รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 1
บทประพันธ์ : ช่อมณี
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
กำกับการแสดง : ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์
แนวละคร : โรแมนซ์ ลึกลับ ตื่นเต้น
ผลิต : บริษัท ที.วี.ซีน จำกัด โดย ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
วันเวลา ออกอากาศ : จันทร์-อังคาร เวลา 20.15 น. ทาง ช่อง 3 (ต่อจาก เรือนริษยา)
ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก อังคารที่ 8 กรกฎาคม 2557 นี้
จำนวนตอนออกอากาศ : 14/+/-
หลังเรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไป ลาภิณ แต่งงานกับเจติยา ในงานเลี้ยงฉลองสมรสค่ำคืนนั้น ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาร่วมยินดีมากมาย เจ้าบ่าว ลาภิณ ร้องเพลง เพียงชายคนนี้ ไม่ใช่ผู้วิเศษ พร้อมกับเดินลงจากเวทีตรงไปหาเจติยา ทุกคนแหวกทางให้ ลาภิณเดินไปหามองสบตาซึ้ง เจ้าสาว เจติยา ยิ้มขวยเขินไปมา
“ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ
ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ”
ลาภิณหยุดร้องแล้วจ้องตาเจติยาหวานเชื่อม “แต่งงานกับผมนะเจ”
เสียงกรี๊ดสนั่นดังทั่วห้องจัดงาน เจติยายิ้มขวยเขิน
“ทุกคนรอฟังคำตอบอยู่นะ” ลาภิณบอก
“แวมไพร์จะแต่งงานกับผีจีนได้ยังไงคะ” เจติยาว่า
ลาภิณทำหน้าตาย “งั้นก็ต้องกัดซอกคอก่อน” ลาภิณจะเข้าไปกัด
เจติยาเขินมากจึงตีลาภิณเบาๆ
ลาภิณอุ้มเจติยาไปนอนลงบนเตียง แล้วลงไปนอนตะแคงข้างๆ
ลาภิณพูดด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “หวังว่าคืนนี้คงไม่มีวิญญาณที่ไหนมาขัดจังหวะเข้าหอ ขอความช่วยเหลือเธออีกนะ”
เจติยายิ้มเขินๆ
“รีบบอกพวกเค้าก่อนว่างดรับแขกคืนนึง”
เจติยาขำๆ “บ้า” เจติยาตีแขนลาภิณอย่างเขินๆ
ลาภิณจับตามองเจติยาไม่ละสายตาจนเจติยาเขิน ลาภิณค่อยๆ โน้มหน้าลงจะจุ๊บเจ้าสาว
เจติยายิ้มๆ “แน่ใจนะคะ ว่าวันนี้อยากจะเป็นลูกมือช่วยเจจริงๆ”
ลาภิณยิ้มมั่นใจแล้วยืดอก “แน่นอนครับ”
“หวังว่าคงไม่หน้ามืดเป็นลม เหมือนคราวก่อนอีกนะคะ”
ลาภิณยิ้มๆ “ถ้าจะเป็นลมก็เพราะ” ลาภิณทำหน้าทะเล้น “หมดแรงที่เมื่อคืนได้นอนน้อยมากกว่า”
เจติยาเขินมากก็จะฟาด ลาภิณขำๆ ก่อนจะวิ่งหนีไป เจติยาวิ่งตามไปฟาดด้วยอารมณ์หยอกเย้าข้าวใหม่ปลามัน ทันใดนั้นพนักงานเข็นเตียงศพคลุมผ้าผ่านมาพอดี ลาภิณเบรกแทบไม่ทันจึงจะชน เจติยาที่วิ่งตามมาติดๆ ชนลาภิณซ้ำ ลาภิณต้องจับเตียงเข็นศพเอาไว้โดยกระแทกโดนเบาะๆ ไม่ล้มคว่ำจนศพตกไปจากเตียง
โดยไม่คาดคิดศพก็เด้งขึ้นมานั่งทันที เจติยากรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ ผ้าคลุมเลื่อนตกลงมาพบว่าเป็นศพของพิสัย
พิสัยหันขวับมาพูดใส่กล้องทันที “บอกความจริง!!”
ศพพิสัยพุ่งใส่แล้วทุกอย่างก็มืดไปทันที
สายตาพิสัยที่รูปถ่ายหน้าโลงศพจ้องเขม็งดูน่ากลัว เจติยายืนอยู่หน้าโลงศพของพิสัยด้วยสีหน้าใช้ความคิด ทวีและโอ้เอ้เดินเข้ามาหาเจติยา
“หนูเจ จะได้เวลาเคลื่อนศพไปเผาแล้วนะ” ทวีบอก
“ค่ะ รบกวนลุงตามคุณต้นให้ทีนะคะ”
“ได้สิหนู”
โอ้เอ้ถอนใจ “ตอนอยู่ คุณพิสัยทั้งเก่งทั้งรวย กว้างขวางสุดๆ แต่พอตาย ไม่มีใครมางานศพซักคนเลยนะลุง”
“พูดมากจริงโว้ยไอ้นี่ ไปเตรียมย้ายศพได้แล้ว” ทวีลากคอโอ้เอ้ให้เดินไปกับเขา เจติยาหันไปมองรูปถ่ายของพิสัยนิ่งด้วยสีหน้าปลงๆ โดยไม่คาดคิดวิญญาณพิสัยหน้าซีดก็เข้ามายืนซ้อนหลังเจติยาแบบไม่ให้ทันตั้งตัว
เจติยาเหลือบตาเห็นก็ผงะตกใจแล้วก็ถอยห่างไปเล็กน้อย
พิสัยโกรธจัด “เมื่อไหร่เธอจะหาตัวไอ้ฆาตกรที่ฆ่าฉันได้ซะที”
เจติยาอ่อนใจ “ตำรวจเค้าพิสูจน์แล้ว ว่าคุณตายด้วยอุบัติเหตุจริงๆ ไม่มีใครฆ่าคุณทั้งนั้นแหละ ไปผุดไปเกิดซะทีเถอะค่ะ”
พิสัยตะคอก “ไม่จริง ฉันถูกฆ่าตาย ถึงฉันจะไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แต่มันไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน” พิสัยชี้หน้าเจติยา “ถ้าเธอไม่ยอมหาตัวฆาตกรให้ฉันล่ะก็ ฉันจะตามรังควาญไม่ให้ชีวิตเธอได้อยู่เป็นสุขเลย”
ลาภิณเดินเข้ามาในห้องแต่งศพ วิญญาณพิสัยแตกกระจายหายไป
เจติยายังหน้าตื่นตกใจอยู่
ลาภิณเห็นท่าทีเจติยาก็เป็นห่วงมาก
“เป็นอะไรเจ น้าพิสัยมาหาอีกแล้วใช่มั้ย”
เจติยาพยักหน้ารับสีหน้าเครียดๆ เพราะไม่ค่อยสบายใจ
ลาภิณโกรธจึงมองไปรอบๆ “ผมรู้ว่าน้าได้ยินที่ผมพูด เลิกตามรบกวนพวกเราซะทีเถอะ ผมไม่ได้ทวงบุญคุณอะไรหรอกนะครับ แต่พวกเราจัดงานศพ ทำบุญ และจะเผาศพให้น้าวันนี้ เราตั้งใจทำทุกอย่างให้ครบถ้วนดีที่สุด แล้วน้าจะเอายังไงอีก” ลาภิณมีสีหน้าโกรธจัด “ที่จริงผมไม่ควรจะทำให้เลย ควรปล่อยให้น้าตายอย่างศพอนาถาไร้ญาติด้วยซ้ำไป”
พูดขาดคำแจกันกับแก้วน้ำที่ตั้งหน้าศพแตกกระจาย ข้าวของในห้องล้มและพังต่อเนื่อง
ลาภิณยิ่งโกรธ “ผมไม่กลัวหรอกนะ อาละวาดไปเลย วันนี้ผมจะได้ไม่ต้องเผาศพให้”
เครื่องประดับประดาในห้องสวดศพแตกร้าว พังทลายต่อเนื่อง โคมไฟแตกระเบิด เจติยารีบเข้าไปกอดลาภิณแล้วยกมือขึ้นบังลาภิณไว้
เจติยารีบตะโกนบอก “หยุดได้แล้วคุณพิสัย ฟังฉันนะ ฉันจะลองสืบเรื่องการตายของคุณอีกครั้ง พอใจรึยังคะ”
ทุกอย่างค่อยสงบลง ยังไม่ทันที่ลาภิณและเจติยาจะถอนใจโล่งอก โลงศพพิสัยก็พลิกจากแท่นตกมาที่พื้นห้อง ฝาโลงเปิด ศพพิสัยที่ถูกแต่งอย่างดีกลิ้งออกมานอนหงายในสภาพหน้าซีดเผือด มีรอยเย็บแผลต่อคอชัดเจน
ลาภิณรีบกอดเจติยาเบี่ยงไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้เธอมองศพพิสัยให้ขวัญเสีย
ลาภิณกำลังคุยกับเจติยาด้วยท่าทางหงุดหงิด เจติยาคุยไปจัดกระเป๋าเดินทางใบย่อมให้ลาภิณไป
ลาภิณหงุดหงิด “น้าพิสัยทำแต่เรื่องเลวร้ายทั้งนั้น จะถูกฆ่าตายก็ไม่เห็นแปลก ยิ่งตามมาป่วนกันยังงี้ ยิ่งไม่ควรช่วยใหญ่เลย”
เจติยาพูดไปจัดกระเป๋าไป “เจตั้งใจแล้วว่าจะช่วยวิญญาณทุกดวงที่มาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าเค้าจะเป็นใครหรือเคยทำอะไรมาก็ตาม ถ้าคุณพิสัยเค้ามั่นใจว่าตัวเองถูกฆ่าแล้วมาขอความช่วยเหลือ เจก็มีหน้าที่ต้องหาตัวฆาตกรออกมาให้ได้เพื่อให้วิญญาณเค้าหลุดพ้น”
ลาภิณเป็นห่วง “แล้วถ้าเจทำไม่ได้ล่ะ น้าพิสัยเค้าจะทำร้ายเจรึเปล่า”
เจติยายิ้มบางๆ ก่อนจะปิดกระเป๋าที่จัดเสร็จแล้ว “ไม่หรอกค่ะ ไม่มีกล่องรากบุญแล้ว ไม่มีวิญญาณที่ไหนมีอำนาจขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณพิสัย ก็ทำได้แค่หลอกให้เราตกใจเท่านั้นล่ะค่ะ” เจติยาจะยกกระเป๋าเสื้อผ้า
ลาภิณรีบเข้าไปยกกระเป๋ามาวางแทน “แค่นั้นก็ประสาทเสียแล้วล่ะ”
ลาภิณเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาวางเตรียมเดินทางพรุ่งนี้ ก่อนจะหันไปมองเจติยาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม แล้วเดินเข้าโอบเอวเจติยาจากทางด้านหลัง
ลาภิณยิ้มกรุ้มกริ่ม “อย่าพูดเรื่องเสียอารมณ์กันเลย เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า” ลาภิณอ้อน “เราจะไม่ได้นอนเตียงเดียวกันตั้งหลายคืนแน่ะ”
เจติยายิ้มเขิน “เจว่ารีบนอนดีกว่าค่ะ พรุ่งนี้คุณต้องเดินทางแต่เช้านะ เจก็มีเวรแต่งศพตอนเช้ามืดด้วย” เจติยารีบเดินเลี่ยงไปขึ้นเตียงนอน
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะกดปิดไฟห้องแล้วขึ้นเตียงไปนอนกอดเจติยาเอาไว้ “นอนกอดเฉยๆ ก็ได้...อย่าหันมาปล้ำเค้าเองก็แล้วกัน”
เจติยาหยิกแขนลาภิณหมั่นไส้ปนหมั่นเขี้ยว ลาภิณยิ้มๆ กอดเจติยากระชับเอาไว้แล้วก็แนบตัวพริ้มตาหลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
สนามบินสุวรรณภูมิยามเช้า ลาภิณเดินลากกระเป๋าเดินทางใบเมื่อคืนไปเคาท์เตอร์เช็คอิน พร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
ลาภิณคุยมือถือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผมถึงสนามบินแล้วนะ เจเสร็จงานรึยัง”
เจติยากำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องแต่งศพ
เจติยาคุยมือถือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ระหว่างรอลุงทวี เจจัดการไปสามเคสแล้วค่ะ แต่ตอนนี้หิวจนท้องร้องจ๊อกๆไปหมดแล้ว” เจติยาฟังก่อนตอบ “เดี๋ยวผู้กองซื้อโจ๊กเข้ามาฝากค่ะ จะได้กินไปคุยเรื่องคดีคุณพิสัยไปด้วย”
ลาภิณปั้นหน้าเครียดแล้วก็คุยมือถือ “อย่าคุยกันตามลำพังนานนักล่ะ หวง”
เจติยายิ้มๆ ขณะคุยมือถือด้วยความหมั่นไส้ “ทำพูดดีไปเหอะ คุณนั่นแหละ ฉายเดียวไปเมืองจีนยังงี้ คงได้เหล่สาวหมวยหน้าตาจิ้มลิ้มเพลินจนลืมบ้าน” เจติยาค้อน
ลาภิณคุยมือถือขำๆ “ไม่มีทางหรอก ผมหลงเสน่ห์ สาวหน้ากลมตาคม จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว”
เจติยาขำ “ให้มันจริงเถอะ”
ทันใดนั้นเอง พิมพ์อรก็เดินคุยโทรศัพท์มือถือผ่านลาภิณมา พิมพ์อรสวยโดดเด่นและดูดีมาก เล่นเอาลาภิณหยุดเดินมองตามจนเหลียวหลัง พิมพ์อรหยุดคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ไม่ห่างจากลาภิณเท่าไหร่นัก
สัญชาติญาณภรรยาของเจติยาแรงมาก “คุณต้นคะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
ลาภิณคุยมือถือ “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นสาวสวยมากเดินผ่านไปก็เลยหันมองตามนิดหน่อย”
เจติยามีสีหน้าหมั่นไส้แล้วแกล้งทำเสียงแข็ง “แค่นี้นะ” เจติยาฟังปลายสายแล้วยิ้มๆ ก่อนแกล้งแขวะ “แล้วยัยนั่นไปเซี่ยงไฮ้ด้วยรึเปล่า” เจติยาฟังปลายสายยิ้มๆ
พิมพ์อรยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่
“อรส่งมิสเตอร์ซ่งเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะกลับเข้าไปหาคุณพ่อก่อนนะคะ” พิมพ์อรฟังอีกฝ่าย “ไม่ได้หรอกค่ะ ธุระของคุณพ่อสำคัญที่สุดอยู่แล้ว” พิมพ์อรยิ้มแย้มแล้วฟังก่อนตอบ “อรเดินทางพรุ่งนี้เช้าก็ทันค่ะพ่ออรอยากเคลียร์งานให้เสร็จก่อนด้วย” พิมพ์อรฟังก่อนตอบ “ค่ะ เดี๋ยวเจอกันค่ะพ่อ” พิมพ์อรตัดสายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพิมพ์อรพร้อมยื่นโทรศัพท์มือถือในมือ
“พี่คะ รบกวนถ่ายรูปให้หน่อยได้มั้ยคะ”
พิมพ์อรทำหน้านิ่ง แววตาดูเหยียดๆปนรำคาญอยู่ในที ก่อนจะตอบปฏิเสธด้วยเสียงเรียบ “ฉันรีบ”
สาววัยรุ่นหน้าแหยปนเจื่อนๆ ทันที พิมพ์อรหันเดินไปพร้อมเหยียดปากแบบเซ็งปนรำคาญ ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังแทรกเข้ามาให้ได้ยิน
“พี่ถ่ายให้ครับ”
พิมพ์อรหยุดกึกแล้วหันกลับไปมอง
พิมพ์อรเห็นลาภิณเป็นหนุ่มหล่อแต่งตัวดีมาดนักธุรกิจ มีกระเป๋าเดินทางข้างตัว ลาภิณกำลังถ่ายรูปหมู่ให้เด็กสาววัยรุ่น 2-3 คนอยู่
ลาภิณเลือกมุมใหม่แล้วถ่ายให้อีก “ไปเลือกเอาเองนะครับ”
สาววัยรุ่นเข้ามายกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”สาววัยรุ่นรับมือถือคืนไป
ลาภิณยิ้มให้แล้วลากสัมภาระเดินไปเช็คอินโดยไม่ได้หันมองพิมพ์อร ผิดกับพิมพ์อรที่หันมองตามลาภิณไปเล็กน้อย เธออดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้มีน้ำใจดี
พิมพ์อรเดินจากไปแต่ก็ไม่วายหันมองไปทางลาภิณอีกครั้ง
รถหรูเลี้ยวเข้ามาในบ้านระดับคฤหาสน์ของพิมพ์อร ชาคร เลขาฯของพิมพ์อรเดินมารอรับ ทันทีที่รถจอดก็เปิดประตูรถให้พิมพ์อรลงมาจากรถ
“คุณพ่อทานอาหารเช้ารึยัง”
“ยังครับ รอคุณอรอยู่”
พิมพ์อรเป็นห่วงเพราะกลัวคุณพ่อหิว “บอกว่าไม่ต้องรอๆ ไม่ฟังกันมั่งเลย” พิมพ์อรรีบเดินเข้าบ้านไป ชาครรีบเดินตามพิมพ์อรเข้าไปทันที
พิมพ์อรเข็นรถเข็นให้วนันต์ พ่อของเธอเพื่อพาไปที่ห้องอาหารพร้อมคุยไปด้วย วนันต์ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงทำให้เดินเองไม่ค่อยไหวต้องมีคนประคองหรือนั่งรถเข็นตลอด
วนันต์มีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก “ย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย พ่อก็อดห่วงบริษัทที่สิงคโปร์ไม่ได้นะ”
พิมพ์อรยิ้มแย้ม “ทางนั้นอยู่ตัวแล้วล่ะค่ะพ่อ ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกค่ะ แล้วเดี๋ยวนี้ข้อมูลข่าวสารเร็วจะตาย มีปัญหาอะไรเราแก้ไขได้ทันอยู่แล้ว อรจะบินกลับไปเมื่อไหร่ก็ได้ สาขาที่ เมืองไทยนี่ต่างหาก ที่เรายังต่อสู้อีกเยอะ”
ชาครยิ้มแย้มแล้วพูดเอาใจ “แต่ยังไงก็ไม่เกินความสามารถคุณพิมพ์อรหรอกครับ เอตต้าสาขาประเทศไทย ต้องยิ่งใหญ่ไม่แพ้บริษัทแม่ที่สิงคโปร์แน่นอน”
พิมพ์อรยิ้มขอบใจให้ชาคร
วนันต์ถามชาคร “เอ้อ แล้วคนที่ฉันให้ไปตามตัวล่ะ เจอรึยัง”
“เจอแล้วครับ พรุ่งนี้ค่ำๆ ผมนัดให้มาพบคุณท่านที่บ้านเรียบร้อยแล้วครับ”
วนันต์พยักหน้ารับอย่างพอใจก่อนจะรำพึงออกมา “20กว่าปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน” วนันต์ถอนใจออกมา “โชคยังดีที่ทวียังไม่ได้ตายตามสารัชไปอีกคน ถือว่ายังไม่สิ้นหวังซะทีเดียว” วนันต์มีสีหน้าคิดคำนึง
พิมพ์อรชำเลืองมองหน้าพ่อเล็กน้อยโดยมีสีหน้ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด
ชาครเปิดประตูพาพิมพ์อรเข้ามาในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม หรูหรา ไม่แพ้ห้องนอนของพิมพ์อร หรือ วนันต์เลย
“ผมให้คนจัดห้องเรียบร้อยแล้ว คุณอรลองตรวจดูก่อนนะครับ ว่าถูกใจมั้ย”
พิมพ์อรมองไปรอบๆ แล้วยิ้มพอใจ “ทำได้ดีมากชาคร แล้วอย่าลืมบอกเด็กๆ ให้มาทำความสะอาดห้องนี้ทุกวันด้วยนะ”
“ครับ” ชาครแปลกใจ “แต่คุณอรครับ ไม่ทราบว่าคุณอรจัดห้องนี้ไว้ให้ใครเหรอครับ” ชาครสงสัย “คุณอรกับคุณท่านก็ไม่ได้พักห้องนี้”
พิมพ์อรมองชาครด้วยสายตาตำหนิ “ฉันต้องรายงานให้เธอรู้ทุกเรื่องด้วยเหรอะชาคร”
ชาครหน้าเสีย “ขอประทานโทษครับ”
“ออกไปได้แล้ว”
“ครับ” ชาครโค้งหัวให้นิดนึงก่อนจะออกจากห้องแล้วปิดประตู
พอชาครออกไป พิมพ์อรก็หยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋าถือ เธอหยิบเหรียญขึ้นมามองทีละด้าน เหรียญนั้นเป็นเหรียญสีดำสนิท ด้านหนึ่งมีลวดลายปีศาจพ่นไฟ อีกด้านหนึ่งมีลวดลายเป็นรูปเหรียญสามเหรียญ มีเส้นโยงไปที่กล่องใบหนึ่ง
พิมพ์อรพูดบอกกับเหรียญในมือ “ห้องนี้เป็นของเธอ ออกมาสิกสิณ”
พิมพ์อรพูดจบก็มีควันดำพวยพุ่งขึ้นมาจากเหรียญในมือพิมพ์อร ควันดำรวมตัวกันแล้วกลายร่างเป็นสาวสวยชื่อกสิณซึ่งเป็นปีศาจที่เกิดจากกิเลสของเจ้าของเหรียญ ซึ่งมีหน้าตาสวยงาม แต่งตัวสวยงามตลอด เพราะความสวยงามล่อลวงให้คนทำผิดได้ดีกว่าความน่าเกลียดน่ากลัว
กสิณมองไปรอบๆ ก่อนจะหันมายิ้มหวาน “ห้องสวยมาก ขอบใจมากนะพิมพ์อร”
“ไม่เป็นไร” พิมพ์อรหน้าเครียด “ฉันไม่สบายใจเลยกสิณ อาการคุณพ่อทรุดหนักลงทุกที การมาเมืองไทยคราวนี้ จะช่วยชีวิตคุณพ่อได้แน่เหรอ”
กสิณยิ้มหวาน “แน่สิจ๊ะ ถ้าเธอได้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญและขอพรจากมัน อย่าว่าแต่โรคภัยไข้เจ็บแค่นี้เลย ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่กล่องรากบุญทำไม่ได้” กสิณยิ้มร้าย
พิมพ์อรมีสีหน้าแววตามุ่งมั่นปรารถนาแรงกล้า ยังไงก็ต้องเป็นเจ้าของกล่องรากบุญเพื่อช่วยชีวิตพ่อให้ได้
นิษฐาเดินถือจานใส่ปาท่องโก๋มาให้เจติยาและนวัชที่กำลังนั่งกินโจ๊กอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของเจติยา เจติยากินโจ๊กพร้อมกับอ่านรายงานการชันสูตรศพของพิสัยไปด้วย นิษฐาฉีกปาท่องโก๋ใส่ชามโจ๊กให้นวัชให้เป็นคำๆ
เจติยาแขวะ “ฉีกให้ฉันมั่งดิ อยู่กันแค่สองคนรึไง”
นวัชยิ้มๆ
นิษฐาแขวะกลับ “ลืมไปสามีไม่อยู่ ขาดความอบอุ่น” นิษฐาฉีกให้เพื่อน “นี่ย่ะ”
เจติยาประชดเพื่อน “เอ้อ งอนผู้กองอย่ามาปรึกษาฉันอีกแล้วกัน”
นิษฐาหยิกแขนเพื่อนเพราะอายนวัช
นวัชยิ้มๆก่อนถามเจติยา “เจอ่านผลชันสูตรศพคุณพิสัยแล้วรู้สึกยังไง”
เจติยาคิดหนัก “มันก็ไม่น่าจะเป็นฆาตกรรมได้นะคะ”
ภาพในอดีตย้อนกลับมา พิสัยเดินอย่างระแวดระวังหลบเข้ามาในซอยเพราะตอนนั้นต้องหลบทั้งตำรวจ และคนของพ่อปริม พิสัยมีท่าทางหวาดกลัวและมองหน้ามองหลังตลอด ป้ายโฆษณาป้ายหนึ่งเก่ามากจนภาพโฆษณาเลือนไปหมดแล้วถูกแขวนไว้โดยมีลวดขึงไว้กับตึก
พิสัยกำลังจะเดินผ่านป้ายโฆษณา ทันใดนั้นลวดที่ขึงอยู่ก็ขาดออก ป้ายโฆษณาหล่นใส่พิสัยทันที พิสัยตกใจมากจึงรีบฉากหลบไปทันที ป้ายโฆษณาหล่นเฉี่ยวพิสัยไปชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด พิสัยยังไม่ทันหายตกใจ ลวดที่ขึงอยู่ลอยตามป้ายมาตวัดใส่พิสัย
พิสัยตกใจถึงขีดสุดที่ลวดสะบัดมาที่ลำคอของเขาแบบหมดทางที่จะหลบพ้น
ฟากนิษฐาพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงสยองสุดๆ
“พูดแล้วขนลุก โดนลวดตวัดมาตัดคอขาดกระเด็น ถ้าเป็นการฆาตกรรมจริง ก็ถือว่าโหดสุดๆ” นิษฐาทำท่าขนลุกขนพอง
เจติยาพยักหน้ารับ “แต่มันก็แปลกนะ ที่อยู่ๆลวดจะขาดตอนนั้นพอดี แล้วก็ตวัดไปตัดคอคุณพิสัยพอดีด้วย ที่สำคัญ แรงตวัดแค่นั้น มันพอที่จะตัดคอคนได้เลยเหรอคะ” เจติยาสงสัย
นวัชคิดตาม “ถ้าเป็นการฆาตกรรมจริง คนวางแผนนี่สุดยอดมากเลยนะทำให้เหมือนอุบัติเหตุได้แนบเนียนขนาดนี้”
“นายพิสัยก่อกรรมทำเข็ญมาเยอะ ก็คงโดนเวรกรรมตามสนองเอานั่นแหละ แกอย่าไปคิดหาเหตุผลให้เสียเวลาเลยเจ”
พิสัยทุบโต๊ะอาหารโครม ซึ่งมีเจติยาเห็นและได้ยินคนเดียว เจติยาสะดุ้งเล็กน้อย
เสียงพิสัยดังหนักแน่นยืนยัน “ฉันถูกฆาตกรรม แกต้องลากตัวคนฆ่าฉันออกมาให้ได้”
เจติยาเงยหน้ามองวิญญาณพิสัยแล้วก็ต้องสะดุ้งลุกพรวดถอยกรูดเพราะวิญญาณพิสัยมีแต่ตัวไม่มีหัว!
พิมพ์อรรับกระเช้าใส่โสมอย่างดีจากชาครมามอบให้พ่อของปริม ลูกน้องของพ่อปริมเข้ามารับไปแทน
พ่อปริมยิ้มรับ “ขอบใจมาก ทีหลังไม่ต้องก็ได้นะ”
พิมพ์อรยิ้มแย้ม “ไม่ได้หรอกค่ะ ดิฉันถือว่าท่านมีบุญคุณกับบริษัทเอตต้าของเรามาก ถ้าท่านไม่อนุมัติโครงการฟลัดเวย์ให้ บริษัทของดิฉันก็คงไม่มั่นคงถึงขนาดนี้”
“ไม่จริงหรอก คุณเป็นคนเก่ง แล้วบริษัทของคุณก็มีศักยภาพพอที่จะทำงานใหญ่ได้ ไม่อย่างงั้นผมก็คงไม่สนับสนุนหรอก แล้วคุณเองก็เข้ามาถูกจังหวะพอดีที่” พ่อปริมมีสีหน้าเกลียดชัง “ไอ้สารเลวนั่นมันตายไปซะได้ ถึงจะเป็นอุบัติเหตุก็เถอะ” พ่อปริมมีสีหน้าสมน้ำหน้าและสาแก่ใจ
พิมพ์อรยิ้มเล็กน้อย โดยไม่ตอบอะไรซึ่งทำให้ยิ่งดูลึกลับน่ากลัวอย่างประหลาด
พ่อปริมกำลังเดินหน้าเครียดมาโดยมีลูกน้องคอยคุ้มกัน ขณะนั้นเอง พิมพ์อรก็เร่งฝีเท้าตามพ่อปริมขึ้นมา
“ท่านคะ ท่าน” พิมพ์อรเข้ามาดักหน้าพ่อปริมไว้แล้วไหว้ “สวัสดีค่ะท่าน ดิฉันชื่อพิมพ์อร ไกรวิน” พิมพ์อรหยิบนามบัตรมายื่นให้ “เป็นรองประธานกรรมการบริษัทเอตต้า จากสิงคโปร์ค่ะ”
พ่อปริมรับนามบัตรมาด้วยสีหน้าเครียด
“ขอแสดงความเสียใจเรื่องคุณปริมลูกสาวของท่านด้วยนะคะ”
“ขอบใจ ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์จะคุยเรื่องงานอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะโครงการไหนก็ตาม ไว้รอคดีลูกสาวผมคลี่คลาย” พ่อปริมมีสีหน้าอาฆาต “จับตัวคนร้ายออกมาลงโทษให้สาสมได้ซะก่อน ผมถึงจะพร้อมคุย ขอโทษด้วยนะ” พ่อปริมเดินเลี่ยงไป
พิมพ์อรยิ้มแย้มแล้วพูดคนเดียวขึ้นมา “ได้ยินแล้วใช่มั้ยกสิณ”
ทันใดนั้นกสิณก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของพิมพ์อร
กสิณยิ้มเยือกเย็น “ได้ยินแล้ว ฉันจะทำให้เค้าอารมณ์ดี จนอยากคุยกับเธอเอง”
เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง พิสัยเดินอย่างระแวดระวังหลบเข้ามาในซอย เพราะตอนนั้นต้องหลบทั้งตำรวจและคนของพ่อปริม พิสัยมีท่าทางหวาดกลัวและมองหน้ามองหลังตลอด ป้ายโฆษณาป้ายหนึ่งซึ่งเก่ามากจนภาพโฆษณาเลือนไปหมดแล้ว โดยป้ายถูกแขวนไว้โดยมีลวดขึงไว้กับตึก
กสิณปรากฏตัวขึ้นที่หลังป้ายโฆษณาโดยจับตามองไปที่พิสัยก่อนจะแสยะยิ้มร้าย พิสัยกำลังจะเดินผ่านป้ายโฆษณา ทันใดนั้น ลวดที่ขึงอยู่ก็ขาดออก ป้ายโฆษณาหล่นใส่พิสัยทันที พิสัยตกใจมากจึงรีบฉากหลบทันที ป้ายโฆษณาหล่นเฉี่ยวพิสัยไปชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
กสิณมีสีหน้าเจ็บใจ เธอจิกตามองไปที่เส้นลวดที่ขึงป้ายโฆษณา พิสัยยังไม่ทันหายตกใจ ลวดที่ขึงอยู่ลอยตามป้ายมาตวัดใส่พิสัย พิสัยตกใจถึงขีดสุดที่ลวดสะบัดมาที่ลำคอของเขาแบบหมดทางที่จะหลบพ้น
พิมพ์อรยิ้มเย็นๆ ฟังพ่อปริมพูดไป
“ยังไงก็ฝากกราบคุณพ่อด้วยนะ ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง จะได้อยู่ดูความสำเร็จของลูกสาวไปนานๆ”
พิมพ์อรยิ้มแย้มก่อนจะยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
นวัชนั่งคุยกับเจติยาในรถตำรวจที่จอดอยู่ข้างกำแพงรั้วบ้านพ่อปริม
“พี่เชื่อว่าพ่อคุณปริมไม่น่าเกี่ยว เค้าไม่กล้าเอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงด้วยหรอก ลูกสาวเค้าตายทั้งคนนะเจ ใครๆก็ต้องเพ่งเล็งเค้าอยู่แล้ว เค้าไม่โง่สั่งฆ่าคุณพิสัยหรอก” นวัชว่า
“แต่เวลาคนเราโกรธแค้นจัดๆ ทำอะไรก็ไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังหรอก แล้วนี่เค้าจะให้ผู้กองเข้าพบแน่รึเปล่า” เจติยาบอก
“ก็ต้องรอแขกในบ้านกลับก่อนแหละ”
พิมพ์อรขับรถออกมาจากในบ้าน
เจติยาดีใจ “น่าจะกลับแล้วล่ะ”
เจติยาหันมองตามรถพิมพ์อรที่กำลังแล่นผ่านรถนวัช โดยไม่คาดคิดวิญญาณพิสัยก็เข้ามาขวางกระจกหน้าต่างของเจติยา เจติยาผงะไปเล็กน้อย วิญญาณของพิสัยหันมองตามรถพิมพ์อรไป
พิสัยเห็นพิมพ์อรนั่งหลังคู่กับ กสิณ ชาคร นั่งหน้ากับคนขับรถ เขาหันมองตามกสิณไปด้วยความสงสัยติดใจเหมือนจำอะไรบางอย่างได้ กสิณเองก็นั่งหน้านิ่งโดยใช้หางตามองมาที่พิสัย...
พิสัยจ้องไปที่รถเขม็งเพราะสัมผัสได้ถึงพลังของกสิณ “กูจำมึงได้แล้ว มึงนี่เองที่อยู่ตอนที่กูตาย มึงเป็นคนฆ่ากูใช่มั้ย”
วิญญาณพิสัยวิ่งกวดตามรถพิมพ์อรไป
เจติยารีบลงจากรถ “คุณจะไปไหน”
นวัชลงตามจากรถมาพร้อมๆ กับลูกน้องพ่อปริมออกมาตามนวัช
“เชิญครับผู้กอง”
เจติยาบอกนวัช “เดี๋ยวเจมานะคะผู้กอง” เจติยารีบวิ่งตามพิสัยไป
นวัชหันไปมองตามอย่างงงๆ “จะไปไหนเจ”
“เชิญครับ เดี๋ยวท่านต้องออกไปข้างนอกแล้ว”
“ครับๆ”
นวัชรีบเดินตามลูกน้องพ่อปริมไป แต่ก็หันมองตามเจติยาไปด้วยความเป็นห่วง
อ่านต่อหน้า 2
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)
พิมพ์อรที่นั่งอยู่ในรถกำลังต่อโทรศัพท์มือถืออยู่ กสิณหันมองไปด้านหลังรถก่อนจะสลายตัวไป พิมพ์อรหันมองด้วยความสงสัยเล็กน้อย
พิสัยวิ่งกวดรถพิมพ์อร ทันใดนั้นก็มีหมอกควันสีดำสนิทลอยมาขวางพิสัยไว้ ก่อนที่จะปรากฏร่างกสิณ กสิณกับพิสัยเผชิญหน้ากัน พิสัยจ้องกสิณด้วยความอาฆาตแค้นเต็มเปี่ยม ในขณะที่กสิณยืนยิ้มหวาน เหมือนคุยกับเพื่อนมากกว่าศัตรู
พิสัยแค้นสุดๆ จึงชี้หน้ากสิณ “มึงนี่เอง กูจำมึงได้แล้ว มึงฆ่ากูทำไม”
กสิณยิ้มหวาน “ฉันก็แค่ทำตามคำขอเท่านั้นเอง เมื่อเค้าอยากให้นายตาย นายก็ต้องตาย”
“ใครเป็นคนสั่งฆ่ากู”
กสิณหัวเราะเล็กน้อย “มันไม่สำคัญหรอก รู้แค่ว่าการมีชีวิตอยู่ของนาย ทำให้งานของเค้าไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ถือซะว่า นายโชคร้ายก็แล้วกันนะ”
พิสัยโมโหสุดขีด “มึง...” พิสัยพุ่งเข้าบีบคอกสิณอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่สัมผัสตัวกสิณ มือของพิสัยก็เกิดไฟลุกท่วมจนพิสัยร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
กสิณยิ้มเหยียด “แกก็แค่ผีที่หนีนรกมา ช่างไม่เจียมตัวซะบ้างเลย ในเมื่อรู้แล้วว่าฉันเป็นคนฆ่า ก็ได้เวลากลับสู่นรกซะที”
พูดจบไฟก็ลามจนลุกท่วมตัวของพิสัย กสิณขำเยาะอย่างเยือกเย็นก่อนจะเลือนหายไป เจติยาวิ่งเลี้ยวมาจากซอยก็เห็นพิสัยกำลังถูกไฟเผา
เจติยาตกใจมาก “คุณพิสัย เป็นอะไร”
พิสัยร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดขีด “เจติยา ช่วยฉันด้วย...”
พิสัยพูดไม่ทันจบ ไฟก็ลุกท่วมร่างและแผดเผาวิญญาณของพิสัยจนสลายไปจนหมด
เจติยาวิ่งมาตรงที่พิสัยยืนอยู่ “คุณพิสัย” เจติยากวาดตามองไปรอบเพื่อมองหาพิสัยแต่ก็ไม่เห็น เจติยายืนงุนงงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพิสัย
ลาภิณกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ภายในห้องพักของโรงแรมที่จีน
ลาภิณคุยมือถือด้วยท่าทีแปลกใจ “หรือว่าน้าพิสัยเค้าไปลงนรกแล้ว”
เจติยากำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านตอนหัวค่ำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แต่มันไม่เหมือนกับวิญญาณดวงอื่นที่เจเคยเจอมานะคะคุณต้น มันเหมือนกับ... เค้าถูกบังคับให้ไป ทั้งๆที่เค้ายังไม่อยากไปมากกว่า” เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย
ลาภิณเดินไปนั่งที่เตียงพร้อมกับคุยมือถือ “เค้าอาจจะรู้แล้วก็ได้มั้ง ว่าใครฆ่าเค้าตาย แต่ไม่อยากตกนรกเลยขอให้เจช่วย”
“ก็อาจจะเป็นไปได้ค่ะ”
ลาภิณยิ้มแย้มสบายใจขณะคุยมือถือ “น้าเค้าไปใช้กรรมซะได้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมารบกวนเจอีก” ลาภิณยิ้มขี้เล่น “เจ เปิดโหมดคุยแบบเห็นหน้ากันสิ คิดถึง”
เจติยายิ้มเขินๆ คุยมือถือแล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน “ไม่เอา เห็นหน้าแล้วคุยไม่ออก”
ลาภิณขำ “เบื่อหน้าผมเหรอ”
เจติยายิ้มเขินๆ ขณะคุยมือถือ “เปล่า”
ลาภิณขยับตัวนอนบนเตียง
“จะเข้านอนรึยัง” ลาภิณถาม
“ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
ลาภิณคุยมือถือ “งั้นผมรอ จะได้เข้านอนพร้อมกัน” ลาภิณทำสีหน้าทะเล้น “ถ้าอาบน้ำคนเดียวแล้วกลัวก็เปิดมือถือโหมดเห็นหน้ากันทิ้งไว้ก็ได้นะ จะได้มีผมเป็นเพื่อน” ลาภิณพูดขำๆ
เจติยาเขินจัด “ทะลึ่ง ไม่คุยด้วยแล้ว” เจติยากดตัดสายด้วยความเขินสุดๆ
ลาภิณขำๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแล้วเอื้อมมือไปปิดโคมไฟ
ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ตอนกลางวัน ลาภิณกำลังเช็คเอ๊าท์อยู่ที่เคาท์เตอร์โรงแรม ทันใดนั้นพิมพ์อรก็เดินคุยมือถือผ่านด้านหลังลาภิณไป
“ฉันลงมาที่ล็อบบี้แล้วนะ เดี๋ยววนรถมารับฉันได้เลย...”
ลาภิณที่เสร็จธุระที่เคาท์เตอร์หันกลับมาเจอกับพิมพ์อรพอดี ทั้งคู่มองหน้ากันเหมือนแปลกใจเพราะต่างก็จำหน้ากันได้
“คนไทยรึเปล่าครับ” ลาภิณถาม
“ค่ะ เหมือนเราจะเจอกันที่สนามบินเมื่อวาน”
ลาภิณยิ้มแย้ม “ครับ”
“นี่ถ้าดิฉันไม่ติดธุระ คงได้เดินทางมาไฟท์เดียวกัน”
ลาภิณยิ้มแย้มไปตามมารยาท “นั่นสิครับ”
“นี่จะกลับแล้วเหรอคะ”
“ครับ เสร็จธุระก็ต้องรีบกลับเลย งานที่กรุงเทพรอคิวอยู่”
พิมพ์อรยิ้มๆ “เหมือนกันเลยค่ะ...ขอโทษนะคะ ทำธุรกิจที่นี่เหรอคะ”
“ครับ ร่วมลงทุนน่ะครับ”
พิมพ์อรหยิบนามบัตรออกมายื่นให้ก่อนทันที “นี่นามบัตรดิฉันค่ะ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”
“ขอบคุณครับ” ลาภิณรับนามบัตรมาดู “บริษัทเอตต้า ดีเวลล็อปเม้นท์เพิ่งมาเปิดสาขาที่เมืองไทยนี่ครับ”
พิมพ์อรยิ้มแย้ม “ค่ะ”
“เพิ่งทราบนะครับว่าเจ้าของเป็นผู้หญิง”
พิมพ์อรยิ้มบางๆ “ฉันแค่ทำงานต่อจากคุณพ่อน่ะค่ะ ยังต้องถือว่าเป็นลูกจ้างค่ะ ไม่ใช่เจ้าของซะทีเดียว”
ชาครเดินหน้านิ่งเข้ามาตามด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจที่พิมพ์อรคุยสนิทสนมกับลาภิณ
“รถพร้อมแล้วครับคุณ”
พิมพ์อรรีบพูด “จะไม่ให้ดิฉันได้รู้จักคุณบ้างเหรอคะ”
ลาภิณรีบพูด “ขอโทษทีครับ” ลาภิณรีบส่งนามบัตรให้ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นมาพอดี
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ขอตัวนะครับ” ลาภิณเดินรับมือถือเลี่ยงออกไปคุยธุระกับลูกค้า “ฮัลโหล...”
ชาครเหล่มองตามลาภิณไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก
พิมพ์อรหยิบนามบัตรของลาภิณขึ้นมาดูแล้วพูดพึมพำ “ลาภิณ บูรณิณ” พิมพ์อรเอะใจกับนามสกุลเพราะเธอรู้สึกค้นๆ “บูรณิณ... “พิมพ์อรอ่านนามบัตรอย่างละเอียดอีกที แล้วเธอก็นึกไม่ถึง “บริษัทนิราลัย” พิมพ์อรสีหน้านิ่งไปอย่างใช้ความคิด
“รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวไม่ทันนัด” ช่าครเดินรายงานพาออกไปจากโรงแรม “สงสัยเราต้องเลื่อนไฟว์กลับเย็นขึ้นหน่อยนะครับ มิสเตอร์ซ่งอยากเลี้ยงน้ำชาคุณพิมพ์อรต่อ”
พิมพ์อรพยักหน้ารับทราบแต่ก็หาจังหวะแอบมองกลับไปที่ลาภิณเพราะรู้สึกถูกชะตาและปลาบปลื้มเขาอย่างบอกไม่ถูก
เจติยาและลุงทวีช่วยกันแต่งศพหนึ่งอยู่ โอ้เอ้ช่วยเปิดประตูนำพนักงานเข็นศพใหม่เข้ามา
“งานเข้าครับงานเข้า” โอ้เอ้ว่า
“ศพนี้เดี๋ยวเจทำเอง ลุงออกเวรแล้วไปพักผ่อนเถอะค่ะ หัวค่ำมีนัดไปพบเพื่อนเก่าด้วยไม่ใช่เหรอคะ” เจติยาบอก
ทวีหน้าขรึมลง ยิ่งพอนึกถึงคนที่จะไปพบก็อดกังวลใจไม่ได้ เจติยาเปิดผ้าคลุมศพออกแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อศพที่นอนอยู่คือผู้กำกับนพชัย เจ้านายของนวัชนั่นเอง
เจติยาตกใจ “ผู้กำกับ”
โอ้เอ้เหล่มองแบบหวาดๆ เพราะยังไม่หายกลัวแม้จะทำงานมานาน
ทวีเห็นเจติยาตกใจก็เอ่ยถาม “รู้จักด้วยเหรอหนูเจ”
“ค่ะ ผู้กำกับนพชัย เจ้านายของผู้กองนวัชน่ะค่ะ”
ทันใดนั้น ศพของนพชัยก็เบิกตาจ้องหน้าเจติยา
“บอกความจริง!!”
นวัชกำลังคุยกับผู้กำกับเถกิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เถกิงหน้าเครียด “ช่วงนี้ ผมคงรักษาการแทนนพชัยไปก่อน คุณมีอะไรก็รายงานผมโดยตรงได้เลยนะ”
“ครับท่าน เอ่อ ท่านครับ คดีของผู้กำกับนพชัย ขอให้ผมทำได้มั้ยครับ” นวัชขอ
“ได้สิ ผมรู้ว่าคุณกับเค้าสนิทกันมาก แล้วคุณก็เป็นมือดีของเรา ไม่ให้คุณทำแล้วจะให้ใครทำคดีนี้ล่ะ”
“ขอบคุณครับที่ท่านไว้ใจ” นวัชบอก
เถกิงตบบ่านวัช “ยังไงก็ฝากด้วยนะผู้กองนวัช นพชัยกับผมเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เรียนนายร้อย ผมไม่อยากให้เค้าต้องมาจบชีวิตโดยจับตัวฆาตกรไม่ได้”
นวัชตะเบ๊ะ “ครับท่าน” นวัชมีสายตาแข็งกร้าว “ผมจะต้องลากคอไอ้คนที่ฆ่าผู้กำกับออกมารับโทษให้ได้ครับ” นวัชมีสีหน้ามุ่งมั่นเอาจริง
กระทะบนเตากำลังผัดไก่น้ำพริกเผาอยู่ในเตา คนทำอาหารคือมยุรี ส่วนลาภิณถือจานรอรับกับข้าวอยู่ข้างๆ
“เจทำกับข้าวอะไรให้ทานมั่งมั้ยคุณต้น”
ลาภิณยิ้มๆ “คุณแม่ไม่น่าถาม”
มยุรีขำ
ลาภิณแอบเม้าธ์ภรรยา “ปิ้งขนมปังยังไหม้เลยครับ” ลาภิณร้องลั่น “โอ๊ย”
เจติยาแอบเข้ามาหยิกแขนลาภิณโดยไม่ให้เขารู้ตัว “แอบมาเม้าธ์อะไร”
“ผมเล่าความจริงให้คุณแม่ฟัง จะให้โกหกรึไง”
มยุรีขำ “ไม่ต้องทะเลาะกันจ้ะ คุณต้นส่งจานมาค่ะ เสร็จแล้ว”
ลาภิณเอาจานอาหารมารอกับข้าว
มยุรีปิดเตาพร้อมตักกับข้าวใส่จาน “วันไหนอยากทานกับข้าวอร่อยๆ ก็โทรมาบอก แม่จะได้ให้นทีขับมอเตอร์ไซค์เอาไปให้ที่บ้าน ทำงานกันเหนื่อยแล้ว จะมาเสียเวลาทำอาหารเองทำไม”
“จริงค่ะแม่” เจติยาค้อนใส่ลาภิณ
เสียงนทีดังนำมาก่อนตัว
“กลับมาแล้วครับ” นทียิ้มแย้มขณะรีบวิ่งมาที่ครัวแล้วยกมือไหว้ “หวัดดีครับพี่เขย”
ปัจจุบันนทีเรียนอยู่ปวส.แล้ว
“ไงเรา ไปซิ่งไหนมา” ลาภิณถาม
“เรียนสิครับพี่ เดี๋ยวนี้นิวนทีแล้วครับ” นทีตื่นเต้นดีใจ “ผมเจอร้านอาหารในฝันแล้วคุณต้น” นทีเปิดมือถือที่ถ่ายคลิปร้านให้ดู “เค้าเลิกกิจการ ตกแต่งเสร็จแล้ว ทำเลดีมาก ติดถนนใหญ่แต่มีที่จอดรถในซอยเพียบ”
ทุกคนมาล้อมดูคลิปที่นทีถ่ายมา
“ทำเลดีมากแล้วทำไมเจ๊งล่ะ” เจติยาถาม
“อ้าว ก็ฝีมือทำอาหารไม่อร่อยเหมือนแม่เรานี่พี่เจ” นทียิ้มประจบแม่
มยุรียิ้มๆ เธอลูบหัวนทีก่อนบอกลาภิณ “แม่ว่าอย่าเสียเงินเลยค่ะคุณต้น ขายที่ตลาดก็ดีอยู่แล้ว”
ลาภิณรีบค้าน “ไม่ได้หรอกครับ คุณแม่อายุมากแล้ว ต้องมีร้านมีลูกมือได้ซะที ผมอยากเปิดร้านให้คุณแม่จริงๆนะครับ” ลาภิณทำสีหน้าขี้เล่นเล็กๆ “อีกหน่อยมีหลาน คุณแม่จะได้มีเวลาช่วยเลี้ยงให้” ลาภิณโอบเอวเจติยา
เจติยาหมั่นไส้จึงหยิกแขนลาภิณอย่างเขินๆ
มยุรียิ้มๆ “ถ้าเพราะเหตุผลนี้ แม่ก็ตามใจคุณต้นค่ะ”
“ขอบคุณครับแม่” ลาภิณยิ้มเย้ยเจติยาเล็กน้อย
“แม่อ้ะ” เจติยาเขิน
นทีภูมิใจนำเสนอ “แม่ดูครัวซะก่อน มันใหญ่มาก” นทีเอามือถือมาโชว์ให้มยุรีดู
มยุรีดูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชอบใจ
เจติยาซึ้งใจลาภิณจึงแอบพูดกันให้ได้ยินสองคน “ขอบคุณมากนะคะ”
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนจะหอมหัวเจติยาเบาๆ แล้วโอบเอวเจติยาดูคลิปร้านใหม่ด้วยกัน
ชาครช่วยถือของต่างๆ ของพิมพ์อรเดินนำเข้าโถงบ้านมาเพิ่งกลับมาจากเซี่ยงไฮ้ ทวีนั่งอยู่ที่โซฟารับแขก
พิมพ์อรถามชาคร “ใคร”
“คุณทวี เพื่อนเก่าที่คุณท่านอยากเจอไงครับ”
พิมพ์อรเดินเข้าไปหาทวี
พิมพ์อรไหว้ตามมารยาท “สวัสดีค่ะคุณทวี”
ทวีรับไหว้แล้วยิ้มแย้ม “หนูพิมพ์อรใช่มั้ย”
พิมพ์อรปั้นยิ้ม “ค่ะ”
“ลุงเคยเห็นหนูตั้งแต่เด็กๆ โตเป็นสาวแล้วสวยเชียว นี่จำลุงได้มั้ยเนี่ย”
“จำไม่ได้หรอกค่ะ ตามสบายนะคะ เดี๋ยวคุณพ่อคงลงมาค่ะ” พิมพ์อรยิ้มมารยาทแล้วเดินเลี่ยงไป
ทวีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเพราะรู้สึกได้ว่าพิมพ์อรก็ไว้ตัวอยู่เหมือนกัน
พิมพ์อรหน้าเครียด “ผู้ชายคนนั้น เป็นอดีตเจ้าของกล่องรากบุญจริงๆ เหรอ ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีสง่าราศีอะไรเลย”
พิมพ์อรเข้ามาคุยอยู่กับกสิณในห้องนอนกสิณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“กล่องรากบุญ ไม่ได้ตัดสินเลือกเจ้าของจากชาติตระกูลเหมือนมนุษย์ซะหน่อย แต่ตัดสินจากแรงปรารถนาตะหาก และในตอนนั้น ทวีก็มีแรงปรารถนามากพอที่จะให้กล่องยอมรับ” กสิณยิ้มขำๆ “แต่เสียดาย ที่เค้าขี้ขลาดเกินไป ขอพรได้ข้อเดียวก็รีบยกกล่องให้คนอื่นไปซะแล้ว”
“แล้วตอนนี้กล่องอยู่ที่ใคร” พิมพ์อรถาม
กสิณมีสีหน้าลังเล “ฉันไม่แน่ใจ อำนาจของฉันไปไม่ถึงตรงนั้น”
“งั้นที่คุณพ่ออยากพบนายทวี ก็คงไม่ใช่เพราะแค่เป็นเพื่อนเก่าเท่านั้น แต่คงเพราะอยากรู้ว่ากล่องรากบุญอยู่ที่ไหน”
“ใช่ จริงๆ พ่อเธอเค้าไม่อยากให้เธอยุ่งเกี่ยวกับฉันหรือกล่องรากบุญเลย นี่ถ้าเค้าไม่ได้ป่วยหนักจวนตาย จนต้องพึ่ง อำนาจของกล่อง เค้าคงไม่กลับมาเหยียบเมืองไทยหรอก”
พิมพ์อรทำสีหน้าอยากรู้ “แต่ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้กล่องอยู่กับใคร”
กสิณยิ้มบางๆ ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างออกไป “จับมือฉันไว้สิพิมพ์อร แล้วเธอจะได้ยินได้เห็น เหมือนอยู่ข้างๆพ่อเธอเลย”
พิมพ์อรยื่นมือทั้งสองข้างไปจับมือกสิณไว้
วนันต์กำลังคุยกับทวีพร้อมกับจิบชาสมุนไพรอยู่ที่ห้องรับแขกเล็กของเขา
วนันต์ยิ้มแย้ม “ไม่เจอกันเป็นสิบๆปี นายยังแข็งแรงเหมือนเดิมเลยนะทวี ฉันเองซะอีก แค่หายใจยังลำบากเลย”
ทวียิ้มแย้ม “ตอนที่คนของคุณติดต่อมา ผมยังตกใจอยู่เลยครับ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณอีก นึกถึงสมัยก่อนนะครับ คุณไปเยี่ยมคุณสารัชเป็นประจำ”
วนันต์หัวเราะเล็กน้อย “ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่าฉันไปยืมเงินสารัชมากกว่า” วนันต์ถอนใจ “ฉันมันเป็นคนไม่เอาถ่าน ทำอะไรก็เจ๊ง ต้องรบกวนสารัชอยู่ตลอด” วนันต์หน้าเศร้าลง “ทั้งๆที่ฉันมีเพื่อนดีขนาดนี้...ฉันก็ยังหักหลังเค้าได้ลงคอ”
สีหน้าวนันต์เศร้าหมองเพราะรู้สึกผิดสุดๆ เมื่อคิดถึงอดีตของตัวเอง
เหตุการณ์ในอดีตเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
สารัชพูดอย่างเคร่งเครียด “แกก็รู้ ว่าตอนนี้ฉันกำลังขยายงาน จะหาเงินมากขนาดนั้นมาให้แกยืมได้ยังไงวะ”
วนันต์ร้อนใจสุดๆ “ฉันรู้ แต่ฉันเดือดร้อนจริงๆ แกช่วยฉันซักครั้งไม่ได้เหรอวะ ฉันสัญญา ว่าหมุนเงินได้เมื่อไหร่ จะรีบเอามาใช้คืนแกทันที ช่วยฉันอีกครั้งเถอะวะ” วนันต์มีสีหน้าขอร้อง
สารัชถอนใจหนักๆ “ตอนนี้ฉันไม่มีจริงๆ แกรอหน่อยได้มั้ย”
วนันต์ร้อนใจสุดๆ “ถ้าแค่หนี้ธนาคารอย่างเดียว ก็พอได้ล่ะวะ แต่นี่ฉันไปกู้เงินนอกระบบมาด้วย พวกมันคงไม่ยอมหรอก” วนันต์นึกขึ้นได้ “เออ นิราลัยไง เครดิตของนิราลัยดีจะตาย แค่มีตราประทับกับลายเซ็นของแก ก็มีคนให้ยืมเงินแล้ว”
“ถึงนิราลัยจะเป็นบริษัทของตระกูลฉัน แต่ก็ยังมีผู้ถือหุ้นคนอื่นอยู่อีก ฉันทำอะไรตามอำเภอใจอย่างนั้นไม่ได้หรอก”
วนันต์หัวเสียสุดๆ เขาร้อนใจจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
วนันต์แอบเข้ามาในห้องทำงานสารัชตอนกลางคืน เขาค้นหาตราประทับของนิราลัยโดยกะเอาไปทำเอกสารเท็จเพื่อกู้เงิน วนันต์ค้นไปทั่วห้องแต่ก็ไม่เจอ เขาเลยไปค้นที่ชั้นหนังสือพบว่าหลังตั้งหนังสือที่วางเป็นฉากบังหน้าไว้มีกล่องรากบุญซ่อนอยู่
วนันต์สงสัยว่าต้องมีอะไรสำคัญซ่อนอยู่ในกล่องจึงพยายามจะเปิดฝากล่อง แต่เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ได้ วนันต์หงุดหงิดเพราะคิดว่ากล่องล็อคไว้เลยพลิกกล่องดูทั่วๆ เผื่อจะหาทางงัดแงะได้
ทันใดนั้น วนันต์ก็เหลือบเห็นเหรียญอันหนึ่งติดอยู่ด้านใต้กล่อง เขาลองดึงเหรียญออกมา เหรียญก็ถูกดึงออกมาอย่างง่ายดาย วนันต์ลองดูเหรียญก็เห็นเป็นเหรียญที่มีลายปีศาจพ่นไฟอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมีลายเป็นรูปเหรียญสามเหรียญ พร้อมกับมีเส้นโยงไปที่กล่องใบหนึ่ง
ขณะที่วนันต์กำลังแปลกใจก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น แต่ประตูล็อคไว้จากด้านในเลยเปิดไม่ได้ วนันต์ตกใจ จึงรีบเก็บเหรียญใส่กระเป๋าเสื้อแล้วเอากล่องรากบุญเก็บเข้าที่เดิม ก่อนจะเอาหนังสือวางบังไว้เหมือนเดิม ทันใดนั้น สารัชก็ไขกุญแจเปิดประตูห้องเข้ามา
วนันต์ตกใจมากจนหน้าซีดเผือด ทำอะไรไม่ถูก
สารัชตกใจ “แกเข้ามาห้องทำงานฉันทำไม”
วนันต์ไม่รู้จะตอบยังไงเลยผลักสารัชออก แล้ววิ่งหนีออกจากห้องไปทันที
สารัชฉุกคิดรีบตรงเข้าไปหากล่องรากบุญ แล้วเขาก็โล่งอกที่กล่องยังอยู่
วนันต์รีบวิ่งหนีกลับมาที่รถ โดยไม่ทันคาดคิด เหรียญจากกล่องรากบุญก็ลอยออกมาจากกระเป๋าเสื้อวนันต์
วนันต์ตกใจจึงถอยห่างแล้วจ้องมองไปที่เหรียญ เขาเห็นเหรียญลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะเปล่งแสงออกมา ทันใดนั้นเหรียญก็แยกออกเป็นสามเหรียญที่ดูเหมือนกันทุกอย่างทันที
เหรียญสองเหรียญเปล่งแสงสว่างก่อนจะหายวับไป เหลือเพียงเหรียญเดียว วนันต์ตกใจกลัวรีบหนีเข้ารถแล้วปิดประตูล็อค เหรียญนั้นทะลุกระจกหน้าต่างรถเข้ามา
วนันต์ผงะจะถอยหนี “ไปให้พ้น ฉันกลัวแล้ว ฉันไม่เอาแล้ว”
เหรียญนั้นค่อยๆ ลอยไปตกใส่กระเป๋าเสื้อของวนันต์เหมือนเดิม วนันต์งงมาก
วนันต์และทวีกำลังคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทวีได้แต่ถอนใจยาวออกมาเมื่อรู้ความจริงทั้งหมด
วนันต์รู้สึกผิดสุดๆ “หลังจากนั้น ฉันก็หอบลูกหนีไปสิงคโปร์ ก่อนจะไปเริ่มต้นใหม่ จนประสบความสำเร็จร่ำรวยมหาศาล แต่ฉันก็ยังอดละอายใจต่อสารัชไม่ได้ แม้แต่ตอนที่รู้ข่าวว่าเค้าเสีย ฉันก็ยังไม่กล้าบากหน้ามาขออโหสิกับเค้าเลย”
“คุณสารัชไม่ได้ถือโทษโกรธคุณหรอกครับ คุณอย่ากังวลไปเลย”
วนันต์มองหน้าทวีนิ่ง “ดูนายไม่แปลกใจเรื่องเหรียญ แปลว่าสารัชเล่าให้นายฟังแล้วใช่มั้ย”
“ครับ ผมจำเหรียญอันนั้นได้ แต่ผมกับคุณสารัชดึงมันไม่ออก แต่แปลก ที่คุณดึงมันออกมาได้ง่ายๆ” ทวีชักสังหรณ์ไม่ดี “เหมือนเหรียญมันจงใจเลือกคุณ” ทวีมองหน้าวนันต์
วนันต์จ้องทวี “ตอนที่สารัชป่วยเป็นมะเร็ง นายเป็นคนให้กล่องรากบุญกับเค้าทำให้เค้าหายจากโรคมะเร็งใช่มั้ย”
ทวีตกใจมาก “คุณรู้ได้ยังไง คุณสารัชไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังแน่ๆ เพราะเค้ากลัวว่าจะมีคนเอากล่องรากบุญไปใช้ในทางที่ผิด แม้แต่คุณชูจิตก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย” ทวีฉุกคิดขึ้น “หรือว่าเหรียญอันนั้น เหรียญอันนั้นมีอะไรบางอย่างใช่มั้ยครับ” ทวีมองหน้าวนันต์ด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
วนันต์ไม่ตอบแต่เอื้อมไปแตะแขนทวีก่อนจะอ้อนวอน “ช่วยฉันด้วยนะทวี ฉันกำลังป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการมันหนักขึ้นทุกที ตอนนี้ มีแต่กล่องรากบุญเท่านั้น ที่จะช่วยรักษาโรคของฉันได้ นายบอกฉันที ว่ากล่องรากบุญอยู่ที่ไหน”
ทวีหน้าขรึมลงเพราะสงสารวนันต์ “ตอนนี้ ไม่มีกล่องอีกแล้วล่ะครับ เจ้าของกล่องคนสุดท้าย ได้ทำลายมันไปแล้ว”
วนันต์ตกใจสุดๆ เพราะไม่คิดว่าความหวังสุดท้ายของเขาจะดับวูบไปแล้ว
พิมพ์อร และกสิณตกใจสุดๆที่รู้ว่ากล่องถูกทำลาย มือที่จับกันอยู่ของทั้งสองหลุดออกจากกัน
กสิณตกใจสุดๆ เพราะนึกไม่ถึง “กล่องรากบุญถูกทำลาย เป็นไปได้ยังไง”
พิมพ์อรเจ็บใจสุดๆ “บ้าแท้ๆเลย กล่องวิเศษขนาดนั้น ทำลายมันไปได้ยังไง” พิมพ์อรเป็นห่วงพ่อมาก “ไม่มีกล่องรากบุญแล้ว โรคของคุณพ่อก็ไม่มีทางหายแล้วใช่มั้ยกสิณ”
กสิณหน้านิ่งเพราะใช้ความคิด “ก็ไม่แน่หรอก ยังมีอีกวิธี”
“วิธีไหน”
กสิณพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ “เมื่อกล่องเก่าถูกทำลายไป เราก็สร้างกล่องรากบุญใบใหม่ขึ้นมาแทนสิ”
พิมพ์อรตื่นเต้นและดีใจมาก “ทำได้จริงๆ เหรอ”
กสิณมีแววตาแข็งกร้าวแล้วยิ้มเยือกเย็นดูน่ากลัว
อ่านต่อหน้า 3
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)
เจติยา และทวี กำลังช่วยกันตกแต่งศพในตอนเช้าวันใหม่ เธอพูดไปทำงานไปด้วยสีหน้ากังวล
“แล้วลุงว่าเหรียญที่ติดอยู่กับกล่องรากบุญ จะมีอำนาจอะไรรึเปล่าคะ”
ทวีหยุดทำงานแล้วคิดก่อนตอบ “ถ้าฟังจากที่คุณวนันต์เล่า ลุงว่าน่าจะมีนะ แต่ลุงก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอำนาจแบบไหน แล้วมีมากแค่ไหนเท่านั้นเอง”
เจติยาคิดตาม “แต่เจว่าอำนาจของเหรียญก็คงไม่มากนักหรอกค่ะ ไม่ยังงั้นเพื่อนเก่าของลุงคงไม่ป่วยเรื้อรังแบบนี้หรอก ป่านนี้คงขอพรให้หายจากโรคเหมือนที่เจเคยขอให้แม่ไปแล้ว”
ทวีพยักหน้ารับ “ก็จริง งั้นเราก็ต้องดูๆ ไปก่อน คุณวนันต์เอง ถึงจะเคยเลือกทางผิด แต่เค้าก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร คงไม่เอาพลังจากเหรียญไปใช้ในทางที่ผิดๆ หรอก”
“ถ้าลุงมั่นใจอย่างนั้น เจก็เชื่อค่ะ” เจติยาหน้าขรึมลง “ก็หวังว่า คนที่ได้ครอบครองเหรียญทุกคน จะเป็นอย่างคุณวนันต์นะคะ อย่าเจอคนอย่างคุณพิสัยเลย” พูดจบเจติยาก็ถอนใจออกมา
พิมพ์อรจับมือวนันต์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นด้วยความสงสารและรักพ่อสุดๆ
“คุณพ่อไม่ต้องกลัวนะคะ ถึงกล่องรากบุญจะถูกทำลายไปแล้ว” พิมพ์อรจับมือวนันต์มาแนบแก้ม “อรก็ไม่ยอมให้คุณพ่อเป็นอะไรไปเด็ดขาด” พิมพ์อรมีสีหน้าแววตาจริงจัง “ไม่ว่าอรจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม อรก็จะทำ”
วนันต์ลูบหัวลูกสาวด้วยความรัก “อย่าพูดแบบนี้เลยลูก ความตาย ไม่มีใครห้ามได้หรอก” วนันต์หน้าเศร้าลง “เราเองก็พยายามเต็มที่แล้ว แต่อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด” วนันต์มีสีหน้าเครียด “ตอนนี้ พ่อก็ห่วงอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นเอง” วนันต์ถอนใจออกมา
พิมพ์อรกุมมือพ่อแน่น แล้วก็จ้องตาด้วยสีหน้าแววตาอยากช่วยสุดหัวใจ “เรื่องอะไรคะ คุณพ่อบอกมาเลย อรจะทำเพื่อคุณพ่อทุกอย่าง”
“พ่อห่วงอยุทธ์ ไม่รู้ป่านนี้น้องจะเป็นยังไงบ้าง”
พิมพ์อรอึ้งไป มือที่จับมือวนันต์แน่นค่อยคลายออกจนปล่อยแต่ก็ยังฝืนปั้นหน้ายิ้ม “คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ อรจะให้ชาครจ้างนักสืบตามหาอยุทธ์ให้เจอ อรจะต้องตามตัวน้องกลับมาหาคุณพ่อให้ได้”
วนันต์ยิ้มดีใจ “ขอบใจมากลูกที่ไม่ถือโทษโกรธน้องแล้ว” วนันต์หน้าเศร้าลง “ก่อนตาย ถ้าเรา 3 คนพ่อลูกได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง พ่อก็คงนอนตายตาหลับ”
พิมพ์อรแอบขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ ตั้งแต่เล็กจนโตก็อิจฉาน้องมาตลอด เพราะไม่ต้องการให้น้องหรือใครมาแย่งความรักของพ่อไปจากตน
พิมพ์อรหงุดหงิด “จนป่านนี้แล้ว คุณพ่อก็ยังไม่เลิกคิดถึงอยุทธ์ ทั้งๆที่ฉันทำเพื่อคุณพ่อทุกอย่าง แต่อยุทธ์ไม่เคยทำอะไรเพื่อใครเลย นอกจากตัวเอง”
พิมพ์อรมาระบายความอัดอั้นกับกสิณด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่ห้องนอนกสิน
กสิณยิ้มบางๆ แล้วก็แกล้งยุแยง “ก็เค้าเป็นผู้ชาย พ่อเธอ ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาวอยู่แล้วนี่”
พิมพ์อรโมโห “แล้วไม่ใช่ลูกสาวอย่างฉันเหรอะ ที่ทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะบริหารงานบริษัท ดูแลพ่อ ทำแม้กระทั่ง...” พิมพ์อรขบกรามแน่น ไม่อยากพูดอดีตอันเจ็บปวดของตน “ช่างเถอะ ถึงไงฉันก็ไม่มีวันให้อายุทธ์ได้เจอกับคุณพ่ออีกเด็ดขาด เมื่อเค้าทิ้งคุณพ่อไปแล้ว เค้าก็ไม่มีสิทธิกลับมาหาคุณพ่ออีก” พิมพ์อรมีสีหน้าแววตาอิจฉา
กสิณชำเลืองมองพิมพ์อรด้วยสีหน้าแววตาพึงพอใจ
“แล้วเรื่องเหรียญที่เหลืออีกสองอันล่ะ เธอรู้รึยังว่าอยู่ที่ไหน”
“ฉันไม่รู้ มันเกินอำนาจของฉัน” กสิณว่า
พิมพ์อรหงุดหงิด “ถ้าไม่รู้แล้วฉันจะไปตามหาที่ไหนได้ล่ะ”
“ใจเย็นๆ สิพิมพ์อร”
“ถ้าได้เหรียญมาครบทั้งสามอัน เราจะสร้างกล่องรากบุญใบใหม่ได้แน่นะ”
พูดจบ เหรียญสีดำที่พิมพ์อรพกติดตัวอยู่ก็ลอยออกมาอยู่กลางอากาศพร้อมกับเปล่งแสงเรืองรองออกมา
“เธอรู้มั้ย ว่า “เหรียญ” ถือกำเนิดขึ้นมาจากอะไร”
พิมพ์อรส่ายหน้าแล้วมองกสิณด้วยสีหน้าอยากรู้
กสิณยิ้มบางๆ “มันเป็นสิ่งที่เกิดจากแรงกิเลสของกล่องรากบุญ”
กล่องรากบุญลอยอยู่กลางอากาศดูลึกลับน่ากลัว เหรียญค่อยปรากฏขึ้นที่ด้านล่างของกล่อง เหรียญหลุดออกมาก่อนจะแตกเป็นสามเหรียญ เหรียญทั้งสามอันค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทก่อนจะมารวมตัวเป็นกล่องรากบุญอันใหม่
กสิณอธิบาย “เมื่อกล่องรากบุญสะสมพลังกิเลสมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็ต้องการเป็นอิสระจากผู้สร้างและเจ้าของกล่อง มันจึงสร้างเหรียญนี้ขึ้นมาก่อนที่เหรียญจะแยกตัวออกเป็น 3 อันเพื่อให้สะสมพลังกิเลสได้เร็วขึ้น
และเมื่อใดที่เหรียญกลับมารวมกันอีกครั้ง ก็จะถือกำเนิดเป็นกล่องรากบุญใบใหม่ ที่ผู้สร้างหรือเจ้าของกล่องเดิมก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือมันได้อีก”
เหรียญสามเหรียญมีลูกศรโยงไปที่กล่องใบหนึ่ง พิมพ์อรกำลังยืนดูเหรียญในมือของตนอยู่ โดยมีกสิณอยู่ใกล้ๆ
“งั้นลายที่อยู่บนเหรียญ ก็คือวัตถุประสงค์ที่เหรียญถือกำเนิดขึ้นมาใช่มั้ย” พิมพ์อรถาม
กสิณยิ้มบางๆ “ใช่ เพราะฉะนั้น ยังไงเหรียญทั้งสามอันก็ต้องมารวมตัวกัน แต่จะมาเมื่อไหร่ และตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ฉันไม่รู้จริงๆ” กสิณมองหน้าพิมพ์อร “เว้นแต่มันจะกลายเป็นกล่องรากบุญแล้วเท่านั้น ฉันถึงจะมีอำนาจเพิ่มขึ้นจนบันดาลทุกอย่างที่เธอต้องการได้” กสิณยิ้มอย่างคาดหวัง
พิมพ์อรครุ่นคิด “เหรียญมีสามอัน แล้วเจ้าของเหรียญที่เหลือ เค้าจะยอมยกเหรียญของเค้าให้เราง่ายๆเหรอ”
“ไม่มีทาง นอกจากจะใช้กำลัง”
พิมพ์อรยิ้มเหี้ยม “ถ้ากล่องนั่นช่วยคุณพ่อได้จริง ฉันยอมทำได้ทุกอย่าง อย่าว่าแต่ใช้กำลังเลย จะต้องฆ่าคนซักกี่คน ฉันก็จะทำได้” พิมพ์อรมีแววตาอำมหิต
กสิณเหล่มองพิมพ์อรแล้วแสยะยิ้มพอใจ ที่คนอย่างพิมพ์อรเหมาะสมกับการสะสมพลังกิเลสให้เธอจริงๆ
ตำรวจกำลังตรวจหาหลักฐานการตายในบ้านนพชัย ในขณะที่นวัชกำลังคุยมือถือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นวัชคุยมือถือเครียดๆ “พี่มาเก็บหลักฐานเป็นรอบที่สามแล้วนะเจ แต่ยังไม่เจออะไรที่จะโยงไปถึงตัวคนร้ายได้เลย เจช่วยพี่หน่อยสิ”
เจติยากำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ทางเดินในนิราลัย
“ขนาดพี่ยังทำไม่ได้ แล้วเจจะทำได้เหรอคะ”
นวัชคุยมือถือด้วยสีหน้าขอร้อง “แต่เจก็ช่วยพี่ไขคดีสำเร็จมาตั้งหลายครั้ง ช่วยพี่อีกซักครั้งเถอะนะเจ ผู้กำกับเค้าดีกับพี่มาก พี่ไม่อยากให้เค้าตายโดยจับมือใครดมไม่ได้แบบนี้”
เจติยาถอนใจแล้วถามกลับไป “แล้วทางนิติเวช เจอร่องรอยอะไรจากศพบ้างคะ”
นวัชคุยมือถือ “ก็เจอชิ้นเนื้อในซอกฟันของผู้กำกับ คิดว่าผู้กำกับน่าจะกัดคนร้ายขณะสู้กัน ชิ้นเนื้อก็เลยติดอยู่ในซอกฟัน แต่ถ้าหาตัวคนทำออกมาพิสูจน์ดีเอ็นเอไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“แล้วหลักฐานอย่างอื่นล่ะคะ”
นวัชถอนหายใจหนักๆ “ไม่มีเลย ไม่ว่าจะรอยนิ้วมือ หรือพยานที่เห็นบุคคลน่าสงสัย เจอก็แค่ร่องรอยงัดแงะเข้ามาเท่านั้นเอง ถ้าจะให้พี่สันนิษฐานก็น่าจะประมาณว่า...”
ภาพในความคิดของนวัช นพชัยกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดหัวหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ทันใดนั้น คนร้ายก็เข้ามารัดคอจากทางด้านหลัง นพชัยพยายามดิ้นสู้แต่ก็สู้ไม่ไหวเลยใช้ปากกัดมือคนร้ายที่ล็อกคอตนอยู่ แต่คนร้ายก็ฝืนลากนพชัยกลับเข้าไปในห้องน้ำ
เวลาผ่านไปครู่เดียว ตานพชัยเริ่มเหลือกค้าง มือไม้ของเขาเริ่มอ่อน ก่อนจะเสียชีวิต
นวัชอธิบาย “โจรมันลอบเข้ามาตอนผู้กำกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จพอดี ก็เลยฉวยโอกาสทำร้ายผู้กำกับ พอผู้กำกับตาย ก็เลยกวาดทรัพย์สินหนีไป แต่มันก็ยังมีจุดน่าสงสัยอยู่หลายอย่าง พี่ก็เลยไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์”
เจติยากำลังกดน้ำดื่มไปขณะคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“น่าสงสัยตรงไหนเหรอคะ เจว่าก็สมเหตุสมผลดี”
นวัชคุยมือถือหน้าเครียด “ผู้กำกับเป็นคนมีฝีมือ ถ้าไม่ใช่คนที่รับการฝึกมาเหมือนกัน ไม่มีทางที่จะเล่นงานผู้กำกับด้วยมือเปล่าได้หรอก” นวัชมีสีหน้าติดใจสงสัย “แล้วยังมีเรื่องภรรยาผู้กำกับอีก จนป่านนี้พี่ยังไม่ได้คุยด้วยเลย โทรไปทีไร เค้าก็บ่ายเบี่ยงตลอด เจว่าแปลกมั้ยล่ะ”
เจติยาฉุกคิด “จริงด้วย ศพผู้กำกับก็ยังไม่มีคนมารับไปทำพิธีเลย เจว่า..”
เจติยาจะยกกรวยกระดาษใส่น้ำขึ้นดื่ม ทันใดนั้นก็มีเลือดหยดลงมาในถ้วยกระดาษ เจติยาตกใจจึงโยนถ้วยกระดาษทิ้ง เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองบนเพดานตามสัญชาติญาณแต่ก็ไม่มีอะไร เจติยาก้มหน้าลงมาหันมองด้านข้างผวาเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีใคร
นวัชสงสัยที่เจติยาเงียบไป “มีอะไรรึเปล่าเจ ทำไมเงียบไปล่ะ”
เจติยารีบตั้งสติ “ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะคะ” เจติยากดตัดสาย
เจติยากวาดตามองไปรอบๆ เพราะรู้สึกได้ว่านพชัยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เจติยากวาดตามองหาไปมา
แต่ก็ไม่เจอ เจติยาถอนใจออกมาเดินไปเก็บถ้วยกระดาษ ขณะย่อตัวลงเก็บก็ต้องสะดุ้งสุดตัวผงะหงายไปนั่ง
ก้นจ้ำเบ้าเพราะวิญญาณนพชัยนั่งย่อเข่าจ้องหน้ารออยู่แล้ว
เจติยาลุกขึ้นพร้อมต่อว่า “มาดีๆไม่ได้รึไงคะผู้กำกับ ถึงฉันจะเจอผีบ่อย แต่มันก็ไม่มีทางชินไปได้หรอกนะคะ”
“ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกใจ” นพชัยหน้าเศร้า “ผมไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อไปจริงๆ”
“งั้นผู้กำกับก็บอกมาสิคะว่าใครเป็นคนฆ่าท่าน ผู้กำกับจะได้หมดห่วง แล้วไปอยู่ในภพภูมิใหม่ซะที”
นพชัยส่ายหน้า “ผมไม่รู้ มันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมจำอะไรไม่ได้เลย”
“ค่อยๆนึกก็ได้ค่ะ ถ้ายังนึกหน้าคนฆ่าไม่ออก ก็ลองนึกดู ว่ามีอะไรที่จะช่วยในการสืบหาตัวฆาตกรได้บ้าง”
นพชัยคิดอยู่ครู่นึง โดยสายตาก็เหลือบไปเห็นกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ตรงมุมกำแพงด้านบน
นพชัยนึกขึ้นได้ก็ดีใจ “ผมซ่อนกล้องขนาดเล็กไว้ในบ้าน บางที มันอาจจะจับภาพหน้าคนร้ายเอาไว้ก็ได้”
เจติยาค่อยยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง
เจติยากำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถือ โดยมีวิญญาณนพชัยเดินตามติดมาด้วย
เจติยาคุยมือถือ “เจอกล้องแล้วเหรอคะ เจอที่ไหนคะพ่” เจติยาฟังปลายสาย “ในตุ๊กตาประดับบ้าน”
นพชัยยิ้มพอใจ
เจติยาคุยมือถือ “ไม่น่าล่ะตอนแรกถึงหาไม่เจอ” เจติยาฟัง “ค่ะ ได้ค่ะพี่ สวัสดีค่ะ”
เจติยากดวางสาย ทันใดนั้นเองเธอก็เหลือบเห็นชาย หญิงวัยประมาณสี่สิบกว่าๆ คู่นึง แต่งตัวดีบ่งบอกฐานะนั่งรออยู่ที่หน้าห้องแต่งศพ นพชัยมีสีหน้าโกรธจัดขึ้นมาทันที
เจติยาเดินเข้าไปทักทาย “มารับศพเหรอคะ”
“ค่ะ ฉันมารับศพผู้กำกับนพชัย แล้วก็อยากจะให้ทางนิราลัยจัดงานศพให้เลย ที่นี่มีห้องจัดงานศพด้วยใช่มั้ยคะ”
ทันใดนั้น วิญญาณของนพชัยก็โผล่มาที่ด้านหลังของทั้งคู่พร้อมกับมองไปที่สามีใหม่ ด้วยสายตาเกลียดชัง ก่อนจะหันไปพูดกับเจติยา
“ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาผมเอง”
เจติยามองนพชัยแบบหวาดๆ เพราะกลัวจะก่อเรื่องหลอกหลอนคนอื่น “เอ่อ คุณเป็นภรรยาของผู้กำกับใช่มั้ยคะ”
ภรรยานพชัยทำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ “ค่ะ”
“แล้วทำไมเพิ่งมารับศพตอนนี้ล่ะคะ” เจติยาถาม
ภรรยานพชัยไม่พอใจ “ก็ฉันเพิ่งว่างตอนนี้ คุณจะถามทำไม”
สามีใหม่เริ่มไม่พอใจ “ซักไซ้อยู่นั่นล่ะ คุณเต็มใจจะจัดงานศพให้เรารึเปล่า ถ้าไม่ เราจะได้ย้ายไปจัดที่วัด”
นพชัยตะคอกลั่น “อย่ามายุ่งกับศพกู”
นพชัยผลักสามีใหม่แต่กลับทะลุร่างของสามีใหม่แล้วหายวูบไป
เพราะไม่มีใครได้ยินหรือสัมผัสวิญญาณของนพชัยได้ นอกจากเจติยา นพชัยปรากฏตัวข้างเจติยาอย่างรวดเร็วก่อนจะกระซิบบางอย่างข้างหู
เจติยานิ่งฟังไปอึดใจ เธอมองภรรยานพชัย “ขอโทษนะคะ คุณยังไม่ได้หย่ากับผู้กำกับนพชัยใช่มั้ยคะ”
ภรรยานพชัยตกใจสุดๆ “ใครบอกเธอ”
สามีใหม่หน้าเสียเพราะอับอายมาก เขารีบดึงแขนภรรยา “ไปกันเถอะคุณ ผมบอกแล้วว่าอย่ามาที่นี่ มีแต่คนสอดรู้สอดเห็น”
นพชัยสั่งเจติยาเสียงดัง “อย่าให้มันไป”
เจติยารีบเข้าไปดึงแขนภรรยานพชัยอีกข้าง “เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับพวกคุณ”
“ปล่อยนะ เราไม่มีอะไรต้องคุยกับเธอ” สามีใหม่จะใช้มืออีกข้างผลักเจติยาออก
เจติยาปัดมือที่จะผลักเธอออก แต่ดันไปโดนแผลที่ข้อมือเขาพอดี
สามีใหม่เจ็บแผล “โอ้ย”
เจติยาเห็นสามีใหม่ของภรรยานพชัยเจ็บข้อมือก็ฉุกคิดถึงคำพูดของนวัชขึ้น
“คิดว่าผู้กำกับน่าจะกัดคนร้ายขณะสู้กัน ชิ้นเนื้อก็เลยติดอยู่ในซอกฟัน”
แขนเสื้อยืดของสามีใหม่เลิกเปิดออกทำให้เห็นมีผ้าปิดแผลปิดไว้ที่ข้อมือ เจติยาจับตามองที่แผลอย่างเก็บข้อมูล
ข้อมือของสามีใหม่ของภรรยานพชัยถูกพันผ้าเอาไว้ โดยที่นวัชกำลังสอบปากคำภรรยานพชัย กับสามีใหม่อยู่ มีตำรวจคอยบันทึกการให้ปากคำด้วย
สามีใหม่ร้อนใจสุดๆ “ฟังกันบ้างสิคุณตำรวจ ผมไม่ได้ฆ่าใครตายจริงๆ อย่ามาหาแพะหน่อยเลย”
“ยังจะปากแข็งอีกเหรอคุณ คุณสองคนสวมเขาให้ผู้กำกับ พอถูกจับได้ก็เลย” นวัชว่า
ภรรยานพชัยโมโหจึงพูดสวนไปทันที “ฉันไม่ได้สวมเขาให้เค้านะ ฉันกับเค้าแยกกันอยู่มาหกเจ็ดปีแล้ว เค้าตะหากที่กลั่นแกล้งไม่ยอมหย่าให้ฉัน แล้วฉันก็มีคนใหม่หลังจากที่แยกกับเค้าเป็นปีแบบนี้จะมาเรียกว่าฉันนอกใจได้ยังไง”
สามีใหม่ระเบิดอารมณ์ออกมา “คุณรู้มั้ย ว่าเราสองคนกดดันขนาดไหนที่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เลิกกันแล้วแต่ก็ไม่ยอมหย่าให้จนผมไม่รู้จะบอกญาติพี่น้องยังไงแล้ว ไหนจะเรื่องหน้าที่การงานผมอีก สะเทือนกันไปหมด”
“คุณก็เลยเลือกที่จะจบปัญหาด้วยการฆ่าผู้กำกับ” นวัชว่า
สามีใหม่ตะโกนลั่น “เอ๊ะคุณนี่ จะเอายังไงกับผม ผมบอกว่า ไม่ได้ฆ่าๆ จะให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้”
ภรรยานพชัยมีสีหน้าใช้ความคิด “เค้าอาจจะตาย เพราะคดีที่เค้ากำลังสืบอยู่ก็ได้ ทำไมคุณไม่คิดมุมอื่นบ้าง”
นวัชเอะใจ “ช่วงนี้ผู้กำกับไม่ได้สืบคดีอะไรอยู่นี่ครับ ถ้ามีผมก็ต้องรู้”
“มันเป็นความลับ คุณอาจไม่รู้ แต่ฉันรู้ เค้าบอกฉัน ว่ามันเป็นคดีทุจริตมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่พัวพันด้วย”
นวัชนิ่งฟังอย่างเก็บข้อมูล
ภรรยานพชัยพูดต่อ “ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้เรื่องเค้าหรอกนะ แต่เค้าโทรมาเล่าให้ฉันฟังเอง ก่อนที่จะเกิดเรื่องไม่กี่วันนี่แหละ”
นวัชคิดอยู่ครู่นึง “เอาเถอะ คุณอยากอ้างอะไรก็อ้างไป ตอนนี้ผมได้กล้องที่ผู้กำกับซ่อนเอาไว้แล้ว กำลังส่งไปให้พิสูจน์ หลักฐานเค้าเปิดอยู่ เดี๋ยวเราก็คงรู้ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในวันเกิดเหตุบ้าง”
สามีใหม่หน้านิ่งไปอย่างเก็บอาการ
นวัชหันไปมองหน้าสามีใหม่ “รวมทั้งผลตรวจดีเอ็นเอของคุณด้วย ถ้าชิ้นเนื้อในฟันของผู้กำกับดีเอ็นเอตรงกับคุณ ก็คงไม่มีอะไรต้องโต้เถียงกันอีก”
ภรรยานพชัยชำเลืองมองหน้าสามีใหม่ที่ฝืนยิ้มให้บางๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เชิญ” นวัชบอก
ตำรวจคนหนึ่งถือแฟ้มเอกสารเข้ามาให้นวัช
“แฟ้มคดีประทัดยักษ์ได้แล้วครับผู้กอง”
นวัชแปลกใจ “อ้าวจ่า กลับมาแล้วเหรอ แล้วภาพจากกล้องบ้านผู้กำกับล่ะ”
ตำรวจงง “ผู้กำกับเถกิงโทรมา บอกว่าจะรับไปจัดการเอง” ตำรวจสงสัย “นี่ผู้กองยังไม่ได้ดูอีกเหรอครับ”
นวัชตกใจมากที่เถกิงลงมาล้วงลูกโดยไม่บอกตน ทั้งยังใกล้เคียงกับที่ภรรยานพชัยบอกว่ามีตำรวจใหญ่อยู่เบื้องหลังคดีทุจริตที่ผู้กำกับตามสืบเชิงลับอยู่
เถกิงกำลังจะขับรถเข้าบ้านตอนหัวค่ำ นวัชที่จอดรถรออยู่หน้าบ้านรีบลงจากรถไปขวางหน้ารถเถกิงไว้ทันที
เถกิงเปิดประตูลงจากรถ “อ้าว ผู้กอง มีอะไรเหรอ”
นวัชตะเบ๊ะ “ขอโทษครับท่าน ผมทราบว่าท่านได้ภาพจากกล้องของผู้กำกับนพชัยแล้ว ก็เลยอยากจะมาขอดูน่ะครับ”
“ใจร้อนจริงนะผู้กอง ผมเห็นค่ำแล้วก็เลยกะจะเอาไปให้ดูพรุ่งนี้ แต่ถ้าคุณจะเอาตอนนี้ก็ได้”
เถกิงเปิดประตูรถแล้วกลับเข้าไปหยิบของ นวัชเอื้อมมือไปจับปืนที่เอวของตนแน่นเพราะไม่ไว้ใจกลัวว่าเถกิงจะตุกติก เถถิงเปิดคอนโซลรถออกจนเห็นปืนพกในคอนโซลกับไอแพดวางอยู่คู่กัน เถกิงลังเลอยู่นิดนึง ก่อนจะหยิบไอแพดไปให้นวัช
“ผมให้เค้าแปลงไฟล์ให้แล้ว คุณเปิดดูได้เลย”
นวัชเอื้อมไปรับไอแพดมาอย่างระมัดระวัง
“นพชัยเค้าเป็นคนรอบคอบมากนะ อุตส่าห์ซ่อนกล้องขนาดเล็กเอาไว้ในบ้าน เหมือนกับจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง” เถกิงบอก
นวัชเปิดไฟล์ภาพออกดูเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุด้วยความสนใจอยากรู้สุดๆ
ภาพจากไอแพด เป็นภาพเหตุการณ์นพชัยกับสามีใหม่กำลังทะเลาะกันในโถงบ้านของนพชัย สามีใหม่โมโหจึงผลักนพชัยไปชนกับชั้นวางของจนตุ๊กตาที่ซ่อนกล้องเอาไว้ข้างในหล่นลงพื้นทำให้ไม่เห็นภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้น
ภาพในไอแพดต่อเนื่องแต่ไม่เห็นเหตุการณ์ที่ต่อจากเหตุการณ์ดังกล่าว ภรรยานพชัยกำลังดูภาพในไอแพดด้วยสีหน้าซีดเผือดเพราะตกใจสุดๆ นวัชยืนอยู่ใกล้ๆ และตำรวจควบคุมตัวสามีใหม่อยู่
สามีใหม่ร้อนใจสุดๆ “ผมไม่ได้ฆ่าเค้านะ คุณต้องเชื่อผม ผมไม่ได้ฆ่าเค้าจริงๆ”
ภรรยานพชัยผิดหวังเสียใจสุดๆ “แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกฉัน ว่าคุณไปหาเค้าวันนั้นด้วย”
“ผมก็แค่ไปขอร้องให้เค้าหย่ากับคุณ แต่เค้าไม่ยอม เราก็เลยทะเลาะกัน คุณก็รู้ ว่าผมถูกตราหน้าว่าเป็นชู้มาหลายปี จนทนไม่ไหวแล้ว พอเถียงกันหนักๆเข้า ผมก็ฟิวส์ขาดจนทำร้ายเค้า แต่ไม่ได้มากมายอะไรเลย เค้าซะอีกที่เป็นฝ่ายเล่นงานผมหนักกว่า” สามีใหม่ชูแผลที่ข้อมือให้ดู “แผลที่ข้อมือผม ก็ฝีมือเค้านั่นแหละ”
“ยังจะแก้ตัวอีกนะคุณ ระหว่างรอผลดีเอ็นเอ คุณก็เข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องขังก่อนแล้วกัน”
ตำรวจช่วยกันคุมตัวสามีใหม่เข้าห้องขัง
สามีใหม่กลัวมากจึงรีบบอกภรรยา “ผมไม่ได้ทำจริงๆ คุณต้องหาทางช่วยผมนะ”
ภรรยานพชัยร้องไห้โฮเพราะไม่คิดว่าปัญหาของตนจะทำให้สามีเก่ากับสามีใหม่ต้องฆ่ากันตายแบบนี้ นวัชมองภรรยานพชัยก่อนจะถอนใจออกมาด้วยความเศร้าใจ
ตกกลางดึก เจติยากำลังคุยมือถือ โดยมีลาภิณกำลังนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ
“ปิดคดีได้ก็ดีแล้วล่ะค่ะ” เจติยาฟังอีกฝ่าย “ไม่ต้องขอบใจหรอกค่ะพี่ เจก็ช่วยเท่าที่ทำได้เท่านั้นเอง” เจติยาฟัง “ค่ะ สวัสดีค่ะ”
เจติยากดวางสาย
“หาตัวฆาตกรฆ่าผู้กำกับได้แล้วเหรอเจ” ลาภิณถาม
“ค่ะ วิญญาณของผู้กำกับจะได้หลุดพ้นไปซะที”
ลาภิณยิ้มแย้มแล้วปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจติยา
ลาภิณยิ้มกรุ้มกริ่ม “เราเสร็จงานประจำกันแล้ว” ลาภิณเข้าไปกอดเจติยา “ถึงเวลาให้รางวัลกับตัวเองมั่ง”
เจติยายิ้มเขิน ลาภิณหอมแก้มภรรยาเบาๆ แล้วตั้งท่าจะอุ้มแต่โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมของลาภิณดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
เจติยายิ้มๆ “คราวนี้ไม่เกี่ยวกับเจนะคะ”
ลาภิณเซ็งสุดๆ ก่อนจะขโมยหอมแก้มเจติยาหนึ่งฟอด “เดี๋ยวมานะ”
เจติยาเดินไปขึ้นเตียงนอนรอสามี ลาภิณเดินไปกดรับโทรศัพท์
ลาภิณคุยมือถือ “ว่าไง” ลาภิณฟังอีกฝ่าย “อืม แล้วทางนั้นว่าไงบ้าง” ลาภิณฟัง
เจติยาเห็นสามีคุยโทรศัพท์อยู่ก็เลยนอนเล่นไปก่อน
ลาภิณยังคงคุยโทรศัพท์ “ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันโทรไปคุยกับเค้าเอง” ลาภิณฟัง “ไม่เป็นไร ไม่กวนหรอก แต่วางเร็วหน่อยก็ดี” ลาภิณขำๆ “ขอบใจมาก”
ลาภิณกดปิดมือถืออย่างอารมณ์ดีก่อนจะรีบเดินไปปิดไฟห้องแล้วย่องขึ้นเตียงไปกอดเจติยา
ลาภิณยิ้มกรุ้มกริ่ม “ปิดมือถือไปแล้ว คราวนี้ ไม่มีใครกวนเราแน่นอน”
เจติยานอนนิ่งไม่ตอบคำ ลาภิณเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าเจติยาหลับสนิทไปแล้วจากที่นอนเล่นๆแต่ด้วยความอ่อนเพลียเธอก็เลยหลับไปอย่างง่ายดาย
ลาภิณเสียดาย “อ้าว เจ”
เจติยาสะดุ้งตื่น “อุ๊ย โทษทีค่ะ” เจติยายิ้มแหยๆ “วูบไปตั้งแค่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
ลาภิณยิ้มเอ็นดู “ไม่เป็นไรครับ เจเหนื่อยก็นอนพักเถอะ”
เจติยาทำหน้าแหยๆ เกรงๆ “ไม่โกรธนะ”
ลาภิณยิ้มขี้เล่น “ไม่หรอกครับ ให้นอนหลับเอาแรงก่อน หายเพลียแล้วค่อยสะกิดผมก็ได้”
เจติยาเขินจึงหยิกลาภิณ “บ้าคุณต้น”
ลาภิณขำๆ “กู๊ดไนท์ครับ” พลางหอมแก้มแล้วนอนกอดเจติยาหลับตาพริ้ม
เจติยาหลับตายิ้มอยู่ในอ้อมกอดของลาภิณ
อ่านต่อหน้า 4
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ พนักงานบริษัทพูดคุยกันยิ้มแย้มแจ่มใส โอ้เอ้กำลังคุยกับพนักงานสาวๆ อย่างสนิทสนม ชาครเดินเข็นรถพาวนันต์เข้ามาในนิราลัย โดยมีพิมพ์อรเดินประกบข้างๆ มาด้วย
พิมพ์อรเป็นคนสวยมาก แต่งตัวก็สวยโดดเด่นจึงตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนทันที โอ้เอ้หันไปมองตามพิมพ์อรด้วยความตะลึงในความสวยสง่าทันที
วนันต์มองไปรอบๆ อย่างอารมณ์ดี “ที่นี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ เมื่อก่อนดูอึมครึม เดี๋ยวนี้ยังกะโรงแรมชั้นหนึ่ง”
พิมพ์อรยิ้มแย้มชื่นชม “เค้าก็คงต้องปรับลุคให้ดูทันสมัยแล้วก็ไม่น่ากลัวนั่นล่ะค่ะพ่อ ไม่อย่างงั้น ใครจะมาใช้บริการล่ะคะ”
โอ้เอ้รีบเดินเข้ามาหาวนันต์
โอ้เอ้ยกมือไหว้อย่างสำรวม “สวัสดีครับ ขอประทานโทษนะครับ มีอะไรให้รับใช้รึเปล่าครับ”
“คุณลาภิณมาทำงานรึยังครับ” ชาครถาม
“มาแล้วครับ” โอ้เอ้ตอบ
“รบกวนไปบอกคุณลาภิณ ว่าคุณวันนต์กับคุณพิมพ์อร ไกรวิน มาขอพบ”
“ได้ครับ” โอ้เอ้แอบมองพิมพ์อรเล็กน้อยก่อนเดินเลี่ยงไป
พิมพ์อรมองไปรอบๆด้วยความชื่นชม เห็นความรุ่งเรืองของนิราลัยแล้วก็รู้ได้ถึงความสามารถของลาภิณ เธอก็ยิ่งชื่นชอบเขาเข้าไปใหญ่
ลาภิณคุยกับพิมพ์อรและวนันต์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยมีชาครอยู่ใกล้ๆ
ลาภิณยิ้มแย้ม “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าคุณพ่อของคุณพิมพ์อรจะเป็นเพื่อนสนิทกับคุณพ่อผม บังเอิญจริงๆ เลย”
พิมพ์อรยิ้มแย้ม “ฉันเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันค่ะ พอดีเอานามบัตรของคุณให้คุณพ่อดู คุณพ่อก็เลยอยากเจอคุณขึ้นมา”
วนันต์ยิ้มบางๆ “ต้นเจอกับพี่อรครั้งแรก”
พิมพ์อรชะงักไปเล็กน้อยที่ถูกพ่อเรียกคำนำหน้าว่า “พี่”
“จำไม่ได้เลยเหรอ” วนันต์ถาม
ลาภิณยิ้มแย้ม “จำไม่ได้เลยครับ”
พิมพ์อรยิ้มๆ “ก็เราแทบจะไม่ได้เคยเจอกันเลยนี่คะพ่อ ตอนนั้นก็เด็กมากด้วย”
วนันต์พยักหน้ารับก่อนจะมีสีหน้าเห็นใจ “ลุงเสียใจเรื่องคุณแม่ด้วยนะต้น”
“ขอบคุณครับ”
วนันต์หันไปเรียก “ชาคร” วนันต์พยักหน้าสั่งอย่างรู้กัน
ชาครหยิบเช็คออกมายื่นให้ลาภิณ
ลาภิณรับเช็คมา พอดูตัวเลขในเช็คก็ตกใจ “นี่มันอะไรกันครับคุณลุง”
“สมัยก่อน พ่อของต้นช่วยเหลือลุงไว้มาก ลุงไม่มีโอกาสได้ตอบแทนเลย ตอนนี้เวลาของลุงก็เหลือไม่มากแล้ว ลุงก็เลย อยากจะใช้หนี้ให้หมด จะได้ไม่เป็นเวรกรรมผูกพันกันไป”
“ไม่ต้องหรอกครับคุณลุง แค่คุณลุงยังนึกถึงคุณพ่อ ผมก็ดีใจมากแล้วล่ะครับ”
“รับไปเถอะต้น ถือซะว่า ช่วยให้ลุงหมดห่วงไปอีกเรื่องเถอะนะ”
พิมพ์อรยิ้มแย้ม “รับไปเถอะค่ะคุณต้นเพื่อความสบายใจของคุณพ่อท่านตั้งใจมากนะคะ”
ลาภิณคิดอยู่ครู่นึง “ถ้าอย่างงั้น ผมขอเอาเงินจำนวนนี้ ไปทำบุญให้ศพไร้ญาติ ที่อยู่ในความดูแลของนิราลัย ก็แล้วกันนะครับ”
วนันต์ยิ้มสบายใจ “ก็ตามใจต้นสิ ลุงให้ต้นแล้ว ต้นอยากเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ต้น”
ชาครมีสีหน้าเหมือนเสียดายเงินมาก “ขอโทษนะครับ คุณลาภิณจะทำบุญกับศพไร้ญาติหมดนี่เลยเหรอครับ”
ลาภิณยิ้มแย้ม “ครับ นิราลัยเรามีโครงการช่วยเหลือศพไร้ญาติอยู่แล้ว เมื่อก่อนเรารับผิดชอบเองทั้งหมด แต่ตอนนี้เราเปิดให้ผู้สนใจบริจาคเงินได้ด้วย” ลาภิณยิ้มให้วนันต์ “ผมจะถือว่าคุณลุงร่วมสมทบทุนบริจาคกับโครงการก็แล้วกันนะครับ”
วนันต์ยิ้มและพยักหน้ารับเพราะไม่อยากขัดใจ
พิมพ์อรยิ้มบางๆ ยิ่งลาภิณเป็นคนดี เธอก็ยิ่งชอบ “ดีจังเลยนะคะ ร่ำรวยแล้วยังคิดเผื่อแผ่ถึงสังคมด้วย น่าชื่นชมมากนะคะ” พิมพ์อรส่งสายตาปลาบปลื้มชื่นชมอย่างออกนอกหน้าให้ลาภิณ
ชาครเหล่พิมพ์อร พอเห็นสายตาที่พิมพ์อรมองลาภิณ เขาก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที
ลาภิณยิ้มรับ “ขอบคุณครับ” ลาภิณหันไปพูดกับวนันต์ “คุณลุงไม่ได้มานิราลัยนานแล้ว ให้ผมพาชมให้ทั่วๆ ดีมั้ยครับ”
วนันต์ยิ้มแย้ม “ดีเลยต้น โดยเฉพาะห้องทำงานของทวี ลุงอยากรู้ ว่ามันจะสยดสยองน้อยลงกว่าเดิมรึเปล่า” วนันต์ขำๆ
ลาภิณยิ้มแย้มแล้วก็เข้าไปช่วยเข็นรถให้วนันต์ พิมพ์อรมองตามด้วยความชื่นชมยิ่งเห็นลาภิณดีกับพ่อตน เธอก็ยิ่งชอบลาภิณมากขึ้นทุกที พิมพ์อรเดินตามออกไปช่วยลาภิณเข็นรถเข็นพ่อคู่กันอีกแรง
ชาครแอบถอนใจอย่างเบื่อๆ เซ็งๆ แล้วรีบเดินไปช่วยเปิดประตูห้องให้ตามหน้าที่
โอ้เอ้กำลังคุยฟุ้งให้เจติยากับทวีฟัง เขาพูดอย่างเป็นปลื้มพิมพ์อรสุดๆ
“สวยยังกะดาราเลยพี่เจ เอางี้นะ พี่เคยดูละครป่ะ ตอนพระเอกเห็นนางเอกปรากฏตัวแว่บแรกนะ สโลว์ๆหน่อยนะ ยังไงยั้งงั้นเลยพี่” โอ้เอ้ขำชอบใจ “นางฟ้าของโอ้เอ้”
“คงคิดว่าเอ็งเป็นพระเอกสิไอ้โอ้เอ้” ทวีว่า
“ไม่ใช่ผมแล้วจะใครล่ะลุง คุณต้นมีภรรเมียแล้ว ส่วนลุงก็แก่เกิ๊น” โอ้เอ้ว่า
ทวีหมั่นไส้เลยเขกมะเหงกใส่โอ้เอ้เข้าไปหนึ่งที
โอ้เอ้เจ็บหัว “โอ๊ยลุง เขกหัวพระเอกได้ไง”
“ถ้าไม่รีบไปทำงาน เดี๋ยวพระเอกจะหัวแตก ไปทำงานเลยไป”
โอ้เอ้เซ็งๆ “โห ไปก็ได้” โอ้เอ้เดินออกไป
พอโอ้เอ้เดินจากไป ทวีก็หันมาคุยกับเจติยา
ทวีหน้าขรึมลง “น่าจะเป็นคุณพิมพ์อรลูกสาวคุณวนันต์นั่นแหละคงพาคุณวนันต์มาเยี่ยมคุณต้น หนูเจไปเจอซะหน่อยสิ เผื่อจะได้คุยกันเรื่องเหรียญด้วย บอกตรงๆนะ ลุงไม่ค่อยสบายใจเรื่องนี้เลย หวั่นใจยังไงบอกไม่ถูก” ทวีถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ
เจติยามีสีหน้าใช้ความคิดเพราะแอบกังวลเรื่องเหรียญอยู่เหมือนกัน
ลาภิณและพิมพ์อรช่วยกันเข็นรถให้วนันต์พาชมสถานที่ โดยมีชาครเดินตามหลังหน้าบึ้งตึง
วนันต์ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี “นึกถึงสมัยก่อน ใครได้ยินชื่อบริษัทนิราลัยก็กลัวกันเป็นแถว ลูกค้าส่วนใหญ่ก็แค่มาซื้อโลงกับให้ฉีดฟอร์มาลีนเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้กลายเป็นบริษัทใหญ่โต ทำธุรกิจข้ามชาติไปซะแล้ว”
ลาภิณยิ้มแย้ม “ก็เพิ่งเริ่มต้นน่ะครับ พอดีตลาดที่ไปเปิดไม่ค่อยมีคู่แข่ง ก็เลยโชคดีไป”
พิมพ์อรยิ้มแย้ม “อย่าถ่อมตัวเลยค่ะ เพราะฝีมือของคุณต้นมากกว่าถึงธุรกิจจะไม่มีคู่แข่ง แต่ถ้าคุณบริหารไม่ดี ก็พังได้เหมือนกัน”
“ขอบคุณครับ” ลาภิณหันมายิ้มให้พิมพ์อร
ชาครมองลาภิณหน้านิ่งด้วยแววตาแข็งกร้าว อารมณ์ของเขาแสดงออกทางสายตาชัดเจนว่าหึงหวง ขณะนั้นเอง เจติยา และทวีก็เดินเข้ามาหาวนันต์
วนันต์ยิ้มดีใจ “อ้าว ทวี ว่ากำลังจะไปหาอยู่พอดีเชียว อยากรู้ว่าห้องทำงานนาย ยังหลอนเหมือนเดิมรึเปล่า”
ทวียิ้มแย้ม “ดีขึ้นเยอะแล้วครับ ตั้งแต่ตกแต่งใหม่ ผมยังเอาข้าวเข้าไปกินบ่อยๆเลย
ลาภิณยิ้มแย้ม “เจมาก็ดีแล้ว ผมจะได้แนะนำพร้อมกันเลย นี่คุณลุงวนันต์เพื่อนสนิทของคุณพ่อผมเอง”
เจติยาไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สวัสดีค่ะ”
วนันต์รับไหว้พร้อมกับยิ้มรับ “สวัสดีจ้ะ”
“ส่วนนี่คุณพิมพ์อร ลูกสาวของคุณลุงวนันต์ แล้วนี่คุณชาคร เลขาฯของคุณพิมพ์อรจ้ะ”
เจติยาไหว้ทั้งคู่ “สวัสดีค่ะ สวัสดีค่ะ”
ชาครรับไหว้ แต่พิมพ์อรก็ยิ้มตามมารยาทแสดงการไว้ตัวอย่างเห็นได้ชัด เพราะคิดว่าเจติยาคงเป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง
“ส่วนนี่เจติยา เป็นเจ้าหน้าที่แต่งศพ ผู้ถือหุ้น แล้วก็...” ลาภิณเข้าไปโอบบ่าเจติยาแล้วยิ้มแย้ม “ภรรยาของผมเองครับ”
พิมพ์อรหน้าเสียไปทันทีเหมือนช็อคเพราะไม่คิดว่าลาภิณจะแต่งงานแล้ว ส่วนชาครดีใจที่ลาภิณแต่งงาน เพราะเห็นสายตาพิมพ์อรแล้วชักจะไม่ไว้ใจ “ไม่ทราบมาก่อนเลยนะครับ ว่าคุณลาภิณแต่งงานแล้ว” ชาครว่า
ลาภิณยิ้มแย้ม “งานแต่งผมจัดกันเองเล็กๆ มีแต่ญาติแล้วก็เพื่อนสนิทเท่านั้นน่ะครับ ไม่ค่อยได้เป็นข่าวครึกโครมอะไร”
พิมพ์อรปรับสีหน้าเป็นปั้นยิ้ม “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าคุณเป็นภรรยาคุณลาภิณแล้ว ยังทำงานแต่งศพด้วย”
เจติยายิ้มแย้ม “เจชอบงานนี้น่ะค่ะ ทำมาก่อนแต่งงานตั้งหลายปีแล้วด้วย ก็เลยไม่อยากเลิก”
พิมพ์อรขำๆ “แต่ถึงยังงั้น ก็ต้องถือว่าแปลกอยู่ดี แค่ทำงานกับศพก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แต่นี่เป็นถึงภรรยาของผู้บริหารแล้วยัง ทำงานแบบนั้นอยู่อีก นับถือใจคุณจริงๆเลยนะคะ” พิมพ์อรยื่นมือให้จับเช็คแฮนด์พร้อมทั้งปั้นยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
เจติยายิ้มรับก่อนจะยื่นมือไปจับ “เช่นกันค่ะ”
ทั้งคู่เช็คแฮนด์กัน
ทันใดนั้นเจติยาก็มีนิมิตเห็นภาพพิมพ์อรใช้มีดแทงเข้าที่ท้องของเจติยา โดยภาพนั้นพิมพ์อรกับเจติยา แต่งตัวแบบลูกผู้ดีในสมัยรัชกาลที่ 7 เจติยาทั้งตกใจ ทั้งเจ็บปวดสุดๆ เพราะไม่คิดว่าพิมพ์อรจะทำได้
ทันใดนั้น เจติยาก็ปวดท้องขึ้นมาทันที โดยปวดตรงบริเวณที่พิมพ์อรแทงตามภาพในนิมิตนั่นเอง
เจติยาปวดสุดๆ จึงกุมท้องตัวงอ “โอ้ย”
ลาภิณตกใจมาก “เจ เป็นอะไร”
ทุกคนตกใจไปหมดเพราะจู่ๆเจติยาก็ปวดท้องอย่างหนัก โดยไม่มีวี่แววมาก่อน
เจติยาทรุดลงไปจนลาภิณต้องรีบเข้าไปประคอง
เจติยาปวดสุดๆ “โอ้ย เจ...”
เจติยามองไปที่พิมพ์อรซึ่งกำลังตกใจก่อนที่เจติยาจะปวดท้องจนหมดสติไป
ลาภิณตกใจสุดๆ เพราะเป็นห่วงเจติยามาก “เจ” ลาภิณรีบช้อนตัวเจติยาอุ้มไปห้องพยาบาล ทวีตามไปติดๆ
พิมพ์อรจิกตามองตามด้วยสีหน้าหมั่นไส้
พิมพ์อรกำลังเดินมาด้วยความโกรธ เธอพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ไม่ให้อาละวาดออกมา ทันใดนั้นก็มีควันดำพวยพุ่งออกมาจากพื้นแล้วลอยตามหลังพิมพ์อรไปก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นกสิณ
กสิณยิ้มบางๆ “อย่าหงุดหงิดไปเลยพิมพ์อร รู้มั้ย ว่าการมาที่นี่วันนี้ มีประโยชน์มากเลยนะ”
พิมพ์อรโมโห “มีประโยชน์ที่รู้ว่าเค้าแต่งงานกับผู้หญิงพรรค์นั้นน่ะเหรอ” พิมพ์อรเกลียดเจติยามาก “สำออย ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ลงไปดีดดิ้น ไม่เข้าใจจริงๆว่าคุณต้นไปแต่งงานกับแม่นี่ได้ยังไง”
“เรื่องนั้นพักไว้ก่อนเถอะ แต่ประโยชน์ที่ฉันว่า ก็คือฉันรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของกล่องรากบุญคนสุดท้าย” กสิณว่า
พิมพ์อรสนใจขึ้นมาทันที “ใคร”
“เจติยา” กสิณพูด
พิมพ์อรไม่อยากเชื่อจึงพูดดูถูก “ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอะ เป็นเจ้าของกล่องรากบุญคนสุดท้าย”
“ใช่ เป็นเพราะเมื่อครู่เธอจับมือกับเจติยา ฉันเลยรู้ความจริงข้อนี้” กสิณยิ้มพอใจ “แล้วมันก็จะทำให้เรา รวบรวมเหรียญได้ง่ายขึ้น”
“เกี่ยวอะไรกับแม่นั่นด้วย” พิมพ์อรมีสีหน้าเขม่นหมั่นไส้เจติยา
“เหรียญ มีหน้าที่รวบรวมพลังกิเลสเพื่อสร้างกล่องรากบุญใบใหม่ แต่ในเมื่อกล่องเก่าถูกทำลายไปแล้ว เหรียญทั้งสามก็ จะถูกดึงดูดเข้าใกล้เจ้าของคนสุดท้ายไปโดยปริยาย”
พิมพ์อรรับฟังอย่างคิดตามเพื่อเก็บข้อมูล
“เราแค่จับตาดูเจติยาเอาไว้ ก็จะเจอเหรียญที่เหลือเอง ไม่ต้องไปเสียเวลาควานหาให้เหนื่อยแรง”
พิมพ์อรยิ้มร้าย “งั้นก็ถือว่ามันยังโชคดีอยู่ ตอนแรก ฉันกะจะสั่งสอนแม่นี่ซะหน่อย”
ยังพูดไม่จบประโยคก็ได้ยินเสียงชาครดังขึ้น
“คุณอรครับ”
พิมพ์อรหันกลับไปตามเสียงก็เห็นชาครยืนมองอย่างงงๆ
ชาครเห็นพิมพ์อรยืนอยู่คนเดียวก็แปลกใจ “คุณอรคุยกับใครอยู่เหรอครับ”
พิมพ์อรมีหน้าตาไม่พอใจจึงตวาดใส่ “ฉันไม่ใช่คนบ้านะจะได้พูดคนเดียว” พิมพ์อรตัดบท “มีอะไร”
ชาครหน้าเสีย “คุณท่านจะกลับแล้ว เลยให้มาตามครับ”
พิมพ์อรหน้าบึ้งตึงแล้วก็สะบัดหน้าพรืดเดินนำกลับไป ชาครงงๆ เขากวาดตามองหาอีกทีก็ไม่เห็นใคร ทันทีที่ชาครเดินเลี้ยวตามพิมพ์อรกลับไปก็เห็นกสิณยืนแสยะยิ้มร้ายอยู่ตนเดียวด้านหลัง
เจติยาที่นอนอยู่ที่โซฟาเบดในห้องทำงานของเธอ เจติยาค่อยๆฟื้นคืนสติขึ้นมา โดยมีลาภิณคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ลาภิณเอายาดมให้ภรรยาดม
ลาภิณดีใจมาก “เป็นยังไงบ้างเจ” ลาภิณประคองเจติยาให้ลุกขึ้นนั่ง
เจติยามองลาภิณ แล้วมองไปรอบๆ เพื่อพยายามตั้งสติ “ไปไหนกันหมดแล้วคะ”
“กลับกันไปหมดแล้วล่ะ” ลาภิณจับมือเจติยา “เจเป็นอะไร”
เจติยางงๆ “เจจำได้ว่าปวดท้องมาก แล้วก็วูบไปเลยค่ะ”
ลาภิณเป็นห่วงมาก “แล้วตอนนี้ยังปวดท้องอยู่รึเปล่า”
“ไม่แล้วค่ะ ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรเลย” เจติยาจำภาพนิมิตไม่ค่อยได้ เพราะเกิดขึ้นเร็วมาก “แต่เหมือนก่อนที่เจจะวูบไป เจเห็นอะไรบางอย่าง” เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย “แต่นึกไม่ออก ว่ามันคืออะไร”
“นึกไม่ออกก็อย่าเพิ่งไปนึกมันเลย เดี๋ยวคุณไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อนละกัน ผมโทรเรียกรถพยาบาลไว้แล้ว”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เจไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“ไปหน่อยเถอะ ให้หมอเค้าตรวจให้ละเอียดดีกว่า อยู่ๆคุณเป็นแบบนี้ ผมไม่สบายใจเลยนะ” ลาภิณมีสีหน้าเป็นห่วง
เจติยายิ้มบางๆ “เจไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆค่ะ เชื่อเจสิคะ เจรู้ตัวดี”
ลาภิณฉุกคิด “หรือว่าจะท้อง” ลาภิณดีใจ
“ไม่เร็วขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ว่าได้เหรอะ สามีคุณแข็งแรงซิกแพ็คซะขนาดนี้”
เจติยาเขินจึงทุบไปหนึ่งที “เดี๋ยวพนักงานก็ได้ยินหรอกคุณ”
ลาภิณขำๆ
ขณะนั้นเอง เจติยาก็เหลือบไปเห็นกระดุมเม็ดนึงหล่นอยู่บนพื้น เจติยาแปลกใจจึงเอื้อมไปหยิบกระดุมบนพื้นขึ้นมา
“กระดุมเสื้อคุณหลุดเหรอคะ” เจติยาถาม
ลาภิณไม่เห็นกระดุมในมือเจติยาเลย
ลาภิณงง “กระดุมอะไร ผมไม่เห็นมีอะไรเลย”
“ก็กระดุมนี่...”
เจติยามองกระดุมในมือ แต่ปรากฏว่ากระดุมหายไปกลายเป็นดวงตาคนบนมือของเธอแทน เจติยาตกใจจึงรีบสะบัดมือพัลวัน เจติยาตกใจจนผงะออกมาแล้วก็เห็นนพชัยยืนจ้องหน้าเธออยู่
“กระดุมเสื้อตัวที่ผมใส่วันตาย หามันให้เจอ มันเป็นกล้องลับ”
เจติยาอึ้งไปจากที่คิดว่าคดีจบไปแล้ว แต่กลับมีหลักฐานใหม่โผล่ขึ้นมาอีก
เถกิงกดรีโมทเปิดประตูรั้ว แล้วเดินไปขึ้นรถของตนเพื่อจะออกจากบ้าน ทันใดนั้น ก็มีรถตำรวจขับมาขวางประตูรั้วไว้ไม่ให้ออก
เถกิงลงจากรถด้วยความโมโห “อะไรกันวะ”
พูดจบ รถตำรวจอีกหลายคันก็ขับตามเข้ามาก่อนที่นวัช เจติยา และตำรวจกลุ่มใหญ่จะลงจากรถ
เถกิงไม่พอใจ “ผู้กองอีกแล้วเหรอะ มีอะไรอีกล่ะ”
“ขอโทษครับท่าน ผมคงต้องขอเชิญตัวท่านไปที่โรงพัก”
“ไปทำไม ฉันมีนัด ไม่ว่าง”
“ตอนนี้ท่านตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าผู้กำกับนพชัยครับ”
เถกิงตกใจสุดๆ ก่อนจะแกล้งโมโหกลบเกลื่อน “จะบ้าเหรอ ผมเนี่ยนะจะไปฆ่านพชัย ก็ไหนคุณบอกว่าจับตัวคนร้ายได้แล้วไงล่ะ”
“เราจับคนผิดไปค่ะ เป็นเพราะภาพในกล้องของผู้กำกับนพชัย ทำให้เราเข้าใจผิด แต่ตอนนี้ เราได้ภาพจากกล้องอีกตัวแล้ว คราวนี้” เจติยายิ้มเล็กน้อยเพราะมั่นใจว่าจับไม่ผิดตัวแน่นอน
เถกิงจ้องเจติยาหน้าตาเขม่นๆ “เธอเป็นใคร”
“เจติยาเป็นผู้ช่วยผมเองครับ” นวัชบอก “ท่านคงไม่ทราบ ว่าเธอช่วยผมไขคดีมาหลายครั้งแล้ว ผมเลยขอผู้กำกับนพชัย ให้เธอเป็นผู้ช่วยพิเศษของเรา” นวัชหยิบถุงพลาสติกใส่กล้องกระดุมออกมา “นี่คือกล้องอีกตัวที่เธอพูดถึงครับ”
“กระดุมเม็ดเดียวเนี่ยนะ” เถกิงถาม
“นี่คือกล้องกระดุมครับ เป็นกล้องขนาดเล็กพิเศษ ผู้กำกับนพชัยตามสืบคดีทุจริตอยู่เลยใช้กล้องพิเศษอันนี้เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต”
เถกิงหน้าซีดเผือดแต่พยายามเก็บอาการ
“แล้ววันที่ผู้กำกับตายเค้าก็ใส่เสื้อตัวที่ติดกล้องไปสืบคดีด้วย”
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในกล้องที่ซ่อนในกระดุม นพชัยเหวี่ยงสามีใหม่ล้มลงจนแขนไปกระแทกกับขอบโต๊ะจนบวมช้ำและมีเลือดไหลซิบๆ สามีใหม่กลัวเลยรีบหนีออกไป นพชัยหงุดหงิดแล้วก็จะเดินมาเก็บข้าวของที่ล้มระเนระนาดจากการต่อสู้ด้วย ขณะที่นพชัยกำลังเก็บของ เถกิงก็เข้ามาทางด้านหลังอย่างเงียบกริบแล้วล็อกคอนพชัยทันที
นพชัยพยายามดิ้นสู้ แต่เถกิงล็อคแน่นแบบคนที่เรียนวิชาการต่อสู้มา นพชัยเลยดิ้นไม่หลุด นพชัยเข้าตาจนเลยกัดข้อมือเถกิงจนเลือดไหล เถกิงเจ็บมากแต่ก็กัดฟันรัดคอนพชัยจนขาดใจตายในที่สุด
เจติยาอธิบาย “คุณคงหลบเข้ามาซ่อนตัวในบ้าน รอผู้กำกับนพชัยอยู่ก่อนแล้ว น่าจะเห็นตอนที่เค้ามีเรื่องกันด้วยซ้ำ ก็เลยเข้าทางคุณเพราะจะได้มีแพะรับบาป แต่คุณก็พลาดที่ถูกผู้กำกับกัดจนมีเศษเนื้อติดในซอกฟัน ถ้าเราเปิดแขนเสื้อคุณตอนนี้ ก็น่าจะเห็นรอยแผล”
เถกิงลากศพนพชัยมาที่ห้องน้ำแล้วถอดเสื้อนพชัยออก กระดุมเสื้อของนพชัยที่ซ่อนกล้องอยู่ทำให้เห็นภาพทั้งหมด นวัชอธิบายต่อ
“จากนั้นท่านก็ลากศพผู้กำกับไปที่ห้องน้ำ เพื่ออำพรางว่าถูกโจรปล้นบ้านฆ่าตายขณะอาบน้ำ ท่านจะได้ใช้น้ำลบรอยนิ้วมือด้วย แต่ท่านก็พลาดครั้งที่สอง เพราะท่านไม่รู้ว่ามี กล้องกระดุมติดไว้ที่เสื้อของผู้กำกับ และกล้องก็บันทึกภาพท่านไว้ได้ทั้งหมด”
เถกิงหน้าซีดเผือด หลังจากนวัชและเจติยาเฉลยทุกอย่างราวกับเห็นกับตา ในขณะที่นวัชและตำรวจทุกคนคุมเชิงอย่างหนาแน่น
“คงไม่มีข้อสงสัยอะไรแล้วใช่มั้ยครับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญที่โรงพักด้วยครับ เพราะนอกจากข้อหาฆ่าคนตายแล้ว เราคงต้องคุยกันเรื่องคดีทุจริตด้วย” นวัชว่า
เถกิงคอตกก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างออกเหมือนยอมให้ใส่กุญแจมือโดยดี ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้าไปจะใส่กุญแจมือเถกิง แต่ทันใดนั้น เถกิงก็จับแขนตำรวจคนนั้นบิดแล้วล็อกคอไว้เป็นตัวประกัน พร้อมกับชักปืนที่เอวออกมา นวัชกับพวกตำรวจตกใจจึงรีบชักปืนออกมาเตรียมพร้อมทันที
เถกิงตะคอกขู่ “หยุดนะโว้ย ไม่งั้นไอ้นี่ตายแน่”
“อย่าทำให้มันยุ่งยากกว่านี้เลยครับท่าน ถึงไงท่านก็หนีไม่รอดหรอกครับ”
เถกิงตะคอก “หุบปากไปเลย แกไม่รู้หรอกว่าแบ็คฉันเป็นใคร คนอย่างแก ก็เหมือนไอ้นพชัยนั่นแหละ ฉันกล่อมมันไม่รู้กี่รอบ มันก็ยังตามสืบไม่เลิก ถึงต้องมีจุดจบแบบนั้นไงล่ะ”
ทันใดนั้นเอง ตำรวจที่เถกิงจับเป็นตัวประกันก็พูดขึ้น
“แต่จุดจบของแก ก็ไม่ดีไปกว่าฉันนักหรอก”
ตำรวจคนนั้นหันแต่คอกลับไปมองเถกิง ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าของนพชัยแทน
เถกิงตกใจกลัวสุดขีดจึงแหกปากร้องลั่น เถกิงปล่อยตำรวจคนนั้นแล้วร้องตกใจเหมือนคนสติแตก ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ยกเว้นเจติยา ตำรวจหน้านพชัยเดินสืบเท้าเข้าหาเถกิง
เถกิงกลัวสุดๆ เขาถอยหนีจนล้มลุกคลุกคลาน “อย่าเข้ามา ไปให้พ้น คนตายก็อยู่ส่วนคนตายสิวะ”
นพชัยเดินรุกเข้าหา “แกจะหนีฉันไปไหน เราเคยเป็นเพื่อนรักกันมากไม่ใช่เหรอ แกรู้มั้ยว่าการถูกรัดคอจนตายมันทรมานขนาดไหน แต่มันทรมานยิ่งกว่าที่รู้ว่าเป็นฝีมือเพื่อนรักหักหลัง”
ทันใดนั้นนพชัยก็คอพับหักคาตาเหมือนไม่มีกระดูก
เถกิงกลัวมากจึงเบือนหน้าหนี “ฉันกลัวแล้ว อย่ามาหลอกฉันเลยฉันกลัวแล้ว”
นวัชกับพวกตำรวจรีบเข้าไปควบคุมตัวเอาไว้ได้โดยง่าย เจติยาถอนใจโล่งอกที่ปิดคดีลงจนได้
เสียงนพชัยดังนำมาก่อน “ขอบคุณมากนะ”
เจติยาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมองข้างๆ ก็เห็นวิญญาณนพชัยในสภาพสวยงามยืนอยู่
“ถ้าไม่ได้คุณช่วย ผมก็คงยังไม่รู้ว่าเถกิงเป็นคนฆ่าผม แล้วเค้าก็คงลอยนวลหนีไปได้” นพชัยว่า
เจติยายิ้มแย้ม “มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้วค่ะ”
“แต่ถึงยังไง ผมก็ต้องขอบคุณคุณอยู่ดี ลาก่อน ขอให้คุณโชคดี”
รอบตัวนพชัยมีแสงระยิบระยับก่อนจะเลือนหายไป เจติยายิ้มรับที่นพชัยไปสู่สุคติ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นพอดี
เจติยาดูเบอร์ก่อนจะกดรับ “ว่าไงฐา” เจติยาตกใจจนหน้าเสียเพราะเป็นห่วง “ฐาร้องไห้ทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ” เจติยาร้อนใจมาก
นวัชเดินกลับมาได้ยินพอดีเพราะเป็นห่วงมาก “ฐาเป็นอะไรเหรอเจ”
เจติยาร้อนใจจึงรีบซักเพื่อนต่อ “ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน” เจติยาฟังอีกฝ่าย
ลาภิณกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องนั่งเล่น
ลาภิณคุยมือถือด้วยความเป็นห่วง “มีผู้กองนวัชไปด้วย ผมก็เบาใจขึ้นหน่อย” ลาภิณฟังก่อนตอบ “ได้...รู้เรื่องคืบหน้ายังไงโทรเล่าให้ฟังด้วยนะ จ้ะ” ลาภิณกดตัดสายไปด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ลาภิณวางโทรศัพท์ลงโต๊ะกลางโซฟา ขณะจะเดินเลี่ยงไป มือถือของลาภิณก็ดังขึ้นมาอีก ลาภิณดูเบอร์ ก็เห็นหน้าจอเขียนว่า “พิมพ์อร”
ลาภิณแปลกใจที่พิมพ์อรโทรมาตอนนี้แต่ก็กดรับสาย “ฮัลโหล”
“สวัสดีจ้ะน้องต้น พี่อรเองนะ”
ลาภิณคุยมือถือ “สวัสดีครับพี่”
พิมพ์อรคุยมือถือ “พี่อรโทรมารบกวนเวลาส่วนตัวรึเปล่าจ๊ะ”
ลาภิณคุยมือถือ “เปล่าหรอกครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับพี่”
“คือรถพี่อรเสียน่ะจ้ะ ชาครก็อยู่กับคุณพ่อ”
พิมพ์อรนั่งคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในรถที่จอดอยู่ในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
“พี่อรเลยไม่กล้าโทรตาม กลัวคุณพ่อเป็นห่วงแล้วจะไม่ยอมให้พี่อรไปไหนมาไหนคนเดียว โดยไม่มีชาครคอยตามประกบอีก”
กสิณปรากฏตัวขึ้นที่เบาะหลังแบบไม่ให้ทันตั้งตัวเมื่อเปลี่ยนขนาดภาพ
พิมพ์อรอ้อนลาภิณ “พี่อรเพิ่งมาอยู่เมืองไทย ไม่ค่อยรู้จักใคร เพื่อนก็ไม่มี จะโทรตามช่างก็ไม่ค่อยไว้ใจ พี่อรอยู่คนเดียวแล้วที่นี่ก็มืดๆ เปลี่ยวๆ ด้วย” พิมพ์อรพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนเล็กน้อย “พี่อรนึกถึงน้องต้นคนแรกเลย”
รถพิมพ์อรจอดอยู่ริมถนนหน้าปั๊มใหญ่โต มีผู้คนมากมาย โดยรอบสว่างไสว มีมินิมาร์ทพร้อม
ลาภิณยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“ตอนนี้พี่อรอยู่ที่ไหนล่ะครับ เดี๋ยวผมขับรถออกไปหา” ลาภิณเดินคุยโทรศัพท์มือถือออกไปจากบ้าน เขาฟังก่อนตอบ “อ๋อ อยู่เลยบ้านผมไปนิดเดียวเอง”
พิมพ์อรยิ้มพอใจกดตัดสายก่อนเหลือบตามองกสิณผ่านกระจกส่องหลัง
“รถฉันเสียแน่นะ”
กสิณยิ้มเย็น “ช่างที่ไหนก็ไม่มีปัญญาแก้ได้หรอกเว้นแต่ฉันยินยอม”
พิมพ์อรยิ้มพอใจอย่างอารมณ์ดี เธอหยิบตลับแป้งจากกระเป๋าถือมาเติมหน้าไปอย่างพอใจรอการมาของลาภิณ
กสิณยิ้มร้ายตรงมุมปาก ท่าทีพออกพอใจในความอยากได้อยากมีของพิมพ์อร ที่ไม่มีสิ้นสุดจริงๆ
อ่านต่อตอนที่ 2