หัวใจเถื่อน ตอนที่ 7
ราชและชิดชไม ทั้งสองคนยังนั่งทานอาหารอยู่ที่ร้านเดิม เสียงโทรศัพท์มือถือราชดังขึ้น เขากดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล”
อมาวสียืนพูดโทรศัพท์กลางโถงบ้านพิชิตพงษ์
“เมื่อไหร่ที่ฉันมีปัญหาทุกข์ใจ ให้ฉันคิดถึงคุณ คุณยินดีช่วยเสมอ...ยังจำได้ใช่มั้ย”
ราชลุกขึ้นทันทีเดินพูดโทรศัพท์ห่างออกมาจากโต๊ะ ชิดชไมชำเลืองมองนิดๆ
ราชยิ้มพลางบอกว่า “ผมท่องทุกวันก่อนนอนครับ”
เสียงอมาวสีดังลอดออกมาว่า “เราพบกันได้มั้ยคะ”
“นี่คุณขอนัดพบผมเหรอเนี่ย...ผมหูฝาดหรือเปล่า”
“ถ้าคุณต้องการจะช่วยฉันจริงๆ ก็กรุณารับนัดเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดกันอีก”
“ได้สิครับ...ให้ผมไปหาคุณที่บ้านหรือไง”
“ที่ไหนก็ได้ที่คุณสะดวก
“งั้นที่บ้านแก้วก็แล้วกัน...ผมไปรับคุณที่บ้านก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปถูก...เจอกันเย็นนี้นะคะ”
อมาวสีวางโทรศัพท์ลง โดยมีคุณหญิงยืนฟังอยู่ข้างหลังเธอนั่นเอง นี่คือข้อแลกเปลี่ยนของคุณหญิงอำภา
ราชกดปุ่มยกเลิกการสนทนา เขาเดินกลับไปที่โต๊ะอาหาร ชิดชไมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
“คุณมีประชุมถึงเย็นใช่มั้ย”
ชิดชไมแปลกใจนิดๆ “ทำไมคะ มีสาวโทร.มานัดเหรอ”
ราชล้อ “รู้ด้วย”
ชิดชไมทาย “น้องอมาวสีคนนั้นรึเปล่า”
ราชส่ายหน้า “สาวคนใหม่ กำลังมาติดผมแจเลย”
พูดจบราชก้มลงไปจูบจมูกชิดชไมเบาๆ แล้วจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารเร็วๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ชิดชไมลอบมองท่าทีราชอย่างคาใจ
เย็นนั้นรถราชเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้านแก้ว ราชก้าวลงจากรถพร้อมกับที่ไอ้ทินจอทะเล้นเดินออกมาต้อนรับเขา ทินรีบรายงาน
“บอสครับ มีผู้หญิงมารอท่านอยู่ในบ้านครับ เธอ...”
ราชต่อให้ “ส๊วยสวย...ไม่ต้องพูดมาก ฉันรู้แล้ว แกรีบไปหาน้ำหาท่าให้เธอ เอาผลไม้นี่ใส่จานมาด้วย”
ราชส่งถุงผลไม้อย่างดีมีราคาให้ไอ้ทิน แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน ไอ้ทินได้แต่มองตาม พูดไม่ทันผู้เป็นเจ้านาย
ราชเดินเข้าไปในบ้านแก้ว ท่าทางร่าเริง มีความสุขกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น เขาเดินไปวางกุญแจรถ พร้อมกับเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ปล่อยให้คุณต้องรอนาน แต่คงไม่ถึงกับทำให้คุณต้องคุ้มคลั่งซะก่อนนะครับ”
สุภาพสตรีผู้ที่ยืนรออยู่กลางโถงบ้านแก้ว ค่อยๆ หันมามองราช เธอคือคุณหญิงอำภา
ราชหันหน้าไปหาเธอ ด้วยคาดว่าจะเป็นอมาวสี เขาจึงถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน
อำภาค่อยๆ เอ่ยปากอย่างลำบากไม่น้อย ด้วยเสียงอันสั่นเครือ “ภาคย์ ลูกแม่”
ทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่ง เราจะเห็นหยาดน้ำตาของอำภาค่อยๆไหลเอ่อ ผ่านรอยยิ้มที่เจืออยู่บางๆบนใบหน้าเธอ ส่วนราชนั้น อยู่ในอาการสงบนิ่ง
“ลูกจำแม่ไม่ได้จริงๆเหรอ...หรือทำเป็นจำไม่ได้ เพราะโกรธแม่”
ราชหายใจลึกๆ ก่อนเอ่ยปากตอบด้วยเสียงอันดัง ฟังชัดเจน
“ผมไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร และเข้ามาในนี้ได้ยังไง...แต่ผมมั่นใจว่า ผมไม่เคยรู้จักคุณ”
หัวใจของคุณหญิงอำภาแทบแตกสลาย อันเนื่องมาจากความเย็นชาของชายที่เรียกตัวเองว่า ราช รัชภูมิ
ริมทะเลภูเก็ต สิบห้าปีที่แล้ว เด็กชายภาคย์เดินเรียดริมชายหาด เตะน้ำเล่น หยิบหิน หยิบหอยปาลงน้ำ ตามประสาเด็กๆ เสียงความคิดของเขาดังก้องขึ้น
“ผมไม่มีพ่อ ผมไม่มีแม่ ผมไม่มีที่อยู่ ผมไม่มีที่ไป...”
รถพยาบาล รถหน่วยกู้ภัย และรถตำรวจ จอดอยู่บนถนนริมหาด เจ้าหน้าที่กำลังเข็นเตียงคนไข้ขึ้นรถพยาบาล บนเตียงนั้นเห็นร่างของ รักษ์ รัชภูมิ ที่เพิ่งฟื้นจากการจมน้ำ มีพยาบาลคอยดูแลปฐมพยาบาลขั้นต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบรายละเอียด จากผู้พบเห็นเหตุการณ์
เด็กชายภาคย์เดินเล่นอยู่ไกลๆ
“ไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต ไม่มีความสุข ไม่มีความทรงจำ...”
ครู่ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งคุยกับเด็กชายภาคย์ ส่วนด้านหลังพยาบาลทำการปฐมพยาบาลรักษ์อยู่
“เราชื่ออะไร”
“ไม่มีชื่อ ไม่มีนามสกุล” ภาคย์บอก
“รู้มั้ยว่าคนที่เราเพิ่งช่วยชีวิตเขา เป็นใคร”
เด็กชายส่ายหน้า ไม่ทราบ
“เขาเป็นเศรษฐีที่นี่ เป็นเจ้าของเกาะรักษ์เล ชื่อ รักษ์ รัชภูมิ...เขาไม่มีลูก”
เด็กชายภาคย์พยักหน้ารับรู้เฉยๆ ไม่มีความหมายใดๆในใจเขา ตำรวจมองเด็กชาย แล้วจึงพูดต่อ
“เขาจะอุปการะเธอ เขาจะเลี้ยงดูเธอจนโตเป็นผู้ใหญ่...และให้เธอใช้นามสกุลของเขา...จะเอามั้ย”
เด็กชายภาคย์มองหน้าตำรวจ แล้วจึงมองไปยังลุงรักษ์ที่รถพยาบาล
“เขาฝากฉันมาถามว่า เธออยากจะมีชื่อว่าอะไร”
เด็กชายภาคย์ใช้ความคิด พลันสายตาเหลือบไปเห็นหน้าอกเสื้อของเจ้าหน้าที่กู้ภัย ที่เสื้อ มีตัวหนังสือเขียนว่า ถวายชีพ เป็น ราชพลี
เด็กชายภาคย์เดินไปชี้ที่คำว่า ราช ตำรวจมองตาม ยิ้มๆ
“ราช...ราช รัชภูมิ...ชื่อเหมือนพระเอกลิเกว่ะ”
มันคือที่มาของชื่อใหม่ และ ชีวิตใหม่ ที่ ภาคย์ พิชิตพงษ์ ไม่มีวันลืม
คุณหญิงอำภายืนมองหน้าราช นิ่งและนาน กลางโถงบ้านแก้วนั้น ความชอกช้ำ เสียใจ ประทุอยู่ภายในอก น้ำตาไหลทะลักออกมา โดยไม่อาจฝืนได้
“ภาคย์...ลูกแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ เพราะโกรธแม่ใช่มั้ย”
“ผมคิดว่า ท่านคงเข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวผม ผิดไปนะครับ”
คุณหญิงอำภาทรุดตัวลงนั่ง บนเก้าอี้ใกล้ตัว
“หนูอ้อ บอกแม่แล้วเชียว ว่า ลูกอาจจะไม่ยอมรับว่าลูกคือ ภาคย์ของแม่”
ราชค่อยๆหันไปมองหน้าคุณหญิงอำภา
“อ๋อ คุณคือคุณหญิงอำภา พิชิตพงษ์ละซีครับ”
คุณหญิงอำภายิ้มรับ ทั้งน้ำตาที่ยังไหลอยู่
ราชมีท่าทีเรียบเฉย ไม่มีอาการสนองตอบต่อน้ำตาของสตรีเบื้องหน้า
“เสียใจจริงๆครับ ผมไม่ใช่นายภาคย์ที่คุณหญิงเอ่ยถึง...ผมคือราช รัชภูมิ ผมไม่เคยมีแม่เป็นคุณหญิงอย่างท่าน...แม่ผมเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ แต่อาจจะรักลูกกว่าแม่ที่มีฐานะเป็นคุณหญิงก็ได้
คุณหญิงอำภาได้แต่จ้องมองหน้าราช และยอมรับในคำเสียดสีเหล่านั้นอย่างไม่อาจปฏิเสธ
“เอาเถอะ ลูกจะว่ากล่าวแม่ยังไงก็ได้ แต่ขอให้รู้ว่า แม่ตั้งใจมาหาลูก เพื่อมาขอโทษลูก ขอให้ลูกยกโทษให้แม่สักนิด ด้วยการยอมรับว่าลูกคือภาคย์ พิชิตพงษ์ของแม่ ได้มั้ย...”
คุณหญิงก้าวเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปหมายจะสัมผัส และโอบกอด ราชถอยตัวเองหนี อย่างรังเกียจ
คุณหญิงอำภาร้องไห้ เสียใจมากยิ่งขึ้น
“ภาคย์จะโกรธเกลียดแม่ ก็โกรธไปเถิด...แต่แม่รักภาคย์นะลูก”
“ผมขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ว่าผมคือ ราช รัชภูมิ ไม่ใช่ภาคย์ของท่าน...และถ้าท่านยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เยี่ยงคนปกติ ท่านก็ควรจะเข้าใจคำพูดของผมครบถ้วน ดังนั้นกรุณาอย่าให้ผมต้องพูดซ้ำอีก เพราะมันจะยิ่งทำให้ผมรู้สึกรังเกียจท่านมากขึ้นเรื่อยๆ”
คุณหญิงอำภา สะท้านไปทั้งร่างกายและจิตใจ จนแทบจะยืนทรงตัวไว้ไม่อยู่ ราชยังคงพูดต่อไปด้วยอารมณ์เดิม
“กลับไปเถอะครับ...ฝากบอกหลานสาวของท่านที่ชื่ออมาวสีด้วยว่า อย่าทำอย่างนี้กับผมอีก”
ทินไม่รู้ อิโหน่อิเหน่ เดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องดื่ม และ ผลไม้
“มาแล้วคร้าบ...น้ำหวานเย็นๆ และผลไม้สดๆ”
“ไม่ต้องแล้วไอ้ทิน...แขกของฉันกำลังจะกลับแล้ว”
ทินร้อง “อ้าว”
“ส่งคุณหญิงคนนี้ที่หน้าประตูด้วย”
คุณหญิงอำภาค่อยๆ ก้าวเดินออกไปด้วยความผิดหวัง ทินค่อยๆ เดินตามหลังไป
ราชหันหน้าหนีจากภาพนั้น และก้มหน้านิ่ง คล้ายพยายามข่มความรู้สึกตัวเองให้สงบลง
เย็นลงมากแล้ว ขณะที่คุณหญิงอำภานั่งนิ่งในในรถคันใหญ่ของบ้านพิชิตพงษ์ที่กำลังวิ่งไปบนท้องถนน สายตาของเธอเหม่อมองออกไปไกล แสน ไกล
“สมควรแล้วที่ภาคย์จะโกรธเกลียดแม่ เพราะตลอดระยะเวลาที่ภาคย์เป็นลูกแม่ แม่ไม่เคยให้สิ่งใดแก่ภาคย์ทัดเทียมกับภากรเลย แม้กระทั่งความรัก”
ขณะเดียวกันราช นอนแผ่กลางบ้าน สายตาจับจ้องมองเพดานแน่นิ่ง
“ซึ่งที่จริงแล้ว แม่ควรจะรักภาคย์มากกว่าภากรด้วยซ้ำ เพราะภาคย์มีหน้าตาเหมือนคนที่แม่รัก ภาคย์เป็นตัวแทนของความรักครั้งแรกของแม่...”
รถคันใหญ่คันนั้น แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ คุณหญิงอำภาค่อยๆ ก้าวลงจากรถ เดินเข้าบ้านอย่างเซื่องซึม ล่องลอย
“แต่แม่กลับคิดผิดไปว่า รูปร่างหน้าตาของภาคย์ คงจะประกาศให้โลกรู้ถึงความเลว ความผิดบาปของแม่ ชื่อเสียงของตระกูลพิชิตพงษ์ก็จะเสื่อมเสีย...”
ราชลุกยืนมามองรูปวาดคุณยาย ในใจเขา ครุ่นคิดหลายอย่าง
“เพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้แม่เกลียดภาคย์ แม่ให้ความรักและการเอาใจใส่ภาคย์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น...มาวันนี้ กรรมจึงได้ตามสนองแม่แล้ว แม้นแม่จะพร่ำบอกว่ารักภาคย์สักเพียงใด แม่ก็จะไม่มีวันได้รับความรักและความยินดีจากลูก”
ลานไหว้พระ หน้าบ้านพิชิตพงษ์ อำภานั่งพนมมือหน้าหิ้งพระนิ่ง น้ำตาไหลอาบท่วมสองแก้ม
“ภาคย์เป็นคนอื่นสำหรับแม่ไปซะแล้ว และภาคย์คงจะยิ่งเพิ่มความโกรธเกลียดแม่มากยิ่งขึ้น หากภาคย์ได้รู้ถึงกำเนิดอันแท้จริงของลูก”
ต่อมาคุณหญิงอำภานั่งเหม่อ ทอดอาลัย บริเวณระเบียงบ้าน นมพริ้งค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อำภา
“เจอเขามั้ยคะ”
คุณหญิงเอ่ยปากตอบเบาๆ โดยไม่หันไปมอง
“เจอ...ได้คุยกันพักนึง”
“คุณภาคย์พูดว่าไงบ้างคะ”
“พูดว่า เขาไม่ใช่ภาคย์...เขาไม่ยอมรับว่าฉันเป็นแม่...ไม่แม้แต่จะยอมให้ฉันสัมผัสตัวเขา”
คุณหญิงอำภาสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง นมพริ้งได้แต่สงสารและพยายามหาคำมาปลอบใจ
“หรือว่า เขา จะไม่ใช่”
“พริ้งคิดว่าฉันจะจำลูกชายฉันไม่ได้เหรอ...ฉันจำได้ดี ทั้งเขา และ พ่อของเขา”
อมาวสีเดินถือน้ำชาและผลไม้เข้ามาให้ สองนายบ่าวจึงหยุดการสนทนา
“ขอบใจนะอ้อ...ป้าไม่อยากทานอะไรทั้งนั้น”
คุณหญิงอำภาขยับตัวลุกขึ้นยืน ทว่าอยู่ๆก็หน้ามืด เซ
“คุณป้าไม่ค่อยสบายหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกอ้อ...ป้าสบายดี สบายมาตลอดทั้งชีวิตแล้ว”
แต่เมื่อคุณหญิงอำภาก้าวขาออกเดิน เธอก็วูบ เป็นลมล้มลง นมพริ้งและอมาวสีตกใจพร้อมกัน
ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของบรรดากลุ่มทุนและนักการเมือง ท่านกวีและภากรปะปนอยู่ในงานเลี้ยงหรูหรานั้น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ท่านกวีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล...ว่าไงนะ...โรงพยาบาลอะไร”
อีกฟากพยาบาลเข็นเตียงอำภาเข้าห้องฉุกเฉิน อมาวสีและจันเดินตามเตียงอย่างใกล้ชิด
“การหมดสติของคนไข้เป็นเพราะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดหัวใจตีบ” หมอบอกอาการที่วินิจฉัยคร่าวๆ ให้อมาวสีฟัง
ภารกิจของแพทย์และพยาบาลในห้องฉุกเฉินวุ่นวายตามความเคยชินเมื่อมีผู้ป่วย เสียงหมออธิบายยังคงดังต่อเนื่อง
“ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้ว แต่เราคงต้องขอให้อยู่ที่โรงพยาบาลก่อนเพื่อดูอาการ”
รถเก๋งของกวีแล่นทะยานเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาล ท่านกวีและภากรก้าวลงมาอย่างรวดเร็ว
“และเช็คให้แน่ใจว่าหลอดเลือดที่ตีบนั้นอยู่ในขั้นรุนแรงแค่ไหน และมีทั้งหมดกี่เส้น”
หมอกำลังอธิบายให้อมาวสีฟัง อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
อมาวสีฉงน “ทำไมอยู่ๆ มันก็ตีบขึ้นมาล่ะคะ”
“หลอดเลือดก็เหมือนท่อน้ำนั่นแหละครับ ใช้ๆ ไปก็มีตะกรันเป็นคราบ ถ้าในหลอดเลือด คราบที่ว่าก็จะเป็นพวกไขมัน แคลเซี่ยม คลอเรสเตอรอล
ท่านกวีและภากร สองพ่อลูกเดินเร็วรี่มาตามทางเดินจนเจอหมอที่เดินสวนมา ทั้งสองฝ่ายแนะนำตัว แล้วจึงเดินคุยไปด้วยกัน หมออธิบายตามที่บอกกับมาวสีไปเมื่อครู่นี้
“ถ้าไม่ดูแลร่างกายให้ดี มีเจ้าพวกนี้ไปเกาะเยอะๆเข้าเลือดในหลอดก็จะไหลได้น้อยลง หัวใจก็รับออกซิเจนได้น้อยลง วันดีคืนดีถ้าเกิดมีลิ่มเลือดเข้าไปอุดตันอีก ก็จะยิ่งลำบาก”
คุณหญิงอำภานอนนิ่งๆ บนเตียงในห้องฉุกเฉิน ภารกิจของแพทย์และพยาบาลเสร็จสิ้นแล้ว
“ถ้าไม่มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจก็จะตาย...ยังดีที่เราไม่ได้มีหลอดเลือดเพียงเส้นเดียว มันก็เลยช่วยกันทำงานได้...”
หมอคุยกับท่านกวีตรงบริเวณที่นั่งใกล้ทางเดิน ภากรร่วมฟังอยู่ใกล้ๆด้วย
“แต่ถ้าหากว่าตันพร้อมกันหลายๆ เส้นละก้อแย่เหมือนกันครับ”
“ในเบื้องต้นนี่ คุณหมอทำอะไรไปบ้างครับ” ท่านกวีซัก
“เจาะเลือดมาตรวจแล้ว คลอเรสเตอรอลค่อนข้างสูง ตอนนี้ต้องรอผลสแกนว่าหลอดเลือดที่ตีบตันมีกี่เส้น...ถ้าตีบไม่มาก ก็แค่ให้ยาละลายลิ่มเลือด ถ้าหนักกว่านั้นก็อาจจะต้องทำบอลลูนหรือทำบายพาส...ซึ่งคงต้องรอหมอหัวใจโดยตรงเป็นผู้วินิจฉัยพรุ่งนี้ครับ”
“ขอบคุณหมอ”
“ยังไงๆ ก็ระวังเรื่องความเครียดนิดนึงนะครับ” หมอกำชับ
“ความเครียดของคนไข้ หรือความเครียดของญาติครับ”
หมอยิ้ม “ทั้งสองฝ่ายก็ดีครับ...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
หมอหนุ่มเดินออกไป ภากรกระเถิบเข้าใกล้ผู้เป็นพ่อ
“พ่อ...แล้วงานแต่งงานผมกับอ้อ...ต้องเลื่อนรึเปล่า”
ท่านกวีเอ่ยปากตอบอย่าง ฉะฉาน ชัดเจน ราวกับสมัยอยู่ในสภา
“ไม่ ทุกอย่างตามกำหนดเดิม”
เสียงโทรศัพท์มือถือของภากรดังขึ้น ภากรก้มดูเบอร์
“แป๊ปนึงครับพ่อ...เดี๋ยวผมตามไป”
ภากรค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไป ท่านกวีมองตามนิดหนึ่ง โดยไม่ติดใจใดๆ
สักครู่ ท่านกวีเปิดประตูเข้ามาในห้องคนไข้ คุณหญิงอำภาค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นดื่มน้ำที่อมาวสีกำลังป้อนให้
“เป็นยังไงบ้าง”
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ...ไม่รู้ทำไม อยู่ๆก็วูบไปเฉยๆ”
“เครียดน่ะสิ...จากนี้ไปก็ต้องระวังเรื่องอาหารด้วยนะ” ท่านกวีว่า
“ไขมันในเส้นเลือดเหรอคะ”
“อือม...หมอเขาว่างั้น...มีอาการให้เห็นตอนนี้น่ะดีแล้ว จะได้ดูแลกันทัน...ไม่มีอะไรต้องห่วงมากหรอก”
ท่านกวีเหลือบมองอมาวสีที่ยืนฟังอยู่
“อ้อออกไปข้างนอกก่อน ลุงขอคุยเรื่องสำคัญกับคุณป้านิดนึง”
“ค่ะ” อมาวสีขยับจะเดินออกไป
“อ้อ” คุณหญิงเรียกไว้
“คะ” อมาวสีหันกลับมาหา
“นอนเป็นเพื่อนป้าที่นี่นะ...เช้าค่อยให้พริ้งมาเปลี่ยน”
“ค่ะ” อมาวสีเดินออกจากห้องไป
“มีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณต้องคิดมาก จนเครียด รึเปล่า”
คุณหญิงอำภาส่ายหน้า
“คงไม่ได้เผลอไปนึกถึงใครเข้านะ”
คุณหญิงอำภาตัดบทเปลี่ยนเรื่อง “คุยเรื่องสำคัญของคุณเถอะค่ะ”
“ยายอ้อจดทะเบียนสมรสกับนายราชแล้ว จริงเหรอ”
ภากรพูดโทรศัพท์อยู่ในมุมลับตาข้างโถงทางเดินนั่นเอง
“ผมพยายามอยู่...ขอเวลาอีกนิดนึงนะ...รับรองไม่เบี้ยวแน่ๆ เชื่อใจกันหน่อยน่า....นะ จูดี้”
เป็นสายจากสายบัวที่พูดโทรศัพท์อยู่ในบ่อน มีจอนยืนฟังอยู่ใกล้ๆ พร้อมด้วยหมู่สมุนคู่ใจของมัน
“ปัญหา ไม่ได้อยู่ที่จูดี้ หรือพี่จอนน่ะสิคะ...พ่อเลี้ยงทวีชัย เขาอยากคุยกับคุณภากรน่ะค่ะ”
จอนพยักหน้าเรียกเผือกมาพูดโทรศัพท์ต่อ เสียงภากรดังออกมานอกหูโทรศัพท์
“ไม่เอา ไม่พูด จูดี้พูดแทนผมเลย”
เผือกปั้นเสียงดุในบทพ่อเลี้ยงทวีชัย โหดสุด “ว่าไง ไอ้หนุ่ม...อยากตายเร็วหรือไงไม่ทราบ”
ภากรถือโทรศัพท์ ค้าง อึกอัก “เอ้อ...”
เสียงเผือกลอดออกมา “พูดซี่ เอ้อ อ้า อะไร...หรือว่าช็อคตายไปแล้ว”
“เปล่าครับพ่อเลี้ยง”
“ผมจะไม่พูดมากละนะ เสียเวลาผม...เอาสั้นๆเลย...ไม่จ่าย ตาย...เป็นไง ชัดเจนมั้ย แล้วระดับพ่อเลี้ยงอย่างผม ไม่ให้ตายคนเดียวด้วย...ต้องตายทั้งโคตร”
จอนและสมุนอื่นๆ ยิ้ม ถูกใจ
ภากรโมโหที่ถูกขู่ทำเสียงกร้าวใส่บ้าง “ขู่กันอย่างนี้ คิดว่าผมจะกลัวเหรอ”
“กลัวหรือเปล่าไม่รู้ ไม่สน...ผมสนแต่ว่า คุณต้องเอาเงินมาจ่ายผม ตามเวลา...ทีตอนเล่น คุณยังกล้าขอยืม ตอนเลิกเล่นก็ต้องกล้าจ่ายคืนด้วยซี่...ถามหน่อยซิ มีใครบังคับให้คุณมาเล่นรึเปล่า...”
จอนสะกิดไอ้เผือก ทำท่าทำทางว่าให้มันพูดเรื่องปืน
“เฮ้ยเอาปืนออกมาเช็ดซิ...เตรียมใช้งาน ทุกกระบอกเลย”
หมู่มวลสมุนทำท่าเช็ดปืนกันสนุก
จังหวะนี้อมาวสีเดินเข้ามานั่งในโถงโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากภากรนัก เชื่อได้ว่าเธอน่าจะได้ยินเสียงพูดของภากร
“อาทิตย์หน้า ถ้ายังไม่มีเงินทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์ มาวางตรงหน้าผม...คนของผมจะถูกส่งไปเยี่ยมคุณถึงบ้าน พร้อมด้วยกระเช้าใบใหญ่ ใส่เอ็มสิบหกและ อาร์ก้า ถ้าชอบก็ลองดู”
เหิมสวมบทพ่อเลี้ยงระดับดาราสุพรรณหงส์ แล้วส่งโทรศัพท์ให้สายบัว
สายบัวยื่นปากเข้าไปพูดต่อ “จูดี้บอกแล้วไงว่าพ่อเลี้ยงแกเอาจริง”
ภากร หน้าซีดเผือด
“ผมรู้แล้ว...ผมจะรีบหาเงินมาทยอยใช้ให้นะ...ถ้ามีข่าวคราวอะไรคืบหน้ามาจากทางโน้น จูดี้ต้องรีบส่งสัญญาณบอกผมนะ”
ภากรกดปุ่มเลิกการสนทนา เขานั่งกุมขมับ เครียดจัด ท่านกวีเดินมายืนเบื้องหน้าลูกชาย
“ฉันเคลียร์กับแม่แกแล้วนะ...งานแต่งงานระหว่างแกกับยายอ้อ จะมีขึ้นเดือนหน้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ”
“ครับ”
“คุยโทรศัพท์จนลืมแม่เลยเหรอ...เข้าไปเยี่ยมแม่ ไป...เสร็จแล้วจะได้กลับ”
ภากรเดินออกไป ตามที่พ่อสั่ง อมาวสี เธอยังคงนั่งนิ่ง อึ้งๆ อยู่ตรงนั้น
ค่ำคืนนั้น พยาบาลกำลังดูแลความเรียบร้อย ของคนไข้ คุณหญิงอำภานอนนิ่งๆอยู่บนเตียงอมาวสีเปิดประตูเข้ามา เธอเดินซึมๆไปนั่งข้างๆเตียง พยาบาลเสร็จธุระแล้วจึงเดินออกไป
“อ้อต้องการของใช้ส่วนตัวอะไร ก็ฝากนมพริ้งมาพรุ่งนี้เช้านะ”
“ค่ะ”
“จะนอนเลยก็ได้นะ”
“คุณป้าต้องการอะไรก็บอกอ้อนะคะ”
“ไม่ละ...แค่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ให้รู้สึกว่าป้าไม่ได้อยู่คนเดียวก็พอแล้ว”
อมาวสีเอนตัวนอนลงบนโซฟาใหญ่ ไม่ไกลจากเตียงคนไข้ ทั้งสองนอนมองเพดาน นิ่ง สักครู่ คุณหญิงอำภาก็เอ่ยปากพูด
“ป้าพูดกับคุณลุงแล้วนะ เรื่องการแต่งงานน่ะ...คุณลุงเขาไม่ยอม...ถ้าอ้อจดทะเบียนกับคุณราชจริง ก็ให้รีบไปหย่าซะ คุณลุงเขาเชื่อว่าแต่งงานอยู่กินกันไปกับภากร อ้อก็จะรักภากรเอง”
“คุณป้าเชื่อเหมือนคุณลุงมั้ยคะ”
“มันก็มีโอกาสเป็นไปได้”
“แล้วโอกาสที่เป็นไปไม่ได้ล่ะคะ”
ทั้งคู่ เงียบไปพักหนึ่ง อมาวสีเหลือบมอง เห็นชัดว่า คุณหญิงอำภากำลังใช้ความคิดอยู่ไม่น้อย
“ขอโทษค่ะ อ้อไม่ควรพูดให้คุณป้าเครียดเปล่าๆ”
“ป้าคงจะทักท้วงหรือสนับสนุนอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นชีวิตของอ้อ การตัดสินใจจึงอยู่ที่อ้อ ไม่ได้อยู่ที่ป้า ถ้าอ้อจะรักคุณราชมันก็เป็นสิทธิของอ้อ แต่ถ้ารัก เพราะเชื่อว่าคุณราชเขาจะกลับมาเป็นพี่ภาคย์คนเดิมของอ้อละก้อ อ้ออาจจะต้องผิดหวัง ไม่ต่างกับป้า”
อมาวสีคิดตาม ใบหน้าสวยอิ่มดูเครียดมากกว่าเก่า
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 7 (ต่อ)
กลางดึก รถคันงามของท่านกวี วิ่งไปบนถนนหลวง โล่ง ท่านกวีและภากรนั่งข้างกันบริเวณเบาะตอนหลัง ท่านกวีค่อยๆ ชำเลืองมองภากรที่เอาแต่นั่งเหม่อมาตลอดทาง
“ทำไมหน้าตาแกยังเครียดอยู่อีก...เรื่องของแกกับยายอ้อ พ่อก็จัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
“ผม...”
“ผมอะไร”
“ผม...มีปัญหาครับ”
“พูดมา...”
“พ่ออย่าโกรธผมนะครับ”
“ฉันไม่รับปาก”
ภากร ยิ่งเครียดมากขึ้น จนไม่กล้าพูด ท่านกวีจึงเอ่ยปาก ดักคอเอาเอง
“เรื่องผู้หญิงอีกเหรอ...คราวนี้ใคร”
“ไม่ใช่ผู้หญิงครับ”
“งั้นเรื่องอะไร...แกคงไม่ได้ไปฆ่าใครตายใช่มั้ย”
ภากรตัดสินใจพูด “เรื่องเงินครับ”
กวีหัวเราะเบาๆ
“โธ่...เดือนหน้า หลังแต่งงาน แกก็จะมีเงินตั้งสิบห้าล้าน ค่อยแบ่งไปใช้หนี้เขามันจะยากอะไร ไม่เห็นต้องเครียดเลย”
“ครับ”
“คนกำลังจะแต่งงาน คิดอะไร ทำอะไร ที่มันทำให้สุขสดชื่นหน่อยสิวะ”
“ครับ พ่อ”
ภากรรับคำส่ง โดยที่ความเครียดมิได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด
ด้านวัชรีเดินถือโทรศัพท์ในห้องนอน เมื่อปลายสายมีเสียงรับ เธอรีบเอ่ยปากพูด
“พี่วาริน...พี่อยู่ไหนน่ะ”
วารินนั่งเมาอยู่กลางบาร์เหล้า มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู
“อยู่ในบาร์ ครับคุณน้อง...คนอื้อเลย...ส่วนพี่ กำลังเมา”
“อยู่กับใคร”
“อยู่คนเดียวสิครับคุณน้อง...คนเดียวในมวลหมู่มหาประชาชนขี้เมา...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะพี่มันพวกหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่แล้ว”
“กลับบ้านได้แล้วนะคะคุณพี่...ป๋าถามหาคุณพี่ลั่นบ้านเลย”
“ยังกลับไม่ได้ พี่ต้องรอเจอไอ้คุณราชก่อน...พี่นัดกับมันไว้ เผื่อมันจะมีข่าวคราวดีๆมาฝาก...แต่จนป่านนี้ มันยังไม่มาเลย...พี่รอมันจนเมาเละแล้วนะเนี่ยๆ...คุณน้องช่วยพี่ตามหานายราชหน่อยสิ”
สิ้นเสียงพูด วารินก็ฟุบหน้าหลับลงบนโต๊ะนั้นนั่นเอง โดยไม่ทันได้ฟังคำของน้องสาวประโยคต่อมา
“พี่วาริน กลับบ้านมาเดี๋ยวนี้เลยนะ...ทำอย่างนี้แล้วได้อะไร พี่ตั้งใจเมาประชดใครรึเปล่า...แล้วมีใครรู้ ใครเห็นบ้างมั้ย...ไอ้คุณพี่...”
เช้าตรู่วันนี้ ท่านกวีเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน เข้ามาโถงกลางบ้านพิชิตพงษ์ ตรงมายังมิสเตอร์หว่องและทนายชอบ ที่นั่งรออยู่ในนั้นแล้ว
“สวัสดี คุณหว่อง...มีอะไรด่วนเหรอ มาหาผมแต่เช้าเชียว”
“เพิ่งทราบจากคุณชอบว่าคุณหญิง อยู่โรงพยาบาล” มิสเตอร์หว่อง ทักและถาม
“อือม...แกไม่ค่อยแข็งแรง พักผ่อนน้อยน่ะ”
“คราวหน้าผมจะเอาวิตามินมาฝาก...เรามีวิตามินรวม ที่เหมาะสำหรับคนวัยอย่างท่าน วัยอย่างคุณหญิง รับรองกินแแล้วแข็งแรงไม่แพ้วัยรุ่น”
ท่านกวีเย้า “อย่างนั้นเชียว...สนใจมั้ยคุณชอบ”
“ถ้ามันดีอย่างนั้น ทำไมไม่เอามาให้เราผลิตเองล่ะครับ ดีมั้ยครับท่าน”
ท่านกวียิ้ม ชอบใจ
“เอเออาร์ มีนโยบาย ไม่เอางานวิจัยของเราไปผูกขาดกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งครับ เราอยากกระจายยาดีๆไปให้กับทุกภูมิภาคทั่วโลกได้เป็นเจ้าของอย่างทั่วถึง” มิสเตอร์หว่องว่า
ท่านกวีหันไปยักไหล่ให้ทนายชอบ
“งั้นเอาเรื่องของเฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่าของเราดีกว่า เมื่อไหร่เราจะได้เริ่มการผลิตซะที”
“เรารอให้ผ่านFDA ของอเมริกาก่อน เพราะถ้าผ่านที่นั่นได้ เกือบทุกประเทศทั่วโลกก็จะยอมเชื่อถือ” มิสเตอร์หว่องบอก
“อีกนานมั้ย” ท่านกวีถาม
มิสเตอร์หว่องบอก “อันนี้ผมตอบไม่ได้จริงๆ”
ทนายชอบเง็ง “อ้าว...”
มิสเตอร์หว่องอธิบาย “เป็นอย่างนี้ทุกครั้งครับ...ยาทุกตัว ก่อนจำหน่ายได้ ก็ต้องรออย่างนี้ละครับ...พอดีกับที่กำหนดการนำส่งเครื่องจักรต่างๆที่สั่งไว้ ทางโรงงานเขาขอดีเลย์ออกไปสามเดือน ผมก็เลยต้องรีบมาแจ้งท่าน”
ในระหว่างที่หว่องพูด อมาวสีเดินเข้ามายืนอยู่มุมหนึ่ง ท่าทีรีๆ รอๆ ท่านกวีสังเกตเห็น
“แต่ผมลงทุนไปก่อนแล้ว อย่างนี้ดอกเบี้ยกินตายสิ ไม่ขาดทุนแย่เหรอคุณชอบ”
“ดูจากแผนงาน เราได้เผื่อเวลาเหล่านี้ไว้แล้วครับ” ทนายสามัญประจำบ้านพิชิตพงษ์บอก
“โอเค งั้นคุณชอบคอยตามเรื่องนี้ให้ทีนะ”
“ครับ”
“โทษนะ ขอตัวสักครู่”
ท่านกวีขยับตัวลุกขึ้นเดินไปหาอ้อ
“ใครอยู่เฝ้าคุณป้า”
“ป้าพริ้งไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ เดี๋ยวบ่ายๆ อ้อไปเปลี่ยน”
“มีธุระอะไรกับลุงอีกหรือเปล่า”
อมาวสีตัดสินใจเอ่ยปากพูด “เรื่องงานแต่งงานค่ะ”
ท่านกวีไม่รอให้อมาวสีอธิบายอะไรมากกว่านี้ เขาพูดกำชับกับอมาวสีทันที
“ฉันพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น...แล้วฉันก็บอกผู้คนเขาไปเยอะแยะแล้วด้วยยกเลิกไม่ได้หรอก”
อมาวสีก้มหน้านิดๆ ราวกับว่าเธอเป็นผู้กระทำความผิดมหันต์
“อ้อแค่ขอเลื่อนออกไปก่อนได้มั้ยคะ...คุณป้าก็กำลังป่วย น่าจะไม่เหมาะที่จะ…”
“เหมาะหรือไม่เหมาะ ฉันเป็นผู้พิจารณาเอง...เธอมีหน้าที่ทำจิตใจให้สบายทำร่างกายให้ผ่องใสเท่านั้นแหละ”
อมาวสีพยายามท้วง “แต่...”
“ไม่มีคำว่าแต่...และไม่มีอะไรต้องกังวลใจ...ฟังลุงนะอ้อ ตั้งแต่พ่อแม่เธอตายไปหมด ฉันเป็นผู้เลี้ยงดูเธอมา...ฉันส่งเสียเลี้ยงดูจนเธอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาอย่างทุกวันนี้ มีตรงไหนที่แสดงให้เห็นว่าฉันไม่ได้หวังดีกับเธอหรือเปล่า”
ท่านกวีพูดคล้ายลำเลิกบุญคุณ อมาวสีส่ายหน้าช้าๆ
“ถ้ายังเห็นว่าลุงมีบุญคุณ ก็อย่าขัดขืนในสิ่งดีๆ ที่ลุงหยิบยื่นให้...และไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาพูดกับลุงอีกนะ”
อมาวสีเงียบกริบ คล้ายจำนนต่อชะตา
ฝ่ายฟากคุณหญิงอำภา นอนอยู่บนเตียงคนไข้ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น นึกถึงคำพูดเสียดสีของราช รัชภูมิ ขึ้นมา
“เสียใจจริงๆครับ ผมไม่ใช่นายภาคย์ที่คุณหญิงเอ่ยถึง...”
“ผมคือราช รัชภูมิ ผมไม่เคยมีแม่เป็นคุณหญิงอย่างท่าน...แม่ผมเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ แต่อาจจะรักลูกกว่าแม่ที่มีฐานะเป็นคุณหญิง”
“ผมขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ว่าผมคือ ราช รัชภูมิ ไม่ใช่ภาคย์ของท่าน...และถ้าท่านยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ท่านควรจะเข้าใจคำพูดของผมครบถ้วนดี กรุณาอย่าให้ผมต้องพูดซ้ำอีก เพราะมันจะยิ่งทำให้ผมรู้สึกรังเกียจท่านมากขึ้นเรื่อยๆ”
ถ้อยคำนั้นช่างบาดลึก และ เฉือนหัวใจนัก จนน้ำตาค่อยๆไหลพรากออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของคุณหญิง นมพริ้งเปิดประตูห้องเดินเข้ามา พร้อมกับอาหารเช้า
“คุณหญิงตื่นแล้วเหรอคะ”
แม่นมสูงวัย เพิ่งสังเกตเห็นน้ำตาบนใบหน้าผู้เป็นนาย
“ตายจริงคุณหญิงคิดอะไรมากอีกเหรอคะ ร้องไห้แต่เช้าเลย...คุณหมอยิ่งเตือนว่าพยายามอย่าเครียด”
“เขาจงเกลียดจงชังฉันมากเลยนะพริ้ง”
“ให้เวลาเขาสักพักเถอะค่ะ”
“ไม่มีทาง ฉันตายไปจากความทรงจำของเขาแล้ว...เหมือนกับที่เขาทำให้เห็นว่า ภาคย์ลูกชายฉันได้ตายไปจากโลกนี้แล้วเหมือนกัน”
นมพริ้งไม่สามารถจะหาคำพูดใดมาปลอบประโลมอำภาได้อีก เธอได้แต่นั่งถอนใจ
“เอาของที่ฉันสั่งมาหรือเปล่า พริ้ง”
“ค่ะ”
นมพริ้งส่งกล่องเล็กๆ ให้ มันเป็นกล่องไม้รูปทรงยาวๆ
ดูไม่ออกว่าเป็นกล่องดนตรี หรือกล่องใส่เครื่องประดับกัน ที่แน่ๆ มีลิ้นชักเล็กๆ ที่ส่วนฐานของกล่อง
คุณหญิงอำภารับกล่องนั้นมาถือไว้ เธอผู้มากมีความหลัง ระลึกถึงอดีตสามสิบปีที่ผ่านมาอีกคำรบ
ที่บ้านพิชิตพงษ์ สามสิบปีก่อนหน้านี้ อำภาในวัยสาว นั่งเขียนจดหมาย อยู่ในมุมลับตา มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน ข้างๆกายเธอ มีทารกน้อยนอนอยู่บนเบาะเล็ก
กล่องไม้กล่องหนึ่งวางอยู่ในนั้นด้วย อำภาอ่านข้อความทวนในใจ
“ฉันยอมรับว่า เขาคือสายเลือดทวยไท...แม้ฉันจะเลือกทางเดินที่ไม่ถูกใจคุณนัก แต่ฉันสัญญาว่าจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้ ให้เติบโตสมกับเป็นสายเลือดของคุณ อย่างน้อยมันอาจจะทำให้ฉันระลึกถึงความรักระหว่างเรา...ขอโทษสำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่คุณสบายใจเถอะค่ะ สายเลือดของคุณ ยังคงอยู่...เขาคือ ภาคย์ ทวยไท ลูกชายของคุณค่ะ”
จากนั้นอำภาก็ร้องไห้ ฟุบหน้าลงไปบนจดหมายแผ่นนั้น
คุณหญิงอำภาดึงตัวเองกลับมา เปิดลิ้นชักกล่องใบนั้น พบว่ามันมีกระดาษแผ่นหนึ่งซุกอยู่ คุณหญิงค่อยๆ หยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาคลี่ดู พูดประโยครำพึงรำพัน
“ทั้งหมดนี้คือกรรมของฉัน...มันเป็นตราบาปที่ฉันเป็นผู้ก่อไว้”
“เรื่องแบบนี้จะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้หรอกค่ะ ถ้ามันเป็นกรรม มันก็คือกรรมของทุกคน ที่ถูกโชคชะตานำพาให้เรามาเจอกัน” นมพริ้งปลอบ
“แต่มันเป็นการตัดสินใจผิดของฉันเพียงคนเดียว มันเป็นกรรมที่เกิดจากฉันคนเดียวเท่านั้น...ถ้าฉันกล้ากว่านี้...กล้าที่จะยอมรับความจริงมากกว่านี้...มันก็คงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก”
แผ่นกระดาษในมือคุณหญิง มันคือกระดาษแผ่นเดียวกับที่อำภาในวัยสาวเขียนไว้เมื่อสามสิบปีที่แล้วคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนกระดาษแผ่นนี้ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นเป็นประจักษ์แห่งความระทมทุกข์
อนิจจา เธอไม่ได้ส่งโน้ตแผ่นนี้ไปถึงใครเลย แม้ซักคน
วัชรีอยู่ในบ้าน กดโทรศัพท์แล้วยกขึ้นพูด
“ฮัลโหล...ยายอมาใจร้าย...พวกเรารอคำตอบจากเธอเรื่องไปเขาใหญ่ เธอก็หายเงียบไปเลยนะ...จะแต่งงานแล้วลืมเพื่อนฝูงหมดเลยเหรอ”
อมาวสีนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในรถแท็กซี่ระหว่างทาง
“ไม่ใช่อย่างนั้น เรายุ่งอยู่จริงๆ ขอโทษ”
เสียงวัชรีค่อนขอดลอดออกมาว่า “มัวแต่ลองชุดเจ้าสาวอยู่เหรอ”
อมาวสีฉุนนิดๆ “วัชรี ถ้าเธอยังเป็นเพื่อนเราอยู่...อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ ขอร้องละ”
“เราก็ขอร้องเธออย่างนึงได้มั้ย...ถ้าไม่ลำบาก เธอช่วยแวะมาเยี่ยมพี่วารินหน่อยเถอะ”
เสียงอมาวสีฟังดูฉงนเอาการ “พี่วารินเป็นอะไรไป...”
“เมาหัวราน้ำ...ไม่เคยเห็นพี่ชายฉันเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย”
“คงต้องฝากเยี่ยมก่อนละ คุณป้าของฉันเข้าโรงพยาบาล เราต้องนอนเฝ้าคุณป้า...แล้วก็ต้องทำธุระให้คุณป้าด้วย”
“สงสารพี่วารินจัง ฉันเพิ่งรู้สึกว่าเขาไม่มีใครเลยก็วันนี้...คุณราชก็หายเงียบไป ติดต่อก็ไม่ได้ด้วย...แย่จัง”
วัชรีบ่นตามประสา
รถแท็กซี่คันนั้นแล่นมาจอดหน้าบ้านแก้ว อมาวสีก้าวลงจากรถ เธอเดินตรงมากดออดที่หน้าประตู
ประทินจอมกะล่อนเดินออกมาจากตัวบ้าน มันยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟัน ต้อนรับทันที่
“ฮัลโล่ ฮาวดูยูดู๊...”
“คุณราชอยู่มั้ย”
“ในบรรดาผู้หญิงของบอส คุณเป็นคนที่ทำแต้มได้สูงสุด” ทินเล่นลิ้น
อมาวสีฉงน “แต้ม”
“ใช่...คุณมาหาบอสบ่อยที่สุด ผมจดไว้”
“แล้วเขาอยู่ไหม คุณราชน่ะ”
“เสียใจ...โน๋” ทินวางท่า น่าหมั้นไส้ปนน่าขัน
“เขาจะมากี่โมง”
“ไอ ด๊อนท์ โน๋”
“แล้วเขาจะมาที่นี่มั้ย”
“โนวันโน๋”
“ตอนนี้เขาอยู่ไหน รู้มั้ย”
“โนบอดี้โน๋”
“เขามีบ้านหลังอื่นอีกมั้ย”
ไอ้ทินทำท่ารูดซิบปิดปาก
“ทำไมบอกไม่ได้”
“บีคอส มายเฮด วิล บี โน”
อมาวสีถอนใจ ชักเริ่มรำคาญ
“ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเขา”
“ทุกคนที่มาหาบอส ก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้นแหละเจ๊...ผมช่วยไม่ได้จริงๆครับ”
อมาวสีมีสีหน้าผิดหวังอย่างแรง เธอค่อยๆหมุนตัวเดินกลับไปอย่างน่าสงสาร ทินตัดสินใจเอ่ยปากขึ้นมาเสียงดัง
“แต่พ่อผมอาจจะช่วยได้...เพราะบอสไม่เคยเขกหัวพ่อ...รอเดี๋ยว”
ว่าพลางไอ้ทินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดหมายเลข แล้วพูด
“ฮัลโหล พ่อ...มีผู้หญิงมาหาคุณราช...ก็ผู้หญิงสวยๆ ที่พ่อพาคุณลุงรักษ์ไปแอบซุ่มดูเธอน่ะ...เธอดูน่าสงสารนะ พ่อ เอาไงดี...โอเค”
ทินวางโทรศัพท์ลง อมาวสีมองหน้าทิน รอฟัง
“พ่อบอกว่า อย่ายุ่ง...”
อมาวสีเดินคอตกออกไป ทินเปล่งเสียงตะโกนออกมาลอยๆ
“คุณรู้จักถนนนราธิวาสมั้ย ซอย39 รู้จักมั้ย ในนั้นมีบ้านสวยๆหลังนึง ประตูสีขาวมีเลข 789 เรียงกัน...”
อมาวสีหยุดเดินหันมามองหน้าทิน
“ผมไม่ได้บอกอะไรคุณนะครับเจ๊...ผมแค่เพ้อลอยๆ”
“ขอบใจ”
“เนฟเวอร์มาย...บ๊ายบาย...มิส ยู”
อมาวสีเดินตรงไปยังแท๊กซี่ที่จอดรออยู่ไกลๆ
ประทินจอมกะล่อน ยกโทรศัพท์ขึ้นมากด พูดกับนายเทินผู้เป็นบิดาอีกครั้ง
“ฮัลโหล พ่อ...ผมโทร.มาสารภาพบาปคร้าบ...”
รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านราช ทำคำบอกของทิน อมาวสีก้าวลงมาจากรถ เธอชะเง้อมอง แล้วจึงกดออด เงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้น
อมาวสีลองขยับประตูรั้วดู...มันไม่ได้ล็อค เธอผลักประตู แล้วจึงก้าวเดินเข้าไปข้างใน
อมาวสีเข้าไปถึงในบ้าน ค่อยๆกวาดตามองไปรอบๆ เสียงใสๆ ของสุภาพสตรีดังเข้ามา
“เจอกันอีกแล้วนะคะ น้องอ้อ” มันคือเสียงทักทายของครีเอทีฟสาวมั่น ชิดชไม
“คุณชิดชไม”
ดูเหมือนว่า อมาวสีจะสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะเจอเธอผู้นี้
“ไม่ต้องตกใจ...น้องสามารถเจอพี่ได้ในทุกๆ ที่ ที่เป็นที่อยู่ของราช”
อมาวสีพูดอะไรไม่ออก ชิดชไมยิ้มหวานใส่ ทอดไมตรีให้
“มาหาราชใช่มั้ยจ๊ะ”
“ค่ะ...”
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า บอกพี่ได้มั้ย”
อมาวสีอึกอักขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว จนไม่สามารถจะพูดได้”
อมาวสีรีบพูด ด้วยเกรงว่าจะเกิดการเข้าใจผิด
“เรื่องเกี่ยวกับคุณป้าของดิฉันค่ะ”
ชิดชไมพยักหน้ารับรู้
“อ๋อ...แต่ราชเขาไม่อยู่จ้ะ แล้วเวลาที่เขาหายไปเฉยๆโดยไม่บอกใครเนี่ย อย่าหวังว่าจะมีใครหาเขาเจอ”
ชิดชไมวางท่าเหมือนเป็นคนที่ใกล้ชิดและรู้ใจราชเป็นที่สุด อมาวสีได้แต่ฟังนิ่งๆ
“เขาเป็นคนอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมาแล้วละ วันไหนพี่ว่าง พี่ก็แวะมาดูแลบ้านให้เขา...ถ้าน้องไม่รีบไปไหน จะอยู่รออยู่ก่อนก็ได้นะ ซักสามสี่ทุ่มน่ะ ถ้าเขาไม่มาก็แปลว่าคืนนี้ไม่กลับ...ส่วนพี่นอนที่นี่จนคุ้นเคย ไม่มีปัญหา”
“ดิฉันกลับก่อนดีกว่าค่ะ”
อมาวสีขยับตัวจะเดินออกไป
ชิดชไมขยับปากถามธุระของป้าที่นำเธอมาที่นี่ “จะให้บอกราชมั้ยว่าคุณป้าน้องมีธุระอะไร”
“ไม่ต้องดีกว่าค่ะ...เขาคงไม่อยากรู้เท่าไหร่”
เมื่ออมาวสีลับกายไป ชิดชไมจึงกดโทรศัพท์มือถือ
เสียงดังออกมาจากโทรศัพท์ เป็นเสียงราชบอกให้ฝากข้อความ
ชิดชไมค่อยๆเปล่งเสียงฝากข้อความ บันทึกลงไปในโทรศัพท์
“นี่เสียงแคลร์นะจ๊ะ เผื่อราชจะลืม...หายไปไหน ไม่บอกเลย...ใครต่อใครตามหาราชกันให้ควั่ก...ถ้าราชกลับมาบ้านคืนนี้ อาจเจอแคลร์นอนคอยอยู่บนเตียงราชนะ...ในวงเล็บ ถ้าคอยไหวและไม่มีชายคนใดมาฉุดตัวแคลร์ไปซะก่อน...บ๊ายบาย”
ชิมชไมวางสายไปในที่สุด
ตกตอนกลางคืน ในบาร์เหล้าแห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงเพลงอึกทึกนั้น ภากรยืนเครียดอยู่ในมุมลับตา เขามองไปรอบๆ ตัวอย่างระแวง สายบัวเดินเข้ามาในบาร์ เธอกวาดตามองหาภากรจนเจอ ภากรยกมือเรียกสายบัว
ตรงโต๊ะ ที่ตั้งอยู่กลางบาร์แห่งนี้ ภากรและสายบัวก้มหน้าก้มตาปรึกษากัน เคร่งเครียด
“พ่อเลี้ยงทวีชัยขนลูกน้องจากลำปางมาสิบกว่าคน พวกนี้โหดๆ ทั้งนั้น จิตใจเหี้ยม ยิงปืนแม่น ฆ่าคนได้ง่ายๆเหมือนเป็นผักปลา...จูดี้เป็นห่วงคุณภากรนะคะ...ไม่อยากให้คุณภากรต้องมีอันเป็นไป”
“ถ้างั้นจูดี้ต้องช่วยผมด้วยซี่”
“โถ...แสนนึง จูดี้ยังมีไม่ถึงเลยค่ะ...ตั้งสิบล้านจะให้ช่วยยังไง ไม่มีปัญญาหรอกค่ะ”
“ไม่ได้ให้ช่วยจ่ายเงิน แต่ช่วยขอผ่อนผันยืดเวลาหน่อยน่ะ”
สายบัวเหลือบตามองออกไปไกลๆ เห็นจอนซุกตัวอยู่มุมหนึ่งแอบฟังการสนทนา มันทำสัญญาณให้สายบัวรู้ว่า ไม่ยอม
“พ่อเลี้ยงบอกว่า นี่ก็ผ่อนผันมากเป็นพิเศษแล้ว ถ้าจะช่วยลดหย่อนให้ได้ก็คือช่วยไม่ให้ตายในทันที แต่จะตายแบบค่อยๆตายทีละนิด เริ่มจากตัดมือ ตัด แขน ตัดขา แล้วค่อยยิงหัว...โอ เสียวไส้เกินไปน่ะค่ะ” สายบัว หรือ จูดี้ ใส่จริตจนน่าสะพรึงตาม
“ถ้าผมจะหนีล่ะ”
“ไม่มีทางค่ะ แขนขาพ่อเลี้ยงมีทั่วประเทศ”
ภากรมีอาการตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อออกท่วมใบหน้า สายบัวค่อยๆเปลี่ยนท่าทีเป็นปลอบโยน
“ลองบอกพ่อคุณก่อนดีมั้ยคะ...พ่อคุณใหญ่โตจนาดนั้น ท่านไม่น่าปล่อยให้ลูกชายตายฟรีๆ หรอกมั้งคะ...นะ เชื่อจูดี้เถอะค่ะ”
สายบัวกระซิบใกล้ที่หูภากร พร้อมกับเหลือบมองไปทางจอน
จอนพยักหน้ารับ และยิ้มเยือกเย็น แต่ดูโหดเหี้ยมมาก!
ท่านกวีนั่งอ่านเอกสารต่างๆ บนโต๊ะทำงานที่บ้าน สักครู่ จึงเห็นภากรเดินเซื่องซึม เข้ามาในนั้น
ภากรหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ไม่ไกลจากบิดานัก ท่านกวีเหลือบมองลูกชาย
“ไปเยี่ยมแม่มารึยัง”
ภากรตอบพ่อด้วยเสียงเรียบๆ มีอาการคล้ายคนเหม่อลอย
“ยังครับ”
“ทำไมไม่ไป...มันไปยากนักเหรอ”
“เปล่าครับ”
“ไม่เห็นต้องให้เตือนเลย แม่ป่วย ลูกก็ต้องเอาใจใส่ ให้ความสำคัญ”
“ผมจะไปพรุ่งนี้ครับ”
“อย่าหัดเป็นคนผัดวันประกันพรุ่งนักนะ ภากร”
“ครับ...”
หลังจากนั่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ภากรก็ตัดสินใจพูดตรงๆกับผู้เป็นพ่อ
“พ่อครับ ผมขอพูดเรื่องสำคัญกับพ่อเรื่องนึงได้มั้ยครับ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ผมเป็นหนี้น่ะครับ...เจ้าหนี้ผมเขาไม่ยอมให้ผมผัดวันประกันพรุ่ง”
ท่านกวีเงยหน้ามองภากร แววตาเข้มจัด
“แกย้อนพ่อเหรอ”
“เปล่าครับ ผมโดนขู่ว่าถ้าไม่ใช้หนี้ มันจะฆ่าผม”
ท่านกวีขมวดคิ้ว สงสัยขึ้นมาทันที
“อะไร หนี้สินเท่าไหร่กัน...ทำไมรอไม่ได้ ถึงขั้นต้องฆ่ากันเชียวเหรอ”
“สิบล้านบาทครับ”
“อะไรนะ...พูดใหม่ ชัดๆ ช้าๆ เท่า ไหร่ นะ”
ภากรย้ำคำเดิม “สิบล้านบาทครับ”
ท่านกวีต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างหนักหน่วง แล้วเรียบเรียงคำถามใหม่
“แกเอาเงินไปลงทุนทำอะไรตั้งสิบล้านบาท”
“ไม่ได้เอาไปทำอะไรเลย”
ท่านกวีโกรธถึงขีดสุดตะโกนลั่น “แล้วแกเป็นหนี้ขนาดนี้ได้ยังไง เป็นหนี้ใคร บอกมาซิ”
“บ่อนพี่จอน”
ท่านกวีชะงักเมื่อได้ยินคำตอบ “เข้าบ่อนเหรอ?”
“ครับ...ผมติดเงินพ่อเลี้ยงทวีชัย เขาขู่จะเล่นผมถึงตาย”
ท่านกวีค่อยๆใช้ความคิด
“บ่อนอยู่ที่ไหน”
“เป็นตึกแถวส่วนตัว ย่านบางบอน...พ่อจะออกตังค์ให้ผมก่อนได้มั้ยครับ”
“ฉันรับผิดชอบเรื่องนี้แทนแกเอง ภากร”
ภากรโล่งอก ก้มลงกราบพ่อ “ขอบคุณครับพ่อ”
“ไม่เป็นไร แล้วแกก็กลับเนื้อกลับตัวซะทีนะลูก”
“ผมสัญญาครับ ผมจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกแล้วครับพ่อ สัญญา”
ภากรเดินขึ้นบันไดบ้านไป ท่านกวีมองตามสักพักจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
“ฮัลโหล...คุณเป็นยังไงบ้าง...ผมเช็คกับหมอแล้วนะ ไม่มีอะไรน่าห่วง...”
ที่ห้องพักคนไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งคุณหญิงอำภากำลังเอนหลังพูดโทรศัพท์อยู่ในนั้น
“ค่ะ...ต้องระวังอาหารอย่างคุณว่านั่นแหละค่ะ แล้วก็ห้ามเครียด”
เสียงท่านกวีลอดออกมา “ห้ามได้มั้ย”
“เอาใจช่วยฉันด้วยก็แล้วกันค่ะ”
คุณหญิงอำภาวางโทรศัพท์ลง อมาวสีเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
คุณหญิงเอ่ยปากถามทันที
“วันนี้อ้อไปบ้านแก้วมาใช่มั้ย”
อมาวสีชะงักขึ้นมานิดหนึ่ง
“นมพริ้งบอกฉัน”
“ค่ะ...อ้ออยากให้เขารู้ว่า เขาทำร้ายจิตใจคุณป้าแค่ไหน”
“แล้วเจอเขามั้ย”
อมาวสีส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไม่ต้องไปแล้วนะอ้อ...ไม่มีประโยชน์หรอก...สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ ทำใจยอมรับความเป็นจริง ว่า ภาคย์ลูกแม่ ได้ตายจากกันไปแล้ว”
อมาวสีเครียด และสงสารคุณหญิงอำภาจับใจ
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 7 (ต่อ)
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า สาดแสงแรกของวันนี้ มันยิ่งทำให้ไร่ข้าวโพดแห่งนั้น สวยงามมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งนั่งขรึมพิงโคนต้นไม้ใหญ่ในไร่ข้าวโพดนั้น เมื่อมองใกล้ๆ เห็นใบหน้าชัดเจน พบว่า เขาคือ ราช รัชภูมิ
สักครู่ต่อมา มีชายคนใหม่ขับพาหนะลุยทุ่งข้าวโพดเข้ามาหาราช ชื่อของเขาคือ พินัย คำทักทายกัน ทำให้รู้ว่า พวกเขาชิดเชื้อกันมิใช่น้อย
“ท่าทางเหมือนคนอกหักนะครับ คุณราช รัชภูมิ”
“นี่มันท่าปกติ ท่าเดิม ท่าเดียวของฉัน”
“ของแท้ต้องปากแข็งอีกต่างหาก”
“ไม่ได้แข็งแค่ปากเว้ย”
“ใจแข็ง คอแข็ง หัวแข็ง มีอะไรแข็งอีกมั้ย...”
“พอเหอะ พินัย...ไม่มีอารมณ์”
พินัยยื่นโทรศัพท์มือถือให้ราช
“อ้ะ...โทรศัพท์แก...ดูจากจำนวนสายเรียกเข้า มั่นใจได้เลยว่า ชาวบ้านกำลังตามหาตัวแกให้ควั่ก...จะให้ฉันอ่านรายชื่อ miss callให้ฟังมั้ย...มีทั้งหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่...เผื่อแกอยากจะติดต่อกลับ”
ราชส่ายหน้า ยกมือห้าม
“ฝากเก็บไว้ก่อนได้มั้ย...ช่วงนี้ขอปิดเครื่องตัวเอง รีสตาร์ทใหม่”
“ตามใจ...บ้านแกใกล้เสร็จแล้วนะเว้ย...อยากแวะไปดูหน่อยมั้ยล่ะ”
“เสร็จแล้วค่อยดูทีเดียวดีกว่า...บอกช่างให้เร่งมือหน่อยสิ...บางทีฉันอาจจะย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่เลย”
พินัยฉงน “ถามจริง...อยากเป็นชาวไร่ขึ้นมาซะงั้น”
“ฉันอาจจะแต่งงาน”
คราวนี้พินัยร้อง “ห๊า....”
บ่อนไอ้จอน อยู่ในสภาพ เละเทะ เลอะเทอะ สมุนทุกคนกระจายกันนอนเกลื่อน เมา เกลือก กลิ้ง ไปทั่วห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากในห้องนอน ซึ่งสายบัวนอนกกจอนอยู่ในห้องนอนนั้น สายบัวงัวเงียตื่นขึ้นมา เอื้อมมือรับโทรศัพท์ หล่อนเปล่งเสียงพูด อ้อแอ้
“ฮัลโหล...เอ้อ...”
ฉับพลันทันใดนั้นเอง สายบัวสะดุ้ง ปรับโทนเสียงตัวเองให้แจ่มใสขึ้น
“เอ้อ เดี๋ยวนะคะ...ว่าไงคะคุณภากร...อ๋อ จูดี้อยู่ที่บ่อนค่ะ...พ่อเลี้ยงก็อยู่ค่ะ...ลูกน้องอยู่ทุกคนเลยค่ะ”
สายบัวพูดพร้อมกับเดินออกไปสะกิดพวกสมุนให้ตื่นทีละคน
“คุณภากรหาตังค์ได้แล้วเหรอคะ”
ภากรพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้านพิชิตพงษ์
“ใช่...ฝากบอกพ่อเลี้ยงกับทุกๆ คนด้วยว่าผมกำลังจะเข้าไปหา...ให้อยู่รอรับเงินจากผมด้วย เผื่อจะขอแก้มือ อีกซักตาสองตา”
เสียงสายบัวลอดอกมา “จูดี้จะรีบบอกเดี๋ยวนี้ละค่ะ”
“อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะครับ”
ภากรวางโทรศัพท์ โดยมีท่านกวีนั่งฟังอยู่ข้างหลังภากร
“เรียบร้อยครับพ่อ”
“งั้นเราก็ไปกันได้เลย”
ไอ้จอนก้าวพรวดเข้ามากลางวง แหกปากตะโกนลั่น
“ทุกคนตื่นเว้ย การแสดงรอบสุดท้ายมาถึงแล้ว พร้อมกับเงินรางวัลสิบล้านบาท”
สมุนร้องเฮ
จากนั้นหมู่สมุนทุกคนเร่งแต่งตัว พวกมันต่างช่วยกันจัดสถานที่ให้พร้อมสำหรับการเป็นบ่อนแหกตาภากรเป็นรอบสุดท้าย
ไม่นานต่อมา มีรถยนต์สี่ห้าคัน ขนาดและสีสันต่างกัน แล่นเข้ามาจอดกระจายกันหน้าตึกแถวนี้ชายหนึ่งคน บุคลิกคล้ายเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการก้าวลงจากรถ ที่หูของเขามีหูฟังเสียบอยู่ เขากดปุ่มบนสายข้างตัวแล้วจึงพูดวิทยุที่ซ่อนไว้ใต้สาบเสื้อ
“ปลาทู ปลาช่อน ปลากระพง ออกจากเข่งได้ รอน้ำมันเดือด”
ชายฉกรรจ์มาดทะมัดทะแมงหลากหลายอาชีพพากันลงจากรถเหล่านั้น พวกเขาคือเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ
ชายที่ลงจากรถเก๋งสองสามคน หยิบปืนเหน็บที่เอว พวกเขาดึงชายเสื้อมาปิดด้ามปืนไว้
นักแสดงทุกคนในบ่อน พร้อมประจำตำแหน่ง พวกมันมีอาการตื่นนิดๆ ต่างไปจากวันก่อนๆ
เพราะวันนี้มีเงินเดิมพันรออยู่ถึงสิบล้าน
“สายบัว โทรถามซิว่าถึงไหนแล้ว” เผือกสวมมาดเสี่ยทวีชัยสั่ง
“เขามาถึงก็โทรเรียกเองละน่า...ไม่เห็นต้องตื่นเต้นเลย”
“เงินตั้งสิบล้าน จะไม่ตื่นเต้นได้ไงวะ” เหิมบอก
มีเสียงเคาะประคูดังขึ้น ทุกคนมองหน้ากัน เสียงเคาะประตูดังถี่ขึ้น
จอนก้าวเข้าไปยืนใกล้ประตู แล้วจึงตะโกนถาม
“ใครน่ะ”
“ส่งน้ำเต้าหู้คร้าบ”
จอนหันมาถามลูกน้องเบาๆ “ใครสั่งน้ำเต้าหู้วะ”
หมู่มวลสมุนทุกคนส่ายหน้าจอนจึงตะโกนออกไปนอกห้อง
“ที่นี่ไม่มีใครสั่งน้ำเต้าหู้”
เสียงคนเดิมดังมาอีกว่า “มีสิครับ ตั้งสิบห้าถุง ผมถือมาเต็มมือเลยครับ”
“เอาหน่อยก็ดีพี่ กำลังอยาก” อ้อนว่า
จอนพยักหน้าให้ อ้อนเดินไปเปิดประตู เผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ยืนถือน้ำเต้าหู้เต็มมือ
“โอ้...ถุงเบ้อเร่อเลยว่ะ...”
“เด็กส่งน้ำเต้าหู้หน้าตาดีนี่หว่า น้องชื่ออะไรน่ะ” เสี่ยเผือกถาม
“ชื่อ หรั่ง นาคำ” ชายหนุ่มบอก
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า หรั่ง นาคำ ชื่อคุ้นๆมั้ยวะพวกเรา”
ไอ้อ้อนหัวร่อ สมุนทุกคนพากันหัวเราะทั้งหมู่ มีเพียงจอน ที่เพ่งมองชายผู้นี้อย่างพินิจ
“พี่เคยลองน้ำเต้าหู้ทอด มั้ยครับ” ชายขายเต้าหู้ชวนคุย
“ไม่เคยว่ะ...ทำยังไงวะ” เหิมซัก
“ไม่ยากครับ แกะถุง ติดเตา ตั้งกระทะ แล้วรอ...”
อ้อนงง “รออะไร...”
ชายหนุ่มยิ้ม กดปุ่มข้างเอว แล้วจึงพูดว่า “น้ำมันเดือด”
ขาดคำเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบกระจายตัวออกมาจากทุกทิศทุกทาง
“ฉิบหายแล้วมึง”
ไม่ต้องอรรถาธิบายใดๆ อีก หมู่มวลสมุนวิ่งหนีอลหม่าน
มองจากภายนอกตึกเข้ามา เห็นบรรดาสมุนของจอน กระโดดหนีทางหน้าต่างเป็นที่ชุลมุน ส่วน จอน และ สายบัว ถูกเจ้าหน้าที่รวบตัวได้ เจ้าหน้าที่รวบตัว เผือก เหิม อ้อน และคนอื่นๆ จับใส่กุญแจมือ
เจ้าหน้าที่ลากหมู่สมุนทั้งหลาย ขึ้นท้ายรถกระบะหน้าตึก เสียงพวกมันโวยวายดังลั่น
“พวกเราไม่ได้เปิดบ่อนนะครับ” เป็นเสียงของเหิม
ตามด้วยเผือก “มันเป็นการแสดงครับ การแสดงจริงๆ”
“ใช่ เราจัดฉากรอพระเอกน่ะครับ...พระเอกกำลังมานะครับ” อ้อนเสริม
“ฉากต่อไปเป็นฉากโรงพักครับน้อง...เชิญไปเข้าฉากได้”
มองผ่านหมู่ผู้ต้องหาไป มีรถตำรวจอีกคันที่จอดซุ่มอยู่มุมหนึ่ง
ในรถตำรวจคันนั้น มีภากรใส่แว่นดำ นั่งข้างๆนายตำรวจยศร้อยเอกคนหนึ่ง ผู้กองพูดโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่
“เรียบร้อยครับท่าน ต้องขอบคุณคุณภากรมาก ที่ช่วยชี้เบาะแสให้เรา” ผู้กองหันมาทางภากร “จะพูดกับคุณพ่อมั้ยครับ”
ผู้กองส่งโทรศัพท์ให้ภากรพูด “ฮัลโหล”
ท่านกวีพูดโทรศัพท์อยู่ที่สำนักงาน บ. กลอนกวี
“พ่อใช้หนี้ให้แล้วนะ...อย่าเผลอไปเข้าบ่อนอย่างนี้อีกเป็นอันขาด”
“ผมสัญญาแล้วไงครับ”
ภากรส่งโทรศัพท์คืนให้นายตำรวจ ผู้กองพูดกับภากรว่า
“ท่านกวีบอกว่า ไม่ต้องการให้มีการสัมภาษณ์ ไม่อยากให้เอิกเกริก น่าเสียดายจริงๆ...คุณภากรคงไม่ว่าอะไรนะครับ”
“ไม่มีปัญหาครับ...ผมไม่อยากดัง”
ขณะที่สีไพร เงยหน้าขึ้นส่องกระจก ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำ เนื่องจากการล้างหน้า เธอใช้ผ้าขนหนูซับใบหน้า หากสังเกตให้ดี จะพบว่าสีไพรมีสีหน้าที่ขาวซีดมากกว่าเดิม จนเมื่อเธอหมุนตัวออกจากบริเวณล้างหน้านี้ ก็เห็นภากรยืนรอ นิ่งๆ อยู่กลางบ้าน สีไพรถึงกับสะดุ้ง ดีใจ
“อุ๊ย คุณภากร”
“ทำไมต้องตกใจด้วยล่ะ”
“ไพไม่นึกว่าคุณภากรจะมาค่ะ”
“พ่อล่ะ”
“วันนี้พ่อไปทำงานที่โรงเรียนค่ะ”
“วันนี้สีไพรดูหน้าซีดๆนะ”
“ไพเพิ่งหายไข้น่ะค่ะ คุณภากรทานอะไรมารึยังคะ สีไพรปอกส้มให้เอามั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันอิ่มมาแล้ว...มานั่งนี่มา”
สีไพรเดินไปนั่งข้างๆภากร
“ฉันไม่ได้มาหาสีไพร กี่วันแล้วนะ”
“เก้าวันค่ะ”
“นานเกินไปมั้ย ที่ไพไม่ได้เจอฉัน”
“ถ้าจะนับเวลาที่คุณภากรกลับไป แค่ห้านาทีสำหรับไพ ก็ดูเหมือนนานเหลือเกิน...แต่ถ้าให้ไพนับวันรอคุณภากรกลับมา ไม่ว่านานแค่ไหน ไพก็มีความสุขที่จะรอค่ะ”
ภากรฟังด้วยความซาบซึ้ง
“เธอไม่เคยหมดความน่ารักเลยนะ สีไพร”
ภากรควักเงินส่งให้
สีไพรแปลกใจ “วันนี้คุณภากรให้เงินสีไพรเยอะจัง”
“วันนี้ฉันมีความสุขมากกว่าวันก่อนๆ มั้ง”
“มีอะไรเป็นพิเศษเหรอคะ”
“เกี่ยวกับการงานของฉัน มันกำลังจะลงตัวไปหมดทุกอย่าง...ชีวิตของฉันกำลังจะก้าวหน้าไปอีกขั้นนึงแล้ว รู้มั้ย”
“มีสีไพรอยู่ในก้าวนั้นด้วยหรือเปล่าคะ”
ภากรดึงสีไพรเข้ามากอด
“ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน ฉันจะกลับมาหาสีไพรเสมอ เมื่อมีโอกาส...จำไว้ว่าสีไพรคือที่พักใจที่ดีที่สุดของฉันนะ”
สีไพรมีความสุขล้นในอ้อมกอดของภากร
ฉับพลันนั้นเอง เธอกลับมีอาการคลื่นไส้ แม้สีไพรพยายามจะขืนอาการนั้นไว้ แต่ไม่สำเร็จ
สีไพรเงยหน้า พูดกับภากร
“ไพขอเข้าห้องน้ำแป๊ปเดียวนะคะ”
“จ้ะ”
สีไพรเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ภากรรู้สึกสุขสบายเมื่ออยู่ที่นี่
เขาถอดเสื้อออก แล้วเอนกายลงบนเตียงนอนนั้นรอ ส่วนสีไพรก้มหน้าอาเจียนอยู่ในห้องน้ำ
ขณะเดียวกัน ที่ห้องพักคนไข้ในโรงพยาบาล หมอโรคหัวใจ ยืนพูดกับคุณหญิงอำภาที่หน้าเตียง พยาบาลหนึ่งคนยืนถือแฟ้มอยู่ข้างๆ หมอ อมาวสียืนอยู่ข้างเตียงอำภา
“ต้องถือว่าคุณหญิงฟื้นตัวได้เร็วมากนะครับ...เท่าที่หมอเฝ้าดูอยู่ เราไม่พบอาการลุกลามจนถึงขั้นกล้ามเนื้อหัวใจตาย...แต่ก็ต้องคอยระวังอย่าให้เกิดอาการแบบนี้ซ้ำอีกนะครับ”
“ต้องระวังยังไงล่ะคะ” คุณหญิงถาม
“หมอจะให้ยาอมใต้ลิ้นเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจ เผื่อไว้ ในกรณีฉุกเฉินน่ะครับ ใช้เมื่อเจ็บหน้าอกรุนแรงนะครับ พอทุเลาขึ้นก็รีบพาตัวมาพบหมอ...นอกนั้นก็คอยสังเกตตัวเอง ถ้าเริ่มเจ็บหน้าอก ก็ต้องพักผ่อน อย่าเครียด...แต่ถ้าไม่มั่นใจก็มาพบหมอ นะครับ”
“ค่ะ”
“โอเค พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วครับ”
หมอเดินออกไป พร้อมกับพยาบาล คุณหญิงอำภาหันไปพูดกับอมาวสี
“อ้อ...วันนี้จะไปหาเขาอีกรึเปล่า”
อมาวสีเงียบ ไม่กล้าตอบ
“อย่าพยายามอีกเลยนะ อ้อ”
อมาวสีตอบคุณหญิงอำภาอย่างมุ่งมั่น
“อ้อจะทำให้คุณราชกลับมาเป็นพี่ภาคย์คนเดิมให้ได้ค่ะ...ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนก็ตาม”
“เขาจะไม่อยู่รอเจออ้อหรอก...เชื่อป้าสิ”
น้ำเสียงหญิงสูงวัยฟังดู ทดท้อ และ ปล่อยปลงกระนั้น
ราชขี่ม้าทะยานไปบนทุ่งหญ้าอันสวยงามในบริเวณไร่ข้าวโพด เสียงจากวิทยุสื่อสารดังขึ้น เป็นเสียงคนงานชาย มันดังผ่านหูฟังที่ราชเหน็บไว้ที่หู
“นายครับ...มีโทรศัพท์ถึงนายครับ”
ราชกดปุ่มที่เหน็บข้างเอว แล้วจึงตะโกนตอบเสียงดัง
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่รับโทรศัพท์ จำไม่ได้เหรอ”
“จำได้ครับ และจำที่นายย้ำไว้ได้ด้วยว่า...ถ้าเป็นคนนี้โทร.มา ยังไงก็ต้องรับ”
ราชรู้ทันที “นายเทิน”
เทิน พูดโทรศัพท์อยู่ในบ้านพักของราช ที่กรุงเทพฯ
“ครับคุณราช...ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมไม่อยากโทร.มารบกวนคุณราชหรอกครับ”
ราชนั่งพูดโทรศัพท์โคนต้นไม้ใหญ่ “บอกเรื่องจำเป็นของน้ามาซิ”
“มีพัสดุชิ้นใหญ่ ส่งมาถึงคุณราชโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าครับ เป็นพัสดุเพศเมีย”
“หน้าตาพัสดุเป็นยังไง”
“ขาว น่าทะนุถนอม”
“เป็นพัสดุที่ผมยังไม่เคยแกะห่อใช่มั้ย”
“ครับ...ห่อมิดชิดอย่างดี คุณราชจะกลับมาเซ็นรับของเอง หรือจะให้ผมส่งพัสดุคืนเจ้าของครับ”
“ยึดไว้ก่อน เดี๋ยวผมกลับไปตัดสินใจเอง”
“ครับผม”
เทินวางโทรศัพท์ลง โดยด้านหลังของเทิน ห่างออกไปไม่มากนัก ปรากฏร่างของอมาวสี นั่งนิ่ง รออยู่ เทินเดินไปหาอมาวสี
“ไม่ทราบว่า คุณจะรอถึงดึกได้มั้ยครับ”
คืนนั้นรถโฟร์วีลคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านของราช เขาก้าวลงจากรถ
อมาวสีนั่งหลับอยู่มุมหนึ่ง ห่างออกไปมีเทินนั่งอ่านหนังสืออยู่ เสียงราชดังเข้ามา
“น้าเทินช่วยเอารถเข้าอู่ที...แล้วน้าจะกลับเลยก็ได้...ผมไม่มีอะไรต้องใช้น้าแล้วครับ”
อมาวสีค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ราชเดินเข้ามาเบื้องหน้าอมาวสี เปิดฉากกระทบกระเทียบ
“คราวก่อนคุณโทร.นัดผม แต่กลับส่งคนอื่นมาแทน...คราวนี้คุณมาเอง โดยไม่โทร.นัดล่วงหน้า...แหม คุณนี่ลูกเล่นเยอะจริงนะครับ”
“ฉันมีเรื่องสำคัญที่คิดว่าคุณควรจะรู้”
“เชิญ”
อมาวสีตั้งหลัก รวบรวมสตินิดหนึ่งแล้วจึงพูด
“คุณป้ากำลังป่วยค่ะ”
“คุณหญิงอำภา พิชิตพงษ์น่ะเหรอครับ” ราชพูดด้วยน้ำเสียงหมางเมิน
“กลับจากบ้านแก้ววันนั้น คุณป้าก็ล้มป่วย ด้วยอาการที่เกี่ยวกับโรคหัวใจ”
“คุณมาบอกผมทำไม ผมไม่ใช่หมอ”
“เพราะคุณเป็นลูกชายของท่าน”
ราชจ้องหน้าอมาวสีนิ่ง
ไม่มีอาการพิรุธ หรือสะทกสะท้านใดๆในคำพูดดังกล่าว อมาวสีลุยต่อ
“คุณป้าทราบดี ว่าคุณคือพี่ภาคย์ แต่คุณกลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย”
“ไปกันใหญ่แล้วครับ”
“คุณคิดจะไปเยี่ยมท่านบ้างได้มั้ยคะ”
ราชส่ายหน้า ไม่ให้ความสำคัญ
“คนอย่างผมต่ำต้อยเกินกว่าจะได้เป็นบุตรชายของคุณหญิงอำภา พิชิตพงษ์ คุณอมาวสีช่วยกรุณากลับไปอธิบายท่านอีกครั้งเถอะครับ ว่าผมไม่ใช่นายภาคย์และไม่มีเกียรติพอที่จะมีแม่อย่างท่าน”
อมาวสีรู้สึกผิดหวัง เสียใจ หน้าชา ด้วยความโกรธ
“คุณใจร้ายมาก...ใจร้ายมากกว่าที่ใครๆ เขาพูดกันซะอีก”
“ใคร? มีใครพูดถึงผมว่ายังไงเหรอ”
“คุณสนใจด้วย”
“ก็คงสนใจเฉพาะคุณ...ผมอยากรู้ว่าคุณคิดว่าผมเป็นคนยังไง”
“อย่ารู้เลยค่ะ เพราะหลังจากวันนี้ คุณจะไม่อยู่ในความคิดของฉันอีกต่อไปแล้ว”
อมาวสีจะเดินออกไป ราชรีบกระชากมือของเธอไว้ วาจาเชือดเฉือนประชดประชัน ดำเนินไป
“ปล่อยนะ”
“ไม่ คุณยังกลับไม่ได้”
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน”
“สิทธิ์ของสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายน่ะสิ”
“ฉันไม่บ้าไปกับเรื่องราวเพ้อเจ้อที่คุณกุขึ้นหรอก...และรู้ไว้ด้วยว่า ไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว”
“แปลว่า คุณยินดีที่จะแต่งงานกับนายภากร?”
“ใช่”
“เมื่อไหร่”
“ต้นเดือนหน้า”
“คุณรักเขาเหรอ”
“อยู่กันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง”
“ใครบอกคุณ”
“ใครจะบอกก็ช่าง แต่ฉันเชื่ออย่างนี้”
“คุณแน่ใจนะว่าอยู่กับเขาแล้วจะมีความสุข”
“มีความสุขมากกว่าอยู่กับคุณตอนนี้ก็แล้วกัน”
“นั่นเป็นเพราะคุณยังไม่เคยอยู่กับผมจริงๆจังๆมากกว่า”
“ฉันไม่ปรารถนาอย่างนั้นอยู่แล้วค่ะ”
“น่าจะลองดูซักหน่อยนะ”
ราชค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อมาวสี มันใกล้มาก
“ไม่ถึงกับสึกหรอมากมายหรอกน่า”
อมาวสีเงื้อมือตบหน้าราชอย่างแรง
“คุณจะทำอะไรฉัน”
“ผมมั่นใจว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ...และคนอย่างผมก็ไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนตบหน้าฟรีๆ ซะด้วยสิ”
ราชก้มหน้าลงไปจูบอมาวสี มันรวดเร็ว และหนักหน่วงจนอมาวสีขยับหนีไม่ทัน
จนเมื่อราชถอยตัว ถอนปากออกมา อมาวสีจึงเงื้อมือตบหน้าราชอีกสองที
เสียงชิดชไมดังเข้ามาในจังหวะนี้
“ว้าว...อย่างนี้นี่เอง ที่เขาเรียกว่าฉากตบจูบ...”
อมาวสีฉวยเอาจังหวะนี้ วิ่งหนีออกไป ราชรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขโทร.ออกทันที
ชิดชไมสังเกตูเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของราช เธอยังคงพร่ำพูดสนุกปากต่อไป
“นึกว่าดูละครหลังข่าวอยู่นะเนี่ย”
ราชพูดโทรศัพท์ รวบรัด รวดเร็ว และเต็มไปด้วยความกังวล
“น้าเทิน เด็กคนนั้นเพิ่งวิ่งออกไปจากห้องผม น้าช่วยตามดูทีว่า เขาขึ้นรถกลับถึงบ้านได้ปลอดภัยมั้ย”
“สุภาพบุรุษจริงๆเลย...จะมีโฆษณาคั่นหน่อยมั้ยคะ ราช”
“วันนี้ผมไม่มีอารมณ์เล่นกับคุณ โทษทีนะแคลร์”
ราชพรวดพราดออกจากบ้านไป ชิดชไมมองตามด้วยความผิดหวัง
รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ อมาวสีก้าวลงจากรถแท๊กซี่ วิ่งเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว
ถัดจากนั้นอมาวสีนั่งร้องไห้อยู่บนเตียงในห้องนอน สักพักนมพริ้งเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง หญิงสูงวัยตกใจเมื่อเห็นอาการของอมาวสี
“คุณหนูอ้อคะ”
“ป้าจ๋า...”
อมาวสี ร้องไห้โฮใหญ่ออกมาอีก เธอโผเข้าไปกอดนมพริ้ง เป็นที่พึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“อ้อเกลียดเขาค่ะ อ้อเกลียดเขา...”
นมพริ้งเข้าใจเรื่องราวได้ทันที “จริงอย่างที่คุณหญิงท่านคาดเดา”
“คุณป้ากลับมาจากโรงพยาบาลแล้วใช่มั้ยคะ”
“ใช่...ท่านรอคุณอ้ออยู่จนดึกเพิ่งหลับไป...พรุ่งนี้คุณอ้อไปหาท่านแต่เช้านะคะ”
เวลาเดียวกันเทินนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในรถของเขา ที่จอดซุกอยู่ในเงามืด ริมถนน หน้าบ้านพิชิตพงษ์
“อมาวสีถึงบ้านแล้วนะครับ ด้วยแท๊กซี่...ปลอดภัยดี”
ราช ขับรถอยู่บนถนน หน้าตาเขาเต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจระหว่างคุยสาย
“ขอบใจมากน้าเทิน”
“มีอะไรให้ผมรับใช้อีกมั้ยครับ”
“ถ้ายังไม่ง่วง ฝากกลับไปที่บ้านที บอกชิดชไมว่า วันนี้ผมไม่กลับ”
เทินร้องลั่น “ห๊า...มีชิดชไมอีกคนเหรอครับ”
ชิดชไม พาตัวเองนั่งดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอลล์เพียงลำพังในบาร์เหล้าบรรยากาศชวนเมา...หน้าตาเซ็งชีวิตสุดจะประมาณ
บังเอิญเหลือเกินว่าวาริน นั่งดื่มเหล้าชนิดแรงจัดเพียงลำพังอยู่ในบาร์นี้...ท่าทีเซื่องซึม ชิดชไมหันไปเห็นวารินเข้าในจังหวะหนึ่ง เธอลุกขึ้น เดินไปหาวาริน ในไม่ช้า
“ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ”
วารินเงยหน้ามอง ยิ้มตาเยิ้ม
“คุณชิดชไม...ไอ้ราชเพื่อนผมล่ะ...มาด้วยรึเปล่า”
ชิดชไมส่ายหน้า
“ไอ้หมอนี่มันเป็นเพื่อนภาษาอะไรวะ เวลาเดือดร้อนทุกข์ใจ ก็ไม่เห็นหัว...หายหน้าเงียบเลย...พึ่งไม่ได้จริงๆเพื่อนคนนี้”
“เจ็บหลังบ้างมั้ยคะ...” ชิดชไมเปรยเป็นนัย
วารินฉงน “ทำไมครับ”
“เจ็บๆ แสบๆ แบบ โดนแทงข้างหลังน่ะ”
วารินหัวเราะ
“ผมไม่ใช่เกย์นะครับ”
“อยู่ถึงเช้ากันเลย ดีมั้ย”
“ได้เลยครับ ผมกำลังเหงา”
ทั้งสองกระดกเหล้าเข้าปาก เฮือกใหญ่
ด้านราชขับรถไปบนถนน ยามดึก กลางบรรยากาศ เหงาเศร้า เสียงความคิดของเขาดังในใจ
“อารมณ์มนุษย์เรานั้น ละเอียดอ่อน ซับซ้อน และยุ่งเหยิงในบางที...หลายครั้งที่เราปล่อยให้อารมณ์นำพาเราไป จนเราอาจจะทำในสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อน”
อมาวสีนอนไม่หลับ น้ำตาของเธอยังไหลซึมเปื้อนเต็มหน้า
“บางครั้งสิ่งเหล่านั้นก็เป็นความสุข แต่บางครั้งกลับเป็นความทุกข์...และยากอยู่เหมือนกัน ถ้าจะบอกว่าโอกาสสุขหรือทุกข์ แบบไหนเป็นไปได้มากกว่ากัน”
ในบาร์เหล้ากลางดึก ชิดชไมกอดคอกับวาริน หัวเราะ ร่าเริง ประชดชีวิต สองคนอาการเมา เละ
“และที่สำคัญ...ในบางครั้ง สุขหรือทุกข์ของเรา มันอาจจะส่งผลไปถึงคนรอบข้างได้ โดยไม่รู้ตัว”
จวบจนอรุณรุ่ง พระอาทิตย์โผล่พ้นโค้งขอบฟ้า สวยงาม
ราช พาตัวเองมายืนสงบนิ่งหน้ากำแพงซึ่งเป็นที่เก็บกระดูกชาลินี เสียงในใจของราช ดังขึ้นอีก
“ตลอดชีวิตของผม ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง หลายหน ล้วนเป็นผลจากการตัดสินใจของผมเอง จวบจนถึงวันนี้...หากคุณยังอยู่ คุณคงจะบอกผมได้ว่า อะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร...ดังนั้น ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นผมจึงตั้งใจมาหาคุณอีกครั้ง เพื่อจะบอกให้คุณรู้ว่า...ผมคิดถึงคุณ ผมคิดถึงคุณไม่น้อยกว่าใครๆเลยครับ ชาลินี”
ราชวางดอกไม้ช่อสวยเบื้องหน้ารูปถ่าย ชาลินี
สายมาหน่อย ที่สำนักงานท่านกวี มีนักข่าวโทรทัศน์ยืนพูดรายงานข่าวอยู่กับกล้อง ท่ามกลางหมู่มวลนักข่าวสำนักต่างๆ ซึ่งกำลังรุมสัมภาษณ์ท่านกวีอยู่
“เช้านี้ที่สำนักงานท่านกวี พิชิตพงษ์ ดูจะคึกคักไม่น้อย มีนักข่าวหลายสำนักมารอกันอยู่ที่นี่ เพื่อรอการแถลงข่าวเรื่องสำคัญของท่านกวี ซึ่งก็น่าจะเป็นกรณีที่ท่านได้สิทธิ์กลับคืนมา หลังจากโดนเว้นวรรคไปถึงห้าปี เนื่องจากกรณีซื้อเสียงและใช้เงินลงทุนหาเสียงเกินกฎหมายกำหนด”
ภาพนั้นกลายเป็นข่าวในจอทีวี เห็นท่านกวีนั่งแถลงข่าวบนโต๊ะจัดอย่างสวย ขนาบข้างด้วยภากรผู้เป็นลูกชาย
“ดีใจครับ เพราะว่า วันนี้ผมสามารถอาสาเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนได้เหมือนเดิม ซึ่งเลือกตั้งคราวหน้า ถ้าทางพรรคเห็นเหมาะเห็นควรส่งผมลงสมัคร ผมก็ยินดี...อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยก็คือ...ลูกชายผมจะแต่งงานครับ...แต่งกับใครเหรอ?...ก็แต่งกับเด็กผู้หญิงที่น่ารัก ซึ่งอยู่ในสายตาของผมมาโดยตลอดน่ะสิครับ เธอชื่อว่าอมาวสี”
นายสุดและสีไพรยืนดูข่าวในทีวีอยู่หน้าร้านขายของชำ ละแวกตึกที่พัก ทั้งสองจ้องมองภาพในทีวี นิ่ง สักพักสีไพรก็อาเจียนออกมา...นายสุดต้องคอยปลอบ
“เด็กสองคนนี้รักกันมานานแล้ว เป็นความรักที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัว ซึ่งแบบนี้เชื่อได้ว่าจะเป็นความรักที่หนักแน่นมั่นคง”
ท่านกวียิ้มร่าขณะแถลงข่าวงานแต่งของบุตรชายสุดที่รัก
จอนและสายบัว ต่างเกาะลูกกรงห้องขัง ชะเง้อดูข่าวในจอทีวี ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะร้อยเวร
“บางคนอาจจะพูดกันว่านายภากรเจ้าชู้ ผมในฐานะพ่อ ก็ต้องแก้ข่าวกันตรงนี้เลยครับ เพราะนับตั้งแต่ที่เขาเป็นพ่อหม้ายเมียเสียชีวิตไป เขาก็ไม่มีใครนอกจากอมาวสี คนนี้คนเดียว เท่านั้น”
ฟังคำพูดอดีตรมต. สายบัวสบถออกมาว่า “ตอแหลจริงๆ”
จอนหันไปพูดกับลูกน้องในห้องขังชาย
“กูต้องเอาเงินจากมันมาให้ได้...ซักครึ่งนึงก็ยังดี”
“เราอยู่ในนี้จะออกไปเอามาได้ยังไง ลูกพี่” เผือกโอด
“คดีพวกเรา ขังไม่นานหรอก มึงเชื่อกูดี้”
จอนเกิดความคิดบางประการ มันตะโกนเรียกตำรวจเสียงดังลั่น
“ดาบ...ดาบคร้าบ...ขอยืมโทรศัพท์หน่อยซี่คร้าบ ดาบ”
“จะเอาไปทำอะไร” นายดาบเดินมา
“เล่นเกม” อ้อนบอก
ไอ้เผือกไอ้เหิมตบกระบาลไอ้อ้อน
“จะโทรไปหาญาติ” จอนว่า
“ยังมีคนนับญาติด้วยเหรอ เรา” นายดาบเหน็บเอา
จอนฉุน “อ้าว พูดอย่างนี้ ชกหน้าผมเลยดีกว่า พี่...ญาติผมทั้งหล่อทั้งรวยนะ”
ตำรวจส่งโทรศัพท์สำนักงานให้จอน ตามสิทธิ์ผู้ต้องขัง
อ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 7 (ต่อ)
ราช นอนพูดโทรศัพท์บนโซฟากลางบ้านแก้ว
“เมื่อไหร่แกจะเลิกก่อเรื่องซะทีนะ”
จอนเกาะลูกกรงพูดโทรศัพท์
“เมื่อแกเลิกปอกลอกเงินจากลุงฉัน และโอนมรดกของลุงทั้งหมดมาให้ฉัน”
“เรื่องนี้แกต้องพูดกับลุง ไม่ใช่พูดกับฉัน”
เสียงจอนลอดออกมาว่า “ฉันจะพูดกับลุงได้ไง ในเมื่อฉันอยู่ในห้องขังอย่างนี้”
“ก่อนเข้าไปทำไมไม่คิด โตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ”
“ให้ฉันออกไปก่อน แล้วเราค่อยพูดกันได้มั้ยล่ะ”
“ธุระมีเท่านี้ใช่มั้ย” เสียงราชดังออกมา
“แกจะมาประกันตัวฉันเมื่อไหร่ วันนี้เลยได้รึเปล่า”
“เมื่อฉันอยากให้แกออกมา ซึ่งยังไม่ใช่วันนี้”
ราช ตัดสายสนทนาไป
ริมถนนในกรุงเทพฯ เห็นรถเก๋งคันโตจอดอยู่ มีวารินและชิดชไมนอนหลับอยู่ในรถคันนั้น ทั้งสองเอนไหล่พิงกัน สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา วารินค่อยๆ ลืมตาตื่น เขากดรับสาย พูดเสียง งัวเงีย
“ฮัลโหล...ห๊า...” วารินตกใจเมื่อได้
วัชรีเดินพูดโทรศัพท์ในบ้าน
“พี่วาริน เหลวไหลใหญ่แล้ว บ้านช่องก็ไม่กลับ...แล้วพี่อยู่ไหนเนี่ยะ....จะให้ฟ้องป๋ามั้ย”
“ไม่ต้องเลยนะ ปิดปากเงียบสนิทเลยนะยายวัช...แค่นี้นะ พี่ไปส่งเพื่อนก่อน”
“เพื่อนไหน...คุณราชเหรอ”
“ไม่ใช่...เอ้อ เพื่อนใหม่ เพิ่งรู้จักกัน แค่นี้นะ อย่าบอกพ่อล่ะ”
วารินกดปุ่มยกเลิกการสนทนา เขารีบเขย่าตัวปลุกชิดชไม
“คุณชิดชไมครับ...จะให้ผมไปส่งที่ไหนดี”
ชิดชไม ยังคงงัวเงีย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง
“ไม่...ไม่ส่ง...ยังไม่กลับ...มากอดกันก่อนน่า...”
ชิดชไม กอดรัดวาริน จนวารินทำอะไรไม่ถูก
เช้าวันเดียวกัน ขณะที่คุณหญิงอำภานั่งอยู่กลางระเบียงสวย บ้านพิชิตพงษ์ อมาวสีเดินเข้าไปนั่งข้างๆ
“พริ้งบอกว่าเมื่อคืน อ้อกลับมาก็เอาแต่ร้องไห้ จริงรึเปล่า”
“ค่ะ”
“อ้อก็ไม่ต่างอะไรจากป้าเลย...เชื่อรึยังล่ะว่า เขาไม่มีวันยอมเป็นลูกของป้าอีกต่อไปแล้ว”
“ค่ะ เขาไม่ใช่พี่ภาคย์ของอ้อด้วยเช่นกันค่ะ”
น้ำเสียง สีหน้าและแววตาของอมาวสี ยังมีความชิงชังปรากฏอยู่ คุณหญิงอำภาค่อยๆ ปลอบโยน แบบผู้ใหญ่ให้กำลังใจเด็ก
“งั้นอ้อจะรักเขา แบบที่เขาเป็นคุณราช รัชภูมิได้รึเปล่าล่ะ”
“ไม่ค่ะ ไม่มีวัน...อ้อไม่เหลือใจให้เขาอีกแล้ว...อ้อจะแต่งงานกับคุณภากรค่ะ”
คุณหญิงหันมามองจ้องหน้าอมาวสี ก่อนที่จะพูด
“ประชดหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ...แต่เขาทำให้อ้อได้เห็นถึงความป่าเถื่อน หยาบกระด้าง ซึ่งอ้อรับไม่ได้ค่ะ”
“ถามใจตัวเองให้แน่ก่อนนะ...อย่าเอาความผิดหวังของป้าไปตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตของอ้อ”
“อ้อตัดสินใจแน่นอนแล้วค่ะ...อ้อเชื่อว่า อ้อจะพยายามรักคุณภากรได้ ไม่ยากเกินไปนัก”
“แต่การพยายามเลิกรักคนที่เรารัก มันอาจจะยากกว่าเป็นร้อยๆเท่านะ คิดให้ดี”
“อ้อคิดทั้งคืนแล้วค่ะ...อย่างน้อยอ้อก็ทำให้คุณลุงมีความสุข...เท่านี้อ้อก็ดีใจแล้วค่ะ”
อมาวสีพูดอย่างปล่อยวาง และปลดปลง
ที่บริษัท เฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า ยามนี้ ภากรลุกพรวดยืนขึ้น เขากำลังพูดโทรศัพท์กับผู้เป็นพ่อ
“จริงเหรอพ่อ...ขอบคุณมากครับ”
ภากรมีความสุข เขาเดินส่งเสียงสะใจไปรอบๆออฟฟิศที่ไม่มีพนักงาน
“เยสสสส...ว้าว”
ภากรเดินจนไปเจอ ราช ยืนอยู่หน้าประตู ทั้งสองจ้อง มองหน้ากัน อารมณ์เปลี่ยนไปในทันใด
“มีธุระอะไร...มาทำไมที่นี่”
“มาแสดงความยินดีด้วย หลายเรื่อง” ราชพูดเสียงนิ่มนิ่ง
ภากรมองหน้าราช นิ่ง
“จะไม่เชิญผมเข้าไปข้างในซักหน่อยเหรอ”
“ยืนตรงนั้นนั่นหละดีแล้ว”
“กลัวจะโดนผมชกหน้าอีกเหรอครับคุณภากร”
“นายไม่กล้าหรอก...ที่นี่มันออฟิศฉัน ฉันเรียกยามมาซักสามคน ก็จับแกโยนออกไปข้างนอกได้แล้ว”
“ถ้าคุณยังมียามอยู่ให้คุณเรียกนะครับ”
ภากรมองไปรอบๆ พยว่าไม่มีผู้ใดอยู่เลยแม้สักเพียงคน
“ผมว่าบริษัทคุณส่อแววเจ๊งตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว...ไม่มีพนักกงานซักคน ไม่มียาม ไม่มีรปภ....ไม่มีอะไรเลย...และที่ไม่มีมากที่สุด น่าจะเป็นสมองนะครับ”
ภากรโกรธจัด “แก...”
“โกรธละซี...ขอโทษทีที่ผมไม่ได้ร่างประโยคแสดงความยินดีมา มันก็เลยอาจจะฟังไม่สบายหูเท่าไหร่...งั้นเอาใหม่แล้วกัน ขออวยพรให้บริษัทนี้...ชื่ออะไรนะ เฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า ใช่มั้ย...ขอให้จงมีพนักงานและยามรักษาความปลอดภัยโดยเร็ว...และวันใดที่บริษัทเจ๊งอย่าลืมนึกถึงผม ผมยินดีรับซื้อ รับเซ้งธุรกิจตายซากของคุณเสมอ”
ภากรโกรธถึงขีดสุด
“แกมัน สถุล ต่ำช้า หยาบคายมาก...ออกไปจากบริษัทฉันเดี๋ยวนี้เลย”
ราชยิ้ม “ถ้าคุณจะเปิดตาอีกนิด จะเห็นว่า ผมยังไม่ได้เข้าไปเลยนะครับ ผมจะออกมาได้ยังไง”
ภากรหายใจแรงด้วยความโกรธ
“อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องขอแสดงความยินดีด้วยก็คือ เรื่องที่คุณกำลังจะมีเมีย...และขอชมว่าคุณช่างมีหูตาแหลมคมมาก ที่เลือกภรรยาผมมาเป็นเมียคุณ”
“ไอ้ เห้....”
“อย่าโกรธมากไปกว่านี้เลยครับ...เดี๋ยวจะหัวใจวายซะก่อน...เอาละ สุดท้ายครับ ขอชื่นชมรสนิยมอันคงเส้นคงวาของคุณ ที่ชอบแต่งงานกับเมียคนอื่น...อาจเป็นเพราะทำอะไรๆ เองไม่เป็น จึงต้องพึ่งพวกของมือสองผ่านการใช้งานมาแล้ว...ก็ขอให้มีความสุขนะครับ...แล้วผมจะรีบหย่าให้”
ภากรโกรธจนทนไม่ไหว เขาวิ่งปราดเข้าไปกระชากคอราช ราชจับมือไว้ ดัด หัก
ภากรร้องลั่น “อ๊อยยย”
“แถมแง่คิดให้อีกข้อสำหรับคุณโดยเฉพาะ...การแต่งงานเดี๋ยวนี้ มันแต่งง่าย และก็หย่าง่าย...ไม่ยาก เพราะฉะนั้นก็ขออวยพรให้เจ้าสาว อยู่รอคุณจนถึงวันแต่งงาน ไม่หนีหายไปซะก่อนก็แล้วกัน”
ราชผลักภากรจนกระเด็น แล้วจึงหันตัวเดินจากไป
พอท่านกวีเดินลงจากรถตรงเข้าสำนักงาน ทนายชอบเดินเข้าไปหา
“ท่านครับ คุณภากรมีเรื่องด่วนขอคุยกับท่านครับ”
“บอกให้มันไปคุยที่บ้าน ผมไม่มีเวลา ต้องรีบไปประชุมที่บ้านหัวหน้า”
“ตอนนี้แกนั่งรอท่านอยู่ในออฟฟิศแล้วครับ ท่าทางเครียดเชียว”
ท่านกวีถอนใจเล็กน้อย
“มันไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“ไม่ทราบครับ เห็นบอกว่า ต้องการคุยกับท่านเรื่องงานแต่งงาน”
ท่านกวีเดินเข้ามาในห้องทำงาน ภากรก้าวเข้ามาเบื้องหน้าผู้เป็นบิดา ท่าทีร้อนใจ
“ผมขอเลื่อนงานแต่งงานให้เร็วขึ้นครับพ่อ”
“เนี่ยเหรอเรื่องร้อนใจของแก ภากร”
“ใช่ครับ...ผมรออีกตั้งเดือนนึงไม่ไหวแล้วครับพ่อ...ผมอยากแต่งให้มันเสร็จๆ วันนี้ พรุ่งนี้ เลยด้วยซ้ำไป”
“แต่งงาน ไม่ใช่แต่งตัวนะ จะได้รีบๆยัดๆให้มันเสร็จได้ง่ายๆ”
ภากรยังมีท่าทีหงุดหงิด ไม่น้อยลงเลย ท่านกวีจ้องสังเกตลูกชาย
“แกมีปัญหาอะไรแน่ บอกพ่อมาซิ”
“ผมทนให้ไอ้ราชมันมาหยามกันไม่ได้อีกต่อไปแล้วครับ”
“มันก็ได้แต่พูดไป ไม่เป็นความจริงซักอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องจดทะเบียน แต่งงานกับยายอ้อ มันมั่วเอาเองทั้งนั้น แกไม่เห็นต้องเอามาใส่ใจ”
“ผมต้องการหยามมันกลับ...มันบอกว่า อ้อจะไม่อยู่รอจนถึงวันแต่งงาน...ผมก็จะรีบแต่งให้มันเห็น”
ท่านกวีถอนใจนิดๆ เหนื่อยหน่ายต่ออารมณ์ของลูกชาย
“อีกเดือนเดียวก็ไม่ได้ช้าอะไร ก็หยามมันได้อยู่...และที่สำคัญไม่มีวันไหนฤกษ์ดีเท่าเดือนหน้าอีกแล้วนะ”
“ผมไม่สนเรื่องฤกษ์หรอกพ่อ...ผมขอฉีกหน้ามันแรงๆเร็วๆ...นะพ่อนะ”
“เอา...พ่อจะลองให้อาจารย์หาวันดู”
“ขอบคุณครับพ่อ...แล้วก็ พ่อพอจะหามือดีๆ เอาไปดักตีกบาลสั่งสอนไอ้ราชมันหน่อยได้มั้ยพ่อ”
“เฮ้ย...พ่อเป็นนักการเมืองนะ พ่อทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง...ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ รับจ้างตีกบาลคน”
ท่านกวีรับเรื่องนี้ไม่ได้
ราชขับรถเพียงลำพังคนเดียว สายตาของเขาจับจ้องไปเบื้องหน้า อย่างครุ่นคิด
เขาคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ราวสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เวลานั้นวัชรีก้าวมายืนเบื้องหน้าราชที่แวะมาหาวารินถึงที่บ้าน หน้าตาวัชรียังมีแววเครียดและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“คุณราช”
“นายวารินไม่อยู่เหรอครับ”
“เมื่อคืนพี่วารินไม่กลับบ้านค่ะ...บอกว่าไปส่งเพื่อน เพื่อนใหม่ที่ไหนก็ไม่รู้...จนป่านนี้ยังไม่กลับเลยค่ะ”
ราชฉงน “เหรอครับ”
“พี่วารินโทรหาคุณราชทุกวันเลยนะคะ...บ่นว่าถูกทิ้ง ไม่มีใครช่วย...คุณราชช่วยพี่วารินหน่อยนะคะ”
ราชพลอยวิตกกังวลไปด้วยไม่น้อย
“ผมจะพยายามครับ”
ราชเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าร้านอาหารสวย ตกแต่งทันสมัย
ชิดชไมขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าราช ที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารมุมสวยของร้าน
“มาแล้วเหรอจ๊ะ พ่อเทพบุตรสุดหล่อ” น้ำเสียงชิดชไมแดกดันชัดแจ้ง
“แคลร์ อย่าใช้น้ำเสียงอย่างนี้กับผมนะ”
“แคลร์พูดอะไรผิดเหรอคะ”
“เพื่อนผมอยู่ไหน”
“เข้าห้องน้ำ...ท่าจะอาเจียน”
ราชขยับลงนั่งข้างชิดชไม เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงจริงจัง ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
“เพื่อนผมไม่ใช่คนคอแข็งนะแคลร์...คุณพานายวารินกินเหล้าทั้งคืนอย่างนี้ไม่ได้นะ...พ่อแม่เขาเป็นห่วงทั้งบ้าน”
“มีใครห่วงแคลร์บ้างมั้ยคะ”
ราชถอนใจ
“ผมก็ห่วงพวกคุณทั้งคู่นั่นแหละ ไม่งั้นผมจะตามมาที่นี่ทำไม”
“แต่บางเวลาคุณก็พร้อมจะหายไปโดยไม่บอกกล่าว และลืมความห่วงใยทั้งหมดได้เหมือนกัน...ใช่มั้ย” ชิดชไมตัดพ้อ
วารินออกมาจากห้องน้ำเดินตรงมาที่โต๊ะ ท่าทางเขายังมีอาการแฮ้งค์อยู่
“โอ้โฮ ไอ้ราช นายหายไปเป็นชาติเลยนะเพื่อน จะพึ่งพาอะไรก็ตามตัวไม่เจอ...มันน่าไล่ออกจากการเป็นเพื่อนรักซะจริงๆ”
“จะกลับบ้านรึยัง
“ยัง ยังกลับไม่ได้ ต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณชิดชไมก่อน”
ชิดชไมบอก “ไม่เป็นไรค่ะ...แคลร์อยู่ตัวคนเดียวมาจนชินแล้วค่ะ”
“ไม่ได้สิครับ...เมื่อคืนคุณยังอยู่เป็นเพื่อนผมทั้งคืนเลย...ผมทิ้งคุณไปเฉยๆไม่ได้หรอก...เอ้อ ราช นายรู้ข่าวงานแต่งงานของอมาวสีรึยัง”
ราชพยักหน้า วารินเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ
“เราเหมือนคนอกหักมากๆเลย...เราไม่รู้จะทำยังไง เกิดมาไม่เคยเป็นแบบนี้...”
“เราจะช่วยนายเอง” ราชบอก
ชิดชไมจ้องหน้าเขา “แน่ใจเหรอคะ ว่าจะช่วยได้”
“มันช่วยได้แน่ครับ...ไอ้นี่มันถนัดเรื่องจิตวิทยากับผู้หญิง” วารินบอก
“มิน่าล่ะ...” น้ำเสียงหล่อน ประชด แต่วารินไม่รู้เรื่อง
“ถ้ามันรับปากว่าจะช่วย...รับรองว่ามันจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
“ว่าแต่ ที่รับปากจะช่วยน่ะ...ช่วยคุณวาริน หรือช่วยตัวเองกันแน่คะ”
ราชมองหน้าชิดชไมนิ่ง ส่วนวาริน เมาไม่รู้เรื่อง
กลางโถงบ้านบนที่นั่งที่ดูเป็นทางการนั้น ภากรและอมาวสีนั่งเคียงข้างกัน คุณหญิงอำภาอยู่กลางวงนั้น ทุกคนรอคอยท่านกวี
ท่านกวีเดินเข้ามาสีหน้ายิ้มแย้ม
“พร้อมหน้าพร้อมตากันก็ดีแล้ว...ฉันมีเรื่องงานมงคลของบ้านพิชิตพงษ์ที่จะต้องอัพเดทให้พวกเราทุกคนฟัง...ก่อนอื่นลุงต้องขอขอบใจหลานอ้อที่มีใจให้เจ้าภากรผู้อาภัพในเรื่องเนื้อคู่”
ภากรและอมาวสีมองหน้ากัน ทั้งคู่ดูจะมีอารมณ์ที่ต่างกันอยู่ลึกๆ
“ก็หวังว่างานแต่งงานครั้งนี้จะนำบรรยากาศแห่งความสุข สดชื่น มาสู่บ้านหลังนี้อีกครั้ง และในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ดี เราก็สมควรที่จะทำให้งานนี้เกิดขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันจึงตัดสินใจเลื่อนงานแต่งงานเข้ามาให้เร็วขึ้นอีกสองอาทิตย์”
ท่าทีของแต่ละคนต่างๆ กันไป ภากรยิ้มชอบใจ อำภาแปลกใจ ส่วนอมาวสีตกใจ
“เราจะเตรียมงานทันเหรอคะ”
“ไม่ยาก เราจ้างบริษัทออร์กาไน้ซ์ทำให้ทุกอย่าง ตั้งแต่การ์ดเชิญ ออกแบบงานเลี้ยง ของชำร่วย ครบหมด เราไปแต่ตัวและรอยยิ้ม”
“มันดูรีบร้อนเกินไปมั้ยคะ...คนเขาจะนินทาเอาได้ว่า...” คุณหญิงท้วง
ท่านกวีพูดแทรกขึ้นมาทันที
“ไม่หรอก ใครๆ ก็ชอบไปงานแต่งงานกันทั้งนั้น และเป็นโอกาสดีที่ผมจะเชิญผู้ใหญ่ของทุกพรรคการเมืองมาร่วมงาน ซึ่งเราก็จะถือโอกาสนี้พูดถึงความเป็นไปได้ในการฟอร์มรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า...รวมทั้งปูทางให้กับธุรกิจของบริษัทเฮ้ลท์ตี้ ฟาร์ม่า ของเราไปในตัว”
“แล้ววันนั้นฤกษ์ดีเหรอคะ” คุณหญิงย้อนแย้ง
“อาจจะไม่ไดีที่สุด แต่ก็ไม่เลวร้ายอะไร...มีใครมีปัญหาอะไรมั้ย”
ทุกคนนิ่ง แววตาอมาวสี ไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มีใครมีปัญหานะ...งั้นก็ดี”
ภากรกระเถิบไปใกล้พ่อ และเอ่ยปากเบาๆ เสียงหล่อ
“ผมขออยู่ตามลำพังกับอ้อสักครู่ ได้มั้ยครับ”
“พองานลงตัวแล้ว พ่อกับแม่ก็หมดความหมายเลยใช่มั้ย..ไปอำภา เรากลับห้องเรากันเถอะ”
พอท่านกวีกับอำภาเดินจากไป ภากรหันมาพูดกับอมาวสีอย่างนิ่มนวล
“อ้อ...ไม่ว่าตอนนี้อ้อจะคิดยังไงกับพี่...มันก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะระหว่างเราเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้ว...นอกจากสามีภรรยา”
ภากรเข้าไปเคลียคลออมาวสีอย่างใกล้ชิด
อมาวสีค่อยๆ ถอยตัว ห่างออกมา “อีกสองอาทิตย์ค่ะ”
“กว่าจะถึงวันนั้น เรามาทำอะไรสนุกๆร่วมกันในวันนี้หน่อยได้มั้ย”
“ทำอะไรคะ”
“ส่งเมล”
อมาวสีทำหน้าไม่เข้าใจ
“ส่งเมลให้นายราช รัชภูมิ” ภากรว่า
จอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของราช มีสัญลักษณ์แสดงว่ามีเมลเข้ามา ราชกดปุ่มเปิดเมลนั้น แล้วเดินออกไปดูอยู่ห่างๆ โต๊ะ ใบหน้าจ้องจอคอมพิวเตอร์
สักครู่ปรากฏเป็นไฟล์ภาพ อมาวสีและภากรยืนคู่กัน ภากรในจอคอมพ์ อ้าปากพูด
“นี่คือการ์ดเชิญที่เราสองคนตั้งใจทำให้คุณเป็นพิเศษ”
ราชหันมาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างสนใจ
“ไม่ว่าคุณจะเคยพูดจาโกหกเรามากี่เรื่องก็ตาม ทั้งเรื่องรักกับอมาวสี จดทะเบียนสมรสกับอมาวสี เราก็จะไม่ถือสาอะไร เพราะเราคิดว่า คุณมันก็ไม่ต่างจากผีเปรตที่มาขอส่วนบุญจากงานมงคลสมรสของเรา”
ราชขยับลงนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ จ้องภาพภากรและอมาวสี ผ่านจอคอมพ์ เขม็ง
“ฉะนั้น เราจึงส่งคำเชิญพิเศษนี้มาถึงคุณเพียงคนเดียว เพื่อให้คุณได้รู้ว่า เราสองคนรักกันมาก และไม่อาจรอคอยวันเวลาที่จะอยู่ด้วยกันได้อีกต่อไปแล้วเราจึงเลื่อนงานแต่งงานของเราเร็วขึ้นมาอีกสองอาทิตย์...อย่าอิจฉาเราจนหัวใจวายตายซะก่อนล่ะ คุณราช รัชภูมิ”
ราชมีแววตาแข็งกร้าว
“บอกรักพี่ให้ไอ้หมอนี่ฟังหน่อยสิจ๊ะอ้อ”
อมาวสีค่อยๆเอ่ยปากอย่างตั้งใจ
“อ้อรักคุณภากร และจะแต่งงานกับคุณภากรค่ะ”
ภากรหอมแก้มอมาวสีอย่างมีความสุข เขายังหันมาพูดกับกล้องอีกครั้ง
“ถ้าว่าง ก็ขอเชิญที่งานนะ...”
ภากรชะโงกหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ กล้องที่จอคอมพ์
“แกไม่มีวันชนะฉันหรอก ไอ้ราช รัชภูมิ...ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
ภาพในจอคอมพ์ค้างนิ่ง เมื่อเล่นจบไฟล์ของภาพนั้น
แววตาของราชแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น
อ่านต่อตอนที่ 8