ้ำน้ำลอด ไม่นานนักจิตอนิลทิตากึ่งเดินกึ่งลอยถือดอกปาริชาติกลับเข้ามาซ้อนร่างเดิม
โฉมสุรางค์ลืมตาขึ้น มองดอกปาริชาติที่อยู่ในมือ ยิ้มอย่างสมใจ และเปี่ยมสุข
พอโฉมสุรางค์เดินออกมาถึงหน้าถ้ำ เธอพนมมือขึ้นเพื่อจะคลายมนต์ป่าอาคม แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อสายตามองไปเห็นลูกกวาง 2 ตัวกำลังวิ่งหยอกล้อกัน อีกทั้งฝูงนกพากันบินว่อนบนท้องฟ้า
โฉมสุรางค์นิ่งคิดประหลาดใจ
“พี่บันดาสาบอกว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเข้ามาในเขตป่าอาคมได้ แล้วสัตว์พวกนั้นเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”
โฉมสุรางค์หวาดระแวงว่าเกิดอะไรขึ้นกับมนต์ที่ตนสร้างเป็นเกราะกำบังไว้
ไม่นานนักโฉมสุรางค์ก็กลับมาถึงคุ้ม เธอรีบเข้ามาในห้องลับทำพิธี นำเอาผอบแก้วใสที่เตรียมไว้ใส่ดอกปาริชาติลงไป แล้ววางไว้หน้าแท่นบูชา จากนั้นก็มองหา พร้อมกับร้องเรียกเจ้าตองเหลือง
“ตองเหลือง ตองเหลืองข้ากลับมาแล้ว”
เรียกเท่าไหร่เจ้าตองเหลืองก็ไม่ออกมาสักทีจนโฉมสุรางค์นึกสงสัย
“หายไปไหนนะ หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า”
โฉมสุรางค์ทำสมาธิเพ่งมองน้ำในขัน เธอเห็นภาพตองเหลืองถูกนาคบาศรัดคอจนตายไป ก็ตกใจมาก
“ตองเหลือง! ใครทำอะไรเจ้า”
โฉมสุรางค์เพ่งจิตอีกครั้ง คราวนี้แลเห็นเป็นภาพแม่เฒ่านายิกีโยนนาคบาศไปรัดคอตองเหลือง
“นางเฒ่านายิกี แกฆ่าตองเหลืองของข้า”
โฉมสุรางค์แค้นถึงขีดสุด โลดลิ่วรีบออกไปจากห้องลับด้วยแรงโทสะ
โฉมสุรางค์ถลาออกมาจากห้อง รีบเดินลงบันไดไปท่าทีรีบร้อน เจ้าดาเรศเพิ่งออกมาจากห้อง เห็นหลังโฉมสุรางค์เดินไปไวๆ ร้องเรียกด้วยความดีใจ
“คุณแม่...คุณแม่กลับมาแล้ว”
เจ้าดาเรศวิ่งตามไปจนทัน โผเข้ากอดโฉมสุรางค์อย่างดีใจ
“คุณแม่ คุณแม่จริงๆ ด้วย คุณแม่เป็นไงบ้างคะ ดาเป็นห่วงแทบแย่”
โฉมสุรางค์เกร็งตัวนิดหนึ่งอย่างแข็งขืนและอึดอัด ดันตัวออกแล้วถามด้วยความสงสัย
“เธอจะมาห่วงแม่ทำไม”
“อ้าว ก็คุณแม่หายเข้าไปในป่าตั้งสามวัน แล้วจะไม่ให้ดาห่วงได้ยังไง”
โฉมสุรางค์ชะงัก คิดไม่ถึง
“เธอนี่พูดจาเหลวไหลใหญ่แล้ว แม่ไปธุระที่กรุงเทพฯ จะเข้าไปในป่าได้ยังไง”
พลางโฉมสุรางค์จะเดินต่อ เจ้าดาเรศชักงง รีบเดินไปขวางไว้
“ก็คุณแม่ลืมโทรศัพท์เอาไว้ ดากับคุณจักรเลยตามเอาไปให้ เราสองคนเห็นกับตาว่าคุณแม่เข้าไปในป่า...ดากับคุณจักรก็เลยตามคุณแม่...”
โฉมสุรางค์ตกใจ รีบพูดขัดขึ้นน้ำเสียงขุ่น
“อะไรนะ นี่เธอสะกดรอยตามแม่เหรอ”
“ค่ะ แต่ดาหลงป่าเสียก่อน...มันเป็นป่าอาถรรพ์ ป่าประหลาด ดากับคุณจักรแทบเอาชีวิตไม่รอด ดีที่แม่เฒ่านายิกีไปช่วยไว้ได้ แล้วคุณแม่ออกมายังไงคะ แม่เฒ่าเป็นคนไปช่วยคุณแม่หรือเปล่า”
โฉมสุรางค์อึ้ง นิ่งงันไปเมื่อได้ยินที่เจ้าดาเรศพูดถึงนายิกี และคิดออกทันทีว่าคนที่ทำลายป่าอาคมของตนต้องเป็นนายิกีแน่ รีบตัดบทปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เธอคงฝันไปแล้วล่ะดาเรศ แม่จะหลงป่าได้ยังไงในเมื่อแม่ไม่เคยเข้าไปในป่าอย่างที่เธอพยายามจะกล่าวหา”
พูดจบโฉมสุรางค์ก็เดินหนีไปทันที เจ้าดาเรศรีบเดินตามไป
โฉมสุรางค์เดินออกมาหน้าเรือนใหญ่ เจ้าดาเรศเดินตามมาขวางหน้า พูดถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไมคุณแม่ต้องโกหกดาด้วยคะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...หรือว่าคุณแม่กำลังทำอะไรที่บอกใครไม่ได้”
โฉมสุรางค์เสียงแข็ง มองเจ้าดาเรศอย่างดุดัน
“นั่นมันไม่ใช่กงการอะไรของเธอ ดาเรศ เธอไม่มีสิทธิมายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉัน”
เจ้าดาเรศไม่ยอม “ทำไมจะยุ่งไม่ได้คะ ดาเป็นลูกแม่นะคะ”
โฉมสุรางค์โมโหหลุดปากออกมาด้วยความโกรธ
“เธอไม่ใช่ลูกฉัน”
เจ้าดาเรศอึ้ง
โฉมสุรางค์ได้สติ รู้สึกตกใจที่หลุดปากออกมา จึงรีบเดินหนีออกไปทันที
ตกตอนบ่าย จักราเดินถือแฟ้มงานมาตามทางเดินในคุ้ม โดยเขาลืมแฟ้มนี้ไว้ในห้องพักจึงกลับมาเอา และกำลังจะเดินย้อนกลับไปที่สำนักงาน จังหวะหนึ่งจักราหันมาเห็นเจ้าดาเรศนั่งเหม่ออยู่คนเดียว ก็หยุด เขม้นมองอย่างสงสัย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหา และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าเจ้าดาเรศกำลังร้องไห้
จักราตกใจเอาการ “คุณดา เกิดอะไรขึ้นครับ คุณดาร้องไห้ทำไม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“คุณจักร”
เจ้าดาเรศโผเข้ากอดจักรา ร้องไห้กับอกของเขาราวกับยึดเป็นที่พึ่งพิงในยามทดท้อ
จักรากอดปลอบเจ้าดาเรศ ปล่อยให้เธอร้องไห้ไป
โฉมสุรางค์เดินมาจากอีกมุมหนึ่ง มองไปที่จักราและเจ้าดาเรศด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์ ทั้งหวงหึง และโกรธเคือง
โฉมสุรางค์ตรงดิ่งมาหาบันดาสาที่กระท่อมท้ายคุ้มในตอนค่ำ ทันทีที่มาถึงก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่บันดาสา ลูกสาวพี่ชักจะวุ่นวายกับฉันมากเกินไปแล้วนะ พี่รู้มั้ยว่าดาเรศสะกดรอยตามฉันเข้าไปในป่า”
บันดาสาหลบตาวูบ “เจ้าคงจะเป็นห่วงแม่หญิงน่ะ”
โฉมสุรางค์เสียงแข็งใส่ท่าทีเย้ยหยัน ไม่เชื่อเอาเลย
“เป็นห่วงเหรอ ยุ่งไม่เข้าเรื่องมากกว่า พี่รู้มั้ยดาเรศเป็นตัวการพานังเฒ่านายิกีเข้าไปในป่า...ดีนะที่มันไม่ได้ทำอะไรฉัน”
บันดาสาสงสารเจ้าดาเรศเหลือเกิน
“เรื่องนั้นแม่หญิงไม่ต้องห่วง พี่จัดการนังเฒ่านั่นไปแล้ว”
“ก็ดี...แต่เรื่องดาเรศ ข้าชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ลูกพี่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องของข้ามากเกินไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องสินธุ”
บันดาสางงงัน ไม่เข้าใจ “แม่หญิงหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าลูกพี่มีใจให้ผัวข้าน่ะสิ” อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์กระแทกเสียงใส่
บันดาสาตกใจ “เป็นไปไม่ได้”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ หลายครั้งแล้วนะที่ดาเรศพยายามจะเข้าหาสินธุ แม้ข้าห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง”
โฉมสุรางค์หลุดปากออกมาด้วยความว้าวุ่น โกรธแค้น หวงหึง และเกลียดชัง
“อย่าให้ข้าทนไม่ได้ขึ้นมานะ”
บันดาสาเห็นท่าทางของผู้เป็นนายแล้วก็ชักหวั่นใจ และนึกเป็นห่วงเจ้าดาเรศขึ้นมาจับขั้วหัวใจ
“จะอย่างไร ข้าก็จะไม่ปล่อยให้สองคนนั่นรักกัน” บันดาสาพูดให้คำมั่นกับโฉมสุรางค์ และบอกอย่างจริงจังอีกว่า
“ถึงเวลาแล้วล่ะที่แม่หญิงจะต้องรีบทำให้สินธุระลึกชาติให้ได้โดยเร็วที่สุด”
ค่ำวันเดียวกันนี้ จักราเดินมาส่งเจ้าดาเรศที่หน้าเรือนใหญ่ หญิงสาวมีสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น
“ขอบคุณนะคะคุณจักรที่อยู่เป็นเพื่อนดาทั้งวันเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณดามีอะไรก็พูดกับผมได้ ผมยินดีรับฟังทุกเรื่อง”
“ดารู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ...ดาคงจะว่างมากเกินไป ก็เลยหมกมุ่นอยู่แต่กับความคิดตัวเอง”
จักรายิ้ม “เอางี้มั้ยครับ ถ้าคุณดาว่าง ผมอยากจะขอความช่วยเหลืออะไรคุณดาซะหน่อย”
“ได้สิคะ จะให้ดาช่วยอะไรล่ะคะ”
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายผมต้องเข้าไปธุระในเมือง คุณดาช่วยนั่งรถไปเป็นเพื่อนผมหน่อย เสร็จธุระแล้วผมจะพาคุณดาไปหาอะไรอร่อยๆ ทานเป็นการตอบแทน”
เจ้าดาเรศอดยิ้มไม่ได้ รู้ว่าจักราเป็นห่วงตน
ทั้งสองคนสบตากันนิ่งๆ แล้วยิ้มให้กัน โดยไม่รู้ว่า ในอีกมุมหนึ่งไม่ไกลนัก โฉมสุรางค์ที่เพิ่งกลับมาจากกระท่อมบันดาสายืนมองมาด้วยสายตาวาววับ
ฟากนายิกีนั่งทำน้ำมนต์อยู่หน้าโต๊ะพิธี โดยตรงหน้าแม่เฒ่ามีขันเงินน้ำมนต์วางอยู่ พร้อม ธูป เทียน สายสิญจน์ ดอกไม้ และ เครื่องบูชาต่างๆ นายิกีทำน้ำมนต์เสร็จก็ลืมตาขึ้น
“น้ำมนต์ปลุกเสก จะทำให้นางโฉมมันกลับร่างเดิม”
ในนั้นมีรชานั่งอยู่ด้วย ชายหนุ่มมองดูอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ครั้งนี้จะสำเร็จแน่ๆ ใช่มั้ยครับ”
“ข้ารับรอง ถ้านางโฉมมันดื่มเข้าไป มันก็จะร้อนรนและกลับสู่สภาพปีศาจของมัน ทีนี้เจ้าจักรมันก็จะเชื่อว่านางโฉมเป็นปีศาจ”
รชาพยักหน้าเข้าใจ
ตอนบ่าย วันรุ่งขึ้น
ขณะที่จักรานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มีชื่อดาเรศขึ้นที่หน้าจอ จักรายิ้มก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีครับคุณดา อย่าบอกนะว่าที่โทรมาจะเปลี่ยนใจไม่ยอมไปกับผม”
เจ้าดาเรศโทร.มาจากห้องนอนในคุ้ม หญิงสาวอมยิ้ม
“ดาจะโทร.มาบอกว่าดาจะขับรถไปให้คุณจักรต่างหากค่ะ แล้วตอนที่คุณจักรคุยธุระ ดาจะแวะได้ไปซื้อของก่อน”
จักราเปลี่ยนอิริยาบถสบายๆ
“ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวอีก 10 นาทีพบกัน”
จักรากดวางสายในจังหวะเดียวกับที่โฉมสุรางค์เปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทางรีบเร่งร้อนใจ
“คุณจักรคะ ฉันมีเรื่องด่วนที่ไร่ คุณจักรเข้าไปกับฉันหน่อยนะคะ”
จักราอิดออด “แต่ผม...”
โฉมสุรางค์ตัดบทแกมบังคับกลายๆ
“ไม่นานหรอกค่ะ เรารีบไปกันเถอะ”
จักราจำเป็นต้องเดินตามโฉมสุรางค์ออกไป
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 9 (ต่อ)
เจ้าดาเรศขับรถเข้ามาจอดที่หน้าออฟฟิศตามนัด เมื่อมองไปก็เห็นจักราขับรถของไร่ชาเชียงแมนออกไปโดยมีโฉมสุรางค์นั่งคู่ไปด้วย
“เอ๊ะ...นั่นคุณจักรกับคุณแม่กำลังจะไปไหนกัน”
เจ้าดาเรศมองตามด้วยความสงสัย
กลางแสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อย จักราขับรถเข้ามาจอดที่ท้ายไร่ เขาลงมาเปิดประตูรถให้โฉมสุรางค์
ถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “มีเรื่องอะไรเหรอครับคุณโฉม”
“ตามฉันมาเถอะค่ะ”
โฉมสุรางค์พาจักราเดินไปตามทางในไร่ จนแลเห็นกระโจมผ้าสีขาว ที่มีโคมปักอยู่รอบๆ ตั้งอยู่ท้ายไร่ กระโจมนี้เป็นกระโจมสมัยโบราณ แบบเดียวกับที่สินธุใช้ตอนไปค้าขายในอดีต แต่แลดูสะอาดกว่า และผ้าคลุมกระโจมก็ใหม่กว่า ด้านในมีผ้าม่านสีขาวแขวนประดับพริ้วไหวตามแรงลม
จักรามองแปลกใจ “แล้วนั่นกระโจมอะไรครับ”
โฉมสุรางค์เยื้อนยิ้ม “เราเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ”
จักรายืนอึ้ง โฉมสุรางค์ดึงมือเขาเข้าไปในกระโจม
ภายในกระโจม ถูกจัดแต่งอย่างสวยงาม ด้วยดอกไม้สีขาว มีเทียนสีขาวจุดอยู่รอบๆ
จักรามองไปรอบๆ เห็นเตียงไม้ทรงเขมรโบราณตั้งอยู่มุมในสุด มีโต๊ะเล็กตั้งอาหารคาวหวาน ผลไม้ และสุราชั้นดี จัดอยู่ในภาชนะทองเหลือง สายตาจักราเต็มไปด้วยความสงสัยว่าโฉมสุรางค์กำลังจะทำอะไรแน่
“นี่มันอะไรกันครับคุณโฉม”
โฉมสุรางค์ยิ้มหวาน ไม่ตอบ ก่อนจะจูงมือจักรามาที่โต๊ะตัวหนึ่งที่มีผอบแก้วใส่ดอกปาริชาติ เห็นเป็นละอองฟุ้งสีแดงระยิบระยับอยู่ในผอบ
จักรามองดอกปาริชาติอย่างงงๆ
“สวยจัง...ดอกอะไรเหรอครับ”
“เค้าเรียกว่าดอกปาริชาติค่ะ”
โฉมสุรางค์หยิบผอบขึ้นมา
“และไม่ใช่แค่สวยนะคะ แต่กลิ่นก็หอมด้วย...”
โฉมสุรางค์เปิดผอบออก แค่ได้กลิ่นดอกปาริชาติโชยมาหอมจรุง จักราก็รู้สึกเคลิบเคลิ้ม
“หอมจัง”
“เค้าว่ากันว่า...ปาริชาติเป็นดอกไม้สวรรค์ ใครที่ได้กลิ่นจะระลึกชาติได้”
“จริงเหรอครับ”
โฉมสุรางค์ส่งผอบแก้วให้จักรา “คุณจักรก็ลองดมสิคะ”
จักรารับดอกปาริชาติมาแล้วยกขึ้นดม
ฉับพลันนั้นเอง เห็นเป็นภาพเหตุการณ์ของสินธุในอดีตชาติผ่านเข้ามาในหัวจักราอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว จักราซวนเซไปนิดหนึ่ง
“นี่มันอะไรกัน...“
โฉมสุรางค์ยิ้มบางๆ นัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้า ด้วยความดีใจ
“คุณอาจจะเริ่มจำอดีตได้แล้วกระมังคะ” เธอว่า
จักราพูดกับตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง”
โฉมสุรางค์หยิบสร้อยเหรียญท้าวเวสสุวัณของสินธุออกมา เดินเข้าไปใกล้ๆ มองสบตาตาจักราอย่างเชิญชวนแกมบังคับ
“งั้นก็ลองสวมสร้อยนี่ดูสิคะ มันอาจจะทำให้คุณเห็นอะไรๆชัดขึ้นก็ได้”
จักรายังไม่ทันจะตอบ โฉมสุรางค์ก็สวมสร้อยเหรียญท้าวเวสสุวัณที่คอเขา เหรียญเกิดประกายแสงจ้าขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
จักราสะดุ้งเฮือก ใบหน้ามึนงง ภาพความหลังตอนที่สินธุรักกับอนิลทิตาผุดพร่างเข้ามาในห้วงความทรงจำของจักรา เป็นระลอกๆ
ทั้งตอนเจอกันครั้งแรก สินธุช่วยอนิลทิตาขึ้นจากการจมน้ำ / ที่ตลาดค้าผ้า สินธุมอบผ้าย่ำมะหวาดให้แก่อนิลทิตา / เมื่อความรักงอกงามในใจสองคน อนิลทิตาป้อนขนมต้มสามสีให้สินธุทาน
สุดท้ายเป็นเหตุการณ์ตอนสินธุให้เหรียญท้าวเวสสุวัณกับอนิลทิตา พร้อมให้คำสัญญาไว้ และตายในอ้อมกอดของอนิลทิตา
โฉมสุรางค์มองลุ้นสุดขีดว่าจักราจะระลึกชาติได้มั้ย
แต่แล้วความทรงจำของจักราก็ดับวูบลง ตัวจักราโอนเอนไปมาก่อนล้มลงสลบไป โฉมสุรางค์ตกใจ
“สินธุ”
โฉมสุรางค์เข้าไปประคองจักราลงนอนบนตั่งสีทอง
ข้างฝ่ายเจ้าดาเรศขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆรถของไร่เชียงแมน แล้วเดินไปตามทาง
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เปลือกตาจักรา ค่อยๆ ขยับ และลืมขึ้น โฉมสุรางค์ที่นั่งอยู่ข้างๆ บนตั่งดีใจมาก
“คุณจักร เป็นยังไงบ้างคะ”
จักรามองโฉมสุรางค์นิ่งอยู่อย่างนั้น เขาเห็นร่างอนิลทิตาแทรกเข้ามาในตัวโฉมสุรางค์
จักราพึมพำออกมาว่า “อนิลทิตา”
โฉมสุรางค์ดีใจสุดจะประมาณ โผเข้ากอดจักราเต็มรัก
“สินธุ...ท่านจำข้าได้แล้ว ท่านจำข้าได้แล้วใช่มั้ย”
จักรารัดร่างของโฉมสุรางค์ไว้แนบแน่นราวกับคนเพิ่งจะได้ของรักกลับคืนมา
“อนิลทิตา ยอดรักของข้า”
อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์ดีใจเหลือล้น นางยก 2 มือประคองใบหน้าจักราไว้ย่างแสนรักแสนคิดถึง มองจ้องเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง ดื่มด่ำ
“ข้ารอท่านมานานเหลือเกินสินธุ แต่ในที่สุดท่านก็จำข้าได้
จักราจับมืออนิลทิตายกขึ้นมาจูบอย่างแผ่วเบา
“อนิลทิตา ในที่สุดเราก็ได้พบกัน รู้มั้ย ข้าคิดว่าข้าคงไม่มีโอกาสจะได้พบเจ้าอีกแล้ว”
“แต่ตอนนี้เราก็ได้พบกันแล้ว และข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปไหนอีก...สินธุ”
จักราโน้มหน้าลงจูบอนิลทิตาอย่างดูดดื่มแทนการตอบรับ
เป็นจังหวะที่เจ้าดาเรศเดินมาถึงหน้ากระโจมพอดิบพอดี เหลียวแลไปที่กระโจม แสงจากภายในสะท้อนเป็นเงาร่างชายหญิงอยู่ในนั้นสองคน เธอรู้ทันทีว่าต้องเป็นจักรากับโฉมสุรางค์แน่ ภาพที่เห็นเหมือนสองคนกำลังกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม
เจ้าดาเรศใจเต้นโครมคราม ตะลึงกับภาพที่เห็น ความตกใจ เสียใจ แผ่ซ่านมาเป็นริ้วๆ เธอเข่าอ่อน โรยแรงจนแทบทรุดลงไป
อ่านต่อหน้า 4 / 09.00 น.
ตกตอนค่ำ เจ้าดาเรศเดินหน้าหมองเศร้ากลับเข้ามาในโถงเรือนใหญ่ ในใจครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอกระถินเห็นเจ้าดาเรศรีบเข้าไปหา
“กลับมาแล้วเหรอคะเจ้า ทานข้าวกับคุณจักรอร่อยมั้ยคะ”
เจ้าดาเรศพูดไม่ออก กระถินเพิ่งสังเกตเห็นสีหน้าเจ้าดาเรศชัดๆ รีบปราดเข้าไปถามอย่างเป็นห่วง
“เอ๊ะ เจ้าเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ”
สองสาวอยู่ในห้องนอนเจ้าดาเรศ
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคุณแม่กับคุณจักรถึง...” เจ้าดาเรศพูดไม่ออก “เป็นอย่างนั้นไปได้”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ถามคุณจักรให้รู้เรื่องล่ะคะ” กระถินดึงมือเจ้าดาเรศ “ไปสิคะเจ้า กระถินพาไป”
เจ้าดาเรศรั้งไว้
“อย่าเลยกระถิน ฉันยังไม่พร้อมที่จะคุยกับคุณจักรตอนนี้”
เจ้าดาเรศเศร้าลงไปอีก สีหน้าเครียดครุ่นคิดหนัก กระถินมองด้วยความสงสาร
รุ่งเช้า อ๋อยถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเข้ามาในห้องพักจักรา กำลังจะไปจัดเตียงนอน พบว่าเตียงนอนเรียบร้อยเหมือนไม่มีคนนอน อ๋อยแปลกใจ จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่เห็นรอยยับของผ้าปูที่นอนเลย
“เตียงเรียบแบบนี้ สงสัยเมื่อคืนคุณจักรต้องไปนอนที่อื่นแน่ๆ”
อ๋อยคาใจ แต่ก็ทำความสะอาดห้องไปตามปกติ
โฉมสุรางค์เดินควงจักรามาที่หน้าเรือนใหญ่ของคุ้ม หน้าตายิ้มแย้มอิ่มเอิบ ดูมีความสุขกันทั้งคู่กระถินจะเดินผ่านต้องหยุดชะงัก มองทั้งคู่ ทว่าโฉมสุรางค์และจักราไม่สนใจกระถินเลยสักนิด
“คุณจักรไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวจะได้ลงมาทานข้าวกัน”
จักรายิ้มให้โฉมสุรางค์อย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวผมทำให้คุณโฉมทานเองดีกว่า อร่อยกว่าของที่คุ้มแน่ๆ”
“คุณจักรทำเป็นด้วยเหรอคะ”
จักรายิ้มๆ เกี่ยวแขนพาโฉมสุรางค์เดินผ่านหน้ากระถินไป
กระถินพึมพำ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฉากที่ 5ลานซักผ้า คุ้มเชียงแมนเช้า ต่อเนื่อง
กระถินเดินงงๆ เข้ามาในลานซักผ้า ข้างบ้านพักคนงาน สีหน้าท่าทางยังคิดไม่ตก อ๋อยกับแอ๋วกำลังช่วยกันซักผ้าอยู่
“เมื่อคืนคุณจักรไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องแหงๆ เตียงงี้เรียบเชียว” อ๋อยเอ่ยขึ้น
กระถินเดินเข้ามาได้ยินพอดี ชะงัก หยุดฟัง
แอ๋วท้วงทัก “อ้าว ไม่ได้นอนที่ห้องแล้วจะไปนอนที่ไหนล่ะ”
กระถินครุ่นคิด ท่าทางกลุ้มใจพูดกับตัวเองว่า
“หมายความว่าที่เจ้าเห็นเป็นเรื่องจริง โอ๊ย...เรื่องมันกลับตาละปัดเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย”
สายวันเดียวกัน แม่เฒ่านายิกีเดินเข้ามาในศาลาสวดศพระจิต มองไปเห็นรชายืนสั่งงานกับสัปเหร่ออยู่มุมหนึ่ง ก่อนที่สัปเหร่อจะเดินออกไป นายิกีเดินตรงดิ่งเข้าไปหารชาอย่างมาดหมาย ถามเข้าเรื่องทันที
“ไอ้จักรมาหรือยัง”
“ยังเลยครับ แม่เฒ่ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
นายิกีหยิบขวดน้ำมนต์ออกมาจากย่ามประจำตัว ที่สะพายมาด้วย
“ข้าเอาน้ำมนต์ปลุกเสกมาให้มัน”
รชามองขวดน้ำมนต์อย่างพอใจ ตอบด้วยความมั่นใจว่า
“คงจะอีกซักพักมั้งครับ จักรมันรู้ว่าศพระจิตจะเผาวันนี้ยังไงมันก็ต้องมา”
นายิกีนิ่ง สีหน้ามุ่งมั่น
จักราง่วนอยู่ในห้องครัวคุ้มเชียงแมน เขากำลังร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ และน้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน
“คุณจักรจะทำอะไรให้ดิฉันทานคะ”
“แพนเค้กครับ รับรองคุณโฉมต้องติดใจ”
จักราทำหลุมไว้ตรงกลางกองแป้งที่ร่อนแล้ว แล้วใส่นม ไข่ และเนยละลายลงไป คนให้เข้ากันระหว่างที่จักราทำแพนเค้ก โฉมสุรางค์ช่วยหยิบโน่นส่งนี่ให้ เหมือนผัวหนุ่มเมียสาวคู่แต่งงานใหม่
จักราเตรียมกระทะก้นแบน เปิดไฟกลางค่อนไปทางเบาใส่เนยลงไป แล้วเกลี่ยเนยให้ทั่ว ๆ กันระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของจักราดังขึ้น แต่จักราไม่มีท่าทีสนใจ ที่จอโทรศัพท์เห็นเป็นชื่อรชา
โฉมสุรางค์ยืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ มองอย่างอิ่มเอม จักรามองตอบ มีความสุขไปด้วยกัน
แขกเหรื่อเริ่มทยอยมาถึงงาน มีพนักงานรีสอร์ทคอยต้อนรับแขก พาไปนั่งที่รอพระสวด เสิร์ฟน้ำให้
ส่วนอีกมุมหนึ่งในศาลา รชาโทรศัพท์หาจักรา รอให้จักรารับสาย แต่อีกฝ่ายไม่รับสักที
“ทำไมมันไม่รับโทรศัพท์นะ” รชาบ่น ท่าทีแปลกใจ
รชากดวางสายหันไปพูดกับนายิกีที่นั่งรออย่างสงบ
“ไอ้จักรไม่รับโทรศัพท์ครับ...สงสัยจะทำงานอยู่”
นายิกียังไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติ
“มันคงจะมาตอนใกล้ๆ เวลาน่ะแหละ”
ฟากจักราแซะแพนเค้กชิ้นสุดท้ายขึ้นมาจากกระทะ วางลงบนจาน โฉมสุรางค์ยิ้มชื่น มองอย่างตื่นเต้น
“น่าทานจังเลยค่ะ”
จักรายิ้มภูมิใจ ตัดเนยวางบนแพนเค้ก แล้วราดเมเปิ้ลไซรัปปิดท้าย
“ผมทำสุดฝีมือเลยนะครับ”
โฉมสุรางค์ยิ้มหวาน สายตาที่มองจักราเต็มไปด้วยความรัก
จักราใช้มีดกับส้อมหั่นแพนเค้กแล้วป้อนโฉมสุรางค์
“ลองทานดูสิครับ”
โฉมสุรางค์ทาน สีหน้ายิ้มแย้ม รับรู้ถึงความอร่อย
“อร่อยจังค่ะ”
จักรายิ้มพอใจ พอเห็นไซรัปเลอะที่มุมปากโฉมสุรางค์ จึงหยิบกระดาษมาซับเช็ดให้อย่างอ่อนโยน จักรามองโฉมสุรางค์อย่างลุ่มหลง
“คุณรู้มั้ยว่าผมไม่เคยเชื่อเลยว่าเรื่องชาติภพจะมีอยู่จริง”
“ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะคะ ในเมื่อคนเราก็เวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว”
“แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เราสองคนจะได้กลับพบกันอีกครั้งในชาตินี้...และผมก็ไม่ได้รักคุณน้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว”
โฉมสุรางค์ปลื้มสบตาจักราหวานฉ่ำ
“ฉันก็ไม่เคยรักคุณน้อยลงเหมือนกัน” โฉมสุรางค์มองจักราอย่างมีความหมาย “ฉันรอวันนี้มานานเหลือเกิน เราจะรักกันอย่างนี้ตลอดไปและจะไม่พรากจากกันไปไหนอีกแล้วนะคะคุณจักร”
จังหวะเดียวกันนี้ที่หน้าประตูครัว แลเห็นเจ้าดาเรศยืนแอบมองอยู่ หน้าตาหม่นเศร้าแกมสงสัย
สองสาวอยู่อีกมุมหนึ่งในคุ้มเชียงแมน กระถินเอ่ยขึ้นทันที
“กระถินไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทำไมอยู่ๆ คุณจักรถึงไปรักกับคุณโฉมได้”
“จะไม่เชื่อได้ยังไงล่ะ กระถินก็เห็นอยู่กับตาว่าคุณจักรกับคุณแม่รักกันขนาดไหน”
เจ้าดาเรศยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าแปลก
“ไอ้เห็นน่ะเห็นค่ะ แต่มันไม่น่าเชื่อนี่คะ จีบลูกเค้าอยู่แท้ๆ พออีกวันนึงก็เปลี่ยนเป็นแม่ไปซะงั้น อย่างเนี้ย...ถ้าเป็นแถวบ้านกระถิน เค้าเรียกว่าโดนของ”
เจ้าดาเรศไม่อยากเชื่อ “โดนของเหรอ”
โฉมสุรางค์ไม่วายกังวลเรื่องจักรา จึงมาปรึกษาบันดาสาที่กระท่อม ในตอนบ่ายคล้อย
“พี่บันดาสา ข้าอดหวั่นใจไม่ได้ว่ากลิ่นของดอกปาริชาติจะทำให้สินธุรักข้าเยี่ยงนี้ได้นานเพียงไร”
“กลิ่นดอกปาริชาตินั้นจะทำได้ก็เพียงให้สินธุระลึกได้ถึงความรักที่มีต่อแม่หญิงในกาลก่อนเท่านั้น”
โฉมสุรางค์กังวลไม่คลาย “แล้วข้าจะต้องทำอย่างไร สินธุถึงจะไม่มีวันหมดสิ้นความรักในตัวข้า”
“ก็มนตราที่ข้าให้แม่หญิงลงไว้ในเหรียญท้าวเวสสุวัณนั่นอย่างไรล่ะ ตราบเท่าที่เหรียญนั้นยังอยู่ติดกาย สินธุก็จะไม่มีวันหมดรักแม่หญิงเลย”
สีหน้าโฉมสุรางค์มุ่งมั่นมาดหมายมากๆ
เวลาผ่านไปจนเย็น งานเผาศพระจิตเสร็จสิ้นไปแล้ว ชาวบ้าน และแขกที่มาร่วมงานพากันทยอยเดินทางกลับ
พนักงานของรีสอร์ทบางส่วนช่วยกันส่งแขก บางส่วนช่วยกันเก็บข้าวของ
อีกมุมหนึ่ง นายิกีพูดกับรชาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดปนฉงน
“ทำไมไอ้จักรมันถึงไม่มาเผานังระจิต”
รชาทั้งหงุดหงิด และผิดหวัง “นั่นน่ะสิครับ ผมกับมันก็สนิทกันขนาดนี้ และจะว่าไประจิตก็ตายเพราะมัน ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะไม่มา
นายิกีไม่ยอมแพ้
“ถ้าอย่างนั้น ข้าคงต้องเอาน้ำมนต์ไปให้มันที่คุ้มเชียงแมนเอง”
รชาขัดขึ้นเสียงเข้ม ด้วยความโกรธและผิดหวัง
“ไม่ต้องหรอกครับแม่เฒ่า ผมไปเองดีกว่า จะได้ไปถามมันให้รู้เรื่องด้วยว่าทำไมมันถึงไม่ยอมมางานวันนี้”
ค่ำนั้น รชาพาตัวเองมานั่งรอพบจักราอยู่ที่ห้องรับแขก เรือนใหญ่ของคุ้ม สักครู่จึงเห็นโฉมสุรางค์กับจักราเดินคลอเคลียพูดคุยกันอย่างมีความสุขเข้ามาในนี้
รชารีบลุกขึ้นตรงไปหาจักรา โฉมสุรางค์มองรชาอย่างไม่พอใจนัก
“อ้าว คุณรชา...มาถึงที่นี่ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
รชามองโฉมสุรางค์อย่างไม่ชอบใจเช่นกัน
“ผมมาหาไอ้จักรครับ” เขาหันมาทางจักราต่อว่าที่ไม่ไปร่วมงานเผาระจิต “แกเป็นอะไรหรือเปล่า โทรมาก็ไม่รับ งานระจิต แกก็ไม่ไป”
จักราตอบตรงๆ ด้วยท่าทางที่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ
“ผมต้องขอโทษด้วยนะพี่ชา เผอิญผมไม่ว่างน่ะครับ”
รชาทั้งโกรธและผิดหวังมากขึ้น “ไม่ว่างเหรอ...ที่ว่าไม่ว่างน่ะทำอะไร”
โฉมสุรางค์ขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“คุณจักรเป็นผู้จัดการไร่ มีอะไรตั้งมากมายที่จะต้องทำ...อีกอย่าง ระจิตก็ไม่ใช่ญาติพี่น้องของคุณจักร คุณจักรไม่ไปก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่คะ”
รชาหันขวับไปมองโฉมสุรางค์อย่างเอาเรื่อง
“ผมพูดกับเพื่อนของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ”
จักราขัดขึ้นทันทีอย่างไม่พอใจ
“พี่อย่าพูดกับคุณโฉมแบบนี้นะ”
“ทำไมจะพูดไม่ได้”
“ก็เพราะคุณโฉมเป็นทั้งเจ้านาย แล้วก็เป็นคนรักของผมด้วยน่ะสิ”
รชาอึ้งไปชั่วขณะ แปลกใจจนลืมโกรธ
“อะไรนะ คุณโฉมเนี่ยนะเป็นคนรักของแก”
โฉมสุรางค์เข้ามาเกาะแขนจักรา บอกย้ำอย่างสะใจ
“ใช่ค่ะ เรารักกัน”
รชาไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้จักราเปลี่ยนไปขนาดนี้ จักราโกรธรชาที่ไม่ยอมให้เกียรติโฉมสุรางค์ แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์
“ผมยังเคารพพี่รชาเหมือนเดิมนะ แต่ถ้าพี่จะมาพูดจาเกะกะกับคุณโฉมแบบนี้ก็อย่ามาที่นี่อีกเลยดีกว่า
รชาโกรธแต่ไม่ยอมแพ้ “แต่ฉันมีเรื่องจะพูดกับแก”
“พี่มีอะไรก็พูดมาเลย ผมกับคุณโฉมไม่มีความลับต่อกัน”
รชามองจักรานิ่ง พูดเสียงแข็งอย่างไม่ยอม
“ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ฉันจะต้องคุยกับแกสองคนเท่านั้น”
สองหนุ่มเดินมาหยุดตรงมุมหนึ่งในคุ้มเชียงแมน รชาส่งขวดน้ำมนต์ให้จักรา
“แกจะไปทำยังไงก็ได้ให้คุณโฉมดื่มน้ำมนต์ของแม่เฒ่า”
จักราย้อน “เพื่ออะไร”
“แกจะได้เห็นกับตาไงล่ะว่าคุณโฉมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ แม่เฒ่าบอกว่าพวกแม่มดหรือคนที่เล่นมนต์ดำ ถ้ากินน้ำมนต์นี้เข้าไป ก็จะคืนร่างเดิมออกมา”
จักราโกรธจัด เขวี้ยงขวดน้ำมนต์ลงพื้น ขวดแตกกระจาย
รชาตะลึง คิดไม่ถึงว่าจักราจะทำอย่างนี้
“เฮ้ย ไอ้จักร แกทำอย่างนี้ทำไมวะ”
จักราสวนขึ้นทันควัน ท่าทีเอาจริง “ก็ผมบอกแล้วไงว่าคุณโฉมไม่ใช่แม่มด หรือคนที่เล่นมนต์ดำอย่างที่พี่กล่าวหา...นี่พี่ต้องโดนแม่เฒ่าเป่าหูมาแน่ๆ”
“งั้นแกก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นสิว่าคุณโฉมไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันกับแม่เฒ่าคิด”
“ไม่...ยังไงผมก็ไม่มีวันจะทำอะไรบ้าๆแบบนั้น ฝากไปบอกแม่เฒ่าด้วยนะว่าอย่ามายุ่งกับผมและคุณโฉมอีก”
จักราพูดจบก็หันหลังเดินหนีไป 2-3 ก้าว แล้วกลับหยุดหันกลับมาพูดกับรชา
“พี่ก็เหมือนกัน ถ้าพี่จะพูดแค่เรื่องนี้ ก็กลับไปได้แล้ว”
จักราพูดจบก็เดินออกไปเลยโดยไม่แยแส ทิ้งให้รชายืนอึ้ง งุนงง สับสนหนักอยู่ลำพัง ว่าทำไมจักราถึงเปลี่ยนไปได้ ราวกับเป็นคนละคนขนาดนี้
อ่านต่อตอนที่ 10