รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 5
นทีประคองมยุรีเข้ามาในบ้าน โดยมีเจติยาถือข้าวของตามหลังมา โดยมีพลอยและหลัว ช่วยกันทำความสะอาดบ้านและจัดข้าวของไว้รอมยุรีอยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว ได้ข่าวว่าเพิ่งเกิดเรื่องไม่ใช้เหรอแม่หลัว ไม่ต้องมาช่วยฉันหรอก ฉันเกรงใจ” มยุรีเอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ตอนนี้ผู้กองเค้าจัดตำรวจช่วยดูแล ไม่น่าจะอะไรแล้วล่ะ” หลัวยิ้มแย้ม
“แม่ขึ้นไปพักข้างบนก่อนเถอะครับ ผมทำความสะอาดแล้วก็จัดห้องไว้ให้แม่แล้ว” นทีพูด
“ขอบใจมากลูก” มยุรียิ้ม ลูบหัวลูกชาย
นทีประคองแม่ขึ้นข้างบนไป โดยมีหลัวตามไปช่วยอีกคน
“พี่เจคะ เราออกไปคุยข้างนอกกันหน่อยได้มั้ยคะ” พลอยว่า
“อยากรู้เรื่องเหรียญใช่มั้ยล่ะ” เจติยายิ้มอย่างรู้ทัน
พลอยหน้าเจื่อน ที่แค่เพียงเธอเอ่ยปาก ก็โดนเจติยาอ่านออกหมดแล้ว
“พี่ต้องทำความดีด้วยการช่วยเหลือวิญญาณ 3 ครั้ง แลกกับพร 1ข้อ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะยกกล่องให้คนอื่น หรือไม่ก็ต้องตายถ้าทำงานไม่สำเร็จภายใน 1 เดือน” เจติยาอธิบาย
“ถึงตายเลยเหรอคะ แต่หนูไม่เห็นต้องทำอะไร ก็ขอพรจากเหรียญได้เลย” พลอยหน้าเสีย เธอรู้สึกกลัวมาก
“พลังของเหรียญน้อยกว่ากล่องรากบุญมาก ดูจากที่พลอยขอพรให้แม่พี่หายป่วยสิ มันไม่เกิดผลอะไรเลย” เจติยาบอก
“แล้วไอ้คนที่คิดจะฆ่าแม่กับหนูล่ะคะ มันเป็นพวกไหนกันแน่” พลอยถาม
“พี่ว่าพวกนั้นคงไม่คิดฆ่าพลอยกับแม่หรอก เค้าแค่ต้องการให้พลอยยกเหรียญให้เค้าเท่านั้นล่ะ ถ้าพี่เดาไม่ผิด เหรียญก็คงมีกฎแบบเดียวกับกล่องรากบุญ คือคนที่ฆ่าเจ้าของ จะไม่มีสิทธิ์ครอบครอง เหรียญจะเปลี่ยนมือได้ ก็ต่อเมื่อพลอยตายหรือไม่ก็ยกให้คนอื่นเท่านั้น” เจติยาว่า
พลอยคิดทบทวน “ไม่น่าล่ะ พวกมันถึงได้บอกให้หนูพูดยกเหรียญให้มัน”
“ส่วนคนที่ต้องการเหรียญเป็นใคร พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เธอก็รู้ ว่าอำนาจของเหรียญมีขนาดไหน คนโลภที่อยากได้มัน มีเต็มไปหมด”
“ยังงี้หนูก็มีศัตรูเต็มไปหมดเลยสิ หนูจะทำยังไงดีล่ะพี่เจ” พลอยเอ่ย เธอรู้สึกกลัวมาก
“ให้เหรียญกับพี่” เจติยาพูด
พลอยชะงักไป
“พี่จะหาทางทำลายมันเอง เหมือนที่พี่เคยทำลายกล่องรากบุญ” เจติยาพูดต่อ
พลอยนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆหยิบเหรียญออกมายื่นให้เจติยา แต่ทันใดนั้น พลอยก็ดึงเหรียญกลับมา ไม่ยอมให้เจติยา
เจติยาหน้าเสีย รู้สึกไม่พอใจ “ขนาดนี้แล้ว พลอยยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่ามันอันตรายขนาดไหน”
พลอยหน้าขรึมลง “หนูเข้าใจค่ะ พี่พูดถูกทุกอย่าง แต่พี่รู้มั้ยคะ ว่าตั้งแต่มีมัน ชีวิตหนูเปลี่ยนไปมาก หนูไม่เคยสุขสบายมีเงินใช้ไม่ขาดมือเหมือนตอนนี้เลย หนูขอเก็บมันไว้อีกซักพักละกัน”
“กิเลสของมนุษย์มันไม่มีวันพอหรอกนะพลอย ตอนนี้พลอยอาจจะต้องการแค่เงินทอง แต่ต่อไปก็จะมีอย่างอื่นเพิ่มมาเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด พลอยจะจมอยู่กับมันจนถอนตัวไม่ได้ ถึงเวลานั้นกิเลสของพลอยนั่นล่ะที่จะทำร้ายพลอยและทุกคนรอบตัวพลอย เชื่อพี่เถอะนะ ภูมิใจในสิ่งที่เราหาได้จากน้ำพักน้ำแรง ดีกว่าพึ่งพลังจากเหรียญนี่” เจติยาบอก
พลอยส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าจะให้หนูหาเอง กี่ชาติจะได้เท่านี้ หนูจะให้พี่ทำลายมันแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” พลอยเอ่ยแล้วรีบเอาเหรียญหนีไปทันที
เจติยาได้แต่มองตามด้วยความอ่อนใจที่พลอยหลงในอำนาจของเหรียญจนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้ว
ลาภิณกำลังคุยกับวิศวกรที่ควบคุมงานอยู่ที่ก่อสร้างตึกใหม่ของนิราลัย โดยวิศวกรกางแบบอธิบายให้ลาภิณเข้าใจ พอคุยเสร็จ ลาภิณจะเดินเลี่ยงไป ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพิมพ์อร และชาคร เดินมาทางตน
พิมพ์อรยิ้มทักทาย “สวัสดีค่ะน้องต้น มาดูความคืบหน้าเหรอคะ”
ลาภิณหน้าเจื่อน หลังจากเกิดเรื่องเธอก็อึดอัดที่ต้องเจอพิมพ์อร “เอ่อ ครับ”
“แล้วพอใจมั้ยคะ” พิมพ์อรถาม
ลาภิณรู้สึกอึดอัด เขาไม่สู้ตาพิมพ์อร พยายามทิ้งระยะห่าง
“ครับ งานคืบหน้าเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก”
“น้องต้นพอใจพี่อรก็หายห่วง” พิมพ์อรยิ้มแย้ม “ถ้าไม่มีอะไรเราไป...”
“ผมต้องรีบไปทำงาน ขอตัวก่อนนะครับพี่อร” ลาภิณรีบตัดบทและเดินเลี่ยงไป
พิมพ์อรหน้าเสีย ก่อนจะมองตามลาภิณไปด้วยความเสียใจ ในขณะเดียวกัน ชาครจับตามองไปที่พิมพ์อรด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ตกเย็น ชาครขับรถพาพิมพ์อรมาส่งถึงหน้าโถงบ้าน พิมพ์อรที่นั่งอยู่ที่เบาะหลัง มีท่าทางเหม่อลอย ขนาดรถจอดแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ชาครมองผ่านกระจกส่องหลัง เห็นพิมพ์อรเหม่อ
“คุณอรครับ ถึงแล้วครับ” ชาครเอ่ย
พิมพ์อรเพิ่งรู้สึกตัว จะลงจากรถ
ชาครทนไม่ไหวจึงตัดสินใจพูด “ผมไม่อยากเห็นคุณอรเป็นแบบนี้เลยนะครับ”
“พูดอะไรของเธอ” พิมพ์อรชะงัก
“ผมรู้ ว่าไม่ควรก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ แต่ผู้ชายคนนั้นเค้าแต่งงานแล้วนะครับ”
“เมื่อรู้ว่าไม่ควรก้าวก่ายก็ดีแล้ว ทีหลัง ก็รับผิดชอบ แต่งานที่ฉันสั่งให้ดีซะก่อน เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง อย่ายุ่ง” พิมพ์อรว่า เธอรู้สึกว่าคำพูดของชาครแทงใจดำ
พิมพ์อรลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านไป ชาครได้แต่มองตาม แล้วขบกรามแน่น ทั้งเป็นห่วง ทั้งแอบหึงหวง แต่ต้องเก็บกดความรู้สึกทั้งหมดของตนเอาไว้
พิมพ์อรกำลังเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามาที่ห้องรับแขกก็ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของวนันต์ดังนำ
ออกมาก่อน
“ยังอุตส่าห์จำได้อีกเหรอเนี่ย ฉันแกล้งลืมไปตั้งนานแล้วนะ”
พิมพ์อรได้ยินเสียงพ่อหัวเราะ พูดคุยอย่างมีความสุขก็สนใจ เลยเข้ามาดูพ่อ เห็นพ่อกำลังคุย
กับทวีอยู่
“คุณลุงทวีน่ะเอง มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” พิมพ์อรทักทาย ยิ้มแย้ม
“ซักพักแล้วล่ะครับ วันนี้เป็นวันหยุดของผม ผมเลยถือโอกาสมาเยี่ยมคุณวนันต์น่ะครับ” ทวีตอบ
“ถ้าอย่างงั้นก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิคะ คุณพ่อจะได้มีเพื่อนคุย” พิมพ์อรว่า เธอรู้สึกอยากให้ผู้เป็นพ่อมีเพื่อน
“ขอบคุณมากครับ แต่ผมมีธุระต้องไปทำต่อ เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ” ทวีเอ่ย
วนันต์รู้สึกเสียดาย “อยู่คุยต่ออีกเดี๋ยวไม่ได้เหรอทวี ฉันยังซักเรื่องอยุทธ์ไม่เต็มอิ่มเลย”
พิมพ์อรตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโมโหทันทีที่รู้ว่าทวีเอาเรื่องอยุทธ์มาบอกพ่อ
ทวีกำลังจะออกจากบ้าน พิมพ์อรรีบตามเข้าไปหาทวีทันที
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณทวี” พิมพ์อรรู้สึกโมโห
ทวีหันกลับไปคุยกับพิมพ์อร “มีอะไรเหรอครับ”
“ขอโทษนะคะ ฉันคิดว่าคุณเข้ามายุ่มย่ามในครอบครัวของฉันมากเกินไปแล้ว คุณพ่อกำลังไม่สบาย ฉันไม่อยากให้คุณเอาเรื่องของอยุทธ์มาทำให้ท่านร้อนใจอีก” พิมพ์อรพูดอย่างโมโห
ทวียิ้มบางๆ “แต่เท่าที่ผมคุยกับคุณวนันต์ ดูคุณวนันต์มีความสุขมากเลยนะครับที่ได้ฟังเรื่องคุณอยุทธ์ ไม่เห็นจะร้อนใจเหมือนอย่างที่คุณบอกเลยซักนิดเดียว”
ทวีจ้องหน้าพิมพ์อร เหมือนจับผิด “จะว่าไปผมว่าคนที่ดูร้อนใจน่าจะเป็นคุณพิมพ์อรมากกว่านะครับ”
พิมพ์อรโมโหมาก “คุณไม่ได้ดูแลคุณพ่อตลอดเวลา คุณไม่รู้อะไรหรอก”
“ต่อไป อย่าเอาเรื่องอยุทธ์มาเล่าให้คุณพ่อฉันฟังอีก” พิมพ์อรตัดบท
“ก็ได้ครับ แต่ผมคงต้องขอฟังเหตุผลคุณก่อน ถ้าไม่สมเหตุสมผล ผมก็คงทำตามที่คุณพิมพ์อรขอไม่ได้” ทวีว่า
พิมพ์อรจ้องหน้าทวีเขม็ง “คุณแน่ใจแล้วนะว่าจะยืนคนละข้างกับฉัน”
ทวียิ้มๆ “ขอตัวก่อนนะครับ” แล้วก็เดินออกจากบ้านไป
พิมพ์อรมองตามด้วยความโกรธแค้นมาก “สั่งสอนมัน กสิณ”
พิมพ์อรโกรธจนตัวเกร็ง แววตาอำมหิตฉายออกมา
อยุทธ์กำลังนั่งรอทวีในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างกระวนกระวาย ขณะนั้นเอง ทวีก็เดินเข้ามาหาอยุทธ์
อยุทธ์กระตือรือร้นสุดๆ “เป็นยังไงบ้างครับลุง คุณพ่อยังโกรธผมอยู่รึเปล่าครับ”
ทวีส่ายหน้า “ไม่หรอก พ่อคุณห่วงคุณอยุทธ์มากเลยนะครับ พอลุงเล่าเรื่องคุณให้ฟัง เค้าดูกระตือรือร้นสนใจฟังมากเลย”
อยุทธ์หน้าเครียดขึ้นมาทันที “เป็นอย่างที่ผมสงสัยจริงๆด้วย พี่อรหลอกผมมาตลอดว่าพ่อโกรธผม ไม่ต้องการเห็นหน้าผม ที่แท้คนที่ไม่อยากให้ผมเจอกับพ่อ ก็คือพี่อรนั่นล่ะ”
ทวีไม่สบายใจ “ลุงถามจริงๆเถอะนะ มีปัญหาเรื่องมรดกกันรึเปล่า”
อยุทธ์หน้าเครียดหนัก “นั่นเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะคิดเลยครับ เพราะพี่อรไม่เคยมีนิสัยแบบนั้น”
“งั้นทำไมคุณอร ถึงต้องกีดกันคุณไม่ให้พบคุณวนันต์ด้วยล่ะครับ” ทวีใช้ความคิด สีหน้าติดใจสงสัย
ในขณะเดียวกัน มีชายคนหนึ่งที่กำลังกินกาแฟกับขนมเค้กอยู่ที่ด้านหลังของทวี มีเงาสีดำพุ่งเข้าใส่ผู้ชายคนนั้น เขาตาแข็ง สีหน้าเหี้ยมโหดเพราะถูกกสิณเข้าสิง ผู้ชายคนนั้นหยิบส้อมที่ใช้ทานขนมเค้กขึ้นมากำ แล้วเดินมาที่ทวี ชายคนนั้นจ้องไปที่ดวงตาของทวี กำส้อมแน่น เดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมแกว่งแขนกะจะเหวี่ยงแขนแทงส้อมเข้าตาดำทวีให้ตาบอดเลย ขณะที่ชายคนนั้นเข้ามาใกล้ อยุทธ์เหลือบตาเห็นในกระจก
อยุทธ์ตกใจสุดๆ รีบตะโกนเตือน “ระวังครับลุง”
อยุทธ์พุ่งตัวเข้ากระแทกชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นแทบไม่ขยับ ก่อนที่อยุทธ์จะโดนเหวี่ยงกระเด็นไป ลูกค้าในร้านแตกตื่นตกใจ กระจายไปดูอยู่ห่างๆ ผู้ชายคนนั้นเดินย่างสามขุมเข้าไปหาทวี ทวีถอยหนีด้วยความกลัวจนไปชนกับโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่ง ชายคนนั้นจับคอทวีไว้ แล้วเงื้อส้อมจะแทงอีก อยุทธ์รีบเข้ามาจับตัวชายคนนั้นไว้จากทางด้านหลัง ไม่ให้ทำร้ายทวีแต่ก็สู้แรงไม่ได้ ชายคนนั้นดึงมืออยุทธ์ออกอย่างง่ายดาย ก่อนจะหันกลับไปบีบเข้าที่คอของอยุทธ์แทน ทันใดนั้น ก็มีแสงสว่างขึ้นที่คอของอยุทธ์ กสิณถูกผลักออกจากร่างของชายคนนั้น ราวกับถูกมือขนาดใหญ่กระชากออกมา กสิณตกใจสุดๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่ร่างของกสิณจะเลือนหายไป พร้อมๆกับที่ร่างของชายคนนั้นทรุดฮวบลง หมดสติไป อยุทธ์ไอโขลกจากการถูกบีบคอ
ทวีรีบตั้งสติแล้วเข้าไปหาอยุทธ์ทันที “คุณอยุทธ์ เป็นยังไงบ้างครับ”
ขณะนั้นเองทวีก็เหลือบเห็นสร้อยคอของอยุทธ์ที่โผล่ออกมานอกคอเสื้อจากการต่อสู้ ทวีตกใจสุดขีด เมื่อเห็นเหรียญรากบุญที่แขวนอยู่กับสร้อยคออยุทธ์
“เหรียญที่สาม” ทวีเอ่ย เขารู้สึกตกใจมาก
พิมพ์อรกำลังคุยกับกสิณอยู่ในห้องกสิณ
“อยุทธ์น่ะเหรอคือเจ้าของเหรียญที่สาม เป็นไปได้ยังไง” พิมพ์อรเอ่ยอย่างคาดไม่ถึง
“ฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่มันก็เป็นความจริง และถ้าจะคิดให้ดีๆ เจ้าของเหรียญทุกคน จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเจ้าของกล่องรากบุญคนสุดท้ายอยู่แล้ว การที่อยุทธ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเจติยา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่เรานึกไม่ถึงเท่านั้นเอง” กสิณว่า
“แล้วฉันจะแย่งเหรียญจากอยุทธ์มาได้ยังไง จะให้ฉันทำร้ายคุณพ่อ เพื่อให้อยุทธ์ยกเหรียญให้ฉันน่ะเหรอ ฉันไม่ทำหรอกนะ” พิมพ์อรเครียดหนัก
“แล้วเธอจะต้องทำอย่างนั้นทำไมล่ะพิมพ์อร ในเมื่ออยุทธ์ก็เป็นลูกเหมือนกัน ถ้าเธอบอกเค้าว่าต้องการเหรียญ เพื่อสร้างกล้องรากบุญขึ้นมาใหม่ จะได้ใช้ช่วยพ่อ เค้าต้องยอมยกให้เธออยู่แล้ว” กสิณยิ้มบางๆ
“เธอจะบ้าเหรอกสิณ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ต้องการให้เค้ามายุ่งเกี่ยวกับคุณพ่ออีก คุณพ่อมีฉันเป็นลูกคนเดียวก็พอแล้ว” พิมพ์อรตวาดแว้ด
“แต่ถ้าเธออยากจะช่วยพ่อ เธอก็ต้องพึ่งอยุทธ์ ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” กสิณพูด
พิมพ์อรขบกรามแน่น สีหน้าเครียดอย่างใช้ความคิด ระหว่างทิฐิกับชีวิตพ่อ ถึงเวลาที่ตนต้อง
เลือกแล้ว
ตกกลางคืน ลาภิณกำลังบรรจงสวมสร้อยคอเพชรราคาแพงให้เจติยา
“ชอบมั้ยเจ” ลาภิณถามอย่างยิ้มแย้ม
“คุณต้นซื้อให้ เจต้องชอบอยู่แล้วล่ะ” เจติยายิ้มแย้ม แต่แล้วก็รู้สึกเสียดายเงินขึ้นมา
“แต่มันจะแพงเกินไปรึเปล่า”
“สำหรับเจ แค่นี้ยังถูกไปด้วยซ้ำ” ลาภิณพูด หอมแก้มเจติยา
เจติยาเหลือบตามองลาภิณ “แล้วอยู่ๆ คุณต้นซื้อให้เจทำไมคะ”
ลาภิณอึกๆอักๆ เพราะเธอรู้สึกผิดกับเรื่องพิมพ์อร เลยซื้อของขวัญให้เป็นการไถ่โทษ
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากซื้อให้เฉยๆ” ลาภิณว่า
เจติยาแกล้งทำหน้าโกรธ กระเซ้า “แอบไปทำความผิดอะไรมารึเปล่า”
ลาภิณชะงักไป รีบทำหัวเราะกลบเกลื่อน
“ขอบคุณมากนะคะคุณต้น” เจติยากล่าว เธอไม่ได้คิดระแวงอะไรเลย
ลาภิณยิ้มบางๆ รู้สึกว่าได้ไถ่โทษบ้าง เขาดึงเจติยาเข้ามาสวมกอด
ขณะนั้นเอง เสียงมือถือของเจติยาก็ดังขัดขึ้น
“ใครโทรมาดึกๆ เนี่ย ไม่รู้จักเวล่ำเวลา คนเค้าจะสวีทกันซะหน่อย” ลาภิณเอ่ยอย่างเซ็งๆ
เจติยาย่นจมูกใส่ก่อนจะเอื้อมไปหยิบมือถือ ดูเบอร์
“คุณอยุทธ์ค่ะ คงมีเรื่องสำคัญ”
“สวัสดีค่ะคุณอยุทธ์...” เจติยากดรับ
ลาภิณบุ้ยปากเซ็งๆ เหล่มอง และแอบฟังการสนทนา
เช้าวันใหม่ เจติยากำลังดูเหรียญโดยมีอยุทธ์อยู่ใกล้ๆ ในห้องแต่งศพ
“ใช่จริงๆด้วยค่ะ เหรียญแบบเดียวกันเลย แต่เหรียญของคุณเป็นสีน้ำตาลๆ ไม่ใช่สีดำสนิทเหมือนกับเหรียญที่ฉันเคยเห็น”
“เท่าที่ฟังจากลุงทวี คนที่มีเหรียญแบบนี้ก็มีผม เด็กที่ชื่อพลอย แล้วก็พี่อร”
“แล้วฉันก็มั่นใจ ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ที่เหรียญทั้งสามปรากฏออกมาพร้อมกัน”
“เหรียญที่บันดาลความปรารถนาของเจ้าของให้เป็นจริง นี่ถ้าผมไม่ได้เจอเรื่องเรนี่มาก่อน ผมไม่มีทางเชื่อแน่ๆ” อยุทธ์ถอนใจ
“แล้วคุณอยุทธ์ได้เหรียญมาได้ยังไงคะ”
“เมื่อหลายปีก่อน ผมไปทำงานเป็นอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยที่เวียดนามครับ...” อยุทธ์เริ่มต้นเล่า ภาพในอดีตผุดขึ้นมา
อยุทธ์เดินตามหมอมาตามทางเดินในสถานีอนามัย
“โชคดีเหลือเกินครับ ที่มีอาสาสมัครอย่างคุณมาช่วยงาน ที่นี่อยู่ห่างไกลมาก ทำให้ขาดคนมาช่วยดูแลผู้ป่วย”
อยุทธ์ยิ้มแย้ม “ผมต่างหากครับที่โชคดี ที่คุณหมอพูดภาษาไทยได้ ไม่อย่างงั้น ผมก็ไม่รู้จะคุยกับใครเหมือนกัน”
ขณะนั้นเอง อยุทธ์ก็เหลือบไปเห็น ผู้ป่วยโรคติดต่อคนหนึ่ง นอนอยู่คนเดียวในห้อง
หมอมองตามสายตาอยุทธ์ไป “เค้าเป็นโรคติดต่อน่ะครับ ตามตัวมีแผลเต็มไปหมด แถมยังมีกลิ่นเหม็นอีกตะหาก ก็เลยไม่มีใครอยากดูแล” หมอพูดด้วยสีหน้าเห็นใจ
“งั้นผมดูแลเค้าให้เองครับ” อยุทธ์เอ่ยด้วยความสงสาร เขาเดินเข้าไปหาคนไข้โรคติดต่อ สภาพคนไข้เต็มไปด้วยแผลเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปหมด
อยุทธ์ยิ้มให้คนไข้ “เช็ดตัวหน่อยนะครับ” เขาหยิบถุงมือยางขึ้นมาสวม แล้วใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดตัวให้คนไข้โดยไม่รังเกียจแม้แต่น้อย
1 เดือนต่อมา
“ตายแล้วเหรอครับ” อยุทธ์ถามหมออย่างตกใจ
“ครับ เมื่อเช้านี้เอง ไม่ต้องเสียใจนะครับ หนึ่งเดือนมานี่คุณดูแลเค้าดีที่สุดแล้ว อ้อ เค้าฝากของไว้ให้คุณด้วยนะครับ” หมอหยิบเหรียญออกมายื่นให้อยุทธ์ “นี่ครับ”
อยุทธ์รับเหรียญมาดูด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คิดถึงคนไข้โรคติดต่อที่ตนดูแลที่เพิ่งเสียไป
-ภาพค่อยๆซูม-อินไปที่เหรียญในมือของอยุทธ์
กลับมาที่ปัจจุบัน เจติยารับฟังอย่างเข้าใจ ก่อนถามอย่างสงสัย
“คุณยังไม่เคยขอพรจากเหรียญเลยใช่มั้ยคะ”
“ไม่เคยครับ แต่ถึงผมจะรู้ ว่าเหรียญมีอำนาจแบบนี้ ผมก็ไม่ขอพรจากมันหรอกครับ”
“ทำไมคะ” เจติยาสงสัย
“สิ่งที่ผมไม่ได้หามาด้วยมือของผมเอง ผมไม่ภูมิใจหรอกครับ แล้วผมก็ไม่อยากเป็นทาสมันด้วย” อยุทธ์ว่า
เจติยายิ้มชื่นชม รู้สึกว่าอยุทธ์คิดแบบเดียวกันกับตน “ต่อไปคุณก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะคะ คนที่อยากได้เหรียญนี่ทำได้ทุกอย่างเพื่อแย่งมันมา แม้แต่เอาชีวิตคุณ”
อยุทธ์หน้าเครียดขึ้นมา “แล้วคุณเจคิดว่าพี่สาวผม จะทำแบบนั้นรึเปล่าครับ”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ” เจติยาถามอย่างตกใจ
อยุทธ์ถอนใจยาวออกมา สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ตอนบ่ายๆ อยุทธ์ก้มลงกราบเท้าพ่อ วนันต์นั่งอยู่บนรถเข็น น้ำตาคลอเบ้าที่ได้เจอลูกชายอีกครั้ง พร้อมกับยื่นมือลูบหัวลูกด้วยความรักและคิดถึง โดยมีพิมพ์อรยืนนิ่งๆ หน้าตาไม่บ่งบอกอารมณ์อยู่ใกล้ๆ
อยุทธ์น้ำตาคลอ ทั้งรู้สึกผิดและสงสารพ่อสุดๆ “ผมขอโทษครับคุณพ่อ ผมไม่ควรทิ้งคุณพ่อไปเลยจริงๆ”
วนันต์น้ำตาคลอเช่นกัน เขายิ้มบางๆ “ไม่ต้องขอโทษหรอก พ่อเองก็ผิดที่บังคับให้ลูกเป็นอย่างที่พ่อต้องการ โดยไม่เคยถามความต้องการของลูกเลย แค่ลูกยอมกลับมาหาพ่อ พ่อก็ดีใจที่สุดแล้ว”
อยุทธ์จับมือพ่อไว้ “ผมอยากกลับมาหาคุณพ่ออยู่ตลอดเวลาล่ะครับ”
อยุทธ์เหล่ไปทางพิมพ์อร พิมพ์อรหน้านิ่งๆ เฉยเมย ไม่พูดอะไร
วนันต์ยิ้มทั้งน้ำตา หันไปพูดกับพิมพ์อร “ในที่สุด เราก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันซะทีนะลูกอร”
“ค่ะคุณพ่อ” พิมพ์อรฝืนยิ้ม
พิมพ์อร และอยุทธ์ หันมามองหน้ากัน มีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีกมาก
พิมพ์อรกำลังคุยกับอยุทธ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่สนามข้างบ้าน
“เธอไม่มีสิทธิ์มาถาม ว่าทำไมพี่ถึงกีดกันไม่ให้เธอเจอกับคุณพ่อ เพราะเธอเป็นฝ่ายทิ้งคุณพ่อกับพี่ไปเอง “ พิมพ์อรพูด
อยุทธ์โมโห “พี่อรพูดยังกะว่าผมทิ้งคุณพ่อไปเพื่อความสบายของตัวเองงั้นล่ะ พี่ก็รู้ว่าผมไปแต่ตัว แล้วที่ผมต้องไป ก็เพราะผมไม่สามารถฝืนใจเป็นอย่างที่คุณพ่อต้องการได้ แล้วพี่เองก็ทำได้ดีกว่าผม ไม่เห็นมีอะไรที่พี่จะต้องมาโกรธผมเลยนี่ครับ”
พิมพ์อรแทงใจดำ “ไม่มีอะไรที่ต้องโกรธเหรอ แล้วเธอรู้มั้ยว่าพี่ต้องแลกอะไรไปบ้างกับการที่ต้องรักษาบริษัทของคุณพ่อเอาไว้ พี่ต้องยอมแต่งงานกับผู้ชายจิตวิตถารเพื่อพยุงฐานะของบริษัท” พิมพ์อรน้ำตาคลอ
อยุทธ์อึ้งๆไป ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
“รู้ยังงี้แล้ว เธอยังจะคิดว่าพี่กับคุณพ่อสุขสบาย แต่เธอไปลำบากอีกมั้ยล่ะ” พิมพ์อรพูด
อยุทธ์ตกใจมาก เขาคิดไม่ถึงเลย
“ผมเสียใจ” อยุทธ์เอ่ย
พิมพ์อรพยายามระงับอารมณ์และตัดบท “ช่างมันเถอะอยุทธ์ พี่ไม่ได้ให้เธอกลับมาเพื่อจะรื้อฟื้นเรื่องพวกนี้อีก แต่พี่ต้องการพูดกับเธอเรื่องคุณพ่อ”
“คุณพ่อ... ทำไมครับ”
“เธอก็เห็นแล้ว ว่าคุณพ่อป่วยหนัก หมอเองก็บอกให้พวกเราเตรียมทำใจได้แล้ว แต่เราก็ยังมีวิธีที่จะรักษาคุณพ่อได้ อยู่ที่ว่าเธอ จะยอมรึเปล่า” พิมพ์อรจ้องหน้าอยุทธ์
“วิธีอะไรครับ ถ้ารักษาคุณพ่อได้จริง ผมยอมทำทุกอย่าง” อยุทธ์สนใจ
พิมพ์อรมองหน้าอยุทธ์ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมา “ยกเหรียญของเธอให้กับพี่ แล้วพี่จะใช้มันรักษาคุณพ่อเอง”
อยุทธ์หน้าเครียดขึ้นมาทันที ที่พี่สาวใช้พ่อมาต่อรองบังคับตน
ตกเย็น เจติยาและอยุทธ์คุยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“แล้วคุณให้ไปรึเปล่าคะ” เจติยาถามอย่างตกใจ
“ไม่ครับ ผมถามเหตุผลพี่อรไป แต่เค้าตอบไม่ได้ ผมก็เลยไม่ให้” อยุทธ์พูด พลางทานอาหารไปด้วย
เจติยาโล่งอกไปเปราะหนึ่ง สีหน้าใช้ความคิดขึ้นมา
“คุณพิมพ์อรมีเหรียญอยู่แล้ว ทำไมถึงอยากจะได้อีกก็ไม่รู้ พี่สาวคุณก็น่าจะรู้แล้วนี่ว่าเหรียญรักษาคุณวนันต์ไม่ได้ ต่อให้มีเหรียญสองอันก็ไม่น่ามีประโยชน์อะไร”
“เหรียญรักษาคุณพ่อไม่ได้จริงๆเหรอครับคุณเจ” อยุทธ์ไม่สบายใจ
เจติยาหน้าขรึมลง “ค่ะ เหรียญมีพลังไม่มากพอ มีแต่กล่องรากบุญเท่านั้นถึงจะทำได้ แต่ฉันก็ทำลายมันไปแล้ว”
อยุทธ์หน้าเครียด เป็นห่วงพ่อมาก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยพ่อได้ยังไง เพราะการแพทย์ก็ไม่ได้ เหรียญก็ยังช่วยไม่ได้อีก ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเจติยาก็ดังขึ้น
เจติยาดูเบอร์แล้วกดรับ “ว่าไงคะคุณต้น”
อ่านต่อหน้าที่ 2
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 5 (ต่อ)
ลาภิณกำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ผมเสร็จงานแล้วนะ เจเสร็จธุระรึยัง เดี๋ยวผมไปรับแล้วเราไปหาอะไรกินกันนะ”
“ทานแล้วเหรอ” ลาภิณหน้าเสียกับคำตอบของเจติยา
“ครับ ไม่เป็นไรครับ” ลาภิณกดวางสายด้วยหน้าตาบึ้งตึง ผิดจากตอนแรกลิบลับ
“อยุทธ์อีกแล้ว” เขาถอนใจเซ็งๆและบ่นตัดพ้อ “เดี๋ยวก็งอนซะหรอก”
ตกเย็น นทีกำลังอ่านหนังสืออยู่กับพลอยที่โต๊ะมุมตึก เขาอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ แต่พลอยเอาแต่เหม่อ สีหน้ากลัดกลุ้มกังวล ห่วงเรื่องเหรียญและคนที่มาแย่งชิงตลอดเวลา
นทีอ่านเสร็จหันไปพูดกับพลอย “ลองทำข้อสอบปีก่อนดูรึยังพลอย”
ส่วนพลอยเอาแต่เหม่อ เธอไม่ได้ทำแบบฝึกหัด แถมยังไม่ได้ยินที่นทีพูดด้วย
“พลอย” นทีเรียกซ้ำ
“อะไรเหรอ” พลอยเพิ่งรู้สึกตัว
“พลอยเป็นอะไรน่ะ ช่วงนี้แปลกๆ ใจลอยยังไงก็ไม่รู้ มีอะไรรึเปล่า บอกเราได้นะ”
พลอยอึกๆอักๆ ไม่รู้จะเล่ายังไง แถมกลัวนทีมีอันตรายด้วย จึงบอกไปว่า
“ไม่มีอะไรหรอก เราไปห้องน้ำเดี๋ยวนะ เดี๋ยวมา” แล้วรีบเดินหนี นทีได้แต่มองตามด้วยความงุนงง
พลอยเอาแต่มองหน้าตัวเองกระจกส่องหน้าในห้องน้ำ ด้วยสายตาเครียด เป็นกังวลสุดๆ
เธอพยายามรวบรวมสติ “เหรียญเป็นของฉัน ฉันไม่ให้ใครทั้งนั้น อย่างน้อย ก็ต้องไม่ใช่ตอนนี้”
พลอยบีบขอบอ่างล้างหน้าแน่น กลัวก็กลัว เครียดก็เครียด แต่ก็ไม่ยอมเสียเหรียญไปง่ายๆ เธอก้มลงล้างหน้าล้างตาเพื่อให้ตัวเองสดใสขึ้น ทันใดนั้น น้ำก็อกใสๆ กลายเป็นน้ำสีดำ พลอยตกใจผงะถอยห่างออกมา น้ำก็อกสีดำรวมตัวกลายเป็นหน้ากสิณแผ่กว้างออกมาเต็มหน้ากระจก พลอยกรีดร้องด้วยความกลัว กสิณหายวับไป
พลอยกลัวมากจะรีบออกจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น ประตูห้องน้ำก็ปิดเองทันที พลอยผงะถอยด้วยความกลัว มือของกสิณเอื้อมมาลูบเส้นผมของพลอยอย่างแผ่วเบา พลอยตกใจสุดขีด ขนลุกเกรียว รีบหันกลับไป เห็นกสิณยืนอยู่สุดอีกฝั่งห้องน้ำ ชนิดที่ไม่น่าจะเอื้อมมือมาจับผมได้
“แกเป็นใคร” พลอยถามอย่างหวาดกลัว
กสิณยิ้มบางๆ “ผมสวยดีนะ หน้าตาก็น่ารัก อายุก็ยังน้อย น่าเสียดายถ้าจะต้องมาตายตอนนี้”
“ไม่ต้องมาขู่ฉันหรอก ฉันรู้นะว่าแกต้องการเหรียญ แต่ถ้าแกฆ่าฉัน แกจะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของเหรียญเด็ดขาด” พลอยพยายามขู่
กสิณส่ายหน้ายิ้มๆ “ไร้เดียงสาซะจริง ฉันมีวิธีที่จะให้เธอยกเหรียญให้ฉันเยอะแยะ แม้ว่าคราวก่อนจะพลาดไปหน่อยก็เถอะ”
“นี่ฝีมือแกเองเหรอแกทำร้ายแม่ฉัน” พลอยหยิบเหรียญออกมาแล้วกำแน่น พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่กสิณ
“คิดจะขอพรให้เหรียญทำร้ายฉันเหรอ ช่างไม่รู้อะไรซะเลย” กสิณหัวเราะชอบใจ
พลอยตกใจมากที่ไม่เกิดอะไรขึ้นกับกสิณเลย
“ถึงเธอจะเป็นเจ้าของที่ไม่คู่ควรนัก เมื่อเทียบกับพิมพ์อร หรือเจ้าของเหรียญคนเก่า แต่ฉันก็ยังไม่อยากเห็นเธอตายหรอกนะ มอบเหรียญให้ฉันตอนนี้ แล้วเธอจะรอด” กสิณยื่นมือออกมา
“ไม่ เหรียญเป็นของฉัน ฉันไม่ให้ใครทั้งนั้น” พลอยรีบวิ่งไปที่ประตูแล้วเปิดออก ก่อนจะรีบวิ่งหนีไป
จอห์นดักซุ่มจับตามองตามพลอยไป จอห์นมีสภาพทรุดโทรม เพราะหนีตำรวจมานาน จอห์นมองตามพลอยไปด้วยสายตาถมึงทึงน่าสะพรึงกลัว
เวลาค่ำๆ พลอยเดินเข้ามาในห้องนอน ขณะนั้นเอง เหรียญก็ลอยออกมาช้าๆต่อหน้าพลอย พลอยเห็นเหรียญลอยขึ้นมา เหมือนต้องการส่งสัญญาณถึงตน
พลอยจ้องเหรียญ เครียดมากจนกรีดร้องออกมา พร้อมเข่าอ่อนทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นร้องไห้ระบายความเครียดออกมา ใจนึงก็อยากได้เหรียญไว้เพื่อขอพรต่อไปให้ตนสุขสบาย แต่ก็กลัวตัวเอง และแม่เป็นอันตราย จนหาทางออกไม่ได้ ต้องทนเครียดเก็บกดต่อไป
ในขณะที่เหรียญลอยอยู่กลางอากาศช้าๆ ไปมาเหมือนยั่วเย้า ราวกับสนุกที่ได้เล่นกับกิเลสและความกดดันของมนุษย์ต่อไป
เช้าวันใหม่ เจติยา นิษฐา กับอยุทธ์ กำลังช่วยกันทำอาหารเช้าอยู่ ลาภิณเดินเข้ามาในครัว หน้านิ่งๆ
“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย” ลาภิณปั้นยิ้ม
“ไม่มีหรอกค่ะ คุณต้นไปคุยเป็นเพื่อนผู้กองดีกว่า อีกเดี๋ยวก็ได้ทานแล้วค่ะ” เจติยาตอบ
“คุณอยุทธ์ทำอาหารอร่อยนะคะ ฐาเคยชิมแล้ว รับรองคุณต้นจะติดใจ” นิษฐายิ้มแย้ม
ลาภิณฝืนยิ้มแต่แอบทำหน้าบึ้งๆ มองไปทางอยุทธ์อย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาเดินหงุดหงิดกลับมาที่โถงบ้าน เห็นนวัชกำลังให้มยุรีดูสูตรอาหารสุขภาพจากไอแพดอยู่
มยุรีหันไปยิ้มให้ลาภิณ “คุณต้นคะ วันนี้ว่างทั้งวันรึเปล่าคะ”
ลาภิณยิ้มรับ “ว่างครับ คุณแม่จะชวนผมกับเจไปไหนเหรอครับ”
“พอดีคุณอยุทธ์เค้าบอกว่าแถวนี้มีฟาร์มผักออแกนิคอยู่น่ะค่ะ ไม่ไกลจากบ้านน้าเท่าไหร่ด้วย”
ลาภิณยิ้มค้างไป อยุทธ์อีกแล้ว
“น้าก็เลยอยากจะไปแวะดู คุณต้นไปด้วยกันนะคะ น้าจะวานให้ช่วยเจรจาซื้อขายให้หน่อย” มยุรีพูดต่อ
ลาภิณหน้าเจื่อนไป อยุทธ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตตนมากขึ้นทุกที
“ได้เลยครับ” ลาภิณตอบพร้อมกับฝืนยิ้ม
“คุณอยุทธ์นี่ช่างสรรหาดีนะครับ ที่ไหนมีอะไรรู้ไปหมด ขนาดเพิ่งกลับมาเมืองไทยนะเนี่ย” นวัชยิ้มแย้ม
ลาภิณได้ยินอย่างนี้ ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากได้ยินชื่ออยุทธ์เลย ในขณะนั้นเอง นทีก็เดินหน้าเครียดๆออกมาจากข้างในบ้าน
“อ้าว จะไปไหนนที อาหารจะเสร็จแล้วนะ” ลาภิณถาม
นทีหน้าเครียดๆ “ไปหาพลอยแป๊บนึงครับพี่ต้น พักนี้เค้าเป็นอะไรไม่รู้หงุดหงิดตลอดเลย เมื่อกี๊บอกให้มาที่บ้านก็ไม่มา แต่จะให้ผมออกไปหาให้ได้ ไม่รู้มีอะไร” นทีตอบ แล้วเดินเซ็งๆออกจากบ้านไป
มยุรีมองตามแล้วค้อนหมั่นไส้ลูกชาย
นวัชนึกขึ้นได้ รีบเดินไปเรียกนที “นที เดี๋ยวนที” นทีไม่ได้ยิน เดินลิ่วๆออกไปแล้ว
“มีอะไรรึเปล่าครับผู้กอง” ลาภิณถาม
“ผมจะเตือนเค้าเรื่องนายจอห์นหัวหน้าแก๊งเด็กแว้นน่ะครับ เมื่อเช้าสายเพิ่งรายงานมาว่าเห็นนายนั่นมาโผล่แถวๆนี้” นวัชบอก
“โทรเข้ามือถือเครื่องใหม่เค้าสิ หมั่นไส้ ห่วงผู้หญิงยิ่งกว่าแม่” มยุรีเหยียดปากอย่างหมั่นไส้
ลาภิณและนวัชชำเลืองมองมยุรีแล้วหันมายิ้มๆให้กันอย่างข้าใจอารมณ์มยุรี
นทีคุยกับพลอยอยู่แถวบ้านเจติยา โดยพลอยสะพายเป้ใส่เสื้อผ้ามาด้วย เตรียมพร้อมเดินทางไกล
“จะให้เราหนีไปกับพลอยเนี่ยนะ” นทีตกใจมาก
“ก็ไหนนทีบอกว่าชอบเราไง ถ้าชอบเราจริง ก็ต้องไปกับเราสิ” พลอยพูดอย่างร้อนรน
“มันคนละเรื่องกันแล้วพลอย เราชอบพลอยมากนะ แต่เราต้องเรียนหนังสือ แม่เราก็ไม่สบาย แล้วพลอยจะไปไหน ไปกี่วันก็ไม่รู้ จะให้เราตามพลอยไปได้ยังไง” นทีอึกอัก
“ไม่รักกันจริงนี่นา เรามีเงินนะ มากับเราไม่ลำบากหรอก เราอยากหนีไปไกลๆ ไกลได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่เราไม่อยากไปคนเดียว นทีไปกับเราไม่ได้เหรอ” พลอยโมโห
นทีอึดอัดจนทนไม่ไหว จึงเอ่ยถาม “พลอยเป็นอะไร พลอยไม่เคยไร้เหตุผลขนาดนี้เลยนะ ไอ้เรื่องเงินทองนี่ก็เหมือนกัน ตั้งแต่พลอยถูกล็อตเตอรี่ เราว่าพลอยเปลี่ยนไปมาก รู้ตัวรึเปล่า”
พลอยโมโห ตวาดนที “ไม่รู้ เราไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป เธอไม่รักเราจริง ไม่ห่วงเรา” พลอยผลักอกนที แล้วเดินหนีไป
นทีได้แต่มองตามด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พลอยสะพายเป้เดินหงุดหงิดมาที่ริมถนน เพื่อจะโบกแท็กซี่ ในขณะกำลังรอรถอยู่ จอห์นก็โผล่มาที่ด้านหลังของพลอย แล้วชักปืนออกมาจี้เอวพลอยไว้ พลอยหันกลับไปมองแล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเจอจอห์น
“ไม่อยากตาย อย่าแหกปาก” จอห์นพูดเสียงเหี้ยม
-พลอยกลัวจนหน้าซีดเผือด ตัวสั่น ไม่คิดว่าจะมาเจอจอห์นเข้า
จอห์นผลักพลอยไปติดกำแพง โดยใช้ปืนคอยขู่พลอยอยู่ตลอดเวลา
“แกจะเอาไงกับฉัน” พลอยรู้สึกกลัวมาก
จอห์นแสยะยิ้ม “ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรแกแล้ว ที่ฉันมาหาแกก็เพราะเหรียญตะหาก”
พลอยตกใจ อึกๆอักๆ “เหรียญอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
จอห์นตะคอกสวน “โกหก วันที่ทรายตาย ฉันเห็นกับตาว่าเหรียญมันลอยออกมาเอง ทรายเคยบอกว่าถ้าเค้าตายเหรียญจะหาเจ้าของใหม่ แล้วเจ้าของใหม่ก็คือแก ไม่อย่างงั้นแกจะรวยเอาๆ อย่างงี้เหรอ”
พลอยหน้าซีดเผือด “แกรู้ได้ยังไง”
จอห์นยิ้มเยาะ “ยอมรับแล้วล่ะสิ ก็ต้องโทษตัวแกเอง พอมีเงินเข้าหน่อยก็ใช้ไม่ยั้ง จนรู้มาเข้าหูฉัน”
“เอาเหรียญมา ฉันไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงกับแกแล้ว ฉันต้องการเหรียญเอาไว้ใช้หนีตำรวจ” จอห์นยื่นมือมา
“ฉันให้แกไป แกก็ใช้ไม่ได้หรอก แกเป็นคนฆ่าเจ้าของเก่า เหรียญไม่ยอมรับแกเป็นเจ้าของหรอก”
“ยังจะโกหกกูอีกเหรอ กูบอกให้เอามา” จอห์นเริ่มใช้ปืนขู่
“อย่ายิงนะ ฉันให้แล้ว” พลอยหยิบเหรียญออกมา จะยื่นให้จอห์น
แต่ทันใดนั้นเอง นทีก็ตามเข้ามาล็อกคอจอห์นจากทางด้านหลังทันทีและพยายามแย่งปืนจากจากจอห์น แต่จอห์นก็สู้สุดใจ ไม่ยอมให้แย่งปืนไปได้
พลอยตกใจ แล้วก็ห่วงนทีเลยไม่รู้จะทำยังไง “ระวังนะนที”
“หนีไปพลอย ไปตามคนมาช่วยเร็ว หนีไป” นทีเอ่ย
ขาดคำ จอห์นก็พลิกตัวกลับมาต่อยนที แต่นทีก็ยังจับปืนไว้แน่น ไม่ยอมให้ให้จอห์นแย่งปืนไปได้ ทั้งคู่เลยยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่ พลอยเห็นนทีเสียเปรียบ เลยละล้าละลัง ไม่ไป
ทันใดนั้น ก็มีเสียงปืนดังขึ้น พลอยตกใจมาก เธอกลัวนทีถูกยิง แต่ทว่า วิถีกระสุนมันพุ่งมาทางพลอย
นทีหันมองตามกระสุนไป เขาตกใจมาก แหกปากลั่น “ระวังพลอย”
พลอยรู้ตัวว่าหลบไม่พ้นแน่ ยิ้มให้นที ก่อนที่กระสุนจะพุ่งเข้าใส่กลางลำตัวพลอย จนพลอยกระเด็นล้มหงายไปกับพื้น
“พลอย” นทีตกใจสุดขีด เขารีบผละจากจอห์นเข้าไปดูอาการพลอยทันที
จอห์นเล็งปืนไปที่นที กะฆ่าทิ้งทั้งคู่ แต่ทันใดนั้น นวัชก็มาทันเวลา นวัชยิงปืนเข้าที่หัวไหล่ของจอห์น จนปืนในมือจอห์นหลุดกระเด็นไป นวัชรีบเข้าไปจับกุมจอห์น แล้วใส่กุญแจมือทันที ก่อนจะยึดปืนของจอห์นไว้
“พลอย” นทีเอ่ย น้ำตาท่วม
พลอยจ้องหน้านทีนิ่ง พยายามจะพูด แต่ก็ไม่มีเสียงออกมา ก่อนจะมีสีหน้าตกใจเหลือบตามองเลยไปด้านหลังนที เห็นกสิณยืนจ้องตนเขม็ง ไม่มีใครเห็นกสิณนอกจากเธอ
กสิณยิ้มขำๆ “ฉันบอกเธอแล้วใช่มั้ย ว่าถ้าเธอมอบเหรียญให้ฉัน เธอก็จะรอด เห็นมั้ย ว่าฉันไม่จำเป็นต้องฆ่าเธอเองเลย”
พลอยจ้องไปที่กสิณ ตอนแรกสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็งด้วยความเจ็บแค้น
กสิณยิ้มหวาน “โกรธฉันเหรอ เสียใจนะ เธอทำอะไรไม่ได้แล้ว อีกไม่นานเธอก็จะตาย แล้วเหรียญของเธอ ก็จะเป็นของฉัน”
พลอยรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย หยิบเหรียญออกมาด้วยมือสั่นเทา ก่อนจะค่อยๆยื่นให้นที
กสิณเอะใจ “เธอจะทำอะไร”
นทีเห็นพลอยยื่นเหรียญให้ตน เลยจับมือพลอยไว้พร้อมกับเหรียญ
พลอยรวบรวมแรง “นที ฉันให้พี่สาวเธอ”
กสิณตกใจสุดๆ รู้แล้วว่าพลอยจะทำอะไร “อย่านะ”
พลอยแรงฮึดเฮือกสุดท้าย “ฉันยกให้พี่เจ”
ขาดคำ พลอยก็ปิดตาลง ขาดใจตายไป
นทีร้องลั่นด้วยความเสียใจสุดๆ “พลอย พลอย” นทีร้องไห้ ปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
กสิณขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจสุดๆ ที่ต้องเสียเหรียญไปให้เจติยาจนได้
เวลาผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ งานศพของพลอยถูกจัดขึ้นงานภายในนิราลัย ท่ามกลางความเสียใจของทุกคนที่มาร่วมงาน
หลัวร้องไห้สะอึกสะอื้น “นึกว่ามีเงินแล้วจะสบาย ถ้าต้องมาเสียลูกไปอย่างงี้ ฉันยอมกลับไปลำบากเหมือนเดิมดีกว่า”
มยุรีปลอบใจ “อย่าพูดยังงี้เลยแม่หลัว เดี๋ยววิญญาณพลอยจะมีห่วงนะ”
มยุรีพยายามปลอบใจหลัวเท่าที่พอจะทำได้
นทีนั่งอยู่คนเดียว นทีไม่ร้องไห้ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เสียใจต่อการตายของพลอยสุดๆ
เจติยา นวัช และนิษฐา เดินเข้าไปหานที
นวัชตบบ่านที “เราทำดีที่สุดแล้วนะนที เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเราเลย อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
“ถ้าวิญญาณของพลอยเห็นนทีเป็นแบบนี้ เค้าก็คงไม่สบายใจหรอกนะ” นิษฐา
นทีนึกขึ้นได้ ลุกขึ้นล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเหรียญออกมายื่นให้เจติยา
เจติยามองเหรียญอึ้งๆไป
“ก่อนตายพลอยเค้ายกเหรียญนี่ให้พี่ ผมมัวแต่เสียใจเลยลืมเอาให้พี่” นทีว่า
เจติยารับเหรียญมา นึกไม่ถึงว่าพลอยจะยกให้ตน “เหรียญที่สอง..”
เหรียญสีดำสนิทในมือเจติยา ค่อยๆลอยขึ้นมาช้าๆ
“นี่น่ะเหรอ เหรียญจากกล่องรากบุญ” ลาภิณถาม หน้าเครียดๆ
“ค่ะ นี่มันกำลังเชื้อเชิญให้ฉันใช้งานมันอยู่ แต่ไม่สำเร็จหรอกค่ะ” เจติยาตอบ
ลาภิณมองเหรียญที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ เจติยาจ้องเหรียญเขม็ง สีหน้าเกลียดชัง
เจติยาจ้องเหรียญ “ฉันขอพร ขอให้แกจงถูกทำลายเดี๋ยวนี้”
ลาภิณจ้องเหรียญเขม็งอย่างจับตา
เจติยาสีหน้าสะใจรอการถูกทำลายของเหรียญ แต่ทว่า เหรียญก็ยังลอยหมุนไปมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เจติยาและลาภิณมีสีหน้าผิดหวัง
“มันไม่ทำลายนี่เจ”
เจติยายื่นมือไปรับเหรียญมามองดู “คงเป็นเพราะเหรียญมีอำนาจน้อยกว่ากล่องรากบุญ มีหลายอย่างที่ทำไม่ได้ รวมทั้งการขอพรให้ทำลายตัวเองด้วย”
“แล้วเจจะทำยังไงกับมัน”
เจติยาหน้าขรึมลง “เจไม่ยอมแพ้หรอกค่ะคุณต้น ยังไงเจก็ต้องหาทางทำลายมันให้ได้” เจติยาพูดอย่างมุ่งมั่น
ที่หน้านิราลัยตอนเย็น พิมพ์อรกำลังเดินตามหลังอยุทธ์ที่เข็นรถให้วนันต์ พิมพ์อรมีสีหน้าเคร่งเครียด เดินตามมองอยุทธ์ที่คุยกับวนันต์สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความไม่พอใจ
ขณะนั้นเอง ลาภิณก็เดินผ่านมา
“อ้าว ต้น” วนันต์ยิ้มทักทาย
ลาภิณเข้าไปไหว้วนันต์ พร้อมกับทักทาย ฎคุณลุงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย ทำไมไม่ให้ใครบอกผมล่วงหน้าล่ะครับ”
“จะต้องบอกทำไม รบกวนต้นเปล่าๆ ลุงก็แค่อยากมาแอบดูว่าอยุทธ์เค้าทำงานเป็นยังไงบ้างเท่านั้นเอง” วนันต์ยิ้มแย้ม ส่วนอยุทธ์ยิ้มๆ
ลาภิณเหล่ๆอยุทธ์ แกล้งโยนหินถามทาง “เรื่องงาน มีคนชมคุณอยุทธ์ให้ผมฟังบ่อยๆครับ แต่ผมคิดว่าด้วยความสามารถแล้ว คุณอยุทธ์น่าจะเหมาะกับงานอย่างอื่นมากกว่านะครับ”
อยุทธ์ยิ้มแย้ม “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรมาก แค่ไม่เกี่ยงงานเท่านั้นเอง แล้วงานแต่งศพก็เป็นงานสำคัญนะครับ ขนาดคุณเจเป็นภรรยาคุณต้นแท้ๆ ยังมาทำด้วยตัวเองเลย ผมชื่นชมเธอมากเลยนะครับ”
ลาภิณหน้านิ่งไปเล็กน้อย ที่อยุทธ์พูดชื่นชมถึงเจติยา แต่ก็ฝืนปั้นยิ้มไป
“ขอบคุณครับ” ลาภิณเอ่ย
“งานอะไรที่ลูกชอบก็ทำไปเถอะ จากนี้ไปพ่อไม่ห้ามอะไรลูกอีกแล้ว”
“ขอบคุณครับพ่อ” อยุทธ์ดีใจ
ลาภิณเซ็งๆ นึกว่าวนันต์จะเห็นด้วยแล้วให้อยุทธ์ออกจากงานไปซะที ขณะนั้นเอง ลาภิณก็เหลือบเห็นพิมพ์อรกำลังมองตนอยู่ ด้วยสายตาเหมือนตั้งคำถาม เขารู้สึกกระอักกระอ่วนที่เห็นพิมพ์อร จึงรีบตัดบท
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับคุณลุง ตามสบายเลยนะครับ อยากได้อะไรบอกเลขาผมได้เลย”
“ต้นไปทำงานเถอะ ลุงไม่รบกวนหรอก” วนันต์ว่า
“ถ้าคุณลุงจะกลับ คุณอยุทธ์โทรบอกผมด้วยนะครับ”
“ครับคุณต้น”
พิมพ์อรจับตามองลาภิณอย่างไม่วางตา ส่วนลาภิณสบตาพิมพ์อรเล็กน้อยแล้วรีบเดินเลี่ยงไป รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ พิมพ์อรมองตามลาภิณด้วยความไม่สบายใจเช่นกัน อยากคุยให้รู้เรื่องไปเลย
ที่หน้าลิฟท์ ลาภิณกดลิฟท์แล้วรอ ขณะที่กำลังรอลิฟท์อยู่ พิมพ์อรก็เข้ามาหาลาภิณทันที
“น้องต้นคะ”
“ครับ พี่อร” ลาภิณหน้าเสีย
“พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิคะ” พิมพ์อรหน้าเครียด
ลาภิณกระอักกระอ่วน แต่ก็รู้ว่าคงหลบหน้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
เจติยากำลังจะเดินไปที่ห้องแต่งศพ ขณะนั้นเอง เจติยาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าห้องแต่งศพ
“มารับศพญาติเหรอคะ” เจติยาถาม
“ครับ ผมมารับศพคุณพ่อ”
“เสียใจด้วยนะคะ”
“คุณพ่อผมไม่ควรต้องตายเลย นี่ถ้าผมมีพลังวิเศษ ผมจะไม่ปล่อยให้พ่อผมต้องตายเด็ดขาด” ชายคนนั้นร้องไห้
“ไม่มีใครหรือพลังวิเศษที่ไหนจะฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติได้หรอกนะคะ” เจติยาปลอบโยน
“ถ้าพ่อแม่คุณไม่สบาย แล้วคุณมีพลังวิเศษ คุณก็จะไม่ช่วยท่านเหรอ”
“โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรอกค่ะ การใช้พลังวิเศษ อาจจะต้องแลกกับการทำความผิดมหันต์ก็ได้ พ่อแม่ฉันก็คงไม่ดีใจ ถ้าฉันต้องทำแบบนั้นเพื่อช่วยเหลือพวกท่าน” เจติยานึกถึงเรื่องตัวเอง
“มีโอกาสช่วยเหลือพ่อแม่แต่เธอไม่ทำ เธอมันลูกอกตัญญู” ชายคนนั้นตะคอก
เจติยาตกใจ ที่จู่ๆก็โดนตะคอกแรงกลับมา
ชายคนนั้นจ้องหน้าเจติยาเขม็ง สายตาชายคนนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นแววตาดุดันของกสิณ ก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็นกสิณเต็มรูปแบบ แต่เพียงครู่เดียว ก็เปลี่ยนกลับเป็นคนเหมือนเดิม
เจติยาตกใจสุดขีด รู้ว่าคู่ต่อสู้ของตน ไม่ใช่คนแน่ๆแล้ว
ทันใดนั้น ชายคนนั้นก็เข้าบีบคอเจติยา พร้อมกับยกตัวเจติยาขึ้นจนสองเท้าลอยพ้นพื้น
อ่านต่อหน้าที่ 3
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 5 (ต่อ)
ลาภิณกำลังคุยกับพิมพ์อรด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ห้องทำงาน
ลาภิณพูดด้วยความไม่สบายใจสุดๆ “ทั้งหมดเป็นความผิดผมเองครับ ผมไม่กล้าสู้หน้าพี่อร ก็เลยพยายามหลบหน้ามาตลอด”
พิมพ์อรหน้าเครียด “แต่วันนั้น ยังไม่มีอะไรเกินเลยนะคะน้องต้น พี่ว่าไม่เห็นจะต้องซีเรียสขนาดนี้เลย”
ลาภิณรู้สึกผิดสุดๆ “ถึงจะไม่เกินเลย แต่ผมก็ละอายใจอยู่ดี ละอายใจกับพี่อร แล้วก็ละอายใจกับเจด้วย ที่ผมไม่ซื่อสัตย์กับเค้า”
พิมพ์อรอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นลาภิณรักและซื่อสัตย์กับเจติยามาก เธอก็ยิ่งริษยาเจติยาสุดๆ
พิมพ์อรพยายามข่มอารมณ์ก่อนจะปั้นยิ้มออกมา “น่าอิจฉาคุณเจจังเลยนะคะที่มีสามีดีๆอย่างน้องต้น”
ลาภิณยังรู้สึกไม่ดี “พี่อรครับ...”
พิมพ์อรตัดบท “พี่เองก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องคืนนั้น เป็นสิ่งที่ถูกหรอกนะคะ แต่คนเรามันมีผิดพลาดพลั้งเผลอกันได้ แล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดที่รุนแรงถึงขั้นคอขาดบาดตายซะหน่อย เรายังแก้ไขทุก อย่างได้ แต่สิ่งที่น้องต้นกำลังทำอยู่ คือการลงโทษตัวเองเกินความจำเป็นพี่ไม่เห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์กับใครเลยนะคะ”
ลาภิณคิดตามแล้วก็พบว่าที่พิมพ์อรพูดก็มีเหตุผล
“ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดซะ แล้วเรามาเริ่มต้นใหม่ดีกว่าค่ะ น้องต้น อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบเพียงเสี้ยววินาทีวันนั้นมาทำลายความรู้สึกดีๆที่เรามีต่อกันเลยนะคะ”
ลาภิณพยักหน้ารับ “ก็จริงครับ พี่อรพูดถูก เมื่อมันไม่มีอะไรเกินเลย ผมก็ไม่ควรเก็บมาคิดมาก”
“ถือซะว่าไม่เคยมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นมาก่อนเลยจะดีกว่าค่ะ” พิมพ์อรว่า
ลาภิณเสริมต่อทันที “และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด ผมให้สัญญาครับพี่อร” ลาภิณมองพิมพ์อร ด้วยสีหน้าจริงจัง
พิมพ์อรฝืนยิ้ม “ดีจ้ะ”
ลาภิณถอนใจยาวออกมาแล้วก็ยิ้มออก “ได้พูดกันแบบนี้ ค่อยหายอึดอัดหน่อยนะครับ”
พิมพ์อรยิ้มรับด้วยท่าทางเหมือนเข้าใจ แต่พิมพ์อรกลับกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อเพราะต้องข่มอารมณ์อย่างสุดขีดด้วยความริษยาเจติยา
ชายคนเดิมยังคงบีบคอเจติยาพร้อมกับยกตัวเจติยาลอยจนพ้นพื้น เจติยาพยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงไม่ได้ เธอหายใจไม่ออกแล้วก็ค่อยๆอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้นพูดเป็นเสียงกสิณ “มอบเหรียญมา แล้วฉันจะไว้ชีวิตเธอ”
เจติยาพูดไม่ได้เพราะถูกบีบคอ แต่สายตาของเธอยังแข็งกร้าวเพราะไม่ยอมแพ้
ชายคนนั้นพูดเป็นเสียงกสิณ “เธอคิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าเธอเหรอ งั้นมาเดิมพันกันก็ได้เจติยา ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเธอจะต้องการรักษาชีวิตตัวเธอเอง หรือว่าเหรียญมากกว่ากัน”
เจติยาสายตาแข็งกร้าวอย่างไม่ยอมแพ้ เธอพยายามดิ้นสุดชีวิตแต่ก็ไม่เป็นผล เจติยาค่อยๆอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ก่อนที่ตาจะค่อยๆปิดลง ในที่สุดเธอก็หมดสติไป ทันใดนั้น อยุทธ์ก็พุ่งเข้ามาล็อกคอแล้วดึงตัวชายคนนั้นออกมาได้สำเร็จ เจติยาทรุดตัวร่วงลงนอนกับพื้นและสลบเหมือดไป
ชายคนนั้นเหวี่ยงอยุทธ์ไปกระแทกกับกำแพงจนอยุทธ์จุกจนลุกไม่ขึ้น ชายคนนั้นกำลังจะเข้าไปซ้ำ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกริ่งสัญญาณเตือนภัยไฟไหม้ดังลั่น
ชายคนนั้นหันไปมองตามก็เห็นวนันต์นั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับกำลังกดกริ่งสัญญาณเตือนภัยอยู่ วนันต์กดปุ่มให้รถเข็นวิ่งเข้ามาหาชายคนนั้น
วนันต์จ้องหน้าชายคนนั้นเขม็ง “ฉันรู้ว่าเป็นแกกสิณ ถ้าแกทำอะไรลูกชายฉัน ฉันจะฆ่าตัวตาย แล้วลูกอรก็จะเกลียดชังแก ไม่มีวันให้อภัยแก ถ้าถึงตอนนั้น แกจะไม่เหลืออะไรเลย”
ทันใดนั้น ชายคนนั้นกลายร่างเป็นกสิณแล้วพูด
“ฉลาดมากวนันต์ สมกับที่เราอยู่ด้วยกันมานาน แต่ฉันจะยอมถอยแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งหน้าแน่”
กสิณกลายร่างเป็นเงาดำก่อนจะจางหายไป อยุทธ์ทั้งจุกทั้งเจ็บแต่ก็พยายามรวบรวมแรงเดินเข้าไปหาเจติยา
อยุทธ์เข้าไปดูอาการเจติยา “คุณเจ เป็นยังไงบ้างครับคุณเจ ได้ยินผมรึเปล่า” อยุทธ์พยายามปลุก “คุณเจๆ”
เจติยานอนสลบไสลไม่ได้สติ
ณ สถานที่เวิ้งว้างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา บนพื้นมีหมอกควันลอยต่ำอยู่เต็มไปหมดจนมองไม่เห็นพื้นที่ยืนอยู่ เจติยากำลังเดินมองไปรอบๆ
เจติยายิ้มบางๆ “ฉันเคยมาที่นี่แล้ว ไม่มีอะไรต้องแปลกใจอีกแล้วล่ะค่ะท่านมัจจุราช ท่านดึงวิญญาณฉันมาที่นี่ทำไมคะ”
ทันใดนั้นเองเจติยาก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น
“ฉันไม่ใช่ท่านมัจจุราชหรอก แต่ฉันได้รับคำสั่งจากท่าน ให้มาคอยช่วยเหลือเธอ ยินดีที่ได้พบ เจติยา”
เจติยาแปลกใจ “คุณเป็นใครกันคะ”
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 5 (ต่อ)
ทันใดนั้น ฉายา ชายหนุ่มรูปงาม สวมชุดขาวทั้งชุดเดินช้าๆผ่านหมอกควันเข้ามาหาเจติยา
ฉายายิ้มบางๆ “ชื่อของฉันคือฉายา มีหน้าที่นำทุกดวงวิญญาณมายังยมโลก เพื่อตัดสินบุญบาปตามที่มนุษย์ผู้นั้นได้กระทำ”
เจติยาตกใจ “ยมฑูต”
ลาภิณอุ้มเจติยาเดินลิ่วมาด้วยความร้อนใจสุดๆ เพราะเป็นห่วงภรรยา พนักงานแต่ละคนเห็นลาภิณอุ้มเจติยามาก็ตกใจ
ลาภิณเป็นห่วงเจติยาสุดๆ ก็หันไปสั่งพนักงาน “คุณเจไม่สบาย รีบโทรตามหมอเร็ว”
พนักงานรีบกุลีกุจอทำตามทันที ลาภิณอุ้มเจติยาที่สลบไสลไม่ได้สติไปพักที่ห้องทำงานของตน พิมพ์อร วนันต์ และอยุทธ์มองตามลาภิณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
วนันต์เครียด “ลูกอร ตามพ่อมา พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”
วนันต์กดปุ่มให้รถเข็นวิ่งเลี่ยงไป พิมพ์อรและอยุทธ์หันไปมองหน้ากัน อยุทธ์มีสีหน้าแววตาไม่พอใจพี่สาวเป็นอย่างมาก พิมพ์อรทำสีหน้าแววตาไม่แคร์ เธอสะบัดหน้าพรืดเดินตามพ่อไป ส่วนอยุทธ์มองตามพิมพ์อรไปด้วยสายตาไม่พอใจ
เสียงฉายาอธิบาย ขณะที่กล่องรากบุญลอยอยู่กลางอากาศดูลึกลับน่ากลัว เหรียญค่อยปรากฏขึ้นที่ด้านล่างของกล่อง แล้วเหรียญก็หลุดออกมาก่อนจะแตกเป็นสามอัน เหรียญทั้งสามอันค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ก่อนจะมารวมตัวเป็นกล่องรากบุญอันใหม่
เสียงฉายาอธิบาย “กล่องรากบุญสร้างเหรียญขึ้นมา เพราะต้องการเป็นอิสระจากผู้สร้างและเจ้าของกล่อง ดังนั้นเหรียญทั้งสาม จึงมีหน้าที่รวบรวมกิเลส เพื่อสร้างกล่องรากบุญอันใหม่ ที่ไม่มีใครสามารถบังคับหรือควบคุมมันได้อีก”
เจติยากำลังคุยกับฉายาอยู่ในนรกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจติยาเครียดหนัก “กล่องรากบุญอันใหม่ ที่เป็นอิสระจากผู้สร้างและเจ้าของกล่อง อย่างนี้ก็อันตรายกว่าเดิมอีกน่ะสิคะ แล้วยังต้องทำความดี 3 ครั้งเพื่อแลกพรอีกรึเปล่าคะ หรือว่าขอพรได้เลยแบบเหรียญ”
“ฉันไม่รู้ ท่านมัจจุราชเองก็ไม่รู้ กิเลสของมนุษย์มีพลังมหาศาล ทั้งสร้างและทำลาย ซึ่งแม้แต่เทวดาฟ้าดินก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง” ฉายาบอก
เจติยาเครียดตามก่อนจะพยายามคิดทบทวน “งั้นคนที่พยายามรวบรวมเหรียญเพื่อสร้างกล่องรากบุญอยู่ตอนนี้ ก็คือคุณพิมพ์อรเค้าต้องการกล่องรากบุญ เพื่อช่วยให้พ่อเค้าหายจากอาการป่วยที่เป็นอยู่ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ และอำนาจลี้ลับที่คอยช่วยเหลือพิมพ์อรอยู่ ก็คือกสิณ”
“กสิณ” เจติยาคิดทบทวน “เค้าเป็นปิศาจที่ทำร้ายฉัน เค้าเกิดจากเหรียญ แบบเดียวกับที่ปราณเกิดจากกล่องรากบุญ”
“ถูกต้อง แต่ตอนนี้กสิณมีพลังน้อยกว่าปราณมาก แต่ถ้าสร้างกล่องรากบุญใหม่ได้เมื่อไหร่ เค้าอาจจะร้ายกาจกว่าปราณก็เป็นได้”
เจติยาเครียดหนักเพราะกว่าจะเอาตัวรอดจากปราณได้ยังแทบแย่ ถ้ากสิณร้ายกว่าปราณก็อาจจะไม่มีทางเอาชนะได้เลย
พิมพ์อรกำลังคุยกับวนันต์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีอยุทธ์อยู่ใกล้ๆ
“อรยอมรับค่ะ ว่าอรเป็นคนสั่งกสิณให้ทำทุกอย่างเอง อรต้องการรวบรวมเหรียญเพื่อสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ จะได้ขอพรให้คุณพ่อหายป่วยยังไงคะ”
“ให้พ่อหายป่วย ด้วยการทำร้ายคนอื่นแทนอย่างงั้นน่ะเหรอ” วนันต์ถาม
“ค่ะ” พิมพ์อรมีสายตาแข็งกร้าวน่ากลัว “อย่าว่าแต่แค่ทำร้ายเลยค่ะ ถ้าช่วยคุณพ่อได้ ต่อให้ฆ่าคน อรก็จะทำ”
อยุทธ์ทนไม่ไหว “ทำลายชีวิตหนึ่งเพื่อช่วยอีกชีวิตเนี่ยนะ บ้าไปแล้วเหรอพี่อร”
พิมพ์อรตะคอก “แต่อีกชีวิตที่เธอพูดถึงคือพ่อบังเกิดเกล้าของเธอเองนะอยุทธ์ รึว่าเธอเห็นชีวิตของคุณพ่อสำคัญน้อยกว่าชีวิตของคนอื่น แล้วกล่องรากบุญ ก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยคุณพ่อได้” พิมพ์อรพูดเสียงแข็งเชิงบังคับ “ถ้าเธอไม่ทำ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าคุณพ่อด้วยมือของเธอเอง” พิมพ์อรจ้องอยุทธ์เขม็ง
อยุทธ์อึ้งไป ถ้าพิมพ์อรเถียงมาอย่างนี้ เขาก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
เจติยากำลังคุยกับฉายาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจติยาเครียดหนัก “ถึงจะมีพลังไม่เท่าปราณ แต่คนธรรมดาอย่างฉันจะเอาอะไรไปสู้กับปิศาจได้ล่ะคะ”
“นั่นคือเหตุผล ที่ฉันต้องรอให้เธอครอบครองเหรียญอันใดอันหนึ่งก่อน แล้วค่อยดึงวิญญาณเธอมาที่นี่ยังไงล่ะ” ฉายายื่นมือทั้งสองข้างออกมา “ยื่นมือมาสิ”
เจติยายื่นมือทั้งสองข้างไปจับมือฉายาเอาไว้ ทันใดนั้น ก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นที่มือของเขา แต่เจติยากลับไม่รู้สึกร้อนแม้แต่น้อย มีแต่ความแปลกใจเพราะนึกไม่ถึงเท่านั้น ทันใดนั้นเอง เปลวไฟก็ลุกไหม้ลามไปทั่วตัวของเจติยาจนร่างทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง แต่เพียงครู่หนึ่งต่อมา ไฟที่ลุกท่วมเจติยาอยู่ก็ค่อยๆมอดดับลง ก่อนจะดับสนิทในที่สุด
เจติยาแปลกใจ “นี่มันอะไรกันคะ”
ฉายาปล่อยมือเจติยาออก “ท่านมัจจุราชสั่งให้ฉันมอบพลังนี้แก่เธอ มันจะคุ้มครองเธอให้ปลอดภัยจากอำนาจของเหรียญ และยังสามารถทำร้ายปิศาจอย่างกสิณได้ เพียงแค่มือเธอสัมผัสถูกเท่านั้น”
“เหมือนที่ฉันเคยมีอำนาจเหนือปราณอย่างงั้นเหรอคะ”
“ใช่”
“แล้วฉันจะต้องทำยังไง ถึงจะทำลายเหรียญได้คะ”
“การทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทนอย่างที่เธอทำอยู่นี่แหละ คือสิ่งเดียวที่จะชำระกิเลสออกจากเหรียญได้ ทุกครั้งที่เธอช่วยเหลือวิญญาณแต่ละดวง เธอก็จะมีพลังชำระเหรียญได้หนึ่งครั้ง ถ้าเหรียญทั้งสาม ถูกชำระจนเป็นสีขาวบริสุทธิ์เมื่อไหร่ เหรียญทั้งสามก็จะสลายไปเอง”
“แล้วฉันต้องทำความดีกี่ครั้งล่ะคะ ถึงจะชำระเหรียญได้ขาวทั้งเหรียญ”
“ฉันก็ตอบเธอไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับอานิสงส์ในการทำความดีแต่ละครั้ง ว่ามีมากน้อยขนาดไหน”
เจติยากังวลใจ “แล้วเหรียญที่อยู่กับคุณพิมพ์อรกับคุณอยุทธ์ล่ะคะ ฉันจะชำระได้ยังไง”
ฉายายิ้มบางๆ “ปัญหานี้ เธอคงต้องใช้สติปัญญาคิดหาทางด้วยตัวเธอเอง เพราะฉันคงช่วยเธอได้เท่านี้”
เจติยาคิดตามอยู่ครู่นึงก่อนจะมีสีหน้าขรึมลง “ฉันมีปัญหาจะถามอีกข้อนึงค่ะ” เจติยามีสีหน้าไม่สบายใจสุดๆ “ความฝันแปลกๆของฉัน เกี่ยวกับอดีตของฉัน คุณต้น แล้วก็คุณพิมพ์อร มันเป็นเพราะอำนาจของเหรียญ หรือว่ามันเป็นความจริงในอดีตของเราทั้งสามคนกันแน่คะ” เจติยามีสีหน้าสงสัยและอยากรู้
“ทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน ไม่มีชีวิตใครมีค่ามากกว่าใครทั้งนั้นลูกควรปรึกษาพ่อก่อนว่าพ่อดีใจกับชีวิตที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนคนอื่นรึเปล่า” เจติยาว่า
“ถ้าอรถาม คุณพ่อก็คงไม่ยอมให้อรทำ” พิมพ์อรคุกเข่าลงแล้วจับมือพ่อไว้ “แต่คุณพ่อรู้มั้ยคะ ว่าคุณพ่อคือคนที่อรรักมากที่สุด” พิมพ์อรน้ำตารื้นขึ้นท่วมตา “รักมากกว่าชีวิตของอรเองด้วยซ้ำ อรรู้ ว่าสิ่งที่อรทำมันผิดมหันต์ แล้วก็เห็นแก่ตัวที่สุด แต่ถ้าไม่มีคุณพ่ออรก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมเหมือนกัน” พิมพ์อรน้ำตาไหลซึมออกมา
พิมพ์อรจับมือของพ่อมาแนบที่แก้มด้วยความรักและเคารพถึงที่สุด วนันต์รู้ถึงความรักและความปรารถนาของลูกสาวแล้วก็พูดไม่ออก
อยุทธ์เครียดหนัก “แต่กล่องรากบุญไม่สามารถทำให้ใครเป็นอมตะได้นะพี่อร ลุงทวีบอกว่าคุณสารัชก็เคยขอพรให้หายป่วย เหมือนกัน แต่พอหมดอายุขัย เค้าก็ต้องตายอยู่ดี”
พิมพ์อรพูดสวนเสียงแข็ง “นั่นเป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้พี่รู้แต่ว่าพี่ต้องช่วยคุณพ่อเท่านั้น ถ้าเธอไม่ได้รักคุณพ่ออย่างที่พี่รัก เธอก็อย่าขัดขวางพี่” พิมพ์อรจ้องหน้าน้องชาย “พี่ขอแค่นี้ได้มั้ยอยุทธ์”
อยุทธ์อึ้งไปเพราะรู้ว่าพี่ทำไม่ถูก แต่ตนก็ไม่สามารถทนดูพ่อเป็นอะไรได้เหมือนกัน วนันต์น้ำตาคลอเบ้า ด้วยความเสียใจสุดๆ ที่เพราะความรักที่ลูกมีต่อเขาทำให้ลูกต้องเดินทางผิด โดยที่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย
ฉายาตัดบท “มันคืออดีตชาติของพวกเธอทั้ง3คน เพราะกรรมเก่าที่ทั้งสามคนเคยมีต่อกัน เลยทำให้ต้องกลับมาเจอกันอีกครั้งในชาตินี้”
เจติยาหน้าเสีย “นี่คุณพิมพ์อรเป็นพี่สาวต่างแม่ของฉัน แล้วฉันก็เป็นคนแย่ง..” เจติยาอึกๆอักๆ “เอ่อ คุณต้นมา...”
“มันคืออดีตชาติ ในภพภูมินี้ เธอกับพิมพ์อรไม่ได้มีสถานะอะไรแบบนั้นอีกแล้ว อย่าเอาชาติภพก่อนมาคิดให้เกิดทุกข์อีกเลย”
เจติยาไม่สบายใจสุดๆ “แต่ถ้าฉันแย่งคุณต้นมาจริง ฉัน..” เจติยาพูดไม่ออกเพราะทั้งกลัว กังวล และสับสนไปหมด
ฉายายิ้มๆ “เธอรู้สึกผิด แต่อีกใจก็กลัวจะสูญเสียลาภิณกลับไปให้พิมพ์อรใช่มั้ยล่ะ”
เจติยาจ๋อยลง “ค่ะ”
“มองตาฉันสิ ฉันจะทำให้เธอได้เห็นทุกอย่างเอง”
เจติยามองไปที่ตาของฉายาซึ่งเปลี่ยนจากตาธรรมดาเป็นสีดำสนิท ไม่มีทั้งตาดำ ตาขาว มีแต่สีดำสนิทราวกับความมืดมิดเท่านั้น
ท้องฟ้ายามค่ำคืนหน้าบ้านลาภิณ เจติยากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับจิบนมสดไปด้วย โดยมีลาภิณคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ เจติยาดื่มนมเสร็จก็ส่งแก้วคืนให้ลาภิณทันที
ลาภิณเป็นห่วง “เจแน่ใจนะ ว่าจะไม่ไปหาหมอจริงๆ”
“ค่ะ” เจติยาพูดแก้ตัวโดยไม่สู้ตาเล็กน้อยเพราะไม่อยากเล่าให้ลาภิณไม่สบายใจ “เจแค่พักผ่อนน้อยจนหน้ามืดไปเท่านั้นเอง”
“แต่ไปหาซะหน่อยก็ดีนะ” ลาภิณทำสีหน้าแอบมีความหวัง “อาการคุ้นๆ บางทีต้นน้อยอาจจะกำลังมาเกิดก็ได้” ลาภิณยิ้มอย่างมั่นใจ
เจติยาขำๆ “ไม่ใช่หรอกค่ะ”
“ดูถูกพ่อพันธุ์ดีกรีแชมป์เกินไปแล้ว” ลาภิณเกร็งซิคแพคโชว์
เจติยาหัวเราะออกมาก่อนผลักลาภิณแล้วดันออกไป “หิวแล้ว ไปหาอะไรมาให้กินหน่อยสิคะ”
“นั่นไง ลูกผมหิวเลย”
เจติยายิ้มๆ “ประสาท เร็วๆ เลย เดี๋ยวโมโหหิวนะ”
“รอเดี๋ยวนะครับว่าที่คุณแม่” ลาภิณหอมแก้มเจติยาแล้วเดินออกไป
เจติยายิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้ามองตามลาภิณไปแล้วก็ทำหน้าขรึมลงก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง “คุณพิมพ์อร ฉันไม่มีวันยอมแพ้คุณอีกแล้ว...” เจติยาทำสีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง
เช้าวันใหม่ เจติยาเดินสะพายเป้เข้าห้องแต่งศพ พอเดินเข้ามา เธอก็เห็นโอ้เอ้กำลังแต่งศพอยู่
เจติยายิ้มทักทาย “โห พี่ตาฝาดไปรึเปล่าเนี่ย มาทำงานก่อนพี่อีกนะโอ้เอ้”
โอ้เอ้พูดไปทำงานไป “ก็ต้องมีบ้างล่ะครับพี่เจ เอ่อ พี่เจครับ ผมแต่งศพแบบนี้ใช้ได้รึยังครับ”
เจติยาล้างมือกับน้ำยาฆ่าเชื้อโรค “ไหนดูซิ”
เจติยาเดินเข้าไปดูศพแล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบว่าศพบนเตียงก็คือโอ้เอ้นั่นเอง เจติยาผงะถอยออกมาชนเข้ากับคนๆหนึ่งแล้วเจติยาก็ร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
“ลุงเองหนูเจ” ทวีบอก
เจติยายังตกใจไม่หาย เธอกวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่มีศพโอ้เอ้ ไม่มีวิญญาณโอ้เอ้อยู่ตรงนั้นแล้ว
เจติยารีบบอกทวี “ลุงทวีคะ โอ้เอ้...”
ทวีพูดขัดขึ้น “ลุงโทรไปด่ามันให้แล้ว”
เจติยางง “อะไรนะคะ”
“หนูจะบอกเรื่องเจ้าโอ้เอ้มันอู้งานใช่มั้ยล่ะ ลุงโทรไปเฉ่งมันมาแล้ว มันบอกว่ารถมอเตอร์ไซค์ล้มก็เลยขอลาหยุด หนอย พูดจนปากจะฉีกถึงรูหูแล้ว ว่าให้ใส่หมวกกันน็อค มันก็ไม่ฟัง ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้ามันดี ก็เลยด่ามันแทนซะเลย”
เจติยางงเป็นไก่ตาแตก เพราะถ้าทวีโทรไปด่าโอ้เอ้ แล้ววิญญาณที่ตนเจอเป็นของใคร ทันใดนั้นเองมือโอ้เอ้ก็จับหมับที่ข้อมือของเจติยา
วิญญาณโอ้เอ้หน้าซีดเผือดยืนจ้องเจติยาเขม็งอยู่ข้างๆ
“บอกความจริง”
โอ้เอ้รินน้ำใส่แก้วแล้วเดินเอามาให้เจติยาที่นั่งรออยู่ด้วยท่าทางตุ้งติ้งเหมือนผู้หญิงโดยมีวิญญาณของโอ้เอ้นั่งหน้าหงิกอยู่ใกล้ๆ เนื่องจากโอ้เอ้ถูกวิญญาณพริตตี้สาวที่เพิ่งตายมาแย่งร่างไปทำให้วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้
“ดื่มน้ำก่อนสิคะ เอ่อ ครับ”
เจติยางงกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ขอบใจจ้ะ”
เจติยาจิบน้ำเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงดี เธอดูกิริยาอาการท่าทางการพูดของโอ้เอ้ก็ดูเป็นผู้หญิงจริงๆ
ผีโอ้เอ้ทนไม่ไหว “โอ้ย ไปพูดดีกับมันทำไมพี่เจ มันแย่งร่างผมไปนะ” ผีโอ้เอ้ออกแอ็คชั่นเต็มที่ “เอาหวายลงอาคมเฆี่ยนๆๆหรือไม่ก็เอาข้าวสารเสกไล่มันออกไปซิพี่ ผมจะได้กลับเข้าร่างซะที”
เจติยาปรามแล้วก็พูดเบาๆ “ฉันไม่ใช่หมอผีนะ”
โอ้เอ้แปลกใจ “มีอะไรเหรอครับ”
“เอ่อ เปล่าจ้ะ” เจติยาปั้นยิ้ม “ได้ข่าวว่ามอเตอร์ไซค์โอ้เอ้ล้มเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วง”
“ถ้าหายแล้ว ก็กลับไปทำงานได้แล้วสิ”
โอ้เอ้หน้าเสีย แล้วก็พูดอึกๆอักๆ “ค่ะ เอ้ย ครับ...” โอ้เอ้กังวล “แล้วปกติ หนู เอ๊ย ผมทำงานอะไรเหรอครับ”
เจติยาตีหน้าตาย “จำไม่ได้เหรอ”
โอ้เอ้ตกใจแล้วก็รีบแก้ตัว “เปล่า เปล่าครับ ผมหมายความว่า ผมทำงานเป็นยังไงบ้างน่ะครับ”
เจติยายิ้มๆ เพราะรู้ว่าวิญญาณในร่างโอ้เอ้จะเลียบๆเคียงๆถาม “ทำได้ดีเลยล่ะจ้ะถึงโอ้เอ้จะเป็นผู้ชาย แต่ก็ตกแต่งใบหน้าได้เก่งไม่แพ้ใครเลยนะ”
โอ้เอ้พูดเบาๆ “เมคอัพอาร์ตติส” โอ้เอ้ดีใจมาก “รอดแล้วเรา ทำได้แน่”
ผีโอ้เอ้โมโหจึงตะคอกใส่หน้าโอ้เอ้ “แต่งหน้าศพโว้ย ไม่ใช่ช่างแต่งหน้า คืนร่างฉันมาได้แล้ว ไอ้ผีขี้ขโมย”
ผีโอ้เอ้ผลักร่างโอ้เอ้แต่ก็ทะลุไปเพราะไม่สามารถจับต้องได้แม้แต่น้อยแถมโอ้เอ้ก็ไม่รู้สึกตัวอีกด้วย
ผีโอ้เอ้เจ็บใจสุดๆ จึงหันไปพูดกับเจติยา “พี่เจ ช่วยผมหน่อยสิ ใครเห็นผมตุ้งติ้งยังงี้ต้องคิดว่าผมกลายพันธุ์แน่ๆ”
เจติยาคิดทบทวนอยู่ครู่นึง “โอ้เอ้พอจะจำได้มั้ย ว่ารถมอเตอร์ไซค์ล้มตอนกี่โมง”
โอ้เอ้กับผีโอ้เอ้ตอบพร้อมกัน “หกโมงเช้าค่ะ / ครับ”
โอ้เอ้รีบไอกลบเกลื่อนที่เธอพูดผิด ผีโอ้เอ้เหล่มองด้วยสีหน้าแววตาไม่พอใจมากๆ เจติยานิ่งคิดเพื่อเก็บข้อมูลเต็มที่
นวัชกำลังแปลกใจ
“เจอยากได้ประวัติผู้หญิงที่ตายตอนหกโมงเช้าวันนี้ไปทำไมเหรอ”
นวัชกำลังคุยอยู่กับเจติยา โดยมีนิษฐานั่งเล่นสมาร์ทโฟนอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับทานอาหารเที่ยงไปด้วย
“ไม่น่าถาม ก็ช่วยวิญญาณคนตายอีกน่ะสิ”
“แชทของเธอไปเถอะย่ะ ไม่ต้องมาพูดมาก” เจติยายิ้มให้นวัช “เอาแค่ย่านนี้ก็พอค่ะพี่ผู้กอง” เจติยายื่นกระดาษจดรายละเอียดให้นวัช
นวัชรับกระดาษมาดู “เดี๋ยวพี่ได้เรื่องยังไง แล้วจะโทรบอกแล้วกันนะ”
เจติยายิ้มแย้ม “ขอบคุณค่ะ”
นิษฐาเหล่เพื่อนด้วยสีหน้าบึ้งตึง “อย่ามัวแต่ยุ่งเรื่องคนตาย จนลืมคนเป็นซะล่ะเจ”
เจติยามองนิษฐาแบบงงๆ “อะไรของแก”
นวัชกลัวเรื่องจะบานปลาย “ฐา ไม่เอาน่ะ”
นิษฐาพูดเสียงเข้ม “ไม่ได้ค่ะ เรื่องนี้ ยังไงก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง” นิษฐาเอาสมาร์ทโฟนให้เจติยาดูรูป “อ้ะ ดูซะ แกจะได้ตาสว่าง”
เจติยาดูรูปในมือถือนิษฐาซึ่งเป็นภาพลาภิณ กับพิมพ์อรออกงานคู่กัน
เจติยาหน้าเสีย แต่ก็รีบทำเหมือนไม่มีอะไร “นี่มันรูปตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
“เหรอ..แกรู้มั้ย ว่าตอนนี้ข่าวซุบซิบในแวดวงไฮโซเรื่องคุณต้นกับยัยคุณพิมพ์อรอะไรเนี่ย แพร่สะพัดไปขนาดไหนแล้ว” นิษฐาเป็นห่วงเพื่อน “ฉันว่าถึงเวลาที่แกต้องโผล่หน้าออกจากห้องแต่งศพแล้วไปออกงานออกการคู่กับคุณต้นได้แล้ว ก่อนที่จะถูกยัยนั่นยึดสามีไปไม่รู้ตัว”
เจติยาหน้าเสียที่เพื่อนพูดแทงใจดำทุกคำ เธอรีบปั้นยิ้ม “แกก็พูดไปเรื่อย ใครแชร์อะไรมาให้อ่านอีกล่ะ” เจติยาตัดบท “แล้วนี่ทำไมผู้บริจาครายใหญ่ของมูลนิธิแกไม่มาซะทีล่ะเนี่ย ฉันรอดูหน้าตั้งนานแล้วนะ”
“ไม่เนียน แกไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ถ้าเค้ามา แล้วฉันจะคุยเรื่องคุณต้นได้เหรอ”
ทันใดนั้น ทั้งสองก็ได้ยินเสียงสิทธิพรดังขึ้น “ได้สิครับ”
ทุกคนหันไปมองตามก็เห็นสิทธิพรยืนยิ้มอยู่
เจติยาจำได้ว่าเป็นเพื่อนลาภิณ “คุณสิทธิพร”
นิษฐานึกไม่ถึง “อ้าว รู้จักกันด้วยเหรอคะ”
สิทธิพรนั่งร่วมโต๊ะ “ผมเป็นเพื่อนสนิทกับต้นครับ แล้วผมก็รู้เรื่องเกี่ยวกับพิมพ์อรดี” สิทธพรยิ้มมั่นใจ “ดีมากซะด้วย” สิทธิพรหันไปพูดกับเจติยา “คุณเจรับฟังไว้บ้างก็ดีนะครับ คุณจะประมาทผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เด็ดขาด” สิทธิพรพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เจติยาทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที เพราะไม่อยากจะพูดเรื่องนี้แต่ก็กลับมาเจอสิทธิพรที่พร้อมจะพูดและรู้ลึกมากอีกต่างหาก
อ่านต่อหน้าที่ 4
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 5 (ต่อ)
พิมพ์อรกำลังดูข้อมูลจากไอแพดอยู่ โดยมีชาครคอยอธิบาย
“นายกัมปนาทนี่จัดได้ว่าเป็นมาเฟียในคราบนักธุรกิจ ทำธุรกิจทั้งที่ถูกกฎหมาย ผิดกฎหมาย รวมทั้งก้ำกึ่งเต็มไปหมด แต่ที่ใหญ่ที่สุด ก็คงเป็นโครงการกาสิโนซิตี้นี่ล่ะครับ”
พิมพ์อรมีสีหน้าพอใจ “เธอเตรียมเรื่องการประมูลสร้างกาสิโนได้เลยชาคร หาข้อมูลมาให้พร้อมนะ”
“แต่คู่แข่งในการประมูลโปรเจคต์นี้หินๆทั้งนั้นเลยนะครับ โดยเฉพาะนายสิทธิพร”
พิมพ์อรทำหน้าบึ้งตึง “ถ้าเล่นกันตรงๆ ฉันไม่กลัวหรอก เบื่อแต่พวกลอบกัด” พิมพ์อรถอนหายใจออกมา “นี่สิทธิพรยังชอบเอาเรื่องฉันไป นินทาให้พวกนักธุรกิจคนอื่นๆฟังอยู่อีกรึเปล่า”
ชาครมีสีหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจ “เหมือนเดิมล่ะครับ อะไรที่จิกกัดคุณอรได้ ไอ้หมอนี่ไม่เคยพลาด โดยเฉพาะ” ชาครทำหน้าขรึมลง “เรื่องสาเหตุที่คุณอรเป็นหม้าย”
พิมพ์อรสายตาแข็งกร้าวเพราะนึกถึงเรื่องนี้ทีไร เธอก็ปลุกความเกลียดชังขึ้นมาทุกที
หลายปีก่อน สามีพิมพ์อรนอนตายตาเหลือกค้าง ในขณะที่พิมพ์อรนั่งตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว ในมือถือที่เขี่ยบุหรี่ที่ทำจากหินอ่อน ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้ฆ่าสามีจนตาย เนื่องจากพิมพ์อรพลั้งมือฆ่า หลังจากถูกสามีที่เป็นซาดิสม์ตบตีจนทนไม่ไหว ขณะนั้นเอง วนันต์ก็ใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินเข้ามาในห้อง
วนันต์เป็นห่วงลูก “เสียงอะไรน่ะลูกอร..”
วนันต์ตกใจสุดๆ ที่เห็นสามีของพิมพ์อรนอนตายอยู่บนพื้น
พิมพ์อรรีบทิ้งที่เขี่ยบุหรี่แล้วเข้าไปหาพ่อ “คุณพ่อ ช่วยอรด้วย อร อรไม่ได้ตั้งใจเค้าตบตีอร จนอรทนไม่ไหว แต่อรไม่ได้ตั้งใจ ฆ่าเค้าจริงๆนะคะ”
วนันต์ตั้งสติแล้วก็หน้าขรึมลงก่อนจะลูบผมลูกด้วยความรักที่มีเต็มเปี่ยม “ไม่ต้องกลัวลูกอร ลูกบอบช้ำมามากพอแล้ว พ่อจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกสาวพ่อได้อีก”
วนันต์หยิบเหรียญของตนออกมา
“ได้ยินฉันมั้ยกสิณ กลบเกลื่อนเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นก็มีเงาดำรูปคน นัยน์ตาสีแดงฉานออกมาจากเหรียญ แล้วขยายตัวจนใหญ่เต็มห้องไปหมด พิมพ์อรตกใจสุดขีดเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนได้เห็นกสิณและอำนาจของเหรียญนี้
พิมพ์อรมีสีหน้าชิงชัง “ปล่อยมันไป ไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้หรอก ทุกคนก็คบกันที่ผลประโยชน์ทั้งนั้นแหละ”
ชาครขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ “แต่ยังไงเราก็ควรให้บทเรียนนายสิทธิพรบ้างนะครับ ตอนแรก มันก็เข้ามาจีบคุณอร แต่พอคุณอรรู้ทันว่ามันหวังเดินทางลัด ก็เลยหน้าแตก พาลเอาคุณอรไปนินทาเสียๆหายๆตลอด ไม่ใช่ลูกผู้ชายเอาซะเลย” ชาครมีสีหน้าเกลียดชัง
“ใจเย็นๆ ชาคร เรื่องบทเรียน ฉันต้องให้แน่” พิมพ์อรมีสายตาแข็งกร้าวดูน่ากลัว “แต่คนอย่างมัน ต้องได้รับอย่างเจ็บปวด แล้วก็ทรมานที่สุด” พิมพ์อรขบกรามแน่น
สิทธิพรเดินคุยมากับนิษฐาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสขณะออกมาจากร้านอาหาร โดยมีเจติยา และนวัช เดินตามออกมา
“นี่ถ้าไม่ได้ยินจากปากคุณสิทธิพร ฉันไม่เชื่อเลยนะคะว่าคนสวยๆ อย่างนั้น จะมีเบื้องลึกเบื้องลับอะไรขนาดนี้” นิษฐาว่า
“ยังมีมากกว่านี้อีกครับ ผมพยายามเตือนต้นอ้อมๆหลายครั้งแล้ว แต่เห็นต้นมันไม่สนใจ ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก”
ทั้งคู่เดินคุยกันไปอย่างสนิทสนม
นวัชมองตามด้วยใบหน้าหงิกงอเพราะแอบหึง “พี่ว่าเพื่อนคุณต้นคนนี้ ชักจะสนิทกับฐามากไปแล้วนะ เพิ่งเจอกันครั้งแรก ทำยังกะรู้จักกันมาซักสิบปี”
เจติยายิ้มๆ “หึงเหรอคะ”
นวัชทำหน้าบึ้งตึง “อย่าแซวพี่น่ะเจ พี่ซีเรียสนะ บริจาคเงินเข้ามูลนิธิทีเป็นแสนๆ แล้วยังหาสถานที่จัดงานให้อีก” นวัชทำหน้าหึงๆ “ทำบุญบังหน้ารึเปล่าก็ไม่รู้”
นวัชเดินหน้าหงิกตามนิษฐาไป เจติยามองตามแล้วยิ้มขำๆ เพราะนวัชหึงขนาดนี้ก็แปลว่าเขารักเพื่อนตนมากเช่นกัน แต่พอเหลือตัวคนเดียวเจติยาก็มีสีหน้านิ่งขรึมลงเมื่อนึกถึงเรื่องของตนกับลาภิณและพิมพ์อร
โอ้เอ้นุ่งกระโจมอกสวมหมวกอาบน้ำ ก่อนจะเดินออกมาจากในห้องน้ำด้วยท่าทางตุ้งติ้ง โอ้เอ้เดินมานั่งหน้ากระจกแล้วใช้ผ้าจนหนูเช็ดตัวอย่างทะนุถนอม ผีโอ้เอ้ดูร่างตนด้วยความคับแค้นใจจนสุดจะทานทน
ผีโอ้เอ้ทนไม่ไหวจึงโวยวายลั่น “โอ้ย ไม่ไหวแล้วโว้ย ฉันเป็นแมนนะโว้ย แมนเต็มร้อย แกทำอะไรกับร่างฉัน ออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
ผีโอ้เอ้เข้าไปกระชากร่างของตัวเองแต่ก็ทะลุผ่านไป แถมร่างโอ้เอ้ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยินแม้แต่น้อย โอ้เอ้หยิบน้ำหอมมาฉีดพรมไปที่ซอกคอ ข้อมือ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ผีโอ้เอ้ยิ่งดูยิ่งแค้นก่อนจะเข้าไปบีบคอ แต่ก็ทะลุออกไปอีกจนผีโอ้เอ้ท้อแท้ใจ ไม่รู้จะทำยังไง โอ้เอ้เดินนวยนาดไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบขนมหวานสารพัดชนิดออกมา โอ้เอ้เลียริมฝีปากอยากกินก่อนจะมองขนมหวานด้วยสายตาหวานเยิ้มแล้วเดินมานั่งที่เตียงก่อนจะหยิบขนมหวานกินด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มมีความสุข
ผีโอ้เอ้เห็นร่างกายตัวเองแล้วก็ท้อแท้สุดๆ “อยากตาย อยากตายโว้ย เอ๊ะ” ผีโอ้เอ้มองดูตัวเอง “แล้วอย่างงี้ถือว่าตายแล้วรึยังวะ” ผีโอ้เอ้เกาหัว “งงโว้ย”
ทันใดนั้น เสียงมือถือของโอ้เอ้ก็ดังขึ้น โอ้เอ้รีบวางขนมหวานแล้วเดินไปรับโทรศัพท์ทันที
โอ้เอ้กดรับก่อนจะพูดเก๊กเสียง “สวัสดีครับ” โอ้เอ้ฟังอีกฝ่ายแล้วก็ตกใจ “ตอนนี้เลยเหรอครับ” โอ้เอ้ฟัง “ครับ ได้ครับ...” โอ้เอ้กดตัดสายแล้วบ่น “โอ้ย นังชะนีนี่ มารคอหอยจริงๆ” โอ้เอ้ลุกเดินสะบัดสะบิ้งไปเปิดตู้เสื้อผ้า
ผีโอ้เอ้มองร่างของตัวเองด้วยความแปลกใจว่าคุยกับใคร
โอ้เอ้กรี๊ดลั่นพร้อมทั้งวิ่งแต๋วแตกหนีออกจากห้องแต่งศพด้วยความตกใจสุดขีดแล้วมาล้มหน้าห้องแต่งศพในสภาพตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว เจติยา และทวีเดินตามออกมา
เจติยายิ้มบางๆ “หนีมาทำไมล่ะโอ้เอ้ นี่มันงานของเธอนะ ไม่ทำงานแล้วเหรอ”
โอ้เอ้กลัวศพสุดๆ “ไม่ค่ะ หนูไม่ทำแล้วค่ะ หนูไม่ทำแล้ว”
ทวีหัวเราะชอบใจ “แหม เรียกตัวเองว่าหนู แล้วยังพูดคะขาอีกนะ นี่หนูเจ เจ้าโอ้เอ้มันอยู่แถวนี้รึเปล่า อยากให้มันได้เห็นจริงจิ๊ง”
ทันใดนั้นผีโอ้เอ้ก็เดินทะลุกำแพงออกมา
ผีโอ้เอ้เซ็งสุดๆ “ไม่ต้องเยาะเย้ยผมเลยลุง วิญญาณลุงไม่ออกจากร่างมั่งให้มันรู้ไป”
เจติยายิ้มขำ “โอ้เอ้เค้าคงเห็นมาทั้งวันแล้วล่ะค่ะลุง อย่าไปแซวเค้าเลย” เจติยาหันไปพูดกับพริตตี้ “น้องชื่อหลิวใช่มั้ยคะ”
หลิวที่อยู่ในร่างโอ้เอ้ตกใจมาก “พี่รู้ได้ไง”
“พี่ให้เพื่อนที่เป็นตำรวจลองสืบดู เวลาที่รถมอเตอร์ไซค์โอ้เอ้ล้มละแวกนั้นมีคนเสียชีวิตพอดี ชื่อหลิวทำงานเป็นพริตตี้ ถูกมั้ยคะ”
ร่างโอ้เอ้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพริตตี้สาวชื่อหลิว
หลิวหน้าจ๋อยๆ “ค่ะ หนูยอมรับว่าหนูตายตอนนั้นพอดี แต่หนูไม่ได้มีเจตนาจะแย่งร่างพี่เค้าเลยนะคะ มันเกิดขึ้นได้ยังไง หนูก็ยังไม่รู้เลย”
โอ้เอ้จับตามองร่างตัวเองที่ถูกวิญญาณพริตตี้สิงอยู่ด้วยสีหน้าสงสัยอยากรู้ความจริง
ภาพเหตุการณ์ในอดีต รถมอเตอร์ไซค์ของโอ้เอ้ล้มลง ร่างโอ้เอ้ล้มลงกระแทกพื้น เพราะไม่ใส่หมวกกันน็อคทำให้เขาสลบเหมือดไป ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างพุ่งวาบเข้าสู่ร่างโอ้เอ้พร้อมกับวิญญาณโอ้เอ้ที่ถูกผลักออกจากร่าง ผีโอ้เอ้งงๆ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พอหันไปมองร่างตัวเองเขาก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อร่างของตัวเองลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางตุ้งติ้งและมีสีหน้ามึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
เจติยากับทวีกำลังคุยกับวิญญาณพริตตี้ โดยมีผีโอ้เอ้โวยวายอยู่ใกล้ๆ
ผีโอ้เอ้โมโห “แก้ตัวน่ะสิไม่ว่า ถ้าไม่รู้ไม่เห็นจริงๆ ทำไมไม่คืนร่างให้ฉันล่ะ”
เจติยาปราม “ใจเย็นๆน่าโอ้เอ้ ฟังน้องเค้าพูดก่อน”
พริตตี้กลัว “วิญญาณพี่เค้าอยู่แถวนี้เหรอคะ” พริตตี้พนมมือไหว้ด้วยความกลัว
“จ้ะ เค้าไม่เชื่อที่น้องพูด ก็เลยโมโหนิดหน่อย เค้าบอกว่าถ้ามันบังเอิญจริง น้องก็น่าจะคืนร่างให้เค้าได้ตั้งนานแล้ว”
“หนูไม่ได้โกหกนะคะ” หลิวหน้าจ๋อยลง “แต่ที่หนูยังไม่คืน เพราะหนูอยากจะอยู่ในร่างนี้ต่ออีกนิดน่ะค่ะ” หลิวทำสีหน้าอ้อนๆ
ทวีหัวเราะ “ฮ๊า นี่ชอบร่างอวบๆ ของเจ้าโอ้เอ้มันเรอะ”
ร่างพริตตี้สาวเปลี่ยนกลับเป็นโอ้เอ้
โอ้เอ้หน้าเศร้าๆ ขณะพูดเสียงพริตตี้ด้วยกริยาอาการโอ้เอ้แบบผู้หญิงคล่องที่กรีดกราย “ลุงรู้มั้ยคะ ว่าหนูตายเพราะอะไร หนูตายเพราะกินยา ลดความอ้วนมากเกินไปค่ะ อาชีพพริตตี้เงินดีก็จริง แต่ไม่สบายหรอกนะคะ
ทั้งฉีดทั้งกินยาสารพัด แถมต้องศัลยกรรมอีกตะหาก ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะในวงการมีเด็กสาวๆสวยๆ เกิดใหม่แทบทุกวัน แต่ละคนขาววิ๊งๆ เด้งหน้าเด้งหลังกันทั้งนั้น”
ทวีเห็นใจ “ก็เข้าใจหรอกนะหนู แต่มันเกี่ยวอะไรกับอยากจะอยู่ร่างเจ้าโอ้เอ้ด้วยล่ะ”
โอ้เอ้พูดเสียงพริตตี้ “หนูจะได้ไม่ต้องทรมานดูแลตัวเองอีกไงคะ อยากกินอะไรก็ได้กิน แต่งตัวตามสบายยังไงก็ได้ เพราะรูปร่างหน้าตาพี่เค้าก็แย่เป็นทุนอยู่แล้ว”
ผีโอ้เอ้ชะงักไป สีหน้าเจ็บใจ
โอ้เอ้พูดเสียงพริตตี้ “คงแย่ไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
ผีโอ้เอ้ของขึ้น “โห ปากเหรอเนี่ย ตอนแรกก็ว่าจะสงสารหรอกนะ แต่มาด่ากันยังงี้ รีบไสหัวออกจากร่างฉันเลย ไป”
เจติยาปราม “ไม่เอาน่าโอ้เอ้ น้องเค้าเป็นผู้หญิงนะ” เจติยาหันไปพูดกับพริตตี้ “พี่เข้าใจหลิวนะ แต่ถึงยังไงร่างนี้ก็ไม่ใช่ของหลิว การที่หลิวยึดเอาไว้มันไม่ถูกต้อง”
หลิวพยักหน้าจ๋อยๆ ก่อนจะพูด “หนูทราบค่ะ ยังไงหนูก็ต้องคืนร่างให้พี่เค้าอยู่แล้ว ขืนไม่คืน หนูก็ต้องกลับไปทำงานแต่งหน้าศพต่อสิคะ” หลิวขนลุกขนพอง “หนูไม่เอาหรอกค่ะ หนูกลัว” หลิวน้ำตาคลอจะร้องไห้
ผีโอ้เอ้หน้าหงิกเพราะหมั่นไส้ “แม่ขาวกลูต้า ซีดซะยิ่งกว่าศพ จะกลัวศพไปทำไมจ๊ะ”
เจติยาปราม “โอ้เอ้”
หลิวปาดน้ำตา “ฝากขอบคุณแล้วก็ขอโทษพี่เค้าด้วยนะคะ ถึงจะแค่วันเดียว แต่หนูก็มีความสุขมากเลยค่ะ”
ร่างโอ้เอ้หลับตาลงแล้วรวบรวมสมาธิ เพียงครู่เดียว วิญญาณพริตตี้ก็ออกจากร่าง ในขณะที่วิญญาณโอ้เอ้ถูกดูดกลับเข้าไปในร่างแทนทันที วิญญาณพริตตี้หันไปยิ้มให้เจติยาก่อนจะมีแสงระยิบระยับขึ้นรอบตัว แล้วก็เลือนหายไป
โอ้เอ้ค่อยๆรู้สึกตัวอย่างงงๆ เพราะจำอะไรไม่ได้ “อ้าวพี่เจ ลุง” โอ้เอ้มองไปรอบๆ “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย”
โอ้เอ้ลุกขึ้นแล้วก็เดินงงๆ เลี่ยงไป
ทวีมองตาม “ท่าทางมันจะจำอะไรไม่ได้เลยนะหนู”
“ดีแล้วล่ะค่ะ”
ทวียิ้มๆ แล้วพูดติดตลก “แต่ลุงว่าตอนตุ้งติ้งน่ารักกว่าตอนปกติเยอะเลย คิดๆแล้วไม่น่าช่วยมันเลยนะหนูเจ”
เจติยาขำตามทวีเพราะอดเห็นด้วยกับทวีไม่ได้
เหรียญสีดำสนิทอยู่ในมือเจติยา เจติยามองเหรียญสีดำในมือตนด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ฉันจะทำความดีช่วยเหลือวิญญาณตกทุกข์ได้ยากไปเรื่อยๆ แล้วชำระเหรียญให้บริสุทธิ์ทุกอัน ไม่ยอมให้มีกล่องรากบุญกล่องใหม่เกิดขึ้นมาได้อีกเป็นอันขาด”
เจติยาประกบเหรียญใว้กลางฝ่ามือทั้งสอง ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างขึ้นที่มือของเจติยา เพียงครู่เดียวก็หายไป เจติยารีบดูเหรียญในมือ ปรากฏว่าเหรียญยังเป็นสีดำสนิทอยู่ มีเพียงมุมเล็กๆของเหรียญที่เปลี่ยนเป็นสีดำจางๆเท่านั้น
เจติยาหน้าเครียด “จางไปนิดเดียวเอง” เจติยาถอนหายใจออกมา
กสิณไฟลุกท่วมตัวและกรีดร้องโหยหวนเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด แม้ว่าเจติยาจะชำระเหรียญ
ไปได้นิดเดียวแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้กสิณอย่างมาก กว่าเปลวไฟจะดับลงกสิณก็บาดเจ็บไม่น้อย
กสิณทั้งโกรธแค้นทั้งตกใจสุดๆ “มันชำระเหรียญได้ยังไง ใครช่วยมัน”
กสิณขบกรามแน่นและมีสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและอาฆาต
ลาภิณกำลังขับรถอยู่บนถนนโดยพาเจติยาไปทำงานด้วยกัน เข็มบอกความเร็วของรถเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เจติยาเหลือบไปมองเกณฑ์วัดความเร็ว “ทำไมขับเร็วนักล่ะคะคุณต้น”
“เร็วไปเหรอ ผมไม่รู้สึกตัวเลยนะเนี่ย” ลาภิณจะลดความเร็วลงแต่แล้วก็มีสีหน้าตกใจ “เฮ้ย...”
เจติยาสงสัย “มีอะไรคะ”
“ผมนึกขึ้นได้ว่าลืมของ แต่ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้”
ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด ลาภิณและเจติยาตกใจสุดขีด เจติยาร้องออกมาด้วยความตกใจ ลาภิณรีบหักหลบแล้วแตะเบรกตามสัญชาติญาณ
รถของลาภิณหักหลบจนเสยเข้ากับฟุตบาทแล้วก็จอดสนิท
ลาภิณเป็นห่วง “เจ เป็นไงบ้าง”
เจติยาตกใจสุดๆ แล้วก็พยายามตั้งสติ “ไม่เป็นไรค่ะ”
ทั้งคู่ตั้งสติได้ก็รีบลงจากรถเพื่อจะมาดูอาการหญิงสาวที่เดินตัดหน้ารถทันที แต่พอลงมาทั้งคู่ก็หาผู้หญิงที่ตัดหน้ารถไม่เจอ ทั้งคู่มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ลาภิณงงเป็นไก่ตาแตก “หายไปไหนเนี่ย”
เจติยาเดินหาแต่ก็ไม่เจอ
ทันใดนั้น ฝากระโปรงรถลาภิณก็ดีดเปิดออกพร้อมๆกับหม้อน้ำรถที่ระเบิด น้ำร้อนพุ่งเข้าใส่เจติยาทันที
เจติยาตกใจสุดขีดจึงร้องออกมาพร้อมยกมือขึ้นบังตามสัญชาติญาณ
ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาวพุ่งออกจากฝ่ามือเจติยาทำให้น้ำร้อนสะท้อนกลับไปทันทีไม่โดนเจติยาแม้แต่น้อย เพราะพลังที่ยมทูตฉายาให้มา ปกป้องเจติยาจากอำนาจของกสิณ
ลาภิณตกใจสุดๆ เขารีบเข้าไปดูภรรยาทันที “เจ เป็นอะไรรึเปล่า”
เจติยาพยายามตั้งสติ “ไม่ค่ะ” เจติยายังมีสีหน้าตื่นตกใจไม่หาย เจติยาหน้าขรึมลงเพราะรู้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
กสิณกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสุดๆ เพราะโดนพลังสะท้อนกลับมา เนื้อตัวกสิณเต็มไปด้วยแผลพุพองเหมือนโดนน้ำเดือดลวกไม่มีผิด หน้าตาและเนื้อตัวของกสิณเต็มไปด้วยบาดแผลสยดสยองน่ากลัว กสิณทรุดลงด้วยความเจ็บปวดเพราะสูญเสียพลังไปไม่น้อย กสิณรวบรวมพลังเพื่อรักษาบาดแผลให้ตัวเองจนแผลเลือนหายไป
กสิณมีแววตาเกลียดชัง “เจติยา” กสิณขบกรามแน่นด้วยความแค้นสุดๆ
ลาภิณเดินคุยโทรศัพท์มือถือมาตามทางเดินในนิราลัย โดยมีเจติยาเดินตามมา
ลาภิณคุยมือถือ “ได้ครับ ขอบคุณมาก” ลาภิณฟังก่อนตอบ “เอามาส่งที่บริษัทดีกว่าครับ” ลาภิณฟังอีกฝ่าย “ได้ครับ สวัสดีครับ” ลาภิณกดตัดสาย “เหลือเชื่อจริงๆนะเจ รถเพิ่งออกจากเช็คศูนย์มาแท้ๆ อยู่ๆ หม้อน้ำระเบิดได้ยังไง”
เจติยาหน้าเครียดเพราะรู้ว่าเพราะอะไร แต่กลัวลาภิณมีอันตรายเลยไม่อยากบอกเขา “ไม่มีใครเป็นอะไร ก็ดีแล้วล่ะค่ะคุณต้น”
ขณะนั้นเอง เจติยาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่คนเดียวบนทางเดิน เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังอ่านการ์ตูนจากแท็บเล็ตแล้วพูดคนเดียว เหมือนกำลังคุยกับใครซักคน
เจติยาแปลกใจ “วันนี้ใครพาลูกมาทำงานด้วยเนี่ย หน้าตาน่ารักจังเลย” เจติยาเข้าไปทักทาย “สวัสดีจ้ะ”
เด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อน้องมิน น้องมินเงยหน้าขึ้นมองแล้วยกมือไหว้ทั้งสองคนตามประสาเด็กมารยาทดี
เจติยายิ้มแย้มเอ็นดู “มากับใครจ๊ะเนี่ย”
“มากับคุณอาค่ะ คุณอามาหาเพื่อน เลยพาหนูมาด้วย”
ขณะนั้น สิทธิพรก็เดินเข้ามาหา
สิทธิพรยิ้มแย้ม “สวัสดีครับ”
ลาภิณกับเจติยาหันไปมอง
“อ้าว นึกว่าใคร..ไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ลาภิณถาม
สิทธิพรปฏิเสธเสียงหลง “ไม่ใช่ หลาน..พอดีพี่ชายกับพี่สะใภ้ไปอังกฤษ ก็เลยต้องรับฝากเลี้ยง มาหาแก้ก็ต้องกระเตงๆมาด้วย”
ลาภิณยิ้มๆ แล้วกระเซ้า “ดีแล้วฝึกเอาไว้”
“แกกับคุณเจมากกว่าที่ควรฝึกเอาไว้” สิทธิพรทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ต้นฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย”
ลาภิณมองสิทธิพรด้วยความแปลกใจว่ามีเรื่องอะไรถึงมาหาตนถึงที่
ลาภิณกำลังคุยกับสิทธิพรด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องทำงาน
ลาภิณไม่สบายใจ “พี่กัมปนาทมีศักดิ์เป็นพี่ฉันก็จริง แต่เราก็ไม่สนิทกันเท่าไหร่หรอก ตอนฉันมีปัญหากับน้าพิสัย ฉันก็ไม่เคยไปขอความช่วยเหลือเค้า” ลาภิณสีหน้าเป็นห่วง “แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเค้ามีอิทธิพลเอาเรื่อง ลูกน้องมีแต่นักเลงหัวโจกทั้งนั้น”
“เค้าจะเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี่ ฉันสนใจโปรเจคต์กาสิโนซิตี้ของเค้ามากกว่า แกแนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยได้มั้ยล่ะ”
ลาภิณไม่สบายใจ “ถ้าแค่แนะนำก็พอได้ แต่แกต้องระวังตัวให้มากๆก็แล้วกัน ถ้าเลือกได้ อย่ายุ่งกับเค้าจะดีกว่า”
สิทธิพรยิ้มๆ “มีโปรเจคต์หลายพันล้านอยู่ตรงหน้า ฉันคงห้ามใจไม่ให้ยุ่งไม่ได้หรอกว่ะ แต่ฉันจะระวังตัวก็แล้วกัน”
ลาภิณหนักใจเพราะรู้นิสัยเพื่อนดีว่าคิดถึงแต่ผลประโยชน์ แต่เพื่อนออกปากเธอก็คิดว่าจะไม่ช่วยก็ไม่ได้
เจติยาหาขนมหาน้ำให้น้องมินอย่างเอาอกเอาใจ เธอดูแลด้วยความรักและเอ็นดูอย่างดี ทวีและโอ้เอ้ เดินคุยกันมา พอเห็นเจติยากำลังดูแลน้องมินอยู่ก็หยุดมอง
โอ้เอ้ยิ้มแซว “ไม่มีเองซะเลยล่ะพี่เจ นั่งเลี้ยงลูกคนอื่นเค้าอยู่ทำไม”
เจติยาเขินๆ “ไม่ต้องพูดมากเลยเจ้าโอ้เอ้ น่าจะปล่อยให้เป็นสาวพริตตี้ซะให้เข็ด”
โอ้เอ้แกล้งทำมือไม้ออก “บ้าพี่เจเนี่ย สิงวันเดียว หนูเกือบติดใจและ” โอ้เอ้ทำท่าทางสะบัดสะบิ้ง
ทวียิ้มๆ แล้วส่ายหน้า “ดูมัน นับวันยิ่งน่าเตะ”
เจติยาขำๆ
น้องมินพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “อาเจขา แบ่งขนมให้ฝ้ายกินบ้างสิคะ ฝ้ายมองตั้งนานแล้วนะคะ”
เจติยายิ้มแย้ม “ได้สิคะ”
เจติยาแบ่งขนมกับน้ำใส่จานเล็กๆ วางไว้ใกล้ๆน้องมิน
“อ้าว หนูนี่พาเพื่อนมาด้วยเหรอ”ทวีถาม
“ไม่มีหรอกค่ะลุง” เจติยาตอบ “เป็นเพื่อนในจินตนาการของน้องมินเค้าน่ะค่ะ เด็กวัยนี้ช่างจินตนาการ ยิ่งเป็นลูกคนเดียว ไม่ค่อยมีเพื่อนด้วย ก็เลยสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมาน่ะค่ะ”
โอ้เอ้แปลกใจ “อย่างงี้ก็มีด้วย แน่ใจนะพี่เจว่าไม่ได้บ้า”
ทวีมะเหงกใส่หัวโอ้เอ้จนโอ้เอ้ร้องลั่น
“ปากเหรอวะเนี่ย เรื่องแบบนี้มีมานานแล้วโว้ย สมัยก่อนเด็กที่เป็นแบบเนี้ย โบราณเค้าบอกว่าคุยกับแม่ซื้อ ไม่เคยได้ยินรึไง”
โอ้เอ้ส่ายหน้าดิกๆ “ไม่เคยหรอกลุง ครอบครัวผมทันสมัยไฮเทคอินเตอร์เน็ตเร็วปี๊ด”
ทวีหมั่นไส้ “ถุย..”
โอ้เอ้ทำหน้าเหยเกและจ๋อยไปตามระเบียบ เจติยายิ้มขำๆ ก่อนจะหันไปลูบหัวน้องมินด้วยความเอ็นดูทันใดนั้น เจติยาก็เหลือบไปเห็นจานขนมกับน้ำที่ตนแบ่งไปให้เพื่อนในจินตนาการของน้องมินหายไปจนหมด เจติยาแปลกใจเพราะน้องมินไม่ได้กินแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็กระโดดลงมาตัดหน้าเจติยา เจติยาตกใจร้องพร้อมลุกหนีอย่างขวัญหาย
เจติยาจ้องหน้าวิญญาณเด็ก “น้องฝ้ายใช่มั้ย”
“บอกความจริง!!” น้องฝ้ายทำหน้าตาดุเพราะโกรธจัด
อ่านต่อตอนที่ 6