xs
xsm
sm
md
lg

อนิลทิตา ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อนิลทิตา ตอนที่ 6

เหตุการณ์ในคุ้มเชียงแมนเมื่อราว 20 ปี ก่อน ถูกเล่าจนเห็นเป็นภาพ มันออกมาจากปากของพ่อเฒ่าบุญโฮม

เรื่องแปลกๆ เริ่มจากพิธีแต่งงานของโฉมสุรางค์กับเจ้าพงษ์สุริยันที่ถูกจัดขึ้นอย่างรีบร้อน ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนในคุ้ม โดยวันนั้นสองคนกำลังเข้าพิธีแต่งงานแบบล้านนา มีบันดาสายืนอยู่ด้านหลัง
อีกมุมบรรดาคนใช้อันประกอบด้วย แอ๋วสาวใช้ อิ่ม แม่ครัว และบุญโฮมในวัยหนุ่มแน่น ยืนมองอยู่อีกมุม แอ๋วเข้าไปกระซิบกับบุญโฮม
“ท่าทางเจ้าจะหลงคุณโฉมมากนะพี่บุญโฮม จัดงานเสียใหญ่โต เชิญแขกเกือบทั้งจังหวัด”
“ก็นั่นน่ะสิ ผู้หญิงทั้งเวียงมีให้ท่านเลือก ท่านไม่สนใจกลับไปแต่งกับใครก็ไม่รู้ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน”
“แถมยังเร่งจัดงานกะทันหัน ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายผู้หญิงก็ไม่มีซักคน พิกลจริงๆ” อิ่มว่า
บุญโฮมมองเจ้าพงษ์สุริยันและโฉมสุรางค์ด้วยความสงสัยเช่นกัน เจ้าพงษ์สุริยันยิ้มแย้มมีความสุขล้น แต่เจ้าสาวกลับมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก และที่แปลกไปกว่านั้นด้านหลังบ่าวสาวเห็นบันดาสายืนนิ่งมองเจ้าพงษ์สุริยันอย่างหลงใหล

เสียงบุญโฮมเล่าต่ออย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า
“ตั้งแต่เจ้าพงษ์สุริยันแต่งงานกับคุณโฉม คุ้มเชียงแมนก็เปลี่ยนไป มันดูอึมครึมไปหมด ห้าหกปีหลัง จากนั้น เจ้าพงษ์สุริยันรถคว่ำตาย คุณโฉมก็กลายเป็นเจ้าของคุ้มเชียงแมน”
ทุกคนอยู่หน้ากระท่อมบุญโฮม รับฟังเรื่องราวอย่างสนใจ โดยเฉพาะสองหนุ่ม
จักราถามเรื่องคาใจขึ้น “แล้วทำไมคุณโฉมถึงตามล่าพ่อเฒ่า”
“เพราะข้ารู้ความลับของมัน”
รชาซักทันที “ความลับอะไรครับ”
สีหน้าพ่อเฒ่าบุญโฮมหวนคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่เจอมาเมื่อหลายสิบปีก่อน

เย็นวันหนึ่ง
บุญโฮมขี่จักรยานจะกลับบ้านพัก บังเอิญว่าโซ่จักรยานขาด บุญโฮมจอดรถลงมาซ่อม จังหวะนั้นมีเหยื่อคนหนึ่งที่หนีตายจากพิธีอาบน้ำเลือดอมฤตของอนิลทิตา วิ่งร้องโวยวายออกมาจากถ้ำใกล้ๆ
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
บุญโฮมชะเง้อไปดู เห็นไอ้โล้นวิ่งตามเหยื่อมาติดๆ บุญโฮมรีบจูงจักรยานหลบทันที โดยไม่ให้ไอ้โล้นเห็น และแอบดูเหตุการณ์ต่อ
ภาพที่ปรากฏในสายตาของบุญโฮม เป็นไอ้โล้นใช้ไม้พลองที่ติดมือมาด้วยฟาดท้ายทอยเหยื่อเต็มแรง ร่างเหยื่อทรุดลงหมดสติไป จากนั้นไอ้โล้นก็เข้าไปแบกร่างเหยื่อเดินย้อนกลับไปทางถ้ำ
บุญโฮมตกใจมาก แต่ตัดสินใจแอบตามไปด้วยความอยากรู้

บุญโฮมสืบเท้าแอบตามมาเรื่อยๆ เห็นไอ้โล้นแบกร่างเหยื่อแล้วหยุด หันกลับมาเหลียวมองรอบๆ คล้ายดูว่ามีใครตามมาหรือไม่ บุญโฮมฉากหลบลงซุกตัวแนบพื้น สักครู่จึงค่อยๆ ชะโงกหัวขึ้นดูอีกครั้ง แต่กลับไม่เห็นไอ้โล้นกับร่างของเหยื่อแล้ว
บุญโฮมงง เดินตรงไปยังบริเวณหน้าปากถ้ำที่เห็นไอ้โล้นและเหยื่ออยู่เป็นครั้งสุดท้าย บุญโฮมกวาดตามองจนทั่วเห็นมีแต่ก้อนหิน ยิ่งงงว่าไอ้โล้นแบกเหยื่อหายไปทางไหน เพราะไม่มีทางเข้า บุญโฮมหันไปมองอีกทาง กำลังจะหันกลับ แต่แล้วเห็นเงาไอ้โล้นฟาดไม้พลองลงมาบุญโฮมหลบวูบ จึงโดนแค่เฉี่ยวๆ ไหล่ บุญโฮมผลักไอ้โล้นเต็มแรงจนไอ้โล้นล้มตึงลงแล้วรีบวิ่งหนีออกมา

พ่อเฒ่าบุญโฮม เล่าเรื่องจบลงในท่าทีอันเหนื่อยล้าและกิริยาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ข้าต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ จากการตามล่าของคนในคุ้มที่ข้าไปรู้ความลับของมัน...มันไม่ใช่คนธรรมดา”
นายิกีพูดเสริมด้วยความแค้น
“นังอนิลทิตามันถอดจิตได้ พลังของมันเข้มแข็ง และฝีมือของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า”
บุญโฮมหันไปทางจักรากับรชา
“เชื่อข้าเถอะ ถ้าพวกเจ้ายังไม่อยากตาย รีบออกไปให้ห่างจากคุณโฉมและคุ้มเชียงแมน”
พูดได้เท่านั้นบุญโฮมก็กระอักเลือดออกมาแล้วแน่นิ่งไป นายิกีตกใจเขย่าร่างเรียกน้องชาย
“บุญโฮม...บุญโฮม”
บุญโฮมสิ้นใจตายแล้ว นายิกีเสียใจแต่ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย ความรู้สึกโกรธและอาฆาตแค้นปะทุขึ้นในใจสุดจะประมาณ

ร่างอนิลทิตาลอยวูบมาเข้ากายโฉมสุรางค์ที่นั่งสมาธิอยู่ พริบตานั้นเองโฉมสุรางค์ลืมตาขึ้น ยกหลังมือขึ้นดูเห็นเลือดยังไหลออกมาไม่หยุด เอามือจับแผล ปากท่องคาถา มีแสงวาบขึ้น เลือดหยุดไหล แผลสมานกัน แต่ไม่สนิท ยังมีรอยแดงเหวอะหวะดูน่ากลัวให้เห็นอยู่
โฉมสุรางค์มองแผลอย่างกังวล
“ข้าจะทำยังไงดีนะ”

เย็นวันเดียวกันนั้น จู่ๆ กระถินก็ร้องกรี๊ดๆ วิ่งเตลิดเข้ามาในเขตป่าท้ายคุ้ม ท่าทางหวาดกลัวสุดขีด ไอ้โล้นกำลังเอนหลังเคลิ้มหลับอยู่ใต้ต้นไม้ สะดุ้งตื่น
กระถินวิ่งมาแล้วแกล้งสะดุดล้มตรงหน้าไอ้โล้น
“โอ๊ย”
ไอ้โล้นถามเสียงเข้ม “เป็นอะไร”
กระถินทำน้ำเสียงตกใจ
“ก็งูน่ะสิ! งูมันไล่ฉันมา”
ไอ้โล้นชะเง้อชะแง้แลหา รอบๆ เห็นแต่ต้นไม้ไม่มีงูสักตัว
“ไม่มีงู กลับไปซะ”
กระถินใช้มือจับข้อเท้า “ขาเจ็บ จะกลับได้ยังไง”
ไอ้โล้นมองขากระถินอย่างลังเล ไม่เชื่อนัก
กระถินพยายามจะลุก “โอ๊ย ฉันเดินไม่ไหวจริงๆ”
อมนุษย์หัวโล้นตวัดเสียงบอก “แต่อยู่ตรงนี้ไม่ได้”
“ก็คนมันเดินไม่ไหวจะให้ทำยังไงล่ะ”
ไอ้โล้นไม่ตอบ คิดไม่ออก
“เอางี้...ถ้าอยากให้ฉันกลับไปนัก ก็อุ้มฉันไปได้มั้ยล่ะ”
ไอ้โล้นลังเลเห็นได้ชัด
กระถินบอกอีก “หรือแกจะให้ฉันค่อยๆ ถัดไปเองจนถึงคุ้ม”
“ก็ได้”
ไอ้โล้นรับปากไม่เต็มใจนัก แล้วเข้ามาอุ้มกระถินขึ้น กระถินแกล้งทำเป็นตะโกนซะดังเพื่อให้ใครอีกคนที่แอบฟังอยู่ได้ยิน
“ไปส่งให้ถึงคุ้มนะ”
ไอ้โล้นทั้งรำคาญ และหงุดหงิด
“เออ...แล้วอย่ากลับมาอีกล่ะ”
ไอ้โล้นอุ้มกระถินเดินออกไป
อีกมุมหนึ่งไม่ไกลนัก แลเห็นเจ้าดาเรศแอบอยู่หลังต้นไม้ มองไอ้โล้นที่กำลังอุ้มกระถินออกไป อย่างพอใจ ก่อนจะมองซ้ายขวา วิ่งออกไปในราวป่าท้ายคุ้ม ขณะที่ความมืดโรยตัวเข้าครอบคลุมทั่วบริเวณ

เจ้าดาเรศวิ่งมาจนถึงทางไปกระท่อมบันดาสา แลเห็นหลังคากระท่อมอยู่ลิบๆ ตา เจ้าตัดสินใจวิ่งต่อไปอย่างหมายมาด
เมื่อมาถึงเจ้าดาเรศค่อยๆ เดินย่องไปที่ประตู เปิดปากร้องเรียก
“มีใครอยู่มั้ยคะ หนูเข้าไปได้มั้ย”
เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบ เจ้าดาเรศค่อยๆ เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านใน

มองผ่านความมืดมิดเข้าไป เมื่อสายตาคุ้นชิน เจ้าดาเรศพบว่าสภาพภายในเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้แห้งวางอยู่ ใกล้ๆ มีครก โกร่งบดยา และมีใบไม้แห้งห้อยลงมาจากหลังคา
เจ้าดาเรศมองไปอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะไปชนกับโต๊ะตัวหนึ่ง เจ้าก้มลงมอง เห็นโหลแก้วใส่ตะขาบ แมงป่อง คางคก แมงมุม วางอยู่บนโต๊ะตัวนั้น เจ้าดาเรศถอยหลังกรูดด้วยความตกใจ
ทันใดนั้นก็มีมือเหี่ยวๆ ข้างหนึ่งเอื้อมมาแตะที่บ่า เจ้าดาเรศสะดุ้งสุดตัว หันไปเห็นเป็นบันดาสายืนอยู่ก็ตกใจสุดขีดร้องกรี๊ดสุดเสียง
“อ๊ายยย”
เจ้าดาเรศผงะไปข้างหลังชนกิ่งไม้ที่วางอยู่ล้มลง
บันดาสาตะลึงมองเจ้าดาเรศด้วยความรักสุดหัวใจ ความดีใจที่ได้เจอลูกใกล้ๆ โดยไม่คาดฝันทำให้บันดาสาน้ำตารื้นด้วยความเศร้าแกมปีติ หญิงชราจอมอาคมเดินเข้าไปใกล้ๆ ลูกอีก
“หนู...”
เจ้าดาเรศกลัวจนตัวสั่น พูดไม่ออก
บันดาสายิ้มทั้งน้ำตา
“อย่ากลัวฉันเลย ฉันไม่ทำอะไรหนูหรอก”
เจ้าดาเรศเพ่งมองอย่างพิจารณา แล้วต้องฉงนฉงาย เมื่อพบว่าดวงตาบันดาสาที่มองมา ไม่มีความอาฆาตมาดร้าย

แหละมันมีแต่ความรักความปรารถนาดีในนั้น

อ่านต่อหน้า 2

อนิลทิตา ตอนที่ 6 (ต่อ)

บันดาสาเห็นลูกสาวมีท่าทีลังเล จึงรีบพูดย้ำให้เจ้าดาเรศมั่นใจ

“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวนะ...”
เจ้าดาเรศเห็นความรักและห่วงใยในสายตาของบันดาสาจึงคลายความกลัวลง
“ยายเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
บันดาสานิ่ง

สองแม่คุยกันอยู่ในกระท่อม บันดาสาเปิดปากตอบคำถามว่า
“ฉันเป็นข้าเก่าข้าแก่ของคุณโฉม”
เจ้าดาเรศ สงสัยไม่หาย “แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะคะ”
บันดาสามองลูกด้วยด้วยแววตาเอื้อเอ็นดูในความมีน้ำใจ
“ยายแก่แล้ว อยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากอยู่ร่วมกับใคร”
เจ้าดาเรศมองไปรอบๆ บ้านอย่างสนใจ
“ที่นี่ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ แล้วทำไมคุณแม่ถึงไม่อยากให้ใครเข้ามาที่นี่ล่ะ”

ขณะเดียวกันโฉมสุรางค์เดินเข้ามาหน้ากระท่อม ร้องเรียกมาแต่ไกล
“พี่บันดาสา พี่บันดาสาอยู่หรือเปล่า”
บันดาสากับเจ้าดาเรศที่อยู่ในกระท่อมออกอาการตกใจ โดยเฉพาะเจ้า
“คุณแม่”
“คุณโฉม” บันดาสาหันรีหันขวาง “เจ้ารีบกลับไปก่อน ถ้าคุณโฉมเห็นล่ะก็ ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่”
เจ้าดาเรศพยักหน้าเข้าใจ กำลังจะเดินกลับไปทางประตู
“อย่า...เจ้าจะออกทางนั้นไม่ได้”
บันดาสาเดินไปที่ประตูที่อยู่ด้านหลัง เปิดออก ส่งเสียงเรียกไอ้พันเบาๆ
“ไอ้พัน...ไอ้พัน”

ไอ้พันนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้หลังกระท่อม
“ไอ้พัน...ไอ้พัน” บันดาสาเรียกอีก
ไอ้พันสะดุ้งตื่น พรวดพราดลุกขึ้น วิ่งไปตามเสียง

ไอ้พันโผล่เข้ามาจากอีกทางหนึ่ง พอเห็นเจ้าดาเรศ แววตาไอ้พันก็เป็นประกายเจิดจ้าด้วยความดีใจ
“ลูก...ลูก”
บันดาสาร้อนใจ “ไอ้พัน มานี่เร็วเข้า พาเจ้าหลบคุณโฉมไปทางอื่นก่อน”
เจ้าดาเรศมองไอ้พันอย่างหวาดกลัว
“ยายคะ ให้หนูไปกับนายพันหรือคะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกเจ้า ไปกับไอ้พัน ไอ้พันมันไม่ทำร้ายเจ้า”
ไอ้พันมองเจ้าดาเรศอย่างเป็นห่วง พยักหน้าให้เจ้าเข้ามาหา พลางชี้ไปที่ประตูด้านหลัง
“ลูก...ไป...หนี...”

โฉมสุรางค์เปิดประตูด้านหน้าเข้ามาเฉียดฉิว
“พี่บันดาสา”
เห็นบันดาสาลนลานออกมาจากประตูหลังกระท่อม โฉมสุรางค์แปลกใจมองอย่างจับจ้อง
“พี่ไปทำอะไรตรงนั้นน่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกแม่หญิง...”
บันดาสาตัดบท สายตามองไปเห็นแผลน่ากลัวที่หลังมือนายก็ตกใจ
“นั่นใครทำอะไรแม่หญิง”
“ก็นางเฒ่า...พี่ไอ้บุญโฮมน่ะสิ มันมีอาคม มันบังอาจมาลองดีกับฉัน”

บันดาสาเอาสมุนไพรมาพอกให้ตรงรอยแผล โฉมสุรางค์มองแผลที่หลังมือของตนอย่างเป็นกังวล
“เมื่อไหร่แผลฉันจะหาย”
“แผลลึกเช่นนี้ กว่าจะหายก็คงใช้เวลานาน”
โฉมสุรางค์กลุ้มใจ มองมือที่เริ่มเหี่ยวย่นก่อนจะเลื่อนมือมาแตะที่หน้าเบาๆ
“แล้วยังหน้าข้าอีก” โฉมสุรางค์ร้อนรนใจ “ข้าจะทำอย่างไรดี พี่บันดาสา”
บันดาสาครุ่นคิดก่อนจะตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“แม่หญิงต้องฝึกกรรมฐาน เพื่อให้พลังในร่างกายกลับสู่สภาพปกติ”
“ไม่ทันแล้วล่ะพี่บันดาสา สินธุจะมาที่คุ้มพรุ่งนี้แล้ว และข้าก็จะพบเค้าในสภาพแบบนี้ไม่ได้”
โฉมสุรางค์ร้อนรนใจไม่คลาย

ศพบุญโฮมถูกนำมาเผาที่วัดเดียวกับสุรเดช ในตอนเย็นวันนี้ บนเชิงตะกอนไฟกำลังโหมไหม้โลงศพบุญโฮม นายิกีส่งวิญญาณน้องชายโดยพิธีเรียบง่าย มีหลวงพ่อและสัปเหร่อโกร่งยืนห่างออกมาท่าทีสงบนิ่ง
จักรา กับ รชา ยืนอยู่ข้างๆนายิกี ที่ขรึมเศร้า นิ่ง สงบ
นายิกีมองไปยังเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ร่างน้องชายด้วยแววตาเศร้าปนเจ็บปวด
“บุญโฮม ข้าจะไม่ให้เจ้าตายเปล่า”
สัปเหร่อโกร่งยังไม่รู้เรื่อง นึกสงสัย “หมายความว่ายังไง นายิกี”
“บุญโฮมตายด้วยฝีมือของปีศาจ และข้าจะไม่ปล่อยมันไว้ เจ้าเองก็ระวังตัวให้ดี ตอนนี้คนที่รู้เรื่องคุ้มเชียงแมน ล้วนมีภัย”
สัปเหร่อโกร่งอึ้ง กลืนน้ำลายลงคอ แล้วเดินออกห่างไป
“พ่อเฒ่าบุญโฮมไปสบายแล้ว แม่เฒ่าอย่าเป็นห่วงเลย” จักราปลอบ
“ข้าห่วงอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องนางปีศาจและสมิงดงตัวนั้น ข้าคิดว่านางปีศาจนั่นต้องอยู่ในคุ้มเชียงแมน” แม่หมอบอกอย่างมั่นใจ
จักรานิ่งคิด
“พรุ่งนี้ผมจะไปอยู่ที่คุ้มเชียงแมนแล้ว หวังว่าคงจะสืบอะไรได้ง่ายขึ้น”
นายิกีกำชับ “ข้าอยากให้เอ็งจับตาดูนางเจ้าของคุ้มให้ดี เพราะมันเป็นคนเดียวกันกับอนิลทิตา”
จักรายังไม่ปักใจเชื่อเรื่องนี้
“คุณโฉมน่ะหรือครับ จากที่ผมเคยเจอเธอไม่เห็นเหมือนคนที่เล่นไสยศาสตร์มนต์ดำอะไรเลย”
รชาทักท้วง “พี่ว่าน่าจะลองเชื่อแม่เฒ่าดู เพราะจิตเคยพูดชื่อคุณโฉมออกมาตอนที่ตกบันได แต่ทางที่ดีอย่าไปที่คุ้มเลยดีกว่า”
จักราบอกอย่างจริงจัง
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมไม่ยอมถอยง่ายๆ หรอก ผมต้องรู้ให้ได้ว่าในนั้นมันมีอะไรกันแน่”

เช้าวันถัดมา รถจี๊ปที่รชาขับแล่นเข้ามาจอดหลบหลังพงหญ้าไกลออกไปจากประตูทางเข้าคุ้มเชียงแมน มันเป็นบริเวณที่คนในคุ้มเปิดประตูออกมาแล้วจะมองไม่เห็น
“อย่าลืมทำตามแผนที่เราคุยกันไว้” รชาหันมาทางเบาะข้างตัวที่จักรานั่งมาด้วย
“ครับ ตามนั้น”

จักราเดินมากดกริ่งหน้าประตูคุ้ม สักครู่ประตูเปิดออก โดยฝีมือกระถิน ที่เป็นคนเปิดจากข้างในคุ้ม
“ผมชื่อจักราครับ คุณโฉมนัดให้ผมมาพบที่นี่”
กระถินพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ...คุณจักรา ผู้จัดการไร่คนใหม่ใช่มั้ยคะ เชิญค่ะ คุณโฉมสั่งไว้แล้วว่าคุณจะมา”
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าพอจะให้ใครแถวนี้มาช่วยยกของของผมเข้าไปหน่อยได้มั้ยครับ”
กระถินมองหากระเป๋าเสื้อผ้า และข้าวของที่จักราพูดถึงแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร
“ของอะไรคะ”
จักราเหลียวมองไปที่ริมถนนใหญ่ต่อกับถนนลูกรังที่ทอดเข้ามาถึงประตูคุ้ม กระถินมองตามเห็นกระเป๋าหลายใบกองอยู่บนถนนลูกรังห่างจากประตูออกไปพอประมาณ
กระถินตกใจที่เห็นข้าวของมากมาย “นั่นกระเป๋าของคุณทั้งหมดเลยเหรอคะ”
“ครับ พอดีผมเอาโน้ตบุ๊คส่วนตัว กับตำรับตำราเกี่ยวกับการปลูกชามาด้วย...ข้าวของก็เลยเยอะหน่อย”
จักราเล่าต่อท่าทีขำๆ “รถรับจ้างส่งผมตรงนั้น แล้วก็รีบขับออกไปเลย”
“มาค่ะ ดิฉันไปช่วยขนเอง”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”
รชาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้มองดูเหตุการณ์อยู่ เขาเห็นกระถินเปิดประตูรั้วทิ้งไว้ และออกเดินไปที่กองกระเป๋า เขาเหลียวมองกลับไปยังประตูคุ้มที่จักรายืนอยู่ ยิ้มนิดๆ สมใจที่แผนของเขากับจักราลุล่วง
ขณะกำลังออกเดิน รชาดันเกิดพลาดเหยียบใบไม้จนทำให้เกิดเสียง กระถินได้ยินเสียงนั้น เธอชะงักเหลียวขวับ ไปทางเสียง
“เอ๊ะ เสียงอะไร”
แต่เห็นทุกอย่างดูปกติ จักราตกใจเล็กน้อย
“ผมไม่เห็นได้ยินอะไรเลยนะครับ”
กระถินมองไปรอบๆ ให้ไม่แน่ใจ
“ไปเถอะครับ เดี๋ยวคุณโฉมจะรอนาน”
กระถินหันมาทางจักราอย่างเกรงใจ จักราเดินนำไปที่กองกระเป๋า กระถินรีบเดินตามไป

รชาฉวยโอกาสในจังหวะนั้น พุ่งตัวจากที่ซ่อนแล้วเข้าไปในคุ้มอย่างรวดเร็ว

อ่านต่อหน้า 3

อนิลทิตา ตอนที่ 6 (ต่อ)

โฉมสุรางค์บรรจงเลือกชุดสวยสง่ามาสวมใส่ เพื่อให้จักราประทับใจ ส่องกระจกดูใบหน้าตัวเองอย่างกังวลเมื่อเห็นรอยเหี่ยวย่นที่ใบหน้า และปอยผมสีขาวบางๆ ในที่สุดโฉมสุรางค์เลือกผ้ามาคลุมศีรษะปกปิดใบหน้า แต่ยังคงมองสภาพตัวเองด้วยความกลุ้มใจ

“เวลาที่ข้ารอคอยมาสามร้อยปีกำลังจะมาถึง ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้สินธุจากข้าไปไหนอีก”

กระถินเดินเข้ามาเคาะประตูห้องโฉมสุรางค์
“คุณโฉมคะ คุณโฉม คุณจักรามาแล้วค่ะ”
โฉมสุรางค์มองสารรูปตัวเองด้วยความร้อนรน กระวนกระวายใจอยู่อย่างนั้น รำพึงรำพันออกมาว่า
“แต่ข้าจะออกไปเจอสินธุในสภาพนี้ได้อย่างไร”
ฝ่ายกระถินไม่ได้ยินเสียงตอบของคุณโฉมก็เคาะประตูอีก
“คุณโฉมคะ นี่กระถินนะคะ คุณจักรามาถึงแล้วค่ะ”
โฉมสุรางค์ยิ่งร้อนรนใจหนัก มองตัวเองในกระจกอย่างหาทางออกไม่ได้
กระถินตัดสินใจเคาะประตูดังมากขึ้นไปอีก
“คุณโฉมคะ...”
เสียงเคาะประตู และเสียงกระถินเรียกชื่อยังดังไม่หยุดหย่อน โฉมสุรางค์ที่กำลังร้อนรน กลุ้มใจหนัก ด้วยคิดหาทางปิดบังสภาพตัวเอง ทนไม่ได้กับเสียงนั้น เลยตวาดออกไปอย่างหงุดหงิด
“หยุดเคาะประตูได้แล้ว เดี๋ยวฉันออกไปเอง”
โฉมสุรางค์สำรวจร่างกายตัวเอง ใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรดี

ขณะที่จักรายืนหันหลังรออยู่ ในห้องรับแขกคุ้มเชียงแมน
เสียงหวานๆ ของโฉมสุรางค์ดังขึ้น “คุ้มเชียงแมนยินดีต้อนรับอีกครั้งค่ะคุณจักร”
จักราหันหน้ามาเห็นโฉมสุรางค์ก็แปลกใจ เมื่อพบว่าเธอสวมแว่นดำอันใหญ่ปิดบังใบหน้าไว้กว่าครึ่ง และมีผ้าสีสวยห่มคลุมไว้เกือบทั้งตัว
“สวัสดีครับคุณโฉม...นี่คุณโฉมไม่สบายหรือเปล่าครับ”
โฉมสุรางค์ลงนั่งที่โซฟา เยื้อนยิ้มให้ พูดด้วยเสียงปกติ
“อยู่ดีๆ วันนี้ดิฉันก็แพ้อากาศ ตาแดง ผื่นขึ้นเต็มตัวไปหมด”
จักรามองนายจ้าง อดเป็นห่วงไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นคุณโฉมพักผ่อนก่อนดีมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราไปที่ไร่กันเลยดีกว่า”
โฉมสุรางค์ลุกจะเดินนำออกไป แต่แล้วผ้าคลุมรุ่มร่ามนั้นเกิดไปเกี่ยวกับพนักวางแขนเกือบจะหลุดจากตัว โชคยังดีที่โฉมสุรางค์จับไว้ทัน แต่เห็นหลังมือตัวเองมีรอยเหี่ยวย่นเพิ่มมากขึ้น ก็ชะงักงัน ท่ามกลางสายตาจักราที่มองมาอย่างฉงนฉงาย
“คุณโฉมเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
โฉมสุรางค์รีบหันหลังให้จักราทันที
“ขอโทษนะคะ ฉันคงไปไม่ไหวแล้ว วันนี้คุณไปที่ไร่คนเดียวก่อนก็แล้วกันนะคะ”
พูดจบโฉมสุรางค์ก็รีบเบี่ยงตัวหลบออกไปทันที ไม่เปิดโอกาสให้จักราถามอะไรอีก จักรามองตามอย่างแปลกใจ

จักรากำลังเดินออกไปที่หน้าประตูคุ้ม เจ้าดาเรศขับรถมาจอดที่หน้าคุ้มพอดี พอเห็นจักรา เธอก็ยิ้มให้ ทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“อ้าว คุณจักร...มาเริ่มงานตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
จักรายิ้มดีใจเช่นกันที่ได้เจอหน้าเจ้าดาเรศ “วันนี้เองครับ”
“แล้วนี่จะไปเหรอคะ”
“กำลังจะเข้าไปในไร่ครับ”
“งั้นขึ้นมาเลยค่ะ เดี๋ยวดาพาไปเอง”
จักราก้าวขึ้นไปนั่งเคียงข้างดาเรศบนรถด้วยความรู้สึกดีในมิตรภาพ

ฝ่ายกระถินเดินถือตะกร้าผ้าออกจากเรือนคนใช้ จะเอาไปซัก จู่ๆ มือรชาก็ยื่นมาปิดปากเธอหมับ กระถินตกใจดิ้นรนสุดกำลัง ร้องโวยวาย แต่เสียงอู้อี้ๆ รชารวบตัวกระถินออกไปอีกมุมหนึ่งในคุ้ม
รชาลากกระถินถูลู่ถูกังออกมาโดยไม่ถนัด เพราะกระถินดิ้นหนีสุดแรง และพอเป็นอิสระกระถินก็หันมาต่อยเปรี้ยงเข้าที่หน้ารชาเต็มแรง
รชาเอามือกุมหน้าร้องลั่น “โอ๊ย”
“นี่แน่ะ แกเป็นใคร คิดจะทำอะไรฉัน”
รชาเอามือออกจากหน้า “คุณกระถิน นี่ผมเอง”
กระถินตกใจ “คุณรชา...คุณมาที่นี่ทำไม”

สองคนอยู่ตรงมุมลับตาในคุ้มเชียงแมน รชาเปิดปากก่อนว่า
“ผมมาตามหางูตัวนึง คุณอยู่ที่คุ้มเชียงแมน เคยเห็นงูตัวใหญ่ๆบ้างหรือเปล่า”
กระถินอึ้ง ไม่คิดว่ารชาจะถามถึงเรื่องงู
“คุณถามทำไม”
“เพราะผมเคยเห็นงูตัวนึงกำลังจะทำร้ายน้องผม และมีคนบอกว่าเป็นงูจากคุ้มนี้”
กระถินเถียงสวนออกไปทันที
“เป็นไปไม่ได้ งูตัวนั้นจะออกไปทำร้ายใครได้ยังไง”
รชามองกระถินอย่างคาดคั้น
“คุณยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าที่คุ้มนี่มีงูอยู่จริง”
กระถินตอบตรงๆ ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบัง
“ใช่.
รชาหมายมาด “แล้วงูตัวนั้นอยู่ที่ไหน ผมอยากเห็น”
กระถินชักโกรธที่รชาตั้งหน้าตั้งตาจับผิด และกล่าวหางูของเจ้านาย
“เอ๊ะคุณนี่ยังไง จะมากล่าวหาคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ได้ยังไง ที่นี่มีงูก็จริง แต่ร้อยวันพันปีมันก็ไม่เคยออกมาจากห้อง แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่มันจะไปทำร้ายน้องคุณ...”
“แต่ผมแน่ใจว่าเป็นงูของที่นี่”
“พูดไม่รู้เรื่องเหรอ ก็ฉันบอกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ คุณรีบออกไปจากที่นี่เลยนะก่อนจะมีใครมาเห็นเข้า”
กระถินกำลังจะเดินออกไป รชาคว้าแขนเอาไว้หมับ
“เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณแน่ใจอย่างนั้น ก็ถ่ายรูปงูของคุณมาให้ผมดูสิ ผมเคยเห็นมันกับตา ผมจำมันได้ไม่ผิดแน่ๆ”
กระถินชะงักไป คิดเครียดในใจเมื่อนึกว่า “ชั้นต้องแอบไปถ่ายรูปไอ้งูยักษ์ตัวนั้นในห้องคุณโฉมเนี่ยนะ”
รชาแกล้งมองกระถินอย่างรู้ทัน และท้าทายอยู่ในที
“หรือว่าคุณกลัวผมจะจับได้ว่างูของคุณไปทำร้ายน้องผมจริงๆ”
กระถินยืดอกรับคำท้าอย่างมั่นใจ
“ก็ได้ ฉันจะถ่ายรูปงูตัวนั้นมาให้คุณดูเอง”
รชายิ้มในสีหน้าอย่างพอใจ

ทางด้านเจ้าดาเรศกำลังถ่ายรูปวิวทิวทัศน์อยู่ในไร่ชา จักราเดินตามมา เจ้าหันไปเจอ
“อ้าว คุณจักร เป็นไงบ้างคะ ได้พบหัวหน้าแผนกทุกแผนกหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ ผมก็เลยอยากมาเดินดูให้รอบๆ ก่อนจะเริ่มลงมือทำงานจริงๆ”
เจ้าดาเรศรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรจักราเกี่ยวกับข้อมูลในไร่ไม่ได้
“ดาขอโทษนะคะ ที่ช่วยอะไรคุณจักรไม่ได้เลย เพราะดาก็เพิ่งจะกลับมาอยู่ที่นี่ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก”
จักรามองมาอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องช่วยอะไรหรอกครับ แค่อนุญาตให้ผมมาดูคุณถ่ายรูปก็พอแล้ว”
เจ้าดาเรศหันมายิ้มให้จักรา กิริยาน่ารัก เธอยั่วล้อเขาว่า “อนุญาตสิคะ”

เจ้าดาเรศกับจักราเดินเคียงคู่กันไป จักราชี้ชวนให้ดูวิวสวยงามสำหรับถ่ายรูปตรงโน้นตรงนี้ เจ้าดาเรศถ่ายรูป เมื่อถ่ายเสร็จเอารูปในกล้องมาเช็คดูด้วยกัน
จักราเอียงหน้าเข้าไปดูรูป เกิดเป็นภาพสองหนุ่มสาวที่กระหนุงกระหนิง ชิดใกล้กันอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสวยงามในไร่ชา ราวกับเป็นคู่รักกระนั้น

โฉมสุรางค์นั่งสมาธิอยู่หน้าแท่นบูชาเจ้าแม่กาลีในห้องลับภายในห้องนอน แต่ไม่มีสมาธิเอาเลย เพราะจิตใจฟุ้งซ่านมัวแต่พะว้าพะวังอยู่กับจักรา
โฉมสุรางค์หมดความพยายามลืมตาขึ้นในที่สุด และลุกขึ้นเดินไปเดินมาอย่างกังวล
“สินธุจะสงสัยหรือเปล่านะ”
โฉมสุรางค์บีบมือตัวเองอย่างอึดอัดใจที่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่เมื่อสายตาของเธอมาสะดุดกับริ้วรอยความเหี่ยวย่น ที่ปรากฏอยู่ค่อนข้างชัดที่แขนและมือ โฉมสุรางค์มองอย่างสลดหดหู่
“ข้ารอท่านมานานแสนนาน บัดนี้ แม้ได้พบ แต่ก็มิอาจได้ใกล้ชิด มันช่างทรมานเหลือเกิน”
อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์ถอนใจอย่างเศร้าสร้อย
“ท่านกำลังทำอะไรอยู่นะ...สินธุ”
โฉมสุรางค์นึกขึ้นมาได้ เดินกลับมานั่งลงที่หน้าแทนบูชา เพ่งมองน้ำในขันตรงหน้าเพื่อดูว่าจักราทำอะไรอยู่ และเห็นจักราเดินเคียงคู่กับเจ้าดาเรศ สองคนคุยกันอย่างสนิทสนมอยู่ในไร่ชา
จากที่เศร้าสร้อยสีหน้าโฉมสุรางค์เปลี่ยนเป็นโกรธแค้น ปัดขันน้ำมนต์คว่ำลง ทนดูภาพนั้นอีกไม่ได้
โฉมสุรางค์พึมพำด้วยความเจ็บใจ “ดาเรศ แม่ห้ามแล้วไม่ฟังใช่ไหม”

สองนายบ่าวนั่งเครียดอยู่ในกระท่อม
“พี่บันดาสาจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ยังไงข้าก็ต้องได้อาบเลือดเดี๋ยวนี้ ข้าทนอยู่กับร่างกายที่เหี่ยวย่นแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
“ข้าบอกแล้วว่าให้แม่หญิงนั่งกรรมฐาน”
“แต่ข้าทนเห็น...”
โฉมสุรางค์เกือบจะหลุดปากพูดเรื่องเจ้าดาเรศกับจักราออกไป แต่ก็หยุดไว้ได้ทันด้วยเกรงใจบันดาสา
“แต่ข้าทนดูสินธุอยู่ห่างๆแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
บันดาสามองคุณโฉมอย่างเห็นใจ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง
“แต่ยังไม่ถึงคืนเพ็ญ”
โฉมสุรางค์ตัดบท พูดอย่างเด็ดขาด
“ข้ารอไม่ได้ ยังไงคืนนี้ข้าต้องได้อาบเลือด”
บันดาสาหนักใจ “แต่ข้าก็ยืนยันไม่ได้...ว่าจะได้ผลเหมือนการอาบในคืนเพ็ญหรือไม่”
คุณโฉมตัดสินใจแน่วแน่
“ไม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ข้าก็ต้องทำ”
บันดาสาหนักใจเหลือเกิน

มีเสียงหมาเห่า หมาหอนดังขึ้นรับกันป็นทอดๆ สัปเหร่อโกร่งนั่งสูบยาอยู่ในกระท่อม ในมือถือผ้าขาวม้าโบกไล่ยุงและแมลงรอบๆ ตัวไปมา
“จะหอนอะไรกันนักวะ”
เสียงหมาเห่ากระโชกดังผิดสังเกต สัปเหร่อโกร่งลุกไปหยิบไฟฉาย เปิดประตูเดินออกไป
สัปเหร่อโกร่งเดินออกมาที่หน้ากระท่อม ฉายไฟไปทางเสียงหมาเห่า เห็นเงาคนตะคุ่มๆ อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ หมาสี่ห้าตัวที่อยู่ใกล้เงานั้น เห่าไม่หยุด
“ใครอยู่ตรงนั้นวะ”
เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบ สัปเหร่อโกร่งนึกสงสัย เดินไปดู

แสงจากไฟฉายส่องนำทางให้สัปเหร่อโกร่งเดินมาตรงบริเวณป่ารกชัฏหลังวัด มองไปรอบๆ สัปเหร่อโกร่งเห็นแต่ความมืด จึงจะหันหลังกลับ ฉับพลันนั้นเอง มีบ่วงเชือกเส้นใหญ่เหวี่ยงมาคล้องคอไว้ทันที
สัปเหร่อโกร่งตกใจสุดขีด เชือกนั้นรัดแน่นมากขึ้น สัปเหร่อชราปล่อยไฟฉายลง ใช้มือดึงเชือกนั้นออกจากคอ
แต่เชือกถูกดึงแน่นจนตึง กระทั่งสัปเหร่อโกร่งล้มหงายหลังลงไปกับพื้น สัปเหร่อชราดิ้นทุรนทุราย พยายามเอาเชือกออกจากคอ เริ่มหายใจไม่ออก

ร่างของสัปเหร่อโกร่งดิ้นรนอย่างทรมาน และถูกลากไปตามทางอย่างน่าเวทนา

อ่านต่อหน้า 4

อนิลทิตา ตอนที่ 6 (ต่อ)

ที่ห้องทำพิธีอาบน้ำอมฤตเวลานี้ ข้อมือสัปเหร่อโกร่งถูกมัดตรึงกับเสาหัวเตียงศิลา สัปเหร่อโกร่ง ขยับเปลือกตา ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นเป็นภาพพร่ามัว สัปเหร่อชรากระพริบตาถี่ๆ จนมองชัดขึ้น แต่ไม่คุ้นกับสถานที่ในกรอบสายตา

ครั้นพอจะขยับร่างกายจึงพบว่าแขนตัวเองถูกมัดตรึงเป็นไม้กางเขน ขาก็ถูกมัด สัปเหร่อโกร่งกลัวมาก ดิ้นขลุกขลักให้หลุดพ้นจากการจองจำ
“ที่นี่ที่ไหนวะ ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
สัปเหร่อโกร่งเห็นไอ้โล้นเดินเข้ามาพร้อมกับมีดในมือ ก็สะดุ้ง เด้งตัวหนี
“แกเป็นใคร...จะทำอะไรฉัน”
ไอ้โล้นไม่ตอบ มันแสยะยิ้มแล้วเดินไปลับมีดอีกมุม สัปเหร่อโกร่งยิ่งตกใจกลัวจนตาเหลือกลาน พยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์ ปากตะโกนไม่หยุดไม่หย่อน
“ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย”
โฉมสุรางค์เดินออกมาจากเงามืด ร่างชราถูกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่ มือที่จับผ้าคลุมเหี่ยวย่น มีปอยผมขาวลอดแนวผ้าออกมา โดยมีบันดาสาตามเข้ามาด้วย ก่อนจะเดินตรงไปเตรียมสมุนไพรที่หม้อขนาดใหญ่ข้างแท่นหิน
“ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก”
“พวกแกเป็นใคร แล้วแกจะทำอะไรฉัน”
โฉมสุรางค์บอกออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ท่าทีมุ่งมั่นมาดหมาย
“ฉันก็ต้องการเลือดของแก...เพื่อมาทำเป็นยาให้ฉันน่ะสิ”
ไอ้โล้นเดินตรงเข้าไปหาสัปเหร่อโกร่งแล้วเงื้อมือขึ้นสุดมือ เงาสะท้อนที่ผนังถ้ำ เห็นเป็นภาพเงาการกรีดข้อมือสัปเหร่อโกร่ง ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานถึงขีดสุด

โฉมสุรางค์ยืนหันหน้าเข้าหาสระอาบน้ำโลหิต บันดาสายืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ากังวล
“แม่หญิง...การใช้มนต์ดำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าจะใช้มัน เราก็ต้องทำตามคำสอนของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัด หากผิดไปจากนั้น...”
โฉมสุรางค์พูดขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“ข้าบอกพี่แล้วไงว่าข้ารอไม่ได้แล้ว”
บันดาสาทักท้วงด้วยท่าทีหวั่นเกรง “แต่ผลที่จะตามมามันเกินกว่าที่ข้าจะหยั่งรู้...”
โฉมสุรางค์ไม่แยแส “ข้าไม่กลัว มันจะเกิดอะไร...อย่างดีก็แค่ไม่สำเร็จ”
“แล้วถ้ามันส่งผลร้ายต่อตัวแม่หญิงล่ะ”
“ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าสิ่งที่ข้าเป็นอยู่ตอนนี้อีกแล้ว”
อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์มองบันดาสา ท่าทีเด็ดเดี่ยว พูดอย่างหนักแน่น และมั่นใจ
“อย่าห้ามข้าเลยพี่บันดาสา...จะอย่างไรข้าก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ”

จังหวะนี้ โลหิตผสมน้ำสมุนไพรพุ่งออกมาจากปากงูศิลาทั้งสี่ทิศพร้อมๆ กัน
โฉมสุรางค์ปลดผ้าคลุมกายออก ก้าวลงไปในสระ ร่างกายอันชราค่อยๆ จมลงในน้ำจนมิดศีรษะ

บันดาสายืนลุ้นอยู่ริมสระ ด้วยสีหน้าหวั่นกลัว และกังวล ด้วยว่าครั้งนี้เป็นการฝืนตำราชุบชีวิตอมตะโดยสิ้นเชิง!

กลางสระโลหิต รอยน้ำค่อยๆ กระเพื่อมเป็นวงต่อๆ กันไป สักครู่หนึ่ง โฉมสุรางค์ก็โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ ผมสีดอกเลากลายเป็นผมดำขลับ ผิวพรรณเต่งตึงดังเดิม
อนิจจา มันได้ผล บันดาสามองจ้องด้วยไม่อยากเชื่อสายตา
โฉมสุรางค์ยกมือจับใบหน้าตัวเอง แล้วแลดูผมและแขนของตัวเอง ด้วยความพอใจ
“เห็นมั้ยพี่บันดาสาว่าข้ากลับมาสวยอย่างเดิมแล้ว”
โฉมสุรางค์หัวเราะเสียงใสอย่างมีความสุข
บันดาสาฝืนยิ้มให้ แต่แววตาเป็นทุกข์เหลือแสน

กลางดึกคืนนั้น เสียงจักจั่น เรไร ดังระงมไปทั่วผืนป่า บันดาสานั่งบดสมุนไพรอยู่บนแคร่หน้ากระท่อม สีหน้าเครียด กังวล คิดถึงเรื่องอนิลทิตาในวันนี้ ไอ้พันนั่งเล่น พับใบตอง อยู่คนเดียวที่พื้น
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าการอาบน้ำเลือดสมุนไพรจะได้ผลทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำในคืนเดือนเพ็ญ”
ไอ้พันเห็นท่าทางบันดาสาเป็นทุกข์มาก ก็วางมือจากของเล่น มองอย่างแปลกใจ
บันดาสารำพึงออกมาอีกว่า “นับแต่นี้ก็คงไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งแม่หญิงได้อีก แล้วก็คงจะมีคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อเพื่อเซ่นพลีให้แก่ความเป็นอมตะของแม่หญิงเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าพันทวี”
บันดาสาน้ำตาซึมด้วยความทุกข์ ไอ้พันเข้ามาหา พยายามจะเล่นด้วยให้บันดาสาคลายทุกข์
บันดาสายิ้มไม่ออก หันมามองไอ้พันด้วยสายตาหม่นเศร้า ไม่รู้จะไปพูดกับใครได้นอกจากสามีผู้ฟั่นเฟือนคนนี้เท่านั้น
“ข้าทำผิดอย่างมหันต์ที่ถ่ายทอดมนต์ดำบทนั้นให้กับแม่หญิง ข้าทำให้มือแม่หญิงต้องเปื้อนเลือด ทำให้คนหลายคนต้องเดือดร้อน รวมทั้งเจ้าด้วย...ข้าเสียใจเหลือเกินในสิ่งที่ข้าได้ทำลงไป เจ้าได้โปรดให้อภัยข้าด้วยนะ”
ไอ้พันฟังไม่รู้เรื่องใดๆ ได้แต่ฉีกยิ้มกว้างให้บันดาสา

เช้าวันนี้ ภายในห้องประกอบอาหารที่เรือนครัว ในคุ้มเชียงแมน
เจ้าดาเรศเดินเข้ามาในครัวนี้ อย่างอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม แจ่มใส เอ่ยปากทักกระถิน
“กระถิน ช่วยฉันจัดปิ่นโตหน่อยสิ”
“เจ้าจะเอาไปทำอะไรคะ”
“จะเอาไปให้คุณยายที่กระท่อมในป่าน่ะ” เจ้าว่า
กระถินนึกขึ้นมาได้ ตื่นเต้น
“จริงด้วย วันนั้นเจ้าแอบไปเจอยายแก่คนนั้นมาแล้วนี่ แล้วเป็นยังไงบ้างคะ แกเป็นใคร ท่าทางเป็นยังไง น่ากลัวหรือเปล่า”
เจ้าดาเรศขำที่กระถินถามคำถามออกมาเป็นชุด
“ไม่น่ากลัวเลย คุณยายเป็นคนเก่าแก่ของคุณแม่น่ะ...แกอยู่ที่นั่นคนเดียว ฉันก็เลยจะเอาของกินไปฝาก แกจะได้ไม่ต้องลำบากหุงหาเอง”
กระถินอดเป็นห่วงไม่ได้ “แล้วเจ้าไม่กลัวคุณโฉมรู้เหรอคะ”
เจ้าดาเรศกังวลขึ้นมานิดๆ แต่ก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ
“กระถินก็อย่าบอกคุณแม่สิ”
ด้านโฉมสุรางค์นั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะแต่งตัวส่วนในห้องนอน กำลังมองเงาตัวเองอย่างพึงพอใจ
“ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะทำให้เจ้าระลึกให้ได้ว่าเราเคยรักกันขนาดไหน”

เจ้าดาเรศจัดปิ่นโตเรียบร้อยปิดผาลงกับหู ยิ้มกริ่ม
“ไม่ให้กระถินไปเป็นเพื่อนแน่เหรอคะเจ้า”
“แน่สิ ฉันไปคนเดียวได้ เผื่อคุณแม่ถามหากระถินแล้วไม่เจอจะสงสัย”
โฉมสุรางค์กำลังเดินตรงมาทางนี้ กระถินมองออกไปเห็นก็ตกใจ
“ว้าย! คุณโฉม”
เจ้าดาเรศหันมองตามเสียงกระถินตกใจพอกัน “คุณแม่”
กระถินลุกลี้ลุลน
“เจ้ารีบไปเถอะค่ะ ก่อนที่คุณโฉมจะเข้ามาเห็น”
เจ้าดาเรศรีบคว้าปิ่นโตแล้ววิ่งออกไปทางประตูหลังครัว

กระถินรีบออกมารับหน้า โฉมสุรางค์ที่เดินมาถึงประตูครัวแล้ว
“คุณโฉมจะรับอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้ลงมาเอง”
โฉมสุรางค์อารมณ์เบิกบาน สีหน้ายิ้ม แววตามีความสุข
“เธอช่วยไปเก็บดอกกุหลาบมอญกับดอกอัญชันในสวนมาหน่อยนะ แล้วก็ไปเอาหญ้าฝรั่นที่ฉันเก็บไว้ในกลักเงินในห้องฉันมาด้วย ฉันจะเอามาทำขนม”
กระถินพยักหน้ารับแต่ก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
“ได้ค่ะ คุณโฉมจะทำขนมอะไรเหรอคะ ให้กระถินกับป้าอิ่มช่วยทำมั้ยคะ”
หากถูกซักไซ้แบบนี้โฉมสุรางค์จะโกรธ แต่ครั้งนี้เธอกลับตอบอย่างอารมณ์ดี ดวงตาเปี่ยมแววฝัน
“ไม่ต้อง ฉันจะทำด้วยมือของฉันเอง”
กระถินมองท่าทางของคุณโฉมของเธออย่างแปลกใจ

เวลาผ่านไปอีกหน่อย แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาในครัว ตกกระทบบนในหน้าโฉมสุรางค์ที่ยิ้มละไม แจ่มใส มีสุขล้น เธอกำลังนั่งคัดดอกไม้และใบไม้ เอาแต่เฉพาะดอกและใบที่สวยสมบูรณ์อย่างเบามือ มีทั้งดอกกุหลาบมอญ ดอกอัญชัน แล้วหยิบกลักเงินออกมาเปิด แล้วคีบหญ้าฝรั่นออกมา
ข้างตัวมีแป้ง น้ำตาล มะพร้าวขูด วางอยู่
โฉมสุรางค์รำลึกถึงช่วงเวลาที่เคยทำขนมไปให้สินธุทานเมื่อ 300 ปี ก่อน

ตอนนั้นสินธุกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงในกระโจม ส่วนอนิลทิตานั่งอยู่ข้างๆ เอาห่อขนมออกมาจากตะกร้า แกะห่อผ้าออก มันเป็นขนมต้มสามสี ชมพู ม่วง และเหลือง อยู่ในกระทงใบตองประดิษฐ์ดูน่าทาน อนิลทิตาหยิบขนมป้อนสินธุ
“ข้าตั้งใจทำขนมต้มสามสีนี้มาให้ท่าน หญิงชาวบันทายศิลาจะทำขนมชนิดนี้ด้วยตัวเองและเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น เพื่อมอบให้กับชายคนที่นางรัก”

โฉมสุรางค์ยิ้มพรายดึงตัวเองกลับมา แววตาเป็นประกายเจิดจ้า คัดดอกไม้อย่างแจ่มใส มีความสุข
“ขนมนี่อาจจะทำให้ท่านกลับมารักข้าเหมือนที่เคยรักกันเมื่อกาลก่อนก็ได้”

ที่หน้าประตูห้องครัวยามนี้ อ๋อย และแอ๋วกำลังแอบมองคุณโฉม
กระถินเดินเข้ามาสมทบ เห็นอ๋อยและแอ๋วแอบมองอย่างตั้งอกตั้งใจ จึงปราดเข้าไปลากแขนอ๋อยและแอ๋วออกมาก่อนที่โฉมสุรางค์จะหันมาเห็น

กระถินลากอ๋อยและแอ๋วออกมาถึงมุมลับตาแห่งหนึ่ง เสียงดุใส่สองสาว
“มาแอบดูเจ้านาย อยากหัวขาดกันหรือไง”
อ๋อยสาวใช้ท่าทางก๋ากั่น ช่างเม้าท์ ไม่สนใจที่กระถินเตือน ถามถึงเรื่องที่ตัวเองข้องใจทันที
“พี่กระถิน วันนี้คุณโฉมนึกยังไงขึ้นมา...ถึงได้ลงครัวเอง”
แอ๋วเห็นด้วย “นั่นน่ะสิ ร้อยวันพันปีฉันก็ไม่เคยเห็นท่านเหยียบเข้ามาในครัวเลยซักครั้ง”
กระถินเองก็รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน
กระถินฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆคุณโฉมสั่งให้ฉันไปเก็บดอกไม้ บอกว่าจะเอามาทำขนม ฉันจะช่วยก็ไม่ยอม
“แล้วคุณโฉมจะทำขนมไปทำไม”
กระถิน แอ๋วและอ๋อย มองหน้ากันด้วยความสงสัย

ฝ่ายเจ้าดาเรศเดินถือปิ่นโตมาตามแนวป่าตรงไปทางท้ายคุ้ม ห่วงหน้าระวังหลังกลัวใครมาเห็นเข้า
เจ้าดาเรศเดินไปได้ระยะหนึ่ง เห็นไอ้โล้นกำลังเดินตรงมา เจ้าตกใจรีบฉากหลบหลังพุ่มไม้
ไอ้โล้นเห็นพุ่มไม้ไหว สงสัยว่ามีอะไรอยู่หลังพุ่มไม้ จึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ เจ้าดาเรศถดตัวถอยหนีเหยียบกิ่งไม้ดังกรอบแกรบเธอยิ่งตกใจ ไอ้โล้นได้ยินเสียงรีบตรงเข้าไปดู
เจ้าดาเรศเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง ในจังหวะเดียวกับที่ไอ้โล้นเข้ามาถึงจุดที่เจ้าซ่อนอยู่พอดี มันจึงเห็นแต่ความว่างเปล่าหลังพุ่มไม้
เจ้าดาเรศนั่งเกร็งอยู่อีกมุมหนึ่งมีพุ่มไม้บัง หัวใจแทบหยุดเต้น ดูไอ้โล้นที่มองไปรอบๆ ให้แน่ใจ แต่พอไม่เห็นอะไรผิดปกติมันจึงเดินผ่านไป
ดาเรศถอนหายใจใหญ่อย่างโล่งใจ แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นแมงป่องชูหางอยู่ไม่ไกลจากมือตัวเองที่วางยันพื้นอยู่ เจ้าผงะหงายล้มลงไปด้วยความตกใจ อันเป็นจังหวะเดียวกับที่แมงป่องวิ่งตรงเข้ามาหาพอดิบพอดี เจ้าดาเรศร้องกรี๊ด

ขณะเดียวกัน ในครัวคุ้มเชียงแมน ขนมต้มสามสี ถูกจัดอยู่ในกระทงใบตองประดิษฐ์อย่างสวยงาม สีหน้าของโฉมสุรางค์แช่มชื่น ที่นั่งมองขนมอย่างภูมิใจในผลงานของตน ก่อนจะมัดห่อผ้าขนมต้มแล้วใส่ลงในตะกร้าสวย
โฉมสุรางค์ถือตะกร้าขนมต้มเดินออกมาจากในครัว เจออ๋อยที่เดินผ่านมาพอดี
“ดาเรศอยู่หรือเปล่า”
อ๋อยคิดทบทวนครู่หนึ่ง
“เอ...ไม่เห็นนะคะ จะให้อ๋อยไปตามให้มั้ยคะ”
โฉมสุรางค์ยิ้มในสีหน้าอย่างพอใจ “ไม่เป็นไร”
โฉมสุรางค์เดินออกไปเลย
อ๋อยมองตาม เห็นตะกร้าก็รู้ทันทีว่าเป็นขนมที่โฉมสุรางค์ทำเองกับมือ

โฉมสุรางค์ก้าวเข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะวางตะกร้าขนมไว้ข้างตัวอย่างทะนุถนอมแล้วกดโทรศัพท์หาจักรา
“คุณจักรหรือคะ ดิฉันมีธุระสำคัญจะคุยกับคุณ...คุณมาพบดิฉันที่ศาลาริมลำธารในไร่ได้มั้ยคะ ค่ะ รีบมานะคะ ฉันจะรอ”

ประตูกระท่อมบันดาสาเปิดออก แสงจากด้านนอกส่องผ่านเข้ามา ในสายตาอันพร่ามัวของบันดาสา แลเห็นเงาเจ้าดาเรศยืนโงนเงนอยู่ที่ประตู บันดาสาคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเจ้าดาเรศ แต่ไม่แน่ใจ
“นั่นใครน่ะ”
เจ้าดาเรศเดินเข้ามา หน้าซีด แต่ก็ยิ้มให้บันดาสา พยายามข่มความเจ็บปวด
“ดาเองค่ะ ดาเอาข้าวมาให้ยายค่ะ”
บันดาสามองปิ่นโตในมือเจ้าดาเรศ ปลื้มใจจนพูดไม่ออก น้ำตารื้น
“โถ แม่คุณ เจ้าไม่เห็นต้องลำบาก”
“ไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะ”
บันดาสากำลังจะรับปิ่นโตจากมือลูกสาว แต่แลเห็นรอยบวมแดงที่ข้างมือเจ้าดาเรศเสียก่อน บันดาสาตกใจด้วยความเป็นห่วง คว้ามือเจ้าดาเรศขึ้นมาดูใกล้ๆ
ดาเรศซึ่งพยายามข่มความปวดไว้ หลุดปากร้องออกมา
“โอ๊ย”
“นี่เจ้าไปโดนอะไรมา” บันดาสาตกใจและเป็นห่วง
“ดาโดนแมงป่องต่อยค่ะ เจ็บมากเลย”

แม่ลูกนั่งอยู่ตรงแคร่หน้ากระท่อม เจ้าดาเรศกัดริมฝีปากสะกดกลั้นความเจ็บปวด บันดาสากำลังบดยาสมุนไพร ก่อนจะหยิบสมุนไพรขึ้นมาวางที่รอยบวมแดงที่มือลูกอย่างบรรจง
บันดาสาพูดปลอบ “ทนหน่อยนะเจ้า เดี๋ยวก็หายแล้ว”
บันดาสาท่องมนต์แล้วเป่าลงไปที่มือเจ้าดาเรศ เจ้ารู้สึกเย็นวูบที่มือ ความเจ็บปวดหายไปหมดสิ้น
เจ้าดาเรศตื่นเต้น ไม่อยากเชื่อ “อุ๊ย...ดาหายปวดแล้ว ยายทำได้ยังไงคะ”
บันดาสายิ้มชื่น ดีใจที่ลูกมีความสุข
“ยายก็แค่ใช้สมุนไพรช่วยถอนพิษและสมานแผลเท่านั้นเอง”
เจ้าดาเรศเห็นความนุ่มนวล อ่อนโยนของบันดาสาที่มีต่อตน แล้วสะเทือนใจเมื่อหวนคิดถึงความห่างเหินของโฉมสุรางค์ น้ำตารื้นขึ้นมาทันที
“ยายดีกับดาเหลือเกิน ไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้ดามาก่อนเลย...ดาขอมาหายายบ่อยๆได้มั้ยคะ”
บันดาสาทั้งสงสาร ทั้งรู้สึกผิดต่อลูกสาวเป็นอย่างมาก จนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ยายก็อยากให้เจ้ามา แต่ถ้าคุณโฉมรู้ เจ้าจะเดือดร้อนนะ”
“ยายก็อย่าบอกคุณแม่สิคะ”
บันดาสาอยากจะปฏิเสธเพราะไม่อยากให้เจ้าดาเรศถูกดุ แต่ก็พูดไม่ออกเพราะตนก็อยากพบหน้าลูกบ่อยๆ และนึกสงสารเจ้าดาเรศอีกด้วย
เจ้าดาเรศเห็นบันดาสาดูลังเลก็มองมาด้วยสายตาวิงวอน ขอร้อง
“นะคะ ให้ดามาหายายที่นี่อีกนะคะ...อยู่กับยายแล้วดามีความสุข” เจ้านึกสะเทือนใจขึ้นมาอีก “ยายทำให้ดารู้สึกว่าอย่างน้อยในโลกนี้ ก็ยังมียายที่คอยเป็นห่วงดาอยู่”
บันดาสาน้ำตาไหลรินด้วยความสะเทือนใจและยิ่งรู้สึกผิด ดึงดาเรศเข้ามากอดปลอบใจ

แม่ลูกกอดกันกลม ต่างคนต่างร้องไห้ด้วยความในใจของตัวเอง

อ่านต่อตอนที่ 7
กำลังโหลดความคิดเห็น