xs
xsm
sm
md
lg

อนิลทิตา ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อนิลทิตา ตอนที่ 7

ที่ศาลาพักร้อนริมลำธารในอาณาเขตไร่เชียงแมน โฉมสุรางค์หน้าตายิ้มแย้มมีความสุขเหลือล้น เธอนั่งตรงข้ามกับจักราอยู่ที่ศาลานี้ แลเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของไร่ชา น้ำในลำธารไหลเอื่อย ส่งผลให้รอบๆ บริเวณ ร่มรื่นเย็นสบาย

จักราผ่อนคลายโดยประหลาด ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังอยู่กับคนที่คุ้นเคยกันมาก่อน โฉมสุรางค์เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า
“ดิฉันทำขนมมาให้คุณจักรลองชิมค่ะ”
โฉมสุรางค์แกะห่อผ้าคลุมตะกร้าที่วางอยู่ตรงหน้าออก เผยให้เห็นขนมต้มสามสีจัดเรียงอยู่ในกระทงใบตองดูน่ารับประทาน
จักรายิ้ม “อ๋อ...ขนมต้ม”
โฉมสุรางค์กลับเข้าใจว่าจักราจำได้ ก็ดีใจ
“แต่ไม่ใช่ขนมต้มธรรมดานะคะ...เมื่อสามร้อยปีที่แล้ว หญิงสาวชาวเมืองบันทายศิลาจะทำขนมต้มสามสีแบบนี้...สีที่เอามาทำก็จะต้องสกัดจากดอกไม้ และสิ่งล้ำค่าจากธรรมชาติอย่างหญ้าฝรั่น” โฉมสุรางค์มองจักราอย่างลึกซึ้ง “...เพื่อเอาไปให้ชายคนรักทาน”
จักรานิ่งไป เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่โฉมสุรางค์เอ่ย ความผูกพันและสัญญารักที่เคยมีต่ออนิลทิตาเมื่อชาติปางก่อน บวกรวมกับกระแสจิตอันรุนแรงของอนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์ทำให้จักรารู้สึกเหมือนเคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน
โฉมสุรางค์เยื้อนยิ้มอย่างพอใจ ใช้ส้อมเล็กๆ จิ้มขนมต้มยื่นให้จักรา
“คุณจักรลองทานสิคะ”
จักรารับส้อมมาแล้วกินขนม เคี้ยวช้าๆ รับรู้ได้ถึงความหอมหวานอร่อยล้ำ
“อร่อยมากจริงๆ ครับ”
โฉมสุรางค์มองอย่างปลาบปลื้ม นัยน์ตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความหวัง ถามหยั่งเชิง
“แล้วคุณจักรมีความรู้สึกอะไร...อย่างอื่นบ้างมั้ยคะ”
จักรานิ่งคิดถึงรสชาติของขนมที่เพิ่งทานไป โฉมสุรางค์ลุ้นใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
“ก็ไม่นะครับ...แต่ผมไม่เคยทานขนมอะไรที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย ขอบคุณคุณโฉมมากนะครับที่อุตส่าห์ทำให้ผมทาน”
จักรามองหน้า ซาบซึ้งในสิ่งที่โฉมสุรางค์ตั้งใจทำให้ตน อย่างจริงใจ แต่โฉมสุรางค์กลับเสียใจ และผิดหวัง แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้เขา

ขณะเดียวกัน ที่ห้องพักฟื้นระจิตในโรงพยาบาล ระจิตในชุดคนไข้ธรรมดา นอนสงบอยู่บนเตียง ไม่ได้ถูกมัด กำลังคิดอยู่ว่าจะติดต่อกับรชาอย่างไร
หมอกำลังตรวจอาการทั่วไปของระจิต เริ่มจากตรวดวัดชีพจร ส่องดูม่านตา วัดความดัน และการเต้นของหัวใจ
มีพยาบาล 2 คนอยู่ในห้องด้วย คนแรกรชาจ้างให้คอยดูแลระจิตเป็นการเฉพาะ อีกคนคือพยาบาลเวรที่คอยเดินตามหมอ เวลาหมอไปเยี่ยมคนไข้ในวอร์ด
“ก็ปกติดีทุกอย่าง” หมอเอ่ยขึ้น
พยาบาล 1ที่ดูแลระจิตแปลกใจ “แล้วทำไมถึงยังพูดไม่ได้ล่ะคะ”
“ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดมาจากความเครียด...ถ้าภายในวันสองวันนี้ยังหาสาเหตุความผิดปกติทางร่างกายไม่ได้ ผมคงต้องส่งตัวไปให้หมอทางจิตเวชช่วยดูให้”
หมอปิดแฟ้มคนไข้ส่งให้พยาบาล 2 ที่เดินมาด้วยกัน
“แล้วถ้าคนไข้อาละวาดอีกล่ะคะ” พยาบาล 1 ถามอย่างกังวล
“คงไม่แล้วละ ผมให้ยากดประสาทไว้แล้ว แต่ถ้าอาละวาดขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะต้องจับมัด”

ส่วนที่กระท่อมบุญโฮม นายิกีหันมาถามรชาซึ่งถือไอแพดเข้ามาด้วย
“เจ้ามีอะไรถึงได้มาหาข้าที่นี่”
“ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนจิตตกบันได จิตกำลังจะเอารูปคุณโฉมสมัยสาวๆไปให้ไอ้จักรดู...ผมก็เลยอยากจะให้แม่เฒ่าดูว่าใช่คนเดียวกับอนิลทิตาหรือเปล่า”
นายิกีออกอาการตื่นเต้น “แล้วรูปนั่นอยู่ที่ไหน”
รชาเปิดรูปในไอแพดแล้วส่งให้นายิกีดู เห็นเป็นรูปโฉมสุรางค์ในนั้น
“รูปนี้ถ่ายมานานมากแล้ว แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอมีเค้าอยู่บ้าง”
รชาว่าพลางมองนายิกีอย่างลุ้นรอคำตอบ
นายิกีมองรูปโฉมสุรางค์ในไอแพด แล้วยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ ส่งไอแพดคืนให้รชา
“ถ้าผู้หญิงในรูปนี้คือนังโฉมสุรางค์ ก็หมายความว่ามันเป็นคนเดียวกันกับนังปีศาจอนิลทิตา...ไม่ผิดแน่ๆ”
รชาตกใจ นึกเป็นห่วงจักราขึ้นมา ผุดลุกขึ้นยืนทันที
“งั้นเราต้องต้องรีบไปบอกเรื่องนี้กับจักรแล้วล่ะแม่เฒ่า...ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นกับมัน”

ฝ่ายระจิตนอนคิดหาทางติดต่อรชาอยู่บนเตียง เธอมองไปรอบๆ ตัว จนสายตาไปสะดุดกับโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียง ระจิตผุดลุกขึ้นนั่ง พยาบาลนั่งที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงตกใจ ผวาเข้ามาหาระจิตอย่างเป็นห่วง
“คุณจะทำอะไรคะ”
ระจิตพูดไม่ได้ พยายามจะผวาไปที่โทรศัพท์ พยาบาลจับระจิตไว้เพราะกลัวจะตกเตียง
“อะไรคะคุณ คุณจะไปไหนคะ”
ระจิตยิ่งดิ้นจะลงจากเตียงให้ได้
“อุ๊ย อย่าค่ะ เดี๋ยวตกเตียง” พยาบาลพยายามค่อยๆ พูดปลอบ “ใจเย็นๆก่อนค่ะ คุณจะเอาอะไรคะ ค่อยๆ บอกดิฉัน”
ระจิตชี้ไปที่โทรศัพท์ ส่งภาษาใบ้ว่าต้องการจะใช้โทรศัพท์
“คุณจะโทรศัพท์เหรอคะ”
ระจิตพยักหน้าเร็วๆ ติดกันอย่างดีใจ
“แต่คุณยังพูดไม่ได้ แล้วคุณจะพูดกับใครยังไงล่ะคะ”
ระจิตทำเสียงอื้ออ้าอย่างขัดใจ พยายามส่งภาษาว่าจะโทรศัพท์ให้ได้ พยาบาลกำลังคิดว่าจะทำยังไง ก็พอดีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขัดจังหวะขึ้น
พยาบาลรีบรับโทรศัพท์ พอได้ยินเสียงปลายสายก็ยิ้มอย่างดีใจ
“คุณรชาเหรอคะ...น้องสาวคุณกำลังพยายามจะโทรศัพท์หาใครก็ไม่ทราบค่ะ คุณรีบมาที่โรงพยาบาลด่วนเลยนะคะ”
ระจิตยิ้มอย่างพอใจที่พี่ชายโทร.มาพอดี
ตกตอนบ่าย
เจ้าดาเรศโหลดรูปจากกล้องของเธอลงโน้ตบุ๊ค แล้วเลือกรูปมาแต่งโดยโปรแกรมโฟโต้ช็อป ท่าทีแคล่วคล่องและชำนาญ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้น เจ้าดาเรศหยิบโทรศัพท์มาดู เห็นชื่อ พงศ์นคร ขึ้นที่หน้าจอ ก็ยิ้มอย่างดีใจก่อนจะกดรับโทรศัพท์
“เจ้าพี่พงศ์นคร”
เจ้าพงศ์นคร ญาติผู้พี่สายตระกูล ณ เชียงแมน อยู่ในห้องทำงานที่กรุงเทพฯ กำลังพูดโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี
“น้องดา เป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”
เจ้าดาเรศพูดทีเล่นทีจริง “ไม่สบายหรอกค่ะ น้องคิดถึงเจ้าพี่จะแย่”
เจ้าพงศ์นครแหย่เล่น “ไม่จริงล่ะมั้ง พี่นึกว่าป่านนี้น้องคงจะแอ่วเชียงรายเพลินจนลืมพี่ไปแล้ว”
เจ้าดาเรศมีสีหน้าสลดลง
“โธ่ เจ้าพี่จะให้น้องไปแอ่วกับใครล่ะคะ เพื่อนก็ไม่มี ญาติก็ไม่มี คุณแม่ก็ไม่ค่อยว่าง”
ดาเรศนึกสะเทือนใจจนต้องตัดบท พยายามพูดด้วยเสียงสดใส
“แล้วเจ้าพี่ล่ะคะ...สบายดีหรือเปล่า” เจ้าดาเรศอดต่อว่าอย่างน้อยใจไม่ได้ “แต่เจ้าพี่คงจะมีความสุขสนุกสนานดี ถึงได้ลืมสัญญาที่บอกว่าจะมาหาน้อง”
เจ้าพงศ์นครหัวเราะอย่างชอบใจ จากกิริยาท่าทางของเขารักและเอ็นดูเจ้าดาเรศมาก
“ใครว่าลืม แต่ตอนนี้ที่ไซต์งานพี่กำลังมีปัญหา รับรองว่าจัดการเรื่องทางนี้เสร็จเมื่อไหร่ พี่จะรีบบึ่งขึ้นไปหาน้องทันที”
เจ้าดาเรศกดวางโทรศัพท์ แล้วเลือกรูปมาแต่งต่อ เธอเห็นรูปจักราที่ถ่ายตอนเขากำลังเผลอ เจ้ามองรูปแล้วอดยิ้มไม่ได้
เจ้าดาเรศล็อกอินไลน์ในโน้ตบุ๊ค แล้วส่งรูปไปให้จักราทางไลน์ ก่อนจะหันไปแต่งรูปอื่นต่อ
ทันใดนั้น เสียงสัญญาณเตือนว่ามีข้อความทางไลน์ก็ดังขึ้น เจ้าดาเรศคลิกเข้าไปดูและเห็นว่ามีข้อความจากจักรา จึงเปิดดู เห็นข้อความ และสติ๊กเกอร์ “ขอบคุณครับ” มาจากจักรา
เจ้าดาเรศยิ้มอย่างเป็นสุข

ฟากกระถินกวาดตามองหาตองเหลือง ในขณะที่ทำเป็นกวาดโน่น เช็ดนี่ที่เรือนใหญ่ไปตามปกติ กันไว้ว่าเผื่อใครมาเห็นจะได้ไม่สงสัย ปากก็บ่นบ้าไปด้วย
“เราก็กวาดบ้าน ถูบ้านอยู่ทุกวัน...ในคุ้มเชียงแมนก็เดินจนปรุไปหมดแล้ว...ยังไม่เคยเห็นเลยว่าคุณโฉมเอางูไปเลี้ยงไว้ที่ไหน”
กระถินพยายามคิด
“มีที่ไหนอีกนะที่เรายังไม่เคยเข้าไป”
ไม่นานต่อมากระถินถือไม้กวาด ถังน้ำ และอุปกรณ์ทำความสะอาด เดินมาหยุดที่หน้าห้องโฉมสุรางค์ด้วยท่าทางละล้าละลังก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูเรียก
“คุณโฉมคะ”
กระถินไม่ได้ยินเสียงตอบ จึงเปิดประตูเข้าไป พบว่าภายในห้องเงียบกริบ ไม่มีใครอยู่ กระถินโล่งอก รีบพุ่งเข้าไปที่ประตูห้องลับของอนิลทิตา แต่เห็นมีกุญแจรูปทรงโบราณล็อกเอาไว้ กระถินพลิกแม่กุญแจไปมา พยายามหาทางไขกุญแจให้ได้ คิดหนักว่าจะเข้าไปได้ยังไง
“คุณโฉมเอาลูกกุญแจไปเก็บไว้ที่ไหนนะ...แต่ก็น่าจะอยู่แถวๆนี้”
กระถินพยายามเปิดตู้โน้น กล่องนี้หาวุ่นวาย ในที่สุดก็เจอลูกกุญแจหน้าตาโบราณเก็บไว้ในกล่องใบหนึ่ง กระถินหยิบลองเอาไปไขดู ปรากฏว่าไขออก กระถินดีใจรีบดึงแม่กุญแจออกมา
ระหว่างที่กระถินกำลังจะผลักประตูเข้าไป แต่หูแว่วเสียงที่อนิลทิตาเคยสั่งไว้
“ห้องนี้เป็นห้องนั่งสมาธิของฉัน ห้ามทุกคนเข้าไปเด็ดขาด”
กระถินพึมพำกับตัวเอง “เราไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ก็แค่จะถ่ายรูปงูไปยืนยันกับนายรชาให้แน่ใจ ว่างูที่นี่ไม่มีทางจะออกไปทำร้ายใครๆได้อย่างที่เค้ากล่าวหา”

ครั้นพอกระถินเปิดประตู ก้าวเข้าไปในห้องลับ แล้วถึงกับยืนอึ้งไป เมื่อเห็นแท่นบูชาเจ้าแม่กาลีและรูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ ที่ล้วนดูน่ากลัว ไหนจะเครื่องบูชาต่างๆ รวมทั้งตุ๊กตาหุ่นระจิต ที่วางอยู่ใกล้ๆอ่างน้ำมนต์ ก็ชวนสยอง
“เนี่ยนะห้องนั่งสมาธิของคุณโฉม...มีแต่รูปปั้นอะไรก็ไม่รู้หน้าตาน่ากลัว”
กระถินรู้สึกว่าตัวเองขนลุกซู่อย่างประหลาด
ฝั่งตรงข้ามกับแท่นบูชา มีรูป อนิลทิตา ในชุดหญิงสูงศักดิ์ของเขมรแขวนอยู่ กระถินตะลึงมอง ถลาเข้าไปมองใกล้ๆ อย่างชื่นชม
“สวยจัง...”
กระถินยืนดื่มด่ำชื่นชมความงามของโฉมสุรางค์แล้วนึกขึ้นได้ว่าตนมีภารกิจต้องถ่ายรูปงูยักษ์กระถินก้มลงไปดูใต้แท่นบูชา เห็นเจ้าตองเหลืองนอนขดอยู่ กระถินตกใจ แต่ระงับสติไว้ เจ้าตองเหลืองนอนนิ่ง ท่าทางหลับสนิท
กระถินหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เป็นรุ่นเก่า ราคาไม่แพงแต่มีกล้องถ่ายรูปขึ้นมาแล้วกดถ่ายรูปเจ้าตองเหลืองทันที
ภาพในโทรศัพท์ของกระถิน เป็นภาพตองเหลืองนอนนิ่ง

จังหวะนี้โฉมสุรางค์เปิดประตูเข้ามาในห้อง แลเห็นไม้กวาด ไม้ถูพื้น อุปกรณ์ทำความสะอาดอื่นๆวางระเกะระกะอยู่ที่พื้น ก็มองอย่างแปลกใจ แต่ไม่ได้ตกใจ โฉมสุรางค์เหลียวมองลึกเข้าไปในห้องลับ เห็นกระถินหันหลังอยู่ กำลังเอากล่องที่เก็บกุญแจวางเข้าที่ โฉมสุรางค์ขมวดคิ้ว ส่งเสียงขุ่นเขียวเกรี้ยวกราดอย่างไม่พอใจออกไป

“กระถิน”

อ่านต่อหน้า 2

อนิลทิตา ตอนที่ 7 (ต่อ)

กระถินที่ตอนนี้ในมือข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดฝุ่น อีกมือถือกล่องทำท่าเหมือนกำลังยกกล่องขึ้นมาเพื่อเช็ดฝุ่นที่อยู่บนโต๊ะ สะดุ้งสุดตัวหันขวับมาด้วยความตกใจ กล่องตกจากมือ กุญแจกระเด็นออกมา

“อุ๊ย คุณโฉม ตกใจหมดเลยค่ะ...กุญแจอะไรไม่ทราบค่ะ กระเด็นออกมาจากกล่องนี้”
กระถินจะเข้าไปเก็บแต่โฉมสุรางค์ปราดเข้าไปเก็บกุญแจเอง มองไปที่ประตูห้องลับ แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
“ทำอะไรน่ะ”
“กระถินกำลังทำห้องอยู่ค่ะ เมื่อเช้ากระถินเก็บดอกไม้เสร็จก็ต้องออกไปซื้อของที่ตลาด ก็เลยเพิ่งขึ้นมาทำห้องคุณโฉมค่ะ”
กระถินทำเนียนปัดฝุ่นต่อไป อนิลทิตามองกระถินอย่างสงสัย จ้องจับผิด แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ
“ออกไปได้แล้ว ฉันจะพักผ่อน”
“ค่ะ”
กระถินรีบเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลายออกไป พอหันหลังให้โฉมสุรางค์ เธอก็ถอนใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างโล่งใจ
ทันทีที่กระถินออกไปจากห้อง อนิลทิตาก็ไขกุญแจเข้าไปในห้องลับ

อีกฟาก รชาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักฟื้นของระจิต มีนายิกีเดินตามเข้ามาด้วย ระจิตกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่เตียงกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างดีใจ พยาบาลที่นั่งอยู่ข้างเตียงรีบลุกขึ้นอย่างเตรียมพร้อมถ้าระจิตเกิดอาละวาดหรือโวยวายขึ้นมาอีก รชาเข้ามายืนข้างเตียงจับมือระจิตให้กำลังใจ
ระจิตส่งเสียงอื้ออ้าปลดมือจากรชา ชี้ไปที่โทรศัพท์ เป็นเชิงบอกว่าตนต้องการโทรศัพท์หาเขา รชามองอย่างเข้าใจ

“จิตจะโทรหาพี่เหรอ”
ระจิตพยักหน้า ยิ้มดีใจที่รชาเข้าใจ รชาหันไปบอกพยาบาล
“เดี๋ยวผมดูแลน้องต่อเอง ขอบคุณนะครับ”
พยาบาลพยักหน้า เดินออกไป นายิกีเดินเข้ามาที่ข้างเตียง
“น้องเจ้าเป็นอะไร”
“อยู่ดีๆก็พูดไม่ได้ครับ”
“ไหนข้าขอดูสิ”
นายิกีเข้าไปจับมือระจิต ระจิตตกใจ จะสะบัดมือออก รชาจึงบอกระจิต
“ไม่ต้องกลัวนะจิต ให้แม่เฒ่าดูอาการหน่อย”
ระจิตสงบลงยอมให้นายิกีจับมือ แม่เฒ่าจอมอาคมจับมือระจิต แล้วหลับตา สักครู่ก็ลืมตาขึ้น ปล่อยมือจากระจิต
“น้องเจ้าโดนทำคุณไสย”
“อะไรนะครับ” รชาตกใจมาก “แล้วจะทำยังไงดีครับ”
“ข้าจะแก้ให้เอง” แม่เฒ่าบอกอย่างมั่นใจ “ให้น้องเจ้านอนลงสิ”
รชาจัดการให้ระจิตนอนลงบนเตียง ระจิตรู้สึกกลัวแต่ก็เชื่อพี่ชาย นายิกีเอามีดหมออาคมขึ้นมาจากย่าม จ่อที่ปากระจิต ท่องคาถาขมุบขมิบ ระจิตกลัวจนตัวสั่น รชาบีบมือระจิตให้กำลังใจ
ทันใดนั้นก็เกิดแสงจ้าขึ้นที่ปลายมีด สักครู่นายิกีก็เอามีดหมอออก
“ลองพูดสินังหนู”
รชามองอย่างลุ้นๆ ระจิตมองหน้าพี่ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะพูดได้จริงๆ แต่ในที่สุดก็เปล่งเสียงออกมา
“พี่ชา”
ระจิตดีใจสวมกอดพี่ชายทันที รชากอดน้องสาวไว้ด้วยความดีใจ
“จิตพูดได้แล้วจริงๆ” รชาหันไปทางนายิกี “ขอบคุณนะครับแม่เฒ่า”

ฝ่ายโฉมสุรางค์นั่งอยู่หน้าแท่นบูชา กลุ้มใจที่สินธุไม่มีท่าทีว่าจะจำเรื่องราวในอดีตได้เลย รำพึงกับตัวเองอย่างทดท้อ
“ข้าจะทำให้สินธุกลับมาจำเรื่องราวในชาติก่อนได้อย่างไรกันนะ”
ขณะที่โฉมสุรางค์กำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นตุ๊กตาหุ่นระจิตที่วางอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา เหมือนด้ายที่เย็บปากขาดออกจากกัน
โฉมสุรางค์หยิบตุ๊กตาขึ้นมา พบว่าด้ายที่เย็บปากตุ๊กตาขาดออกจากกันจริงๆ ก็ตกใจ
“ใครมาแก้อาคมของข้า”
โฉมสุรางค์หลับตาเข้าสู่สมาธิแล้วลืมตาโพลง ดวงตาแข็งกร้าว ดุดัน โกรธถึงขีดสุด
“นางเฒ่า”

ที่ห้องพักระจิตในโรงพยาบาล นายิกีประเมินเหตุการณ์แล้วเอ่ยขึ้น
“นังปีศาจนั่นมันกลัวว่าน้องเจ้าจะเปิดเผยความลับของมัน มันถึงพยายามทำทุกอย่างไม่ให้นังหนูบอกเรื่องของมันได้”
ระจิตได้ยินสิ่งที่นายิกาพูดก็หน้าซีดด้วยความกลัว ละล่ำละลักบอกรชาและนายิกี
“วันนั้นจิตจะเอารูปคุณโฉมตอนแต่งงานไปให้พี่จักรดู แต่จิตเห็นผีแต่งชุดโบราณหน้าตาเหมือนคุณโฉม จิตตกใจมากก็เลยตกบันไดลงมา...จิตกลัวค่ะพี่ชา”
รชายังกอดระจิตไว้อย่างปกป้อง
“ไม่ต้องกลัวนะจิต แม่เฒ่ากำลังจะจัดการกับนังปีศาจนั่น มันไม่มีทางจะออกมาทำร้ายใครได้อีกแล้ว”
ระจิตนึกถึงจักราขึ้นมาได้ให้เป็นห่วง “แล้วพี่จักรล่ะคะ พี่จักรอยู่ที่ไหน แล้วพี่จักรรู้หรือยังว่าคุณโฉมกับอนิลทิตาเป็นคนคนเดียวกัน”


ที่ไร่ชายามเย็น จักราเดินตรงไปที่รถจี๊บที่รชาให้ยืมมาใช้ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์รชา จึงรีบรับ
“ว่าไงครับ พี่ชา”
รชาโทร.มาจากห้องพักระจิต
“จักร รีบมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันมีเรื่องสำคัญที่แกจะต้องรู้”
จักราแปลกใจ “ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
รถจี๊ปขับทะยานออกไปทันที

ทุกคนอยู่ที่ร้านอาหารของโรงพยาบาลคืนนั้น
ไอแพดในมือจักรา เห็นรูปโฉมสุรางค์ในวันแต่งงานกับเจ้าพงษ์สุริยัน
นายิกีบอกอย่างมั่นใจ “ข้ายืนยันได้ว่านังปีศาจอนิลทิตาเป็นคนเดียวกับผู้หญิงในรูปนั้น”
จักราอึ้งไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แกคิดดูสิ ถ้าคุณโฉมเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่รูปร่างหน้าตาเค้าจะไม่เปลี่ยนไปเลยทั้งๆ ที่ผ่านมาตั้งหลายตั้งสิบปีแล้ว”
จักราทักท้วง เขาไม่เชื่อเลย “แต่ผมว่าไม่เห็นจะแปลกเลยนะครับ ผู้หญิงสมัยนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆ กันทั้งนั้น...และเท่าที่ผมรู้จักคุณโฉม เธอเป็นน่ารักแล้วก็จิตใจดี...คนอย่างคุณโฉมไม่มีทางฆ่าใครได้แน่ๆ”
รชากับนายิกีมองหน้ากัน ถอนใจเฮือกใหญ่
“อีกอย่างถ้าคุณโฉมจะฆ่าคนเพื่อปกปิดความลับ คุณโฉมจะฆ่าสุรเดชทำไม ในเมื่อคุณโฉมกับสุรเดชไม่เคยรู้จักกัน แล้วสุรเดชจะไปรู้ความลับของคุณโฉมได้ยังไง”
นายิกีบอก “เจ้าลืมไปแล้วรึว่าก่อนตาย น้องเจ้าก็เข้าไปในคุ้มเชียงแมนมาแล้ว และมันคงไปรู้ความลับอะไรมา ถึงได้ถูกฆ่าปิดปาก”
จักราอึ้งไป เถียงไม่ออก

กระถินเดินลับๆ ล่อๆ เข้ามาในมุมลับตา มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
“ทีนี้ละ คุณจะได้เห็นกับตาซะทีว่างูตัวที่คุณเห็นมันเป็นคนละตัวกับงูที่คุ้มเชียงแมน”

ขณะเดียวกัน สามคนเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“ถ้าแกยังไม่เชื่อ จะรอให้กระถินส่งรูปงูที่อยู่ในคุ้มเชียงแมนมาให้ฉันก่อนก็ได้ แล้วดูซิว่ามันจะเป็นตัวเดียวกับที่ทำร้ายยัยจิตแล้วเลื้อยหายเข้าไปในกำแพงต่อหน้าต่อตาเราหรือเปล่า”
เสียงโทรศัพท์มือถือของรชาดังขึ้น รชาหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าเป็นเบอร์กระถิน รชากดรับ
กระถินแอบอยู่ที่มุมลับตาคนในคุ้มเชียงแมน
“นี่คุณ ฉันถ่ายรูปงูมาให้คุณแล้วนะ”
รชา ดีใจมาก “งั้นก็รีบส่งมาให้ผมดูเลยสิ”
“ได้ แต่จะบอกให้นะว่างูตัวนี้มันอยู่ในห้องนั่งสมาธิของคุณโฉม แล้วห้องนั้นก็ปิดมิดชิดตลอดทั้งวัน เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะออกจากห้องไปทำร้ายใครอย่างที่คุณกล่าวหา”
กระถินกดวางสาย โทรศัพท์รชาเสียงข้อความดัง รชากดเปิดรูปภาพจนสำเร็จ รชาเห็นรูปเจ้าตองเหลืองถึงกับอึ้งไป
“งูตัวเดียวกับที่ผมเห็นในห้องจิตจริงๆ ด้วย แม่เฒ่าดูสิครับ”
รชาส่งโทรศัพท์ให้นายิกีดู
นายิกีดูโทรศัพท์ “มันคือไอ้สมิงดงของนังปีศาจอนิลทิตาจริงๆ”
“มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะไอ้จักร ที่ทั้งอนิลทิตาและคุณโฉมสุรางค์จะเลี้ยงงูเหมือนๆกัน”
จักราไม่อยากเชื่อ “มันจะเป็นไปได้ยังไง”
นายิกีบอก “ทีนี้เจ้าจะเชื่อได้หรือยัง ว่านังโฉมสุรางค์ก็คือคนเดียวกับนังอนิลทิตา”
จักราครุ่นคิดหนัก

ฝ่ายระจิตนอนหลับอยู่บนเตียง พยาบาลพิเศษนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ที่ข้างเตียง เจ้าตองเหลืองเลื้อยออกมาจากกำแพงเงียบๆ มันชูคอมองมาที่ระจิตดวงตาแดงจ้าก่อนจะพุ่งเข้ามารัดระจิตอย่างรวดเร็ว ระจิตรู้สึกตัวร้องกรี๊ด
“อ๊าย...ช่วยด้วย”
พยาบาลได้ยินเสียง ก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นระจิตกำลังถูกงูตัวใหญ่รัด
พยาบาลกรี๊ด “อ๊าย...งู ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ระจิตโดนรัดแน่นจนหายใจไม่ออก พยายามดิ้นสะบัดให้หลุด แต่ก็ไม่สำเร็จ สักพักระจิตก็ตาค้างแน่นิ่งไป
พยาบาลหายจากอาการตกตะลึงก็เผ่นพรวดไปที่ประตูจับที่ลูกบิด กำลังจะเปิดประตู เจ้าตองเหลืองกระโจนเข้าหาอย่างมุ่งร้าย พยาบาลคลายมือออกจากลูกบิด ล้มลง

จักรา รชา นายิกีเดินคุยกันมาเกือบจะถึงห้องพักระจิต สีหน้าจักรายังไม่แน่ใจเรื่องงู
“ผมว่างูที่ไหนมันก็หน้าตาเหมือนๆ กันหมด แล้วอีกอย่างสมิงดงตัวนั้นอาจจะไม่ใช่งูของคุณโฉมตัวนี้ก็ได้” จักรายังไม่เชื่ออยู่ดี
รชาชักหงุดหงิด “ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจำงูตัวนั้นได้”
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็ให้นังหนูระจิตช่วยยืนยันอีกคน...” นายิกีสรุป

รชาเปิดประตู กำลังจะก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนตะลึงเมื่อแลเห็นพยาบาลนอนแน่นิ่งอยู่ใกล้ประตู ในขณะที่เจ้าตองเหลืองกำลังเลื้อยหายเข้าไปในกำแพง จักราปราดเข้าไปที่พยาบาล เขย่าเรียก
“คุณครับ...คุณ”
จักราพยายามเรียก แต่พยาบาลไม่ฟื้น รชาตกใจสุดขีด มองไปที่เตียง เห็นระจิตนอนตาค้าง รชารีบพุ่งไปดูระจิต
“ยัยจิต”
รชาประคองศีรษะระจิตไว้บนตัก ส่งเสียงเรียกละล่ำละลัก “ยัยจิต...ฟื้นสิ...ยัยจิต”
นายิกีตามเข้ามา จักราผละจากพยาบาลเข้ามาหาระจิตอีกคน เขย่าแขนเรียกระจิต
“จิต...จิตเป็นยังไงบ้าง”
ระจิตคอตก ใบหน้าเขียวคล้ำ ตามเนื้อตัวเป็นรอยช้ำจากการถูกรัด รชาเอามือไปอังที่จมูกน้อง พบว่าไม่มีลมหายใจแล้ว รชาร้องไห้ คร่ำครวญ
“จิต...จิตต้องไม่เป็นอะไร หมอครับ หมอ ช่วยน้องผมด้วย”
จักราเศร้า น้ำตาซึม จับไหล่รชาเบาๆ อย่างปลอบใจ
นายิกีแค้นถึงขีดสุด
“ฉันคงปล่อยแกไว้ไม่ได้อีกแล้ว...นังปีศาจ”

เจ้าตองเหลืองปรากฏตัวขึ้นในห้องลับ มันนอนนิ่งข้างๆ ผู้เป็นนาย โฉมสุรางค์ลูบหัวตองเหลืองเบาๆ สายตาเย็นชา
“ข้าไม่ได้อยากฆ่าเจ้า แต่เจ้าบังคับให้ข้าต้องทำ อโหสิกรรมให้ข้าด้วยนางระจิต”

เจ้าตองเหลืองหลับตานิ่ง

อ่านต่อหน้า 3

อนิลทิตา ตอนที่ 7 (ต่อ)

ศพของระจิตถูกนำมาประกอบพิธีสวดอภิธรรม เพื่อรอฌาปนกิจที่วัดเดียวกับสุรเดช และ พ่อเฒ่าบุญโฮม ในตอนเช้าวันนี้ มีชาวบ้าน และ พนักงานรีสอร์ทมาช่วยงานศพไม่มากนัก

รชายืนมองรูประจิตหน้าโลงศพในศาลา ด้วยดวงตาเจ็บปวด
จักรายืนอยู่ข้างๆ หน้าตาเศร้าหมองไม่ต่างกัน นายิกีเดินเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างเจ็บแค้น
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เราจะต้องจัดการนังโฉมก่อนที่มันจะฆ่าคนไปมากกว่านี้”
รชาหันมามองนายิกีด้วยสายตาเอาจริง
“แล้วเราจะทำยังไงล่ะครับ”
“เราก็ต้องฆ่ามันก่อน”
จักราตกใจรีบขัดขึ้น
“ไม่ได้นะครับ อย่าลืมว่าแม่เฒ่าก็ไม่ได้มีหลักฐานว่าคุณโฉมเล่นของ หรือใช้มนต์ดำฆ่าคน”
นายิกีพูดกับจักราอย่างมั่นใจ
“ถ้าเจ้าต้องการหลักฐาน...คืนนี้ก็พานังโฉมมาที่งานศพของนังหนูระจิตให้ได้สิ แล้วข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นเอง”
จักราลังเลอยู่อย่างนั้น จนรชาชักฉุน

“ลังเลทำไมวะ...ถ้าแกแน่ใจว่าคุณโฉมบริสุทธิ์ แล้วแกจะต้องกลัวอะไร”

จักราพาตัวเองมายืนลังเลอยู่หน้าห้องทำงานโฉมสุรางค์ในออฟฟิศไร่ชาเชียงแมน ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตู แล้วก้าวเข้าไปในห้อง
โฉมสุรางค์เห็นว่าเป็นจักราก็ยิ้มอย่างดีใจ
“คุณจักร มีธุระอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ”
“ผมจะขอลางานไปช่วยงานศพของระจิต...น้องสาวเพื่อนน่ะครับ เธอเพิ่งจะเสียเมื่อคืน”
โฉมสุรางค์ร้อนตัว ชะงักนิดๆ แต่ก็รีบกลบเกลื่อน
“ได้ค่ะ ดิฉันอนุญาต แล้วถ้ามีอะไรให้ดิฉันช่วยก็บอกนะคะ”
จักราอึกอัก ไม่ได้เต็มใจพูดนัก เพราะเขาละอายแก่ใจที่กำลังจับผิดโฉมสุรางค์ซึ่งดีกับตนมาตลอด
“ครับ คือ ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมอยากจะเชิญคุณโฉมไปเป็นประธานงานสวดศพน้องสาวเพื่อนผมคืนนี้...”
โฉมสุรางค์ลังเล ไม่อยากไปวัด แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธจักรา
“ผมกับเพื่อนไม่มีใครที่ไหนอีก คุณโฉมเป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกสนิทใจด้วยที่สุด...แต่ถ้าคุณโฉมไม่สะดวก ผมก็ไม่...”
โฉมสุรางค์มองจักราด้วยแววตาอ่อนโยน รีบพูดขัดขึ้น
“สะดวกค่ะ ดิฉันจะไป”
จักรายิ้มให้โฉมสุรางค์เป็นเชิงขอบคุณ แล้วรีบหันหน้าหลบสายตาไปทางอื่นอย่างรู้สึกผิดในใจ

รชายังอยู่ที่ศาลาสวดศพในวัด ขณะกดวางโทรศัพท์แล้วหันไปบอกนายิกี
“ไอ้จักรคุยกับคุณโฉมแล้วครับ...คุณโฉมจะมาที่นี่ คืนนี้”
นายิกียิ้มอย่างพอใจ ดวงตาวาววับหมายมั่น

ขณะเดียวกันนั้น เจ้าดาเรศกำลังจัดปิ่นโตข้าวอยู่บนแคร่หน้ากระท่อมที่พักบันดาสา โดยมีบันดาสานั่งมองด้วยความรักและเอ็นดู ไอ้พันนั่งเล่นดอกไม้ใบหญ้าอยู่ที่พื้น
บันดาสาเห็นกับข้าวพื้นเมืองทางเหนืออยู่ในปิ่นโต 3-4 อย่าง ก็แปลกใจ
“เจ้าเอากับข้าวกับปลามาทำไมตั้งเยอะแยะ”
เจ้าดาเรศยิ้มมองมาทางไอ้พัน
“ดาเอามาเผื่อลุงพันด้วยค่ะ”
ไอ้พันที่นั่งเล่นอยู่ได้ยินชื่อตัวเองก็รีบหันขวับมองมาดูกับข้าวบนแคร่ ท่าทีลุกลี้ลุกลนดีใจ
“ลูก...กินข้าว กินข้าวกัน ลูก”
เจ้าดาเรศยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่แปลกใจไม่ได้ที่ไอ้พันเรียกตนว่าลูกทุกครั้ง
บันดาสาอ้าปากจะเรียกไอ้พันว่าเจ้า แต่ก็ชะงักค้างไว้
“ไอ้พัน ดีๆ สิ เดี๋ยวก็หกหมดหรอก” บันดาสาหันมาทางลูก “ขอบใจนะเจ้าที่ยังคิดถึงยายและคนบ้าไร้สติอย่างไอ้พัน”
เจ้าดาเรศยิ้มอ่อนโยนให้ “ยายกับลุงพันมาทานข้าวเถอะค่ะ”
บันดาสามองดาเรศอย่างปลื้มใจ น้ำตารื้น
ไอ้พันมองหน้าดาเรศด้วยสายตาอ่อนโยน นุ่มนวล
เจ้าดาเรศมองตาไอ้พัน รู้สึกคุ้นเคยกับแววตาคู่นี้โดยประหลาด แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน เจ้ามองใคร่ครวญ แล้วก็เอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปไอ้พันไว้
บันดาสาตกใจ “เจ้าถ่ายรูปไอ้พันไปทำไมคะ”
“ดาจะเอาไปดูน่ะค่ะ ดาคุ้นหน้าลุงพันจังเลย แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน”
บันดาสามองโทรศัพท์ในมือเจ้าดาเรศอย่างไม่สบายใจ

โฉมสุรางค์ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถใกล้ศาลาสวดศพระจิตตอนค่ำ เธอนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถลงมา

ส่วนจักราเดินไปเดินมาอย่างรู้สึกผิดและไม่สบายใจ
“พี่รชายังไม่ได้บอกผมเลยว่าจะทำอะไรกับคุณโฉม”
“เดี๋ยวแกก็รู้เอง”
จักรากังวลอยู่นั่นแล้ว “แล้วเค้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
นายิกีบอกว่า “คุณโฉมของเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยแม้แต่ปลายก้อย...ถ้ามันไม่ใช่คนคนเดียวกับนังปีศาจอนิลทิตา”
จักรายังไม่สบายใจอยู่ดี
“แต่แม่เฒ่าต้องบอกผมก่อนว่าจะทำอะไร...ไม่งั้นผมจะโทร.ไปบอกให้คุณโฉมกลับไป”
รชามองไปนอกศาลา เห็นโฉมสุรางค์กำลังเดินตรงมาทางนี้
“ไม่ทันแล้วละ...เค้ามาโน่นแล้ว”
รชามองที่โฉมสุรางค์อย่างเพ่งพิศ
“รูปร่างหน้าตาผ่านมายี่สิบกว่าปียังเหมือนในรูปเป๊ะขนาดนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาแล้วล่ะไอ้จักร”

โฉมสุรางค์เดินมาถึงหน้าศาลา จักรากับรชาออกมายืนรอต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณโฉม นี่พี่รชา พี่ชายของระจิตครับ”
“สวัสดีครับ คุณโฉม ขอบคุณมากนะครับที่ให้เกียรติมาเป็นประธานในคืนนี้”
โฉมสุรางค์มองรชาอย่างเห็นใจ
“ดิฉันเสียใจด้วยนะคะ”
รชามองโฉมสุรางค์อย่างจับพิรุธ แต่ไม่เห็นอะไร
“ครับ”
จักราเอ่ยขึ้น “เชิญคุณโฉมเข้าไปในศาลาดีกว่าครับ”
โฉมสุรางค์ถือโอกาสเกาะแขนจักราเดินเข้าไปด้านใน รชาเดินตามหลัง มองโฉมสุรางค์ไม่วางตา

ทางฝ่ายนายิกียืนแอบดูโฉมสุรางค์อยู่ในมุมมืดหลังศาลา ในมือถือสายสิญจน์อยู่ 1 ม้วน ด้วยแววตาจริงจัง และมุ่งมั่นมาดหมาย
“แกเสร็จข้าแน่ นังอนิลทิตา”
นายิกีนึกถึงเรื่องที่ซักซ้อมกับรชา ตอนสายวันนี้
โดยในตอนนั้นนายิกีถือสายสิญจน์พนมมือขึ้น ท่องคาถาขมุบขมิบ เกิดแสงเรืองรองสีทองขึ้นที่ม้วนสายสิญจน์สีขาวนั้น นายิกียิ้มพอใจก่อนจะพูดกับรชา
“พอนังโฉมเข้าไปในศาลา ข้าก็จะล้อมศาลาไว้ด้วยสายสิญจน์ปลุกเสก...ถ้ามันมีมนต์ดำจริงๆ มันจะร้อนรนจนทนไม่ได้”
คิดแล้วนายิกีเริ่มโยงสายสิญจน์พันไปรอบๆ ศาลา โดยโยงให้สายสิญจน์อยู่สูงสุดแขนของตน

ในศาลาสวดศพตอนนี้ พระสงฆ์ 4 รูป กำลังสวดอภิธรรมตามประเพณี โฉมสุรางค์นั่งพนมมืออยู่ที่โซฟาประธาน โดยมีจักราและรชานั่งประกบซ้ายขวา
สักครู่หนึ่งโฉมสุรางค์เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย เหงื่อผุดซึมออกมาบางๆ รชากับจักราสังเกตเห็น
รชาเอ่ยถาม “คุณโฉมร้อนเหรอครับ”
โฉมสุรางค์พยายามยิ้มกลบเกลื่อนความร้อนรุ่ม
“นิดหน่อยค่ะ”
ฟากนายิกีโยงสายสิญจน์จนมาบรรจบที่จุดเริ่มต้น ปากยังคงท่องคาถาพึมพำอยู่ สายสิญจน์ตรงหน้านายิกีส่งแสงเรืองสีทอง

โฉมสุรางค์ร้อนรุ่ม ใบหน้าซีดเซียว กระวนกระวายนั่งไม่ติด เหงื่อออกมากขึ้น จักรามองโฉมสุรางค์อย่างเป็นห่วง
“คุณโฉมหน้าซีดจังเลยครับ เป็นอะไรหรือเปล่า เหงื่อออกท่วมตัวเลย”
โฉมสุรางค์ร้อนจนทนนั่งต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ผุดลุกขึ้นทันที
“ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ รู้สึกไม่สบายจริงๆ”
อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์ลุกพรวด ถลันไปที่ประตูทางเข้าศาลาโดยไม่สนใจจักราและรชา

โฉมสุรางค์รีบร้อนเดินออกมาถึงประตูทางออก แสงสีทองจากสายสิญจน์สว่างวาบขึ้นใส่โฉมสุรางค์ที่กำลังจะก้าวข้ามผ่านธรณีประตู จนเธอต้องชะงักหงายหลัง ร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ว้าย”
จักราที่ตามมา ตกใจมาก เขาถลาไปรับร่างเธอไว้ได้ทัน
“คุณโฉม”
ใบหน้าโฉมสุรางค์ซีดเผือด กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยรู้ว่าตนกำลังถูกเล่นงานด้วยอำนาจวิเศษบางอย่าง จนกระทั่งแลเห็นสายสิญจน์ที่นายิกีล้อมศาลาไว้ นัยน์ตาโฉมสุรางค์เป็นประกายวาววับด้วยความโกรธ
นายิกีแอบดูอยู่อีกมุมหนึ่ง ยิ้มอย่างสมใจ
จักราถามขึ้น “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
โฉมสุรางค์ไม่ตอบ หันขวับมา รวบรวมพลังทั้งหมดที่มีสะกดจิตจักราทันที
“เอาสายสิญจน์ออกไปเดี๋ยวนี้”
จักราถูกสะกดจิต เอื้อมมือไปกระชากสายสิญจน์ออกให้โฉมสุรางค์ทันที นายิกีเห็นจักรากระชากสายสิญจน์ออกก็ร้องออกมาอย่างตกใจ
“ไอ้จักร อย่า..." แต่ไม่ทัน เนื่องเพราะจักรกระชากสายสิญจน์ออกไปแล้ว
วินาทีที่จักรากระชากสายสิญจน์ออก โฉมสุรางค์ก็ถลาออกไปนอกศาลาทันที สภาพราวกับนกปีกหัก
เสียงเรียกของนายิกีปลุกจักราออกมาจากที่โดนมนต์สะกด จักรายืนงง นายิกีกับรชาปราดเข้ามาหาเขา
“เพราะเจ้าคนเดียวมันถึงหนีไปได้”
นายิกีโกรธมาก วิ่งตามโฉมสุรางค์ไปทันที
จักรายืนงง ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป รชามองตามไปอย่างหงุดหงิดที่ยังจับไม่ได้คามือ

พอขึ้นรถมาได้ โฉมสุรางค์รีบขับรถทะยานออกไปจากบริเวณวัดทันที นายิกีวิ่งตามมาแต่ไม่ทัน

นายิกีหันกลับรีบเดินตรงมายังอ่างบัวในบริเวณวัด แม่เฒ่าตั้งสมาธิ ท่องมนต์แล้วเพ่งลงไปในอ่างบัว เห็นเป็นภาพโฉมสุรางค์ขับรถไปอย่างรีบร้อน ในท่าทีอันร้อนรน

ด้านโฉมสุรางค์ขับรถมาตามทางมองแขนตัวเองเห็นรอยเหี่ยวย่น ก็ตกใจ รีบปรับกระจกมองหน้าตัวเอง พบว่าใบหน้าก็เริ่มเหี่ยวเช่นกัน แล้วก็ต้องตกใจซ้ำสอง เมื่อเห็นใบหน้าของนายิกี ปรากฏในกระจกนั้นจ้องมองมาอย่างอาฆาตแค้นเอาเป็นเอาตาย
“คิดหรือว่าจะหนีข้าพ้นรึ นังปีศาจ”
“แกนั่นเอง นางเฒ่า กล้าลองดีกับข้าเรอะ”

อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์โกรธจัด

อ่านต่อหน้า 4

อนิลทิตา ตอนที่ 7 (ต่อ)

นายิกีท่องมนต์ เป่าพรวดไปที่มือทั้งสองข้างของตน แล้วจุ่มลงไปในอ่างบัว ปรากฏว่ามือของนายิกีไปโผล่ออกมาจากกระจกด้านหน้าคนขับ บีบคอโฉมสุรางค์อย่างแรง

โฉมสุรางค์เร่งความเร็วหนี แต่เริ่มหายใจไม่ออก พยายามเอามือขวาแกะมือนายิกีออก ใช้มือซ้ายขับรถ รถส่ายไปส่ายมาอย่างน่ากลัวว่าจะตกถนน
โฉมสุรางค์แกะมือไม่ออก จึงเอามือขวาขึ้นมากำ เสกคาถา เป่าลงที่มือตนเอง มือโฉมสุรางค์กลายเป็นสีแดงเหมือนถ่านติดไฟ จับไปที่มือของนายิกีที่บีบคออยู่
นายิกีรู้สึกร้อนเหมือนโดนไฟลวก จึงต้องปล่อยมือออกจากคอโฉมสุรางค์ ชักมือกลับออกมาจากอ่างบัวเห็นเป็นรอยไหม้ที่ข้อมือ
โฉมสุรางค์ท่องคาถา แล้วเป่าพรวดไปที่กระจกตรงหน้า
อ่างบัวที่นายิกียืนอยู่เกิดเป็นน้ำพุ่งกระจายขึ้นใส่หน้าแม่เฒ่าเปียกไปทั้งหน้าตาเนื้อตัว นายิกีเอาแขนเสื้อเช็ดหน้าด้วยความแค้นใจ
“ร้ายนักนะ นังอนิลทิตา”

สามคนอยู่ในศาลาสวดศพ รชาหงุดหงิดใส่จักรา
“เพราะแกคนเดียว เราถึงยังจับไม่ได้ว่าคุณโฉมคืออนิลทิตา”
จักราวุ่นวายใจ ไม่อยากเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น
“แต่ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าผมเป็นคนกระชากสายสิญจน์ที่แม่เฒ่าล้อมศาลาเอาไว้”
นายิกียิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “ก็เพราะเจ้าถูกนังปีศาจนั่นสะกดจิตน่ะสิ แต่เจ้าก็เห็นกับตาแล้วไม่ใช่รึ ว่านังโฉมมันทนอยู่ในวงล้อมสายสิญจน์เสกของข้าไม่ได้”
จักราอึ้งไปเพราะเห็นกับตาตัวเองจริงๆ แต่เขาก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อ
“ตอนนี้คุณโฉมคงรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกพวกเราสงสัย พี่ว่าจักรอย่ากลับไปที่คุ้มเชียงแมนเลย มันเสี่ยงเกินไป”
จักราไม่เห็นด้วย “แต่ถ้าผมอยู่ที่คุ้ม เราจะมีโอกาสสืบหาความจริงได้มากกว่า...เพราะถ้าคุณโฉมเป็นปีศาจอย่างที่แม่เฒ่ากับพี่รชาเชื่อจริงๆ เราก็น่าจะเจอหลักฐานอะไรที่นั่นบ้าง”

โฉมสุรางค์กลับถึงคุ้ม และกำลังเดินโซซัดโซเซมาที่กระท่อมบันดาสา ร้องเรียกอย่างอ่อนแรง
“พี่บันดาสา”
โฉมสุรางค์เดินโผเผเข้ามายังหน้าประตูกระท่อม
“พี่บันดาสา ช่วยข้าด้วย”
บันดาสาเปิดประตูออกมา แสงสว่างจากตะเกียงในมือ ส่องให้เห็นภาพเบื้องหน้า บันดาสาตกใจสุดขีดที่เห็นสภาพโฉมสุรางค์ดูอ่อนแรงมาก ใบหน้าซีด เริ่มมีร่องรอยเหี่ยวย่นให้เห็นรางๆ
“แม่หญิง”
บันดาสารีบประคองโฉมสุรางค์เข้าไปในกระท่อมทันที

พอเข้ามาในกระท่อม โฉมสุรางค์บอกอย่างคั่งแค้นออกมา
“นางเฒ่านายิกีมันเล่นงานข้า เจ็บใจนักที่ข้าหลงกลมัน สินธุต้องสงสัยข้าแน่ๆ”
บันดาสาหยิบห่อผงสมุนไพรขึ้นมาแล้วเทลงในขันน้ำปลุกเสก
“แม่หญิงอย่าเพิ่งคิดถึงคนอื่นเลย เวลานี้แม่หญิงสูญเสียพลังไปมาก ถ้าแม่หญิงไม่รีบทำสมาธิ ร่างกายของแม่หญิงก็จะแก่ก่อนเวลา”
บันดาสายกขันน้ำสมุนไพรปลุกเสกขึ้นจรดศีรษะ ปากขมุมขมิบท่องคาถา เสร็จแล้วส่งให้โฉมสุรางค์
“ดื่มเถอะแม่หญิง น้ำสมุนไพรนี้จะช่วยชะลออาการบาดเจ็บและฟื้นฟูพลังให้กับแม่หญิง”
โฉมสุรางค์รับขันน้ำมา ยกขึ้นดื่มจนหมดแล้ววางขันน้ำลง นั่งขัดสมาธิ ทำจิตให้สงบ

เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ใบหน้าโฉมสุรางค์เกิดมีแสงเรืองๆ สีขาววาบขึ้นมา รอยเหี่ยวย่นค่อยๆ เลือนหายไปจนใบหน้ากลับมาสวยหมดจดเหมือนเดิม โฉมสุรางค์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยกมือขึ้นมาดู ไม่มีรอยเหี่ยวย่นหลงเหลืออยู่แล้ว ก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
บันดาสาที่นั่งดูอยู่ใกล้ๆ ก็ยิ้มอย่างพอใจ
“การทำสมาธิช่วยได้แค่ชะลอความแก่ ทางที่ดีแม่หญิงอย่าใช้พลังโดยไม่จำเป็นอีก”
“แล้วพี่บันดาสาจะให้ข้าทำยังไง คนที่คิดจะกำจัดข้าก็มีอาคมไม่น้อยไปกว่าข้าเลย และตอนนี้คนก็ยิ่งสงสัยข้ามากขึ้น”
โฉมสุรางค์ทุกข์ใจเหลือแสน อีกทั้งกระวนกระวายใจไปหมด หาทางออกไม่ได้
“ข้าจะต้องรีบทำให้สินธุจำอดีตให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่ข้าจะทำอย่างไรดี...พี่บันดาสา พี่ต้องช่วยข้านะ”
บันดาสามองโฉมสุรางค์อย่างเข้าใจ และเห็นใจ
“ถ้าไม่มีทางอื่น ก็ต้องทำให้สินธุระลึกชาติได้”
โฉมสุรางค์ตื่นเต้น “ระลึกชาติ! แล้วทำไมพี่ถึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก”
“เพราะมันอันตรายมาก ถ้าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา แม่หญิงจะมีอันตรายถึงชีวิต”
โฉมสุรางค์ยิ้มอย่างมุ่งมั่น ตัดสินใจแล้ว
“ขอเพียงแต่สินธุจำข้าได้ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็พร้อมที่จะเสี่ยง...พี่บันดาสาบอกมาเถอะว่าข้าจะต้องทำอย่างไร”

ขณะเดียวกัน เจ้าดาราศอยู่ในห้องนอนบนเรือนใหญ่ กำลังมองภาพไอ้พันในโทรศัพท์มือถืออย่างพินิจ ก่อนจะละสายตาไปทางอื่นใช้ความคิดหนัก จนสายตาดาเรศก็ไปสะดุดที่กรอบรูปซึ่งเป็นภาพของตนที่เคยถ่ายกับเจ้าพงษ์สุริยัน
เจ้าดาเรศอึ้ง เดินไปหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู เปรียบเทียบกันกับรูปไอ้พัน แล้วยิ้มดีใจที่นึกออก
“ตาของลุงพันคล้ายเจ้าพ่อนี่เอง มิน่าล่ะ เราถึงได้คุ้นนัก...เอ๊ะ หรือว่าลุงพันจะเป็นญาติกับเจ้าพ่อ”
เจ้าดาเรศใคร่ครวญครุ่นคิด

จักราเดินมาถึงหน้าคุ้มเชียงแมนตอนเช้า ด้วยท่าทีอันลังเล เขาหยุดมองไปที่เรือนหลังใหญ่ด้วยอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป

จักราเดินเข้ามาในเรือนหลังใหญ่ สวนกับโฉมสุรางค์ที่กำลังจะเดินออกไปด้านนอก ทั้งสองคนชะงัก หน้าเจื่อนกันไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย จักรามองเธออย่างพิจารณา แล้วรีบถามกลบเกลื่อน
“เห็นเมื่อคืนคุณโฉมบอกว่าไม่สบาย ผมก็เลยมาเยี่ยม”
โฉมสุรางค์มองจักราอย่างหวาดระแวงว่าเขาจะรู้เรื่องของตนมากแค่ไหน แต่ก็ยิ้มให้อย่างใจดีสู้เสือ
“ดิฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง...คุณมาก็ดีแล้ว ดิฉันมีธุระจะคุยกับคุณอยู่พอดี”

สองคนอยู่ในห้องรับแขก คุ้มเชียงแมน
โฉมสุรางค์ส่งซองใส่การ์ดบัตรเชิญให้ จักรารับมาเปิดดู
“พรุ่งนี้จะมีการจัดอบรมกลุ่มผู้ประกอบการไร่ชาที่เชียงใหม่ คุณจักรไปแทนดิฉันหน่อยนะคะ”
“ได้ครับ แล้วผมต้องไปอบรมกี่วันครับ”
“สามวันค่ะ แต่ว่าต้องไปรายงานตัวบ่ายวันนี้”
จักราตกใจนิดๆ “บ่ายวันนี้!”
“ใช่ค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่บอกคุณกะทันหัน ตอนแรกดิฉันตั้งใจว่าจะไปเอง แต่พอดีต้องไปติดต่อตัวแทนไร่ชาที่กรุงเทพฯ ด่วน”
“ไม่เป็นไรครับ”
“คุณจักรไปเตรียมตัวเถอะค่ะ เอารถที่คุ้มไปใช้ได้เลยนะคะ ฉันบอกชดไว้แล้ว”
“ขอบคุณมากครับ...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
โฉมสุรางค์มองตามจักราไปจนลับสายตา รำพึงออกมาว่า
“ข้าจะไม่ยอมปล่อยท่านกับดาเรศไว้ที่คุ้มสองต่อสองระหว่างที่ข้าไม่อยู่หรอก สินธุ”

จักรานั่งอยู่บนเตียงในห้องพักที่คุ้ม กดโทรศัพท์หารชา
“พี่รชาครับ...เมื่อกี้นี้ผมเจอคุณโฉม แต่ดูท่าทางเธอไม่มีอะไรผิดปกติเลย”
รชารับสายอยู่ในบ้านพักที่รีสอร์ทนึกหวั่นใจ “ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดเมื่อคืนถูกแม่เฒ่าเล่นงานเอาปางตาย ก็ยังรอดไปได้...แกอยู่ที่นั่น ต้องระวังตัวให้มากนะไอ้จักร”
“ไม่ต้องห่วงครับพี่รชา ช่วงนี้คุณโฉมกำลังจะลงไปกรุงเทพฯ ทางนี้ก็คงไม่มีอะไร”
แววตารชาเป็นประกาย ยิ้มอย่างดีใจ “ถ้าคุณโฉมไม่อยู่ เราก็มีโอกาสเข้าไปหาหลักฐานในคุ้มน่ะสิ”
“แต่ผมก็จะไม่อยู่เหมือนกันครับ คุณโฉมให้ผมไปเข้าอบรมแทนที่เชียงใหม่ 3 วัน”
“เค้าคงกลัวว่าแกจะไปพบความลับอะไรเข้าน่ะสิ ถึงได้ส่งแกไปที่อื่นซะ แต่ไม่เป็นไร พี่กับแม่เฒ่าจะหาทางเข้าไปในคุ้มเองแล้วถ้ามีอะไร ก็ค่อยโทรติดต่อกันอีกที”
รชากดวางสายด้วยสายตามุ่งมั่น

โฉมสุรางค์เดินออกมาจากห้องรับแขก เห็นกระถินถืออุปกรณ์ กำลังเตรียมจะขึ้นไปทำความสะอาดบนเรือนใหญ่พอดี
“กระถิน ไปตามเจ้าดาเรศมาหาฉันหน่อยซิ”
“ค่ะ”

โฉมสุรางค์เอ่ยขึ้นทันทีที่เจ้าดาเรศเดินเข้ามา
“วันนี้แม่จะลงไปทำธุระที่กรุงเทพฯ...”
เจ้าดาเรศดีใจ รีบร้องขอไปด้วย
“ให้ดาไปด้วยนะคะ ดาอยากไปกับคุณแม่ อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไร”
โฉมสุรางค์ปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ได้ เธอต้องดูแลที่นี่แทนแม่” โฉมสุรางค์จ้องหน้าจ้องตาสั่งอย่างเด็ดขาด “สามวันที่แม่ไม่อยู่ ห้ามออกไปที่ไหนเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
เจ้าดาเรศหน้าม่อย จำยอมรับคำ “ค่ะคุณแม่”

เจ้าดาเรศกลับเข้าห้อง บ่นออกมาให้กระถินฟังด้วยความน้อยใจ
“ไม่เข้าใจเลยกระถิน ทำไมคุณแม่ถึงไม่ยอมให้ฉันไปกรุงเทพฯ ด้วย...ฉันอยากไปไหนมาไหนกับคุณแม่ เหมือนกับแม่ลูกคู่อื่นๆเค้าบ้าง”
กระถินกำลังทำความสะอาดห้องอยู่ มองมายังเจ้าดาเรศอย่างเห็นใจ พูดปลอบขวัญ
“คงเป็นธุระสำคัญมั้งคะ ปกติคุณโฉมจะไม่ยุ่งกับเรื่องธุรกิจเลย มีอะไรก็ให้ผู้จัดการคนเก่าจัดการให้ตลอด”
เจ้าดาเรศคิดตาม พยายามปลอบใจตัวเอง
“นั่นสินะ สงสัยคราวนี้คงจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ”

ฝ่ายกระถินถือไม้กวาด เปิดประตูเข้าไปในห้อง กำลังจะลงมือทำความสะอาด เห็นโทรศัพท์โฉมสุรางค์วางอยู่บนหัวเตียง
“ว้าย คุณโฉมลืมโทรศัพท์ไว้แน่ๆเลย..ทำไงดีเนี่ย”

กระถินเข้ามาในห้องนอนเจ้าดาเรศ ส่งโทรศัพท์ของโฉมสุรางค์ให้
เจ้าดาเรศรับมาอย่างตกใจ “ตายจริง คุณแม่ไปเรื่องงานซะด้วยสิ ถ้าไม่มีโทรศัพท์ ต้องแย่แน่ๆเลย”
“งั้นเราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ”
เจ้าดาเรศมองโทรศัพท์อย่างตัดสินใจ

เจ้าดาเรศถือโทรศัพท์มือถือของโฉมสุรางค์ เดินแกมวิ่งไปที่รถอย่างรีบร้อน สั่งนายชดซึ่งกำลังทำความสะอาดรถคันอื่นๆ อยู่
“ลุงชด ไปเปิดประตูให้ดาด้วยค่ะ”
“ครับๆ”
นายชดเดินไปเปิดประตู เจ้าดาเรศขึ้นรถ แล้วสตาร์ทเครื่องขับออกไป

เจ้าดาเรศขับรถมาตามถนนในคุ้มอย่างรีบร้อนด้วยกลัวตามโฉมสุรางค์ไปไม่ทัน อยู่ๆ รถก็ดับ
“อ้าว ดับไปซะงั้น...คนยิ่งรีบๆ อยู่”
เจ้าดาเรศพยายามสตาร์ทรถอยู่หลายที แต่ก็ไม่ติด พอดูที่หน้าปัดก็รู้ว่าน้ำมันหมด
“ห๊ะ น้ำมันหมด”

จักราขับรถออกมาพอดี มองไปเห็นรถจอดขวางอยู่ และเจ้าเจ้าดาเรศกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเปิดประตูรถออกมา จักราจอดรถ ลงไปหาทันที
“คุณดา มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เจ้าดาเรศหงุดหงิดตัวเอง “ดาจะรีบเอาโทรศัพท์ไปให้คุณแม่ที่สนามบิน แต่พอดีรถน้ำมันหมดน่ะค่ะ”
จักราอาสาอย่างเต็มใจ
“งั้นไปรถผมมั้ยครับ ผมกำลังจะไปเชียงใหม่ ยังไงก็ต้องผ่านสนามบินอยู่แล้ว”
หญิงสาวมีท่าทีเกรงใจแต่ก็รีบเกินกว่าจะปฏิเสธ
“ขอบคุณค่ะ ดาคงต้องรบกวนแล้วนะคะ”
“ไม่รบกวนเลยครับ เชิญคุณดาเลยครับ”
เจ้าดาเรศหันไปบอกนายชดที่เดินแกมวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์พอดี
“ลุงชดช่วยจัดการรถคันนี้ให้ด้วยนะคะ”
จักราเปิดประตูให้ดาเรศก้าวเข้าไปนั่งข้างคนขับ ก่อนจะขับรถเลี่ยงรถดาเรศออกไป

รถคันนั้นแล่นมาตามถนนด้วยความเร็วและแรง โฉมสุรางค์ขับรถมือข้างหนึ่งจับพวงมาลัยรถ อีกข้างจับกุมเหรียญท้าวเวสสุวัณที่สวมไว้ที่คอแน่น หวนนึกไปถึงเรื่องที่บันดาสาอธิบายเมื่อคืนนี้

โดยภายในกระท่อมตอนนั้น บันดาสาพูดอย่างช้าๆ
“แม่หญิงต้องไปนั่งกรรมฐานสามวันสามคืนที่ถ้ำน้ำลอด ซึ่งเป็นประตูมิติไปสู่ป่าหิมพานต์ และถอดจิตไปรอเก็บดอกปาริชาติที่จะร่วงลงมาเพื่อเอาไปให้สินธุดม จากนั้นก็นำเหรียญท้าวเวสสุวัณ ซึ่งเป็นวัตถุจากอดีต ไปคล้องคอสินธุ...แล้วสินธุก็จะระลึกชาติได้ตามที่แม่หญิงปรารถนา”
“แค่นี้น่ะรึ”
“ใช่ แต่ระหว่างนั่งกรรมฐาน แม่หญิงต้องระวังไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวนเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ ไม่เช่นนั้น ดวงจิตของแม่หญิงจะกลับเข้าร่างไม่ได้ ซึ่งจะมีอันตรายถึงชีวิต”
คิดขึ้นมาแล้ว โฉมสุรางค์บอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น
“สินธุ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านจดจำเรื่องราวในอดีตของเราได้”
โฉมสุรางค์เร่งความเร็วของรถขึ้นไปอีก

รถของจักราแล่นไปด้วยความเร็ว สองคนแลเห็นรถโฉมสุรางค์แล่นนำหน้าอยู่ไกลๆ
“นั่นไงคะ รถคุณแม่...ตามไปเลยค่ะคุณจักร”
จักราเห็นรถโฉมสุรางค์เลี้ยวจากถนนใหญ่เข้าไปตามทางแยกซึ่งเป็นทางลูกรังก็แปลกใจ
“เอ๊ะ นั่นมันไม่ใช่ทางไปสนามบินนี่ครับ”
เจ้าดาเรศเองก็แปลกใจ “แล้วคุณแม่จะไปไหน”
จักราเลี้ยวรถตามรถโฉมสุรางค์ไป สายตาจับจ้องอย่างไม่ให้คลาดสายตา
ลึกเข้าไปถนนยิ่งวิบาก ทางเป็นหลุมเป็นบ่อ และแคบลงเรื่อยๆ มีพุ่มไม้ระเกะระกะยื่นออกมาตลอดทาง แล้วรถจักราก็ตกหล่มอย่างแรง จนดาเรศแทบจะกระเด้งขึ้นจากเบาะ ทั้งๆ ที่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้แล้ว จักราเอามือกันเจ้าดาเรศเอาไว้โดยอัตโนมัติ
เจ้าดาเรศตกใจ “โอ๊ย”
“เป็นอะไรมั้ยครับคุณดา”
“ไม่เป็นไรค่ะ...เกิดอะไรขึ้นคะ”
จักราบอกอย่างทดท้อปนเซ็ง “รถเราตกหล่มน่ะครับ”
จากนั้นจักราถอดเข็มขัดนิรภัย หันมาบอกเจ้า
“คุณดามาจับพวงมาลัยไว้หน่อยนะครับ ผมจะลงไปเข็นเอง”
จักราเปิดประตูลงจากรถไป

ฝ่ายโฉมสุรางค์ขับรถมาตามทางจนเกือบจะสุดถนน แล้วจึงหักเลี้ยวเข้าไปในทางเล็กๆ ที่มีพงหญ้าและพุ่มไม้บังไว้จนสังเกตแทบไม่เห็น เธอจอดรถไว้หลังพุ่มไม้หนาทึบที่อยู่ลึกเข้าไปอีก ก้าวลงมา ก่อนจะเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าลึก เห็นต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบ แสงสว่างส่องผ่านน้อยลง
ตามทางไปถ้ำน้ำลอดอีกมุมหนึ่ง ชายชาวบ้านมีตะกร้าสะพายบนหลัง ในตะกร้ามีของป่า เห็ด หน่อไม้ สมุนไพรฯลฯ อยู่เต็ม กำลังจะเดินออกจากป่า หันมาเห็นโฉมสุรางค์เดินสวนเข้าไปในป่า ชาวบ้านมองตาโต
“โค๊ะ ฮั้นมันคนกะว่านางไม้นิ” ชาวบ้านแปลกใจ ใช้มือขยี้ตาตัวเองอีกครั้ง อย่างไม่เชื่อสายตา

จักราขับรถมาจนสุดถนนชนกับชายป่าไม่มีทางไปต่อ เขาดับเครื่อง ลงจากรถ เจ้าดาเรศเปิดประตูตามลงมาอย่างงงๆ ปนแปลกใจ
“นี่เราตามมาจนสุดทางแล้วนะคะ แล้วคุณแม่หายไปไหนได้ยังไง”
จักราไม่อยากเชื่อ “ระหว่างทางก็ไม่เห็นมีแยกไปทางอื่น”
“แล้วคุณแม่จะขับรถไปทางไหนได้ล่ะคะ ทางก็ไปต่อไม่ได้แล้ว”
จักราและเจ้าดาเรศมองซ้ายมองขวาอย่างสำรวจ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปต่อ หรือจะกลับกันดี
กระทั่งจักรามองไปทางหนึ่ง เขาสังเกตเห็นรอยยางรถที่ตนขับมาแล้วนึกอะไรออก จึงลองเดินย้อนออกไปตามทาง เจ้าดาเรศเดินตามไปด้วยอย่างสงสัย
“คุณจักราจะไปไหนคะ”
จักรามองไปที่ถนน เห็นรอยยางรถต่างไปจากรอยแรก หายเข้าไปในพงหญ้าและพุ่มไม้ข้างทาง
“มีรอยล้อรถเข้าไปทางนั้น”
จักราเดินตามรอยไปเรื่อยๆ
เจ้าดาเรศเดินตามจักราไปจนเห็นรถที่มีผ้าสีเขียวคลุมไว้จอดอยู่หลังพุ่มไม้ สองมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง จักราตัดสินใจตวัดผ้าคลุมรถออก พบว่าเป็นรถโฉมสุรางค์ เจ้าดาเรศไม่อยากเชื่อสายตา
“รถคุณแม่!”
จักราอึ้งไป ก่อนจะมองไปเห็นชายชาวบ้าน เดินลัดเลาะออกมาจากราวป่า สองคนรีบเข้าไปหา
“สวัสดีครับลุง ลุงเห็นผู้หญิงคนนึงแถวๆ นี้บ้างไหมครับ”
“ตึงสูงตึงงามแม่นก่อ”
เจ้าดาเรศดีใจ “ใช่ค่ะ ใส่ชุดสีขาวๆ”
ชาวบ้านบุ้ยหน้าไปทางที่เห็นโฉมสุรางค์เดินหายเข้าไป
“เตียวเข้าไปในป่าตางปุ้นแหน่”
เจ้าดาเรศทั้งตกใจและแปลกใจ “เข้าไปในป่าเหรอคะ”
จักรารู้สึกตงิดในใจขึ้นมา
“เรารีบตามไปเถอะครับ” เขาหันมาทางชาวบ้าน “ขอบคุณนะครับลุง”

ภายในถ้ำน้ำลอดแห่งนี้ มีลำธารไหลลอดจากภูเขาไปทะลุออกยังอีกด้านหนึ่งอันเป็นที่มาของชื่อ ความชื้นที่สั่งสมมานานทำให้เกิดหินงอกหินย้อยสวยงาม ระยิบระยับราวกับผลึกเพชร บรรยากาศในถ้ำเงียบสงบสงัด ในแสงสลัวๆ มีหมอกควันบางๆ ลอยอ้อยอิ่งวนไปมา ดูลึกลับ
โฉมสุรางค์เดินมาหยุดตรงแท่นหินริมลำธารกลางถ้ำ ก้าวขึ้นไปนั่งขัดสมาธิ ด้วยใจแน่วแน่
“เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดล่วงล้ำเข้ามารบกวนร่างของแม่หญิงระหว่างนั่งกรรมฐาน...แม่หญิงจะต้องเสกป่าอาคมล้อมถ้ำไว้”
โฉมสุรางค์พนมมือท่องคาถา ก่อนจะหยิบกิ่งไม้หลายกิ่งปักรอบตัวเป็นวงกลม แล้วเป่ามนต์
ส่วนนอกถ้ำทำพิธี ต้นไม้ในป่าค่อยๆ เคลื่อนที่ ใบไม้แปรเปลี่ยนเป็นเหมือนต้นเดียวกันทั้งป่า
“ไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่หลงเข้าไปในป่าอาคม จะไม่มีทางพบถ้ำเป็นอันขาด”

โฉมสุรางค์หลับตานิ่งจนจิตว่าง สักครู่นั้นเอง อนิลทิตา ในอาภรณ์สตรีเขมรโบราณก็ลุกขึ้นออกจากร่างนั้น หายวับไป

อ่านต่อตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น