อนิลทิตา ตอนที่ 12
ภายในห้องทำงานจักราที่ออฟฟิศบริษัทไร่ชาเชียงแมน จักรากำลังตรวจเอกสารอยู่อย่างขะมักเขม้น มีเสียงเคาะประตู จักราเงยหน้าขึ้น กระถินเปิดเข้ามา
“มีอะไรเหรอกระถิน”
กระถินวางทางเป็นปกติ
“เจ้าดาเรศให้กระถินมาบอกคุณจักรว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยค่ะ”
จักราแปลกใจ
เวลาเดียวกันนั้นอ๋อยถือตะกร้าผ้าซักเดินออกมาจากหน้าเรือนใหญ่คุ้มเชียงแมนแล้วชะงัก
“เฮ้ย”
แอ๋วที่ตะกร้าผ้าซักอีกตะกร้าเดินตามออกมาหยุดไม่ทัน ชนอ๋อยโครมเบ้อเร่อ ตะกร้าผ้าตกจากมือ ผ้ากระจายออกมาจากตะกร้า
แอ๋วด่า “อ๋อย แกจะบ้าเหรอ เดินอยู่ดีๆหยุดทำไมฮะ...ดูสิ เสื้อผ้าคุณโฉมตกเลอะเทอะหมด ถ้าซักไม่ออกขึ้นมาเดี๋ยวก็โดนด่าเปิงหรอก”
แอ๋วบ่นไป เก็บเสื้อผ้าที่ตกไป อ๋อยยืนอึ้ง
“ยืนอึ้งอยู่ได้ มาช่วยกันเก็บสิ” แอ๋วว่า
“แอ๋ว...นี่ นี่ มันเกิดอะไรขึ้น”
แอ๋วหงุดหงิด “เกิดอะไรอีกล่ะ”
พอแอ๋วเงยหน้าขึ้น จึงเห็นหมอกควันขาวคลุ้งปกคลุมบ้านจนมองไม่เห็นอะไรเลย
โฉมสุรางค์ เดินลงบันไดมา อ๋อยกับแอ๋ววิ่งเข้ามา รีบรายงานเสียงสั่น
“คุณโฉมขา เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ค่ะ อยู่ดีๆ หมอกก็ลงจัดจนมองไม่เห็นอะไรเลย” แอ๋วบอก
อ๋อยว่า “จะว่าควันจากไฟป่าก็ไม่ใช่ ไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรเลย”
โฉมสุรางค์อึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะรีบเดินออกไปดูหน้าคุ้ม แล้วต้องตกตะลึง ก่อนจะกวาดตามองอย่างระแวดระวัง
อ๋อยกับแอ๋วเดินตามออกมาด้วยอย่างหวั่นๆ
โฉมสุรางค์พูดกับตัวเอง “นี่มันต้องเป็นหมอกอาคมแน่ๆ”
เธอหันไปสั่งอ๋อยกับแอ๋วทันที
“เธอสองคนรีบเข้าไปปิดประตูหน้าต่างในคุ้มให้หมด”
อ๋อยกับแอ๋วยังละล้าละลัง
โฉมสุรางค์เร่ง “เร็วๆ เข้าสิ ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือไง”
อ๋อย กะ แอ๋วตาลีตาเหลือก “ค่ะ ค่ะ” สองสาวรีบวิ่งเข้าไปในเรือน
ทันทีทีสองคนลับสายตาไป โฉมสุรางค์ก็หลับตา ท่องมนต์ ทันใดนั้นหมอกควันที่ปกคลุมทั่วคุ้มเชียงแมนอยู่ก็สลายหายไปในพริบตา
โฉมสุรางค์ลืมตา นัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์อย่างโกรธแค้น พึมพำกับตัวเอง
“ใครบังอาจมาลองดีกับฉัน” โฉมสุรางค์เสียงดังขึ้น “ถ้าแน่จริงก็ออกมาเจอกันซึ่งๆ หน้าสิ”
นายิกีเดินออกมา มองมาที่โฉมสุรางค์อย่างท้าทาย
“นังแม่มด เจ้ามีฝีมือกว่าที่ข้าคิดนะ”
“นังเฒ่านายิกี...แกเข้ามาในคุ้มของฉันทำไม”
“ถ้าเจ้าอยากรู้ ก็ตามมาสิ”
นายิกีฉากหลบไปอย่างว่องไว โฉมสุรางค์รีบตามไป
จักราเดินเข้ามาริมลำธารตามนัด มองหาเจ้าดาเรศ
“คุณดา คุณดาอยู่ไหนครับ”
เสียงร้องของเจ้าดาเรศดังเข้ามา “ช่วยด้วยค่ะ คุณจักร ช่วยดาด้วย”
“คุณดา”
จักราตกใจมากเหลียวขวับแล้ววิ่งไปตามเสียง เขาเห็นร่างเจ้าดาเรศกำลังจะจมน้ำอยู่กลางลำธาร
“คุณดา”
จักรากระโดดลงไปช่วยโดยไม่ลังเล
ร่างดาเรศค่อยๆ จมลงใต้น้ำ จักราดำดิ่งลงมาคว้าตัวเธอไว้ เจ้าดาเรศยื่นมือออกไปคล้ายไขว่คว้าหาที่ยึดจับ แต่พอได้โอกาสก็กระชากสร้อยเหรียญเวสสุวัณที่คอจักราอย่างแรง สร้อยหลุดติดมือมา เธอรีบเก็บสร้อยใส่ในกระเป๋สกางเกงทันที ส่วนจักราสะดุ้งเฮือก เหมือนถูกกระแทกอย่างรุนแรง
จักราพาเจ้าดาเรศพุ่งตัวขึ้นมาเหนือน้ำ เขาว่ายน้ำพยุงร่างเจ้าดาเรศเข้ามาที่ฝั่ง ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นจากน้ำไป
ฝ่ายนายิกีวิ่งหนีมาถึงกลางป่าในอาณาเขตคุ้มเชียงแมน ก่อนจะหยุดและหันมาเผชิญหน้ากับโฉมสุรางค์ที่วิ่งตามมา
“ในที่สุดข้าก็พิสูจน์ได้แล้วว่าแกไม่ใช่คนธรรมดา”
“แกมีหลักฐานอะไรถึงมากล่าวหาฉันแบบนี้”
รชาก้าวเดินออกมากพุ่มไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ มองโฉมสุรางค์อย่างเป็นต่อ
“อย่าปฏิเสธเลยครับคุณโฉม การที่คุณทำลายหมอกอาคมของแม่เฒ่าได้ ก็หมายความว่าคุณคือแม่มด”
โฉมสุรางค์ตกใจ หันขวับไป “คุณรชา”
“แกคือแม่มดอนิลทิตา แล้วแกก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้ชายในละแวกนี้หายตัวไป...”
รชาบอก “รวมทั้งสุรเดช น้องชายไอ้จักรด้วย”
โฉมสุรางค์อึ้ง รวบรวมสติตอบปฏิเสธไปทันที
“คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
“แกจะไม่รู้ได้ยังไง ไอ้บุญโฮมน้องชายฉันมันเห็นมากับตาว่าแกจับผู้ชายเข้าไปขังไว้ในถ้ำ แกถึงได้ฆ่าปิดปากมันไงล่ะ”
โฉมสุรางค์ปฏิเสธเสียงแข็ง “เหลวไหล ถ้ำอะไร ที่นี่ไม่มีถ้ำอะไรทั้งนั้น”
นายิกีมองจ้องโฉมสุรางค์อย่างผู้ชนะ
“ถ้าแกไม่ยอมรับ ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีชีวิตรอดออกไปได้”
นายิกีหยิบกรวดภูเขาไฟออกมาจากย่าม แล้วขว้างออกไปที่โฉมสุรางค์ ทันใดนั้นเองก็บังเกิดไฟมนตราสีฟ้าลุกโชนขึ้นรอบตัวเธอ
ร่างโฉมสุรางค์ถูกเปลวไฟลามเลียจนร้อนรุ่มไปหมด
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าถ้ำนั้นอยู่ที่ไหน และแกเอาผู้ชายพวกนั้นไปทำอะไร ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะต้องตายอยู่ในไฟนี่ละ”
โฉมสุรางค์จ้องหน้านายิกีผ่านเปลวไฟมนตราไม่ครั่นคร้าม
“ฝันไปเถอะนังเฒ่า แกไม่มีวันจะทำอะไรฉันได้หรอก”
โฉมสุรางค์ก้มลงหยิบเศษดินที่พื้นขึ้นมา พยายามทำสมาธิท่องคาถาขมุบขมิบแล้วขว้างเศษดินออกไป เกิดลมพายุหมุนคว้างรอบกองไฟ จนนายิกีถลาล้ม รชารีบเข้ามาประคอง
“แม่เฒ่า”
นายิกีบอก “เรารีบไปกันเถอะ”
สองคนทะยานออกไป ขณะเกิดแรงระเบิดกระจายออกทุกทิศทุกทาง ไฟมนตราดับ โฉมสุรางค์ยืนกลางรอยไหม้วงกลมขนาดใหญ่ เธอหมดแรงทรุดลง และพยายามยันกายลุกขึ้น
เหตุการณ์ที่ริมลำธาร จักราจับมือเจ้าดาเรศไว้อย่างเป็นห่วง เขาดีใจเมื่อเห็นว่าเจ้าดาเรศไม่เป็นอะไร
“คุณดา...คุณดา คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ”
เจ้าดาเรศไม่ตอบ มัวแต่พยายามจับสังเกตว่าจักรามีอากัปกริยาเปลี่ยนไปหรือเปล่า ก่อนจะรีบว่า
“ไม่เป็นไรค่ะคุณจักร ขอบคุณนะคะที่ช่วยดาไว้”
เจ้าดาเรศมองจักราอย่างคลางแคลงใจ พูดลองใจ
“คุณจักรรีบกลับไปหาคุณแม่เถอะค่ะ ดาไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าคุณแม่รู้ว่าคุณจักรมาอยู่กับดา เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเอาเปล่าๆ”
จักราอึ้ง งุนงง ไปชั่วขณะ เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้ตนมีความสัมพันธ์กับโฉมสุรางค์ฉันท์คนรัก จักราเริ่มสับสน งวยงงว่าเกิดความสัมพันธ์กับคุณโฉมได้อย่างไร
“นี่หมายความว่าผมกับคุณโฉม...” ยิ่งคิดยิ่งสับสน “เป็นไปได้ยังไง” ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าดาเรศ ทั้งตกใจ และเสียใจ “คุณดา...ผมไม่ได้ตั้งใจ...ผมไม่รู้จริงๆว่าเรื่องมันเกินเลยไปถึงขนาดนี้ได้ยังไง”
เจ้าดาเรศอึ้ง มองจักราอย่างพินิจ เพื่อให้แน่ใจ แล้วสุดท้ายเธอยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“คุณจักร นี่แสดงว่าคุณหายเป็นปกติแล้วใช่มั้ยคะ”
จักรางุนงง ที่เห็นเจ้าดาเรศดีใจมากขนาดนี้ และไม่มีท่าทีว่าจะโกรธเคืองตน
“หายเป็นปกติ หมายความว่ายังไง...ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ” จักรายังรู้สึกผิดอยู่ “แต่เรื่องคุณโฉม ทำไมคุณดาไม่โกรธผม”
เจ้าดาเรศพยายามหาทางอธิบาย แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
“หลายวันมานี้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว ฉันก็ไม่รู้จะเล่าให้คุณฟังยังไง” เธอยิ้มอย่างโล่งใจ “แต่ตอนนี้ฉันดีใจจริงๆ นะคะที่คุณกลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
เจ้าดาเรศยิ้มกว้าง ขณะที่จักรางุนงงอยู่อย่างนั้น
เจ้าดาเรศพาจักรามาหาแม่เฒ่านายิกี และ รชา ที่รออยู่แล้วในกระท่อม
จักรารู้เรื่องหมดแล้ว แต่เขาไม่อยากเชื่อ “นี่ผมถูกคุณโฉมทำเสน่ห์จริงๆ เหรอครับ”
รชาบุ้ยใบ้ไปที่สร้อยเหรียญท้าวเวสสุวัณที่วางอยู่ในพานตรงหน้านายิกี
“ก็ใช่น่ะสิ คุณโฉมลงอาคมไว้ในเหรียญอันนี้ แล้วก็ให้แกสวมติดตัวไว้ตลอด แกถึงได้หลงเค้าจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ใครพูดอะไรก็ไม่เชื่อ”
จักราอึ้ง “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นได้”
นายิกีนึกฉุน “ทำไมจะไม่ได้ ข้าบอกแล้วไงว่านังโฉมมันเป็นคนเดียวกับนังแม่มดอนิลทิตา แต่แกก็ไม่เคยเชื่อ คราวนี้ล่ะ ข้าจะพิสูจน์ให้แกดูเอง”
นายิกีหยิบเหรียญท้าวเวสสุวัณที่วางอยู่บนพาน จุ่มลงไปในขันที่มีน้ำมนต์ เกิดควันสีม่วงเข้มพวยพุ่งขึ้นมา เป็นรูปชายหญิงกอดเคล้าคลอเคลียกันม้วนตัวลอยสูงขึ้นแล้วก็ค่อยๆ สลายหายไป
จักรา ดาเรศ และรชา มองภาพด้วยความตื่นเต้น อัศจรรย์ใจ
โดยเฉพาะจักรานั้นตะลึงมากกว่าใคร ชายหนุ่มยังไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นจริงไปได้
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ทุกคนออกมาคุยกันที่หน้ากระท่อม จักราพยายามครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“ผมจำได้ว่าผมกับคุณโฉมเคยเป็นคนรักกันเมื่อชาติก่อน แต่ตอนนี้ ทุกอย่างมันก็จบไปแล้ว”
“คุณโฉมคงจะรักแกมาก แล้วก็อยากให้แกรักเค้าด้วย ถึงได้ทำเสน่ห์ใส่แกไงล่ะไอ้จักร”
“แต่การที่นังโฉมมันทำเสน่ห์ ก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับพวกผู้ชายที่หายไป...ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่านังโฉมมันจะจับผู้ชายพวกนั้นไปทำอะไร” แม่เฒ่าใช้ความคิดหนัก
“ผมว่าหลักฐานทั้งหมดจะต้องอยู่ในถ้ำที่พ่อเฒ่าบุญโฮมพูดถึงแน่ๆ” รชาว่า
“เราจะต้องหาถ้ำนั้นให้เจอ จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสุรเดช” จักราบอก
เจ้าดาเรศเริ่มกังวล “แต่ตอนนี้ ดาว่าเรารีบกลับคุ้มกันเถอะค่ะก่อนที่คุณแม่จะสงสัย”
“จริงด้วยครับ เราคงต้องรีบแล้วล่ะ”
เจ้าดาเรศชะงัก นึกขึ้นมาได้
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณจักร ถ้าคุณไม่ใส่เหรียญท้าวเวสสุวัณกลับไป คุณแม่ต้องจะต้องรู้แน่ๆ ว่าคุณถูกถอนเสน่ห์”
“ใช่ เจ้าต้องสวมเหรียญนี่ไว้เหมือนเดิม แล้วก็ทำให้เหมือนกับว่ายังอยู่ถูกมนต์สะกดอยู่ นังโฉมมันจะได้ตายใจ...ไม่งั้นมันอาจจะทำเสน่ห์เจ้าอีกก็ได้”
ฝ่ายเจ้าพงษ์นครแอบเดินเข้ามาในแนวป่าหลังคุ้มเพื่อสืบเรื่องที่ตนถูกทำร้าย ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาอย่างพยายามจะทบทวนทางไปถ้ำให้ได้ เขาเห็นไอ้โล้นกำลังเดินวนเวียนอยู่
“ไอ้โล้น”
เจ้าพงษ์นครรีบหลบหลังต้นไม้ มองไปที่ไอ้โล้นอย่างระแวดระวัง จนกระทั่งเห็นไอ้โล้นเดินหายเข้าไปในป่า เจ้าพงษ์นครตามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดปุ่มถ่ายวิดีโอบันทึกไว้ตลอดเวลา
ไอ้โล้นกำลังเดินตรวจบริเวณอยู่ มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร เจ้าพงษ์นครค่อยๆ เดินตามมา แอบถ่ายไอ้โล้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งไอ้โล้นเดินไปถึงปากถ้ำ
เจ้าพงษ์นครเห็นถ้ำแล้วแทบจะหยุดหายใจ มองตามอย่างไม่คลาดสายตา
“ต้องเป็นถ้ำนี้แน่ๆ ที่มันจับเรามาขังไว้”
เจ้าพงษ์นครเดินหลบเข้าไปในมุมหนึ่ง จนเห็นว่าเป็นปากทางเข้าถ้ำที่ซ่อนอยู่ ชายหนุ่มจะรีบเดินตามไป แล้วชะงักเปลี่ยนใจ
“เข้าไปตอนนี้คงไม่ดีแน่ๆ ปืนซักกระบอกก็ไม่มี ถ้าขืนโดนจับอีกที คราวนี้สงสัยจะไม่รอด
ฟากโฉมสุรางค์เดินกลับเข้ามาในเรือนใหญ่ ด้วยท่าทางอิดโรย
“ข้าต้องจัดการกับนังเฒ่านายิกีให้ได้ ก่อนที่มันจะแพร่งพรายความลับของข้ามากไปกว่านี้”
โฉมสุรางค์บีบมือตัวเองอย่างครุ่นคิด แล้วชะงัก เมื่อเห็นว่ามือตัวเองเริ่มเหี่ยวย่นก็ตกใจ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร จักรากับเจ้าดาเรศก็เดินเข้ามา โฉมสุรางค์มองตาขวาง รีบซ่อนมือตัวเองไว้ถามเสียงเรียบอย่างไม่พอใจ
“หายไปไหนกันมาคะ”
จักรากับเจ้าดาเรศลอบสบตากัน จักรารีบเข้าไปหาโฉมสุรางค์ด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย
“ก็ไปตามหาคุณโฉมน่ะสิครับ ผมกลับมาไม่เห็นคุณอยู่ในห้องก็เลยเป็นห่วง...คุณโฉมไปไหนมาครับ ผมเดินตามหาซะทั่วคุ้มแต่ก็ไม่เจอ”
โฉมสุรางค์ยังไม่ตอบ ตวัดสายตาอย่างไม่พอใจไปที่เจ้าดาเรศที่ลืมตัวยืนสังเกตการณ์อยู่ จนเจ้าดาเรศเห็นสายตาโฉมสุรางค์ก็รีบเดินเลี่ยงไป โฉมสุรางค์จึงหันมาตอบจักราอย่างอ่อนหวาน
“ฉันไปหาหมอมาน่ะค่ะ เอ่อ...คุณจักรคะ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยสบายกลัวว่าคุณจักรจะพลอยติดไปด้วย...” เธออ้ำอึ้งนิดหนึ่งด้วยเกรงว่าจักราจะน้อยใจ “ฉันว่าช่วงนี้คุณจักรกลับไปนอนที่ห้องของคุณก่อนดีกว่านะคะ”
จักราลืมตัวเกือบจะหลุดยิ้มออกมาอย่างยินดี แต่ซ่อนสีหน้าไว้ได้ทัน แกล้งรับปากอย่างเสียมิได้
“ก็ได้ครับ แต่คุณโฉมต้องนอนพักมากๆ นะครับ จะได้หายเร็วๆ”
โฉมสุรางค์เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่หน้ากระท่อมบันดาสา
“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมร่างกายของข้าถึงได้กลับสู่สภาพเดิมในเวลาอันสั้นนัก ทั้งๆที่เพิ่งจะทำพิธีอาบน้ำเลือดสมุนไพรมาได้ไม่กี่คืน” โฉมสุรางค์นึกขึ้นมาได้ “หรือจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ทำในคืนเพ็ญ”
“ก็อาจจะเป็นได้ หรืออีกที...ก็อาจจะเป็นเพราะแม่หญิงได้ใช้พลังไปในการต่อสู้กับนังเฒ่านายิกี”
โฉมสุรางค์ออกอาการร้อนรน “จะด้วยเหตุใด ข้าก็จะให้สินธุเห็นข้าในสภาพนี้ไม่ได้เป็นอันขาด”
“แต่ในช่วงนี้ แม่หญิงจะอาบน้ำเลือดไม่ได้ ถ้าหากมีคนในละแวกนี้หายไปติดๆกันแบบนี้ สักวันก็อาจจะมีใครสืบสาวมาถึงเราได้”
“ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากัน แต่ยังไงครั้งนี้พี่ต้องช่วยข้า พี่ต้องทำพิธีอาบน้ำสมุนไพรให้ข้าโดยเร็วที่สุด”
บันดาสาลอบถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม
เช้าวันนี้ เจ้าดาเรศเดินแกมวิ่งอย่างระแวดระวังออกมาจากคุ้มกำลังจะผ่านต้นไม้ใหญ่ มุมเงียบสงัด มือจักราคว้าแขนเจ้าดาเรศ ดึงตัวให้หลบเข้าไปในมุมนั้น
“คุณดาโทร.นัดผมมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“กระถินเพิ่งบอกดาว่าวันนี้คุณแม่ไม่ค่อยสบายค่ะ จะขอพักผ่อนอยู่ในห้อง”
เจ้าดาเรศกับจักรามองสบตากันอย่างเข้าใจ
“งั้นเราก็น่าจะถือโอกาสไปหาถ้ำกันวันนี้เลยนะครับ”
เจ้าดาเรศเห็นด้วยก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“วันที่เจ้าพี่พงษ์นครโดนจับตัวไป เจ้าพี่บอกว่าโดนจับไปไว้ที่ถ้ำอะไรซักอย่าง...ดาว่าเราไปถามเจ้าพี่กันเถอะค่ะ เธอน่าจะต้องรู้อะไรเกี่ยวกับถ้ำบ้างแน่ๆ”
สองคนพากันเดินออกไป อย่างระมัดระวัง
เจ้าพงษ์นครกลับเข้าห้อง กำลังนั่งดูรูปถ้ำในโทรศัพท์มือถืออยู่
“นี่มันเป็นถ้ำเดียวกับที่เราเคยถูกจับเข้าไปแน่ๆเลย”
เจ้าดาเรศเปิดประตู เดินเข้ามาพร้อมกับจักรา เจ้าพงษ์นครรีบวางโทรศัพท์ในมือลงทันที แล้วแกล้งทำเป็นมองเจ้าดาเรศงงๆ และสีหน้าหวาดระแวง เจ้าดาเรศเข้าไปหาพงษ์นคร จับมือพงษ์นครมากุมไว้อย่างรักใคร่และปลอบประโลม
“เจ้าพี่ไม่ต้องกลัวนะคะ นี่ดาเอง”
เจ้าพงษ์นครแกล้งทำเป็นเลื่อนลอย จักรามองเขาอย่างแปลกใจ
“ทำไมเจ้าพงษ์นครถึงดูแปลกๆไปล่ะครับ”
เจ้าดาเรศมองเจ้าพี่พงษ์นครด้วยความสงสาร
“ตอนที่เจ้าพี่มาถึงที่คุ้มวันแรกอยู่ๆ เจ้าพี่ก็หายตัวไปค่ะ โชคดีที่คุณยายคนเก่าคนแก่ของคุณแม่น่ะค่ะ ไปเจอเจ้าพี่ถูกทำร้ายจนสมองได้รับความกระทบกระเทือนจำอะไรไม่ได้ ท่านก็เลยช่วยไว้”
เจ้าดาเรศจับมือเจ้าพงษ์นคร มองตาให้กำลังใจ
“เจ้าพี่...จำได้มั้ยคะวันที่เจ้าพี่ถูกจับตัวไป เจ้าพี่บอกว่าจะส่งรูปถ้ำมาให้ดาดู”
“ถ้ำอะไร...จำไม่ได้” เจ้าพงษ์นครว่า
สายตาดาเรศมองไปเห็นโทรศัพท์ของเจ้าพงษ์นคร
“งั้นดาขอดูรูปในโทรศัพท์เจ้าพี่นะคะ”
เจ้าพงษ์นครอึ้ง ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เจ้าดาเรศหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูรูป เห็นเป็นรูปถ้ำจึงยื่นรูปในโทรศัพท์ให้เจ้าพงษ์นครดู พลางถาม
“เจ้าพี่ถูกจับไปที่ถ้ำนี้ใช่มั้ยคะ เจ้าพี่จำได้มั้ยคะว่ามันอยู่ที่ไหน”
เจ้าพงษ์นครมองเจ้าดาเรศอย่างอัดอั้น มองจักราอย่างไม่ไว้ใจ แสร้งทำเป็นงงๆ บอกว่า
“จำไม่ได้”
จักราเข้ามาดูโทรศัพท์ในมือดาเรศอย่างสนใจ พยายามคิดว่าเคยเห็นถ้ำนี้มาก่อนหรือเปล่า
เจ้าดาเรศกดเซฟรูป แล้วส่งรูปเข้าไลน์ตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้น ผมว่าเราลองไปหาถ้ำในรูปนี่ให้เจอก่อนดีกว่าครับ”
เจ้าดาเรศส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าพงษ์นคร
“ดาไปก่อนนะคะ แล้วเย็นๆ ดาจะเข้ามาหาเจ้าพี่ใหม่”
จักรากับเจ้าดาเรศเดินออกไป เจ้าพงษ์นครมองตามไปอย่างเป็นกังวล
“น้องดาคงจะไม่รู้ว่าถ้ำนั้นเป็นความลับของคุณป้าโฉม นี่ถ้าคุณจักรไปบอกคุณป้าว่าน้องดากำลังหาถ้ำนั้นอยู่ น้องดาจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ”
เจ้าพงษ์นครครุ่นคิด ทั้งกังวล และเป็นห่วงความปลอดภัยเจ้าดาเรศ
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ไอ้พันเดินเล่น ดูกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่แถวทางเข้าป่าหลังคุ้มเชียงแมน ไม่ไกลออกไปนัก กระถินยืนดูรูปถ้ำในโทรศัพท์มือถือของดาเรศอย่างพิจารณา มีจักราอยู่ด้วย
“กระถินก็เดินไปเดินมาอยู่ในบริเวณคุ้มตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่เคยเห็นถ้ำแถวๆ นี้เลยนะคะ”
ไอ้พันได้ยินคำว่าถ้ำก็หูผึ่ง ทิ้งของที่เล่นอยู่ วิ่งเข้ามาหากระถินด้วยท่าทางตกใจ ตื่นกลัว
“ถ้ำ...ถ้ำ”
เจ้าดาเรศ จักรา และกระถินหันขวับมามองไอ้พันพร้อมกัน
เจ้าดาเรศเอารูปในโทรศัพท์มาให้ไอ้พันดู
“ลุงพันรู้จักถ้ำนี้ด้วยเหรอคะ”
ไอ้พันชี้มือไปทางถ้ำ “ถ้ำ...โน่น”
จักราบอกสองสาวว่า “ลุงพันต้องรู้แน่ๆ ว่าถ้ำนี้อยู่ที่ไหน”
“งั้นลุงพันช่วยพาดาไปที่ถ้ำได้มั้ยคะ”
ไอ้พันพยักหน้าหงึกๆ “ไป ลูก ไปถ้ำ”
“ให้กระถินไปด้วยนะคะ กระถินก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้ำนี้มันอยู่ตรงไหนถึงได้รอดหูรอดตากระถินไปได้”
“อย่าเลยครับ เดี๋ยวคุณโฉมจะสงสัยเอาได้ว่าเราหายไปไหนพร้อมๆ กัน” จักราบอก
กระถินหน้าม่อย ขยับปากจะค้าน แต่เจ้าดาเรศตัดบทพูดกับกระถินด้วยเกรงจะเสียงานเสียการเอา
“กระถินอยู่ดูลาดเลาทางนี้ดีกว่า ถ้าคุณแม่ถามถึงเมื่อไหร่ก็รีบโทร.บอกดา เราจะได้กลับมารับหน้าได้ทัน”
ไอ้พันพาสองคนมาจนเห็นปากถ้ำ
“ถ้ำ...ถ้ำ...นั่น”
จักรามองตามที่ไอ้พันบอก เห็นปากถ้ำปิดอยู่
“มีถ้ำอยู่ตรงนั้นเหรอครับ”
“แล้วเราจะเข้าไปข้างในได้ยังไงคะคุณจักร”
“อย่า อย่าเข้า กลัว”
ไอ้พันพูดจบก็ดึงแขนเจ้าดาเรศไว้ ไม่ให้เดินต่อไป เจ้าดาเรศมองไอ้พันอย่างสงสัย
“ในถ้ำต้องมีอะไรที่น่ากลัวอยู่แน่ๆ ลุงพันถึงห้ามไม่ให้เราเข้าไป”
ฟากเจ้าพงษ์นครเดินมาตามเส้นทางที่ถ่ายวิดีโอไว้ในโทรศัพท์ กำลังมุ่งหน้าไปที่ถ้ำ
และเห็นไอ้โล้นเดินไปทางถ้ำเช่นกัน
“มันจะต้องไปที่ถ้ำแน่ๆ” เจ้าพงษ์นครใช้ความคิด “ตอนนั้นที่มันจับเราไป มันคิดจะทำอะไรกับเราวะ”
เจ้าพงษ์นครเดินลัดเลาะสะกดรอยตามไอ้โล้นไป
ฝ่ายจักรา ดาเรศ และไอ้พันกำลังยืนละล้าละลังกันอยู่หน้าปากถ้ำ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วเข้ามา
“มีคนกำลังเดินมาทางนี้ เราหลบกันก่อนเถอะครับ”
จักราบอกพลางคว้าแขนเจ้าดาเรศกับไอ้พันหลบวูบเข้าไปแอบดูอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
ทุกคนเห็นไอ้โล้นเดินมาที่ปากถ้ำ หมุนกลไกเปิดปากถ้ำ แล้วเดินหายเข้าไปด้านใน แล้วประตูถ้ำก็ปิดลง
“ต้องเป็นไอ้โล้นแน่ๆ ที่จับเจ้าพี่มาวันนั้น”
จักรากับเจ้าดาเรศหันมาสบตากัน
เจ้าพงษ์นครยืนมองไอ้โล้นเดินเข้าไปในถ้ำ ก่อนจะหยิบปืนที่เหน็บไว้ที่เอวขึ้นมาเตรียมพร้อม
“เอาวะ จะได้รู้ๆ กันไปเลยว่าความลับของคุณป้าที่อยู่ในนั้นมันคืออะไรกันแน่”
เจ้าพงษ์นครกำลังจะเดินตามไอ้โล้นเข้าไปในถ้ำ แต่ได้ยินเสียงสวบสาบอยู่อีกทาง
“เอ๊ะ นั่นมันเสียงอะไร”
จากถนนที่มีรอยพ่นสีสเปรย์เป็นรูปจุดที่รถมอเตอร์ไซค์แว้นต่อล้ม และลึกเข้าไปในแนวป่าก็มีรอยพ่นสีสเปรย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่ากระเป๋าสตางค์ไม่มากนัก
หมวดจิ๊บเดินแกะรอยที่เกิดเหตุเข้าไปในป่าจนเกือบจะถึงถ้ำ
“รถมอเตอร์ไซค์ล้มตรงนั้น กระเป๋าสตางค์ตกอยู่ตรงนี้ คนร้ายต้องลากเหยื่อเข้าไปทางนี้แน่ๆ”
หมวดจิ๊บก้มหน้าก้มตาเดินแกะรอยไปอย่างระแวดระวัง
ทันใดนั้นเองเจ้าพงษ์นครก็พุ่งเข้ามาทางด้านหลัง กระชากตัวหมวดจิ๊บขึ้นมาแล้วจับมือไพล่หลังถามเสียงกร้าว
“คุณเป็นใคร มาที่นี่ทำไม”
หมวดจิ๊บนิ่งอย่างคนมีสติ ก่อนจะใช้วิชาป้องกันตัว จับเจ้าพงษ์นครเหวี่ยง แต่ชายหนุ่มก็ตอบโต้อย่างคนที่เรียนการป้องกันตัวมาเช่นกัน
หมวดจิ๊บกับเจ้าพงษ์นครต่อสู้กัน จนหมวดจิ๊บตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ล้มลงไป ตราตำรวจของหมวดหล่นลงในจังหวะนี้ เจ้าพงษ์นครได้จังหวะกำลังจะเข้าชาร์จตัว แต่สายตาเหลือบไปเห็นตราตำรวจของหมวดจิ๊บที่ตกอยู่ เลยชะงัก
“เฮ้ย คุณเป็นตำรวจนี่ แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้”
หมวดจิ๊บมองเจ้าพงษ์นครอย่างหงุดหงิด ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน
“ก็เห็นอยู่ว่าฉันเป็นตำรวจ ฉันคงมาดูลาดเลาเข้าไปปล้นที่คุ้มเชียงแมนล่ะมั้ง”
เจ้าพงษ์นครเห็นตำรวจสาวสวยก็ใจอ่อนยวบ เสียงอ่อนตาม
“ผมขอโทษ ก็เห็นคุณมาด้อมๆ มองๆ ท่าทางมีพิรุธ แต่ตอนนั้นไม่เห็นว่าสวย ก็เลยคิดว่าเป็นพวกปล้นมาดูลาดเลาจริงๆ”
หมวดจิ๊บมองตาขวาง
“ฉันมาหาเบาะแสคดีคนหาย ระวังเถอะ...แถวนี้คนหนุ่มๆ แบบคุณ หายตัวไปหลายรายแล้ว มาเดินสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ ซักวันคงจะเป็นรายต่อไป”
เจ้าพงษ์นครตื่นเต้นตกใจจนลืมตัว
“อะไรนะ นี่นอกจากผม แล้วยังมีคนอื่นที่โดนจับไปด้วยเหรอ”
หมวดจิ๊บสะดุดหู ตื่นเต้นเช่นกัน
“หมายความว่าไง คุณเคยโดนจับเหรอ” เธอหยิบสมุดขึ้นมาเตรียมจดท่าทางเป็นการเป็นงาน “ที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง แล้วใครจับคุณ บอกรายละเอียดทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้เลย”
เจ้าพงษ์นครลังเล ท่าทางทีเล่นทีจริงหายไปบอกอย่างจริงจัง
“ตอนนี้ผมยังบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ที่นี่มันอันตรายมากนะคุณ เอาเป็นว่าตอนนี้คุณกลับไปก่อน แล้วผมจะติดต่อคุณกลับไปเอง”
หมวดจิ๊บมองหน้าเขาอย่างฉงนฉงาย
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ตกตอนกลางคืน เจ้าดาเรศแต่งตัวในชุดทะมัดทะแมงเตรียมออกไปสืบเรื่องถ้ำ มีเสียงไลน์จากโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าดาเรศรีบเปิดอ่าน เป็นไลน์จากจักราส่งมาว่า “ผมกำลังไปรออยู่ในสวนนะครับ”
เจ้าดาเรศวางมือถือไว้บนโต๊ะ สูดลมหายใจเต็มปอด ด้วยสีหน้าแววตามุ่งมั่น แล้วออกจากห้องไป
ฝ่ายจักราเปิดลิ้นชักหยิบปืนขึ้นมา มองอย่างหมายมั่นก่อนจะเหน็บไว้ที่ด้านหลังเอาชายเสื้อปิด จากนั้นหยิบไฟฉายแล้วออกจากห้องไปตามนัด
จักราเปิดประตูห้องออกมา หยุดมองซ้ายมองขวาเมื่อไม่เห็นใคร จึงเดินย่องเบาๆ ไปทางบันได เสียงโฉมสุรางค์ดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณจักรคะ”
จักราสะดุ้ง ตกใจ ตั้งสติแล้วหันไปหาโฉมสุรางค์
“ดึกป่านนี้แล้ว คุณจักรจะออกไปไหนคะ”
จักรามีท่าทางอึกอัก “ผม...ผมจะออกไปเดินเล่นรับลมในสวนน่ะครับ”
โฉมสุรางค์ยิ้มหวานเดินเข้าไปแกะแขนจักรา
“งั้นดิฉันขอไปด้วยนะคะ วันนี้อุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวัน อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง”
จักราอึ้ง คิดหาทางบ่ายเบี่ยง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“แต่คุณโฉมไม่ค่อยสบายนะครับ ถ้าออกไปโดนน้ำค้าง เดี๋ยวจะเป็นมากขึ้น”
โฉมสุรางค์มองซึ้ง เป็นปลื้มที่จักราห่วงใยตน
“ดิฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันอยากอยู่กับคุณจักร...วันนี้ทั้งวันเรายังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย”
จักรากุมมือโฉมสุรางค์กุมไว้ ส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ไม่ยอมจริงๆ
“ไม่ได้ครับ” จักราทอดเสียงให้นุ่มลง “ถ้าคุณโฉมเป็นอะไรไป ผมจะทำยังไง”
โฉมสุรางค์มองจักราด้วยสายตาเปี่ยมรัก
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันไม่ไปก็ได้ค่ะ แต่คุณจักรต้องพาดิฉันไปส่งที่ห้องนะคะ”
จักราลังเล แต่ก็ฝืนยิ้ม พยักหน้ารับ โฉมสุรางค์ยิ้มหวาน เดินซบคลอเคลียจักราไป
เจ้าดาเรศรอนานแล้ว แต่จักรายังไม่มาสักที จนเริ่มกระสับกระส่าย
“ทำไมคุณจักรยังไม่มาซะทีนะ”
เจ้าดาเรศหลบมุมมองไปยังทางเดินหน้าเรือนใหญ่คุ้มเชียงแมน เห็นแต่ความว่างเปล่า มีเสียงเหยียบใบไม้ดังกรอบแกรบขึ้นที่ด้านหลัง
เจ้าดาเรศหันขวับไป เห็นเจ้าพงษ์นครเดินลับๆ ล่อๆ อย่างมีพิรุธ หายเข้าไปในความมืดของสวนก็นึกสงสัย
“นั่นเจ้าพี่จะไปไหน”
เจ้าดาเรศชะเง้อมองไปดูจักราอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจเดินตามเจ้าพงษ์นครไป
เจ้าดาเรศตามมาแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง เห็นเจ้าพงษ์นครกำลังเดินตรงไปที่ปากทางเข้าถ้ำ
“เจ้าพี่กลับมาที่ถ้ำทำไม” เจ้าดาเรศครุ่นคิด “หรือว่าเจ้าพี่จำทุกอย่างได้แล้ว”
เจ้าดาเรศจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าพงษ์นครดังขัดจังหวะขึ้นก่อน เจ้าดาเรศรีบถอยหลบ
เจ้าพงษ์นครทำหน้าเซ็งที่ถูกขัดจังหวะ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เห็นเป็นชื่อ หมวดจิ๊บ
ชายหนุ่มทำหน้าอ่อนใจ แล้วกดรับสาย
“คุณตำรวจ คุณจะโทร.มาทำไม ผมบอกแล้วไงว่าจะติดต่อกลับไปเอง”
หมวดจิ๊บอยู่ที่สน. พูดสายด้วยท่าทางร้อนรนใจ
“ก็ฉันรอไม่ไหวนี่ ถ้าทางคุณยังไม่มีอะไรคืบหน้า ฉันจะเข้าไปที่คุ้มเดี๋ยวนี้”
เจ้าพงษ์นครลืมตัวพูดเสียงดังขึ้นมา “อย่านะคุณ อย่าได้เข้ามาเชียวนะ”
ไอ้โล้นเดินตรวจตราอยู่บริเวณหน้าถ้ำ ได้ยินเสียงคนพูดดังแว่วมา
“ที่นี่มันอันตรายกว่าที่คุณคิด ถ้าคุณยังดื้อด้านจะเข้ามา คุณอาจไม่มีโอกาสจะกลับไปอีกก็ได้”
ไอ้โล้นตกใจ รีบพุ่งไปที่หน้าถ้ำทันที
เจ้าพงษ์นครบอกหมวดเจี๊ยบว่า “เอาเป็นว่าตอนนี้ผมจะเข้าไปในถ้ำเอง ได้เรื่องยังไงแล้วผมจะติดต่อกลับไป”
เจ้าพงษ์นครกดวางสายทันที
“คุณ เดี๋ยวก่อนสิคุณ...คุณ”
หมวดจิ๊บกดวางสายอย่างขัดใจ
ด้านเจ้าดาเรศแอบดูเจ้าพงษ์นครตลอดเวลา เห็นเจ้าพงษ์นครเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วพยายามใช้มือจับปุ่มหินตรงผนังถ้ำ หากลไกเปิดประตูถ้ำ
เจ้าดาเรศยิ่งสงสัย “เจ้าพี่รู้วิธีเปิดปากถ้ำด้วยเหรอ”
เจ้าดาเรศ เห็นไอ้โล้นเดินตรงไปยังปากถ้ำก็ตกใจ
“โล้น”
เจ้าดาเรศรีบพุ่งตัวออกจากที่ซ่อนทันที
เจ้าพงษ์นครกำลังหมุนกลไกเพื่อเปิดปากถ้ำ แลเห็นเงาไอ้โล้น เงื้อมือใช้ไม้ตีจากด้านหลัง
“เฮ้ย”
เจ้าพงษ์นครหลบได้ทัน หันกลับไปเจอไอ้โล้น ก็ตกใจ
“ไอ้โล้น”
ไอ้โล้นไล่ “ออกไป”
เจ้าพงษ์นครเสียงแข็ง
“ไม่ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าในถ้ำมีความลับอะไร”
ไอ้โล้นตีเจ้าพงษ์นครอีกครั้ง ชายหนุ่มหลบ และใช้มือรับไม้ไว้ ไอ้โล้นสะบัดไม้จากมือเจ้าพงษ์นครอย่างแรงจนหลุด เจ้าพงษ์นครพยายามถอยหนี ไอ้โล้นได้จังหวะฟาดไม้เข้าที่หัวพงษ์นคร
“โอ๊ย...”
เจ้าพงษ์นครล้มลง ใช้มือกุมแผลที่ศีรษะ เห็นเลือดไหลซึมออกมา ไอ้โล้นตรงเข้าไปหมายจะตีซ้ำเจ้าพงษ์นครรีบชักปืนขึ้นมายิงใส่ที่อกไอ้โล้น 1 นัด ทว่าไอ้โล้นกลับไม่สะทกสะท้าน ไม่มีเลือดออกมาสักหยด
เจ้าพงษ์นครตกใจสุดขีด “เฮ้ย เป็นไปได้ไงวะ”
ไอ้โล้นเงื้อไม้สุดมือจะตีเจ้าพงษ์นครอีก เจ้าได้สติ ตัดสินใจยิงรัวๆ ออกไปติดๆ กัน ความแรงของกระสุนที่พุ่งใส่ไอ้โล้น ทำให้มันเซถลา ล้มลง เจ้าพงษ์นครรีบฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไป
เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าดาเรศวิ่งมาดักหน้าเจ้าพงษ์นครไว้ ฉุดให้วิ่งหนีไปอีกทาง
“เจ้าพี่หนีเร็ว”
สองคน เจ้าพี่เจ้าน้องวิ่งหนีออกไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อตอนที่ 13