รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 8
กสิณกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด กสิณทรุดลงกับพื้นด้วยใบหน้าเปลี่ยนเป็นเน่าเละและน่าสะพรึงกลัว กสิณขบกรามแน่นด้วยความเคียดแค้นเพราะยังไงตนก็ไม่มีวันยอมแพ้เจติยาเด็ดขาด
ในหมู่บ้านทุกอย่างคลี่คลายหลังจากจับคนร้ายได้แล้ว ตำรวจเพียงแต่สอบปากคำ ลาภิณนั่งพักอยู่ที่ใต้ต้นไม้ เจติยาเดินเข้าไปหาลาภิณพร้อมน้ำอัดลมกระป๋องนึง
เจติยายื่นน้ำอัดลมให้ “น้ำค่ะคุณต้น”
ลาภิณรับน้ำอัดลมมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอบใจจ้ะ”
เจติยามองลาภิณนิ่งเพราะรู้สึกเหมือนได้สามีคนเดิมกลับมา เธอทั้งรักทั้งเป็นห่วงสุดๆ เจติยามีน้ำตา
ท่วมตาขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ลาภิณมองเจติยาแบบงงๆ “ทำไมมองผมแบบนี้ล่ะเจ ทำเหมือนกับ...”
ลาภิณยังพูดไม่ทันจบ เจติยาก็เข้าไปกอดลาภิณไว้ทันทีราวกับกลัวว่าลาภิณจะจำตนไม่ได้อีก ลาภิณอึ้งอยู่ครู่นึงก่อนจะกอดเจติยาตอบด้วยความรักที่มีเต็มเปี่ยม อยุทธ์เดินผ่านมาพอดี อยุทธ์ชะงักไปแล้วก็แอบจ๋อยไปเล็กน้อยก่อนจะเดินเงียบๆ เลี่ยงไปเพราะไม่อยากขัดจังหวะ
ลาภิณยิ้มเอ็นดู “เป็นอะไรของคุณ ปกติเจขี้อายจะตาย มากอดผมยังงี้ ไม่กลัวใครมาเห็นเหรอ”
เจติยายิ้มๆ ก่อนจะคลายกอด เธอจับมือลาภิณพร้อมจ้องตา “คุณต้นจำไม่ได้เลยเหรอคะว่าช่วงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับคุณต้นบ้าง”
ลาภิณส่ายหน้า “ผมยังงงอยู่เลยว่าตามคุณมาที่นี่ทำไม...เล่าให้ผมฟังหน่อยสิเจ”
เจติยายิ้มบางๆ ด้วยความดีใจมาก “ช่างมันเถอะค่ะ ไม่มีอะไรน่าจดจำหรอกคุณหายเป็นปกติเหมือนเดิมก็ดีแล้ว”
เจติยาสวมกอดลาภิณอีกครั้งอย่างมีความสุข ทันใดนั้น ลาภิณก็ผลักตัวเจติยาออกไปทันที
ลาภิณหน้าตาบึ้งตึง “เป็นบ้าอะไรของเธอ มากอดฉันทำไม”
เจติยาอึ้งปนงง
ลาภิณไม่พอใจ “เสร็จงานแล้วไม่ใช่เหรอะ งั้นก็รีบๆกลับได้แล้ว” ลาภิณจ้องหน้าอย่างตำหนิ “แล้วทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก เดี๋ยวมีคนเอาไปพูดเข้าหูพี่อร ฉันขี้เกียจมีปัญหา” ลาภิณเดินหัวเสียเลี่ยงออกไป
เจติยาหน้าเสียไปเพราะลาภิณจำเธอได้เพียงครู่เดียวก็กลับสภาพเดิมอีกแล้ว
อยุทธ์เดินคุยปลอบใจเจติยามาตามมุมสวยงามของหมู่บ้าน
“ผมว่าถ้ามองในแง่ดี คุณต้นก็ค่อยๆหลุดจากอำนาจมันทีละนิดแล้วล่ะ ต่อไปก็คงจะจำคุณเจได้เหมือนเดิมเองล่ะครับ” อยุทธ์ว่า
เจติยาถอนใจทำหน้าเศร้าๆ “ค่ะ เจก็หวังยังงั้น”
อยุทธ์ยิ้มรับ “ถ้างั้นรีบชำระเหรียญกันดีกว่าครับคุณเจ ไม่แน่นะครับ ชำระเหรียญคราวนี้เสร็จ คุณต้นอาจจะหายเป็นปกติก็ได้”
เจติยายิ้มรับก่อนจะหยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋า เหรียญของเจติยาลอยขึ้นช้าๆ เจติยาเอื้อมมือไปกำเหรียญไว้ก่อนจะรวบรวมสมาธิเพื่อชำระเหรียญ
ขณะนั้นมีแสงสว่างปรากฏขึ้นที่รอบมือที่กำเหรียญของเจติยา แต่เพียงครู่เดียวแสงสว่างก็หายไป
อยุทธ์แปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นครับ”
เจติยาแปลกใจปนสงสัย “ชำระเหรียญไม่ได้ค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ หรือว่ายังทำภารกิจไม่สำเร็จ”
เจติยามีสีหน้าครุ่นคิดว่ายังไม่บรรลุภารกิจตรงไหน
นิษฐาหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
“ฉันขอบใจแกมาก ที่ช่วยให้ฉันหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เรื่องอื่น” นิษฐาใช้หางตามองไปทางนวัช “แกเข้าข้างคนอื่นมากไปรึเปล่าเจ”
นิษฐากำลังคุยกับเจติยา โดยมีนวัชอยู่ใกล้ๆ บริเวณโถงบ้านนวัชตอนกลางคืน
นวัชยังเคืองปนน้อยใจนิษฐาอยู่ “พี่บอกเจแล้ว พูดกับคนไม่มีเหตุผล เสียเวลาเปล่า”
นวัชและนิษฐาหันไปจ้องหน้ากัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ทิฐิแรงด้วยกันทั้งคู่
เจติยาเข้ามาห้ามทัพ “พอกันทั้งคู่เลย ถ้าขืนยังทะเลาะกันอยู่ยังงี้ งานฉันก็ไม่เสร็จกันพอดี”
“งานอะไรของแกอีกยะ” นิษฐาถาม
“แกกับพี่ผู้กอง ไม่มีใครสงสัยแล้วใช่มั้ย ว่าฉันติดต่อกับวิญญาณได้จริง”
“พี่เลิกสงสัยมานานแล้วล่ะ” นวัชบอก
“เห็นกับตามาหลายครั้ง ถ้าไม่เชื่อแกก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” นิษฐามองหน้าเจติยา “แล้วแกถามทำไม”
เจติยามีสีหน้าขรึมลง “ตอนนี้วิญญาณของฟางอยู่กับเราที่นี่”
นวัชและนิษฐามองไปรอบๆ ด้วยท่าทางกลัวๆ แต่ก็ไม่เห็น
“ฟางเค้าก็ต้องการขอโทษแกกับพี่ผู้กอง” เจติยาหันไปมองข้างๆ “ใช่มั้ย ฟาง”
นวัชและนิษฐาหันมองตามสายตาเจติยาแต่ก็ไม่เห็นใครดูเหมือนเจติยาพูดอยู่คนเดียว ทันใดนั้นเสียงฟางก็ดังขึ้น “ค่ะ”
นวัชและนิษฐามองเห็นวิญญาณฟางยืนอยู่ระหว่างกลางของคนทั้งคู่
ฟางมีสีหน้าเศร้าเพราะรู้สึกผิด “ผู้กองกับฟางไม่เคยมีอะไรกัน ทุกอย่าง เป็นความตั้งใจของฟางที่จะให้พี่ฐากับผู้กองเข้าใจผิดกัน”
เหตุการณ์ในอดีตย้อนมา นิษฐากำลังนั่งอ่านหนังสือนิทานให้เด็กๆฟัง นิษฐาอ่านไปแสดงท่าประกอบไปด้วย เด็กๆหัวเราะ ชอบอกชอบใจกันยกใหญ่ ฟางยืนแอบดูอยู่ด้วยสายตาเกลียดชัง
ฟางอธิบาย “หนูอิจฉาพี่ฐามาตลอด เพราะพี่ฐามีแต่คนรัก แต่หนูไม่มีใครเลย”
ผู้หญิงที่นิษฐาเคยช่วยเหลือ เอาของขวัญมาให้นิษฐาเป็นการขอบคุณในโอกาสพิเศษ นิษฐารับของขวัญแล้วพูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ฟางที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เบือนหน้าไปมองทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นภาพที่นิษฐาถูกรุมรักแบบนี้
เหตุการณ์ในอดีตต่อเนื่อง นวัช และนิษฐา เดินควงกันเลือกดูของในห้างสรรพสินค้า ทั้งคู่ต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ฟางซึ่งทำงานพิเศษอยู่ที่ห้างฯ ยืนแอบดูอยู่ ด้วยสายตาเกลียดชัง ฟางกำหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อด้วยความริษยาสุดๆ
“แต่ที่หนูทนไม่ได้มากที่สุด ก็คือการที่พี่ฐามีแฟนที่รักพี่ฐามากขนาดนี้” ฟางตะโกนลั่น “หนูเกลียด เกลียดที่สุด!!”
เหตุการณ์ปัจจุบัน ถ้วยกาแฟบนโต๊ะสั่นสะเทือนตามแรงโกรธเกลียดของฟาง ทุกอย่างในห้องสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว นวัชกับนิษฐาตกใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
“สงบสติอารมณ์หน่อยฟาง ที่เธอต้องการ คือการขอโทษไม่ใช่เหรอ”
ทันใดนั้นทุกอย่างก็สงบลง
นิษฐาเริ่มตั้งสติ “น้องเค้าอยู่ตรงไหนเหรอเจ”
“ข้างหลังแก” เจติยาตอบ
นิษฐากับนวัชผงะแล้วถอยออก
ฟางยืนหน้าเศร้าๆ อยู่ที่เดิม
นวัชหน้าขรึมลง “พี่ได้คุยกับลุงของฟางแล้ว เลยรู้ว่าเค้ามีปมเรื่องขาดความรักมาตั้งแต่เด็ก น้องเค้ามีพฤติกรรมชอบแย่งแฟนคนอื่นมาตลอด ส่วนเรื่องที่เค้าทำให้พี่กับฐาเข้าใจผิดกัน” นวัชมองไปทางตำแหน่งที่คิดว่าฟางจะอยู่ “พี่อโหสิให้”
ฟางมองนวัชแล้วยิ้มดีใจจนน้ำตาคลอ
นิษฐามองตามไปยังจุดที่นวัชมอง “ฉันก็เหมือนกัน” นิษฐาหน้าขรึมลง “ถึงฟางจะแกล้งฉัน แต่เค้าก็ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ฉันไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรเค้าแล้ว ขอให้เค้าไปสู่สุคติก็แล้วกัน”
ฟางน้ำตาซึมออกมา
เจติยามองไปที่ฟาง “ได้ยินชัดแล้วนะ”
ฟางรู้สึกดีสุดที่ได้รับการอโหสิ “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณพี่สองคนมาก หนูคงต้องไปแล้ว ขอให้พี่สองคนโชคดี แล้วก็รักกันแบบนี้ตลอดไปนะคะ”
วิญญาณของฟางค่อยๆ เลือนหายไป
เจติยายิ้มบางๆ “ฟางไปแล้ว” เจติยามองนิษฐา “สิ่งที่ฟางต้องการมากที่สุด ก็คือบอกความจริงเรื่องพี่ผู้กองให้แกฟัง ตอนนี้เค้าหมดห่วงแล้ว”
นิษฐาหน้าขรึมลงก่อนจะหันไปมองนวัชแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมา “ฐาขอโทษนะคะ ที่ไม่ไว้ใจพี่”
นวัชยิ้มบางๆ พร้อมกับมองนิษฐาด้วยสายตารักใคร่ ก่อนจะค่อยๆดึงนิษฐาเข้ามากอดเอาไว้ เจติยาเห็นเพื่อนมีความสุข ก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน
กสิณทรุดลงกับพื้นแล้วก็เหนื่อยหอบด้วยความอ่อนแรงสุดๆ วนันต์กดปุ่มบังคับรถเข็นมาที่ด้านหลังกสิณแล้วพูด
“เจติยากำลังชำระเหรียญมากขึ้นเรื่อยๆ แกไม่มีทางชนะแล้วกสิณ ปล่อยลูกอรไปซะเถอะ”
กสิณหันไปจ้องหน้าวนันต์ด้วยความโกรธแค้น “แกมันโง่เง่า ถ้าชำระเหรียญไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะสร้างกล่องรากบุญใหม่ไม่ได้อีก แล้วคนที่จะตายคนแรก ก็คือแก”
วนันต์ยิ้มบางๆ “ฉันควรตายไปซะตั้งนานแล้ว แต่เพราะฉันมันโง่แล้วก็ขี้ขลาด แกถึงทำร้ายลูกฉันได้”
กสิณค่อยยันตัวลุกขึ้นแบบอ่อนแรงและเซจนแทบจะทรงตัวไม่ไหว
กสิณอ่อนแรงมากแต่ก็ยิ้มร้าย “คิดง่ายไปแล้ววนันต์ แค่การชำระเหรียญของเจติยา กำจัดฉันไม่ได้หรอก ในเมื่อการชำระเหรียญ ทำให้กิเลสในเหรียญเบาบางลง ฉันก็แค่เติมกิเลสใหม่เข้าไปก็เท่านั้นเอง”
วนันต์โมโหมาก “นี่แกคิดจะทำอะไรอีก”
กสิณมองด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม “ฉันไม่มีวันปล่อยพิมพ์อรไปหรอก เพราะพิมพ์อรคือแหล่งสร้างพลังกิเลสที่ดีที่สุดของฉัน พิมพ์อรจะต้องเป็นเจ้าของเหรียญ” กสิณเน้นเสียง “ไปจนวันตาย”
พูดจบร่างของกสิณก็กลายเป็นควันลอยหายไป วนันต์กำพนักเก้าอี้รถเข็นแน่นด้วยความคับแค้นใจแต่ก็ทำอะไรกสิณไม่ได้
พนักงานกำลังมุงดูรถสปอร์ตสุดหรูที่จอดที่หน้าบริษัทเอ็ตต้าของพิมพ์อรพร้อมกับจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ ชาครขับรถพาพิมพ์อรมาที่บริษัทก่อนจะจอดให้พิมพ์อรลงจากรถ โดยมีชาครลงตามมา
พนักงานคนหนึ่งรีบเข้าไปหาพิมพ์อรด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านขา รถสวยจังเลยค่ะ”
พิมพ์อรแปลกใจ “รถอะไร”
“ก็รถของท่านไงคะ” พนักงานหยิบการ์ดส่งให้พิมพ์อร “นี่ค่ะ คนที่เอารถมาส่ง ฝากการ์ดมาให้ท่านด้วยค่ะ”
พิมพ์อรพยักหน้าให้ชาครรับไปเปิดดู ชาครเปิดการ์ดออกอ่าน
ชาครหน้าเสีย “ท่านบุญช่วย คุณอรรู้จักด้วยเหรอครับ”
พิมพ์อรไม่พอใจ “เจอกันที่งานแว๊บเดียวเอง ไม่ได้ทักกันด้วยซ้ำ แล้วเอาของแพงอย่างงี้มาให้ฉันทำไม”
ชาครหน้าเครียด “ท่านบุญช่วยขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้แถมยังมีอิทธิพลมากด้วยนะครับ ถ้าทำให้เค้าไม่พอใจล่ะก็โครงการเมกกะโปรเจ็คของเอ็ตต้ามีปัญหาแน่ครับ”
พิมพ์อรเคร่งขรึมและมีสีหน้าใช้ความคิดเพราะไม่คิดว่าจู่ๆจะเจออะไรแบบนี้
พิมพ์อรกำลังกินอาหารกับบุญช่วย โดยมีลูกน้องคอยอารักขาอยู่รอบๆ ในขณะที่ชาครนั่งอยู่อีกโต๊ะนึงแต่ก็คอยดูพิมพ์อรอยู่
บุญช่วยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ก็อย่างที่เขียนในการ์ดนั่นแหละ ฉันไม่มีเจตนาอื่นหรอก นอกจากเป็นของขวัญแทนคำทักทายเท่านั้นเอง”
“มันจะไม่เป็นคำทักทายที่แพงไปหน่อยเหรอคะท่าน” พิมพ์อรหน้าเครียด “แล้วที่สำคัญ ดิฉันมีรถหลายคันแล้วค่ะ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้รถคันนี้”
“หนูโกรธฉันเหรอ ถ้าทำให้หนูไม่พอใจ ฉันก็ขอโทษด้วยละกัน แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาดูถูกหนูนะ ฉันรู้ดีว่าหนูเป็นใคร รถคันนี้ ฉันเพียงแต่เห็นว่ามันคู่ควรกับหนูก็เท่านั้นเอง น้อยกว่านี้ มันก็ไม่สมศักดิ์ศรีหนูเหมือนกัน ถูกมั้ยล่ะ”
พิมพ์อรยิ้มบางๆ “วาทศิลป์ท่านดีจังเลยนะคะ ไม่น่าล่ะ ใครๆถึงบอกว่าท่านเสน่ห์แรง”
บุญช่วยหัวเราะชอบใจเพราะรู้ว่าพิมพ์อรร่ำรวย มีกิจการใหญ่โต จึงไม่ผลีผลามอะไรอยู่แล้ว เขาจึงค่อยๆ จีบไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเอง หลิน เมียเก็บของบุญช่วยก็เดินฉับๆเข้ามาหาบุญช่วยและพิมพ์อรทันที
หลินโมโหมาก “นี่เหรอคะ ติดประชุมของท่าน” หลินหันไปจ้องพิมพ์อร “สวยดีนี่ งวดนี้หมดไปเท่าไหร่ล่ะ”
พิมพ์อรหันไปจ้องหลินเขม็งด้วยความโมโหมาก ชาครจ้องอยู่ตลอดเวลา พอเห็นท่าไม่ดีเขาก็รีบเข้าไปหาพิมพ์อรทันที
บุญช่วยโมโห “อย่ามาแสดงพฤติกรรมแย่ๆที่นี่นะ ไป กลับไปได้แล้ว”
หลินโกรธจัดเพราะหึงหวงจึงปาดมือหยิบจานอาหารมาสาดใส่พิมพ์อรทันที ท่ามกลางความตกใจ
ของทุกคน พิมพ์อรผงะถอยหลบออกมาได้ทัน พอตั้งหลักได้ เธอก็มองหลินด้วยสายตาแข็งกร้าวและอาฆาตทันที ชาครรีบพุ่งเข้าเอาตัวขวางพิมพ์อรอย่างเร็ว
บุญช่วยโมโหมาก “เอามันออกไป”
พวกลูกน้องรีบเข้าไปจับตัวหลินเอาไว้ทันที แล้วลากออกไปจากร้าน
หลินดิ้นและโวยวาย “ได้ของใหม่แล้วคิดจะเขี่ยฉันทิ้งเหรอ ไม่มีทางหรอกโว้ย”
ลูกน้องบุญช่วยช่วยกันลากหลินออกไปจนได้
พิมพ์อรมองตามด้วยความแค้นก่อนจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความอาฆาตและโหดเหี้ยม “กสิณ”
ชาครเห็นสีหน้าแววตาพิมพ์อรก็ไม่สบายใจเลยหันมองตามหลินไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทันที
ชาครกำลังขับรถตามหลังรถของหลินอยู่ เขาจ้องเขม็งไปที่รถของหลิน สักพักรถของหลินก็มีอาการกระตุกก่อนที่เครื่องจะดับไป หลินลงจากรถอย่างหัวเสีย เขาทุบรถ เตะรถ แล้วบ่นพึมพำตลอดเวลา ก่อนที่หลินจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรเรียกช่าง ชาครจ้องเขม็งไปที่หลินตลอดเวลา
เวลาผ่านไป หลินกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ ทันใดนั้นรถของชาครก็พุ่งเข้ามาหาหลินทันที หลินหันกลับมาแล้วก็ร้องกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจสุดขีด
ลาภิณเดินออกมาจากห้องทำงาน หลังจากเพิ่งทำงานเสร็จเขาก็เห็นเจติยานั่งรออยู่หน้าห้องพร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย
“ออกเวรนานแล้วไม่ใช่เหรอะ ทำไมยังไม่กลับ มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ เจมารอคุณกลับด้วยกัน”
ลาภิณปั้นหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “งั้นก็กลับได้แล้ว”
เจติยาหันไปเก็บของลงเป้ ลาภิณยืนมองเจติยาแล้วยิ้มบางๆ อย่างรู้สึกดีที่มีใครสักคนรอเขาอยู่เสมอ
แต่พอเจติยาหันกลับมา ลาภิณก็รีบปรับสีหน้าทำเป็นเย็นชาทันที ลาภิณเดินนำเจติยาไปแต่เพียงนิดเดียวมือถือของเจติยาก็ดังขึ้น
เจติยาหยิบมือถือมาดูเบอร์แล้วกดรับ “ว่าไงนที” เจติยาตกใจจนหน้าเครียด “ค่อยๆพูด พี่ฟังไม่รู้เรื่อง..”
เจติยากำลังเข็นรถให้มยุรีนั่ง โดยมีนทีและลาภิณเดินตามมา
“แม่บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก เราก็ตื่นตูม จนพี่เค้าต้องมาวุ่นวายไปด้วยเลย” มยุรีว่า
“อยู่ๆก็เป็นลมล้มไปเลย ถ้าผมรับไม่ทันก็หน้าฟาดไปแล้ว ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากอีก” นทีบอก
“นทีโทรมาบอกเจถูกแล้วล่ะค่ะ มีอะไรจะได้รักษาทัน”
“แต่แม่เกรงใจเรากับคุณต้นน่ะสิ แค่กินยาลดความดันแล้วนอนพักซะหน่อยก็หายแล้วล่ะ ทำให้ตกอกตกใจกันไปหมด”
ลาภิณยิ้มบางๆ “จะเกรงใจทำไมครับ แค่นี้ไม่ได้เสียเวลาอะไรเลยกินยายังไงก็สู้มาให้หมอตรวจไม่ได้หรอกครับคุณน้า”
มยุรีกับนทีหันไปมองลาภิณเป็นตาเดียวเพราะสะดุดหูกับคำว่า “คุณน้า” มาก ลาภิณงงเพราะไม่เข้าใจว่าหันมามองเขาทำไม
เจติยารีบเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ เดี๋ยวเจกับคุณต้นไปเคลียร์เรื่องเงินก่อน แม่กับนทีรออยู่ตรงนี้นะคะ”
เจติยารีบดึงลาภิณไปกับเธอ นทีกับมยุรีมองตามเพราะรู้สึกทะแม่งๆ ก่อนจะหันมามองกันเองด้วยความกังวลใจกับท่าทางของลาภิณกับเจติยา
อ่านต่อหน้าที่ 2
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 8 (ต่อ)
ลาภิณแปลกใจ “ให้ฉันเรียกแม่เธอว่า “แม่” เนี่ยนะ”
“ค่ะ คุณเรียกแม่เจอย่างงี้มาตั้งแต่เราเริ่มสนิทกัน อยู่ๆ คุณกลับไปเรียก “คุณน้า” แบบตอนที่เราเจอกันแรกๆ คุณแม่ก็เลยงง”
ลาภิณใช้ความคิดว่าจะเอายังไงดี
“คุณอาจจะอึดอัดหน่อยนะคะ แต่ถือว่าเจขอร้องก็แล้วกัน” เจติยาไม่สบายใจ “เจไม่อยากให้แม่คิดมากเรื่องของเราน่ะค่ะ”
ลาภิณถอนใจออกมา “วุ่นวายซะจริง”
“เจขอร้องนะคะ”
“ฉันเห็นกับคนแก่ที่กำลังป่วยหรอกนะ”
เจติยาดีใจ “ขอบคุณค่ะ”
ลาภิณหงุดหงิดปนสับสนในใจ “ฉันไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำไมฉันต้องเชื่อเธอ ต้องใจอ่อนตามใจเธอ ยอมให้เธอมาบ่งการชีวิตฉันแบบนี้ด้วย”
เจติยายิ้มปลื้ม “ก็เพราะ...”
ลาภิณสวนทันที “ไม่ต้องพูดเลยนะ” ลาภิณถอนใจพรวดก่อนจะเดินหงุดหงิดออกไป
เจติยามองตามลาภิณไปด้วยความหนักใจ
ทันใดนั้นเงาบนพื้นของเจติยาก็ค่อยๆยืดขยายออกไปเรื่อยๆจนชนกำแพงแล้วกลายเป็นรูปร่างคนอีกคนนึงขึ้นมาก่อนจะกลายร่างเป็นกสิณ กสิณมองหน้าเจติยานิ่ง เจติยาก็มองกลับอย่างไม่กลัว
เจติยาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันไม่มีวันยอมแพ้เธอหรอก ฉันกับคุณต้นจะต้องร่วมมือกันฝ่าฟันเวทมนตร์ของเธอไปให้ได้”
กสิณขำเยาะ “ร่วมมือ ทั้งๆที่เค้าจำเธอไม่ได้อย่างนั้นน่ะเหรอ”
“ถ้าฉันชำระเหรียญได้ครบทุกอัน อำนาจของเธอก็จะสลายไปเอง”
“แล้วแม่เธอล่ะ เธอไม่ห่วงแม่เธอรึไง ทั้งๆที่เหรียญสามารถชะลออาการป่วยของแม่เธอได้ แต่เธอกลับคิดที่จะทำลายมัน”
เจติยาอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะเป็นห่วงแม่เหมือนกัน แต่เธอก็ตัดใจ “แม่ต้องการให้ฉันทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ ฉันจะไม่มีวันขอพรจากเหรียญหรือสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่เด็ดขาด”
กสิณตะคอก “อกตัญญู ถ้าแม่เธอเป็นอะไรไป ก็เพราะเธอ” กสิณจ้องหน้า “เธอกำลังจะฆ่าแม่ด้วยมือของเธอเอง”
“ไม่ต้องมากดดันด้วยการสร้างบาปให้ฉันเลย ฉันรู้ดี ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีทางหลงกลปิศาจอย่างเธอหรอก”
กสิณมองเจติยาด้วยสายตาอาฆาตแค้น “แกจะต้องเสียใจที่ตัดสินใจโง่ๆแบบนี้”
พูดจบกสิณก็สลายตัวกลายเป็นน้ำสีช้ำเลือดช้ำหนองสาดกระจายเข้าใส่เจติยาทันทีอย่างเร็ว เจติยายกมือขึ้นปัดป้องแต่ก็ไม่มีอะไรเปื้อนเธอแม้แต่น้อย เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียด กสิณเองก็ร้ายกาจและไม่ยอมแพ้ง่ายๆเหมือนกัน
เจติยาเดินประคองมยุรีเข้ามาในบ้าน โดยมีนทีถือถุงใส่ยาตามหลังมาพร้อมกับลาภิณ
เจติยายิ้มแย้ม “วันนี้ทานกับข้าวฝีมือเจนะคะ แม่พักผ่อนดีกว่า วันนี้เจขอโชว์เอง”
มยุรีกระเซ้าโดยแกล้งปั้นหน้าซีเรียส “โทรสั่งพิซซ่าดีมั้ยเจ”
“โห แม่อ้ะ” เจติยาว่า
มยุรีขำ “แม่ล้อเล่นจ้ะ วันนี้แม่ต้องเจริญอาหารแน่ๆ เลย”
เจติยาประคองแม่เข้าข้างในไปแล้วคุยกระจุ๊กกระจิ๊กประสาแม่ลูก ลาภิณมองตามแล้วยิ้มบางๆ เพราะรู้สึกว่าเจติยาอ้อนแม่อย่างนี้ก็น่ารักดี
นทีไม่สบายใจ “พี่ต้นครับ ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
ลาภิณหันมามอง
นทีพูดด้วยความไม่สบายใจ “พี่ต้นมีปัญหาอะไรกับพี่เจรึเปล่า”
ลาภิณอึกอักเล็กน้อย “เปล่านี่ ถามทำไมเหรอ”
“ผมว่าพี่สองคนดูแปลกๆไป ดูห่างๆ ไม่ค่อยจะหวานกันเหมือนเดิม”
“เมื่อก่อนเราหวานกันมากเหรอ”
นทีขำๆ “หวานจนเลี่ยนเลยล่ะพี่ ตัวติดกันแจ เวลามาเยี่ยมแม่ก็ต้องมาด้วยกันตลอด”
ลาภิณนิ่งรับฟังอย่างเก็บข้อมูล
นทีหน้าขรึมลง “มาพักหลังนี่ พี่เจมาคนเดียว เพิ่งมีวันนี้แหละที่พี่ต้นมาด้วย ผมก็เลยอดเป็นห่วงไม่ได้”
ลาภิณมองหน้านทีแล้วก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ
นทีมองหน้าลาภิณ “ผมรักพี่เหมือนพี่ชายแท้ๆ ของผมคนนึงเลยนะครับ ผมไม่อยากเห็นพี่กับพี่เจมีปัญหากันเลย อยากให้รักกันไปจนแก่ตายกันไปข้างนึงเลย” นทีทำสีหน้าจริงจังเพราะคิดอย่างที่พูดจริงๆ
ลาภิณยิ้มบางๆ พร้อมกับคิดตามที่นทีพูดก่อนจะเผลอเลื่อนมือไปบีบไหล่นทีเบาๆ เพื่อขอบคุณตามจิต
ใต้สำนึกโดยที่ลาภิณก็ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย อยู่ๆ ความรู้สึกแย้งก็เกิดขึ้นในหัวลาภิณ ลาภิณหุบยิ้มทันทีแล้วถอนมือออกไปก่อนจะเดินเลี่ยงไปหน้าตางงๆ
นทีหันไปมองตามลาภิณอย่างงงไม่แพ้กัน เขาบ่นพึมพำ “อารมณ์ไหนของเค้าวะ” นทีมีสีหน้างุนงง
ลาภิณขับรถพาเจติยากลับมาจอดที่หน้าบ้านตัวเองตอนกลางคืน ลาภิณเหลือบตามองเจติยาก็เห็นว่าเจติยาหลับสนิทไปแล้ว เธอไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าถึงบ้านแล้ว
ลาภิณยิ้มๆ “เหนื่อยล่ะสิ”
ลาภิณแอบมองเจติยาอยู่เงียบๆ เขารู้สึกว่าเจติยาตอนหลับก็น่ารักไปอีกแบบจนเผลอมองเจติยาอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน
ลาภิณบอกเจติยาเบาๆ “ฉันอยากจำเธอให้ได้จริงๆเจติยา ฉันจะได้รู้ว่าเธอเป็นสิบแปดมงกุฎ หรือผู้หญิงที่ฉันรักกันแน่”
เจติยายังคงหลับสนิท ลาภิณมองเจติยานิ่งอย่างห้ามความรู้สึกของจิตใต้สำนึกตัวเองไม่ไหว เขาค่อยๆ โน้มหน้าลงจะจูบเจติยาที่กำลังหลับอยู่ แต่ในขณะที่ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสกันเสียงมือถือของลาภิณก็ดังขึ้น ลาภิณรีบผละตัวออกมาพร้อมๆกับเจติยาที่ตื่นขึ้นมาพอดี
ลาภิณดูเบอร์แล้วก็หน้าเสียก่อนจะกดรับ “ครับ พี่อร” ลาภิณฟังแล้วก็ตกใจมาก “แล้วตอนนี้พี่อรอยู่ที่ไหนครับ” ลาภิณฟัง “ครับๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” ลาภิณรีบออกรถไปทันที
เจติยาหน้าเครียดเพราะเห็นลาภิณรีบร้อนอย่างนี้เธอก็รู้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องแน่ๆ
ลาภิณ และเจติยา กำลังคุยกับนวัชด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พี่ก็แปลกใจเหมือนกัน คุณพิมพ์อรขึ้นโรงพักด้วยข้อหาคล้ายๆ กันอีกแล้ว แต่มันก็มีพยานยืนยันหลายคน ว่าผู้ตายมีปัญหากับคุณพิมพ์อร ก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตไม่ถึงครึ่งชั่วโมง”
ลาภิณหน้าเครียด “แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าพี่อรจะฆ่าใครได้”
“แล้วถ้าใช้ให้คนอื่นไปฆ่าล่ะครับ”
ลาภิณหน้าเสีย “ผู้กองหมายความว่ายังไง”
นวัชหยิบแฟ้มเอกสารวางไว้ต่อหน้าลาภิณและเจติยา “ผลชันสูตรออกมาแล้ว บนร่างกายของผู้ตาย มีรอยนิ้วมือของนายชาคร เลขาฯของคุณพิมพ์อรอยู่ด้วย ตอนนี้กำลังรอผลตรวจรถยนต์ของนายนั่นอยู่ ถ้าร่องรอยบนรถเชื่อมโยงถึงผู้ตาย ก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”
เจติยาแปลกใจ “แล้วรู้ได้ยังไงคะ ว่าเป็นรอยนิ้วมือของคุณชาคร อย่างมากก็แค่รู้ว่ามีรอยนิ้วมือของคนอื่นไม่ใช่เหรอคะ”
“นายชาคร เคยต้องคดีฆ่าคนตายมาก่อน แต่ตอนนั้นเป็นผู้เยาว์ ก็เลยโดนแค่เข้าสถานพินิจ ไม่ติดคุก แต่ประวัติอาชญากรรมแล้วก็บันทึกลายนิ้วมือยังเก็บเอาไว้”
ลาภิณและเจติยานึกไม่ถึงว่าชาครที่ดูดีแบบนั้นจะเคยฆ่าคนตายมาก่อน
พิมพ์อรกำลังเซ็นรับบันทึกการสอบปากคำต่อหน้านวัชด้วยความหงุดหงิดสุดๆ โดยมีลาภิณและเจติยายืนอยู่ใกล้ๆ
พิมพ์อรหงุดหงิดมาก “ตกลง ถ้าใครมีเรื่องกับดิฉันแล้วไปตาย ดิฉันต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยทุกครั้งเลยใช่มั้ยคะ”
“ผมทำตามหน้าที่ครับ”
“ดีนะคะ พูดประโยคนี้แล้วก็เป็นอันจบเรื่อง” พิมพ์อรหันไปพูดกับลาภิณไปกันเถอะค่ะน้องต้น”
พิมพ์อรเดินนำลาภิณโดยมีเจติยามองตามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นวัชไม่พอใจ “เมื่อไหร่คุณต้นจะจำอะไรได้ซะที พี่ว่าเค้าห่วงผู้หญิงคนนี้มากเกินไปแล้วนะ”
เจติยาถอนใจ “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะค่ะ เจก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน” เจติยามีสีหน้าซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่ลาภิณและพิมพ์อรจะออกจากโรงพักก็มีตำรวจคนหนึ่งคุมตัวคนติดยาเดินผ่านมา จังหวะที่คนติดยาเดินผ่านพิมพ์อร คนติดยาก็สะดุ้งสุดตัวแล้วหยุดกึก ตาเบิกโพลง ทันใดนั้น คนติดยาก็ผลักตำรวจที่คุมตัวออกแล้วโผเข้าบีบคอพิมพ์อรทันที
ลาภิณตกใจสุดๆ จึงรีบเข้าไปดึงมือคนติดยาออกไม่ให้บีบคอพิมพ์อร “เฮ้ย ปล่อย จะทำอะไรวะ”
นวัชกับพวกตำรวจตกใจจึงรีบเข้าไปช่วยกันดึง แต่คนติดยามีพลังมากเป็นพิเศษ ทุกคนช่วยกันยังไงก็ดึงไม่ออก พิมพ์อรโดนบีบคอจนตาเหลือกค้างพูดก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ออกจนสติค่อยๆ หลุดไปทีละน้อย
คนติดยาพูดเป็นเสียงหลิน “นังผู้หญิงสารเลว ฉันจะฆ่าแก”
เจติยาเห็นคนติดยาพูดเป็นเสียงผู้หญิงก็รู้ทันทีว่าผีเข้า นวัชดึงมือคนติดยาไม่ออก เขาเห็นพิมพ์อรท่าจะแย่จึงมองไปมองมาจนเห็นขวดเปล่าตั้งอยู่มุมห้องหลายใบ เขาเลยหยิบมาใบนึงแล้วฟาดหัวตนติดยาจนขวดแตกละเอียด แต่คนติดยาไม่เป็นอะไร คนติดยาหันมาจ้องหน้านวัชเขม็งก่อนจะใช้มืออีกข้างคว้าคอเสื้อนวัชแล้วเหวี่ยงเขากระเด็นออกไป คนติดยาใช้มือข้างเดียวผลักเหวี่ยงทั้งลาภิณและพวกตำรวจกระเด็นกระดอนออกไป ทันใดนั้นเอง เจติยาก็เข้ามาจับมือคนติดยาไว้
คนติดยาหันมาจ้องเจติยาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัดเป็นเสียงหลิน “ไม่ใช่เรื่องของแก ไสหัวไป”
เจติยาหลับตานิ่ง สักพักก็เกิดแสงสว่างขึ้นที่มือของเจติยาก่อนที่แสงจะแผ่รัศมีไปทั่ว
คนติดยากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเป็นเสียงหลิน
ทันใดนั้น ก็มีเงาดำออกจากร่างของคนติดยาแล้วคลานหายไปอย่างรวดเร็วในความมืด พร้อมๆกับที่ร่างของคนติดยาทรุดลงกับพื้นสลบเหมือดไป
ลาภิณรีบเข้าไปดูอาการพิมพ์อร “พี่อร เป็นยังไงบ้างครับ”
พิมพ์อรไอโขลกเพราะเพิ่งจะหายใจได้ แต่ก็ไม่มีแรงจะตอบลาภิณ ลาภิณเป็นห่วงจึงรีบอุ้มพิมพ์อรออกจากโรงพักไปทันที เจติยาอึ้งจนหน้าเสีย เธอได้แต่หันมองตามด้วยความรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นสามีอุ้มผู้หญิงอื่นต่อหน้าตนแต่ก็ต้องพยายามทำใจ
เจติยาเดินซึมๆ กลับเข้ามาในโถงบ้าน คนรับใช้คนหนึ่ง รีบเข้ามาหา
“อ้าว คุณเจกลับมาคนเดียวเหรอคะ”
เจติยาหน้านิ่งๆ พยักหน้ารับ “พอดีคุณต้นมีธุระด่วนน่ะจ้ะ เดี๋ยวก็มา” เจติยาตัดบท “เธอไปนอนเถอะ ไม่ต้องรอหรอก”
เจติยาเดินเลี่ยงไป ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงคนรับใช้พูดด้วยเสียงดุดัน
“สาระแนนัก ไม่ใช่เรื่องของตัวเองซะหน่อย ไอ้พวกชอบสอด”
เจติยาหันกลับมามองก็เห็นคนรับใช้ยืนหันหลังให้เธอก่อนจะดีดตัวลอยข้ามหัวเธอมาหยุดอยู่ด้านหลัง
เจติยาตกใจจึงหันมองตาม คนรับใช้พุ่งมือเข้าบีบคอเธอทันที เจติยาตกใจจึงยื่นมือออกไปรับตามสัญชาติญาณมีแสงสว่างออกจากมือของเจติยา คนรับใช้โดนแสงสว่างเข้าไปก็กรี๊ดลั่นก่อนจะทรุดลงกับพื้นแล้วสลบไป เจติยารีบมองหาวิญญาณของหลินแต่ก็ไม่เจอ เสียงหลินดังก้องกังวานไปทั่วโถงด้วยความโกรธจัด
“แกเข้าข้างนังนั่น”
เจติยาหันมองไปมุมต่างๆ ของโถงทันทีที่ได้ยินเสียงหลินและเสียงลมกระโชกของความเคลื่อนไหว
“แกเป็นพวกเดียวกับมันใช่มั้ย”
เจติยาพยายามตั้งสติก่อนจะหันมองไปรอบตัวพร้อมกับพูด “ฉันไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น แต่ฉันก็ไม่ต้องการเห็นใครฆ่ากันด้วย ที่สำคัญ คุณแน่ใจแล้วเหรอะ ว่าคุณพิมพ์อรเป็นคนฆ่าคุณ”
ทันใดนั้นสาวใช้ก็ดีดตัวขึ้นมายืนก่อนที่หลินจะดีดตัวออกมาจากคนรับใช้อีกชั้นแล้วเข้ามาเผชิญหน้ากับเจติยาปล่อยให้คนรับใช้ล้มไป
หลินเต็มไปด้วยความอาฆาต “มันเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ ฉันรู้สึกได้ มันแย่งผัวฉัน แค่นี้ก็เลวพอแล้ว”
เจติยาส่ายหน้า “คุณไม่มีเหตุผล แค่รู้สึกเอาเอง คุณก็จะฆ่าเค้าเลยเหรอ เอาอย่างงี้ ฉันจะสืบให้ว่าใครฆ่าคุณ คุณจะได้ไปสู่สุคติ ตกลงมั้ยล่ะ”
หลินตวาดแว๊ด “แกไม่ต้องมายุ่ง จำเอาไว้อย่างเดียวก็พอ ว่าอย่ามาขวางทางฉันอีก ไม่อย่างงั้น ฉันจะฆ่าแกอีกคน”
พูดจบวิญญาณของหลินก็สลายไปทันที เจติยาถอนใจเฮือกใหญ่ที่เจอวิญญาณไม่มีเหตุผลจนรู้สึกหนักใจ
ลาภิณประคองพิมพ์อรเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านพิมพ์อร พิมพ์อรยังมีท่าทางอ่อนเพลียจากการถูกบีบคอมา
“พี่อรนั่งพักที่โซฟาก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปตามเด็กรับใช้มาให้”
พิมพ์อรนั่งลงที่โซฟา “ดึกป่านนี้ คงนอนกันหมดแล้วล่ะ”
ลาภิณเป็นห่วง “ผมว่าพี่อรน่าจะนอนพักที่โรงพยาบาลมากกว่า ไม่น่ารีบกลับมาเลย”
“พี่รู้ตัว พี่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ แล้วพี่ก็ไม่ชอบนอนโรงพยาบาลด้วย” พิมพ์อรหน้าเสีย “นี่พี่ก็ยังกลัวอยู่เลย ถ้าให้พี่นอนโรงพยาบาลคนเดียว พี่นอนไม่ได้หรอกค่ะ”
ลาภิณสงสารจึงจับมือพิมพ์อรไว้ “ไม่มีอะไรแล้วล่ะ พี่อรไม่ต้องกลัวนะครับ”
พิมพ์อรมองลาภิณนิ่งต่างคนต่างสบตากันด้วยความรู้สึกที่มีต่อกันที่เริ่มแสดงออกมากขึ้นเรื่อยๆ
พิมพ์อรมองตาลาภิณนิ่ง “น้องต้นอย่าเพิ่งกลับได้มั้ย อยู่เป็นเพื่อนพี่อรก่อนนะ พี่กลัว” พิมพ์อรมีสีหน้าอ้อนๆ
ลาภิณมองพิมพ์อรนิ่ง “ครับ”
ทั้งคู่ต่างสบตากันนิ่ง พิมพ์อรมองลาภิณด้วยสายตาเชิญชวน ควันดำจางๆ พัดผ่านหน้าลาภิณทำให้ลาภิณเหมือนโดนมนต์สะกด เขาค่อยๆโน้มลงหาใบหน้าของพิมพ์อรมากขึ้นทุกที ทันใดนั้น ภาพบางอย่างก็ปรากฏแทรกขึ้นมาในหัวของลาภิณ
เป็นภาพตอนที่ลาภิณบอกเจติยาเบาๆ “ฉันอยากจำเธอให้ได้จริงๆเจติยา ฉันจะได้รู้ว่าเธอเป็นสิบแปดมงกุฎ หรือผู้หญิงที่ฉันรักกันแน่” แล้วลาภิณก็ค่อยๆ โน้มหน้าลงจะจูบเจติยาที่หลับอยู่
เหตุการณ์ปัจจุบัน ลาภิณตะขิดตะขวงใจขึ้นมาทันที พิมพ์อรหลับตาพริ้มรอการจูบจากลาภิณอยู่ ลาภิณหักห้ามใจแล้วถอยห่างออกมา
พิมพ์อรรู้สึกแปลกใจ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองสังเกตท่าทีของลาภิณ “เป็นอะไรไปคะน้องต้น”
ลาภิณรีบลุกออกห่างแล้วพูดตัดบท “เดี๋ยวผมไปปลุกเด็กรับใช้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่อรดีกว่านะครับ”
ลาภิณรีบเดินเลี่ยงไปทันที
พิมพ์อรมองตามด้วยความหงุดหงิดใจและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นๆ ทั้งที่ความทรงจำลาภิณก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว กสิณที่ยืนคุมสถานการณ์อยู่มุมห้องมีสีหน้างุนงงเหมือนกันว่าทำไมมนตร์อำนาจตนบังคับลาภิณให้รักพิมพ์อรจริงๆ ไม่ได้สักที
ลาภิณเดินกลับเข้ามาในบ้าน เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเจติยานั่งรออยู่ ลาภิณหน้าเสียและรู้สึกกลัวโดยไม่มีสาเหตุ
เจติยาหันไปยิ้มให้ลาภิณ “คุณพิมพ์อรเป็นยังไงบ้างคะ”
ลาภิณตกใจจนหน้าเสีย “ถามทำไม”
เจติยางง “อ้าว ทำไมเจจะถามไม่ได้ล่ะคะ ก็คุณต้นพาคุณพิมพ์อรไปหาหมอ เจก็ต้องอยากรู้อาการคุณพิมพ์อรเป็นธรรมดา” เจติยาจ้องลาภิณด้วยแววตาจับผิด
ลาภิณไม่กล้าสู้ตาเจติยาเล็กน้อย “พี่อรปลอดภัยแล้ว” ลาภิณตัดบท “มีอะไรอีกรึเปล่า”
“ไม่มีค่ะ”
“งั้นฉันไปนอนนะ” ลาภิณรีบเดินเลี่ยงไป
เจติยาพูดตามหลัง “คุณต้นดูแปลกๆนะคะ เหมือนเด็กที่ทำความผิด แล้วกลัวถูกจับได้งั้นล่ะ”
ลาภิณเป็นวัวสันหลังหวะจึงรีบหันกลับมาทันที “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด อย่ามาจ้องจับผิดกันหน่อยเลย รีบๆไปนอนได้แล้ว”
ลาภิณทำดุกลบเกลื่อนแล้วรีบเดินเลี่ยงหนีไปทันที เจติยามองตามด้วยความติดใจสงสัย
พิมพ์อรกำลังอาละวาดใส่ชาครด้วยความหงุดหงิดอยู่ที่ห้องนั่งเล่นบ้านในตอนเช้า
พิมพ์อรโมโหมาก “เพราะเธอยุ่งไม่เข้าเรื่องแท้ๆ ทำให้ฉันต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยเลย”
ชาครหน้าเครียดเพราะเป็นห่วง “ผมไม่อยากให้คุณอรฆ่าใครนี่ครับ เมื่อวานพอผมเห็นสายตาคุณอรที่มองผู้หญิงคนนั้นแล้ว ผมอดหวั่นใจไม่ได้ ก็เลยสะกดรอยตามไป”
พิมพ์อรโมโหมาก “แล้วมันสำเร็จมั้ยล่ะ ถ้าเธอปล่อยให้กสิณจัดการทุกอย่างมันก็จะเป็นแค่อุบัติเหตุที่ฉันไม่ต้องรับรู้อะไรด้วย แต่เพราะความวุ่นวายของเธอ ทำให้ฉันต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย”
พิมพ์อรมีสายตาแข็งกร้าวดูน่ากลัว
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา ชาครจับตาดูหลินที่กำลังหงุดหงิดหัวเสียที่รถของตัวเองเครื่องตาย
ทันใดนั้น รถยนต์ของชาครก็ขยับเอง ชาครตกใจจึงรีบเหยียบเบรกไม่ให้รถไหลแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะรถของชาครเร่งเครื่องได้เองก่อนจะพุ่งเข้าชนหลินด้วยความเร็วสูงทันที ชาครพยายามหักพวงมาลัยหลบพร้อมกับบีบแตร แต่ก็ทำไม่ได้ รถของชาครพุ่งเข้าชนหลินที่หันกลับมามองพอดี
หลินกรีดร้องลั่นด้วยความกลัวสุดขีด เมื่อเห็นรถพุ่งเข้าชนตน พอชนเสร็จ รถก็หยุดนิ่ง ชาครรีบลงจากรถทันที ชาครเข้าไปหาหลินที่นอนตายเลือดท่วมอยู่บนพื้นถนน
ชาครรีบเข้าไปจับตัวหลินเพื่อดูอาการ “คุณๆ ได้ยินผมรึเปล่า คุณ”
ชาครเอามือจ่อที่จมูกหลินก็พบว่าหลินไม่หายใจแล้ว ชาครตกใจจนหน้าซีดเผือด ที่หลินตายแล้วแถมรถของเขายังเป็นฝ่ายพุ่งเข้าชนอีกด้วย
เหตุการณ์ปัจจุบัน ชาครเครียดหนักจึงโวยลั่น “เธอเป็นคนเหมือนกับพวกเรานะครับคุณอร คุณอรจะสั่งฆ่าคนง่ายๆเหมือนผักเหมือนปลาไม่ได้นะครับ”
พิมพ์อรโมโหมาก “พูดยังกะนายไม่เคยเกลียดใครแล้วอยากให้มันตายงั้นล่ะ”
ชาครชะงักไป
“ทุกคนก็อยากฆ่าคนที่ตัวเองเกลียดให้มันตายกันทั้งนั้นแต่ไม่กล้า ถ้าทำแล้วไม่ต้องรับผิด ใครๆมันก็อยากทำเหมือนอย่างที่ฉันทำ”
ชาครมีสีหน้าผิดหวัง “คุณอรเปลี่ยนไปมากรู้ตัวมั้ยครับ คุณไม่ใช่คุณอรที่ผมรู้จัก คุณอรไม่ใช่คนโหดร้ายที่จะสั่งฆ่าคนอย่างเลือดเย็นได้แบบนี้”
พิมพ์อรเค่นขำ “เธอรู้จักฉันดีแค่ไหนกันเชียวชาคร” พิมพ์อรหงุดหงิด “ที่ฉันไม่อยากให้เธอรู้เรื่องกสิณก็เพราะยังงี้แหละ ตั้งแต่เธอรู้เรื่องนี้ เธอก็เอาแต่ขัดขวางฉันอยู่ตลอดเวลา”
ชาครมีสายตามุ่งมั่นเอาจริง “ครับ ถ้ามีโอกาส ผมก็จะทำอีก เพราะผมไม่อยากให้คุณอร ต้องเป็นทาสไอ้ผีนรกนั่น”
พิมพ์อรจ้องหน้าด้วยความไม่พอใจ “แล้วเธอรู้มั้ย ว่าที่เธอไม่ต้องติดคุกก็เพราะผีนรกที่เธอไม่อยากให้ฉันยุ่งนี่แหละ”
ชาครตกใจ “นี่คุณอรขอพรจากมันอีกแล้วเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะฉันไม่อยากเห็นเธอติดคุก ฉันถึงต้องช่วย แต่ถ้าคิดว่าฉันมันเลวนักก็บอกมา ฉันจะได้ให้กสิณทำทุกอย่างให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม”
ชาครขบกรามแน่นจนขึ้นสันเพราะนอกจากจะช่วยพิมพ์อรไม่ได้ พิมพ์อรยังถลำลึกมากขึ้นทุกทีด้วย
นวัชกำลังอ่านรายงานผลการพิสูจน์หลักฐานคดีของหลินด้วยความโกรธจัด โดยมีตำรวจลูกน้องอยู่ใกล้ๆ
นวัชโมโหมาก “บ้าไปแล้ว เมื่อวานนี้ลายนิ้วมือยังเป็นของนายชาครอยู่เลย แล้วอยู่ๆวันนี้มันเปลี่ยนเป็นของคนอื่นไปได้ ยังไง มีใครสับเปลี่ยนผลรึเปล่า”
“ไม่มีหรอกครับผู้กอง เพราะผมเช็คไปทางพิสูจน์หลักฐานแล้ว ผลทุกอย่างตรงกันครับ” ตำรวจนายหนึ่งบอก
“ผลการตรวจรถของนายชาครก็ออกมาแล้วนะครับ รถปกติทุกอย่างไม่มีรอยเฉี่ยวชนแม้แต่นิดเดียวเลยครับ” ตำรวจอีกนายพูด
“เอาไงดีครับผู้กอง คดีที่คิดว่าจะง่ายๆ กลายเป็นงมเข็มในมหาสมุทรไปอีกแล้ว”
นวัชตบโต๊ะดังลั่นเพราะหัวเสียสุดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้ได้ยังไง
ลิ้นชักถูกเปิดออกโดยวนันต์จนเห็นปืนพกอยู่ข้างใน วนันต์หยิบปืนออกมาด้วยมือสั่นเทา เขามองไปที่ปืนเขม็งก่อนจะค่อยๆเลื่อนปืนมาหันกระบอกจะยิงใส่กลางหัวใจตัวเองกะฆ่าตัวตาย วนันต์เหนี่ยวไก หลับตาพร้อมตาย กระสุนวิ่งออกจากปากกระบอกปืน แต่ยังไม่ถึงตัววนันต์ กสิณก็คว้าลูกปืนเอาไว้ได้ก่อน วนันต์แปลกใจจึงลืมตาขึ้นมอง
กสิณยิ้มเยาะ “อย่าเลยวนันต์ ฉันไม่ปล่อยให้คุณตายง่ายๆหรอก คุณก็รู้”
วนันต์แค้นสุดๆ “แกต้องการอะไรอีก ที่แกได้มาทั้งหมด ยังไม่พออีกรึไง”
“ไปถามพิมพ์อรดีกว่ามั้ง เค้าต่างหากที่เป็นฝ่ายไม่พอ ไม่ใช่ฉัน”
วนันต์แค้นสุดๆ ตะคอก “เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือแก แกดลบันดาลให้ผู้หญิงคนนั้นหาเรื่องลูกอร ทำให้ลูกอรส่งแกไปฆ่าเค้า แล้วแกก็ป้ายความผิดทั้งหมดให้ชาคร เพื่อที่ลูกอรจะได้ขอพรแกเพื่อช่วยชาครอีกต่อ ไอ้ผีนรก แกมันผีนรกชัดๆ”
กสิณหัวเราะชอบใจ “สมเป็นเจ้าของเหรียญคนแรกของฉัน อ่านทางฉันออกหมดเลยนะ” กสิณเดินพูดไปรอบตัววนันต์ “ถูกต้อง และก็เพราะคำขอของพิมพ์อร ทำให้ฉันกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม กิเลสของพิมพ์อร เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญที่สุดของฉัน”
วนันต์มีสีหน้าเจ็บช้ำมาก
กสิณเดินมาหยุดตรงหน้าวนันต์แล้วจ้องหน้า “แล้วคุณก็ต้องอยู่ต่อไป เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้พิมพ์อรสร้างกล่องรากบุญ เพราะนั่นจะทำให้ฉันมีพลังไม่จำกัด เหนือกว่าที่มนุษย์หน้าโง่อย่างพวกแกจะคาดถึง” กสิณหัวเราะชอบใจ
วนันต์แค้นสุดๆ เขายิงปืนใส่กสิณจนหมดแต่ก็ทำอะไรกสิณไม่ได้ กสิณหัวเราะสะใจก่อนจะเลือนหายไป วนันต์แค้นสุดๆ ที่ตายก็ตายไม่ได้ ช่วยลูกก็ช่วยไม่ได้ เขารู้สึกหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ
ลาภิณกำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ภายในนิราลัย
“ซัก 5 โมงละกัน ฉันเลิกงานพอดี จะได้ไปหาอะไรกินต่อด้วย” ลาภิณฟังอีกฝ่ายก่อนตอบ “โอ.เค. แล้วเจอกัน”
ลาภิณกดวางสาย ขณะกำลังจะเดินต่อไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังขึ้น ลาภิณหันไปมองตามเสียงก็เห็นเจติยากำลังโอบเอวกับอยุทธ์ คุยฉอเลาะกันอยู่
เจติยาปัดป้อง “ไม่เอาค่ะคุณอยุทธ์ เดี๋ยวคุณต้นมาเห็นเข้า”
อยุทธ์ยิ้มกรุ้มกริ่ม “ป่านนี้ออกไปกับพี่สาวผมแล้วล่ะ”
อยุทธ์พยายามจะดึงเจติยาเข้ามากอด เจติยาพยายามบ่ายเบี่ยงแต่ก็หัวเราะคิกๆคักๆ ชอบอกชอบใจ ลาภิณขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจเพราะโมโหหึงก่อนจะเดินหนีไป อยุทธ์และเจติยาหันมองตามลาภิณ ทันใดนั้นเอง อยุทธ์ก็เลือนหายไปในขณะที่เจติยากลายร่างเป็นกสิณแทน
กสิณพูดพึมพำด้วยแววตาร้าย “เธอจะทนได้อีกซักเท่าไหร่กัน เจติยา”
เจติยาเดินกลับมาถึงที่หน้าห้องแต่งศพแล้วก็แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นลาภิณยืนกอดอกหน้าหงิก
รออยู่แล้ว
เจติยารายงานข่าวคืบหน้า “คุณต้นคะ รู้เรื่องที่ผลตรวจลายนิ้วมือของคุณชาครเปลี่ยนไปรึยังคะ”
ลาภิณโมโหหึงแต่ก็พยายามระงับอารมณ์ไม่ให้โวยวาย “เลิกเล่นละครซะทีเถอะ”
เจติยางงไปหมด “อะไรคะ”
ลาภิณทนไม่ไหวจึงตะคอกใส่ “คิดว่าฉันโง่นักใช่มั้ย ฉันรู้ทันแผนการเธอหมดแล้ว”
“แผนการอะไรคะ”
“ก็แผนการที่เธอพยายามไซโคฉัน หาว่าสมองฉันได้รับความกระทบกระเทือนจนสูญเสียความทรงจำยังไงล่ะ” ลาภิณจ้องหน้า “เลิกมาอ้างว่าเธอเป็นเมียฉันได้แล้ว ฉันรู้ว่าเธอสมรู้ร่วมคิดกับไอ้อยุทธ์ เธอกับมันเป็นคนรักกัน”
“คุณต้นเอาอะไรมาพูดคะเนี่ย”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อเลย เธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่ เงินเหรอ ไม่ใช่สิ มันก็รวยนี่ หวังอย่างอื่นมากกว่าใช่มั้ย” ลาภิณจับไหล่ทั้งสองข้างของเจติยาเขย่าแรงๆด้วยความโมโหหึงอย่างไม่รู้ตัว “เธอต้องการอะไรพูดมาตรงๆเลยดีกว่า” จ้องหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ บีบไหล่ทั้งสองข้างของเจติยาจนแน่น “ฉันรังเกียจเธอจนไม่อยากจะมองหน้าแล้ว รู้ตัวมั้ย” เจติยาผลักออกไปแรงๆ
เจติยาเซไปตามแรงผลัก เธอรู้สึกเสียใจมากจนน้ำตาท่วมตา
เจติยาพูดทั้งน้ำตาเพราะอัดอั้นมาก “แล้วคุณต้นคิดว่าเจไม่เหนื่อย ไม่ท้อ ไม่ล้าเลยรึไง เจกำลังจะหมดแรงยื้อคุณไว้กับเจแล้วนะคะ”
ลาภิณพูดหน้านิ่งอย่างเฉยชา “ก็ไม่ต้องยื้อสิ”
เจติยาอึ้ง
“ฉันก็ไม่ได้อยากได้เธอเป็นเมียของฉันซะหน่อย ทั้งหมดเป็นความต้องการของเธอคนเดียว”
เจติยามองหน้าลาภิณด้วยความเสียใจระคนน้อยใจที่สุดจนน้ำตาร่วงผลอย
“ฉันไม่เชื่อคำโกหกของเธออีกแล้ว” ลาภิณขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจและหึงหวง “อย่ากลับไปที่บ้านฉัน” ลาภิณจ้องหน้าเจติยา “ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีกแล้ว”
ลาภิณเดินเลี่ยงไปด้วยความโกรธปนหึงหวงสุดๆ จนไม่ยอมหันมองหน้าเจติยาอีก เจติยาปาดน้ำตาออกอย่างเข้มแข็ง เธอพยายามระงับอารมณ์และตั้งสติอย่างสุดกำลังก่อนที่จะถอดใจยอมแพ้และยอมเสียลาภิณไป
อ่านต่อหน้าที่ 3
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 8 (ต่อ)
นทีกำลังทำรายงานโดยใช้คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค อยู่ที่โถงบ้าน มยุรีเดินออกมาจากข้างในบ้าน
มยุรียิ้มแย้ม “นที กินข้าวได้แล้วลูก วันนี้มีแกงส้มชะอมไข่ด้วยนะ”
นทียิ้มอ้อนๆ “น่ารักที่สุดเลยคุณแม่ผมเนี่ย”
มยุรีลูบหัวลูกด้วยความเอ็นดู “ทีงี้ล่ะมาปากหวาน”
ขณะนั้นเอง เจติยาก็เดินซึมๆกลับเข้ามาในบ้าน
นทียิ้มแย้ม “อ้าว พี่เจ มาทันเวลาข้าวเย็นพอดีเลย”
เจติยาหน้าเศร้าๆ “พี่ไม่หิว นทีกับแม่กินเถอะ พี่ขอขึ้นไปนอนพักก่อนนะ”
เจติยาเดินเลี่ยงขึ้นข้างบนไป
นทีมองตามด้วยความงุนงง “พี่เจเค้าเป็นอะไรรึเปล่าแม่”
มยุรีไม่สบายใจที่เห็นท่าทีของลูกสาวก็พอจะรู้ว่ามีปัญหาหนักแน่
ลาภิณเดินเข้ามาในห้องอาหารบ้านตอนหัวค่ำด้วยสีหน้าบึ้งตึง ลาภิณทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้หัวโต๊ะ คนรับใช้เข้ามาคดข้าวให้ลาภิณ พอคดเสร็จคนรับใช้ก็กำลังจะคดข้าวให้เจติยาต่อ
ลาภิณสั่งเสียงแข็ง “ไม่ต้อง”
“วันนี้คุณเจไม่มากินข้าวด้วยเหรอคะ”
ลาภิณทำหน้าบึ้งตึง ตวาด ห้วน “วันไหนเค้าก็ไม่กิน”
คนรับใช้หน้าเสียปนงง “ค่ะ”
ลาภิณลุกพรวดจนเก้าอี้หงายล้มโครมไป คนรับใช้ถอยห่างไปกลัวๆ รอจนลาภิณเดินออกไปค่อยตั้งเก้าอี้ขึ้น ลาภิณเดินหัวเสียขึ้นชั้นบนทันที
มยุรีเดินออกมาจากข้างในเพื่อจะมาปิดประตูบ้าน แต่พอออกมามยุรีก็เห็นเจติยายืนเศร้าๆอยู่ที่ประตู สายตามองออกไปข้างนอกบ้านด้วยดวงตาเหม่อลอย เศร้าๆ
“ตื่นแล้วเหรอเจ”
เจติยาหันมาพูดกับแม่หน้าเศร้าๆ “เจไม่ได้หลับหรอกค่ะแม่ เจแค่เหนื่อย ก็เลยอยากนอนพัก”
มยุรีหน้าขรึมลงด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรอยากจะเล่าให้แม่ฟังมั้ย”
เจติยาน้ำตาคลอก่อนจะเข้าไปกอดแม่ด้วยความรัก และอยากระบายความอึดอัดทุกข์ใจให้แม่ได้รู้
มยุรีกอดลูกแน่นแล้วลูบหัวลูกด้วยความรักและเอ็นดู
มยุรีน้ำตาคลอตามเพราะเป็นห่วงมาก “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเล่าให้แม่ฟังซิลูก”
เจติยาน้ำตาคลอเสียงสั่นเครือ “เจไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจมาเล่าให้แม่ฟังเลยค่ะ”
มยุรีจับไหล่เจติยาแล้วดันออกมาจ้องหน้าก่อนจะยิ้มบางๆ “แม่เป็นแม่นะเจ ลูกมีเรื่องอะไร แม่พร้อมรับฟังเสมอ อย่ากลัวแค่ว่าจะทำให้แม่ไม่สบายใจเลยลูก” มยุรีหน้าขรึมลง “เจมีปัญหากับคุณต้นใช่มั้ย”
เจติยาร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับพยักหน้ารับ
“ทะเลาะกันเรื่องอะไรเหรอลูก”
มยุรีชะงัก เมื่อเห็นน้ำตาของเจติยาไหลออกมาเป็นเลือดสดๆ
มยุรีตกใจสุดขีด “เจ!!”
ใบหน้าของเจติยาค่อยๆ บิดเบี้ยวเหมือนละลายเยิ้มแบบเทียนไข ตามเนื้อตัวของเธอเน่าเฟะ ทั้งเลือดทั้งหนองไหลออกตามตัว มยุรีตกใจสุดขีดก่อนจะเจ็บแปลบที่หน้าอกเพราะโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาทันที
มยุรีค่อยๆทรุดลงเพราะเจ็บบริเวณหัวใจจนหายใจไม่ค่อยออก “ช่วย...” มยุรีพูดไม่ออก
มยุรีทรุดลงกับพื้นก่อนจะสลบไสลไป เจติยาจะกลายร่างเป็นกสิณพร้อมกับมองไปที่มยุรีด้วยความสะใจ
เจติยาได้ยินเสียงแม่เรียกชื่อเธอก็วิ่งลงมาพร้อมกับนทีที่วิ่งตามหลังลงมา เจติยากับนทีลงบันไดมาก็เห็นแม่นอนสิ้นสติอยู่ แต่กสิณไม่อยู่แล้ว
เจติยาตกใจสุดขีด “แม่”
เจติยาและนทีรีบเข้ามาดูอาการมยุรีทันที เจติยาเข้าไปจับชีพจรมยุรี
นทีเป็นห่วงแม่สุดๆ “แม่เป็นอะไรพี่เจ”
“ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยจะหน้ามืด แกรีบไปเรียกรถแท็กซี่ พาแม่ไปหาหมอเร็วๆเข้าเถอะ”
นทีรีบวิ่งออกไปจากบ้านอย่างเร็ว เจติยาปลดเสื้อผ้าให้สบายก่อนจะบีบนวดมยุรีไปมาให้ผ่อนคลายด้วยความเป็นห่วงสุดๆ
เจติยาพยายามเรียกสติ “แม่คะ ได้ยินเจมั้ยคะ”
นทีวิ่งพรวดพราดออกมาที่หน้าบ้านจนเกือบโดนแท็กซี่ชน รถแท็กซี่เบรกได้ทันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
คนขับลงจากรถมาด้วยความโกรธจัด “ไอ้เด็กบ้า อยากตายนักรึไงวะ”
นทีรีบเข้าไปหาคนขับ “พี่ๆ ช่วยพาแม่ผมไปส่งโรงพยาบาลที”
ขณะนั้น ผู้โดยสารรถแท็กซี่ก็เปิดประตูรถลงมาซึ่งก็เป็นอยุทธ์นั่นเอง
“เกิดอะไรขึ้นนที”
นทีเป็นห่วงแม่สุดๆ “แม่เป็นลม ไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับพี่”
อยุทธ์บอกคนขับแท็กซี่ “รอก่อนนะพี่” อยุทธ์จ่ายค่าแท็กซี่
แท็กซี่กดมิเตอร์ใหม่รอ อยุทธ์รีบวิ่งตามนทีไปยังบ้านเจติยาทันที
เวลาผ่านไป มยุรีกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลตอนกลางคืน โดยมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตติดอยู่เต็มตัวไปหมด พยาบาลคอยเช็คอุปกรณ์และสายระโยงระยางค์ต่างๆ เจติยา นที และอยุทธ์กำลังยืนฟังหมออธิบายอยู่ใกล้ๆเตียงคนไข้
“คนไข้มีอาการของโรคหัวใจกับความดันสูงนะครับ โชคดีที่มาส่งโรงพยาบาลได้ทัน แต่ก็คงต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดนะครับ”
“ค่ะ” เจติยายกมือไหว้ “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
หมอรับไหว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไอซียูไปพร้อมกับพยาบาล
นทีเป็นห่วงแม่สุดๆ “แม่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ยพี่เจ”
เจติยาหน้าเครียดเพราะรู้ว่าแม่อาการหนักมากเลยไม่กล้าตอบน้องชาย
อยุทธ์รีบตอบแทน “นอนอยู่โรงพยาบาล ใกล้หมอยังงี้ ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะนที”
นทีนิ่งไปเพราะรู้ว่าอยุทธ์พยายามปลอบเขา เจติยาเข้าไปกุมมือแม่ไว้เพราะเป็นห่วงแม่สุดๆ เธอทนไม่ได้ถ้าจะต้องเสียแม่ไปแต่ก็ไม่รู้จะช่วยแม่ยังไง มยุรียังคงหลับสนิทและเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตเต็มตัว
ลาภิณเปลี่ยนชุดนอนเดินออกมาจากในห้องน้ำ เขามองไปรอบๆห้องแต่ก็ไม่มีเจติยาอยู่แล้ว ลาภิณอดรู้สึกเหงาและเศร้าไม่ได้
ลาภิณรีบหักห้ามความคิด เขาขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจก่อนจะบ่นพึมพำ “อยู่คนเดียวดีกว่าโง่ให้เค้าหลอก”
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวนอนก็ดังขึ้น
ลาภิณเดินไปหยิบขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเมมเบอร์นทีไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ก็กดรับ นทีคุยโทรศัพท์มือถือกับลาภิณอยู่ที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล
นทีเครียดสุดๆ “พี่ต้น แม่ไม่สบายมาก ตอนนี้อยู่ที่ห้องไอซียู พี่ต้นอยู่ไหนเหรอครับ”
ลาภิณอึกๆอักๆ ใจนึงก็ไม่ไว้ใจเพราะยังฝังใจเรื่องเจติยา แต่อีกใจก็ผูกพันกับนทีกับมยุรีอย่างบอกไม่ถูก “พี่อยู่บ้าน แล้วเค้า เอ่อ เจมีเงินรึเปล่า”
“มีพี่ เรื่องเงินพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แต่...” นทีน้ำตาคลอ “ผมเครียดมากเลยนะพี่ต้น พี่เจก็เอาแต่เงียบไม่พูด อะไรเลย พี่อยุทธ์เค้าก็พยายามจะปลอบใจผม แต่มันไม่ช่วยให้ผมดีขึ้นเลย ผมอยากคุยกับพี่มากกว่า”
ลาภิณหน้าบึ้งเพราะรู้สึกหึงหวงขึ้นมาทันที “นี่คุณอยุทธ์อยู่ด้วยเหรอ”
“ครับ พี่เค้าเป็นคนอุ้มแม่ขึ้นแท็กซี่พามาส่งโรงพยาบาล” นทีตัดบท “พี่ต้นจะตามมาที่โรงพยาบาลมั้ยครับ”
ลาภิณทำหน้าบึ้งตึงพูดน้ำเสียงแดกดันอยู่ในที “คุณอยุทธ์อยู่ด้วย คงไม่เป็นไรแล้วมั้ง”
“แต่ผมอยากให้พี่มานะครับ” นทีเป็นห่วงแม่สุดๆ “ผมกลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป ถ้ามีพี่อยู่ด้วย ผมรู้สึกอุ่นใจกว่า”
ลาภิณมีสีหน้าเคร่งเครียดและระแวงว่าเจติยาจะมาไม้ไหน แต่อีกใจเขาก็เป็นห่วงมยุรีจริงๆเหมือนกัน
เจติยายืนอยู่หน้าห้องไอซียูแล้วมองผ่านกระจกไปที่แม่ซึ่งนอนอยู่ในห้องไอซียู พยาบาลคนหนึ่งกำลังเข็นรถซึ่งวางยาและเข็มฉีดยาผ่านมา
“ขอทางหน่อยค่ะ”
“ขอโทษค่ะ”
เจติยาเบี่ยงตัวออกเพื่อให้พยาบาลเข็นรถเข้าไปในห้องไอซียู พยาบาลกำลังจะเข็นรถเข้าไป ทันใดนั้นเจติยาก็จับแขนของพยาบาลไว้
พยาบาลหันกลับมาถามเจติยา “มีอะไรเหรอคะ”
เจติยามองหน้าพยาบาลนิ่งอยู่ครู่นึง “เผยตัวจริงมาเถอะกสิณ ฉันเคยเจอเธอมาหลายครั้งแล้ว” เจติยามีสีหน้ามั่นใจ “หลอกกันไม่ได้แล้วล่ะ”
ทันใดนั้น พยาบาลก็กลายร่างเป็นกสิณ
กสิณยิ้มแย้ม “เก่งจริงนะ มิน่า ปราณถึงได้แพ้เธอ”
เจติยาจ้องหน้า “ถึงเธอจะทำให้คุณต้นจำฉันไม่ได้ แล้วยังทำให้ฉันต้องแตกกับเค้า ฉันก็ไม่มีวันขอพรจากเหรียญเด็ดขาด”
พูดจบเหรียญของเจติยาก็ลอยออกมาจากกระเป๋าของเจติยา
“แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของแม่เธออย่างงั้นน่ะเหรอ” กสิณถาม
เจติยาขบกรามแน่นด้วยความโกรธจัด “ฝีมือเธอจริงๆด้วย”
ทันใดนั้นมือของเจติยาที่จับกสิณอยู่ก็ส่องแสงออกมา แขนของกสิณมีไฟลุกไหม้ท่วม
กสิณเจ็บปวดมากแต่ก็ขบกรามแน่นไม่ยอมร้อง “ถึงฉันจะถูกเธอทำลาย ก็แค่พลังของเหรียญลดลง แต่แม่ของเธอไม่รอดแน่”
เจติยายอมปล่อยมือ กสิณรีบผละออกมาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน กสิณมองดูมือของตนข้างที่เจติยาจับก็ปรากฏรอยไหม้รูปมือ กสิณเพ่งมองพลังไปที่แผลไหม้แค่เพียงอึดใจแผลไหม้ก็เลือนหายไป
กสิณจ้องเจติยาเขม็ง “ฉันยั้งมือเอาไว้ ไม่งั้นแม่เธอไม่มีลมหายใจมาถึงตอนนี้ได้หรอก”
“เธอยั้งมือ เพราะต้องการใช้ชีวิตแม่ฉันเป็นเครื่องต่อรองต่างหาก” เจติยาว่า
“เธอเข้าตาจนแล้วเจติยา เสียสามี เสียความรัก เหลือก็แต่แม่เธอเท่านั้น” กสิณยิ้มหวาน “แล้วเธอจะทนเห็นแม่ต้องตายต่อหน้าต่อตาได้จริงๆ เหรอ”
เจติยาขบกรามแน่นจนขึ้นสัน เธอรู้สึกว่าถูกกสิณไล่ต้อนจนหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ ในที่สุดเจติยาก็ทนไม่ได้จึงเอื้อมมือไปคว้าเหรียญที่ลอยอยู่กลางอากาศมาไว้ในมือ กสิณยิ้มอย่างผู้ชนะที่ในที่สุดก็เอาชนะเจติยาได้สำเร็จ
ทันใดนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งมาดึงมือของเจติยาไว้ เจติยามองตามแล้วก็ต้องตกใจสุดๆ เมื่อเห็นว่าคนที่คว้ามือตนคือมยุรีนั่นเอง เจติยารีบมองไปที่ห้องไอซียู เธอเห็นร่างมยุรียังนอนอยู่ในนั้น แต่มอนิเตอร์บอกสัญญาณชีพแสดงว่าสัญญาณชีพเต้นช้ามากแล้ว เจติยารีบหันกลับมามองแม่ที่จับข้อมือตนอยู่เพราะมั่นใจชัดเจนแล้วว่าวิญญาณแม่ออกจากร่าง
มยุรีหน้าเศร้า “อย่าเจ อย่าเดินทางผิดเพราะแม่”
เจติยาตกใจสุดๆ “แม่...”
ลาภิณขับรถเข้ามาจอด ณ ที่จอดรถโรงพยาบาล
ลาภิณหงุดหงิดตัวเองจึงบ่น “ยังจะมาหาเค้าอีกทำไมวะ”
ลาภิณตบพวงมาลัยรถด้วยความหัวเสียที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้
วิญญาณของมยุรีจับมือเจติยาที่ถือเหรียญแล้วดึงมือของเจติยาลงช้าๆ โดยมีกสิณยืนจ้องเขม็งอยู่ใกล้ๆ
กสิณตวาด “เร็วเข้าสิเจติยา วิญญาณแม่เธอออกจากร่างแล้ว อีกไม่นานก็จะตายโดยสมบูรณ์ แม้แต่กล่องรากบุญก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
มยุรีหน้าเศร้า “กว่าจะถึงวันนี้ ลูกสู้มามากนะเจ อย่าให้สิ่งที่ลูกทำมาทั้งหมดเสียเปล่าเพราะแม่”
เจติยากลัวเสียแม่ไป “แต่แม่คะ...”
มยุรีตัดบท “อย่าลังเลเจ ยังไงแม่ก็ต้องตาย แม่ควรจะตายซะตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะเจใช้กล่องรากบุญช่วยแม่เอาไว้”
กสิณขำเยาะ เจติยาเหลือบตามองกสิณ
มยุรีจับมือเจติยาแล้วเรียกความสนใจกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง “หลังจากวันนั้น มีปัญหาอะไรตามมาบ้าง เจลืมแล้วเหรอลูก”
กสิณพูดยุแยง “แต่ถ้าเธอไม่ช่วยแม่ ทั้งๆที่เธอช่วยได้ ก็เท่ากับเธอฆ่าแม่ของเธอด้วยมือเธอเองนะเจติยา”
มยุรีรีบแย้ง “คนเราไม่มีใครหนีความตายพ้นหรอก จำที่แม่สอนไว้นะเจ จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง และอยู่ด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง”
กสิณหัวเราะเยาะหยัน “ความภูมิใจ ความถูกต้อง” กสิณขำเยาะลงคอต่ออีกเล็กน้อย “มันก็แค่การพูดหลอกตัวเองเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นเท่านั้นแหละ”
มยุรีใช้หางตามองกสิณด้วยสีหน้าเกลียดชัง
“ความรักของพ่อแม่ตะหากที่เป็นของจริง”
เจติยาฟังทั้งแม่ ทั้งกสิณจนรู้สึกกดดันสุดๆ
“ตั้งสติไว้เจ อย่าให้ปิศาจตนนี้ใช้ความรักของแม่มาทำร้ายลูกได้อีก” มยุรีน้ำตาคลอขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงลูกสาว
“โอกาสสุดท้ายแล้ว เธอจะไม่ช่วยแม่เธอ ก็ไม่เป็นไรนะ” กสิณชี้ไปร่างของมยุรีในห้องฉุกเฉิน “ชีวิตของแม่เธออยู่ในกำมือเธอคนเดียวแล้วเจติยา”
เจติยาหันไปมองมยุรีที่เริ่มแน่นิ่งไป
ในที่สุด เจติยาก็กำเหรียญในมือแน่นอย่างตัดสินใจแล้ว
เจติยาน้ำตาท่วมตา เธอมองไปที่วิญญาณของแม่ “เจขอโทษค่ะแม่”
มยุรีเสียใจมาก “เจ...”
ทันใดนั้น วิญญาณของมยุรีก็เลือนหายไปท่ามกลางความตกใจของทุกคน สักพักนิ้วของมยุรีที่นอนในห้องไอซียูก็กระตุกเล็กน้อย เส้นสัญญาณชีพที่มอนิเตอร์เริ่มกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
กสิณหัวเราะสะใจ ขณะที่เจติยามีสีหน้างงๆ อยุทธ์ยืนถือเหรียญของตนอยู่ โดยเหรียญของอยุทธ์เป็นสีดำคล้ำกว่าเดิมเพราะว่าเขาขอพรช่วยแม่ของเจติยา
“คุณเจ ทำในสิ่งที่ถูกต้องเถอะครับ เรื่องอื่น ผมจัดการเอง”
กสิณหัวเราะค้างก่อนจะหันไปจ้องอยุทธ์ด้วยดวงตาสีแดงฉานเพราะโกรธจัด พลังจิตของกสิณกระแทกอยุทธ์ปลิวไปกระแทกกำแพงจนสลบเหมือดไปทันที
เจติยาตกใจจึงรีบเข้าไปดูอาการอยุทธ์ “คุณอยุทธ์”
ทันใดนั้น ลาภิณก็เดินเข้ามาเพื่อจะมาเยี่ยมมยุรี ลาภิณเห็นเจติยากับอยุทธ์ก็โมโหหึงขึ้นมาเลยหันหลังเดินกลับไปทันที
เจติยาเหลือบเห็นก็เป็นห่วงลาภิณมากจึงเรียก “คุณต้น” เจติยาเดินเข้าไปหา
ลาภิณค่อยๆ หันกลับมา โดยไม่คาดคิดลาภิณก็ปาดมือขึ้นบีบคอเจติยาที่วิ่งเข้ามาหาตนทันที ลาภิณแสยะยิ้มแล้วแววตาของลาภิณก็กลายเป็นแววตาของกสิณ
เจติยาตกใจเพราะคิดไม่ถึง ทันใดนั้น ลาภิณก็เหวี่ยงเจติยาปลิวละลิ่วก่อนที่ร่างเจติยาจะร่วงกระแทกลงพื้นอย่างแรง เจติยาทั้งเจ็บทั้งมึนจนขยับตัวไม่ได้ ลาภิณเดินไปหยิบเข็มฉีดยาที่รถเข็นก่อนจะเดินเข้ามาหาเจติยา
ลาภิณพูดเป็นเสียงกสิณ “ฉันอดทนกับเธอมามากพอแล้วเจติยา”
ลาภิณใช้มือข้างหนึ่งบีบคอเจติยาไว้ ส่วนมืออีกข้างเงื้อเข็มฉีดยาจะปักเจติยา เจติยาทั้งเจ็บทั้งมึนจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลาภิณจะปักเข็มฉีดยาใส่หน้าเจติยา ในขณะที่เข็มฉีดยาห่างจากหน้าเจติยาเพียงคืบเดียว เข็มก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถปักลงไปได้อีก ลาภิณพยายามจะปักแต่ก็ทำไม่ได้
ทันใดนั้น วิญญาณลาภิณก็ซ้อนออกมาจากร่างตัวเอง ลาภิณสู้อย่างหนักโดยไม่ยอมให้กสิณทำร้ายเจติยา
ลาภิณสู้สุดใจโดยพยายามดึงสติกลับมา “ฉันไม่มีวันยอมให้แกทำอะไรเจเด็ดขาด”
ลาภิณที่ถูกกสิณครอบงำพูดเป็นเสียงกสิณ “แกมันก็แค่มนุษย์ อย่าบังอาจมาเหิมเกริมกับฉัน”
วิญญาณลาภิณที่ซ้อนอยู่ถูกดูดกลับเข้าร่าง กสิณกลับมาควบคุมร่างได้อีกครั้ง ลาภิณจะปักเข็มฉีดยาลงไปที่ใบหน้าเจติยาอีกแต่กลับเงื้อค้างไม่สามารถปักลงไปได้ ลาภิณผงะออกมาก่อนที่จะโยนเข็มฉีดยาทิ้งไปวิญญาณของลาภิณในร่างสู้สุดแรงไม่ยอมให้กสิณทำร้ายเจติยาได้ เงาโปร่งแสงของกสิณและลาภิณกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงร่างของลาภิณ
“แกไม่มีทางชนะฉันได้หรอก อยากเจ็บตัวมากนักใช่มั้ย” กสิณว่า
ลาภิณดึงสติกลับมา “ต่อให้ต้องตาย ฉันก็ต้องปกป้องเจให้ได้”
“อยากตายนักใช่มั้ย ได้ ฉันจะสงเคราะห์ให้”
พูดจบเงากสิณก็หายวูบไปพร้อมๆ กับร่างของลาภิณที่ลอยเข้าไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรง แล้วใช้มือบีบคอตัวเองพร้อมทั้งดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น กสิณกะฆ่าลาภิณให้ตาย เจติยาค่อยๆรวบแรงยันกายขึ้นมาแต่เขาก็มึนหัวไปหมด เจติยาเห็นลาภิณกระแทกกับกำแพงแบบเบลอๆ มองไม่ชัด
เจติยาพยายามตั้งสติ เธอเป็นห่วงลาภิณมาก “คุณต้น”
เจติยามึนไปหมดจนทรุดลงไปอีก แม้แต่จะยืนขึ้นเธอยังทำไม่ได้ ลาภิณมองไปที่เจติยาด้วยความรักและเป็นห่วงสุดๆ เลยรวบรวมแรงครั้งสุดท้าย
“เจ...” ลาภิณตั้งสติเพราะเป็นตายยังไงก็ต้องปกป้องเจติยาให้ได้ เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ลาภิณรวมพลังทั้งหมดดึงมือที่บีบคอตัวเองออกพร้อมๆกับกสิณที่หลุดออกจากร่างไป กสิณกรีดร้องโหยหวนแล้วก็เลือนหายไป ลาภิณตะเกียกตะกายเข้าไปเจติยา
ลาภิณเป็นห่วงเจติยาสุดๆ “เจเป็นยังไงบ้าง”
เจติยามึนหัวมากแต่ก็รู้ว่าปลอดภัยแล้ว เธอกอดลาภิณแน่น “คุณต้น”
ลาภิณกอดเจติยาแน่น “ผมขอโทษเจ ผมขอโทษ”
อยุทธ์ค่อยๆได้สติขึ้นมา พอมองไปเห็นเจติยากับลาภิณกอดกันก็หน้าเสียขึ้นมาทันที ลาภิณกับเจติยาร้องไห้ด้วยความรักความห่วงใยที่ทั้งคู่มีให้กันเลยฝ่าฟันอุปสรรคครั้งสำคัญมาได้
เช้าวันต่อมา หมอตรวจอาการมยุรีอยู่ในห้องพักผู้ป่วย โดยมีลาภิณ เจติยา นที และอยุทธ์รอฟังอาการอยู่ใกล้ๆ
หมอมีสีหน้าแปลกใจมาก “ยังไงก็ต้องรอผลตรวจอย่างละเอียดอีกทีนะครับ แต่เท่าที่ดูตอนนี้ ก็คงไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะครับ” หมอยังคาใจ
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ” เจติยายกมือไหว้
ทุกคนไหว้ขอบคุณหมอ หมอรับไหว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับพยาบาลแบบงงๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อว่ามยุรีจะหายได้รวดเร็วอย่างงี้
นทีดีใจมากจึงเข้าไปกอดแม่ “แม่ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ”
มยุรียิ้มรับพร้อมกับลูบหัวลูกด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปพูดกับอยุทธ์ “ขอบคุณมากนะคะคุณอยุทธ์”
อยุทธ์ยิ้มรับ “ครับ”
ลาภิณยิ้มแย้ม “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวผมไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายก่อนนะครับแม่ เดี๋ยวจะได้เลยไปทำงานต่อเลย”
“ขอบคุณมากค่ะคุณต้น” มยุรีพูด
เจติยายิ้มแย้ม “แม่พักผ่อนเยอะๆนะคะ อีกวันสองวัน เจจะมารับแม่กลับบ้านเองค่ะ”
มยุรีพยักหน้ายิ้มๆ ลาภิณและเจติยาเดินจูงมือกันออกไปจากห้อง อยุทธ์มองตามทั้งคู่ด้วยสีหน้าจ๋อยๆ แม้จะดีใจที่ทั้งคู่คืนดีกันได้ แต่เขาก็รู้สึกไม่ต่างจากส่วนเกินเลยทีเดียว
อ่านต่อหน้าที่ 4
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 8 (ต่อ)
ลาภิณเดินจูงมือเจติยาคุยกันมาที่สวนสาธารณะ
เจติยาแปลกใจ “ทำไมมาแวะที่นี่ก่อนล่ะคะ คุณต้นไม่รีบไปทำงานแล้วเหรอ”
“ยังมีเวลา ผมเลยอยากคุยกับเจก่อน” ลาภิณหน้าขรึมลงก่อนจะหันไปมองเจติยานิ่ง
เจติยาสบตาลาภิณแล้วยิ้มรับเพื่อรอฟัง
ลาภิณมีสีหน้าเสียใจ “ผมอยากจะขอโทษเจสำหรับทุกๆเรื่องที่ผ่านมา แค่ลืมเจไป ก็แย่เต็มทนแล้ว แต่ผมยังทำร้ายเจอีก ไม่ควรให้อภัยเลยจริงๆ”
เจติยายิ้มบางๆ “คุณต้นไม่เป็นตัวของตัวเอง อย่าคิดมากเลยค่ะ”
“ไม่คิดไม่ได้หรอก ไม่ว่าผมจะโดนอำนาจอะไรสะกดอยู่ก็ตามแต่การทำร้ายเจ มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ผม...”
เจติยาใช้นิ้วสัมผัสที่ปากลาภิณแล้วยิ้มบางๆ “เจยอมรับคำขอโทษของคุณแล้วค่ะ...เจก็ต้องขอบคุณคุณด้วยเหมือนกัน” เจติยาซาบซึ้งใจ “ในเวลาที่วิกฤติที่สุด” เจติยาจ้องตาลาภิณ “ก็เป็นคุณ ที่ปกป้องเจ” เจติยาเข้าไปกอดลาภิณเอาไว้ “ขอบคุณมากค่ะ”
ลาภิณยิ้มบางๆ แล้วกอดเจติยาด้วยความรักเต็มเปี่ยม “ผมรักเจมากนะ”
เจติยายิ้มบางๆ แล้วกอดลาภิณด้วยความรักเช่นเดียวกัน “เจรักคุณต้นมากกว่าค่ะ”
ลาภิณขำๆ สวมกอดเจติยาไว้แน่นกระชับ เจติยายิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่แนบหน้าซบอกของลาภิณ
ภาพในอดีตย้อนกลับมา คุณภพกำลังคุยกับอุษาด้วยความเสียใจถึงที่สุด
“เธอทำอย่างนี้ได้อย่างไรแม่อุษา จันจิราเป็นน้องของเธอนะ”
อุษาพูดหน้าถมึงทึง “แล้วที่เค้าแย่งคุณภพไปจากฉันล่ะคะ ทำไมคุณภพไม่ถามบ้าง ว่านังลูกเมียน้อยนั่นทำไปได้อย่างไร”
“นี่เธอคิดว่าจันจิราใช้มารยาทำให้ฉันกับเธอเลิกกันอย่างนั้นรึ” ภพยิ้มเยาะ “เธอผิดแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา จันจิราเป็นฝ่ายที่ต้องการเลิกกับฉันเพราะเค้ารักเธอ แต่ฉันต่างหากที่ไม่ยอม เพราะฉันไม่ได้รักเธอ”
อุษามีสีหน้าเจ็บช้ำใจมาก
ภพยังพูดตอกย้ำให้เจ็บแสบ “ต่อให้แต่งงานกันไป ฉันก็ไม่มีวันรักเธอ ผู้หญิงคนเดียวที่ฉันรักคือจันจิราเท่านั้น”
อุษาขบกรามแน่นขณะมองคุณภพด้วยสายตาที่ทั้งรักทั้งแค้นก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆไหลอาบแก้ม
อุษาหน้าตาตื่นวิ่งเข้ามาในห้องนอน พอเข้ามาเธอก็เห็นคุณภพนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง โดยมีหมอกำลังตรวจอาการ และมีแม่นั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆ หมอตรวจอาการเสร็จก็หันไปส่ายหน้ากับแม่ของคุณภพเป็นทำนองว่ารักษาไม่ได้แล้ว
หมอมีสีหน้าหนักใจ “คุณภพไม่มีใจที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่มีทางใดรักษาได้อีกแล้ว” หมอถอนใจยาวออกมา
แม่ร้องไห้แล้วหันไปพูดกับอุษา “แม่อุษา มาขออโหสิกรรมพี่เค้าซะสิ”
อุษาเสียใจสุดๆ ขณะเดินเข้าไปหาคุณภพแล้วคุกเข่าลงจะกราบขอโทษ แต่คุณภพชักมือหลบไม่ให้กราบอโหสิ
คุณภพที่ไข้ขึ้นสูงมองอุษาด้วยสายตาเกลียดชัง “ถึงทุกคนจะปกป้องเธอจนเธอไม่ได้รับโทษ แต่ฉันจะไม่มีวันให้อภัยเธอ”
อุษาผงะไป
คุณภพยิ้มบางๆ “ฉันกำลังจะไปอยู่กับคนที่ฉันรักแล้ว แต่เธอ” คุณภพจ้องอุษาเขม็ง “เธอต้องอยู่โดยไม่มีคนที่เธอรัก และไม่มีใครรักเธอเลยอุษา”
อุษามีสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นสายตาที่คุณภพจ้องมองมาที่ตน
เจติยาสะดุ้งและตกใจตื่นจากความฝันกลางดึก เธอพยายามตั้งสติ พอทบทวนความฝันเธอก็รีบหันไปมองลาภิณทันที ลาภิณนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย
เจติยาถอนใจโล่งอก พอรู้ว่าอดีตชาติที่แล้วตนไม่ได้แย่งลาภิณมาก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก
เจติยาแกล้งบีบจมูกลาภิณเบาๆ ลาภิณปัดมือเจติยาทั้งที่ยังหลับ เจติยายิ้มขำๆก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ
ลาภิณพลิกตัวเข้ามากอดเจติยาไว้ เจติยาซุกหน้ากับอกของลาภิณแล้วนอนหลับไปในอ้อมกอดของลาภิณอย่างมีความสุข
สายวันต่อมา เสียงพิมพ์อรโวยวายดังนำมาก่อน
“บ้าที่สุด ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉัน”
พิมพ์อรกำลังระเบิดอารมณ์เต็มที่อยู่ในห้องนอน
พิมพ์อรโมโหมาก “แล้วอย่างงี้จะทำยังไงกันต่อล่ะ”
กสิณมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเจ็บใจ “ฉันยอมรับ ว่าประมาทลาภิณเกินไป ไม่คิดว่าความรักที่เค้ามีต่อเจติยา จะเข้มแข็งถึงขนาดเอาชนะฉันได้”
พิมพ์อรยิ่งโมโหหนักขึ้น “หยุดพล่ามได้แล้ว ฉันถามว่าจะทำยังไงต่อ ไม่ใช่ให้เธอมาพูดจาเพ้อเจ้อ”
กสิณมีสีหน้าไม่พอใจ “ลาภิณจำทุกอย่างได้แล้ว และฉันก็คงบิดเบือนความทรงจำเค้าไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ที่เราทำได้ ก็คือรอโอกาสใหม่เท่านั้นเอง”
ชาครแอบดูอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนซึ่งปิดประตูไม่สนิท
พิมพ์อรโมโหมาก “พูดไปพูดมา ก็คือไม่มีแผนอะไรเลยใช่มั้ยล่ะ คิดว่าฉันมีเวลามากขนาดไหนกัน คุณพ่อฉันกำลังป่วยหนักอยู่นะกสิณ”
ชาครเห็นพิมพ์อรพูดอยู่หน้ากระจกคนเดียวก็ยิ่งเครียดหนัก เพราะรู้ว่าพูดอยู่กับกสิณและนับวันพิมพ์อรก็ถลำลึกลงไปทุกที
พิมพ์อรเดินออกจากห้องด้วยความโมโห พอออกมาเธอก็เห็นชาครยืนรอตนอยู่ที่หัวบันได
พิมพ์อรหงุดหงิด “มานานแล้วเหรอ”
“ซักพักแล้วครับ”
พิมพ์อรเดินนำชาครลงบันไดไป
“โปรเจ็คต์ของท่านบุญช่วยเป็นยังไงบ้าง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วครับ นัดวันได้เมื่อไหร่ คุณอรก็เข้าไปพรีเซ้นต์ได้เลยครับ” ชาครบอก
พิมพ์อรเดินลงบันไดมา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหลินดังขึ้นที่ด้านหลังตน
“นังแพศยา!!”
พิมพ์อรโมโหจึงหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นหลินในสภาพเดียวกับที่ตายนั่งอยู่บนราวบันได พิมพ์อรร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วก็ผงะถอยตามสัญชาติญาณ ทำให้เหยียบพลาดจนร่วงตกบันไดไป
ชาครตกใจสุดขีดรีบพุ่งเข้าจับมือพิมพ์อรไว้แต่กลับกลายเป็นว่าพิมพ์อรดึงชาครให้ตกบันไดลงไปด้วยกัน
ชาครพยายามรวบตัวพิมพ์อรแล้วใช้ร่างบังพิมพ์อรไว้เพื่อให้พิมพ์อรบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่ทั้งคู่จะกลิ้งตกบันไดกระแทกพื้นไปด้วยกัน วิญญาณของหลินยังไม่หายแค้นจึงจะตามไปเล่นงานต่อ แต่ยังไม่ทันที่หลินจะทำอะไร กสิณก็โผล่ขึ้นมาขวางหน้าไว้ก่อน
หลินจำได้แล้วว่ากสิณเป็นคนฆ่าเธอจึงแค้นสุดขีด “แกนี่เอง” หลินจะบีบคอกสิณ
ทันใดนั้น มือของหลินก็แสบร้อน เน่าเปื่อยและพุพองขึ้นมาทันที หลินแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วก็สลายไป ชาครตั้งสติได้ก็เห็นพิมพ์อรเจ็บจุกจากการตกบันไดจนขยับไม่ได้
ชาครเป็นห่วงมาก “คุณอร เป็นยังไงบ้างครับ”
พิมพ์อรทั้งเจ็บทั้งจุกไปทั้งตัว ชาครเป็นห่วงเลยรีบอุ้มพิมพ์อรไปทันที
ชาครอุ้มพิมพ์อรมานั่งที่โซฟา
ชาครเป็นห่วงมาก “คุณอรนั่งพักที่นี่ก่อนนะครับ เจ็บมากมั้ยครับเดี๋ยวผมโทรตามหมอมาดีกว่า” ชาครจะเดินเลี่ยงไป
“ไม่ต้อง ฉันดีขึ้นแล้ว” พิมพ์อรบอก
“แต่...”
ชาครชะงักไป เมื่อพิมพ์อรเอื้อมมือมาจับบริเวณแผลของชาคร
“เธอต่างหากที่ต้องไปหาหมอ” พิมพ์อรพูด
ชาครสบตาพิมพ์อรนิ่ง “แผลนิดหน่อย ช่างมันเถอะครับ ผมห่วงคุณอรมากกว่า”
พิมพ์อรเห็นสายตาชาครก็รีบเบือนหน้าหนีทันที ชาครก็รีบระงับอารมณ์เช่นกัน
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นอะไรมาก เธอไปทำแผลเถอะ”
ชาครหน้าขรึมลง “เมื่อกี๊ มันไม่ใช่อุบัติเหตุใช่มั้ยครับ”
พิมพ์อรหน้าเครียด “ใช่ แต่ไม่เป็นไรหรอก กสิณจัดการมันเรียบร้อยแล้ว”
ชาครเป็นห่วงพิมพ์อรมาก “คุณอรครับ...”
พิมพ์อรตัดบท “ฉันไม่อยากพูดอะไรซ้ำนะชาคร อย่ายุ่ง เรื่องฉันกับกสิณ”
ชาครดูจ๋อยๆไป
พิมพ์อรมองไปที่ชาครด้วยสายตาอ่อนโยน “เธอเป็นทั้งเพื่อน แล้วก็คนที่ฉันไว้ใจมากที่สุด ฉันไม่อยากทะเลาะกับเธอเพราะเรื่องนี้”
ชาครมีสีหน้าขรึมลงและซึมๆ เพราะรู้ดีว่าระหว่างเขากับพิมพ์อรคงเป็นไปได้แค่นี้
เจติยาเข็นรถพามยุรีเข้ามาในห้องพัก โดยมีนวัชและนิษฐากำลังช่วยกันจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่ในห้อง
มยุรียิ้มแย้ม “ผู้กอง หนูฐา มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะ”
นิษฐายิ้มแย้ม “เมื่อกี๊นี้เองค่ะ แล้วหมอว่าไงบ้างคะคุณน้า”
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะจ้ะ แต่ยัยเจจะให้แม่กลับพรุ่งนี้ แม่คิดถึงบ้านจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”
นวัชยิ้มแย้ม “กลับพรุ่งนี้ดีแล้วล่ะครับ จะได้พักผ่อนให้เต็มที่”
เจติยาประคองแม่ขึ้นไปนอนบนเตียง
เจติยาหันไปพูดกับนิษฐา “ฝากดูแลแม่ก่อนนะฐา อีกซักครึ่งชั่วโมงนทีก็มาถึง”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ แกกลับบ้านไปเถอะ” นิษฐายิ้มแหยๆ “เดี๋ยวคุณต้นจะขาดใจตายเพราะความคิดถึงซะก่อน”
เจติยาตีแขนเพื่อนเบาๆแก้เขินก่อนจะเดินไปหยิบยาที่เตรียมไว้มาให้แม่ทาน
นวัชรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้เจติยา “อ้ะ เจ”
เจติยารับแก้วน้ำมา “ขอบคุณค่ะ”
ทันใดนั้น เจติยาก็เหลือบไปมองที่แก้วน้ำใส เธอมองผ่านแก้วน้ำไปเห็นช่วงขาผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงนั้น เจติยาเลื่อนสายตาขึ้นมองค่อยเห็นว่าเป็นหลินกำลังจ้องมองเธอเขม็ง
เจติยากำลังคุยกับหลินด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่ทางเดินในโรงพยาบาล
“ฉันช่วยเหลือวิญญาณทุกดวงก็จริง แต่จะให้ฉันช่วยฆ่าคนให้ ฉันทำไม่ได้หรอกนะ”
“งั้นเธอก็ช่วยกำจัดไอ้ปิศาจที่อยู่กับนังนั่นให้ฉันก็ได้ เธอมีพลังที่จะทำร้ายมันได้ไม่ใช่เหรอ” หลินว่า
“มันก็ใช่ แต่กสิณเป็นปิศาจที่เกิดจากเหรียญนะ ถ้าเค้าไม่มาหาฉันเอง ฉันจะไปเรียกเค้าออกมาได้ยังไง”
หลินโมโหจึงวีนแหลก “โอ้ย เธอมันก็หาข้ออ้างไปเรื่อย คอยดูนะ ถ้าเธอไม่ยอมช่วยฉันฆ่านังนั่น ฉันจะจองเวรเธอ ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเลย” หลินทำหน้าตาท่าทางเอาแต่ใจ
เจติยาอ่อนใจ ขณะกำลังจะตอบเธอก็เหลือบเห็นพยาบาลเข็นรถเข็นพาบุญช่วยมา เจติยาเลยต้องชะงักไว้เพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตนพูดคนเดียว หลินหันไปมองตาม พอเห็นว่าเป็นบุญช่วยสามีของตัวเองซึ่งเป็นเศรษฐีแก่อายุคราวพ่อของหลินที่เลี้ยงหลินแบบเมียเก็บ หลินก็ตกใจทันที หลินเห็นสภาพบุญช่วยท่าทางอ่อนแรงก็อดมองตามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เจติยาเห็นสีหน้าของหลินก็แปลกใจเลยมองตามบุญช่วยไป
เจติยากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านแมกกาซีนอยู่บนเตียง ลาภิณเดินออกมาจากในห้องน้ำ ลาภิณยืนมองเจติยานิ่งแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะพุ่งตัวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างแรง
“อุ้ย คุณต้น เล่นอะไรคะเนี่ย”
ลาภิณยิ้มกรุ้มกริ่ม “เจนั่นแหละ อ่านหนังสืออะไรก็ไม่รู้” ลาภิณดึงหนังสือออกมาจากมือเจติยา “แสงก็ไม่ค่อยพอ เสียสายตาหมด”
เจติยาจะแย่งหนังสือคืน “เอาคืนมาคุณต้น ยังอ่านไม่จบเลย”
ลาภิณไม่ยอมให้แย่ง เขาเอาหนังสือหลบไปมา เจติยาก็ไม่ยอมจะเอามาอ่านต่อให้ได้ ลาภิณเลยฉวยโอกาสรวบตัวเจติยาเข้ามากอดซะเลย
ลาภิณมองเจติยาด้วยสายตากรุ้มกริ่มและอ้อนๆ “ทะเลาะกันตั้งนาน กว่าผมจะจำทุกอย่างได้ เจจะไม่ชดเชยเวลาที่เสียไปให้ผมบ้างเลยเหรอ”
เจติยาอาย “คุณต้นจำเจไม่ได้เอง ไม่ใช่ความผิดเจซะหน่อย แล้วยังต้องให้เจมาชดใช้อีกเหรอ” เจติยากระเง้ากระงอด “เจไม่น้อยใจหนีไปก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะขยับตัวนั่งจ้องหน้าเจติยา “อ้ะให้ลงโทษ จูบปากได้ตามใจชอบ” ลาภิณหลับตาพริ้ม ยิ้มบางๆรอจูบ
เจติยาขำๆ ก่อนจะฉวยหมอนมายันหน้าลาภิณออกไป ลาภิณมันเขี้ยวจะฟัดเจติยา ทันใดนั้นเสียงหลินก็ดังขึ้นอย่างกราดเกรี้ยวไม่พอใจ
“เจติยา!!”
เจติยาสะดุ้งตกใจลุกขึ้นนั่ง ท่ามกลางความงุนงงของลาภิณ เจติยาหันไปมองตามเสียงก็เห็นหลินยืนมองเธออยู่ที่มุมห้องด้วยสายตาถมึงทึงน่าสะพรึงกลัว
ลาภิณรู้เลยว่ามีวิญญาณมาติดต่อกับเจติยาจึงทำสีหน้าท่าทางเหวี่ยงๆ เล็กน้อยที่มาขัดจังหวะ “บอกเค้าไป วันนี้ไม่รับลูกค้า”
เจติยาตีแขนลาภิณเบาๆ แล้วปรามด้วยสีหน้าดุเล็กน้อย “คุณต้น”
เจติยาหันมองไปทางหลินด้วยสีหน้าแววตาหนักใจ
บุญช่วยกำลังหงุดหงิดใส่เจติยาและลาภิณอยู่ในห้องพักคนไข้ของโรงพยาบาล
“ผมไม่สบายนะคุณ พวกคุณยังจะมาพูดเรื่องบ้าๆ อะไรให้ผมฟังอีก”
“เรารู้ค่ะ ว่ามันเหลือเชื่อ แต่ฉันมาที่นี่ตามความต้องการของคุณหลินจริงๆ”
บุญช่วยหงุดหงิด “หลินตายไปแล้ว ผมเองก็เสียใจเรื่องนี้ คุณเอาหลินมาอ้าง ต้องการอะไรกันแน่”
ลาภิณหยิบไดอารี่ของหลินมาวางพร้อมกับกล่องเล็กๆ ลายน่ารักใบหนึ่งเพื่อให้บุญช่วยดู
บุญช่วยมองดูด้วยความสงสัย “อะไร”
“ท่านเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่ามันเป็นของใช้ส่วนตัวของคุณหลิน”
บุญช่วยทำหน้าบึ้งตึง “ผมเคยเห็นไดอารี่เล่มนี้ หลินเค้าเขียนเป็นประจำทุกวัน แต่มันอยู่ที่คอนโดของหลินไม่ใช่เหรอ พวกคุณเอามาได้ยังไง”
“วิญญาณคุณหลินบอกที่เก็บกุญแจสำรองให้เรารู้ครับ ท่านลองเปิดกล่องดูสิครับ”
บุญช่วยเปิดกล่องออก ข้างในกล่องมีแต่ของจุกจิกเต็มไปหมด เช่น ตั๋วคอนเสิร์ต ภาพถ่ายของเขากับหลิน ส.ค.ส. และของที่ระลึกอื่นๆ แต่ไม่มีของมีค่าอะไรเลย
บุญช่วยหยิบรูปถ่ายของตัวเองกับหลินขึ้นมาดูก่อนจะหยิบของอย่างอื่นขึ้นมาดูบ้าง เขาจำได้ลางๆว่าเป็นของที่เกี่ยวข้องกับตนและหลินทั้งนั้น
“คุณหลินต้องการบอกท่านว่า...เธอรักท่านมาก” เจติยาว่า
วิญญาณของหลินยืนมองบุญช่วยอยู่ด้วยสายตาเศร้าสร้อย
หลินพูดหน้าเศร้า “หลินรักท่านค่ะ ถึงหลินจะเป็นแค่เมียเก็บ ไม่มีศักดิ์ศรีอะไร แต่หลินก็รักท่านจริงๆ นะคะ”
เจติยาถ่ายทอดคำพูดตามที่หลินบอก “ถึงจะเป็นแค่เมียเก็บ คุณหลินก็รักท่านจริงๆ”
บุญช่วยหน้าขรึมลง เขามองหน้าเจติยา “ผมเป็นคนเจ้าชู้ ก่อนผมจะเจอกับหลิน ผมก็มีผู้หญิงอื่นมาไม่รู้กี่คนแล้ว แถมอายุเรายังห่างกันจนจะเป็นพ่อลูกกันได้ แล้วเค้าจะมารักผมจริงๆ เหรอ” บุญช่วยถอนใจออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“ตอนแรกที่คุณหลินตกลงอยู่กับท่าน เค้าก็ไม่ได้รักท่านแบบนี้หรอกค่ะ แต่หลังจากอยู่ด้วยกันนานๆ...หลินก็ผูกพันกับท่านมากขึ้นจนกลายเป็นความรักไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
วิญญาณหลินเดินเข้ามาหาบุญช่วยพร้อมพูด
“หลินรู้ตัวค่ะว่าถึงท่านจะไม่ได้แต่งงาน ท่านก็ไม่ยกหลินขึ้นมาเป็นเมียออกหน้าออกตาอยู่แล้ว แต่หลินก็หวงท่านไม่ต้องการให้ท่านมีผู้หญิงคนอื่นอีก หลินอยากเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของท่านค่ะ” หลินมองบุญช่วยด้วยสายตารักใคร่
เจติยาชำเลืองมองหลินเล็กน้อย “เรื่องที่หลินเค้าอยากจะบอกท่าน ก็มีแค่นี้ล่ะค่ะ ถ้าท่านมีเวลา ก็ลองอ่านไดอารี่ของคุณหลินดูบ้างนะคะ เผื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น”
บุญช่วยหยิบไดอารี่ขึ้นมามอง
“ผมเดาว่าท่านเองก็คงชอบคุณหลินอยู่มากเหมือนกัน ไม่อย่างงั้น ท่านคงไม่เสียใจกับการตายของเธอ จนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้หรอกครับ”
หลินมองหน้าบุญช่วยเพื่อรอฟังคำตอบ บุญช่วยหน้าขรึมลง แม้ไม่ตอบแต่ก็เหมือนยอมรับว่าลาภิณพูดถูก ลาภิณและเจติยาสบตากันเล็กน้อย บุญช่วยเลี่ยงที่จะเปิดไดอารี่ของหลินออกอ่านแทนพร้อมถอนใจยาวออกมา วิญญาณหลินมองบุญช่วยแล้วยิ้มทั้งน้ำตา เธอดีใจที่ในที่สุดบุญช่วยก็รู้ความในใจของตน
หลินหันมาพูดกับเจติยา “ขอบใจมาก”
เจติยายิ้มตอบหลิน
ลาภิณเดินจูงมือเจติยาคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“นี่ดีนะ ที่เราสองคนมีอะไรก็พูดกันตรงๆ ถ้าต้องพูดความในใจกันตอนตายไปแล้ว คงเศร้าน่าดู” ลาภิณว่า
“ที่ต้องพูดกันตอนตาย” เจติยาเหล่ลาภิณ “ก็เพราะความเจ้าชู้ของผู้ชายไม่ใช่เหรอคะ”
ลาภิณพูดหน้าตาย “ไม่รู้สิ ผมรักเดียวใจเดียว”
เจติยาเหยียดปากหมั่นไส้ ขณะนั้นเองเธอก็หยุดเดิน
ลาภิณสังเกตสีหน้าภรรยา “มีอะไรเหรอเจ”
“วิญญาณคุณหลินเค้ายืนอยู่หน้าเราค่ะ”
วิญญาณหลินยืนขวางทางทั้งคู่อยู่
“เอ่อ คุณต้นไปรอที่รถก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเจตามไป” เจติยาบอก
ลาภิณยิ้มรับก่อนจะเดินเลี่ยงไป
“มีอะไรจะให้ฉันช่วยอีกมั้ยคะ”
“ไม่มีแล้วล่ะ”
“แล้วคุณไม่คิดแก้แค้นแล้วเหรอ”
หลินทำหน้าบึ้งตึงก่อนจะตวาดใส่ “ก็เธอไม่ยอมช่วยฉันฆ่ายัยนั่นนี่ แล้วฉันก็สู้มันไม่ได้ด้วย จะไม่ยอมได้ยังไงล่ะ”
เจติยายิ้มเจื่อนๆ
หลินหน้าขรึมลงและสงบลง “แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน ก็คือเรื่องท่าน หมดเรื่องนี้ไปแล้ว เรื่องอื่นฉันยอมปล่อยไปก็ได้”
เจติยายิ้มรับด้วยความดีใจที่หลินปล่อยวางได้
“ในฐานะที่เธอช่วยฉันไว้ ฉันจะบอกอะไรเธออย่างนึง”
เจติยามีสีหน้าสนใจฟัง
“สร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ซะเถอะ” หลินบอก
เจติยาตกใจมาก “นี่คุณรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
หลินยิ้มเล็กน้อย
เจติยาส่ายหน้า “ฉันสร้างมันขึ้นมาอีกไม่ได้หรอก ฉันสู้ เพื่อที่จะทำลายมัน แล้วจะให้สร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ยังไง”
“แต่มีแต่กล่องรากบุญเท่านั้น ที่จะช่วยแม่เธอได้ อำนาจจากเหรียญเพียงแค่ยับยั้งอาการป่วยชั่วคราวเท่านั้น แต่รักษาแม่ของเธอไม่ได้หรอก ถ้าเธอไม่ใช้กล่องรากบุญ เธอก็ต้องทำใจ”
เจติยาหน้าเครียดขึ้นมาทันทีเพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เธอกังวลมาตลอดเช่นกัน
วันต่อมา เจติยากับนทีกำลังช่วยกันประคองมยุรีเข้าบ้าน
“ไม่ต้องล้อมหน้าล้อมหลังกันขนาดนี้ก็ได้ แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว แม่เดินเองได้” มยุรีว่า
“ดูสิพี่เจ พอออกจากโรงพยาบาลได้ก็เป็นงี้อีกแล้ว เมื่อไหร่แม่จะเลิกดื้อซะทีนะ”
“เดี๋ยวเถอะเจ้าทีมาว่าแม่ดื้อได้ยังไง”
เจติยาขำ “นที ขึ้นไปทำความสะอาดห้อง แล้วก็เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้แม่ไป เดี๋ยวพี่ดูแลแม่เอง”
“โอเค”
นทีเดินเลี่ยงไป
มยุรีมองตามนทีก่อนจะหันมาพูดกับลูกสาว “มีอะไรจะพูดกับแม่รึเปล่าเจ”
เจติยาหน้าขรึมลง เพราะแม่รู้ทันเธอเลยพูดได้ง่ายหน่อย “เจกลัวว่าอาการของแม่จะกำเริบอีกน่ะค่ะ ถ้า...”
มยุรีตัดบท “อย่าขอพรจากเหรียญอีกเด็ดขาด”
เจติยาหน้าจ๋อยไป
“เจเคยรับปากแม่แล้ว จำได้มั้ย”
เจติยาทั้งห่วงทั้งรักแม่ที่สุด “เจขอโทษค่ะ ตอนแรก เจก็คิดว่าจะปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามวัฏจักรเกิดแก่เจ็บตาย แต่พอเห็นแม่อาการทรุดกับตา เจก็ทนไม่ได้”
“แม่รู้ แต่เจคิดว่าจะช่วยแม่ได้ซักกี่ครั้งกันล่ะลูก คุณพ่อของคุณต้นมีกล่องรากบุญอยู่กับตัวแท้ๆ แต่เมื่อหมดอายุขัยเค้าก็ต้องตาย ถึงเจจะยื้อต่อไป แม่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี แล้วเราก็ต้องแลกกับชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกไม่รู้เท่าไหร่ เจอยากให้แม่มีบาปติดตัวไปด้วยรึไง”
เจติยาน้ำตาคลอก่อนจะเข้าไปกอดแม่ด้วยความอัดอั้นตันใจ สองแม่ลูกกอดกันด้วยความรักความห่วงใยระหว่างแม่ลูก
มยุรีลูบหัวลูกสาว “ถ้าเจรักแม่จริง ปล่อยให้แม่ตายไปตามเวลาที่ถูกที่ควรเถอะนะ แค่นี้ชีวิตแม่ก็ถือว่าได้กำไรมากแล้ว”
เจติยาตัดใจ “ค่ะแม่” เจติยาน้ำตาไหลซึมออกมา เธอรีบปาดน้ำตาออกเพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ
พิมพ์อรเดินเข้ามาหาเลขาฯของบุญช่วยเพื่อจะพรีเซ้นต์งานให้บุญช่วยดู
“ฉันพิมพ์อรจากบริษัทเอ็ตต้าค่ะ นัดเอาไว้แล้ว”
“รอซักครู่นะคะ”
เลขาฯเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คดู
เลขาฯ หน้าเสีย “ขอโทษนะคะ ท่านให้ยกเลิกนัดค่ะ”
พิมพ์อรตกใจ “ทำไมล่ะคะ”
ทันใดนั้น สิทธิพรก็เดินหอบแฟ้มเอกสารออกมาจากห้องทำงานของบุญช่วยหลังจากพรีเซ้นต์งานแล้ว
สิทธิพรยิ้มเยาะ “อ้าว คุณพิมพ์อร สวัสดีครับ”
พิมพ์อรนึกไม่ถึง “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“คงมาเรื่องเดียวกับคุณมั้งครับ เสียใจด้วยนะ ใครใช้ให้เลขาฯ คุณพัวพันการตายคนของท่านล่ะ” สิทธิพรดูนาฬิกาข้อมือ “ขอโทษนะครับ ผมมีธุระคงต้องรีบไป บางที เราอาจจะได้เจอกันอีกนะครับ”
สิทธิพรมองเย้ยก่อนจะเดินเลี่ยงไป
พิมพ์อรมองตามด้วยความเกลียดชังสุดๆ ก่อนจะพูดเบาๆ “ฉันจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงกสิณหัวเราะก้องกังวาลอย่างสาแก่ใจฟังดูน่าสะพรึงกลัวก็ดังไปทั่ว
ฝนกำลังตกอยู่ที่หน้ามูลนิธิเพื่อนแท้ สิทธิพรเดินถือร่มออกมาจากมูลนิธิ โดยมีนวัช นิษฐา เดินตามออกมาส่ง
“ฝนตกอย่างนี้ คุณฐาน่าจะให้ผมไปส่งที่บ้านนะครับ หรือไม่ ก็ไปหาอะไรกินกันก่อน” สิทธิพรยิ้ม “ฉลองที่ผมได้งานโปรเจ็คต์ใหญ่มาไงครับ”
นวัชไม่พอใจและหึงหวง “ผมไปส่งฐาเองได้ ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก”
สิทธิพรลอยหน้าลอยตาพูดกวนๆ “ผู้กองพูดเหมือนกันท่าเลยนะครับ”
นวัชโมโห “คุณ...”
นิษฐารีบดึงแขนนวัชไว้แล้วปราม “พี่คะ”
นวัชพยายามระงับอารมณ์สุดๆ
นิษฐาหันไปพูดกับสิทธิพร “ก่อนหน้านี้ ฐากับพี่ผู้กองมีปัญหากัน ทำให้ฐาสับสนมาก ถ้าทำอะไรให้คุณสิทธิพรเข้าใจผิด ฐาต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ตอนนี้เราปรับความเข้าใจกันได้แล้ว” นิษฐาควงแขนนวัช “แล้วฐาก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจค่ะ”
นวัชยิ้มดีใจที่ได้ยินนิษฐาพูดแบบนี้
“ผมทราบครับ แต่ถ้าคุณยังไม่ได้แต่งงาน” สิทธิพรหันไปมองหน้านวัช “ผมถือว่าผมยังมีโอกาส”
นวัชจ้องหน้าสิทธิพรเขม็งเพราะเกิดมาไม่เคยเจอใครหน้าด้านขนาดนี้มาก่อน
สิทธิพรหันไปยิ้มให้นิษฐา “ไว้เจอกันนะครับ”
สิทธิพรกางร่มเพื่อจะเดินไปที่รถของตัวเอง เท้าของสิทธิพรเหยียบลงไปบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ ทันใดนั้น สายไฟฟ้าตรงเสาไฟก็ขาดออกเกิดเสียงดังสนั่น ประกายไฟแลบแปลบ สายไฟนั้นตกลงบนพื้นที่เจิ่งนองด้วยน้ำทันที พริบตานั้นเอง นวัชก็กระชากคอเสื้อสิทธิพรจากทางด้านหลังพร้อมกับดึงสิทธิพรกลับมาบนฟุตบาทจนสิทธิพรล้มก้นกระแทกกับพื้น แต่ก็รอดชีวิตหวุดหวิดจากการถูกไฟฟ้าช็อต สิทธิพรตกใจและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่นวัชกับนิษฐาหน้าเครียดเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
พิมพ์อรกำลังเถียงกับกสิณอยู่
พิมพ์อรโมโหมาก “นับวันเธอจะยิ่งพลาด เรื่องเจติยาก็จัดการไม่ได้ เรื่องสิทธิพรก็เหลวอีก ตกลงเธอทำจะอะไรสำเร็จได้อีกมั้ย”
กสิณปั้นหน้าจ๋อยๆ “พลังฉันมีจำกัด สูญเสียไปกับการต่อสู้กับเจติยาคราวก่อน ยังไม่ฟื้นตัวเลย”พิมพ์อรโมโหจึงพูดแดกดัน “พูดง่ายดีนี่ ฉันอยากจะพูดแก้ตัวง่ายๆได้อย่างเธอบ้างจัง”
กสิณพูดหน้านิ่งอย่างไม่ค่อยพอใจ “เรายังมีวิธีสุดท้ายอยู่” กสิณจ้องหน้าพิมพ์อรเพื่อท้าทาย “แต่ไม่รู้ว่าเธอจะยอมทำรึเปล่าล่ะ”
“วิธีอะไร”
“ทำร้ายลาภิณ เพื่อบีบให้เจติยามอบเหรียญให้เธอ”
พิมพ์อรตกใจมาก “ไม่ ฉันไม่มีวันทำร้ายน้องต้นเด็ดขาด”
“ฉันรู้ ว่าเธอต้องตอบแบบนี้ แต่ฉันก็หมดทางแล้วเหมือนกัน ยิ่งเจติยาชำระเหรียญมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอ่อนแอลงมากเท่านั้น จนในที่สุด ฉันก็คงช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้อีก ทั้งเรื่องงาน แล้วก็เรื่อง” กสิณจงใจเน้น “พ่อของเธอ”
กสิณจ้องหน้าพิมพ์อรเป็นเชิงท้าทาย พิมพ์อรเครียดหนักเพราะพอเอาเรื่องพ่อมาต่อรอง เธอก็ลังเลจนไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
“เธอต้องตัดสินใจแล้วล่ะพิมพ์อร ว่าจะเลือกชีวิตพ่อ หรือความหลงโง่ๆ” กสิณแสดงสีหน้าดูถูก
พิมพ์อรตัดสินใจยากลำบาก
อ่านต่อตอนที่ 9