รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 7
ก้องเดินหน้าเครียดนำเข้ามาในทาวน์เฮาส์ก่อนจะโยนเป้ลงโซฟาด้วยความหงุดหงิด เจติยาเดินตามเข้ามาติดๆ
“พอจะนึกออกมั้ยคะว่าคนที่ทำร้ายคุณเป็นใคร”
ก้องทำหน้าบึ้งตึง “ไม่เคยเห็นหน้าครับ แต่ถ้าจะให้เดา ก็คงเกี่ยวกับสมบัติที่เค้ายกให้ผมนั่นแหละ”
เจติยาคิดตาม “คุณคิดว่าเป็นฝีมือพี่น้องคุณรึเปล่า”
“ผมเป็นลูกคนเดียวครับ” ก้องมีสีหน้าน้อยใจขึ้นมา “แต่ก็ไม่ใช่ลูกคนโปรดอะไรหรอกนะ ผมไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากความตั้งใจ พูดตรงๆ มันพลาด”
เจติยามีสีหน้าเข้าใจและเห็นใจ
ก้องถอนใจแล้วพูดประชดกึ่งตัดพ้อ “ทั้งพ่อทั้งแม่ผม ก็ไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไรนักหนา” ก้องยักไหล่ “พ่อผมก็อย่างที่เห็น ส่วนแม่ก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว ที่ผมโตขึ้นมาได้ ก็เพราะตากับยาย”
“ถ้าไม่มีพี่น้อง แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าสมบัติพวกนี้ เป็นต้นเหตุให้คุณถูกทำร้ายล่ะคะ”
“มีคนโทรมาขู่ผมครับ ผมก็บอกไปแล้วว่าผมไม่สนใจ ผมกับพ่อต่างคนต่างอยู่ แต่เค้าก็ยังโทรมาเรื่อยๆ แต่ละครั้งก็เปลี่ยนเบอร์โทรมาตลอด แต่เค้าพูดดัดเสียงฟังดูแปลกๆ ผมก็เลยจำได้ว่าเป็นคนๆ เดียวกัน”
เจติยาคิดตามพร้อมกับเก็บข้อมูลเต็มที่
ตำรวจควบคุมตัวนักเลงที่ใช้ไม้จะตีหัวก้องไปเข้าห้องขัง ในขณะที่นวัชกำลังคุยกับเจติยา
“ลูกน้องนายกัมปนาทจริงๆ อย่างที่เจว่า” นวัชบอก
เจติยามีสีหน้านิ่งอย่างใช้ความคิด
นวัชยิ้มชื่นชม “เจนี่เก่งนะ เห็นหน้าคนร้ายแค่ครั้งเดียว หาข้อมูลได้ละเอียดยิบ จนพี่รวบตัวมาได้ง่ายๆ”
เจติยายิ้มบางๆ ให้ก่อนมองไปที่ด้านหลังนวัชก็เห็นวิญญาณกัมปนาทยืนอยู่ด้วยหน้าตาถมึงทึง เพราะจริงๆแล้วกัมปนาทเป็นคนบอกเจติยา
“แล้วเรื่องพินัยกรรม พี่สืบอะไรได้เพิ่มเติมอีกมั้ยคะ” เจติยาถาม
“นายกัมปนาทมีลูกคนเดียว เรื่องพี่น้องชิงสมบัติกันคงไม่ใช่ แต่พินัยกรรมฉบับนี้ทำคนเสียผลประโยชน์หลายคน คงต้องสืบอย่างละเอียดอีกที”
เจติยาพยักหน้ารับ
นวัชนึกขึ้นได้ “เออ แต่มันก็มีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างนะเจ”
เจติยาสนใจ “อะไรคะ”
“นายกัมปนาทเพิ่งทำพินัยกรรมได้ 3-4 วันนี่เอง ยังกะรู้ตัวว่าจะตายอย่างงั้นแหละ”
เจติยาแปลกใจจึงหันไปมองกัมปนาที่ด้านหลังนวัช แต่กัมปนาทก็หายไปแล้ว เจติยาติดใจสงสัยว่าทำไมกัมปนาทต้องปิดบังเรื่องนี้ด้วย
กัมปนาทโวยวาย “ฉันไม่ได้ปิดบัง ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละ” กัมปนาทกวน “ทำไม คนเพิ่งทำพินัยกรรมแล้วจะตายไม่ได้เหรอ”
เจติยาคุยกับกัมปนาทอยู่ที่มุมหนึ่งในโรงพัก
เจติยาหน้าเครียด “แต่คุณต้องบอกฉันทั้งหมด ฉันกำลังตามหาฆาตกรให้คุณอยู่นะ เรื่องเล็กน้อยแค่ไหน ก็เป็นเบาะแสได้ทั้งนั้นแหละ”
“เออๆรู้แล้ว ต่อไป ฉันจะบอกให้หมดก็แล้วกัน”
เจติยาถอนใจอย่างเซ็งๆ “งั้นเอางี้ ตอนนี้คุณสงสัยใคร ก็ตามคนๆนั้นไว้ละกัน เผื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากขึ้น”
กัมปนาทหน้าเสีย “ต้องตามตลอดเลยเหรอ ถ้าไม่มีเธออยู่ด้วย บางที่ฉันก็เข้าไปไม่ได้หรอกนะ”
เจติยาแปลกใจ “ทำไมไม่ได้ล่ะ คุณพูดเหมือนกับว่าต้องอาศัยฉัน ถึงจะมีพลังทำอะไรได้อย่างงั้นแหละ”
กัมปนาทหน้าเสียก่อนจะรีบโมโหกลบเกลื่อน “เรื่องมากซะจริง นี่ถ้าต้องทำเองหมดทุกอย่างแบบนี้ แล้วฉันจะมาขอความช่วยเหลือจากเธอทำไมเนี่ย”
พูดจบ วิญญาณกัมปนาทก็เลือนหายไปอย่างหัวเสีย เจติยาส่ายหน้าเอือมระอานิสัยกัมปนาทที่ไม่ไหวเลยจริงๆ
ลาภิณกำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่
“ผมให้ปากคำไปตามจริง ไม่น่ามีปัญหาหรอกครับ” ลาภิณฟัง “ไม่ต้องกลัวครับ ผมไม่ทำให้พี่อรเสียชื่อแน่” ลาภิณออดอ้อน “พี่อรครับ ผมคิดถึงพี่จังเลย ให้ผมไปหาได้มั้ยครับ” ลาภิณฟังอีกฝ่ายแล้วก็จ๋อย “ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ลาภิณฟัง “ครับ.. ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
ลาภิณกดวางสายด้วยสีหน้าจ๋อยๆ ก่อนจะหันไปเห็นอยุทธ์ยืนมองเขาอยู่
อยุทธ์ยิ้มๆ “โทรคุยกับคุณเจอยู่เหรอครับ”
ลาภิณทำหน้าบึ้งตึง “ผมจะโทรหาผู้หญิงคนนั้นทำไม”
อยุทธ์ไม่พอใจ “ผู้หญิงคนนั้น” คุณเรียกคุณเจแบบนี้ ผมว่ามันฟังดูไม่ดีเลยนะครับ”
ลาภิณกวน “แล้วคุณจะให้ผมเรียกว่ายังไงล่ะ เค้าก็เป็นแค่พนักงานผู้หญิงคนนึง ทำให้ผมต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษด้วย”
อยุทธ์ยิ้มกวน “เหรอครับ ก็ดีงั้นผมก็คงจีบคุณเจได้ใช่มั้ยครับ”
ลาภิณตกใจเพราะนึกไม่ถึง “คุณอยุทธ์...”
อยุทธ์ยิ้มกวนๆ “ผมชอบคุณเจ โอ.เค.นะครับ” อยุทธ์พูดจบก็เดินไป
ลาภิณหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขาหันมองตามอยุทธ์เขม็งเพราะความหึงหวงจากส่วนลึกของจิตใจพุ่งแล่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
อยุทธ์กับทวีกำลังช่วยกันเตรียมอุปกรณ์แต่งศพพร้อมกับพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทวีหัวเราะชอบใจโดยพูดไปทำงานไป “คุณก็ไม่น่าไปแกล้งคุณต้นแกเลย รู้อยู่ ว่าแกโดนอำนาจเหรียญจนจำหนูเจไม่ได้ แล้วยังจะไปยั่วแกอีก”
อยุทธ์ขำ “ผมก็ไม่ได้คิดจะทำหรอกครับลุง แต่ไปได้ยินเค้าคุยโทรศัพท์ออดอ้อนพี่อรแล้วมันทนหมั่นไส้ไม่ไหวจริงๆ เจ็บใจแทนคุณเจ” อยุทธ์เหล่มองทวียิ้มๆ “ลุงเองก็แอบสะใจใช่มั้ยล่ะ”
“แหม ทำมาเป็นรู้ใจคนแก่... ก็นิดนึง ลุงก็สงสารหนูเจเหมือนคุณนั่นแหละ”
อยุทธ์ขำๆ แล้วก็แต่งศพต่อไป
ทวียิ้มแย้ม “แต่แผนนี้ จะว่าไปก็เข้าท่าเหมือนกันนะ เกิดคุณต้นหึงคุณยุทธ์หนักๆเข้า อาจจะจำหนูเจได้ขึ้นมาก็ได้”
“เป็นยังงั้นได้ก็ดีสิครับ” อยุทธ์หน้าขรึมลง “ถึงปากจะบอกว่าทนได้ แต่ช่วงนี้ผมเห็นสายตาคุณเจไม่ค่อยมีความสุขเอาซะเลย” อยุทธ์มีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยจนออกนอกหน้า
ทวีแอบชำเลืองมองหน้าอยุทธ์เล็กน้อยโดยแอบรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาตะหงิดๆ
หัวค่ำ ช้อนส้อมถูกรวบเสียงดังโดยลาภิณทั้งๆที่ข้าวยังเหลืออีกครึ่งจาน ลาภิณรวบช้อนด้วยใบหน้าหงิกงอ ในขณะที่เจติยากำลังจะนั่งลงกินข้าว
เจติยาแปลกใจ “อ้าว อิ่มแล้วเหรอคะคุณต้น”
“ฉันกินไม่ลง” ลาภิณบอก
“ไม่พอใจอะไรฉันรึเปล่า”
ลาภิณโมโหหึง “ยังจะต้องให้ฉันพูดอีกเหรอะ คนเราทำอะไรลงไปมันก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ”
ลาภิณเดินหงุดหงิดออกจากห้องอาหาร
เจติยามองตามด้วยความงุนงงเพราะไม่เข้าใจว่าลาภิณพาลเพราะแอบหึงหวงเธออยู่
สายวันต่อมา เจติยากำลังหยิบข้าวของที่ตนซื้อมาฝากแม่ออกจากถุง มีของกินของใช้มากมาย ทั้งขนม ผลไม้ ฯลฯ โดยมยุรีคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ
“ทีหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาเยอะแยะนะเจ ที่บ้านเรามีหมดทุกอย่างแล้ว แม่อยู่กับนทีแค่สองคน กินไม่หมดหรอก เหลือทิ้งก็เสียดาย” มยุรีว่า
เจติยายิ้มแย้ม “ของกินพวกนี้มีเหลือไว้ดีกว่าขาดนะคะ”
“มีเงินแล้วใจใหญ่นะเรา ถึงคุณต้นเค้าจะรวยแต่เราก็ควรช่วยเค้าประหยัด เออ พูดถึงคุณต้น หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลย งานยุ่งมากเหรอ”
เจติยาหน้าจ๋อยไปก่อนจะปั้นยิ้ม “ค่ะ งานยุ่งมาก” เจติยารีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนทีล่ะคะแม่”
มยุรีไม่สบายใจ “อยู่ที่วัด วันนี้ครบรอบวันตายหนูพลอย นทีก็เลยไปทำบุญให้”
“ผ่านมานานแล้วเหมือนกันนะคะแม่” เจติยาถอนใจ “นี่นทียังไม่เลิกคิดถึงพลอยอีกเหรอคะ”
“รักครั้งแรก คงไม่ลืมง่ายๆหรอก ถ้าเจว่าง ก็หาเวลาคุยกับน้องบ้างสิ เรื่องบางเรื่อง นทีก็ไม่ยอมพูดกับแม่ แต่อาจจะยอมคุยกับเจก็ได้นะ”
เจติยาหน้าขรึมลงเพราะอดเป็นห่วงน้องไม่ได้
นทีปล่อยปลาลงในคลองก่อนจะมองปลาที่ตนปล่อยไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยยังคิดถึงพลอยอยู่
ขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงกสิณดังขึ้น
“ถ้าฉันเป็นพลอย ฉันคงดีใจมากเลยนะ ที่มีแฟนรักมั่นคงอย่างเธอ”
นทีรีบหันกลับไปมอง ปรากฏว่าไม่เห็นใครแม้แต่เงา ทันใดนั้นน้ำในคลองก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปคนก่อนที่คนนั้นจะค่อยๆเดินขึ้นมาที่ศาลา นทีหันกลับมาเห็นเข้าก็ตกใจสุดขีด แต่พอจะหนีขาของเขากลับขยับไม่ได้
เสียงกสิณดังขึ้น “เปล่าประโยชน์ เธอไม่มีวันหนีฉันพ้นหรอก”
พูดจบ มวลน้ำก็กลายร่างเป็นกสิณ
กสิณยิ้มบางๆ “บางทีคนที่มีความรักมั่นคงกับพวกหัวดื้อ มันก็มีส่วนคล้ายกันเหมือนกันนะ ดื้อรั้น ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีทางชนะ เหมือนพี่สาวเธอยังไงล่ะ”
นทีกลัวสุดๆ “แกเป็นตัวอะไรกันแน่ แล้วแกรู้จักฉันกับพี่เจได้ยังไง”
กสิณขำหยัน “กลัวขนาดนี้ ยังอุตส่าห์มีคำถามอีกนะ เธอกับพี่สาวนี่ช่างเหมือนกันซะจริงๆ” กสิณจ้องหน้านที “ฉันไม่มีเวลามาตอบคำถามเธอหรอกนะ เอาเป็นว่า ที่ฉันมาหาเธอ ก็เพราะฉันอยากจะให้บทเรียน คนดื้อหัวรั้นอย่างพี่สาวเธอ”
นทีกลัวสุดๆ แต่ก็เป็นห่วงพี่ “แกจะทำอะไรพี่เจ”
กสิณพูดด้วยแววตาชิงชังและดุดัน “ฉันจะทำให้เค้ารู้ว่า แค่ความดันทุรัง มันเอาชนะฉันไม่ได้หรอก” กสิณเดินพูดไปรอบๆตัวนที
นทีขยับตัวไม่ได้ ทำได้แต่กรอกตามองตามกสิณ
“เจติยาอาจยอมเสี่ยงถ้าจะต้องเสียสามีตัวเองไปตลอดกาลได้ แต่ถ้าต้องเสียน้องชายแท้ๆ ที่คลานตามกันมาล่ะ” กสิณยิ้มเหี้ยม
พูดจบนทีก็ค่อยๆ เดินช้าไปที่คลองอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ นทีพยายามจะไม่ไป แต่ขาตัวเองก็ก้าวออกไป โดยไม่ยอมฟังคำสั่งตัวเอง
นทีตะโกนให้คนช่วย “ช่วยด้วย”
แต่นทีพูดได้แค่นั้นแล้วก็พูดไม่ออก เขาค่อยๆเดินช้าๆไปที่คลอง
เจติยาเดินเข้ามาในวัดโดยตั้งใจมาตามหานทีเพื่อพูดคุยด้วยตามที่แม่ขอ ทันใดนั้นเจติยาก็เหลือบไปเห็น นทีกำลังเดินลงไปในคลองก่อนจะจมหายลงไปในคลองต่อหน้าต่อตา
เจติยาตกใจสุดขีด “นที”
เจติยารีบวิ่งไปที่คลองก่อนจะกระโจนลงน้ำตามไปช่วยนทีทันที
เจติยาดำดิ่งลงไปในคลองแล้วพยายามแหวกว่ายตามหานที เธอมองหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนที เจติยาพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อหายใจให้เต็มปอดก่อนจะดำดิ่งลงไปใต้น้ำอีกครั้งเพื่อหาตัวน้องชาย เจติยาดำผุดดำว่ายตามหาน้อง ขณะนั้นเอง เธอก็เหลือบเห็นนทีจมนิ่งไม่ได้สติอยู่ที่ใต้น้ำ เจติยาแหวกว่ายเข้าไปหานที ทันใดนั้นก็มีมือจำนวนมากโผล่ออกมาจับตัวเจติยาไว้ เจติยาตกใจสุดๆ แล้วก็พยายามจะดิ้นแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะมือจำนวนมากจับเจติยาไว้แน่นจนตัวเจติยาเองก็ชักจะหายใจไม่ออก ทันใดนั้นกสิณก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเจติยา
“ขอพรสิเจติยา เพียงแค่เธออธิษฐานในใจขอพรจากเหรียญ ทั้งเธอทั้งน้องชายของเธอก็จะปลอดภัย”
เจติยาขบกรามแน่นมีสายตาเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้
กสิณยิ้มขำๆ “ยังคิดจะสู้อีกเหรอ ไม่มีประโยชน์หรอก อีกไม่นาน เธอกับน้องต้องขาดอากาศหายใจตายแน่ มีแต่เหรียญเท่านั้น ที่จะช่วยเธอได้”
เจติยาพยายามดิ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ ยิ่งเห็นนทีนิ่งไม่ได้สติ เจติยาก็ยิ่งร้อนใจ
ทันใดนั้น เจติยาก็ฉุกคิดขึ้นได้เลยหลับตาตั้งสติทำสมาธิ พอจิตสงบก็มีแสงรัศมีสีขาวอออกจากร่างของเจติยา เป็นพลังที่ยมทูตให้ไว้ซึ่งคุ้มครองเจติยาทันทีที่เจติยามีสมาธิ มือจำนวนมากที่จับตัวเจติยาอยู่ถูกแสงสีขาวก็รีบปล่อยทันที กสิณตกใจจึงจะเข้าไปบีบคอเจติยา แต่กลับถูกแสงสีขาวผลักออกมา
กสิณร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเมื่อเจอพลังของเจติยาทำร้ายอีกครั้ง สุดท้ายกสิณต้องสลายตัวกลืนไปกับมวลน้ำหายไป เจติยาจัดการกสิณได้ก็รีบดำน้ำลงไปช่วยนทีขึ้นมาทันที
เจติยาดึงน้องชายโผล่พ้นผิวน้ำแล้วพยายามว่ายน้ำพานทีมาที่ศาลา ก่อนที่จะลากตัวนทีขึ้นมาที่ศาลาจนได้
เจติยาเขย่าตัวนที “นทีๆ”
นทีไม่รู้สึกตัวเพราะกินน้ำเข้าไปมากจนสลบไม่ได้สติ เจติยาตกใจสุดๆ จนขาดสติ เธอพยายามจะกดที่ท้องของนทีเพื่อให้เขาสำลักน้ำออกมา ทันใดนั้น ก้องก็เข้ามาช่วยทันที
“ถอยไปครับ คุณทำผิดวิธี”
ก้องมาถึงก็จับนทีนอนหงายแล้วทำการกดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับการผายปอดแบบเม้าท์ทูเม้าท์ 2 ครั้ง เพียงครู่หนึ่ง นทีก็ไอโขลกออกมาพร้อมกับสามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง ก้องเป่าปากโล่งอก
เจติยาดีใจสุดๆ “นที เป็นยังไงบ้าง”
นทีลืมตามองเจติยาแต่ก็ยังอ่อนแรงอยู่จนพูดไม่ออก เจติยายิ้มดีใจที่นทีปลอดภัยแล้ว
เจติยาและมยุรีช่วยกันประคองนทีเข้ามานอนพักที่โซฟาในโถงบ้าน ก้องเดินตามหลังมา
“ขอบคุณมากนะคะ โชคดีจริงๆที่คุณบังเอิญอยู่ที่วัดพอดี ไม่อย่างงั้นนทีคงแย่แน่”
“ก็ไม่เชิงบังเอิญหรอกครับ” ก้องทำหน้าขรึมลง “ผมจะแวะมาคุยเรื่องพ่อกับคุณเจ พอดีหาบ้านไม่เจอ ก็เลยถามคนแถวนี้เลยรู้ว่าคุณเจไปที่วัด ผมก็เลยตามไป”
เจติยาสงสัยและอยากรู้ “คุณก้องมีเรื่องอะไรอยากคุยกับฉันเหรอคะ”
ก้องมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะไม่รู้จะเริ่มเล่าตั้งแต่ตรงไหนดี
เจติยาเดินคุยกับก้องมาตามละแวกบ้าน
ก้องหน้าเครียด “ผมก็เพิ่งทราบนี่ล่ะครับ ว่าพ่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ถึงไม่โดนระเบิด พ่อก็คงไม่รอดอยู่ดี ที่พ่อทำพินัยกรรม ก็คงเพราะอยากให้ทุกอย่างเรียบร้อยมั้งครับ”
เจติยาคิดทบทวนแล้วก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้น “งั้นก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่”
“ทำไมครับ”
เจติยาอึกๆอักๆ “คือฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะคะ แต่ฉันว่ามันมีอะไรไม่สมเหตุสมผลหลายๆอย่าง”
ก้องงง “ผมว่าที่แปลกสุด คือคุณมากกว่ามั้ง ตกลง คุณรู้จักคุณพ่อผมได้ยังไง ยังไม่เห็นคุณเล่าให้ฟังเลย”
“ฉันต้องเล่าให้คุณฟังแน่ค่ะ แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่ฉันไม่แน่ใจอีกหลายอย่าง เล่าไปตอนนี้ คุณก็คงไม่เชื่อหรอกค่ะ”
ก้องคิดอยู่ครู่นึงเพราะไม่ได้อยากบังคับเจติยาอยู่แล้ว “โอ.เค. คุณพร้อมเมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้ก็แล้วกัน แต่ยังไง ก็ต้องขอบใจนะ ที่คุณช่วยเป็นธุระให้พ่อผม”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจติยาบอก
“งั้นผมไม่กวนเวลาคุณแล้วล่ะ” ก้องยกมือไหว้
เจติยารับไหว้ ส่วนก้องเดินเลี่ยงไป เจติยามองตาม ทันใดนั้น กัมปนาทก็เดินทะลุตัวก้องเข้ามาหาเธอ
เจติยาจ้องหน้ากัมปนาท “คุณจะพูดความจริงกับฉันได้รึยัง”
กัมปนาทหน้าหวน “ฉันไปโกหกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ต้นเลยล่ะค่ะ ทำไมคุณไม่บอกว่าคุณเป็นมะเร็ง”
กัมปนาททำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ “ฉันตายเพราะระเบิด ไม่ได้ตายเพราะมะเร็ง หน้าที่ของเธอ คือหาตัวฆาตกรออกมา เรื่องอื่นไม่ต้องยุ่งหรอกน่ะ”
เจติยามองกัมปนาทด้วยสายตาหวาดระแวง “ฉันว่าที่คุณปิดบังฉัน เพราะหวังผลอะไรซักอย่างมากกว่า”
กัมปนาทหงุดหงิด “ตกลงจะจับผิด หรือจะทำงาน อย่าลืมนะ ว่าเธอหาตัวฆาตกรได้เร็วเท่าไหร่ ฉันก็ไปจากเธอเร็วเท่านั้น”
เจติยาถอนใจ “ฉันยังมืดแปดด้านอยู่เลย ตำรวจก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ แล้วฉันจะไปช่วยคุณได้ยังไงล่ะคะ”
กัมปนาทมีสีหน้าสงสัย “ฉันสงสัยคนอยู่ 3-4 คน ถ้าฉันตาย พวกมันจะได้ประโยชน์”
เจติยาฟังแล้วก็คิดตามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เธอไปบอกตำรวจให้หน่อยสิ ฉันว่าต้องมีใครซักคนในกลุ่มนี้แหละ ที่ฆ่าฉัน ดีไม่ดีมันอาจจะลงขันร่วมมือกันฆ่าฉันก็ได้”
เจติยาชักสงสัย “คุณสงสัยใครมั่งคะ”
ตำรวจควบคุมตัวลูกน้องกัมปนาท 3-4 คนมาสอบปากคำ แต่ละคนใส่สูทผูกไทค์ แต่งตัวดี ทำให้เห็นว่าเป็นลูกน้องระดับมันสมองของกัมปนาททั้งนั้น
นวัชกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ “พี่เชิญมาสอบปากคำตามที่เจได้เบาะแสมาแล้วนะ” นวัชฟัง
ทันใดนั้นก็มีตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหานวัช
“ผู้กองครับ มีผู้หญิงมารอพบ บอกว่าชื่อ...”
นวัชตกใจรีบยกมือห้ามก่อนจะเบี่ยงตัวขยับไปคุยตัดบทกับเจติยา “เจ แค่นี้ก่อนนะ พี่มีงานพอดี” นวัชฟัง ก่อนตอบ “หวัดดีจ้ะ”
นวัชรีบกดวางสาย
นวัชมีสีหน้าท่าทางกังวล “ขอบใจนะจ่า อยู่ที่หน้าโรงพักใช่มั้ย”
“ครับ” ตำรวจตอบ
นวัชรีบร้อนเดินออกไปด้วยท่าทางมีพิรุธ
เจติยากำลังเดินมาตามทางจนมาเจอกับอยุทธ์ที่กำลังกดน้ำดื่มอยู่พอดี
อยุทธ์ยิ้มทักทาย “มาเข้าเวรเหรอครับคุณเจ”
“ค่ะ เอ๊ะ วันนี้เวรลุงทวีไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ พอดีลุงเค้าติดธุระ ก็เลยแลกเวรกับผมน่ะครับ ลุงเค้าจะมาเข้าเวรต่อจากคุณเจแทน”
เจติยายิ้มแหยๆ “อุ้ย งั้นขอโทษด้วยนะคะที่มาเปลี่ยนเวรช้าไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ สายแค่ห้านาทีเอง ตอนนี้ก็ยังไม่มีศพใหม่เข้ามาด้วย”
ทันใดนั้นอยุทธ์ก็เหลือบเห็นลาภิณกับพิมพ์อรเดินจับมือคุยกันมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนคนรักกันไม่มีผิด อยุทธ์มองทั้งคู่ด้วยสายตาไม่พอใจ ลาภิณชะงักเมื่อเห็นเจติยากำลังยืนคุยกับอยุทธ์อยู่
อยุทธ์ได้ที เขากลัวเจติยาหันไปเห็นลาภิณเลยรีบฟอร์ม “คุณเจ อยู่นิ่งๆนะครับ มีตัวอะไรเกาะผมคุณเจอยู่ก็ไม่รู้ เดี๋ยวผมเอาออกให้ครับ”
เจติยาแหยงๆ “ตัวอะไรคะ อย่าบอกนะว่าแมงมุม”
เจติยายืนนิ่งให้อยุทธ์จับออกให้ด้วยท่าทางกลัวมากจนขนลุก อยุทธ์แกล้งลูบผมเจติยาเหมือนจะหาอะไรซักอย่าง ดูเผินๆ เหมือนคนกำลังจู๋จี๋กันโดยการลูบผมดูสนิทสนม ลาภิณเห็นก็หน้าตึง ขบกรามแน่นด้วยความหึงหวงเต็มเปี่ยม ในขณะที่พิมพ์อรตกใจที่เห็นน้องชายทำแบบนี้ ลาภิณไม่พูดแม้แต่คำเดียว เขารีบเดินเลี่ยงไปด้วยความโมโหหึงทันที พิมพ์อรได้แต่มองตามด้วยความตกใจกับท่าทางของลาภิณ
เจติยาแหยงๆ กลัวๆ “ปัดออกไปเลยค่ะ ขนลุกขึ้นหัวแล้ว”
อยุทธ์ยิ้มๆ “เศษใบไม้ครับ ไม่ใช่แมงมุม”
เจติยาโล่งอก “โอ้ย โล่งอกไปที ขอบคุณค่ะ อย่าบอกใครนะคะว่าเจกลัวแมงมุม ความลับสุดยอด”
อยุทธ์ยิ้มๆ “ครับ”
เจติยาเดินเลี่ยงไป อยุทธ์หันไปมองพี่สาวที่จ้องเขม็งมาทางเขาด้วยความไม่พอใจในสิ่งที่น้องชายทำ
อยุทธ์เดินมาถึงหน้านิราลัย ทันใดนั้น รถของพิมพ์อรก็เลี้ยวปราดเข้ามาขวางหน้าเขาไว้ พิมพ์อรลงจากรถด้วยความโมโหทันที
พิมพ์อรโมโห “เธอทำแบบนี้ต้องการอะไร”
อยุทธ์พูดกวนๆ “ทำไมครับ พี่กลัวว่าคุณต้นหึงคุณเจหนักๆเข้า แล้วจะกลับไปจำคุณเจได้รึไง”
พิมพ์อรโมโห “อย่ามาย้อนฉันนะ ฉันถามว่าต้องการอะไร”
อยุทธ์หน้าเครียด “แล้วพี่ล่ะครับ ใช้อำนาจเหรียญบิดเบือนความทรงจำคุณต้นทำไม”
พิมพ์อรโมโห “ฉันไม่ได้ทำ ปิศาจที่อยู่ในเหรียญเป็นคนทำของมันเอง”
อยุทธ์จ้องหน้าพิมพ์อรนิ่ง “พี่เป็นเจ้าของเหรียญ ถ้าพี่ไม่เห็นด้วย พี่ก็แก้ไขให้เหมือนเดิมได้ แต่ที่พี่ไม่ทำ ก็เพราะพี่ต้องการให้เป็นแบบนี้” อยุทธ์ทำสีหน้าดูถูก “ผมไม่นึกเลยว่าพี่อรจะทำเรื่องทุเรศแบบนี้ได้”
พูดจบ พิมพ์อรก็ตบหน้าอยุทธ์ทันที
พิมพ์อรโมโหมาก “แกเป็นน้องฉัน กล้าดียังไงมาด่าฉัน”
อยุทธ์จ้องหน้าพิมพ์อรเขม็งก่อนจะใส่เป็นชุดเพื่อระบายความอัดอั้น “เป็นน้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องยอมให้พี่ทำเลวๆได้นี่ครับ ผมยอมพี่มามากแล้ว ไม่เคยสงสัยในตัวพี่เลย ถึงได้ถูกพี่หลอกเรื่องคุณพ่อมาตลอด ทั้งๆ ที่คุณพ่อให้อภัยผมตั้งนานแล้ว” อยุทธ์ทำสีหน้าจริงจัง “ผมจะไม่ยอมให้พี่อรทำลายครอบครัวคุณต้นกับคุณเจได้เด็ดขาด”
พิมพ์อรขบกรามแน่นด้วยความโกรธแค้นก่อนจะยิ้มเยาะออกมา “อย่าทำเป็นคนดีไปหน่อยเลยอยุทธ์ ฉันเห็นสายตาเธอที่มองแม่นั่น ฉันก็รู้แล้วว่าเธอคิดยังไง เธอเองมันก็ไม่ต่างไปจากฉันหรอก”
อยุทธ์รู้สึกแทงใจดำ เขาขบกรามแน่นด้วยความโมโห “ต่างสิครับ เพราะผมรู้จักยับยั้งช่างใจ แล้วก็ยังมีจิตสำนึกแยกแยะดีเลวออกอยู่” จ้องหน้าพี่สาวเขม็งก่อนเดินเลี่ยงไปด้วยความโกรธจัด
พิมพ์อรมองตามด้วยความโกรธสุดๆ “แกกล้าด่าฉันเลวเหรอ ได้...ฉันจะเลวให้สมใจแก” พิมพ์อรเรียกใช้ “กสิณ”
ไม่มีวี่แววของกสิณปรากฏตัวออกมา
“กสิณ...ออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้”
ทุกอย่างยังเงียบ พิมพ์อรมีสีหน้าโกรธจัดเพราะไม่พอใจมาก เธอกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ
อ่านต่อหน้าที่ 2
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 7 (ต่อ)
กสิณทรุดฮวบคุกเข่าลงกับพื้น เหงื่อแตกโทรมกาย หมดพลังจนไม่สามารถยืนได้ ร่างของกสิณเริ่มจาง จนเห็นทะลุได้มีสภาพเหมือนตอนปราณอ่อนแรงลงไม่มีผิด
กสิณเหนื่อยหอบและอ่อนแรงสุดๆ “เจติยา นี่เธอมีพลังทำร้ายฉันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
กสิณขบกรามแน่นพยายามรวบรวมพลัง ไม่ให้ร่างของตนจางมากไปกว่า
เจติยาแต่งหน้าศพเสร็จก็หันไปเซ็นเอกสาร ขณะนั้นลาภิณก็เดินเข้ามาในห้อง
“ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนะคะคุณต้น” เจติยาไปถอดถุงมือแล้วล้างมือทำความสะอาด
ลาภิณโมโหหึง “ฉันก็ไม่ได้มารับเธอกลับบ้านหรอกน่ะ”
เจติยาแปลกใจ “มีงานอะไรจะใช้เจเหรอคะ”
“ฉันมีเรื่องจะมาทำความตกลงกับเธอ”
เจติยางงๆ
ลาภิณจ้องหน้า “โอเค เธออาจจะเป็นพนักงานคนโปรดของคุณแม่ เลยได้สิทธิ์พิเศษพักที่บ้านฉัน” ลาภิณยักไหล่ “ฉันพอรับได้ พี่อรก็ไม่ติดใจอะไร แต่นี่เธอเที่ยวป่าวประกาศว่าเป็นเมียฉันแล้ว เธอจะทำอะไร ก็ควรจะนึกถึงหน้าฉันบ้าง”
เจติยาไม่พอใจ “ฟังนะคะ ข้อแรก ฉันไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศ แต่ฉันกับคุณแต่งงานกันแล้วจริงๆ ทุกคนในบริษัทเค้ารู้กันอยู่แล้ว”
ลาภิณกรอกตาเซ็งๆ เพราะเบื่อจะฟังคำโกหก
เจติยาพูดต่อ “ข้อสอง ฉันไปทำอะไรให้คุณเสียหน้าไม่ทราบ”
ลาภิณยิ้มเยาะ “งั้นก็ฟังนะ ข้อแรก ไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่ยืนยันได้ว่าเธอกับฉันแต่งงานกันแล้ว ที่พนักงานทุกคนเข้าใจแบบนั้นเกิดจากอุปทานหมู่ที่เธอสร้างกระแสขึ้นมา”
เจติยาเป็นฝ่ายกรอกตาเซ็งๆ บ้าง
“ข้อสอง” ลาภิณขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ “เธอทำประเจิดประเจ้อกับพนักงานผู้ชายในบริษัท แค่นี้ ฉันเสียหน้าพอรึยัง”
เจติยาโมโหหนักขึ้น “อ้าวก็คุณไม่เชื่อว่าเราแต่งงานกัน แล้วคุณจะแคร์ทำไมว่าฉันจะไปทำประเจิดประเจ้อกับใคร”
“ก็คนอื่นเค้าเชื่อว่าเธอเป็นเมียฉัน ฉันโดนสวมเขาต่อหน้าต่อตายังงี้ ฉันอายเค้า”
เจติยาเท้าสะเอว “โอ้ย ยิ่งคุยกับคุณฉันยิ่งงง ตกลงเชื่อหรือไม่เชื่อเนี่ยว่าเราแต่งงานกันแล้ว”
ลาภิณจ้องหน้าเจติยา “ไม่เชื่อ”
เจติยาจ้องตอบ “แต่หึงฉัน”
ลาภิณผงะไปที่โดนย้อนกลับมาแบบนี้ ทำเอาเขาตอบกลับไม่ถูกเลย
“ฉันขี้เกียจจะเถียงกับเธอแล้ว เอาเป็นว่า อย่าทำพฤติกรรมแบบนี้ในบริษัทฉันอีก” ลาภิณจะเดินออกไป
เจติยาคว้าแขนลาภิณเอาไว้ “เดี๋ยว พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
ลาภิณหันมาจ้องเจติยาหน้าหงิก
“คุณกล่าวหาว่าฉันไปสวมเขาให้คุณ” เจติยาเจ็บใจจนไม่อยากพูด “ฉันไปทำอะไร กับใคร เมื่อไหร่ คุณพูดมาเดี๋ยวนี้เลย”
ลาภิณโมโหหึง “ยังมีหน้ามาถามฉันอีก รู้อยู่แก่ใจ” ลาภิณยิ้มเยาะ “หรือว่าจะต้องให้ฉันถ่ายคลิปมาให้ดู” ลาภิณพูดกวนๆ “ตกลงตอนนี้เธอคั่วผู้ชายพร้อมๆกันกี่คนกันแน่”
เจติยาโมโหสุดๆ “ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนหยาบคายแบบนี้ ไปได้” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างผิดหวัง “ความเป็นสุภาพบุรุษของคุณ มันหายไปกับความจำหมดแล้วรึไง”
ลาภิณโมโหมากจึงกระชากข้อมือเจติยา “เธอก็ไม่ได้ดีกว่าฉันนักหรอก”
เจติยาโดนจับข้อมือแรงจนเจ็บ “โอ้ย”
ลาภิณตกใจก็รีบปล่อยมือทันที
ขณะนั้นเอง ลาภิณก็เหลือบเห็นรอยเขียวช้ำที่ข้อมือเจติยา
“เธอไปโดนอะไรมา”
เจติยาเจ็บข้อมือ “เมื่อเช้านทีจมน้ำ ฉันก็เลยโดดน้ำลงไปช่วย ข้อมือก็เลยซ้นนิดหน่อย”
ลาภิณเผลอเป็นห่วง “แล้วนวดยารึยัง”
เจติยาจ้องหน้าลาภิณ
ลาภิณจ้องหน้าเจติยากลับ ทันใดนั้นก็มีภาพในอดีตบางอย่างปรากฏแวบขึ้นในหัวลาภิณทันที ภาพตอนที่เจติยาถูกยิงค่อยๆทรุดลงกับพื้น ก่อนจะสิ้นสติไป ลาภิณ มยุรี และนทีรีบวิ่งเข้าไปดูอาการเจติยาทันที ลาภิณเป็นห่วงสุดๆ “เจ ได้ยินฉันรึเปล่า เจ” เจติยาหน้าซีดเผือดและหมดสติไปแล้ว
เมื่อภาพในอดีตแวบขึ้นมา ลาภิณก็ปวดหัวอย่างหนัก เพราะพอเริ่มจะจำอะไรได้ก็โดนขัดขวางความทรงจำจากอำนาจกสิณจนปวดหัวอย่างหนัก
ลาภิณปวดหัวสุดๆ “โอ้ย”
เจติยาตกใจและเป็นห่วงแต่ก็ฮึดสู้ “คุณต้นอดทนไว้ค่ะ ลองฝืนนึกต่ออีกนิดนะคะ”
ลาภิณปวดหัวหนักมากจนทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้น
กสิณลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตาถมึงทึง ดวงตาแดงฉานราวกับเลือดดูน่าสะพรึงกลัว
“ฉันไม่ยอมแพ้เธอเด็ดขาดเจติยา” กสิณตะโกนลั่น “ไม่มีทาง”
ลาภิณปวดหัวสุดขีด เขาดิ้นทุรนทุรายอย่างน่ากลัว
ลาภิณปวดหัวสุดขีด “โอ้ย”
เจติยาเป็นห่วงลาภิณสุดๆ แต่ก็อยากให้เอาชนะกสิณ “คุณต้นจำวันแต่งงานเราได้มั้ยคะ”
ลาภิณปวดหัวสุดขีด แต่ความทรงจำในอดีตก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมาในหัว
ภาพตอนที่ลาภิณร้องเพลงขอเจติยาแต่งงานในงานเลี้ยงบริษัทวันฮัลโลวีน
“ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกประสาทงามให้เธอ....” ลาภิณร้องพร้อมกับเดินลงจากเวทีตรงไปหาเจติยาโดยจบท่อนแรกที่หน้าเจติยาพอดี
ทุกคนแหวกทางให้ลาภิณเดินไปหาเจติยา เจติยายิ้มขวยเขินไปมา
ทันใดนั้นภาพที่ปรากฏก็เหมือนมีคลื่นแทรกจนภาพสั่นจะล้มแล้วเป็นสีขาว
ลาภิณมีสีหน้าเจ็บปวดทรมาน เขาเหลือบตามองหน้าเจติยาเหมือนจะจำอะไรได้
ภาพในอดีตแวบขึ้นมาต่อ ลาภิณร้องเพลงมาหยุดหน้าเจติยา “ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ” ลาภิณหยุดร้องจ้องเจติยาตาหวานเชื่อม “แต่งงานกับผมนะเจ”
ทันใดนั้น จอก็มืดไปเหมือนสัญญาณภาพถูกตัด
ลาภิณถูกอำนาจของกสิณกดจนสลบเหมือดไป
เจติยาตกใจสุดๆ “คุณต้น” เจติยาประคองลาภิณแล้วปลุกให้ได้สติ “คุณต้นๆ”
กสิณทรุดร่วงไปกับพื้นเพราะสูญเสียพลังมหาศาลกับการกดความทรงจำของลาภิณเอาไว้ ร่างของกสิณจางลงจนแทบจะหายไป กสิณไม่เหลือพลังพอจะรักษาร่างตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้ว
ทันใดนั้น พิมพ์อรก็กลับเข้ามาด้วยท่าทางหงุดหงิดเพราะไม่พอใจที่เรียกกสิณแล้วไม่มา พิมพ์อรเหลือบไปเห็นร่างของกสิณโปร่งแสงจนมองทะลุไปได้กำลังจะเลือนหายไป
พิมพ์อรตกใจสุดๆ จึงรีบเข้าไปหาทันที “เกิดอะไรขึ้นกสิณ”
กสิณอ่อนแรงสุดๆ จึงพูดเสียงแผ่วเบาชนิดที่แทบจะไม่มีแรงพูด “พลังของฉัน กำลังจะหมด ช่วยฉันด้วยพิมพ์อร”
พิมพ์อรร้อนใจสุดๆ เพราะกลัวกสิณหายไปแล้วเธอจะหมดผู้ช่วย “แล้วจะให้ฉันช่วยเธอยังไง”
กสิณเหนื่อยอ่อนมากแต่ก็รวมพลังเฮือกสุดท้าย “อธิษฐานต่อเหรียญ... พลังกิเลสที่ไม่สิ้นสุด จะช่วยเพิ่มพลังให้ฉัน”
พิมพ์อรรีบหยิบเหรียญของตัวเองออกมาทันที เหรียญในมือพิมพ์อรเริ่มจางลงเหมือนกสิณไม่มีผิด
พิมพ์อรตกใจสุดๆ เธอรีบกำเหรียญไว้ในมือแล้วรวบรวมสมาธิขอพรไม่ให้กสิณหายไป เพื่อที่ตัวเอง
จะได้มีข้ารับใช้ตลอดไป
พิมพ์อรรวมสมาธิ ขอพรต่อเหรียญ “ช่วยกสิณให้หายเป็นปกติเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นก็มีควันดำพวยพุ่งออกจากมือที่ถือเหรียญของพิมพ์อร พิมพ์อรแบมือออก เหรียญในมือพิมพ์อรกลับมามีสภาพเดิม ร่างของกสิณก็กลับมาเหมือนเดิมเช่นกัน พลังแห่งกิเลสและความโลภของพิมพ์อรช่วยกสิณเอาไว้ได้หวุดหวิด พิมพ์อรมองกสิณนิ่งด้วยความโล่งอกที่ช่วยกสิณเอาไว้ได้ เธอจ้องกสิณเขม็งรอฟังคำอธิบายของเรื่องนี้
พิมพ์อรระเบิดอารมณ์ใส่กสิณเต็มที่ด้วยความโกรธจัดอยู่ภายในห้องนอน
พิมพ์อรโมโห “ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าเจติยามีพลังชำระเหรียญ แล้วสามารถสู้กับเธอได้”
กสิณทำหน้าหยิ่งยโส “ถึงฉันบอก แล้วเธอจะช่วยอะไรฉันได้ ขนาดฉันยังสู้มันไม่ได้เลย เธอยิ่งไม่มีทาง”
พิมพ์อรหงุดหงิดสุดๆแต่กสิณก็พูดถูก “แล้วอยู่ๆแม่นั่นมีพลังแบบนี้ได้ยังไง”
“ฉันก็ไม่รู้ มันเกินกว่าอำนาจของฉันที่จะหยั่งถึงได้ ฉันรู้แต่ว่าตอนนี้เราต้องทำลายอำนาจชำระเหรียญของเจติยาให้ได้ ก่อนที่เหรียญจะถูกชำระให้บริสุทธิ์จนหมดสิ้นพลังที่จะสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ได้”
พิมพ์อรหงุดหงิด “งั้นก็รีบๆทำเข้าสิ จะให้ฉันช่วยอะไรก็ว่ามา”
“ทางเดียวที่จะลบล้างอำนาจได้ ก็คือให้เจติยาขอพรจากเหรียญ ถึงจะเป็นการขอพรเพื่อช่วยเหลือคนอื่นก็เถอะ”
พิมพ์อรคิดตามที่กสิณพูดอย่างไตร่ตรอง
กสิณพูดต่อ “เมื่อเหรียญรับพลังกิเลสของเจติยาแล้ว มันก็จะไม่มีความบริสุทธิ์พอที่จะชำระเหรียญได้อีก”
พิมพ์อรฉุกคิดได้ “งั้นที่เธอบิดเบือนความทรงจำของน้องต้นก็เพื่อที่จะให้เจติยาขอพรเหรียญใช่มั้ย” พิมพ์อรโมโหมาก “นี่เธอหลอกใช้ฉันนี่กสิณ”
“อย่าพูดว่าหลอกใช้ เราได้ประโยชน์ร่วมกันมากกว่า ถ้าไม่ทำเราก็จะสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ไม่ได้ แล้วเธอจะมีอะไรไปช่วยชีวิตพ่อเธอได้ล่ะ”
พิมพ์อรอึ้งเพราะเถียงไม่ออก ยังไงชีวิตของพ่อก็สำคัญที่สุด
กสิณยิ้มบางๆ แล้วโอบบ่าพิมพ์อร “อย่าสงสัยในตัวฉันเลยพิมพ์อร เธอเป็นเจ้านายฉัน ฉันไม่มีวันทรยศเธอเด็ดขาด”
พิมพ์อรถอนใจเซ็งๆ ที่ถูกหลอกแต่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะกสิณก็ทำเพื่อเธอจริงๆ กสิณปรายตามองพิมพ์อร แล้วยิ้มเหยียดอย่างดูถูกเพราะแท้จริงแล้วพิมพ์อรก็ไม่ต่างจากทาสรับใช้ของกสิณที่คอยเติมพลังกิเลสให้กสิณแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
หมอกำลังวัดความดันให้ลาภิณที่นั่งพักอยู่ที่โซฟา โดยมีเจติยาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
หมอวัดความดันและตรวจอาการเสร็จ “ทุกอย่างปกติดีแล้วนะครับ อาจจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อยก็ได้ ทานยาบำรุงตามที่หมอจัดไว้ให้ ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ”
ลาภิณยกมือไหว้ “ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
หมอยิ้มแย้มขณะรับไหว้
“ฉันไปส่งค่ะคุณหมอ” เจติยาบอก
หมอยิ้มแย้ม “ไม่เป็นไรหรอก เฝ้าคุณต้นเถอะ” หมอยิ้มให้ทุกคนแล้วจะเดินออกไปจากห้อง
เจติยารีบเดินนำไปเปิดประตูห้องให้พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ หมอรับไหว้แล้วออกไปจากห้อง
“ฉันบอกเธอแล้วว่าไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องตามหมอ เธอก็ไม่เชื่อ” ลาภิณว่า
เจติยาพูดพร้อมเดินมาหาลาภิณ “ให้คุณหมอตรวจดูอาการไว้ก่อนน่ะดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ ปวดหัวจนสลบ มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอกนะคะ” เจติยามีสีหน้าเป็นห่วง “เกิดเป็นอะไรหนักขึ้นมา จะได้รักษาทัน”
ลาภิณมองเจติยานิ่งอย่างซึ้งในน้ำใจ “ยังไงก็ต้องขอบใจเธอมากนะที่ช่วยฉันเอาไว้”
เจติยาจ้องหน้าลาภิณ “ฉันไม่มีวันทิ้งคุณอยู่แล้วล่ะ” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมา
ลาภิณใจหวั่นไหววูบวาบพิกล “เธอห่วงฉันมากขนาดนี้เลยเหรอ”
ลาภิณและเจติยาสบตากันนิ่ง เจติยามีน้ำตาไหลซึมออกมาจากความอัดอั้นที่ต้องเข้มแข็งมาตลอด เธอรีบยกมือขึ้นซับ ลาภิณรู้สึกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก เขาค่อยๆ เลื่อนมือจะไปจับกุมมือเจติยาแต่โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมของเจติยาดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน ลาภิณรีบดึงมือกลับแต่ก็แอบเงี่ยหูฟังการสนทนา
เจติยาดูเบอร์โชว์แล้วรีบกดรับ เธอฟังปลายสายอึดใจด้วยอาการตื่นเต้น “ค่ะ เจจะรีบไปที่บ้านพี่เดี๋ยวนี้เลย” เจติยากดตัดสาย
ลาภิณพูดหน้านิ่ง น้ำเสียงแดกดันอยู่ในที “ใครโทรมา นายอยุทธ์เหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ พี่ผู้กอง...”
ลาภิณพูดกวนๆ “ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนสิ ฉันยังมึนๆ อยู่เลย”
เจติยาอึดอัดใจ และร้อนใจเพราะอยากไปมากกว่า “งั้นเจไปส่งคุณต้นที่บ้านก่อนนะคะ”
ลาภิณพูดประชด “อยากไปบ้านผู้กองคนเดียว เพราะนายอยุทธ์อยู่ที่นั่นล่ะสิ” ลาภิณเบะปากด้วยความหมั่นไส้
“เจไปเรื่องงานค่ะ”
ลาภิณน้อยใจจึงกระเง้ากระงอดแล้วลุกขึ้น “อยากไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ให้ปวดหัวจนสลบตายไปเลย” ลาภิณเดินหน้างอนๆไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานพร้อมหมุนเก้าอี้หันหลังให้
เจติยาใช้ความคิดเพราะลังเลว่าจะเอายังไงดี
ลาภิณแอบอมยิ้มมั่นใจว่าเจติยาจะต้องยอมอยู่กับตนมากกว่า ลาภิณค่อยๆ แอบหันมองมาทางเจติยา แต่ปรากฏว่าผิดคาดเพราะเจติยาสะพายเป้เดินออกไปจากห้องทำงานแล้ว ลาภิณมีสีหน้าเคืองๆ ไม่พอใจ
ลาภิณนั่งหน้าหงิกอยู่ที่โถงบ้านนวัช เขาเหล่มองไปทางนวัชและเจติยาที่นั่งคุยงานกันเคร่งเครียดที่โต๊ะกินข้าว
“ระเบิดน่าจะระเบิดจากภายในรถ ไม่ใช่การติดตั้งระเบิดไว้ที่นอกตัวรถ อย่างที่คิดไว้ตอนแรก” นวัชบอก
เจติยาคิดตามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อยุทธ์อมยิ้มขณะเดินยกน้ำมาเสิร์ฟให้ลาภิณ..
“น้ำครับคุณต้น”
ลาภิณทำกวนๆ “อือ” ลาภิณทำเมิน ไม่สนใจ
อยุทธ์อมยิ้มขณะเดินไปหาเจติยาและนวัชโดยจงใจไปยืนข้างเจติยา ลาภิณเหล่มองตามอยุทธ์หน้าหงิก เพราะแอบหึง
อยุทธ์แปลกใจ “แล้วรู้ได้ยังไงครับ รถระเบิดจนเละซะขนาดนั้น”
“เราดูจากวิถีการระเบิด แล้วก็รอยฉีกขาดของตัวรถน่ะครับ ทำให้พอจะสันนิษฐานคร่าวๆได้”
เจติยาสูดลมหายใจลึกแล้วมีสีหน้าใช้ความคิด “แต่แค่นี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ เหมือนจิ๊กซอร์ตัวสุดท้าย ที่ทำให้เจเห็นภาพที่เคยสงสัยทั้งหมด” เจติยามีสีหน้ามั่นใจอะไรบางอย่าง
เสียงลาภิณดังขัดขึ้นมาก่อนที่จะเดินมาถึง
“หายสงสัยก็กลับกันได้แล้ว”
ทุกคนหันไปมองลาภิณที่เดินมาที่หัวโต๊ะ
เจติยามีสีหน้าเกรงใจ “เจขอไปบ้านคุณก้อง ลูกชายของคุณกัมปนาทก่อนนะคะ”
“จะไปทำไมอีก ฉันว่าเธอยุ่งมากไปแล้วนะ” ลาภิณตัดบท “ไม่เอาแล้ว ฉันจะกลับ เธอก็ควรกลับไปพร้อมฉันด้วย”
เจติยาอึดอัดใจ
อยุทธ์ได้ทีจึงแกล้ง “แต่ถ้าคุณเจอยากไปจริงๆ ผมไปเป็นเพื่อนก็ได้นะครับ จะได้เสร็จธุระวันนี้เลย ไม่ต้องคาราคาซัง”
ลาภิณจ้องอยุทธ์ตาเขียวปั้ดเพราะเจ็บใจที่เสียท่าให้อยุทธ์
ลาภิณหวงก้าง “ไม่ต้องรบกวนคนอื่นหรอก” ลาภิณจ้องหน้าอยุทธ์ “เกรงใจ” ลาภิณตัดบท “จะไปก็ตามมาเร็วๆ เลย” ลาภิณบ่น “เรื่องมากซะจริง” ลาภิณหน้าหงิกก่อนจะเดินนำไปทันที
เจติยาแหยๆ เพราะกลัวลาภิณโกรธ “เจไปก่อนนะคะ”
นวัชแซว “ที่แท้ก็กลัวสามี”
เจติยาชกพุงนวัชแล้วรีบฉวยเป้วิ่งตามลาภิณไปทันที
อยุทธ์ขำๆ “สงสัยแผนมือที่ 3 ของผมจะสำเร็จนะผู้กอง”
นวัชยิ้ม “ถ้าทำให้คุณต้นฟื้นความจำไม่ได้ ก็หาทางให้เค้ารักกันใหม่ ก็โอเคอยู่นะ” นวัชยิ้มอย่างมีความหวังที่จะให้ทั้งคู่กลับมารักกันใหม่อีกครั้ง
อยุทธ์ยิ้มแห้งๆ
เจติยาคุยกับก้องที่ห้องรับแขกทาวน์เฮาส์ก้อง
“ฉันรู้ตัวคนฆ่าคุณกัมปนาทแล้วนะคะ”
ก้องอยากรู้แต่ก็ถามหน้านิ่งขรึม “มันเป็นใครครับ”
วิญญาณกัมปนาทปรากฏขึ้นเงียบๆที่มุมห้องพร้อมกับจ้องเขม็งมาที่เจติยา
เจติยาเน้นเสียงด้วยความมั่นใจ “คนที่ฆ่าคุณกัมปนาท ก็คือตัวคุณกัมปนาทเองนั่นล่ะค่ะ”
วิญญาณกัมปนาทขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ
ก้องไม่เชื่อ “คุณกำลังจะบอกผมว่าพ่อผมฆ่าตัวตายเหรอครับ”
“ค่ะ”
ทันใดนั้นวิญญาณกัมปนาทก็พุ่งมาเผชิญหน้าเจติยาในระยะใกล้ เจติยาเองก็จ้องตากัมปนาทแบบสู้ตาชนิดไม่กลัวเกรงเหมือนกัน
หลายเดือนก่อนหน้านี้ ใบแจ้งผลการตรวจร่างกายของกัมปนาทวางอยู่บนโต๊ะ กัมปนาทยืนหน้าเครียดหลังจากรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
เจติยาอธิบาย “คุณกัมปนาทรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษาไม่หายแน่ ก็เลยทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้คุณ”
กัมปนาทนั่งอยู่ที่เก้าอี้คนขับในรถยนต์ของตัวเองในสภาพเหงื่อแตกท่าทางกลัวๆ
เจติยาอธิบาย “หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย คุณพ่อคุณก็ฆ่าตัวตายด้วยการวางระเบิดตัวเองในรถ พ่อคุณต้องการให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นการฆาตกรรม”
กัมปนาทสงบสติได้ก็หลับตาสนิทรอความตาย เบาะรถด้านหลังมีสัญญาณไฟสีแดงกระพริบถี่ สักพักรถของกัมปนาทก็ระเบิดสนั่นหวั่นไหว
ก้องได้ฟังก็ไม่พอใจ “เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว ทำไมพ่อผมต้องทำอะไรซับซ้อนขนาดนั้นด้วย แล้วคนอย่างเค้า ถึงจะป่วยใกล้ตายยังไง ก็ไม่มีวันฆ่าตัวตายหรอก”
ก้องจ้องไปที่เจติยา แต่เจติยาทำเหมือนพูดคนเดียวเพราะไม่ได้มองไปที่ก้อง เพราะจริงๆ เธอคุยกับกัมปนาทแต่ก้องไม่เห็น
“ฉันพูดถูกใช่มั้ยคะคุณกัมปนาท”
ก้องงง “อะไรของคุณ”
เจติยาหันมองตามการเดินของกัมปนาท “สารภาพความจริงเถอะค่ะ แสดงความจริงใจให้ลูกคุณเห็นซักครั้งเถอะนะคะ”
ก้องมองตามสายตาของเจติยาไปแต่ก็ไม่เห็นใคร
“คุณกำลังเล่นละครอะไรของคุณ เชิญคุณ ออกไปจากบ้านผมเดี๋ยวนี้เลย” ก้องไล่
เจติยาตวาดใส่ก้อง “ฉันกำลังคุยกับพ่อคุณอยู่ วิญญาณพ่อคุณยืนอยู่ข้างๆคุณ”
วิญญาณกัมปนาทยืนหน้าเศร้าอยู่ข้างๆ ก้อง
“เหลวไหล คุณต้องการอะไรกันแน่” ก้องว่า
กัมปนาทสั่งเจติยา “บอกมันไป ว่าตอนแม่มันแต่งงานใหม่ มันหนีออกจากบ้าน แล้วถูกพวกขี้ยาหน้าปากซอยจับตัวไป ฉันเป็นคนไปช่วยมันออกมาเอง เรื่องนี้มีแค่มันกับฉันเท่านั้นที่รู้”
เจติยาฟังจนจบแล้วถ่ายทอด
“พ่อคุณให้บอกว่า ตอนคุณหนีออกจากบ้านแล้วถูกพวกขี้ยาจับตัวไป เค้าเป็นคนไปช่วยคุณออกมา เรื่องนี้มีแค่คุณกับเค้าเท่านั้นที่รู้ ถ้าเค้าตามไปเจอช้าอีกก้าวเดียว...”
ก้องอึ้งๆ และหน้าซีด “พอแล้ว” ก้องทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาพร้อมกับยกมือกุมหัว
กัมปนาทมองก้องด้วยสายตารักและสงสารก่อนจะเดินเข้ามาพูดใกล้ๆ
กัมปนาทสารภาพความจริง “ฉันทนไม่ได้หรอก” กัมปนาทมีสีหน้าหยิ่งทะนง “ถ้าจะให้คนที่เกลียดฉัน ศัตรูของฉัน มาเห็นสภาพน่าเวทนาใกล้ตายของฉัน” กัมปนาทมีสีหน้าเจ็บใจ “พวกมันคงหัวเราะเยาะสมน้ำหน้า พูดจาถากถางฉัน ว่าสมควรแล้วที่ต้องตายอย่างทรมาน ฉันยอมตายด้วยน้ำมือตัวเองซะดีกว่าต้องตกอยู่ในสภาพยังงั้น” กัมปนาทมีสีหน้าเคียดแค้น
เวลาผ่านไปเล็กน้อย เจติยาเล่าให้ก้องฟังตามที่พ่อของเขาพูด
“พ่อคุณยอมตายด้วยน้ำมือตัวเองซะดีกว่า”
ก้องคิดตามแล้วก็นิ่งไป “ข้อนี้ผมพอเข้าใจ ผมรู้จักนิสัยของเค้าดี” ก้องแปลกใจ “แต่เค้าก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนว่ามีคนฆาตกรรมให้วุ่นวายเลยนี่”
“อันนี้ฉันพอจะตอบได้” เจติยาเหลือบตามองไปทางกัมปนาท “เค้าทำเพื่อช่วยคุณ”
กัมปนาทหน้านิ่งเพราะเก็บความรู้สึก
ก้องสงสัยมาก “ยังไง”
“คุณพ่อคุณทำร้ายคนอื่นไว้มาก เค้ากลัวว่าถ้าตายไป คนพวกนั้นจะมาลงที่คุณแทน แต่ถ้าจัดฉากว่าเป็นการฆาตกรรม ก็จะดึงตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องที่มีคนโทรมาขู่คุณ ก็คงเป็นฝีมือเค้านั่นล่ะ” เจติยาหันไปจ้องหน้ากัมปนาท
กัมปนาทหน้านิ่งเพราะเจ็บใจที่ถูกเจติยารู้ทัน
“พ่อคุณคงต้องการให้คุณบอกตำรวจไปตามนั้น ตำรวจจะได้คิดว่าเป็นเรื่องมรดกเลือด แล้วก็ให้ความคุ้มครองคุณ” เจติยาจ้องไปที่กัมปนาท “ฉันเดาใจคุณถูกมั้ยคะ” เจติยายิ้มมั่นใจ
กัมปนาทยิ้มๆ “ฉลาด น่าจับทำเมีย”
“ทุเรศ” เจติยาว่า
“คุยอะไรกัน” ก้องถาม
เจติยาตวาดใส่ก้อง “คุณไม่ต้องรู้หรอก”
“เธอพูดถูก” กัมปนาทบอก “ฉันจำเป็นต้องยืมมือตำรวจมาคุ้มครองความปลอดภัยให้ก้อง เพราะฉันไม่ไว้ใจใครเลย แม้แต่ลูกน้องคนสนิท พวกมันรู้ตื้นลึกหนาบางธุรกิจทุกอย่างของฉัน มันต้องตามฆ่าก้องเพื่อฮุบธุรกิจใต้ดินของฉันทั้งหมด” กัมปนาทมองลูกชายด้วยความสงสาร “ก้องจะไม่มีวันได้มีชีวิตสงบสุขอย่างคนอื่นแน่ๆ” กัมปนาทน้ำตารื้นขึ้นมาก่อนจะมองลูกชาย “ฉันอยากทำหน้าที่พ่อที่ดีเพื่อลูกซักครั้ง”
เวลาผ่านไป ก้องน้ำตาคลอหลังจากได้ฟังสิ่งที่เจติยาถ่ายทอดคำพูดของกัมปนาทต่อมา
“พ่อคุณถึงต้องวางแผนพวกนี้ขึ้นมา เพื่อให้คุณปลอดภัยที่สุด เท่าที่เค้าจะทำได้” เจติยาบอก
ก้องซับน้ำตาออกมาก่อนจะไหลด้วยความซึ้งใจ
กัมปนาทหน้าเศร้าๆ ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ก้องแล้วตบหัวลูกชายเบาๆ
ก้องถามเจติยาในสภาพน้ำตารื้น “ตอนนี้พ่อผมอยู่ตรงไหน”
เจติยายิ้มบางๆ “เค้านั่งอยู่ข้างๆ คุณแล้ว”
ก้องหันไปมองข้างๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร
กัมปนาทหน้าเศร้า “ฉันอยากจะสั่งเสียลูกก่อนไป เธอช่วยพูดแทนฉันอีกหน่อยได้มั้ย”
เจติยายิ้มให้ “ได้สิคะ มันก็เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว แต่คุณอย่าหลอกใช้ฉันอีกก็แล้วกัน”
กัมปนาทยิ้มๆ แล้วส่ายหน้า
กัมปนาทพูด จากนั้นเจติยาก็พูดต่อให้ก้องฟังเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย
เจติยาเดินยิ้มสบายใจออกมาจากทาวน์เฮาส์แล้วก็เห็นลาภิณนั่งหน้าหงิกรออยู่ในรถหน้าบ้าน เจติยาหุบยิ้มแทบไม่ทันขณะเดินมาขึ้นรถ
เจติยาทำใจดีสู้เสือ “รอนานมั้ยคะ”
ลาภิณทำงอนไม่พูดแล้วก็สตาร์ทรถ
ลาภิณหน้าเซ็งพูดน้ำเสียงแดกดัน “คงกลับบ้านกันได้แล้วสินะ”
เจติยาพูดกวนหน้าตาย “แวะไปบ้านพี่ผู้กองอีกรอบได้มั้ยคะ”
ลาภิณตาเขียวแล้วหันขวับไปจ้องเจติยา
เจติยาขำๆ “เจล้อเล่นค่ะ”
“ไม่ตลก”
เจติยายิ้มๆ “กลับบ้านกันเถอะค่ะ”
ลาภิณรีบฟอร์มพูดแก้ตัว “ที่ฉันมารอนี่ อย่าคิดว่าฉันเป็นห่วงอะไรเธอมากมายนะ ฉันทำไปตามหน้าที่”
เจติยากวน “หน้าที่อะไรเหรอคะ”
ลาภิณชะงักไปเพราะยิ่งพูดก็ยิ่งพันตัว
เจติยาแกล้งแขวะ “คุณนี่เป็นเจ้านายที่ดูแลลูกน้องได้ดีที่สุดเลย สิ้นปีนี้ไม่ได้ตำแหน่งผู้บริหารดีเด่น ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว” เจติยาอมยิ้มขำๆ
ลาภิณมีสีหน้าเจ็บใจมากที่ถูกยอกย้อนจนจนแต้ม เขาขับรถออกไปอย่างหัวเสีย เจติยาแอบอมยิ้มดีใจที่ลาภิณยังห่วงใยตนอยู่แม้จะโดนอำนาจกสิณครอบงำเอาไว้ เธอเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างที่จะช่วยลาภิณคืนความจำได้โดยไม่ต้องขอพรใดๆ จากเหรียญเลย
อ่านต่อหน้าที่ 3
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 7 (ต่อ)
ตอนกลางคืน ลาภิณโยนหมอนกับหมอนข้างลงบนเตียงต่อหน้าเจติยา
เจติยาตกใจ “นี่มันอะไรคะคุณต้น”
ลาภิณพูดหน้าตาย “จะอะไร ฉันก็กลับมานอนห้องฉันน่ะสิ”
เจติยาหน้าเสีย “แต่คุณบอกว่าคุณจะแยกห้องนอนกับเจ จนกว่าคุณจะจำเจได้ไม่ใช่เหรอคะ”
ลาภิณตีหน้าตาย “ฉันเคยพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันแค่ย้ายไปนอนห้องอื่น แล้วเธอก็ทึกทักเอาเองต่างหาก”
เจติยาคิดทบทวนก็ยิ่งหน้าเสียหนักขึ้นเพราะเป็นอย่างที่ลาภิณพูดจริงๆ
ลาภิณแกล้งหาวแล้วทิ้งตัวลงนอนลงบนเตียง “ง่วงจังเลย ว่าไง จะนอนรึยัง” ลาภิณตบเตียงเรียกเจติยามานอนข้างๆ
เจติยากลัวจึงรีบหยิบหมอนกับผ้าห่มของตัวเองขึ้นมา
“งั้นฉันไปนอนห้องอื่นเองก็ได้”
ลาภิณหยิบหมอนตาม “งั้นฉันไปด้วย”
เจติยาโมโห “นี่คุณ...”
ลาภิณพูดสวนขึ้น “นี่บ้านฉัน ฉันจะนอนห้องไหนก็ได้”
เจติยาเจ็บใจจึงสะบัดผ้านวมปูพื้นมุมห้องแล้วทิ้งหมอนก่อนจะลงไปนอนกับพื้นแทน พอเธอทิ้งหัวลงหมอนก็เห็นลาภิณมานอนยิ้มอยู่แล้วข้างๆ เจติยาสะดุ้ง
ลาภิณทำไม่รู้ไม่ชี้ “ใจตรงกันเลย วันนี้ฉันอยากนอนพื้นพอดี”
เจติยาเจ็บใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ดึงผ้านวมพร้อมผลักลาภิณออกไปแล้วก็เอาผ้านวมม้วนตัวเองห่อเหมือนดักแด้แล้วหันหลังให้ลาภิณโดยป้องกันตัวเองเต็มที่ ลาภิณเห็นแล้วอดขำไม่ได้ก็รู้สึกสะใจเล็กๆ ที่ได้เอาคืนเจติยาบ้างก่อนจะนอนยิ้มๆ อยู่ตรงนั้นโดยไม่ลุกไปนอนบนเตียงแต่อย่างใด
เจติยาเดินนำลงบันไดมาตอนเช้าวันใหม่ ลาภิณเดินนวดหลังยืดเส้นตามลงมา
ลาภิณปวดหลังมากจึงบ่น “โอ้ย ปวดหลังจังเลย”
“สมน้ำหน้า”
ทันใดนั้น เจติยาก็เหลือบเห็นนิษฐานั่งรออยู่ในห้อรับแขกด้วยสีหน้าเครียดๆ
เจติยารีบเข้าไปหาเพื่อน “อ้าวฐา มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อกี๊นี้เอง เด็กบอกแกยังไม่ตื่น ฉันเลยไม่ให้ไปปลุก”
ลาภิณยิ้มแย้มให้นิษฐา “ทานข้าวเช้าด้วยกันนะฐา เดี๋ยวผมไปบอกให้แม่ครัวเตรียมให้”
“ขอบคุณค่ะ”
ลาภิณเดินเลี่ยงออกไป
นิษฐามองตามลาภิณก่อนจะหันมาพูดกับเจติยา “คุณต้นกับแกดีกันแล้วเหรอ”
เจติยาอึกๆอักๆ “ก็ไม่เชิงหรอก แต่ก็พัฒนาในทางที่ดีขึ้น” เจติยาทำหน้าเหนื่อยใจ “แบบที่ยังจำฉันไม่ได้นะ”
นิษฐางง “อ้าว”
เจติยาถอนใจ “เอาเหอะ แค่ทุกอย่างกำลังดีขึ้นก็พอ” เจติยารีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วแกมาหาฉันแต่เช้ามีอะไรเหรอ”
นิษฐาอึ้งไปครู่นึงก่อนจะน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมา
เจติยาตกใจเมื่อเห็นท่าไม่ค่อยดี “มีอะไรเหรอฐา”
นิษฐาเข้าไปกอดเจติยาแล้วร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดๆ “พี่ผู้กองแอบมีคนอื่น เราเลิกกันแล้ว” ปล่อยโฮออกมาเสียใจสุดๆ
เจติยาตกใจสุดๆ เพราะนึกไม่ถึง เธอไม่เคยคิดว่าคนอย่างนวัชจะเจ้าชู้จนนอกใจนิษฐาได้
อยุทธ์ตกใจ เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเองจนชงกาแฟค้างไปเลย “ผู้กองว่ายังไงนะครับ”
อยุทธ์กำลังใช้ชงกาแฟอยู่ นวัชยืนคุยอยู่ด้วย
นวัชหน้าเครียด “คุณได้ยินไม่ผิดหรอก ผมกับฐาเลิกกันแล้ว”
อยุทธ์หมดอารมณ์ที่จะชงกาแฟต่อ “มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
นวัชเสียใจมากแต่ก็มีทิฐิเกินกว่าจะง้อ “เค้าหาว่าผมนอกใจเค้า ผมก็พยายามอธิบายแล้วนะ แต่เค้าไม่ฟังผมเลย”
อยุทธ์แปลกใจมาก “ทำไมคุณฐาถึงคิดว่าผู้กองนอกใจได้ล่ะครับ ตั้งแต่ผมมาพักอยู่บ้านผู้กอง ผมยังไม่เคยเห็นผู้กองประพฤติตัวส่อไปทางนั้นเลย”
นวัชมีสีหน้าหนักใจ “เรื่องมันยาวครับ”
อยุทธ์สวนทันที “ผมพร้อมฟังครับ”
นวัชมองหน้าอยุทธ์แล้วถอนใจออกมา
นิษฐากำลังคุยกับฟางอยู่ที่หน้ามูลนิธิเพื่อนแท้ มูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กและสตรีเป็นตึกแถวสองคูหา ฟางเป็นเด็กสาวที่มูลนิธิช่วยเหลืออยู่ที่มีนิษฐาเป็นคนดูแล นวัชเดินเข้าไปหานิษฐา
นวัชยิ้มแย้ม “รอนานมั้ย”
นิษฐาหันไปยิ้มให้ “ไม่นานหรอกค่ะ เพิ่งเสร็จงานเหมือนกัน พี่กลับก่อนนะฟาง”
ฟางยิ้มแย้มยกมือไหว้ทั้งสองคน
นวัชและนิษฐารับไหว้
“ไปค่ะ” นิษฐาควงแขนนวัช
ฟางมองตามนวัชและนิษฐาเดินเคียงคู่กันออกไปก่อนที่ทั้งสองจะหยุดเดิน นวัชเห็นว่าที่ผมของนิษฐามีเศษเทปกาวกับกระดาษสีติดผมอยู่
นวัชช่วยหยิบออกก่อนจะกระเซ้า “ทำงานหรือแอบงีบกันแน่”
นิษฐาหยิกแขนนวัชขำๆ ก่อนจะควงกันออกไป นวัชรู้สึกว่ามีคนแอบมองอยู่จึงเหลือบตาไปมองเห็นฟาง กำลังจับตามองเขาอยู่ สีหน้าแววตาฟางมีแต่ความริษยา พอนวัชมองมาก็รีบปรับสายตาเป็นยิ้มให้ นวัชยิ้มให้ฟางตามมารยาทก่อนเดินควงออกไปกับนิษฐา
นวัชเดินออกมาหาอาหารกลางวันรับประทาน ฟางที่ดักรออยู่เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทาย
ฟางไหว้แล้วยิ้มแย้ม “สวัสดีค่ะผู้กอง”
นวัชรับไหว้แบบงงๆ
ฟางเห็นสีหน้านวัชก็รู้ว่าจำเธอไม่ได้จึงปั้นยิ้มหวาน “หนูชื่อฟางค่ะ เราเคยเจอกันที่มูลนิธิเพื่อนแท้ พี่นิษฐาเป็นคนดูแลหนูอยู่ค่ะ”
นวัชนึกออก “อ๋อ จำได้แล้ว”
“นี่ผู้กองพักกลางวันเหรอคะ”
“ใช่ กำลังจะไปทานข้าว” นวัชถามตามมารยาทเพราะเห็นว่าเป็นเด็กในความดูแล นิษฐาเลยไว้ใจ ให้ความสนิทสนม “ฟางทานรึยังล่ะ ไปทานด้วยกันมั้ย”
ฟางยิ้มรับทันที “กำลังหิวพอดีเลยค่ะ” ฟางยิ้มสวยใส
นวัชค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมา เขาปวดหัวมึนๆ แต่พอรู้สึกตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยกายมีเพียงผ้าห่มคลุมร่างไว้ นวัชหันไปมองข้างๆ ก็เห็นฟางนอนหลับสนิท มีผ้าห่มคลุมร่างไว้เหมือนเขาไม่มีผิด นวัชตกใจสุดขีดที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง
อยุทธ์กำลังตกใจจนพูดไม่ออก
อยุทธ์ตัดสินใจถาม “แล้วผู้กองมีอะไรกับเด็กคนนั้นรึเปล่าครับ”
นวัชเคือง “ผมไม่ใช่คนมักง่ายแบบนั้นนะคุณ”
อยุทธ์หน้าแหยไปเล็กน้อย “ผมแค่ถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นเอง”
นวัชพยายามระงับอารมณ์ “เอาเถอะ คุณกับผมรู้จักกันไม่นาน คุณสงสัยก็ไม่แปลกหรอก” นวัชหน้าเครียด ถอนใจ “หลังจากทานข้าว เสร็จ ผมก็จำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกตัวอีกทีก็นอนเปลือยคู่กับฟางบนเตียงแล้ว คุณคิดว่าสภาพแบบนั้น ผมจะไปทำอะไรใครได้”
“นี่ผู้กองโดนวางยาเหรอครับ”
“แน่นอนครับ” นวัชเครียดมาก “แต่ผมไม่เข้าใจ ว่าทำไมฟางต้องทำแบบนี้ด้วย”
อยุทธ์แปลกใจ “เด็กคนนั้นไม่ได้แบล็กเมล์หรือเรียกร้องอะไรจากผู้กองเลยเหรอครับ”
“ไม่เลย เค้าแค่ขู่ว่าถ้าผมไม่ไปพบตอนที่เค้านัด เค้าจะฆ่าตัวตาย...เมื่อคืนตอนเกิดเรื่อง เค้าก็ให้ผมไปหาที่ห้อง แล้วอยู่ๆ ฐาก็มา” นวัชถอนใจ ส่ายหน้า “ผมว่าต้องเป็นฝีมือฟางจัดฉากแน่ๆ”
“แล้วทำไมผู้กองไม่เล่าเรื่องนี้ให้คุณฐาฟังก่อนล่ะครับ”
นวัชหน้าเครียด “ผมไม่อยากให้ฐาไม่สบายใจ เรื่องแบบนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับได้หรอก ผมคิดว่าเคลียร์กับฟางได้ แต่เรื่อง แบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป เกิดเค้าฆ่าตัวตายขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง” ยิ่งคิดนวัชก็ยิ่งหงุดหงิด “ฐา ควรจะเข้าใจผมบ้าง ไม่ใช่ประชดหนีไปกับไอ้สิทธิพรนั่น”
อยุทธ์นึกไม่ถึง “คุณสิทธิพร เพื่อนคุณต้นน่ะเหรอครับ”
นวัชขบกรามแน่นทั้งโกรธทั้งหึงหวงจับ
นิษฐาเดินร้องไห้ออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ โดยมีนวัชรีบวิ่งตามมาด้วยความร้อนใจ
นวัชรีบคว้าข้อมือนิษฐา “เดี๋ยวฐา คุยกับพี่ก่อน”
นิษฐาดึงข้อมือออกแบบทั้งโมโหและเสียใจสุดๆ จนร้องไห้
“เรื่องนี้พี่อธิบายได้ ฐาใจเย็นๆ แล้วฟังพี่ก่อนนะ”
นิษฐาร้องไห้ “ถ้าอธิบายได้ พี่ก็ควรจะพูดตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ต้องให้ฐามาเห็นกับตาตัวเองยังงี้”
นวัชอึ้งไปเพราะกลัวนิษฐาโกรธ เลยไม่พูดแต่แรกจนเถียงไม่ออก
นิษฐาเสียใจมาก “ฐาไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับคู่ของเรา ฐาผิดหวังในตัวพี่มาก” นิษฐาน้ำตาเอ่อท่วมตาขึ้นมาอีก “ฐาว่าเราอย่าเจอกันอีกเลยจะดีกว่าค่ะ”
นวัชช็อค นิษฐาจะเดินหนีแต่นวัชรีบเข้าไปคว้าข้อมือไว้
นวัชจับข้อมือไว้แน่น “ฐา อย่าใช้แต่อารมณ์แบบนี้สิ”
นิษฐาดึงข้อมือออกอย่างแรงเพราะโกรธมาก “ปล่อยฐาค่ะ”
ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันจนนิษฐาดึงข้อมือออกมาได้แต่ก็เสียหลักเซไปที่ถนนใหญ่ จังหวะเดียวกัน สิทธิพรก็ขับรถมาพอดี นิษฐาและนวัชตกใจสุดๆ ที่รถสิทธิพรวิ่งสวนมากำลังจะชนนิษฐา แต่สิทธิพรเบรกจนตัวโก่ง รถเลยหยุดได้ทัน
สิทธิพรโมโหมาก ลงจากรถทันที “อยากตายนักรึไงวะ” สิทธิพรชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นนิษฐา “คุณฐา...”
นิษฐารีบพูดกับสิทธิพร “คุณสิทธิพร ช่วยพาฐาไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย”
สิทธิพรงง
นวัชโมโห เขาทั้งหึงทั้งโกรธจึงพูดเสียงแข็ง “ฐา ไปกับเค้าไม่ได้นะ”
นิษฐาน้ำตาท่วมและรั้นจะเอาชนะจึงบอกสิทธิพร “ฐาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
“ขึ้นรถเลยครับ”
นิษฐารีบไปขึ้นรถพร้อมสิทธิพรก่อนที่สิทธิพรจะขับรถออกไป นวัชมองตามแล้วขบกรามแน่นด้วยความแค้นและหึงหวง
เจติยาตกใจ
“อ้าว แล้วแกไปกับคุณสิทธิพรทำไม ทะเลาะกับแฟน แต่กลับไปกับผู้ชายคนอื่น อย่างงี้พี่ผู้กองก็โกรธแย่สิ”
เจติยากำลังคุยกับนิษฐาที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
นิษฐาร้องไห้ “ตอนนั้น ฉันรู้แต่ว่าต้องไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ไม่ได้คิดว่าอะไรควรไม่ควรหรอก” นิษฐางอนสุดๆ “แล้วฉันกับพี่ผู้กองก็จบกันไปแล้ว เค้าจะโกรธก็ช่างเค้าเถอะ”
เจติยาถอนใจ “ถ้าช่างเค้าจริง แกจะมานั่งร้องไห้กับฉันทำไม” เจติยาโอบบ่าเพื่อนไว้แล้วปลอบโยน “ใจเย็นๆ ก่อน เรื่องนี้ฉันว่ามันมีอะไรแปลกๆ ขอฉันคุยกับพี่ผู้กองก่อน ส่วนแก” เจติยาทำสีหน้าเห็นใจเพื่อน “ไปหาที่เงียบๆสงบสติอารมณ์ซักพักละกัน”
นิษฐากลั้นสะอื้น “ฉันต้องไปทำงานกับมูลนิธิที่ต่างจังหวัด 2-3 วันอยู่แล้วล่ะ” นิษฐาซับน้ำตา
เจติยาบีบไหล่เพื่อนเพื่อให้กำลังใจ
นิษฐานึกขึ้นได้ “เออ แกพอจะรู้มั้ย คุณสิทธิพรเค้าเป็นคนยังไง”
“เค้าเป็นเพื่อนคุณต้น ฉันก็ไม่สนิทเท่าไหร่หรอก แกถามทำไม”
นิษฐาทำหน้าเครียดขึ้นมา “เมื่อคืน เค้าบอกชอบฉัน”
เจติยาตกใจมาก “แล้วแกตอบเค้าไปว่ายังไง”
“แกไม่ต้องห่วงว่าฉันจะเซเยสหรอก ฉันไม่ใช่พวกอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกน่ะ”
เจติยาถอนใจโล่งอกด้วยความดีใจที่เพื่อนยังมีสติไม่บุ่มบ่าม
“เมื่อคืน คุณสิทธิพรเค้าพาฉันไปนั่งคุยสงบสติอารมณ์ ตอนแรกเค้าก็ปลอบใจฉันดีๆ แต่ไปๆมาๆก็มาบอกชอบฉันซะงั้น ฉันอึดอัด ก็เลยขอให้เค้าพาฉันกลับไปเอารถ” นิษฐาโมโห “แล้วแกรู้มั้ย ว่าเด็กฟางนั่นยังตามมาหาเรื่องฉันที่รถอีกนะ บ้าที่สุดเลย”
เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นห่วงเพื่อนเพราะไม่รู้ว่าสิทธิพรจะมาไม้ไหนและฟางต้องการอะไรกันแน่
ลาภิณกำลังคุยกับเจติยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีอยุทธ์อยู่ใกล้ๆ
ลาภิณไม่สบายใจ “สิทธิพรก็เป็นเพื่อนที่ดีมากคนนึง แต่เรื่องนิษฐามันไม่เคยพูดให้ฟัง ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคิดจริงจังมากน้อยแค่ไหน”
เจติยาฟังอย่างนี้ก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น
อยุทธ์ไม่สบายใจ “ส่วนผู้กอง ท่าทางจะไม่ง้อแน่ๆครับ ทิฐิเอาเรื่องเหมือนกัน”
เจติยาคิดตัดสินใจ “สงสัยเจต้องไปเจอเด็กฟางนี่ด้วยตัวเองแล้วล่ะอยากรู้เหมือนกัน ว่าน้องเค้าทำไปเพื่ออะไร”
“จะดีเหรอะ เรื่องส่วนตัวของเค้า ปล่อยเค้าเคลียร์กันเองไม่ดีกว่าเหรอ”
“เจก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอกค่ะ ถ้าพี่ผู้กองกับฐาไม่ใช่เพื่อนสนิทของเจ ถ้าพวกเค้าจะเลิกกัน ก็ควรเพราะหมดรักกัน ไม่ใช่เพราะเข้าใจผิด” เจติยาเหลือบตามองลาภิณ “หรือจำกันไม่ได้” เจติยามีสีหน้าแววตาตัดพ้อ
ลาภิณได้แต่ทอดถอนใจออกมาก่อนจะเบือนหน้ามองไปทางอื่นเพราะสับสนอยู่ในใจ
อยุทธ์คิดตาม “งั้นเดี๋ยวออกเวรแล้ว ผมไปเป็นเพื่อนคุณเจละกัน”
เจติยายิ้มให้ “ขอบคุณค่ะ”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อยแล้วมีสีหน้าแววตาไม่ค่อยพอใจ
อยุทธ์พูดกับเจติยา “งั้นเรารีบไปทำงานให้เสร็จกันเถอะครับคุณเจ ออกเวรแล้วจะได้ไปกันเลย”
“ดีค่ะ”
เจติยาเดินเลี่ยงไปกับอยุทธ์ ลาภิณมองตามด้วยสายตาโกรธๆ
นิษฐาเดินคุยกับสิทธิพรออกมาจนถึงหน้ามูลนิธิ นิษฐามีท่าทางเศร้าๆ และอิดโรยเพราะกลุ้มใจและไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน
“ไปไกลขนาดนั้นไม่ลำบากแย่เหรอครับคุณฐา” สิทธิพรว่า
“ฐาไปทำงานกับมูลนิธิเป็นประจำอยู่แล้วค่ะ ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”
“ผมอยากไปด้วยจังเลย” สิทธิพรส่งสายตากรุ้มกริ่ม
นิษฐาอึดอัดมาก “อย่าดีกว่าค่ะ ฐาไปทำงานแล้วก็อยากมีเวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวด้วย”
สิทธิพรจ๋อยไป “ผมไม่ได้อยากเร่งรัดอะไรคุณฐานะครับ ผมแค่อยากให้คุณฐารู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
นิษฐาได้แต่ฝืนยิ้มแหยๆ เพราะอึดอัดมาก
ทันใดนั้นประสิทธิ คนขับรถของมูลนิธิก็ขับรถตู้มาจอดรับนิษฐา โดยมีเอ๋ เด็กสาวที่ทำงานกับมูลนิธิอีกคนนั่งมาด้วย
นิษฐาตัดบทด้วยความโล่งใจ “รถมาแล้ว”
“โชคดีนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เอ๋เลื่อนประตูรถตู้เปิดให้ นิษฐากระชับเป้ขึ้นรถตู้ไปโดยไม่หันมามองทางสิทธิพรอีกเลย เอ๋เลื่อนประตูรถตู้ปิดสนิทก่อนรถตู้จะขับออกไป สิทธิพรมองตามพร้อมบ๊ายบายส่ง ขณะนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของสิทธิพรก็ดังขึ้น
สิทธิพรดูเบอร์แล้วกดรับ “มีอะไร” สิทธิพรฟังแล้วก็มีสีหน้าตกใจปนเจ็บใจ แววตาโกรธ พร้อมกับขบกรามแน่น
ผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่งถูกสะกดจิตให้เซ็นสัญญาก่อสร้างกับบริษัทเอ็ตต้า โดยมีพิมพ์อรนั่งยิ้มพอใจมองอยู่ ส่วนชาครที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่างนักมองดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
ผู้บริหารอีกคนตาลอยๆ ขณะยื่นสมุดสัญญาที่เซ็นเสร็จให้พิมพ์อรพร้อมเช็คแฮนด์กับเธอ พิมพ์อรยิ้มมุมปากพอใจ ขณะที่ชาครได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา
ผู้บริหารอีกคนที่ถูกสะกดจิตเช่นกันเดินกลับเข้าห้องทำงานไปเหมือนหุ่นยนต์ โดยมีพิมพ์อรยืน
ถือแฟ้มสัญญายิ้มสะใจอยู่หน้าห้องก่อนจะยื่นแฟ้มสัญญาให้ชาครถือแล้วเดินกลับออกไป ชาครรับแฟ้มสัญญาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะไม่สบายใจมาก
กสิณกำลังคุยกับพิมพ์อร
กสิณยิ้มพอใจ “ขอบใจเธอมากนะพิมพ์อร เพราะคำขอของเธอแท้ๆ ทำให้ฉันมีพลังเพิ่มขึ้นเยอะเลย”
“ไม่ต้องขอบใจหรอก ฉันช่วยเธอ เอ็ตต้าก็ได้งานเพิ่มขึ้น วินๆ ด้วยกันทุกฝ่าย แล้วนี่เมื่อไหร่ เธอจะหายดีเหมือนเดิมล่ะ” พิมพ์อรมองออกไปนอกหน้าต่าง “อาการคุณพ่อไม่ค่อยดีแล้วนะ ฉันกลัวว่ากว่าจะสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ได้ ทุกอย่างมันจะสายเกินไป”
พิมพ์อรเห็นชาครกำลังเข็นรถให้วนันต์อยู่ที่สวน
“เหรียญปรากฏครบสามอันแล้ว ด้านอยุทธ์ไม่ใช่ปัญหา ยังไงเค้าก็ต้องเห็นแก่พ่อตัวเอง” กสิณทำหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว “มีแต่เจติยาเท่านั้นแหละ เธอกับฉันถึงต้องช่วยกัน ไล่ต้อนเจติยาให้จนมุมให้ได้”
พิมพ์อรมองด้วยสายตาร้ายเลือดเย็น “เธอมั่นใจได้เลย ฉันจะทำทุกวิธี เพื่อบีบเจติยาให้ยอมยกเหรียญให้ฉันให้ได้”
กสิณยิ้มเหยียดพิมพ์อรอย่างพึงพอใจ
ชาครกำลังคุยกับวนันต์อยู่ในสวน
ชาครเครียดหนัก “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอรต้องการช่วยคุณท่าน ผมก็ไม่อยากให้คุณอรใช้ไอ้เหรียญผีนี่เลยครับ บอกตรงๆ ว่าผมกลัวคุณอรจะถลำลึกจนถอนตัวไม่ขึ้น”
วนันต์ทำหน้าเศร้าๆ “มันสายไปแล้วล่ะ ลูกอรไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่ากำลังโดนมันหลอกใช้” วนันต์ถอนใจ “ตอนนี้ฉันก็ได้แต่ภาวนาให้ตัวเองตายเร็วๆ ลูกอรจะได้ไม่ต้องทำบาปเพื่อฉันอีก”
ชาครไม่สบายใจ “คุณท่านอย่าคิดแบบนี้สิครับ ถ้าคุณอรสร้างกล่องรากบุญรักษาคุณท่านได้เมื่อไหร่ เราค่อยหาทางหยุดมันก็ได้นี่ครับ”
วนันต์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “มันก็แค่ถ่วงเวลาเท่านั้นล่ะ ไม่มีใครที่หนีความตายพ้นหรอก แล้วถ้าจะให้ฉันอยู่ เพื่อดูลูกตัวเองต้องตกเป็นทาสกสิณ สู้ตายซะดีกว่า”
ชาครคิดตามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะไม่รู้จะหาทางออกยังไงเหมือนกัน
วนันต์มีสีหน้าหนักใจ “ช่วงนี้ ลูกอรใช้อำนาจจากเหรียญบ่อยขึ้นใช่มั้ย”
“ครับ วันนี้วันเดียวก็ใช้อำนาจให้ได้งานตั้งสามงาน ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลย ยังไงเค้าก็เลือกเอ็ตต้าอยู่แล้ว”ชาครเป็นห่วงพิมพ์อรมาก “ผมถึงได้เป็นห่วงคุณอรไงครับ”
วนันต์ใช้ความคิด “แสดงว่ากสิณพลังลดถอยลงอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ”
ชาครสงสัย “ทำไมเหรอครับ”
“ถ้ากสิณอ่อนแรงลง มันจะเร่งให้ลูกอรขอพรมากขึ้น เพื่อใช้พลังกิเลสจากเจ้าของเหรียญฟื้นฟูตัวเอง” วนันต์สงสัยมาก “แปลก ...อะไรที่ทำให้ปิศาจอย่างมันอ่อนแรงลงได้” วนันต์เหลือบตามองชาคร “ถ้าเรารู้ก็คงจะดี”
ชาครฉุกใจกับเรื่องกสิณอ่อนแรง เขาคิดว่าบางทีอาจจะหาทางช่วยพิมพ์อรได้
อ่านต่อหน้าที่ 4
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 7 (ต่อ)
ลาภิณขับรถแล่นมาจอดที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ของฟาง อยุทธ์ลงจากรถเป็นคนแรก เจติยาตามติดลงมา ลาภิณก้าวลงรั้งท้าย
“นี่ล่ะครับ อพาร์ทเม้นท์ของเด็กที่ชื่อฟาง” อยุทธ์หยิบกระดาษยื่นให้เจติยา “นี่เบอร์ห้องพักครับ”
เจติยารับกระดาษมาดูก่อนจะคืนให้อยุทธ์
ลาภิณทำสีหมั่นไส้ที่ทำคะแนนนำ เขาพูดด้วยน้ำเสียงแดกดัน “คุณนี่เก่งจริงๆเลยนะ ไปสืบมาจนได้”
อยุทธ์ตอกกลับหน้าตาย “ไม่เห็นจะยากอะไรเลยแค่โทรถามผู้กองก็รู้แล้ว”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อย เขารู้สึกเจ็บใจปนหมั่นไส้ขึ้นมา
อยุทธ์หันไปพูดกับเจติยา “จริงๆ ผู้กองเค้าก็ไม่ได้อยากเลิกกับคุณฐา ถ้าคุณเจสามารถเคลียร์ได้ เค้าให้ความร่วมมือเต็มที่อยู่แล้วล่ะครับ”
“งั้นเดี๋ยวเจไปคุยกับเด็กคนนั้นเองค่ะ”
“เธอจะไปคนเดียวเหรอ” ลาภิณถาม
“ค่ะ เรื่องแบบนี้ ผู้หญิงคุยกันเองง่ายกว่า” เจติยาบอก
ลาภิณมีสีหน้าบึ้งตึง “แล้วเธอจะให้ฉันมาด้วยทำไมเนี่ย”
เจติยากวนกลับโดยแอบหมั่นไส้สามีเล็กๆ “เจก็ไม่ได้ให้คุณมาด้วยนี่คะ เจตั้งใจจะมากับคุณอยุทธ์สองคน แต่คุณขอมาเอง” เจติยาเดินเลี่ยงไป
ลาภิณหน้าแตกและเถียงไม่ออก เพราะเขาหึงหวงเจติยาเลยตามมาด้วยจริงๆ อยุทธ์ยิ้มขำๆ แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง ลาภิณมองตามอยุทธ์แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม
ฟางรินน้ำใส่แก้ว แล้วเอามาให้เจติยาที่นั่งรออยู่
เจติยารับแก้วน้ำมา “ขอบใจจ้ะ”
“แล้วทำไมพี่ฐาถึงไม่มาคุยกับหนูเองล่ะคะ ให้พี่มาแทนทำไม” ฟางถาม
“พี่มาเอง ฐาไม่รู้เรื่องหรอกจ้ะ” เจติยาจ้องหน้าฟางด้วยแววตาขอร้อง “ที่พี่ต้องมาหาเรา ก็เพราะไม่อยากเห็นเพื่อนพี่ทั้งสองคนต้องเลิกกัน”
ฟางเชิ่ดหน้าแล้วพูดหน้าตาย “หนูกับผู้กองรักกัน แล้วเค้าก็เลือกหนู”
เจติยาเก็บอารมณ์โดยพยายามยิ้มบางๆ “แต่พี่ผู้กองไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยนะเค้ายืนยันว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลยกับน้อง แถมน้องเองเป็นฝ่ายขู่ว่าจะฆ่าตัวตายด้วย ถ้าเค้าไม่ยอมมาหา”
ฟางยิ้มๆ “ผู้ชายก็อย่างงี้ล่ะค่ะ เวลาแก้ตัวก็อ้างสารพัด แต่เวลาอยู่กับหนู” ฟางเค่นขำ “คนละเรื่อง พี่อย่าฟังความข้างเดียวสิคะ”
เจติยาหน้าเครียด เธอรู้สึกว่าฟางไม่ธรรมดาและรับมือไม่ง่าย ทันใดนั้นคนดูแลอพาร์มเมนท์ก็ไขประตูห้องเข้ามา
คนดูแลตกใจที่เห็นเจติยา “อ้าว คุณเป็นใครคะ เข้ามาในห้องพักฉันได้ยังไง”
“น้องฟางเปิดประตูให้ฉันเข้ามาค่ะ” เจติยาบอก
คนดูแลตกใจจนหน้าซีด “จะบ้าเหรอคุณ เด็กนั่นถูกฆ่าตายตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” คนดูแลทำท่าขนลุกเกรียวอย่างกลัวๆ
เจติยาตกใจ เธอหันไปมองข้างๆ ก็ไม่มีฟางอยู่แล้ว ทันใดนั้นเองร่างของฟางในสภาพตอนตายก็ตกลงมากระแทกโซฟาทันที เจติยาสะดุ้งเฮือกแล้วลุกพรวด วิญญาณฟางปรากฏขึ้นข้างเจติยาทันที
“บอกความจริง!” ฟางพูด
ตำรวจคนหนึ่งเดินเอาภาพที่เพิ่งเสก็ตเสร็จมาให้แม่ค้าที่เป็นพยานดู
“ช่วยดูซิป้า ว่าใช่คนที่เห็นเมื่อคืนรึเปล่า”
แม่ค้ารับภาพมาดู “ใช่จ้ะ คนนี้ล่ะที่ฉันเห็นทะเลาะกันเมื่อคืน... คนเดี๋ยวนี้ใจคอโหดเหี้ยมนะคะ ฆ่ากันได้ง่ายๆเหมือนผักเหมือนปลา” แม่ค้าคืนภาพสเก็ตให้
ตำรวจรับภาพคืนมา แต่นวัชก็ดึงภาพไปดู
ตำรวจลุกขึ้นตะเบ๊ะทันที “สวัสดีครับผู้กอง”
นวัชดูภาพแล้วก็ตกใจสุดๆจนหน้าซีดเผือด “ฐา...”
ภาพสเก็ตในมือนวัชซึ่งเป็นภาพผู้ต้องสงสัยคือภาพของนิษฐา
เจติยากำลังคุยโทรศัพท์มือถือ โดยลาภิณกำลังขับรถ ส่วนอยุทธ์นั่งอยู่ที่เบาะหลัง
เจติยาตกใจมากจึงยืนยันกลับไป “ไม่มีทาง คนอย่างฐาไม่มีทางฆ่าใครได้แน่ๆ”
นวัชกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่โรงพัก
“พี่ก็มั่นใจ แต่พยานยืนยันว่าเห็นฐาทะเลาะกับฟางก่อนตาย” นวัชร้อนใจ “นี่พี่ติดต่อฐาไม่ได้เลยนะเจ”
เจติยาคุยมือถือ “ฐาไปทำงานกับมูลนิธิที่ต่างจังหวัดค่ะ คงจะปิดมือถือ นี่เจกำลังเดินทางไปหาฐา พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
นวัชคุยมือถือด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “ฝากด้วยนะเจ พี่ก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ซะด้วย พอผู้กำกับรู้ว่าพี่กับฐาเป็นแฟนกัน พี่ก็โดนสั่ง ห้ามยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ พี่คงทำได้แค่ช่วยหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเท่านั้นล่ะ”
เจติยาคุยมือถือ สีหน้าจริงจัง “เจไม่ยอมให้ฐาถูกกล่าวหาโดยไม่ได้ทำผิดหรอกค่ะ” เจติยาฟังอีกฝ่าย “ค่ะ ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ” เจติยากดตัดสาย
ลาภิณหงุดหงิด “ตกลง เธอจะให้ฉันไปถึงชายแดนตามคำผีบอกให้ได้ใช่มั้ย ฉันว่ามันจะเลอะเทอะไปใหญ่แล้วนะ”
เจติยาอ่อนใจ “คุณต้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็สุดแล้วแต่คุณต้น แต่เจจะต้องไปหาฐาให้เจอ ถ้าคุณต้นไม่อยากไปด้วย ก็ปล่อยเจกับคุณอยุทธ์ลงแถวนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเจหาทางไปเอง”
เจติยาเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเพราะไม่อยากคุยด้วยแล้ว อยุทธ์แอบอมยิ้ม ลาภิณมองอยุทธ์ผ่านกระจกหลังด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ขับรถต่อไป ไม่ยอมให้เจติยาไปกับอยุทธ์สองคนเด็ดขาด
ชาครหยิบเหรียญของพิมพ์อรขึ้นมา ชาครมองเหรียญในมือด้วยแววตาหวาดกลัว แต่ก็ตัดใจกำเหรียญไว้ในมือแล้วจะเดินออกไปนอกห้อง ขณะนั้น พิมพ์อรก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี ทั้งคู่ต่างตกใจที่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในห้อง
พิมพ์อรตวาดแว๊ด “นี่เธอเข้ามาในห้องฉันทำไม”
ชาครอึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง เขากำมือซ่อนไว้ข้างหลังอย่างมีพิรุธ
พิมพ์อรมองอย่างหวาดระแวง “ซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง”
“ไม่มีครับ”
“แบมือให้ฉันดูเดี๋ยวนี้”
ชาครหน้าซีดเพราะกลัวพิมพ์อรโกรธ
พิมพ์อรกระชากมือชาครมาแกะมือเห็นเหรียญแว๊บๆ ชาครรีบดึงมือกลับแล้วถอยห่างไปเล็กน้อย
พิมพ์อรโมโหมาก “นี่เธอกล้าขโมยเหรียญของฉันเหรอ”
ชาครหน้าเสีย “ผมขอโทษครับคุณอร แต่ผมจำเป็นจริงๆ”
พิมพ์อรโมโหมาก “เธอก็รู้นี่ ว่าเธอไม่มีวันเป็นเจ้าของเหรียญได้ ถ้าฉันไม่ยกให้”
“ผมไม่ได้ต้องการเป็นเจ้าของมัน ผมต้องการทำลายมัน”
พิมพ์อรตกใจ “เธอบ้าไปแล้วเหรอชาคร ฉันใช้เหรียญสร้างกล่องรากบุญ ก็เพื่อรักษาอาการป่วยของคุณพ่อ เธอคิดทำลายมัน ก็เท่ากับฆ่าคุณพ่อ”
ชาครอึ้งไปครู่หนึ่งแต่ก็ตัดใจทำต่อ “ผมทราบครับ แล้วคุณอรล่ะครับ ทราบมั้ยว่าคุณท่านต้องทุกข์ใจมากขนาดไหนที่เห็นคุณอรเป็นทาสไอ้เหรียญปิศาจนี่ คุณท่านพูดถึงขนาดอยากจะตาย เพราะไม่อยากเห็นคุณอรใช้มันอีก” ชาครมีสีหน้าเป็นห่วงมาก “ผมไม่อยากเห็นคุณอรต้องตกเป็นทาสของมัน”
พิมพ์อรโมโหมาก “หุบปากเลยนะชาคร ฉันไม่เคยเป็นทาสมัน เหรียญทำตามความต้องการของฉันตะหาก” พิมพ์อรยื่นมือออกมา “ฉันไม่คุยกับเธอแล้วเอาเหรียญฉันคืนมา”
ชาครส่ายหน้าก่อนจะชักปืนออกมา
พิมพ์อรตกใจ “นี่เธอจะทำอะไร”
“ผมไม่มีวันทำร้ายคุณอรหรอกครับ ผมจะช่วยคุณ”
พูดจบชาครก็โยนเหรียญในมือลงพื้น แล้วใช้ปืนยิงเหรียญจนแตกกระจายทันที
พิมพ์อรกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจสุดขีด
ชาครดีใจที่สามารถทำลายเหรียญได้ ทันใดนั้น เศษเหรียญที่กระจายก็เข้ามารวมตัวกันก่อนจะซ่อมแซมตัวเองจนกลับเป็นปกติ ท่ามกลางความตกใจของชาคร ชาครจะยิงซ้ำ แต่กสิณก็เข้ามาจับมือชาครไว้ชาครตกใจและหวาดกลัว แต่พอจะหนีก็มีมือจำนวนมากผุดขึ้นจากผนังและพื้นเข้ามาจับตัวชาครไว้ทำให้ชาครขยับตัวไม่ได้
กสิณยิ้มร้ายก่อนจะอ้าปากขึ้น ภายในปากของกสิณเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมงอกยาวออกมา แล้วกสิณก็พุ่งเข้ากัดคอชาครทันที ชาครร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดสุดๆ มือที่จับตัวชาครไว้ฉีกกระชากร่างชาครออกหมายจะให้ขาดออกจากกัน ชาครแผดเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ชาครตกใจตื่นและร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด วนันต์ที่อยู่ใกล้ๆเข้าไปจับตัวชาครไว้
“ใจเย็นๆชาคร นี่ฉันเอง ใจเย็นๆ”
ชาครค่อยๆตั้งสติได้ “คุณท่าน...”
ชาครรีบจับไปที่คอที่ถูกกัดและจับดูเนื้อตัว แต่ก็ไม่มีร่องรอยบาดแผลแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องกลัว เธอไม่ได้ถูกทำร้ายจริงๆหรอก ทุกอย่าง เป็นเพียงภาพนิมิตที่กสิณใช้เล่นงานเธอ แต่ถึงจะเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ถ้าลูกอรไม่ช่วยห้ามเอาไว้ เธอก็อาจจะช็อกตายได้เหมือนกัน”
ชาครคิดทบทวน “คุณอรล่ะครับ”
“เค้ายังโกรธเธออยู่ เอาไว้อารมณ์เย็นลงแล้วค่อยไปคุยกับเค้า” วนันต์นึกได้ “เออ...ทำไมเธอถึงได้คิดจะทำลายเหรียญล่ะ”
ชาครหน้าขรึมลง “ผมก็คิดเหมือนคุณท่านล่ะครับ ไม่อยากให้คุณอรต้องตกเป็นทาสมัน พอคุณท่านบอกว่าไอ้ปิศาจนั่นมันอ่อนแอลง ผมก็เลยคิดว่าอาจจะทำลายมันได้ ไม่คิดเลยว่า...” ชาครถอนใจแล้วส่ายหน้า
วนันต์ตบบ่าชาคร “ขอบใจนะที่เป็นห่วงลูกอร แต่ทีหลังอย่าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายยังงี้อีก” วนันต์หน้าขรึมลง “ไม่มีอะไรหยุดมันได้หรอก” วนันต์มีสีหน้าท้อแท้ “ตอนนี้ฉันก็ได้แต่หวังว่าความตายของฉัน จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เรียกสติลูกอรกลับมาได้”
ชาครหน้าเครียดขึ้นมาเพราะไม่อยากให้ถึงเวลานั้นเลย
ลาภิณกำลังขับรถ โดยมีเจติยาและอยุทธ์นั่งมาด้วย อยุทธ์นั่งอยู่เบาะหลัง แต่ชะโงกมาเปิดจีพีเอสในมือถือให้เจติยาที่นั่งเบาะหน้าดู
“เดี๋ยวผ่านตรงนี้ไปเลี้ยวซ้าย แล้วก็ตรงยาวเลย แต่จากนั้นไปผมไม่รู้แล้วนะครับ ว่าหมู่บ้านที่คุณฐาไปอยู่ตรงไหนกันแน่”
“เดี๋ยวค่อยวนหาเอาก็ได้ค่ะ ถึงตรงนั้นแล้ว คงไม่ยากหรอก”
ลาภิณขับรถไปก็เหล่มองทั้งคู่ไป ยิ่งมองเขาก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ ทันใดนั้น รถของลาภิณก็เริ่มมีปัญหาและเครื่องสะดุด
เจติยาแปลกใจ “รถเป็นอะไรคะ”
ลาภิณหึงจึงทำตัวขวางโลก “ฉันจะรู้มั้ยล่ะ”
ลาภิณค่อยๆขับรถไปจอดข้างทางเพื่อดูว่ารถเป็นอะไร
อยุทธ์กำลังส่องไฟฉายดูเครื่องยนต์รถ โดยมีลาภิณและเจติยาอยู่ใกล้ๆ
อยุทธ์ปิดฝากระโปรงรถแล้วหันไปพูดกับลาภิณ “ไม่มีอะไรเสียครับ”
ลาภิณเขม่นๆ พูดกวนๆ “ไม่เสียแล้วทำไมรถผมถึงวิ่งไม่ได้ล่ะ”
“น้ำมันหมดรึเปล่า คุณต้นลองไปเช็คดูสิครับ”
ลาภิณผงะไปเล็กน้อยเพราะเขาลืมน้ำมันจริงๆ ลาภิณเดินไปเช็คที่รถแล้วก็ทำหน้าเจื่อนๆ “ก็มันรีบ ไม่ทันนึก”
อยุทธ์ยิ้มๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมดูจากจีพีเอสแล้ว มีปั๊มน้ำมันอยู่ใกล้ๆนี่เอง เดี๋ยวผมเดินไปซื้อน้ำมันมาเติมพอให้ขับไปที่ปั๊มได้ก็แล้วกัน”
ลาภิณหน้าหงิกงอไม่พอใจ
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ใกล้ๆ แค่นี้เอง” อยุทธ์ยิ้มให้แล้วเดินเลี่ยงไป
เจติยามองตามอยุทธ์ไป
ลาภิณโมโหหึงขึ้นมาทันที “ห่วงมากนักก็ตามไปสิ” ลาภิณว่าแดกดัน “มาทำดีกับฉัน แต่ก็ห่วงใยคุณอยุทธ์ ชอบบริหารเสน่ห์มากรึไง”
เจติยาไม่พอใจ “เป็นอะไรของคุณ เหวี่ยงใส่ฉันตลอด” เจติยาจะเดินหนี
ลาภิณโมโหหึงจึงกระชากแขนเจติยา “เลิกตีหน้าซื่อซะทีเถอะ เธอมันก็พวกจับปลาสองมือ นึกว่าฉันอ่านเกมเธอไม่ออกเหรอะ ถ้าฉันหลงกลเชื่อว่าเธอเป็นเมียฉัน เธอก็เลือกฉัน แต่ถ้าฉันไม่เชื่อเธอก็คว้ามันแทน” ลาภิณบีบแขนเจติยาแรงๆ แล้วจ้องหน้า “ใช่มั้ยนะ”
เจติยาหงุดหงิด เธอเครียดเรื่องนิษฐาเป็นทุนเลยรำคาญความงี่เง่าของลาภิณได้ง่ายๆ เจติยาผลักลาภิณออกไปแรงๆ พร้อมจะดึงแขนออกจากการจับกุม ลาภิณหึงจนโกรธรวบตัวเจติยามากอดเอาไว้แล้วจะจูบซ้ำ
เจติยาขัดขืนเสียงดัง “จะบ้าเหรอคุณต้น ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ”
อยุทธ์รีบวิ่งกลับมา
อยุทธ์เสียงแข็ง “มีเรื่องอะไรกันครับ”
ลาภิณยอมปล่อยตัวเจติยา เจติยาผลักลาภิณออกไปแล้วเดินเลี่ยงไปอย่างหัวเสีย
อยุทธ์มีสีหน้าไม่พอใจ เขาต่อว่าลาภิณ “ตอนนี้แค่เรื่องคุณฐา คุณเจก็เครียดมากพอแล้ว ขอร้องเถอะ คุณอย่าเพิ่งทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นปัญหาหน่อยเลย” อยุทธ์จ้องหน้าลาภิณ “ช่วยไปเอาน้ำมันด้วย” อยุทธ์ถอนใจส่ายหน้าก่อนจะเดินตามเจติยาไป
ลาภิณโกรธจนปากกระตุก เขายกเท้าเตะไล่ส่งอยุทธ์ไปอย่างหัวเสีย
เจติยาเดินน้ำตาคลอเพราะทั้งเครียดเรื่องนิษฐา ทั้งผิดหวังกับพฤติกรรมของลาภิณ เธอเหนื่อยล้าที่จะทำให้ลาภิณคืนความทรงจำ มีหลายเรื่องประเดประดังเข้ามา อยุทธ์รีบเดินตามเจติยามา
“คุณเจครับ”
เจติยาพยายามกลั้นอารมณ์ เธอยกมือขึ้นซับน้ำตาออกก่อนจะไหล เจติยาปรับสีหน้าและอารมณ์ก่อนจะหันไปคุยกับอยุทธ์
อยุทธ์สงสาร “ที่จริงคุณเจไม่ต้องทนขนาดนี้ก็ได้นะครับ คุณเจไม่ต้องการขอพรจากเหรียญ แต่ผมขอแทนได้ ผมจะใช้เหรียญของผมช่วยคุณเจกับคุณต้นเอง”
เจติยารีบห้าม “อย่าค่ะ คุณไม่ขอพรเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว”
อยุทธ์เห็นใจมาก เขามองเจติยาด้วยความสงสารจับใจ “แล้วคุณจะต้องทนทุกข์ใจแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนล่ะครับ”
เจติยาอึ้งไป สักพักน้ำตาก็ท่วมตาขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่เพราะรู้สึกอัดอั้นตันใจและตอบไม่ได้เหมือนกัน เจติยาก้มหน้างุดโดยพยายามจะกลั้นความรู้สึกแต่มันก็เอ่อล้นขึ้นมาซะแล้ว เจติยาตัวสั่นสะท้านจากแรงสะอื้น
อยุทธ์สงสารจับใจจนต้องเข้าไปสวมกอดเจติยาเอาไว้ เจติยาอึ้งไปเพราะรู้สึกได้ว่าอ้อมกอดของอยุทธ์ไม่ใช่แค่ปลอบใจเท่านั้น เธอตกใจและรีบผลักอยุทธ์ออกไปทันที
อยุทธ์หน้าเสีย เขาอึกๆอักๆทำอะไรไม่ถูก
ทันใดนั้น ก็มีลมมาปะทะหน้าเจติยาจนเจติยาต้องใช้มือบังใบหน้า พอมองมือตัวเอง เจติยาก็ต้องตกใจ เมื่อมือของตัวเองเต็มไปด้วยเลือด เจติยาตกใจรีบสะบัดมือ แต่พอลดมือลงต้องช็อคยิ่งกว่าเมื่อเห็นอยุทธ์หน้าอาบเลือดจ้องเขม็งมาที่เจติยา
อยุทธ์พูดเป็นเสียงฟาง “รีบไปช่วยเพื่อนพี่ก่อนจะเป็นแบบฉัน”
เจติยาตกใจสุดๆ เพราะมั่นใจว่านิษฐากำลังตกอยู่ในอันตราย
นิษฐากำลังเดินออกมาจากบ้านหลังหนึ่งตอนเช้าซึ่งเป็นบ้านชาวบ้านที่นิษฐามาพักค้างคืน ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นครูประจำหมู่บ้านเดินเข้ามาหานิษฐา
ครูยิ้มทักทาย “หลับสบายดีมั้ยคะคุณ”
นิษฐาปั้นยิ้มให้ตามมารยาท “ค่ะครู เออ แล้วนี่เจ้าหน้าที่มูลนิธิที่มากับฉันไปไหนกันหมดคะ”
“เห็นไปเดินเล่นแถวๆนี้ล่ะค่ะ เอ่อ คุณคะ เรื่องที่ทางมูลนิธิจะมอบอุปกรณ์การเรียนการสอน ต้องขอเลื่อนไปตอนบ่ายนะคะ เพราะท่านนายอำเภออยากมารับมอบด้วยตัวเอง จะได้คุยปัญหาเรื่องเด็กๆของที่นี่ด้วย”
นิษฐายิ้มรับ “ได้ค่ะครู”
“ขอบคุณค่ะ งั้นตามสบายนะคะคุณ” ครูยิ้มให้แล้วเดินเลี่ยงไป
นิษฐามองไปรอบๆ แล้วก็บ่น “จะทำอะไรดีเนี่ย” นิษฐาถอนหายใจออกมา
แก๊งค้ายากำลังขนยาบ้าใส่รถตู้ของมูลนิธิ โดยประสิทธิคนขับรถกำลังนับเงินจ่ายให้หัวหน้าแก๊งประสิทธินับเงินเสร็จก็ยื่นให้
หัวหน้าแก๊งรับเงินมาแล้วก็ยิ้มพอใจ “ขอบใจโว้ย อย่าลืมมาอุดหนุนกันอีกแล้วกัน”
ประสิทธิยิ้มแย้ม “แหงอยู่แล้ว พวกเราคงต้องค้าขายกันไปอีกนาน”
หัวหน้าแก๊งชอบใจ “แกนี่มันฉลาดจริงๆ ใช้มูลนิธิการกุศลบังหน้า ใครจะคิด ว่ารถของมูลนิธิจะมียาบ้าซุกอยู่”
ประสิทธิหัวเราะชอบใจ
นิษฐาแอบฟังอยู่หลังต้นไม้ด้วยความตกใจกลัวสุดๆ เพราะไม่คิดมาก่อนว่าคนขับรถของมูลนิธิจะแอบค้ายา นิษฐารีบวิ่งหนีไปแต่ด้วยความที่ไม่ทันระวังเลยเผลอเหยียบกิ่งไม้แห้งจนมีเสียงดัง ประสิทธิได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้แห้งก็ตกใจรีบหันไปมองตามทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นิษฐาวิ่งหนีสุดฝีเท้า เธอคิดว่าต้องหนีออกมาแล้วหาทางแจ้งตำรวจให้เร็วที่สุด ขณะนั้นเอง เอ๋ เด็กสาวที่ทำงานกับมูลนิธิก็เดินออกมาจากพุ่มไม้แล้วชนเข้ากับนิษฐาที่วิ่งมาจนล้มลงไปทั้งคู่
เอ๋โดนชนก็เจ็บ “โอ๊ย พี่ฐา วิ่งหนีอะไรมาคะเนี่ย”
นิษฐาเป็นห่วงเอ๋ “เอ๋ เร็วเข้า รีบหนีเร็ว”
เอ๋งง “หนีอะไรคะ”
นิษฐาเล่าอย่างร้อนใจ “ประสิทธิแอบขนยาบ้าใช้งานมูลนิธิเราบังหน้า เราต้องรีบไปแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้เลย”
เอ๋แปลกใจ “ทำไมพี่ไม่บอกผู้ใหญ่บ้านล่ะคะ”
ทันใดนั้น ทั้งสองก็ได้ยินเสียงเจติยาดังขึ้น “ฐา”
นิษฐาหันไปมองตามก็เห็นเจติยาอยู่ห่างจากเธอไปไม่มากนัก
นิษฐาดีใจมาก “เจ”
เจติยาร้อนใจสุดๆ เธอตะโกนเรียกเสียงดัง “มานี่เร็ว”
นิษฐางงๆ แต่ยังไม่ทันขยับตัวเอ๋ก็เข้ามาล็อกคอเธอไว้ทันที
นิษฐาตกใจสุดๆ “เอ๋ จะทำอะไร”
เอ๋ตะคอก “หุบปาก ไม่งั้นฉันเชือดคอแกแน่” เอ๋ชักมีดพกออกมา
นิษฐาตกใจสุดๆ เพราะไม่คิดว่าเอ๋จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
เอ๋หันไปจ้องเจติยาเขม็ง “พวกแกเป็นใคร ตำรวจเหรอ”
“ไม่ใช่ แต่ฉันรู้เรื่องที่เธอค้ายา แล้วก็เรื่องที่เธอเป็นคนฆ่าฟางด้วย”
นิษฐาตกใจสุดๆ
ทันใดนั้น ประสิทธิก็เดินถือปืนเล็งขู่ออกมา
ประสิทธิพูดด้วยหน้าตาโหดเหี้ยม “รู้มากขนาดนี้ ฉันคงปล่อยแกไปไม่ได้แล้ว”
เอ๋แปลกใจมาก เธอห้ามประสิทธิ “เดี๋ยว” เอ๋หันไปจ้องเจติยา “แกรู้เรื่องนังฟางได้ยังไง ไม่มีทางที่ใครจะนึกถึงว่าเป็นฝีมือฉัน”
นิษฐาอึ้งไป เธอเหลือบตามองเอ๋อย่างนึกไม่ถึงจริงๆ เจติยาจ้องหน้าเอ๋ด้วยสีหน้าชิงชัง
ภาพในอดีตย้อนมา นิษฐาลงจากรถของสิทธิพรในคืนเดียวกับที่มีเรื่องหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ นิษฐาก็ให้สิทธิพร
พามาส่งเอารถ
“ขอบคุณนะคะ”
“ถึงบ้านแล้ว อย่าลืมไลน์หาผมนะครับ” สิทธิพรมองตาละห้อย “ผมเป็นห่วง”
นิษฐาอึดอัด “ค่ะ”
สิทธิพรยิ้มกริ่มก่อนจะขับรถจากไป
นิษฐาถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปที่รถของตนที่จอดอยู่ นิษฐากดรีโมทปลดล็อก ขณะกำลังจะเปิดประตู ฟางก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาจับมือนิษฐาไว้
ฟางกลัวมาก “พี่ฐา ช่วยหนูด้วยค่ะ”
นิษฐาทั้งตกใจ ทั้งโกรธ “ปล่อยฉันนะ”
แม่ค้าคนหนึ่งกำลังเข็นรถเข็นผ่านมา หลังจากขายของหมดแล้ว แม่ค้ามองมาอย่างสนใจ แม้แต่เข็นรถเข็นผ่านไปแล้วก็ยังเหลียวมองมาเป็นระยะๆ
ฟางกลัวมาก “พี่ฐา อย่าทิ้งหนู ช่วยหนูก่อน”
นิษฐาพยายามผลักฟางออกไปเพราะยังโกรธไม่หาย “เธอจะมาไม้ไหนอีก อย่ามายุ่งกับฉัน” นิษฐารวบรวมแรงผลักฟางออกไปจนได้
นิษฐารีบเปิดประตูรถแล้วขับออกไป
ฟางตามไปทุบรถนิษฐา “อย่าเพิ่งไปพี่ฐา... พี่ฐา ช่วยฟางด้วย”
นิษฐาไม่สนใจ เธอขับรถหนีไปจนได้ ฟางได้แต่มองตามโดยทำอะไรไม่ได้ ทันใดนั้น ประสิทธิก็เข้ามาล็อกคอและปิดปากฟางไว้ไม่ให้ร้อง เอ๋เดินออกมาหาฟาง
เอ๋ยิ้มเหี้ยม “ฉันบอกแกแล้ว ถ้ารู้ความลับของฉัน ก็ต้องช่วยฉันทำงาน อย่าคิดหนีเป็นอันขาด”
“มันคงคิดว่ามีแฟนเป็นตำรวจแล้วจะปกป้องมันได้ล่ะมั้ง” ประสิทธิแสยะยิ้ม
ฟางกลัวสุดขีด เธอจะร้องให้คนช่วยแต่ก็ไม่มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย
เจติยาเล่าเรื่องทั้งหมดให้นิษฐา เอ๋ และประสิทธิฟัง เอ๋กับประสิทธิสบตากันหน้าซีดเผือด ในขณะที่นิษฐาเองก็ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ประสิทธ์ตกใจมาก “แกรู้ขนาดนี้ได้ยังไง แกเห็นเหตุการณ์เหรอ”
“ฉันรู้เพราะวิญญาณของฟาง มาเล่าให้ฉันฟัง” เจติยาบอก
เอ๋หัวเราะเยาะเพราะไม่เชื่อ เธอมองเจติยาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม “โกหก” เอ๋หันไปสั่งประสิทธิ “ฆ่าปิดปากมันซะ”
ประสิทธิจะยิงเจติยา ทันใดนั้น ลาภิณที่แอบเข้าไปใกล้ประสิทธิก็เข้ามาล็อกตัวประสิทธิจากทางด้านหลัง แล้วล็อกแขนประสิทธิก่อนจะแย่งปืนมา อยุทธ์ก็เข้าล็อกตัวเอ๋และแย่งมีดมาจากเอ๋พร้อมกับจับตัวเธอเอาไว้
นิษฐาวิ่งเข้าไปหาเจติยา “เจ”
เจติยากอดเพื่อนไว้ด้วยความโล่งอกที่มาช่วยนิษฐาได้อย่างหวุดหวิด “ไม่ต้องกลัวนะฐา ฉันโทรบอกพี่ผู้กองแล้ว ตำรวจกำลังตามมาช่วยเรา”
ลาภิณและอยุทธ์จับทั้งสองล็อกแขน แล้วจะพาไปมัด ทันใดนั้นเอง ประสิทธิก็ฉวยโอกาสสะบัดตัวหลุด แล้วแย่งปืนมาจากลาภิณ พร้อมกับชกลาภิณล้มคว่ำไป ประสิทธิเล็งปืนไปที่ลาภิณกะยิงให้ตาย
เจติยาตกใจสุดๆ “อย่ายิง”
เจติยาวิ่งถลาเข้าไปขวางหน้าลาภิณไว้ ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ลาภิณช็อก เขารู้สึกเหมือนภาพที่เจติยาขวางหน้าตนเพื่อรับกระสุนแทนเป็นเดจาวูที่เคยเห็นมาก่อน ลาภิณช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ประสิทธิกำลังจะเหนี่ยวไก ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น เจติยาสะดุ้งเฮือกเหมือนโดนยิง แต่ประสิทธิเป็นฝ่ายที่ถูกยิงจนล้มคว่ำ ตำรวจ 3-4 คนเป็นคนยิงกรูกันเข้ามาจับตัวประสิทธิกับเอ๋ไว้ เจติยาตั้งสติได้ก็เข้าไปหาลาภิณ
เจติยาเป็นห่วง “คุณต้น เป็นอะไรรึเปล่าคะ”
ลาภิณหลุดจากภวังค์แล้วก็เป็นห่วงเจติยามาก “เจโดนยิงรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ เจปลอดภัยดี”
ลาภิณโผเข้าไปกอดเจติยาแน่น เจติยาอึ้งเพราะไม่อยากเชื่อความรู้สึกตัวเองนัก
ลาภิณเป็นห่วงเจติยาสุดๆ “ผมห่วงคุณแทบแย่ นึกว่าคุณจะโดนยิงเหมือนตอนที่น้าพิสัยยิงคุณซะแล้ว”
เจติยาดีใจสุดๆ เธอผละออกมาจ้องหน้าลาภิณ น้ำตาท่วมตา “คุณต้น ...คุณต้นจำเจได้แล้วใช่มั้ยคะ”
ลาภิณจ้องหน้าเจติยา “ทำไมผมจะจำเจไม่ได้ เจเป็นภรรยาของผม คุณคือผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด”
เจติยาร้องไห้โฮแล้วสวมกอดลาภิณไว้แน่น นิษฐาดีใจจนน้ำตาคลอตาม ส่วนอยุทธ์จ๋อยไป ลาภิณและเจติยายังคงสวมกอดกันอยู่อย่างหวงแหนไม่ยอมปล่อย
อ่านต่อตอนที่ 8