xs
xsm
sm
md
lg

อนิลทิตา ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อนิลทิตา ตอนที่ 8

อนิลทิตาปรากฏร่างขึ้น ณ ป่าหิมพานต์ ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์เฉกเช่นเดียวกับป่าในแดนมนุษย์ เช่น ต้นกล้วย ต้นรัง ต้นไผ่ แต่ทว่าทุกต้นดูสวยงามวิจิตรยิ่งนัก นอกจากนี้ยังมีต้นไม้แปลกประหลาดในตำนาน โดยเฉพาะนารีผลที่มีผลเป็นหญิงสาว และมีวิทยาธรหลายตน เหาะลอยลงมาเก็บนารีผลที่แก่จัดไป

เมื่อเดินผ่านต้นไม้เหล่านี้ ลึกเข้าไปด้านใน อนิลทิตาก็แลเห็นต้นปาริชาติ ยืนต้นสูงใหญ่เรืองแสงสีทองระยิบระยับสวยงามจับตาอยู่ บนต้นมีดอกปาริชาติสีแดงอยู่เพียงดอกเดียว แม้จะยังไม่เบ่งบานแต่ก็มีรัศมีสีแดงเด่นออกมา
อนิลทิตาเดินมาหยุดยืนใต้ต้นปาริชาติ แหงนหน้ามองอย่างพอใจ แล้วลงนั่งสมาธิใต้ต้นปาริชาตินั้น ตั้งมั่นในสมาธิ ใบหน้าสงบงาม นางสำรวมจิตอธิษฐานเพื่อให้ดอกปาริชาติร่วงหล่นลงมาสู่มือ

ทางด้านจักรากับเจ้าดาเรศเดินไปตามรอยทางในป่า โดยไม่รู้ว่าที่นี่เป็นป่าอาคม สองคนประหลาดใจเมื่อเหลียวมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้เหมือนๆ กันไปหมด และต้นไม้เหล่านั้นยืนต้นสูงตระหง่านน่ากลัว ไม้เถาและหญ้าขึ้นรกเรื้อหน้าทึบ มีเพียงรอยทางเล็กๆ พอเดินได้
“ป่ารกขนาดนี้ คุณแเม่เดินเข้ามาคนเดียวได้ยังไงนะ” ในใจเจ้าดาเรศเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ที่จริง คุณโฉมเข้ามาก่อนเราไม่นาน น่าจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้บ้างนะครับ”
“นั่นสิคะ แต่นี่เหมือนกับว่าไม่เคยมีใครเดินผ่านมาก่อนเลย”
เจ้าดาเรศมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหวั่นใจ
“ป่านี้มันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้นะคะ ดายังไม่ได้ยินเสียงนกเสียงแมลงอะไรเลย เหมือนไม่มีชีวิต...น่ากลัวจังค่ะ”
จักราเองก็รู้สึกถึงความน่ากลัว และผิดปกติของป่านี้ แต่ไม่อยากพูดให้เจ้าดาเรศใจเสีย

สองคนเดินมาจนรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรง จักราแหงนดูดวงอาทิตย์ที่ยังแผดแสงแรงกล้าของเวลาบ่ายแก่ๆ เมื่อหันมามองเจ้าดาเรศเห็นท่าทางหมดแรง จึงชวนพักเอาแรง
“ผมว่าเราพักกันก่อนเถอะครับคุณดา ไปนั่งที่ใต้ต้นไม้โน่นดีกว่า”
เจ้าดาเรศพยักหน้าตกลง เดินตามจักราไปพักใต้ต้นไม้ใหญ่ทั้งคู่นั่งบนรากไม้ใหญ่ที่โผล่พ้นดินออกมา
“เราจะเอายังไงต่อดีคะ คุณจักร เดินมาตั้งนานแล้วยังไม่เจอคุณแม่เลย”
จักรามองเจ้าดาเรศอย่างเป็นห่วง
“นี่บ่ายมากแล้ว เรากลับกันก่อนเถอะครับ ถ้าค่ำจะลำบากกว่านี้”
“แล้วคุณแม่ล่ะคะ”
จักราอึ้งไปนิดหนึ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
“คุณโฉมอาจจะออกจากป่าไปแล้ว หรือไม่ เราก็อาจจะตามมาผิดทาง”
“แล้วถ้าคุณแม่ยังไม่ออกไปล่ะคะ”
“เราก็คงต้องจ้างพรานมานำทาง พวกนั้นเชี่ยวชาญเส้นทางในป่าดี น่าจะช่วยเราตามหาคุณโฉมได้”

จักรากับดาเรศเดินไปเรื่อยๆ ท่าทีของสองคนเหนื่อยล้าอ่อนแรงลงมาก สุดท้ายเจ้าดาเรศหมดแรงเดินไปสะดุดรากไม้เกือบจะหกล้ม ดีที่จักราประคองไว้ทัน แต่แว่นกันแดดของเธอตกลงที่พื้นโดยไม่รู้ตัว เจ้าดาเรศเดินต่อไปสักครู่ จะหยิบแว่นมาใส่กันแดด จึงพบว่าไม่มี
“คุณจักรคะ”
เจ้าดาเรศหยุดเดิน สอดสายตามองหาแว่น จักรามองอย่างแปลกใจ
“อะไรครับคุณดา”
“แว่นดาหายค่ะ สงสัยคงจะตกเมื่อกี้”
เจ้าดาเรศหันกลับไปที่เดิม แทบจะพูดไม่ออก สายตาที่เพ่งมองต้นไม้รายรอบเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
เจ้าดาเรศพูดออกมาน้ำเสียงสั่นสะท้านด้วยความกลัว “คุณจักรคะ”
“มีอะไรครับคุณดา”
เจ้าดาเรศเดินกลับมายังจุดที่เดินสะดุดรากไม้ จักราเดินตามมา
“เมื่อกี้ดา...สะดุดรากไม้แล้วทำแว่นตก...ตรงนี้...” เธอชี้มือตรงจุดที่สะดุด
จักรามองแต่ไม่พบอะไร “ไม่มีนี่ครับ”
เจ้าดาเรศกลัวจับใจจนแทบจะร้องไห้ “มันหายไป รากไม้ที่อยู่ตรงนี้ก็หายไปด้วย”
“คุณดาอาจจะเหนื่อยจนตาฝาดก็ได้”
“ไม่ค่ะ ดาตาไม่ฝาดแน่ๆ ดาสะดุดรากไม้เกือบจะหกล้ม แล้วคุณจักรยังช่วยจับดาไว้เลย”
“งั้น...เราลองมาดูกันอีกที”
จักราจับมือเจ้าดาเรศไว้ อีกมือหักกิ่งไม้ที่อยู่ข้างทางโยนไว้ตรงหน้าเพื่อเป็นเครื่องหมาย แล้วหันหลังกลับก่อนจะเดินไปข้างหน้า
“เดี๋ยวเราลองเดินไปอีกสิบก้าวแล้วหันกลับไปดูพร้อมกันนะครับ”
สองคนออกเดินไปอีกสิบก้าวแล้วหยุดมองหน้ากัน เจ้าดาเรศบีบมือจักราแน่นอย่างหวาดกลัว จักราพยักหน้าให้สัญญาณ
ทั้งคู่หันหลังกลับไปดูพร้อมๆ กัน พบว่าป่าด้านหลังเปลี่ยนไปจากเดิมราวกับไม่ใช่ที่เดียวกัน กิ่งไม้ที่โยนไว้เป็นเครื่องหมายก็หายไปด้วย
จักรากับเจ้าดาเรศหน้าถอดสี ตกใจสุดขีด มองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
“นี่มันอะไรกันคะ”
จักราหวั่นใจ “มันต้องไม่ใช่ป่าธรรมดาแน่ๆ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
เจ้าดาเรศเองเริ่มไม่แน่ใจว่าจะออกไปได้อย่างไร “ทางเปลี่ยนไปหมดแล้ว เราจะออกไปได้ยังไงคะ”
“ต้องได้สิครับ ตอนบ่ายที่เราเข้ามาในป่า พระอาทิตย์อยู่ข้างหลังเรา ถ้าเราจะออกจากป่า เราก็ต้องเดินตามพระอาทิตย์ไปเรื่อยๆ”
เจ้าดาเรศฮึด พยักหน้ารับ พยายามจ้ำตามจักราต่อไปราวกับเป็นเครื่องจักรโดยไม่ปริปากบ่นจนก้าวเดินต่อไปไม่ไหว ร่างของเธอล้มลงไปกับพื้น

ฝ่ายรชาอยู่ในห้องทำงานที่เมาน์เทนรีสอร์ท และกดโทรศัพท์หาจักรา เพื่อจะถามว่าถึงเชียงใหม่เรียบร้อยดีมั้ย แต่โทร.เท่าไหร่ก็ติดต่อไม่ได้ รชาพยายามกดโทร.หาจักราอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีสัญญาณ
“ไอ้จักรไปประชุมที่เชียงใหม่ แต่ทำไมไม่มีสัญญาณ”
รชาครุ่นคิด
“ไอ้จักรไม่อยู่ คุณโฉมก็ไม่อยู่ เป็นโอกาสดีของเราแล้วล่ะ”
รชาเปิดลิ้นชักหยิบปืนออกมา เหน็บไว้ด้านหลังแล้วก้าวออกจากห้องไป

เวลาผ่านไป แลเห็นแสงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าไปเต็มที แต่จักราและดาเรศยังคงหลงอยู่ในป่าอาคม ทั้งสองคนพยายามเดินตามแสงตะวัน ในสภาพร่างกายอันเหนื่อยล้า เจ้าดาเรศอ่อนแรงจนแทบจะก้าวขาไม่ไหว จนจักราเข้ามาประคอง
“แข็งใจหน่อยนะครับ เรามีเวลาเหลืออีกไม่มากก่อนพระอาทิตย์จะตก”
เจ้าดาเรศฝืนตัวเองให้ลุกขึ้น จักราโอบเอวพยุงไว้ พยายามเดินไปได้อย่างช้า จนแลเห็นแสงอาทิตย์แสงสุดท้ายดับวูบลงไปต่อหน้าต่อตา
เจ้าดาเรศฝืนตัวเองต่อไปไม่ไหว หมดแรงล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
“ที่นี่มันคืออะไรกันแน่คะ ทำไมเราถึงหาออกไม่ได้ซะที” เจ้าดาเรศเริ่มหมดหวัง “เราจะต้องตายอยู่ในป่านี้ใช่มั้ยคะคุณจักร”
เจ้าดาเรศน้ำตาไหล จักรารวบตัวดาเรศมากอดปลอบขวัญ ทั้งสงสารและพร้อมจะปกป้องภัยร้าย

ที่คุ้มเชียงแมนค่ำแล้ว ขณะที่กระถินเดินมาถึงหน้าห้องดาเรศ และเคาะประตูเรียกให้ไปทานมื้อค่ำ
“เจ้าคะ อาหารเย็นเรียบร้อยแล้วค่ะเจ้า”
แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
กระถินเรียกอีก “เจ้าคะ เจ้าอยู่ไหมคะ”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ กระถินจึงเอาหูแนบประตูฟังข้างใน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร ลังเลอยู่พักหนึ่ง จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป พบว่าประตูไม่ได้ล็อค
กระถินเดินเข้าไปในห้อง แต่มองหาจนทั่วห้อง แต่ไม่เห็นแม้เงาของเจ้าดาเรศ

กระถินเดินลงจากเรือนออกมาที่หน้าคุ้ม มองซ้ายมองขวา ตามหาเจ้าดาเรศ
“เจ้าหายไปไหนนะ เดินหาจนทั่วคุ้มแล้วก็ไม่เจอ เอาไงดีเนี่ย”
กระถินคิดได้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์หา เสียงโทรศัพท์ตอบรับกลับมาว่า “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก”
“เจ้าไม่เคยหายไปแบบนี้เลย ติดต่อก็ไม่ได้ เจ้าไปอยู่ที่ไหนนะ” กระถินเป็นห่วงจนวิตกจริต “หรือว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
กระถินหันรีหันขวางอย่างกระวนกระวาย สุดท้ายคิดอะไรขึ้นมาได้
“เอ๊ะ...หรือว่า...”
กระถินรีบเดินไปทางหลังคุ้มทันที

กระถินเดินมาตามทาง มองซ้ายมองขวาเข้าไปในสวนหลังคุ้ม ได้ยินเสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ก็ตกใจ หันขวับกลับไปดูข้างหลัง แต่ก็ไม่เห็นอะไร แต่พอหันกลับมาก็ชนเข้ากับไอ้โล้นจังๆ กระถินตกใจรีบผละออกจากมัน
ไอ้โล้นดุ “จะไปไหน”
กระถินไม่กลัว “ฉันจะไปตามหาเจ้าดาเรศ เจ้าหายไปจากคุ้ม...ถอยไป”
“ทางนี้ไปไม่ได้”ไอ้โล้นเสียงแข็ง
กระถินชักโมโห “ไอ้โล้น ฉันบอกให้ถอยไป”
“ไม่ ยังไงก็เข้าไปไม่ได้”
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ฉันบอกว่าฉันจะไปตามหาเจ้าดาเรศ...ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปแกจะทำยังไงรับผิดชอบไหวมั้ยล่ะ”
“ฉันไม่รู้ นายสั่งไว้ ฉันก็ต้องทำ”
ไอ้โล้นยืนจังก้าขวางทางกระถินไว้
กระถินถามเสียงเข้ม “จะถอยหรือไม่ถอย”
“ไม่”
ไอ้โล้นพูดยังไม่ทันขาดคำ กระถินก็ก้มลงเอามือกำฝุ่นดินก่อนจะลุกขึ้นปาใส่หน้าโล้น
“โอ๊ย”
ไอ้โล้นร้องลั่น ผงะหงาย ฝุ่นเข้าตา ลืมตาไม่ได้ มันรีบเอามือปัดฝุ่นออก กระถินรีบวิ่งปรู๊ดออกไปลิบตาแล้ว
กระถินมองเห็นแสงไฟวอมแวมเบื้องหน้าจึงรีบวิ่งไปตามแสงนั้นอย่างว่องไว

ฟากบันดาสาผสมยาป้อนไอ้พันอยู่ในกระท่อม
“เจ้า...กินยาหน่อยนะ เผื่อมันจะช่วยให้ความจำของเจ้ากลับคืนมาได้”
ไอ้พันส่ายหน้าหนี “ไม่ๆๆๆๆๆ ขมๆๆๆๆๆๆ”
“กินยาเสร็จแล้วข้าจะให้กินขนมหวานๆนะ กินยาขมนิดเดียว”
ไอ้พันลังเล ในที่สุดก็ยอม
บันดาสาป้อนยาจนหมด ไอ้พันทำหน้าเบ้ พยายามกลืนยาจนหมด บันดาสาหยิบขนมใส่ไส้ส่งให้ ไอ้พันแกะห่อขนมกินขนมอย่างเอร็ดแอร่ม บันดาสาได้ยินเสียงเรียกดังเข้ามา
“ยายจ๊ะ ยายอยู่ไหมจ๊ะ”
บันดาสาหันไปสั่งไอ้พันแล้วรีบลุกไปดู
“เจ้าเงียบๆ ก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะไปดูว่าใครมา”

บันดาสาเปิดประตูออกมา เห็นกระถินยืนอยู่หน้ากระท่อม
“นั่นใครน่ะ
กระถินยืนหอบ
“ฉันชื่อกระถินจ้ะ เป็นคนของคุ้มเชียงแมน เจ้าดาเรศมาที่นี่หรือเปล่าจ๊ะ”
พอบันดาสาได้ยินว่ากระถินมาตามหาเจ้าดาเรศก็ตกใจ รีบก้าวไปหาด้วยท่าทางร้อนใจมาก
“เจ้าไม่ได้มาที่นี่ ทำไมรึ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
“เจ้าหายตัวไป ฉันหาจนทั่วคุ้มแล้วก็ไม่เจอ ฉันเห็นเจ้าชอบมาหายายที่นี่ ก็เลยลองมาตามดู”
บันดาสาตกใจมาก “เจ้าหายตัวไป หายไปได้ยังไง ตั้งเมื่อไหร่”
“ตั้งแต่สายๆแล้วล่ะจ้ะ เจ้าบอกว่าจะเอาโทรศัพท์ตามไปให้คุณโฉม แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับ”
บันดาสาหน้าเสียด้วยความหวั่นกลัว ตระหนักชัดว่าลูกสาวหลงวนอยู่ในป่าอาคมแน่แท้

กระถินกลับไปแล้ว บันดาสาร้อนใจพูดปรับทุกข์อยู่กับไอ้พัน
“เจ้า ข้าจะทำยังไงดี ลูกเราตามแม่หญิงเข้าไปในป่าอาคม ตอนนี้คงหลงอยู่ในป่ามนต์ของแม่หญิง ใครที่เข้าไปในป่านั้นต้องตายแน่ๆ ไม่มีทั้งน้ำ ไม่มีทั้งอาหาร เส้นทางวนเวียนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ลูกเราต้องติดอยู่ในป่าจะออกมาได้ยังไง”
ไอ้พันนิ่งฟังแม้จะไม่เข้าใจ แต่รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของหญิงชราที่มีต่อเจ้าดาเรศ

บันดาสาครุ่นคิดหนักว่าจะช่วยเจ้าดาเรศได้ยังไง

อ่านต่อหน้า 2 / 17.00 น.

อนิลทิตา ตอนที่ 8 (ต่อ)

ค่ำมากแล้ว สองคนยังคงหลงอยู่ในป่าอาคม เวลานี้จักรากับเจ้าดาเรศนั่งอยู่ข้างๆ กัน เบื้องหน้ามีกองไฟเล็กๆ ที่จักราก่อและคอยเติมฟืนให้ไฟลุกอยู่เสมอ

จักราเหลียวมองเจ้าดาเรศด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจ เจ้าดาเรศหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่พบว่าไม่มีสัญญาณ
“โทรศัพท์ดาไม่มีสัญญาณเลยค่ะ”
จักราหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู ก็เห็นว่าไม่มีสัญญาณเหมือนกัน
“ของผมก็ไม่มีเหมือนกัน”
จักรามองเจ้าดาเรศอย่างห่วงใย
“คุณดาอดทนหน่อยนะครับ ในป่านี้ไม่มีอะไรที่กินได้เลย แม้แต่น้ำซักหยด”
“ดาทนได้ค่ะ แต่ดาเป็นห่วงคุณแม่ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง”
จักราตอบอย่างระมัดระวังท่าทีและคำพูด
“คุณโฉมตั้งใจมาที่นี่ แสดงว่าท่านน่าจะรู้จักป่านี้ดี”
“ดาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณแม่มาทำอะไรที่นี่”
จักราพูดไม่ออก และไม่สามารถพูดในสิ่งที่สงสัยให้เจ้าดาเรศฟังได้
“ไม่มีใครตอบได้หรอกครับนอกจากตัวคุณโฉมเอง...แต่ตอนนี้คุณดาอย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยนะครับ พักผ่อนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินต่อ”
ลมพัดมาวูบหนึ่ง อากาศหนาวเย็น เปลวไฟที่อยู่ตรงหน้าสะบัดตามแรงลม เจ้าดาเรศนั่งกอดเข่าห่อกายด้วยความหนาว เธอมองจักราด้วยความเชื่อมั่น ก่อนจะพยักหน้ารับและซบหน้าลงกับเข่าตัวเอง หลับตาอย่างอุ่นใจที่มีเขาอยู่ข้างๆ
จักรามองเจ้าดาเรศชั่วครู่ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ
“ขอโทษนะครับ”
จักราถอดเสื้อแจ็คเก็ตของตนห่มให้เธอ
“คุณจะได้อุ่นขึ้น” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เจ้าดาเรศพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ อย่างอุ่นใจ และเชื่อใจ

ด้านอนิลทิตานั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นปาริชาติ ดวงหน้าผ่องใส ต้นปาริชาติเปล่งแสงเรืองรอง แต่ดอกปาริชาติกลับยังไม่คลี่กลีบบาน

เหตุการณ์ที่คุ้มเชียงแมนค่ำวันเดียวกัน
รชาขับรถมาจอดที่หลังคุ้ม เขาก้าวลงจากรถ แล้วปีนรั้วกระโดดเข้าไปด้านในอย่างคล่องแคล่ว แลเห็นแสงไฟวอมแวมเบื้องหน้า
“พ่อเฒ่าบุญโฮมบอกว่าถ้ำอยู่ในป่าหลังคุ้ม คงไปทางนี้แหละ”
รชาเดินตามแสงไฟนั้นไป

ขณะที่กระถินเดินกลับจากกระท่อมบันดาสา มุ่งหน้ากลับคุ้ม พอมองออกไปก็เห็นเงาคนตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่ง กระถินหยิบท่อนไม้แถวนั้นมาถือไว้ในมือกระชับมั่น แอบหลบอยู่หลังต้นไม้ข้างทาง
พอรชาเดินผ่านมาบริเวณต้นไม้ กระถินก็ฟาดไม้กระหน่ำลงไปเต็มแรง รชาหลบด้วยสัญชาตญาณนักกีฬา จึงโดนไม้ตีเฉี่ยวๆ ลำตัว
รชาเอี้ยวตัวจับข้อมือคนฟาด แล้วบิดจนไม้หลุดจากมือ เขารวบตัวคนลอบทำร้ายไว้ได้
“โอ๊ย ปล่อยฉันนะ แกเป็นใคร”
กระถินตกใจ ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดรชาพร้อมกับร้องโวยวาย และรชาจำเสียงได้
“กระถิน นี่ผมเอง รชา”
กระถินหยุดดิ้น รชาเอามือออก คลายอ้อมกอดลง กระถินหันไปแว้ดใส่ทันที
“นี่คุณเข้ามาในคุ้มได้ยังไง แล้วมาทำอะไรที่นี่”
“ผมก็...” รชาคิดหาข้อแก้ตัว “ผมมาหาไอ้จักร มันบอกว่าไปสัมมานาที่เชียงใหม่ แต่ผมโทร.ติดต่อมันไม่ได้”
กระถินเถียง “ทำไมจะติดต่อไม่ได้ ไปแค่เชียงใหม่เอง”
“ก็นั่นนะสิ ผมถึงได้มาที่นี่ไง กระถินพอจะรู้มั้ยว่ามีทางไหนอีกที่จะติดต่อไอ้จักรได้”
กระถินครุ่นคิด

รชาหลบรออยู่มุมลับตาหน้าเรือนใหญ่ คุ้มเชียงแมน กระถินเดินออกมาจากด้านใน ส่งบัตรเชิญเข้าร่วมอบรมที่โฉมสุรางค์ให้จักราไว้
“ดีนะที่คุณจักรไม่ได้เอาบัตรเชิญไป”
รชารับมาดู
“ในนั้นมีที่อยู่และเบอร์โทร.ของโรงแรมที่จัดงานสัมมนา” กระถินบอก
รชารีบกดเบอร์โทร.ไปที่โรงแรมในการ์ดนั้นทันที

“สวัสดีดีครับ ลานนาบูทีคโฮเทลใช่ไหมครับ คือผมอยากทราบว่ามีแขกชื่อคุณจักรา พิชิตชัยมาสัมมนาแล้วเข้าพักที่โรงแรมหรือเปล่าครับ” รชารอสายครู่หนึ่ง “เหรอครับ... ครับ ขอบคุณครับ”
รชาวางสาย หันมาบอกกระถินด้วยท่าทางเป็นกังวล
“ไอ้จักรไม่ได้ไปเข้าสัมมนา...แล้วก็ไม่ได้เช็คอินที่โรงแรมด้วย
รชาเริ่มเครียดว่าจักราหายไปไหน กระถินเองก็หวั่นใจเรื่องเจ้าดาเรศ
“คุณจักรก็ไม่รู้ไปไหน ส่วนเจ้าดาเรศก็หายไป เราจะทำยังไงกันดี”

กระถินร้อนรนใจคอไม่ดีไปหมด เดินเข้ามาในครัว ที่มี อิ่ม แอ๋ว และ อ๋อย อยู่ในนั้น ถามขึ้นว่า
“มีใครเห็นเจ้าบ้าง”
ป้าอิ่ม แอ๋ว อ๋อย มองหน้ากันเลิกลัก ส่ายหัว
“ฉันไม่เห็นเจ้าตั้งแต่กลางวันแล้ว ทำไมเหรอ” แอ๋วถามกลับ
“เจ้าหายไปน่ะสิ”
สาม อ. พากันตกใจ
อิ่มถามทันที “เจ้าหายไป หายไปไหน”
กระถินเครียด “ถ้าฉันรู้แล้วฉันจะถามป้าเหรอ”
อ๋อยจอมก๋ากั่นคิดในแง่ดี “เจ้าออกไปข้างนอกหรือเปล่านังกระถิน”
“ถ้าออกไปก็น่าจะกลับมาได้แล้ว นี่มันก็มืดค่ำแล้ว”
เหล่าคนใช้ สาม อ. ร้อนใจ
นายชดที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินมาสมทบ
กระถินหันไปเห็นรีบถาม “น้าชดเห็นเจ้ามั้ย”
ชดคิดไปคิดมา แล้วคิดออก
“อ๋อ...เจ้าออกไปกับคุณจักรตั้งแต่ตอนสายๆโน่น ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
กระถินตกใจ
“อะไรนะ! เจ้าไปกับคุณจักร คุณจักรก็ไม่ได้ไปเชียงใหม่ แล้วไปไหนกัน”
กระถินกับเหล่าคนใช้เป็นห่วงจักรากับเจ้าดาเรศ

ที่ป่าอาคม รอบกายสองคนมืดมิด มีเพียงแสงไฟที่ก่อไว้ให้แสงพอวับแวม
เจ้าดาเรศนอนห่มเสื้อแจ็คเก็ตจักราหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน จักรามองคราบน้ำตาที่ใบหน้าเธอด้วยความสงสาร ค่อยๆ เอื้อมมืดไปเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน แล้วกอดร่างเจ้าดาเรศไว้อย่างปกป้อง และให้ความอบอุ่น
ส่วนหน้าเรือนใหญ่ คุ้มเชียงแมน รชากดโทรศัพท์วุ่นอยู่ กระถินเฝ้ารอลุ้นอย่างกระวนกระวายใจ นั่งไม่ติดเช่นกัน รชาวางโทรศัพท์
“ผมเช็คกับทางสถานีตำรวจ อนามัย แล้วก็โรงพยาบาลทุกแห่งแถบนี้แล้ว ยังไม่มีใครแจ้งอุบัติเหตุหรือแจ้งว่ามีคนตายเลย...อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นข่าวดีว่าสองคนนั้นยังไม่เป็นอะไร”
กระถินยิ่งร้อนใจ “แล้วเราจะไปตามเจ้ากันที่ไหนดีคะ เจ้าไม่รู้จักใครที่นี่เลย...ป่านนี้จะไปอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
รชานิ่งคิดครู่หนึ่ง
“ผมรู้แล้วล่ะว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากใคร”

รชาพากระถินเดินมาถึงหน้ากระท่อมนายิกี กระถินมองรอบๆ อย่างไม่เชื่อใจนัก แต่ก็มีความหวัง
“ที่นี่น่ะเหรอคะ แล้วเค้าจะช่วยเราตามหาเจ้ากับคุณจักราได้จริงๆ ใช่มั้ยคะ”
รชาบอกอย่างมั่นใจ “ใช่...แม่เฒ่านายิกีเป็นคนเดียวที่ผมคิดว่าจะช่วยเราได้ในตอนนี้”

แม่เฒ่านายิกีถามสองคนขึ้นทันทีที่ทั้งคู่เข้ามาในกระท่อม
“ไอ้จักรกับดาเรศ ลูกสาวของนางโฉม หายตัวไปยังงั้นเหรอ”
“ครับ ผมเลยมาขอความช่วยเหลือจากแม่เฒ่า”
นายิกีนิ่งคิด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“เดี๋ยวข้าจะดูให้ว่ามันไปอยู่ที่ไหนกัน”
กระถินดีใจ แทบจะปราดเข้าไปเขย่าตัวนายิกี
“นี่แม่เฒ่าช่วยเราได้จริงๆใช่มั้ยจ๊ะ ขอบคุณมากนะจ๊ะแม่เฒ่าแม่เฒ่าช่วยดูให้ฉันหน่อยนะ”
นายิกีหันไปจุดเทียนเล่มเขื่องหน้าแท่นบูชา แล้วนั่งสมาธิ ท่องมนต์
ในเปลวเทียนนั้นเกิดเป็นภาพจักรานอนกอดเจ้าดาเรศอยู่ในป่า ที่ต้นไม้เหมือนๆ กันไปหมด นายิกีตกใจมาก
“จักรากับลูกสาวนางโฉมหลงอยู่ในป่าอาคม”
รชากับกระถินตกใจ
“ป่าอาคม! คืออะไรจ๊ะ”
นายิกีอธิบาย “ป่าอาคม เป็นป่าที่ถูกสร้างด้วยเวทมนต์ จากคนที่มีอาคม ใครที่หลงเข้าไปในป่านั้นจะหาทางออกไม่ได้ เดินวนเวียนอยู่ในนั้น จนอดข้าว อดน้ำตายไปในที่สุด”
รชาร้อนใจ “แล้วเราจะทำยังไงกันดีครับ”
นายิกีนิ่งคิด รู้วิธีแล้ว แต่ยังไม่บอกสองคน

ข้างฝ่ายบันดาสาเป็นห่วงลูกมาก นางพาสังขารอันร่วงโรยเดินมาหยุดที่ทางเข้าป่าอาคม ในตอนเช้า ด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ
“เจ้าดาเรศ แม่จะช่วยลูกได้ยังไง ตอนนี้อาคมของแม่ก็เสื่อมสิ้นไปตั้งแต่วันที่แม่ให้กำเนิดเจ้า แต่ด้วยพลังความรักของแม่ แม่จะลองฟื้นอาคมอีกครั้งและหวังว่าจะช่วยลูกได้”
บันดาสาลงนั่งขัดสมาธิ ปักกิ่งไม้ไว้ตรงหน้า พนมมือ ท่องคาถา แล้วเอื้อมมือไปถอนกิ่งไม้เบื้องหน้า
ทว่า ที่ป่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังปกติเหมือนเดิม บันดาสารู้ว่าทำไม่สำเร็จ ก็ร้องไห้คร่ำครวญออกมา
“แล้วข้าจะช่วยลูกได้ยังไง”

เจ้าดาเรศรู้สึกตัว ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พอรู้สึกตัวได้ว่าจักรากำลังนอนกอดตนอยู่ ก็รีบผละออกมาจนจักราสะดุ้งตื่นตาม
“ขอโทษนะครับคุณดา เมื่อคืนผมเห็นคุณหนาว...”
เจ้าดาเรศหน้าแดง รีบสวนขึ้น
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ดาต้องขอบคุณคุณจักรมากกว่า ถ้าไม่ได้คุณจักราดาคงหนาวตายไปแล้ว”
เจ้าดาเรศมองจักราด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจที่มีจักราอยู่ข้างๆ
“เราเตรียมตัวไปต่อกันเถอะครับ”
ดาเรศยิ้ม ฮึดสู้

เวลาผ่านไปอีกสักระยะ จักรากำผงดินอยู่ในมือข้างหนึ่ง แล้วโรยผงดินนั้นเพื่อสังเกตทิศทางลม ผงดินลอยปลิวหล่นไปตามแรงลมพัด
เจ้าดาเรศมองอย่างสงสัย “คุณจักรทำอะไรคะ”
“ผมลองหาทิศทางลมน่ะครับ เพราะปกติต้นลมจะเป็นที่โล่ง แล้วดินก็ลอยไปตามลมทางนั้น งั้นเราลองเดินไปทางต้นลมดูก็แล้วกันนะครับ เผื่อจะหาทางออกไปจากป่าได้...คุณดาอย่าเพิ่งหมดหวังนะครับ”
เจ้าดาเรศยิ้มบางๆ ชื่นชมในความใจสู้ของจักรา พยักหน้ารับอย่างเชื่อมั่นในตัวผู้ชายคนนี้

ฟากนายิกีเดินนำกระถินและรชาเข้ามาในป่า
“ทั้งสองคนหายเข้าไปในป่านี่หรือครับแม่เฒ่า”
“ใช่...เจ้าไปตัดกิ่งไผ่มาให้ข้าสองกิ่ง ข้าจะทำพิธีเปิดป่า”

นายิกีสั่งพลางล้วงไปในย่ามหยิบมีดหมอออกมาส่งให้ รชารับมา แล้วเดินออกไปกับกระถิน แม่เฒ่าหันไปเตรียมการต่อ

อ่านต่อหน้า 3

อนิลทิตา ตอนที่ 8 (ต่อ)

ในขณะที่บันดาสาเดินวนไปวนมาอย่างกลัดกลุ้มว้าวุ่นใจอยู่นั้นเอง จู่ๆ หญิงชราก็ชะงัก เหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง บันดาสาทรุดตัวลง เอาหูแนบกับพื้นฟังเสียงเคลื่อนไหวทันที

“เสียงคนเดินนี่ ใครเข้ามาในนี้”
บันดาสาลุกขึ้น เหลียวขวับไปมองที่ต้นเสียง เห็นจากไหลๆ ว่ารชากับกระถินกำลังเดินไปด้วยกันตรงมุมหนึ่ง ในมือของรชาถือกิ่งไผ่อยู่ บันดาสารีบสืบเท้าเดินตามไปโดยไม่ให้สองคนรู้ตัว

รชากับกระถินเดินกลับมาหานายิกี
“ได้แล้วครับกิ่งไผ่”
“ปักกิ่งไผ่ให้ห่างกันช่วงแขนนึง”
รชาทำตาม แล้วถอยออกมา นายิกีท่องคาถาเป่าไปที่มีดหมอแล้วใช้มีดฟันกิ่งไผ่ทั้งสองจนขาดสะบั้น ได้ยินเสียงต้นไม้ใบหญ้าเสียดสีกันเสียงดังสวบสาบ ต้นไม้ในป่าสั่นสะเทือน
บันดาสาที่แอบดูอยู่ เขม้นมองด้วยความสงสัย
“ใครกัน มีอาคมทำลายมนต์ของแม่หญิงได้”

ส่วนภายในป่าหิมพานต์ ดอกปาริชาติบนต้น ค่อยๆ คลี่กลีบบานออกมา แต่ยังไม่บานเต็มที่ ร่างอนิลทิตานั่งอยู่ใต้ต้นปาริชาติ สะดุ้งขึ้นมาเฮือกหนึ่ง รับรู้ว่ามีคนทำลายป่าอาคมของตน อนิลทิตาเกือบจะหลุดจากสมาธิ แต่พยายามข่มใจไว้ ตั้งมั่นในสมาธิอธิษฐานต่อไปอีก

รชากวาดมองไปในป่าอาคมอย่างตื่นตะลึง แลเห็นป่าอันกว้างใหญ่ มองทางไหนก็มีแต่ต้นไม้สุดลูกหูลูกตา
รชายังคงกังวลอยู่ “ถึงทำลายอาถรรพ์ได้ แต่เราจะไปตามหาไอ้จักรกับคุณดาที่ไหนล่ะครับ”
“ข้ามีวิธีก็แล้วกัน” แม่เฒ่าจอมอาคมบอก
นายิกีท่องมนต์แล้วผิวปาก สักครู่เดียวเท่านั้นเองไก่ป่าตัวหนึ่งก็เดินมาหา นายิกีหยิบข้าวเปลือกออกมาจากย่ามแล้วเสก โปรยข้าวเปลือกไป ไก่ป่าจิกกินข้าวแล้วก็เดินมาหานายิกีโดยดี นายิกีลูบหัวไก่ แล้วสั่งว่า
“เจ้าจงไปนำทางคนสองคนในป่านี้มาหาข้า”
ไก่ป่าบินออกไป รชากับกระถินมองดูอย่างอัศจรรย์ใจ

ทางด้านจักราให้เจ้าดาเรศขี่หลังพาเดินมาเรื่อยๆ ชายหนุ่มชะงักเพราะได้ยินเสียงต้นไม้ใบหญ้าเสียดสีกันเสียงดังสวบสาบ ก่อนจะเห็นต้นไม้ในป่าสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณจักร” เจ้าดาเรศตกใจ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เราไปหาที่หลบก่อนดีกว่า”
จักราหยุดให้เจ้าดาเรศลงจากหลัง แล้วพากันไปหลบอยู่ข้างๆ ก้อนหินใหญ่ ชายหนุ่มกอดปกป้องเจ้าไว้จนเสียงสงบลงถึงปล่อยตัวเธอออก
ทั้งสองคนมองรอบตัวด้วยความตกใจที่เห็นป่าเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา
จักราและเจ้าดาเรศมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วมองไปเห็นไก่ป่าที่นายิกีส่งมา บินมาอยู่ตรงหน้า
ทั้งคู่เพ่งมองไก่ป่าด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันมามองหน้ากันเองอย่างงุนงง
“ไก่ป่า!”
“นี่เป็นสัตว์ตัวแรกที่เราเจอตั้งแต่เข้ามาในป่าเลยนะครับ” จักราครุ่นคิด “มันต้องไม่ใช่ไก่ธรรมดาแน่ๆ”
จักรามองหน้าเจ้าดาเรศอย่างให้กำลังใจ
“ผมว่าเราตามไก่ไปดีกว่า เพราะสัตว์ที่เข้ามาในป่านี้ได้ มันก็ต้องออกไปได้”
จักราจับมือเจ้าดาเรศให้เธอลุกขึ้น ก่อนจะค่อยๆ เดินนำ ย่องตามไก่ป่าไป
ไก่ป่าหันหลังมาดูอย่างแสนรู้ พอเห็นทั้งสองคนตามมา ก็เดินลดเลี้ยวหนีไปเรื่อยๆ มีจักรากับดาเรศเดินตามไป

สองคนเดินตามไก่ป่ามาเรื่อยๆ จนมาถึงต้นไม้สองต้นใหญ่ ไก่ป่าบินออกไประหว่างต้นไม้คู่นี้ จักรากับเจ้าดาเรศตามออกไป ไก่ป่าบินหายไป สองคนมองหาไก่ป่าบนต้นไม้แต่ก็ไม่เจอ
“หายไปไหนแล้วล่ะ”
จักรามองตรงไปเบื้องหน้า เห็นร่างคนสามคนยืนอยู่ตรงโคนต้นไม้ไม่ไกลนัก เขาเพ่งมองอยู่สักครู่ก็จำได้ ร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ
“พี่รชา แม่เฒ่า”
กระถินเห็นเจ้าดาเรศก่อนก็ตะโกนเรียกอย่างดีใจ วิ่งเข้ามาหาทันที
“เจ้า...เจ้าคะ”
กระถินวิ่งมากอดเจ้าดาเรศ ก่อนจะผละออก สำรวจดูตามเนื้อตัวเจ้า ละล่ำละลักถามอย่างดีใจ
“เจ้าไม่เป็นอะไร เจ้าปลอดภัยใช่มั้ยคะ กระถินดีใจจริงๆ เจ้าหายไปกระถินเป็นห่วงแทบแย่” กระถินดีใจจนน้ำตาไหล “ถ้าเจ้าหายไปจริงๆ กระถินจะทำยังไง”
กระถินโผเข้ากอดเจ้าดาเรศอีกครั้ง ร้องไห้โฮออกมาอย่างหมดความอดกลั้น เจ้าดาเรศกอดซบกระถินแน่น
“ฉันก็ดีใจที่ได้เจอกระถิน ฉันนึกว่าจะต้องตายอยู่ในป่าซะแล้ว”
รชาเดินเข้ามาหาจักรา สองหนุ่มมองหน้ากันอย่างดีใจ
“ไอ้จักร” / “พี่ชา”
จักรากับรชากอดกันอย่างโล่งใจ

ทั้งหมดเดินออกมาที่ชายป่า จักรายกมือไหว้ขอบคุณนายิกี
“ขอบคุณแม่เฒ่ามากครับที่ช่วยเราสองคนออกมาจากป่านั่น”
เจ้าดาเรศยกมือไหว้นายิกีด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมากค่ะ ถ้าไม่ได้แม่เฒ่า ดากับคุณจักรคงตายอยู่ในนั้น”
“เรากลับกันเถอะครับ ไอ้จักรกับคุณดาท่าทางอิดโรยมาก จะได้ไปพักผ่อนกัน” รชาว่า
กระถินประคองเจ้าดาเรศ “เจ้าไหวมั้ยคะ เรากลับคุ้มกันนะคะ”
เจ้าดาเรศนึกได้สวนขึ้นด้วยท่าทีร้อนรน
“ไม่ได้นะกระถิน ฉันยังกลับไม่ได้ คุณแม่ยังติดอยู่ในนั้น” เจ้าดาเรศหันไปหานายิกี “แม่เฒ่าคะ แม่เฒ่าช่วยคุณแม่ดาด้วยนะคะ คุณแม่ดายังติดอยู่ในป่านี้”
“นางโฉมอยู่ในป่านี้ด้วยเหรอ” นายิกีคาดไม่ถึง
“ใช่ค่ะ คุณแม่หายเข้าไปในป่าก่อนหน้าดา”
นายิกียิ้มอย่างมีแผน
“ได้ พวกเจ้ากลับกันไปก่อน ข้าจะเข้าไปช่วยนางโฉมเอง”
นายิกีมองเข้าไปในป่าสายตาเหี้ยม
บันดาสาแอบดูอยู่อีกมุมหนึ่ง ดีใจที่เจ้าดาเรศปลอดภัย เห็นดาเรศ จักรา รชา และกระถิน เดินออกจากป่าไป แต่นายิกีกลับมุ่งหน้าเข้าไปในป่า
“ทำไมแม่เฒ่าคนนี้เดินกลับเข้าไปในป่า”
บันดาสานึกสงสัย จึงสะกดรอยตามนายิกีไป

นายิกีเดินมาจนเห็นถ้ำน้ำลอดอยู่ไกลๆ บันดาสาเดินตามหลังมาโดยไม่ให้นายิกีรู้ตัว
“นางโฉมมันต้องอยู่ในถ้ำนั้นแน่ๆ ข้าจะต้องเข้าไปจัดการมัน” นายิกีพึมพำ
บันดาสาได้ยินที่นายิกีพูดก็ตกใจ
“แม่หญิง! ข้าจะปล่อยให้แม่เฒ่าคนนี้เข้าไปในถ้ำไม่ได้ เดี๋ยวแม่หญิงจะเป็นอันตราย”
นายิกี เดินตรงไปที่ถ้ำด้วยสีหน้าแววตา มุ่งมั่น
“แย่แล้วแม่หญิง”
บันดาสาตกใจ รีบตามไป

นายิกีเดินมาถึงปากถ้ำ จ้องมองเข้าไปด้านในด้วยแววตาเหี้ยมโหดดุดัน
“นางโฉม แกไม่รอดแน่”
จู่ๆ มีก้อนหินถูกปาใส่ศีรษะและเนื้อตัวนายิกีเป็นชุด นายิกีร้องโอ้ย หันซ้ายหันขวามองว่าใครเป็นคนปา บันดาสาแอบอยู่หลังพุ่มไม้ กระหน่ำปาก้อนหินใส่นายิกีไม่ยั้ง ถูกทั้งหน้า ทั้งหัว ทั้งตัว
นายิกีทั้งโมโหทั้งเจ็บ “ใครวะ กล้าเอาก้อนหินมาปาข้า”
บันดาสาไม่ตอบได้แต่ปาก้อนหินใส่ไม่หยุด หวังจะให้นายิกีออกมาให้พ้นปากถ้ำ นายิกีมองตามทิศทางของหินก็รู้ว่ามาจากหลังพุ่มไม้ จึงเดินตรงไปดู
บันดาสาเห็นนายิกีเดินมาก็หยุดปา รีบฉากหลบไปอีกมุมหนึ่ง นายิกีเดินมาถึงพุ่มไม้ชะโงกหน้าไปดูอย่างชะล่าใจ แต่ไม่เห็นใคร
ฉับพลันทันใดนั้นเอง ท้ายทอยนายิกีถูกตีด้วยท่อนไม้อย่างแรง ร่างแม่เฒ่าจอมอาคมล้มลงสลบคาที่ บันดาสายืนถือท่อนไม้จังก้าอยู่ข้างหลัง

บันดาสาลากร่างนายิกีมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หยุดตรงริมลำธารบริเวณที่น้ำไหลเชี่ยว บันดาสาใช้เถาวัลย์มัดมือ และมัดร่างนายิกีเข้ากับขอนไม้
“ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ เจ้าก็จะทำร้ายแม่หญิงของข้า”
บันดาสาผลักร่างแม่เฒ่าลงไปในลำธาร ร่างนายิกีค่อยๆ จมหายไป บันดาสามองตามด้วยความโล่งใจ
“กว่านางเฒ่าจะรู้สึกตัว ก็คงลอยตามน้ำไปไกลหรือไม่ก็ตายไปแล้ว ป่านนั้นแม่หญิงคงจะได้ดอกปาริชาติสมใจ”

ร่างของนายิกีจมอยู่ใต้น้ำ และลอยตามกระแสน้ำไป โดยไม่รู้เป็นหรือตาย

อ่านต่อหน้า 4 / 18.30 น.

อนิลทิตา ตอนที่ 8 (ต่อ)

เย็นวันเดียวกันนี้ ไอ้พันกำลังเล่นดอกไม้ ใบไม้อยู่หน้ากระท่อม แต่แววตาไม่มีความสุขเอาเลย ด้วยรู้สึกเป็นห่วงเจ้าดาเรศโดยประหลาด ไอ้พันมองไปเห็นบันดาสาเดินกลับมายังกระท่อม ก็รีบทิ้งของเล่น ปรี่เข้าไปหาบันดาสา เขย่าตัวด้วยความอยากรู้

“ลูก...ลูก...”
บันดาสามองหน้าไอ้พันก็น้ำตาซึม สะท้อนใจว่าขนาดเจ้าพงษ์สุริยันเป็นแบบนี้ยังห่วงเจ้าดาเรศเลย
“ลูกเราปลอดภัยแล้วเจ้า มีคนไปช่วยลูกเรา...”
ไอ้พันมีท่าทีดีใจเมื่อได้ฟัง
“แต่มีคนจะมาทำร้ายแม่หญิง ข้าก็เลยต้องอยู่จัดการมันก่อน...หวังว่าเมื่อครบสามวันสามคืนแล้ว แม่หญิงก็คงจะได้ดอกปาริชาติมาตามที่ตั้งใจไว้”
บันดาสานึกประหวั่นเป็นห่วงอนิลทิตา

ค่ำลง อนิลทิตายังคงนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นปาริชาติ ดวงหน้าผ่องใส ดอกปาริชาติส่งแสงเรืองรอง เริ่มคลี่กลีบบานเกือบทั้งดอก แต่ยังไม่ร่วงลงมา
เหตุการณ์ที่คุ้มเชียงแมน เจ้าดาเรศกลับถึงคุ้ม อาบน้ำแต่งตัวชุดใหม่สีดำเรียบร้อยแล้วจะไปร่วมงานศพระจิตที่วัด เธอเดินกระวนกระวายอยู่ที่ระเบียง รอว่าเมื่อไหร่โฉมสุรางค์จะกลับมา
จักราเดินเข้ามาหา เห็นท่าทีเจ้าดาเรศก็มองอย่างเป็นห่วง
“คุณดาจะไปงานศพจริงๆ เหรอครับ ท่าทางคุณดายังเพลียๆ อยู่เลย ผมว่าคุณน่าจะอยู่พักผ่อนที่บ้านมากกว่า”
“ถึงจะอยู่บ้าน ดาก็คงนอนไม่หลับอยู่ดี ดาเป็นห่วงคุณแม่ค่ะ”
“แม่เฒ่าเป็นคนมีวิชา ขนาดเราสองคนแม่เฒ่าก็ยังพาออกมาจากป่าอาคมนั่นได้ ยังไงแม่เฒ่าก็ต้องพาคุณโฉมออกมาได้เหมือนกันครับ”
“ดาเชื่อค่ะว่าแม่เฒ่าเก่ง แต่ทำไมป่านนี้แกยังช่วยคุณแม่ออกมาไม่ได้ล่ะคะ”
เจ้าดาเรศน้ำตาซึม เป็นห่วงโฉมสุรางค์ จักราก็สงสัยว่าทำไมนายิกีถึงหายไปนานจัง

ตกตอนกลางคืน จักรา เจ้าดาเรศ พร้อมด้วยกระถินเดินเข้ามาในศาลาสวดศพ รชาหันมาเห็นขอตัวจากแขกที่มาร่วมงาน จักราเองก็รีบพาสองสาวเดินเข้าไปหา ถามอย่างร้อนใจ
“พี่ชา รู้มั้ยครับว่าแม่เฒ่ากลับมาหรือยัง”
รชานิ่งคิด

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังไม่เห็นมาที่วัดเลยนะ แล้วคุณโฉมล่ะ กลับมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ” เจ้าดาเรศตอบทันที
“หรือว่าแม่เฒ่าอาจจะยังไม่เจอคุณโฉมก็ได้”
รชากับจักราสบตากันอย่างไม่แน่ใจ
รชาลากจักราออกมาอีกมุมหนึ่ง ข้างศาลาไกลออกไป เห็นดาเรศและกระถินที่กำลังไหว้ศพอยู่
รชาเอ่ยขึ้นอย่างวิตก “หรือว่า...คุณโฉมจะฆ่าแม่เฒ่าไปแล้ว”

หลังเสร็จงานสวดศพ จักรา เจ้าดาเรศ รชา และกระถิน เดินมาที่หน้ากระท่อมแม่เฒ่านายิกีอย่างร้อนใจ รชาตะโกนเรียกเสียงดัง
“แม่เฒ่าครับ...แม่เฒ่า”
ไม่มีเสียงตอบออกมาจากในกระท่อม ทุกคนเริ่มใจไม่ดี
“แม่เฒ่าครับ” จักราเรียกอีก
แต่ในกระท่อมยังเงียบกริบ เจ้าดาเรศยิ่งร้อนใจ
“แม่เฒ่ายังไม่กลับมาจริงๆด้วย”
“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่เฒ่า” รชาว่า
จังหวะนี้ นายิกีเดินโซซัดโซเซมาที่ต้นไม้หน้ากระท่อม
จักราเห็น ร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“แม่เฒ่า”
นายิกีหมดแรงเป็นลมล้มพับไปอีก จักรากับรชารีบเข้าไปประคองแม่เฒ่า ดาเรศกับกระถินวิ่งตามไปด้วย

แม่เฒ่านายิกีฟื้นแล้ว หน้าตาสดใสขึ้น แต่ยังดูอิดโรยอยู่
สักครู่หนึ่งก็เล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง สีหน้าเต็มไปด้วยความแค้น
“ขณะที่ข้ากำลังจะเข้าไปตามหานังโฉมในถ้ำ อยู่ๆก็มีใครไม่รู้มาตีข้าจนสลบ”
ทุกคนที่ฟังอยู่ตกใจ
“ใครเหรอครับ” รชาถาม
“ข้าไม่ทันได้เห็นหน้ามัน”
“หมายความว่าแม่เฒ่ายังไม่เจอแม่ของดาใช่มั้ยคะ”
นายิกีพูดอย่างแน่ใจ
“ข้าคิดว่าแม่ของเจ้าก็คงอยู่ในถ้ำนั่นแหละ...ถ้าข้าไม่โดนตีหัวซะก่อน ข้าอาจจะได้เจอมัน”
จักราซักต่อ “แล้วหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นกับแม่เฒ่าครับ”

นายิกีเล่าต่อว่า ตัวเองลอยไปตามกระแสน้ำสักพักใหญ่จึงรู้สึกตัว
นายิกี ลืมตาขึ้นอย่างเร็ว มองซ้ายมองขวารู้ว่าตัวเองจมอยู่ในน้ำ แถมถูกมัดมือมัดตัวกับขอนไม้ อีกด้วย พยายามดิ้นแต่ดิ้นไม่หลุด
นายิกีท่องคาถา ปากขมุบขมิบ แล้วเป่าออกไป เถาวัลย์ที่มัดอยู่จึงคลายหลุดออก จากนั้นนายิกีพยายามตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ

นายิกีดึงตัวเองกลับมา แล้วเล่าต่อว่า “พอข้าขึ้นจากน้ำได้ก็พยายามจะเดินกลับไปที่ถ้ำ แต่ก็หมดแรงเสียก่อน”
เจ้าดาเรศรู้สึกผิด ไหว้ขอโทษแม่เฒ่าอย่างจริงใจ
“เป็นเพราะดาคนเดียวแท้ๆที่ขอให้แม่เฒ่าไปช่วยคุณแม่ แม่เฒ่าก็เลยต้องเจ็บตัวขนาดนี้...ดาขอโทษด้วยนะคะ”
เห็นท่าทีเจ้าดาเรศที่ยกมือไหว้ขอโทษอย่างนอบน้อม สวยงาม นายิกีมองอย่างเอ็นดู คิดในใจว่า “เป็นคนดีไม่น่าเกิดเป็นลูกปีศาจอย่างนังโฉมเลย” แต่พูดออกมาแค่ว่า
“เจ้าเป็นคนดี...ไม่น่าเลย”
เจ้าดาเรศแปลกใจ “ทำไมหรือคะแม่เฒ่า”
นายิกีเลี่ยงไม่ยอมตอบ
“ช่างเถอะ...คืนนี้ข้าจะทำสมาธิ พรุ่งนี้ข้าจะต้องหาแม่ของเจ้าให้เจอ”
กระถินซัก “แล้วแม่เฒ่าจะทำยังไงคะ”
นายิกีครุ่นคิด
“ข้ามีวิธีของข้าก็แล้วกัน” แม่เฒ่าหันมาทางสองหนุ่ม “แต่แกสองคนต้องมาช่วยข้า”
“ให้ดามาด้วยได้มั้ยคะ” เจ้าดาเรศอาสาช่วย
นายิกีเสียงเข้ม “ไม่ต้อง”

เจ้าดาเรศมองนายิกีในท่าทีฉงนฉงาย หญิงสาวนิ่งคิดติดค้างในใจ ว่าทำไมแม่เฒ่าถึงไม่ให้ตนมาช่วย

อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น